ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย (ตอน 2)
เที่ยวกันต่อในตอนที่ 2 กับแคมเปญเก๋ไก๋สไตล์ลึกซึ้ง ‘ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย’ ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพระนครศรีอยุธยา ซึ่งดูแลมาถึงพื้นที่จังหวัดสระบุรีด้วย
หลังจากเราได้ไปดูแลสุขภาพกายกันที่ Wellness Care และดูแลสุขภาพใจ กับการล่องเรือไหว้พระในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแล้ว ก็ถึงคิวเปลี่ยนบรรยากาศมายังสระบุรี เมืองแห่งขุนเขาและธรรมชาติ ซึ่งจะทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกสดชื่นสุดๆ
มาเติมความสุขให้ชีวิตกันที่ ‘สวนบิ๊กเต้’ อำเภอมวกเหล็ก ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสวนดอกเบญจมาศที่มีพื้นที่กว้างขวางที่สุดในเมืองไทยเลยทีเดียว เนื่องจากในพื้นที่ 100 ไร่ ของเขา จะมีดอกเบญจมาศผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเบ่งบานให้ชมตลอดปี โดยในครั้งแรกนั้นสวนแห่งนี้ไม่ได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว ทว่าปลูกเพื่อตัดดอกส่งขายในตลาดทั่วประเทศ โดยเฉพาะตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ปากคลองตลาด ฯลฯ กระทั่งเริ่มหันมาทำท่องเที่ยว เชื้อเชิญผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมความสวยงาม ได้ถ่ายภาพกับดอกไม้อันแสนสวยหลากสีหลายสายพันธุ์
น่าตื่นตาตื่นใจกับความละลานตาของดอกเบญจมาศหลายสิบชนิด ทั้งสีเหลือง ขาว ส้ม ชมพู และสีไล่โทน ดอกเล็กบ้างใหญ่บ้าง สร้างความสดชื่นเหมือนสวนสวรรค์ ค่าเข้าชมก็ถูกแสนถูก เพียงคนละ 20 บาทเท่านั้น
เดินชมแปลงดอกเบญจมาศไปเพลินๆ ถ้าอยากเก็บความงามนี้ไปชื่นชมที่บ้านก็ไม่มีปัญหา เพียงเรียกคนดูแลสวนมาช่วยตัดจัดเข้าช่อให้ ต้นละ 20 บาท
ยิ้มสดใสในวันสดชื่น ท่ามกลางความงามของมวลพฤกษชาติที่สวนบิ๊กเต้ (บอกไม่ถูกเลยว่า คนกับดอกไม้ใครงามกว่ากัน ฮาฮาฮา)
ชมกันใกล้ๆ กับดอกเบญจมาศสีชมพูสดในสไตล์ Shocking Pink เหมาะนำไปทำเป็นไม้ประดับ ปักแจกันเพิ่มชีวิตชีวาให้บ้าน หรือจะมอบเป็นของขวัญให้กันก็สุขทั้งผู้ให้และผู้รับ
สวนเบญจมาศบิ๊กเต้ เกิดจากกลุ่มคนที่ต้องการหลีกหนีวิถีเมือง หันกลับมาทำวิถีเกษตรพอเพียงตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เคยตรัสไว้ว่า เมืองไทยเป็นเมืองเกษตร ไม่ใช่เมืองอุตสาหกรรม การหวนคืนสู่วิถีเกษตรจึงเป็นทางเลือกอันยั่งยืนให้ชีวิตบนแผ่นดินทองนี้
นอกจากการเดินชมแปลงดอกเบญจมาศแสนงามแล้ว คนที่รักการออกกำลังกาย สูดอากาศบริสุทธิ์ ยังสามารถเข้ามาปั่นจักรยานชมธรรมชาติได้ด้วย
ดอกเบญจมาศขนาดใหญ่กว่าครึ่งฟุต กลีบซ้อนกันหลายชั้นอย่างวิจิตร
เบญจมาศดอกเล็กสีชมพูหวานซึ้ง หนึ่งในสายพันธุ์ที่ปลูกมากในสวนบิ๊กเต้
โมงยามแห่งความสุข กับการถ่ายภาพเซลฟี่กลางแปลงดอกเบญจมาศ สวนบิ๊กเต้ เอาไปอวดเพื่อนๆ
เดินทางเก็บเกี่ยวความสุขทางใจกันต่อ เรายังคงอยู่ในอำเภอมวกเหล็ก ที่ ‘สวนองุ่นสิริวัฒน์’ สวนองุ่นที่มีชื่อเสียงของคุณสุรชัย ธมะสุข ทนายความที่ผันชีวิตมาทำวิถีเกษตรพอเพียงตามคำสอนของในหลวง รัชกาลที่ 9 จนประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง ภายในที่ดิน 20 ไร่ มีการปลูกไม้ผลผสมกันหลายชนิด ทั้งองุ่นพันธุ์ต่างๆ มะม่วง มะละกอ ส้มโอ ส้มจี๊ด ฯลฯ จนวันนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ใครๆ ก็รู้จัก
ที่ถือว่าโดดเด่นทำชื่อเสียงให้สวนสิริวัฒน์มากที่สุดคือ องุ่น ไงล่ะจ๊ะ ไม่ว่าจะเป็นองุ่นกินผลสด หรือองุ่นที่นำไปทำไวน์ได้ อย่าง พันธุ์แบล็ก โอปอล (Black Opal) หรือองุ่นไร้เมล็ดที่นิยมรับประทานสด, พันธุ์แบล็กควีน (Black Queen) ราชินีดำ และ พันธุ์ชีราส (Syrah หรือ Shiraz) ซึ่งนำไปทำไวน์โดยเฉพาะ เป็นต้น
เดินเที่ยวชมสวนองุ่นอย่างมีความสุข (แต่เก็บกินจากต้นไม่ได้นะจ๊ะ) ถ่ายภาพและชื่นชมพวงองุ่นสีสดใส สลับสีเข้มเมื่อแก่จัดพร้อมเก็บ
องุ่นพันธุ์ Black Opal หรือองุ่นไร้เมล็ด กำลังสุกได้ที่ พร้อมเก็บไปให้ชิมกันแล้วล่ะ
พวงองุ่นสีสวย น่ากินจังเลยเนอะ
นอกจากมีผลองุ่นสดให้ชิมแล้ว สวนองุ่นสิริวัฒน์ยังมีแปลงพืชผลนานาชนิดให้ศึกษาวิถีเกษตรพอเพียง และมีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลไม้อุดมคุณค่าให้ซื้อหากลับไปเป็นของฝากด้วย ทั้งแยมมัลเบอร์รี่ (ลูกหม่อน) แยมมะม่วง และแยมเสาวรส ฯลฯ
ยิ่งเดินทางไปบนเส้นทางนี้ เรื่องราวก็ยิ่งเข้มข้นปนความสนุก เมื่อได้มาเยือน ‘องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อสค.)’ อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี หรือที่คนทั่วไปเรียกกันติดปากว่า ‘ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก’ นั่นเอง ผมยังจำได้เลยว่าตั้งแต่เกิดมาก็เห็นนมยี่ห้อนี้แล้ว ยังไม่เคยลืมกับโลโก้แม่วัวลูกวัวสีแดงที่ข้างกล่องนม ซึ่งแม่ให้ผมดื่มตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนทุกวัน
วันนี้ได้มาเยือนถึงฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก ต้นตำรับของแท้ รู้สึกตื่นเต้นมากๆ
ก่อนเข้าไปชมกิจกรรมภายใน อสค. ด้านหน้าติดถนนใหญ่เขามีร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมชนิดต่างๆ ทั้งนมกล่องและนมขวด โดยเฉพาะ นม Organic Good Morning ที่ดีต่อสุขภาพ
วันฟ้าสวยแดดใส ได้เวลาชวนกันขึ้นรถพ่วงเข้าชมกิจกรรมของฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก แล้ว โดยมีพี่แตน วิทยากรใจดีซึ่งทำงานอยู่ที่นี่มากว่า 30 ปี เป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้อย่างหมดเปลือก
ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย ตะลุยฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก อำเภอมวกเหล็ก สระบุรี
รถพ่วงแล่นมาจอด ณ ฐานเรียนรู้จุดแรก เป็นการตรวจนม เอ้ย… ตรวจคุณภาพนมวัวที่เกษตรกรนำมาส่งให้ อสค. เราเห็นรูปปั้นวัวแม่ลูกสีแดงยืนอยู่บนสนามหญ้า ก็เลยสงสัย พี่วิทยากรใจดีจึงอธิบายให้ฟังว่า สัญลักษณ์ขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย ที่ต้องเป็นวัวนมแม่ลูกสีแดง เพราะวัวสายพันธุ์แรกที่ประเทศเดนมาร์กมอบให้เรามาก็คือ วัวพันธุ์เรดเดน (Red Dane) หรือ Danish Red หรือ Red Danish แล้วแต่จะเรียก โดยวัวนมพันธุ์นี้มีต้นกำเนิดในประเทศเดนมาร์ก มีขนสีน้ำตาลแดงตลอดตัว และใช้เป็นวัวนมสายพันธุ์หลักของเดนมาร์กมาตลอด
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระราชทานกิจการโคนมแห่งชาตินี้ ไว้ให้ปวงชนชาวไทย เมื่อปี พ.ศ. 2505 ด้วยทรงตั้งพระประสงค์ให้ชาวไทยมีน้ำนมบริโภคโดยทั่วกัน เพื่อสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์
ณ ฐานตรวจคุณภาพนมโค วิทยากรผู้เชี่ยวชาญได้สาธิตวิธีการ ขั้นตอนต่างๆ ให้เราดูอย่างละเอียด
แนวคิดทฤษฎีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ คือสิ่งที่ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก นำมาประยุกต์ใช้จนถึงปัจจุบัน ดังที่ปรากฏชัดเจนบนกระดานดำในฐานเรียนรู้นี้
รถพ่วงของเราแล่นต่อมาจนถึงส่วนที่เป็นหัวใจของ อสค. คือ โรงเรือนเลี้ยงโคนม ทั้งพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์หลายร้อยตัว อาคารโรงเรือนเลี้ยงโคนมที่เห็นหลังคาสีแดงนี้คือโรงเรือนดั้งเดิมแท้ๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 ครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เสด็จมาเป็นองค์ประทานเปิด เราจึงรู้สึกปลื้มมากๆ ที่ได้ก้าวตามรอยพ่อมาในวันนี้
ด้านหน้าโรงเรือนเลี้ยงวัวนม มีแผ่นศิลาจารึกข้อตกลงความร่วมมือในกิจการโคนม ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเจ้าเฟรดเดอริคที่ 9 กษัตริย์แห่งเดนมาร์ก เมื่อปี พ.ศ. 2505 ที่ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้เกี่ยวกับกิจการโคนมให้ชาวไทย
หากจะย้อนอดีตกลับไปเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2503 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรา ได้ทรงเสด็จไปยังประเทศเดนมาร์ก ทรงสนพระทัยกิจการเลี้ยงโคนมของชาวเดนมาร์กเป็นอย่างมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ด้านการเลี้ยงโคนมระหว่างไทยและเดนมาร์ก กระทั่งวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2505 ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์กแห่งนี้ จึงเปิดตัวขึ้นอย่างเป็นทางการ นับเป็นฟาร์มโคนมทันสมัยแห่งแรกของเมืองไทย
คอกเลี้ยงพ่อพันธุ์วัวนมตัวใหญ่เบ้อเริ่ม!
แม่โคนมพันธุ์ดีที่พร้อมอยู่ในคอกรีดนมแล้วจ้า นักท่องเที่ยวคนไหนพร้อมก็เตรียมตัวมารีดนมสดๆ อุ่นๆ จากเต้ากันได้เลย
ป้อนนมลูกวัวน่ารักๆ เป็นกิจกรรมสนุกๆ ที่ห้ามพลาดของฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก พวกมันจะได้โตวันโตคืน
ป้าแตนวิทยากรคนเก่ง กับผู้เชี่ยวชาญด้านการรีดนมวัวของ อสค. กำลังสาธิตวิธีการที่ถูกต้อง ก่อนนักท่องเที่ยวจะลงมือทดลองกัน
น้ำนมอุ่นๆ จากเต้าแม่โคพันธุ์ดี พุ่งเป็นจังหวะปรี๊ดออกมาตามการบีบเค้นอย่างมืออาชีพ
ถัดจากจุดรีดนมและป้อนนมวัว รถพ่วงก็นำเรามาถึงเวทีแสดงการขี่ม้าตามวิธีโคบาลตะวันตก ฮาฮาฮา สาวสวยของเราขึ้นขี่ควบม้าท้าทายพี่คาวบอย ให้เพื่อนๆ ถ่ายภาพแชร์กันอย่างสนุกสนาน
จุดนี้เขามีโชว์หลากหลายให้ชม ทั้งการควบม้าสไตล์คาวบอยตะวันตก, การควงเชือกบ่วงบาศ, การควงมีด ควงปืน และการเต้นรำกับม้าที่ไม่มีใครเหมือน
โพนี่ (Pony) หรือม้าแคระ เป็นม้าพันธุ์จิ๋ว ซึ่งเมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดไม่สูงใหญ่เท่าม้าพันธุ์อื่น จึงน่ารักน่าชังเหมือนม้าการ์ตูน แต่ก็ต้องระวังเข้าให้ถูกทาง อย่าไปเข้าหาม้าด้านหลัง อาจถูกม้าดีดได้!
มาดสุดเท่ห์ของพี่โคบาลประจำ อสค.
โชว์ขี่ม้าสไตล์คาวบอย ควบกันมันสุดเหวี่ยงจนฝุ่นตลบไปหมด!
โชว์ควงแส้คาวบอย เป็นแส้ที่เมื่อเหวี่ยงไปในอากาศจะทำให้เกิดเสียงดังน่าตกใจ! เพื่อใช้ไล่ต้อนฝูงวัวให้ไปในทิศทางที่ต้องการ
ปิดท้ายกิจกรรมสนุกที่ อสค. กับการลอดบ่วงบาศเข้าไปถ่ายภาพคู่กับพี่คาวบอยสุดเท่ห์ เก๋อย่าบอกใครเชียว
แหล่งท่องเที่ยวสุดท้ายในแคมเปญ ‘ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย’ ในครั้งนี้ คือ ‘วัดพระพุทธฉาย’ อำเภอเมืองสระบุรี ซึ่งมีความเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อยตามความเชื่อของคนท้องถิ่น การเที่ยวให้สุขสนุก แนะนำว่าควรไปในช่วงเช้าหรือบ่ายแก่ๆ ที่แดดไม่ร้อน เพราะบนภูเขานี้ค่อนข้างโล่ง อีกทั้งเป็นหิน เมื่อแดดจัดจ้าจะร้อนมาก การเที่ยวทำได้ 2 วิธี คือจอดรถด้านล่างวัด แล้วเดินขึ้นไปกราบเงาพระพุทธฉาย หรือวิธีที่สอง คือ ขับรถขึ้นเขา เพื่อเดินไปสักการะรอยพระพุทธบาทก่อน จากนั้นค่อยเดินลงลงไปนมัสการเงาพระพุทธฉายที่เชิงเขา
เราใช้วิธีที่สอง คือให้รถขึ้นไปปล่อยตัวบนเขา แล้วค่อยๆ เดินไล่ตามจุดลงมายังเชิงเขา จุดแรกที่พบคือพระมณฑปสีขาวสะอาด ซึ่งภายในประดิษฐานรอยพระพุทธบาทอันเก่าแก่ รายล้อมด้วยต้นลั่นทม (ลีลาวดี) ดอกสีขาว มองเผินๆ วิวคล้ายที่พระนครคีรี หรือเขาวัง จังหวัดเพชรบุรีเหมือนกันเนอะ
ทัศนียภาพบนยอดเขาวัดพระพุทธฉาย มองออกไปชมวิวได้กว้างไกลสุดสายตา
บนยอดเขาอันเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท ด้านนอกมณฑปมีหินรูปแผนที่ประเทศไทยให้ชมด้วย จุดนี้ช่วงกลางวันจะร้อนมาก ต้องรีบขอตัวหลบเข้าไปนมัสการรอยพระพุทธบาทโดยเร็ว!
รอยพระพุทธบาทวัดพระพุทธฉาย อันสีทองที่เห็นนี้คือที่สร้างขึ้นใหม่ ส่วนของเดิมคืออันเล็กที่ปัจจุบันมีการนำแผ่นกระจกมาครอบไว้แล้ว รอยพระพุทธบาทนี้สันนิษฐานกันว่าค้นพบสมัยพระเจ้าทรงธรรม แห่งกรุงศรีอยุธยา ที่ทรงได้รับข้อความจากภิกษุชาวลังกาว่า ในแผ่นดินสุวรรณภูมิมีรอยพระพุทธบาทอยู่บนยอดเขาหลายแห่ง จึงทรงรับสั่งให้มีการค้นหาจนพบรอยพระพุทธบาทบนเขาสุวรรณบรรพตที่สระบุรีก่อน จากนั้นจึงค้นพบรอยพระพุทธบาท ณ วัดพระพุทธฉาย ในภายหลัง
เดินลงมาจากยอดเขาเพียงเล็กน้อย ก็ถึงหอพระ ซึ่งภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ ไว้มากมาย
ด้านหลังหอพระ งามเด่นด้วยพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรขนาดใหญ่ และพุทธศิลป์ที่ประดับตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม
บรรยากาศภายในหอพระ บนเขาวัดพระพุทธฉาย สระบุรี
จากหอพระเดินลงเขามาเรื่อยๆ ไม่เมื่อยขา เพราะเป็นขาลง ฮาฮาฮา ไม่เกิน 10 นาที ก็จะได้สักการะเงาพระพุทธฉายกันแล้ว
เงาพระพุทธฉายอันศักดิ์สิทธิ์ มีลักษณะเป็นแถบสีส้มอมแดงคล้ายพระพุทธเจ้าทรงประทับยืน เหมือนเงาขององค์ท่านทาบประทับอยู่บนหน้าผาหิน ตำนานเล่าว่าในกาลก่อนพระพุทธองค์ทรงเสด็จมา เพื่อโปรดพรานฆาฏกะ จนได้บวชเรียนสำเร็จมรรคผลในร่มบวรพุทธศาสนา ก่อนเสด็จกลับไปชมพูทวีป นายพรานได้ทูลขอสิ่งที่ระลึก พุทธองค์จึงประทานเงาพระพุทธฉาย และรอยพระพุทธบาทเบื้องขวาไว้ให้บนยอดเขานี้
ถ้าไปชมของจริง แล้วเพ่งมองดีๆ เราจะเห็นว่าเงาพระพุทธฉายมีครบทั้งส่วนเศรียรและพระวรกาย โดยในส่วนยอดสุดของพระโมลีที่เป็นเปลวรัศมี ยังมีแผ่นทองคำเปลวที่พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ทรงติดไว้เป็นพุทธบูชา ครั้งเสด็จมานมัสการเงาพระพุทธฉายด้วยพระองค์เอง
ถัดจากเงาพระพุทธฉายไปนิดเดียว ภายใต้เพิงผาหินเดียวกัน เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ ยาวหลายสิบเมตร ซึ่งสร้างขึ้นภายหลัง แต่ตรงจุดนี้ต้องระวัง เพราะมีฝูงลิงกังมาป้วนเปี้ยนวนเวียนอยู่เพียบ ใครที่สะพายข้าวของขึ้นไปด้วยจึงต้องระวังให้ดี
ใกล้กับเงาพระพุทธฉาย มีจารึกพระนามาภิไธยย่อของพระมหากษัตริย์ไทย และพระบรมวงศานุวงศ์จำนวนมากที่สุดในเมืองไทยให้ชม ที่เห็นในภาพ บนสุดคือพระนามาภิไธยของในหลวงรัชกาลที่ 9 เคียงคู่อยู่กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
รอยจำหลักหินพระนามาภิไธยย่อของพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 บนเพิงผาหินใกล้ๆ กับเงาพระพุทธฉาย
เดินลงจากเขากลับไปที่ลานจอดรถด้านล่าง ระหว่างทางอย่าลืมแวะทักทาย ถ่ายภาพความน่ารักของครอบครัวเจ้าจ๋อลิงกัง แต่อย่าเข้าใกล้ล่ะ เพราะมันหวงลูกมากทีเดียว!
วันอันแสนสุขและสนุกกับหลากเรื่องราวของสระบุรี จบลงที่รีสอร์ทแสนสวย ‘มีลา การ์เด็น รีทรีท ค็อทเทจ’ (Mela Garden Retreat Cottage) อำเภอมวกเหล็ก (โทร. 09-0428-0176) ที่พักสุดหรูแสนสะดวกสบายในสไตล์อิตาลีตะวันตก บรรยากาศแสนโรแมนติก เงียบสงบเป็นส่วนตัว และเป็นธรรมชาติสุดๆ โดยคำว่า ‘Mela’ ในภาษาอิตาลี แปลว่า ‘แอปเปิล’ นั่นเอง ภายในรีสอร์ทแห่งนี้จึงมีต้นแอปเปิลปลูกอยู่ด้วย
ห้องพักของมีลา การ์เด็น กว้างขวางใหญ่โต เหมาะสำหรับการมาพักผ่อนกันเป็นครอบครัว
ห้องอาหารของมีลา การ์เด็น หรูเรียบ เด่นด้วยดีไซน์ของไม้และการจัดแสงโทนอุ่น จึงน่านั่งชิลจิบไวน์กันนานๆ
อาหารเช้าที่มีลา การ์เด็น คือสลัดผักแสนอร่อย รับประทานคู่กับน้ำสลัดครีม ตามมาด้วยซุปผักโขม ขนมปังโฮมเมต และเครื่องดื่มร้อนๆ ต้อนรับวันใหม่อันสดใส
ทริป ‘ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย’ ของเรา ปิดฉากลงอย่างชื่นมื่น พร้อมกับรอยยิ้มของทุกคน ที่ได้ใช้เวลามาดูแลกายใจ ดูแลสุขภาพ ทำจิตใจให้มีความสุข หัดเป็นคนคิดบวก เมื่อทำได้แบบนี้แน่นอนว่าร่างกายเราจะปรับตัวสร้างภูมิคุ้มกันโรคร้ายและโชคร้ายได้เอง
เราหวังว่า เรื่องราวดีๆ จากเส้นทางแห่งสุขภาวะอยุธยา-สระบุรี จะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครบางคนที่กำลังค้นหาคำตอบให้กับตัวเองในแง่สุขภาพ ได้เดินทางตามรอย คุณอาจจะค้นพบมิติใหม่ในการดูแลสุขภาพ ไม่ใช่เพื่อตัวคุณเองเท่านั้น ทว่าเพื่อคนรอบข้างที่คุณรักด้วย
Special Thanks : คุณอิสสระพงษ์ แทนศิริ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพระนครศรีอยุธยา (และดูแลพื้นที่สระบุรี) สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจสอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-3524-6076-7



ยุคนี้ใครๆ ก็พูดถึงเรื่องการรักษาสุขภาพกันทั้งนั้น เพราะปัจจุบันสภาพแวดล้อมรอบตัวเราเต็มไปด้วยมลพิษนานาชนิด การหันมาดูแลสุขภาพตัวเองจึงเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ในชีวิตเลยก็ว่าได้ ทั้งเรื่องการออกกำลังกาย การกินอาหารสุขภาพที่ปลอดสารพิษ การคิดบวกทำจิตใจให้ผ่องใสมีความสุข และอื่นๆ
ทริปสุขภาพสำหรับสาวๆ ที่รักการดูแลกายใจ เร่ิมต้นขึ้นที่เมืองสุขภาพ
สำหรับนักท่องเที่ยวที่รักสุขภาพทั่วไป การเยี่ยมชม Wellness Care ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะนอกจากจะได้รับฟังบรรยายเรื่องสุขภาพแล้ว ยังมี 
พระเอกของเมนูสุขภาพที่ Wellness Care ก็คือ 
ดูกันชัดๆ กับพืชสมุนไพรพื้นบ้านไทยที่นำมาปั่นเป็นน้ำคลอโรฟิลด์ได้ง่ายดาย ประโยชน์สูงประหยัดสุดจริงๆ
เมื่อทำ Workshop เสร็จแล้ว ก็ได้เวลาเที่ยงพอดี ทว่าก่อนจะรับประทานอาหารหลัก เราควรกินพืชผักผลไม้ก่อนเพื่อให้ดูดซึมคุณค่าทางอาหารได้ดีที่สุด โดยเฉพาะผักใบเขียวและผักสีเหลืองสีแดงต่างๆ สลัดผักสุขภาพถือเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งจะทำให้เรารับประทานคาร์โบไฮเดรตในปริมาณลดลง ช่วยคุมน้ำหนัก ป้องกันโรคเบาหวานได้ดี
ก่อนรับประทานอาหารหลักที่ Wellness Care เขาเสิร์ฟผักม้วนสุขภาพเรียกน้ำย่อยก่อนเลย จุ๋มจิ๋มน่ารัก อุดมคุณค่าทางอาหารจริงๆ นะ
พ้นจากเมนูเรียกน้ำย่อยแล้ว ก็ถึงอาหารหลักเป็นข้าวกล้องกับอาหารเมนูปลา โดยเฉพาะข้าวกล้อง หรือข้าวไม่ผ่านการขัดสี ทำให้วิตามินในเมล็ดข้าวยังคงอยู่เกือบครบ รับประทานคู่กับปลาต่างๆ เพราะเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย อีกทั้งปลาหลายชนิดยังมีน้ำมันปลาที่ช่วยบำรุงสมอง และป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันได้ดีนักแล
พออิ่มหนำสำราญกับอาหารสุขภาพกันถ้วนหน้าแล้ว ก็ได้เวลาออกไปตระเวนชมอาณาบริเวณของ 

พอป้อนนมลูกแพะจนพวกมันอิ่มแปร้แล้ว ทีนี้ก็ถึงคราวพวกเราอิ่มกันบ้างซิ ได้เวลาชิม 
ส่วนหนึ่งของเมืองสุขภาพครบวงจร
ห้องนอนแสนน่ารัก ใครได้พักเอนกายในห้องนี้ ถ้าไม่มีความสุขหลับฝันดี ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วล่ะ
ห้องรับแขกสีหวาน บรรยกาศโปร่งโล่งสบาย ช่วยเติมเต็มสุขภาพกายใจที่ Wellness City
เมื่อดูแลสุขภาพกายกันเต็มที่จนหน้าใสกันถ้วนหน้าแล้ว เราก็เปลี่ยนบรรยากาศมาดูแลสุขภาพใจกันบ้าง กับการสัมผัสอยุธยาในมุมมองใหม่ ด้วยการล่องเรือชมวิถีชีวิตและวัดวาอารามโบราณริมน้ำ ในบริเวณ 3 เกาะ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง (ค่าเช่าเรือประมาณ 1,000 บาทต่อลำ เรือนั่งได้ไม่เกิน 7 คน) สัมผัสสายน้ำที่ยังใสบริสุทธิ์ อากาศโล่งสบาย หายใจได้เต็มปอด เหมือนการเดินทางย้อนเวลากลับเข้าสู่กรุงเก่าเล่าเรื่องอดีต
ระหว่างล่องเรือ เราจะได้สัมผัสวิถีชีวิตริมน้ำ ผสานกับความร่มรื่นของแมกไม้เขียวครึ้มสองฟากฝั่ง และแน่นอนว่า เรือนไทยโบราณที่บ่งบอกเอกลักษณ์ภาคกลาง ก็จะมีให้ชมตลอดทางเช่นกัน ขณะที่เรือล่องไปอย่างช้าๆ ทำให้รู้สึกว่าเข็มนาฬิกาชีวิตเดินช้าลง เหมือนได้เข้าใกล้วิถีไทยที่สงบร่มเย็น สมแล้วที่อยุธยาเป็นเมืองน้ำ เป็นเกาะที่มีแม่น้ำ 3 สายล้อมรอบ คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี
ล่องเรือมาไม่ถึง 15 นาที เราก็มาถึงวัดแรกบนเกาะลอย คือ
เดินจากท่าน้ำขึ้นมานิดเดียว ก็จะถึงศาลาที่มีรูปเคารพของหลวงปู่ทวดให้สักการะกันเป็นจุดแรก เพื่อความเป็นสิริมงคล
ประวัติของวัดแคราชานุวาสมีบันทึกไว้ไม่ค่อยชัดเจน ที่เล่าสืบต่อกันมาว่า สมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ กษัตริย์องค์ที่ 19 แห่งกรุงศรีอยุธยา ประเทศลังกาต้องการได้กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองขึ้น แต่ไม่ต้องการให้เสียเลือดเนื้อ จึงออกอุบายให้มีการแปลธรรมะภายใน 7 วัน หากไม่มีผู้ใดแปลได้ก็จะเสียกรุง จนถึงคืนวันที่ 6 สมเด็จพระเอกาทศรถทรงพระสุบินว่า จะมีผู้แปลได้ จึงออกตามหาหลวงปู่ทวดที่ธุดงค์จากหัวเมืองพัทลุง ขึ้นมาจำพรรษาอยู่ที่วัดแค เพื่อมาศึกษาพระธรรมวินัย จึงได้นิมนต์ไปแปลธรรมะ จนสามารถช่วยปกป้องบ้านเมืองได้สำเร็จ
ภายในโบสถ์หลังใหม่ของวัดแคราชานุวาส มีภาพจิตกรรมฝาผนังเรื่องราวประวัติตอนต่างๆ ของหลวงปู่ทวด กราบพระขอพรแล้ว อย่าลืมแหงนหน้ามองขึ้นไปชมล่ะ แต่ถ้าไม่เข้าใจ ก็ให้ท่านเจ้าอาวาสอธิบายให้ฟังได้
ภายในโบสถ์หลังใหม่ของวัดแคฯ มีหุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่ทวดให้สักการะ ยิ่งเพ่งพินิจใกล้ๆ ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนท่านมีชีวิตจริงเลยนะ อัศจรรย์มาก!
ภาพจิตรกรรมฝาผนังร่วมสมัย เกี่ยวกับประวัติของหลวงปู่ทวด พระอริยสงฆ์ชื่อดังแห่งปักษ์ใต้ ที่มาช่วยปกป้องกรุงศรีอยุธยาสมัยพระเอกาทศรถ
ด้านนอกโบสถ์หลังใหม่ มี
ใกล้กับท่าน้ำวัดแคฯ มีหอระฆังและบันไดนาคคู่ที่สวยงาม เก่าแก่ ตัวหอระฆังบ่งบอกศิลปะอยุธยาชัดเจน ส่วนบันไดนาคคงสร้างขึ้นมาภายหลังด้วยศิลปะยุคปัจจุบัน
แม่น้ำด้านหน้าวัดแคราชานุวาส ยังใสสะอาดมีฝูงปลาแหวกว่าย และชาวบ้านยังสามารถนำน้ำนี้ไปใช้งานได้เช่นเดียวกับยุคอดีต นี่คือความสงบร่มเย็นของเมืองน้ำอยุธยา
ล่องเรือชิลชิลมาอีกแค่แป๊บเดียว เราก็แวะขึ้นกราบพระในวัดที่ 2 คือ 
พ้นจากท่าน้ำขึ้นมานิดเดียว ก็มีศาลาไทยเปิดโล่ง ประดิษฐาน
ร่องรอยทางโบราณดดีที่ชัดเจนในความเก่าแก่ของวัดมอญ อย่างวัดตองปุแห่งนี้ก็คือ

ไหว้พระขอพร ทำจิตใจห้องผ่องแผ้ว กายใจจะได้ผ่องใส สมกับทริป
นั่งเรือข้ามฝั่งจากวัดตองปุ (ที่อยู่บนเกาะเมือง) มาแค่ไม่กี่อึดใจ เราก็มาถึง
จริงๆ แล้วเกาะลอยนี้ มีมากกว่าการมากราบพระขอพร
จากวัดช่องลมเกาะลอย มองไปเห็นวัดตองปุอยู่ใกล้นิดเดียว และยังได้ชมเขื่อนกั้นน้ำซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานให้ประชาชนบนเกาะลอยด้วย
พระพุทธรูปสีทองด้านหน้าหลวงพ่อขาว คือ
ใกล้ๆ กับวิหารหลวงพ่อขาว มี
ออกจากวัดช่องลมเกาะลอยแล้ว เราก็ได้เวลาล่องเรือกันยาวๆ เกือบ 1 ชั่วโมง เรือหันหัวเร่งเครื่องออกจากลำคลองย่อยเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยาสายหลัก ผ่านวัดสำคัญๆ สองฟากฝั่ง ทั้งวัดหน้าพระเมรุ, วัดพุทไธศวรรย์, วัดไชยวัฒนาราม, เจดีย์สมเด็จพระสุริโยทัย และอีกมากมาย ถ้าเวลาเหลือ และตกลงกับนายท้ายเรือได้ ก็เพิ่มค่าเรือให้เขาหน่อย จะสามารถแวะกราบพระชำระกายใจได้เพิ่มเติม

วันนี้ได้สัมผัสวิถีชาวน้ำอยุธยาแบบลึกซึ้ง รู้สึกเย็นชื่นใจจากสายน้ำที่ยังใสสะอาดไหลไปไม่เคยเปลี่ยน
อีกวัดหนึ่งที่ไม่ควรพลาดชมและสักการะ ในระหว่าง
ภายในบริเวณวัดบางนมโค มีพระเจดีย์ขนาดใหญ่ ศิลปะอยุธยาตอนปลาย สร้างแบบย่อมุมไม้สิบสอง และเหตุที่วัดนี้ได้ชื่อว่า


หลวงพ่อปานมรณะภาพ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 สิริรวมอายุ 63 ปี 43 พรรษา โดยอัฐิธาตุของท่านได้รับการเก็บรักษาไว้ ณ วัดบางนมโคแห่งนี้เอง
ท่าน้ำหน้าวัดบางนมโค อดีตเคยใช้เป็นเส้นทางสัญจรหลัก ทุกวันนี้น้ำยังใสสะอาดดี
ตระเวนเที่ยวอยุธยากันมาตลอดวัน เริ่มเหนื่อยแล้ว วันนี้ขอเลือกพักผ่อนสบายๆ ชิลๆ กลางทุ่งนา ในรีสอร์ทเล็กๆ สไตล์เก๋ไก๋น่ารัก บรรยากาศผ่อนคลายเป็นกันเอง ที่
พาตัวและหัวใจไปค้นพบความสุขแบบเรียบง่าย กับเครื่องดื่มที่เราชอบ นั่งเหม่อมองท้องทุ่งสีเขียว เข้าถึงจิตวิญญาณของเมืองอู่ข้าวอู่น้ำอยุธยาในแบบน่ารักๆ
ด้านข้างพลูธยา รีสอร์ท มีทุ่งนาผืนกว้างที่มองไปเห็นเจดีย์ของวัดใหญ่ชัยมงคลได้ชัดเจน ทั้งวิถีข้าวและวิถีพุทธอยู่ใกล้แค่เอื้อมนิดเดียวเอง มีความสุขเหลือเกิน
แสงยามเย็นเมื่อแดดร่มลมตก อาบไล้ท้องทุ่งและพลูธยา รีสอร์ท ที่พักอุ่นสบายของเราในคืนนี้
หน้าห้องพักมีคูน้ำและดอกบัวบาน เคียงคู่ทุ่งนาสีเขียวและท้องฟ้ากว้างๆ ไม่มีตึกอะไรมาบดบังเลย โปร่งโล่งสบายดีจัง แถมยังมีเสียงกบเขียดร้องเพลงกล่อมด้วย ฮาฮาฮา
พลูธยา รีสอร์ท มีที่พักหลายโซน ทั้งริมนา ริมสระ และริมบึง ให้เลือกตามใจชอบเลยจ้า
ความลงตัวในการผสมผสานความใหม่เก่า จนทำให้พลูธยา รีสอร์ท กลายเป็นที่พักบูติกเล็กๆ ช่วยสร้างมิติใหม่ให้อยุธยาได้มากเลยทีเดียว
ห้องนอนโซนพักริมน้ำของพลูธยา รีสอร์ท ตกแต่งด้วยสไตล์จีน เน้นสีเหลืองแดงโทนสว่างน่าพัก
จุดเด่นอีกอย่างของพลูธยา รีสอร์ท
และที่ขาดไม่ได้ ทำให้พลูธยา รีสอร์ท ครบเครื่อง คือเมนูอาหารไทยที่เสิร์ฟกันเต็มที่ในมื้อเย็น ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกกะปิ ปลาทูทอด แกล้มผักต่างๆ, ต้มกะทิสายบัวปลาทู, ผักทอด, แกงเขียวหวานไก่, มัสมั่นไก่ ฯลฯ เป็นกับข้าวแบบไทยๆ ที่ปู่ย่าตายายเรากินกันมานานนม

ความสนุกความมันในทริปนี้ เร่ิมต้นขึ้นในเขตอุทยานแห่งชาติเขาสก แถวๆ
ทว่าการล่องแพไม้ไผ่คลองศกของสุราษฎร์ฯ เขามีความเก๋ไก๋แบบวิถีไทยที่ไม่เหมือนใครนะครับ เพราะเขามีสโลแกนน่ารักๆ ว่า
การล่องแพไม้ไผ่คลองศกใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ผ่านไปตามลำน้ำที่ไม่ได้ไหลเชี่ยวกรากจนน่ากลัว ทว่าไหลเอื่อยๆ สบายๆ เป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เที่ยวสนุก สองฟากฝั่งอุดมด้วยแมกไม้ร่มรื่น เป็นแนวป่าธรรมชาติบ้าง สลับกับเรือกสวนของชาวบ้านบ้าง แต่ที่ถือว่าเป็นพระเอกของเส้นทางนี้จริงๆ สำหรับผม ก็คือเทือกเขาหินปูนไงครับ เพราะลำน้ำบางช่วงบีบแคบ มีโตรกผาหรือแท่งหินปูนยืนตระหง่านอยู่ใกล้ๆ เลย ถ่ายภาพได้สวยสุดๆ
แพไม้ไผ่ของคลองศกนั่งสบาย มีเก้าอี้ไม้เตี้ยๆ ให้ ไม่ต้องนั่งตูดเปียกบนแพ การล่องก็ไม่ได้ใช้เครื่องยนต์ แต่ใช้ไม้ไผ่ค้ำถ่อไปเรื่อยๆ ไม่เร่งร้อน แบบ
พอล่องแพมาได้ประมาณ 15 นาที ยังไม่ทันจะเหนื่อย (จะเหนื่อยได้ไง ก็เรานั่งเฉยๆ ไม่ได้ถ่อแพเอง ฮาฮาฮา) เขาก็จอดแวะริมตลิ่ง นำเราเดินขึ้นไปยัง
รอยยิ้มของเจ้าบ้านและผู้มาเยือน ในซุ้มกาแฟกลางป่า จุดแวะระหว่างล่องแพไม้ไผ่คลองศกจ้า
ล่องแพน้ำใส ดื่มกาแฟร้อนๆ ในกระบอกไม้ไผ่ สุขใจ เติมเต็มพลังชีวิตด้วยความบริสุทธิ์ของธรรมชาติรอบข้าง นี่ล่ะของขวัญให้ชีวิต
จากจุดซุ้มกาแฟกลางป่า ต่อไปก็เป็นการล่องแพยาวๆ กันเลย ปล่อยให้ตัวและหัวใจของเราไหลไปพร้อมสายน้ำสีเขียวมรกตของลำคลองศก ซึ่งเกิดจากความอุดมของป่าอุทยานแห่งชาติเขาสก สีเขียวของแมกไม้น้อยใหญ่ จะทำให้หัวใจชุ่มชื่น ได้รับรู้ถึงกลิ่นอายและสรรพสำเนียงของธรรมชาติ ลองปิดมือถือ ทิ้งชีวิตวุ่นวายแบบเมืองใหญ่ไว้เบื้องหลักสักพักก็ดีนะ
ระหว่างล่องแพ นอกจากการชมวิวและถ่ายภาพแล้ว ใครติดกล้องส่องทางไกลไปด้วย ก็จะได้มีโอกาสดูนกหลายชนิดที่เข้ามาหากินคลายร้อนใกล้น้ำครับ
หลังจากล่องแพเสร็จเรียบร้อยแล้ว ใครเหนื่อยก็ Check In เข้าที่พักเอาแรง หรือใครยังฟิตปั๋ง ก็จะให้ไกด์นำทางไปเดินป่าตามหาดอกบัวผุดเขาสก ก็ได้เลย เอาที่สบายใจจ้า
หลังจากเพลิดเพลินกับการล่องแพคลองศกกันอย่างชุ่มฉ่ำ และพักเอาแรงเต็มที่แล้วหนึ่งคืน ผมก็ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ รีบไปกางขาตั้งกล้องรอแสงแรกของตะวันเบิกฟ้าที่
เราเติมความสุขของเช้าอันสดใสที่เขาสก ด้วยการไปหม่ำอาหารเช้าอร่อยๆ แนวสุขภาพ กันที่
นี่หรือคือเขาสก? คำตอบคือใช่ เพราะ
ว่ายน้ำกับ Mountain View หรือ Rainforest View สุดเจ๋ง จะหาได้ที่ไหนไม่มีอีกแล้ว!
และวันนี้ในแถบอุทยานแห่งชาติเขาสก ก็มีที่พักเก๋ไก๋เปิดใหม่ให้บริการอีกมากมาย แต่ละแห่งล้วนดึงจุดเด่นของป่าฝนและการพักผ่อนอย่างใกล้ชิด กลมกลืนกับธรรมชาติ มาให้เราสัมผัส
มาถึงอีกหนึ่งไฮไลท์ของการเดินทางทริปนี้ คือ
โชคดีเหลือเกิน การเดินทางในครั้งนี้มีดอกบัวผุดบานพอดี
เส้นทางดูดอกบัวผุดนี้ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ในที่สุดเราก็ได้ตื่นตะลึงกับพืชพิศวง 
ดูกันชัดๆ ครับ สำหรับหัวตูมของดอกบัวผุดที่งอกขึ้นมาจากเถาย่านไก่ต้ม แต่ใช่ว่าทุกหัวจะรอดไปบานจนผสมพันธุ์ได้นะครับ เพราะบางหัวเน่าในจากความชื้นเกินพอดี และบางหัวก็ถูกสัตว์หรือแมลงป่าเจาะจนเน่า
บัวผุดพันธุ์ไทยนี้
กลับลงมาจากภูเขาพร้อมกับความสุข ที่ได้เห็นดอกบัวผุดอีกครั้ง วันนี้เราเข้าไปเที่ยวที่ทำการของอุทยานแห่งชาติเขาสกด้วย เพราะตรงกับช่วงจัดงาน 
การประกวดวาดภาพบัวผุด ของเด็กๆ ในงาน
อันที่จริงแล้วป่าเขาสกมีเนื้อที่กว้างขวางกว่า 4 แสนไร่ โดยแบ่งเป็น ภาคพื้นดิน และภาคพื้นน้ำ
เขื่อนเชี่ยวหลานมีเนื้อที่กว้างขวางมาก ตลอดการล่องเรือเราจะได้ประจักษ์ถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ที่ก่อเกิดทุกสรรพสิ่งขึ้นมา ภูมิทัศน์โดดเด่นของบริเวณนี้คือ
จอดเรือแวะชมธรรมชาติให้เต็มอิ่ม ที่หินสามเกลอ
จากหินสามเกลอนั่งเรือหางยาวต่อมาแค่ไม่กี่อึดใจ ก็ถึงแพนางไพรแล้ว เป็นที่พักเรียบง่าย ใกล้ชิดธรรมชาติ เล่นน้ำ พายเรือ ได้ชุ่มฉ่ำสมใจอยาก
ฝูงปลานับร้อยแหวกว่ายในน้ำใสสีมรกตของเขื่อนเชี่ยวหลาน ที่น้ำเป็นสีเขียวมรกตแบบนี้ เป็นเพราะสารแคลเซียมคาร์บอเนตในหินปูนโดยรอบนั่นเอง
การมาเที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน ไม่มีแสงสี ไม่มีร้านสะดวกซื้อ ไม่มีคาราโอเกะ มีแต่ความพิสุทธิ์ของธรรมชาติยิ่งใหญ่เบื้องหน้าให้ซึมซับ นักท่องเที่ยวที่จะมาจึงเป็นกลุ่มรักธรรมชาติ นักนิยมไพร ผู้ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายในเมือง แต่กิจกรรมเขาไม่ได้มีแค่เล่นน้ำ พายเรือเท่านั้น ยังมีการเดินป่าขึ้นจุดชมวิว, เที่ยวถ้ำน้ำทะลุ ถ้ำปะการัง, เดินป่าเข้าไปดูนกเงือกในแพทะเลใน 500 ไร่ และอื่นๆ อีกมากมาย
เขาสกวันนี้มีมากกว่าที่คิด เมื่อเราได้เข้าไปเยี่ยมชม
ความเจ๋ง ความชิลของปางช้าง
พี่ควาญช้างใจดีชาวปกากะญอ จากอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดเชียงราย เดินทางตรงมาดูแลพี่ช้างให้มีความสุข
เดิมทีพื้นที่แถบบ้านถ้ำผึ้งเป็นป่าดงดิบรกทึบ และเป็นป่าต้นน้ำอุดมสมบูรณ์ กระทั่งปี พ.ศ.2503 ก็เริ่มมีผู้คนเข้ามาอยู่อาศัย ทำสวนผลไม้และเกษตรกรรม จนทุกวันนี้มีประชากรกว่า 1,200 คนแล้ว โดยชื่อ
แกงส้มปลากะพงยอดมะพร้าวอ่อน
น้ำพริกกะปิ (คนใต้เรียก น้ำชุบ) กินกับผักเหนาะนานาชนิดตามฤดูกาล ทั้งอร่อยและเปี่ยมคุณค่าอาหาร
ผักต้มกะทิ เอาไว้ซดน้ำคล่องคอสไตล์ปักษ์ใต้บ้านเรา
ความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของสุราษฎร์ธานียังไม่จบสิ้น และเกินความคาดหมายของเราเสมอ! คราวนี้ได้เปิดหูเปิดตามาชมแหล่งใหม่ที่
จากเชิงเขาต้องนั่งรถกระบะขึ้นไปก่อน ตอนไปเที่ยวโชคดีป่ายางรอบๆ กำลังผลัดใบช่วงต้นฤดูร้อน ทำให้ผืนป่าแถวนี้กลายเป็นสีเหลืองสีแดง คล้ายป่าผลัดใบในต่างประเทศเลย ฮาฮาฮา นี่ก็
ป่ายางผลัดใบระหว่างทางขึ้นไปชมหินพัดบ้านยวนสาว
ถึงแล้ว 
จากจุดที่หินพัดตั้งอยู่ มองออกไปเบื้องหน้าจะเห็นวิวภูเขา ป่ายางผลัดใบ ได้กว้างไกลสุดสายตา แหม… วันนี้น้องสาวคนสวย ขอกอดหินพัดให้มีความสุขสักครั้ง
จากแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่เราเข้าไปสัมผัสกันแบบลึกซึ้งถึงพริกถึงขิงเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็ถึงคิวเปลี่ยนบรรยากาศ ไปกราบพระขอพร ตื่นตากับสถาปัตยกรรมพุทธศิลป์ที่ไม่เหมือนใครกันบ้าง ณ

วันที่ผมไปเที่ยว เวลาค่อนข้างน้อย จึงเลือกเดินขึ้นไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุบนเจดีย์ลอยฟ้าองค์ที่ 2 เท่านั้น โดยทางขึ้นแม้จะดูชัน แต่ก็มีการสร้างเป็นบันไดคอนกรีตพร้อมราวเหล็กให้จับกันตกอย่างดี มีจุดพักเป็นช่วงๆ ไม่น่าหวาดเสียว แต่ด้วยทางเดินที่แคบ จึงต้องหลบกันเป็นช่วงๆ ยิ่งเดินสูงขึ้นวิวก็ย่ิงตระการตา เผยภูมิทัศน์ที่แท้จริงของอุทยานธรรมเขานาในหลวงให้เห็น คือเป็นหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยยอดเขาหินปูนมากมาย
ใช้เวลาแค่ 15-20 นาที เหงื่อยังไม่ทันชุ่มหลัง ผมก็ลุขึ้นถึงยอดเขาอันเป็นที่ประดิษฐานพระมหาเจดีย์ลอยฟ้าองค์ที่ 2 นามว่า 


ก่อนกลับบ้านในทริปนี้ เราเก็บความทรงจำดีๆ ของป่าเขาสก และสถานที่น่าสนใจอีกหลายแหล่งแห่งที่ไว้ในใจ จากนั้นก็เดินทางกลับเข้าสู่ตัวเมืองสุราษฎร์ธานี แน่นอนว่า 
อีกหนึ่งสถานที่สำคัญทางศาสนา ซึ่ง ททท. สำนักงานสุราฎษร์ธานีเคยชวนมาเที่ยว ในโครงการ 5 ศาลเจ้า 9 วัด และยังคงอยู่ในความสนใจของผู้ศรัทธาอย่างไม่เสื่อมคลายก็คือ
ความงามของพระโพธิสัตว์กวนอิมหินแกรนิตขาว อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี
ปิดท้ายทริปเที่ยวสุราษฎร์ฯ เก๋ไก๋สไตล์ลึกซึ้ง กับของกินอร่อยๆ ขึ้นชื่อมานาน นั่นคือ
ไปชิมกุ้งแม่น้ำกันที่
เมนูขึ้นชื่ออีกอย่างของร้านบางปึก คือ
เมื่ออิ่มจากของคาวแล้ว ก็ล้างปากด้วย
ปิดท้ายทริปกับ


ด้วยพระอัจฉริยภาพและสายพระเนตรอันยาวไกล ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เขื่อนภูมิพลแห่งนี้จึงถือกำเนิดขึ้น เป็นเขื่อนที่กักเก็บน้ำได้มากถึง
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เพื่อเป็นการถวายพระอาลัย และรำลึกถึงพระองค์ท่าน จังหวัดตาก โดย ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เขื่อนภูมิพล (ท่านผู้อำนวยการเขื่อนภูมิพล นายณัฐวุฒิ แจ่มแจ้ง) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จึงร่วมกันจัดงานยิ่งใหญ่
ในยามค่ำของวันที่ 28 มกราคม 2560 มีพิธีแสดงความรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ด้วยการจุดเทียนชัย และร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญถวายพระองค์ท่าน พระผู้เป็นที่รักของปวงชนชาวไทย และจะทรงสถิตอยู่ในใจเราตลอดไป
บรรยากาศการจุดเทียนชัย ในงาน
ไฮไลท์ของงานนี้ คือการร่วกันรับฟังบทเพลงพระราชนิพนธ์ อันแสนไพเราะและซาบซึ้ง จากวงดุริยางค์ทหารเรือ ซึ่งยกทัพนักดนตรีกันมานับร้อยชีวิต
ขอบรรเลงเพลงนี้ เพื่อถวายพระองค์ท่าน พระผู้ทรงสถิตอยู่บนสวรรคาลัย
นอกจากนี้ ในงานยังมีการแสดงหลายชุด ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันให้ชม ตั้งแต่วันที่ 28-30 มกราคม 2560 ทุกชุดล้วนน่าตื่นตาตื่นใจ และบ่งบอกถึงความรักที่ชาวจังหวัดตาก มีต่อพ่อหลวง และพร้อมสานต่อคำสอนของพระองค์ท่าน ด้วยการทำดีต่อไปไม่สิ้นสุด
เมื่อรับชมดนตรีไพเราะในยามค่ำกันอย่างซาบซึ้งแล้ว ในรุ่งเช้าของวันถัดไป หากใครมีเวลาเหลือ สิ่งที่ห้ามพลาดเด็ดขาดคือ การเดินเที่ยวชมวิวสวยๆ พร้อมกับสูดอากาศสดชื่นเย็นสบายบนสันเขื่อนภูมิพลในยามเช้า มองออกไปจะเห็นทะเลสาบสีฟ้าครามกว้างไกลสุดสายตาเหนือสันเขื่อน พร้อมด้วยเกาะต่างๆ มีเรือและแพนักท่องเที่ยวที่แล่นออกไปหาความสำราญกันได้ทั้ง 365 วัน
บริเวณท่าเรือของเขื่อนภูมิพล มีจุดลงแพและเรือหางยาว เพื่อการล่องเข้าไปเที่ยวชมทัศนียภาพได้ ทั้งแบบสองสามชั่วโมง เป็น One Day Trip หรือจะไปค้างคืนในแพกลางเขื่อนเลยก็ได้ หรือถ้าใครมีเวลามากหน่อย แพสามารถแล่นไปได้จนถึงบริเวณทะเลสาบดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ เลยล่ะ
การล่องแพค้างคืนในเขื่อนภูมิพล เป็นกิจกรรมยอดฮิตอย่างหนึ่ง เพราะด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติ มองเห็นเทือกเขาโดยรอบ อีกทั้งอากาศเย็นสบายจากผืนน้ำสร้างความชุ่มฉ่ำให้กับจิตใจ เป็นการท่องเที่ยวแบบ Slow Life ที่น่าไปสัมผัสอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่ฟ้าแจ่มใส หรือในฤดูร้อนก็จะผ่อนคลายกายใจได้ดีเยี่ยม
สำหรับการล่องเรือหางยาวเที่ยว ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที คงจะไม่มีอะไรดีไปกว่า การไปเที่ยวที่
บนเขาหน่อมีพระเจดีย์ขนาดใหญ่อยู่ 3 กลุ่ม พร้อมด้วยรอยพระพุทธบาทจำลองให้ผู้ศรัทธาได้กราบไหว้
เดิมบริเวณเขาหน่อตรงนี้ คือจุดที่แม่น้ำปิงสายเดิมเคยไหลผ่าน ก่อนที่จะมีการกั้นลำน้ำเพื่อสร้างเขื่อนภูมิพลจนน้ำเอ่อท้นท่วมขึ้นมา
เมื่อจอดเรือหางยาวแล้ว ก็ต้องออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อขา เดินขึ้นบันไดชิลชิลแค่ 300 ขั้น ขึ้นสู่ยอดเขาหน่อ ขอบอกว่าไม่ต้องรีบ เพราะเรือหางยาวเขารอแน่นอน ไม่ทิ้งเราไปไหน ค่อยๆ เดิน ค่อยๆ หยุดถ่ายภาพชมวิวไปเป็นระยะๆ และขอแนะนำให้พกน้ำขวดเล็กๆ ขึ้นไปด้วย เพราะบนยอดเขาไม่มีน้ำขายนะจ๊ะ
ถึงแล้ว ยอดเขาหน่อ โชคดีมาเที่ยวในฤดูหนาว จึงมองเห็นต้นไม้ต่างๆ เริ่มผลัดใบสีสันสดใส เพื่อเตรียมพักตัวเข้าฤดูแล้ง จากบนยอดเขานี้สามารถมองเห็นอ่างเก็บน้ำ ผืนป่า ทิวเขา และองค์พระเจดีย์ เรียงรายอยู่ในตำแหน่งสวยงามลงตัว ถ้าไม่เดินขึ้นมาคงเสียดายแย่!
จากยอดเขาหน่อ มองลงไปในทะเลสาบเหนือเขื่อนภูมิพล แลเห็นแสงแดดอุ่นๆ ของยามเช้าสะท้อนผิวน้ำเต้นเป็นประกายระยิบ สลับกับริ้วลายคลื่นน้ำไล่โทนสีไปมา ราวกับภาพศิลปะชั้นเลิศ
ความงามของวิวทะเลสาบเขื่อนภูมิพล มองจากยอดเขาหน่อไปทางทิศตะวันตก
บนยอดเขาหน่อมีทางเดินลาดปูนอย่างดี เชื่อมต่อองค์พระเจดีย์ทั้ง 3 กลุ่ม เข้าด้วยกัน
เสาอโศกบนยอดเขาหน่อ บ่งบอกถึงพระพุทธศาสนาที่ตั้งมั่นอยู่ในดินแดนนี้ และสร้างสิริมงคลแด่เขื่อนภูมิพลตลอดไป
รอยพระพุทธบาทจำลองบนยอดเขาหน่อ แม้มีขนาดไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็งดงาม และสะท้อนถึงความศรัทธาของผู้คนได้เป็นอย่างดี
หลังจากฟังเพลงพระราชนิพนธ์อันสุดแสนจะไพเราะ และล่องเรือเที่ยวเขื่อนภูมิพลกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางออกเที่ยวชมความมหัศจรรย์อันหลากหลาย ของจังหวัดตากไปที่
ก่อนไปชมไม้กลายเป็นหินของจริง ก็ควรเข้าไปที่
หัวหน้าอุทยานแห่งชาติไม้กลายเป็นหิน นำคณะนักท่องเที่ยวและผู้ศึกษาดูงาน เข้าชมจุดที่ขุดค้นพบซากฟอสซิลไม้กลายเป็นหิน ซึ่งปัจจุบันกรมทรัพยากรธรณีได้เข้ามามีส่วนร่วมบูรณะ จัดภูมิทัศน์ และรักษาสภาพไม้กลายเป็นหินไม่ให้ถูกแดดลมจนเสื่อมสภาพไป ในอนาคตเราหวังว่า อุทยานแห่งชาติไม้กลายเป็นหิน คงจะได้รับการประกาศให้เป็น
ปัจจุบันนี้มีการขุดค้นและเปิดให้ชมไม้กลายเป็นหินได้แล้ว 7 ต้น เป็นต้นไม้ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับ
ไม้กลายเป็นหินถือเป็นฟอสซิล หรือซากโบราณคดีทางธรณีวิทยาบรรพกาลที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง นับเป็นสมบัติล้ำค่าของชาติ ที่เราต้องช่วยกันปกปักรักษา และทำให้จุดนี้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ทางธรณีวิทยาระดับโลก
ซากฟอสซิลไม้กลายเป็นหิน ต้นนี้คือต้นทองบึ้ง ที่ยาวกว่า 70 เมตร
จุดชมต้นไม้กลายเป็นหินทั้ง 7 ต้น ที่เปิดให้ชมแล้ว มีการสร้าง Walk Board หรือสะพานไม้ยกระดับเตี้ยๆ เชื่อมต่อถึงกันในต้นที่ 1-4 ผ่านป่าเต็งรังอุดมสมบูรณ์ ได้ศึกษาพรรณมไม้ นก และผีเสื้อสวยๆ หลายชนิด ส่วนไม้กลายเป็นหินต้นที่ 5-7 ต้องนั่งรถยนต์ไปชม เพราะตั้งอยู่ห่างออกไปจากจุดนี้
พรรณไม้ในป่าเต็งรังเร่ิมผลัดใบสีสันสดใสในปลายฤดูแล้ง
จากความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ เราลองมาสัมผัสเรื่องราวของประวัติศาสตร์และศาสนากันบ้าง จุดแรกที่แนะนำคือ
ภายในศาล มีรูปหล่อพระบรมรูปของพระองค์ท่านในพระอิริยาบถประทับอยู่บนราชอาสน์ มีพระแสงดาบพาดอยู่ที่พระเพลา ที่ฐานพระบรมรูปมีคำจารึกว่า
ส่วนบนเพดานและผนังภายในศาล มีภาพจิตรกรรมฝาผนังอันงดงาม แสดงเหตุการณ์สำคัญๆ ในรัชสมัยของพระองค์ท่าน เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ
สถานที่ต่อไปที่น่าไปเยือนก็คือ 
ภายในโบสถ์ของวัดชลประทานรังสรรค์ ประดิษฐาน 
จากวัดชลประทานรังสรรค์ เราสามารถนั่งรถต่อไปสู่ 


ตระเวนเที่ยวตากกันมาก็หลายที่ ตอนนี้ท้องชักจะเร่ิมหิว ได้เวลาขับรถชิลชิลข้ามแม่น้ำปิงกลับเข้าตัวเมือง พอดีในช่วงปลายฤดูหนาว เมื่อลำน้ำปิงลดระดับลง ก็จะเกิดเกาะกลางน้ำที่เกิดจากตะกอนอันอุดมสมบูรณ์ทับถม แต่ชาวตากเขาทำเก๋ ไม่ปล่อยให้ที่ดินสูญเปล่า ชวนกันเพิ่มคุณค่าด้วยการปลูกดอกไม้สวยๆ บนเกาะกลางน้ำ จนกลายเป็น 
ร้านแรกที่เราจะพาไปชิม ขอบอกว่าต้องถูกใจวันรุ่น GEN Y อย่างแน่นอน ชื่อร้าน 
ร้านนี้ไม่ได้มีแต่เบเกอร์รี่สไตล์ฝรั่งเศสแท้ๆ ให้ชิมเท่านั้น แต่ยังมีอาหารหลักอร่อยๆ รสชาติไม่ธรรมดาให้ชิมด้วย มีทั้งโซน Outdoor รับลมธรรมชาติ และโซน Indoor ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ ให้นั่งชิลได้นานๆ
เมนูหลักอย่างหนึ่งที่ถือเป็น Signature ของร้านนี้ คือ
แต่ถ้าใครอยากอุดหนุนอาหารพื้นบ้านของตาก ก็ต้องไม่พลาดชิมเมนูเด็ด 



ภายในงานนี้ เราจะได้สัมผัสกับไดโนเสาร์ไทย ที่มีการสำรวจพบชนิดใหม่สกุลใหม่ถึง 9 สายพันธุ์ อาทิเช่น
สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 


ลองมาชิม ลาบยโสธรแท้ๆ ที่ต้องใช้คำว่า


สำหรับราคาขายในงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2560 มหาลาภลดพิเศษเหลือเมนูละ 60 บาทเท่านั้น ส่วนคนที่พลาดชิม ก็ไม่เป็นไร ตามไปกินได้ที่ร้านแม่อ้อมลาบเป็ด ในราคาย่อมเยาเพียง เมนูละ 70 บาทเท่านั้นจ้า
ลูกค้าเข้าร้านตลอดวัน เพราะอยากชิมว่าลาบยโสธรแท้ๆ รสชาติจะเป็นอย่างไรนะ
แม้แต่พี่ฝรั่ง ก็ยังชื่นชอบลาบยโสธรเลยจ้า
รีบมาเลย ที่ลานแซ่บนัวภาคอีสาน งานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2560 จ้า
ส่วนใครที่ยังติดใจในรสชาติ
ไปร่วมแห่บังไฟที่วัดบ้านกว้าง ท่าเยี่ยม จ.ยโสธร กับชาวบ้านน่ารักๆ เปี่ยมน้ำใจไมตรี
บั้งไฟบ้านกว้างท่าเยี่ยม
ในช่วงฤดูทำนา จะมีพิธีทำขวัญข้าว บูชาพระแม่โพสพ ให้ชมด้วย
ความสงบงาม แบบ Slow Life ของผืนนาเขียวขจี ที่บ้านกว้าง ท่าเยี่ยม จ.ยโสธร
วิถีชาวบ้านอีสาน ณ บ้านกว้าง ท่าเยี่ยม ยังยึดถือฮีต 12 คอง 14 อย่างเหนียวแน่น น่าชื่นชม


เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2560 

ในการประชุมครั้งนี้


ในส่วนของ
ท่านที่สนใจกิจกรรมด้านต่างๆ ของ 





























ไม่น่าเชื่อเลยว่าประเทศไทยเราจะเป็น 1 ใน 3 ประเทศที่ส่งออกรังนกมากที่สุดในโลก! และไม่น่าเชื่ออีกเช่นกันว่า รังนกคุณภาพดีที่สุดในโลกนั้นมาจากประเทศไทยนี่เอง! โดยเแหล่งผลิตที่ดีที่สุด อยู่ที่

พัทลุงเป็นเมืองเงียบเรียบง่าย กินอยู่สบาย เที่ยวสนุก อากาศก็ดีตลอดปี เพราะมีลมเย็นจากทะเลน้อย และทะเลสาบสงขลาพัดโชยมาชื่นใจ คนพัทลุงเขาน่าอิจฉามีที่เที่ยวนั่งพักผ่อนปิกนิกกันเยอะแยะ โดยเฉพาะ

ศาสนสถานสำคัญที่ตั้งอยู่กลางเมืองพัทลุงมาตั้งแต่ยุคโบราณก็คือ


แม้จะเป็นวัดเล็กๆ แต่









มาถึงทะเลน้อยทั้งที ต้องชิม 
(1) Tigerland Farm จ.เชียงราย



















