เที่ยวในประเทศ

Thailand International Balloon Festival 2013

2

3

ในชีวิตคนเดินดินธรรมดาๆ อย่างเรา จะมีโอกาสสักกี่ครั้งที่ได้ขึ้นไปบินอยู่บนท้องฟ้า มองโลกกลับลงมาจากมุมมองของวิหค การนั่งเครื่องบินก็ถือว่าใช่ แต่ยังมีกระจกหน้าต่างเครื่องบินเป็นอุปสรรคขวางกั้นเรากับท้องฟ้าภายนอก จะมีพาหนะใดรึเปล่านะ ที่พาเราขึ้นไปลอยละลิ่วอยู่บนฟากฟ้า โดยไม่มีอะไรกั้นตัวเรากับมวลอากาศเบื้องบนไว้เลย? นี่คงเป็นความฝันของใครหลายๆ คน เช่นเดียวกับตัวผมที่ฝันว่าอยากบินได้เหมือนนกมาตั้งแต่เด็กแล้ว

4

เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปี ในที่สุดความฝันของผมก็เป็นจริง! เมื่อ บริษัท เอิร์ท วินด์ แอนด์ ไฟร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการบินบอลลูนเพื่อการท่องเที่ยวหนึ่งเดียวในเมืองไทย มีฐานอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยพันธมิตรหลายภาคส่วนทั้งรัฐและเอกชน ร่วมกันจัดงาน Thailand International Balloon Festival 2013 ขึ้น ณ จังหวัดเชียงใหม่ อันเป็นโลเกชั่นที่มีภูมิประเทศสวยงาม อากาศเย็นสบาย โดยในปีนี้เป็นการจัดงานบอลลูนนานาชาติในเมืองไทยครั้งที่ 7 แล้ว เช่นเดียวกับ 6 ครั้งที่ผ่านไป นับว่าประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม ได้รับการตอบรับอย่างดี ทั้งในส่วนของผู้เข้าร่วมจัดงาน นักท่องเที่ยวไทยและเทศ รวมถึงนักบินบอลลูนมืออาชีพจากทั่วโลก ซึ่งในครั้งที่ 7 นี้ มีนักบินบอลลูนจาก 8 ประเทศเข้าร่วม ทั้งสเปน, รัสเซีย, โครเอเชีย, อังกฤษ, มาเลเซีย, เยอรมนี, เบลเยี่ยม และไทย พร้อมด้วยบอลลูนกว่า 15 ลูก เป็นบอลลูนลูกใหญ่ 10 ลูก และบอลลูนลูกเล็กอีก 5 ลูก มาช่วยกันสร้างสีสัน ให้น่านฟ้าเชียงใหม่มีชีวิตชีวา พาให้ชาวเมืองเชียงใหม่ตื่นเต้น ขานรับการมาถึงของพาหนะลอยฟ้าแสนน่ารัก

5

การบินบอลลูนเริ่มต้นขึ้นในเวลาเช้าตรู่ประมาณ 05.30 น. เมื่อนักบินและลูกทีมเร่งนำบอลลูนของตน มากางออกบนพื้นสนามหญ้า จากนั้นใช้พัดลมขนาดใหญ่เป่าลมเย็นเข้าไปให้บอลลูนพองตัวออกพอเป็นรูปทรง เมื่อพองได้ที่ ก็ถึงเวลาเป่าลมร้อนเข้าไปให้ลูกบอลลูนพองเต็มที่แล้วเริ่มตั้งขึ้น โดยก๊าซที่ใช้เป่าเข้าไปในลูกบอลลูนคือ ก๊าซ LPG (Liquid Petroleum Gas) หรือก๊าซหุงต้ม เหมือนที่ใช้กันอยู่ในครัวบ้านเรานี่เองครับ ซึ่งเขาวิจัยกันมาแล้วว่าปลอดภัย

6

“บอลลูนลมร้อน” หรือ Hot Air Balloon” ถือเป็นพาหนะเก่าแก่ที่สุดซึ่งสามารถพามนุษย์บินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้สำเร็จอย่างปลอดภัย ก่อนที่จะมีการประดิษฐ์ปีกและเครื่องบิน โดยการบินบอลลูนครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1783 เหนือน่านฟ้ามหานครปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดย 2 นักบิน คือ Jean-François Pilâtre de Rozier และ François Laurent d’Arlandes ต่อมาการบินบอลลูนก็ได้พัฒนากลายเป็นกีฬา, ภารกิจเพื่อการทหาร, การขนส่ง, การท่องเที่ยว, เพื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ และอื่นๆ อีกหลายจุดประสงค์ เราต้องถือว่าบอลลูนลมร้อนเป็นพาหนะที่พิเศษสุดๆ เพราะเป็นพาหนะชนิดเดียวในโลก ที่เมื่อขึ้นบินแล้ว ไม่สามารถบอกได้ว่าจะร่อนลงจอดที่ใด!? เนื่องจากต้องอาศัยกระแสลมเป็นตัวพัดพาไปเท่านั้น การเลือกสถานที่และฤดูกาลในการบินบอลลูนลมร้อน จึงต้องพิถีพิถันสรรหากันอย่างถี่ถ้วนเพื่อความปลอดภัย

7

8

9

เมื่อก๊าซร้อนอัดเข้าไปในลูกบอลลูนจนเต็มพิกัด ก็ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งบอลลูนไม่ให้ลอยขึ้นได้อีกต่อไป ลูกบอลลูนของผมค่อยๆ ลอยสูงขึ้นจากพื้นโลกอย่างช้าๆ จาก 5 เมตร เป็น 10 เมตร เป็น 100 เมตร จนกลายเป็นหลายร้อยเมตรในที่สุด! เรามองเห็นยอดไม้ทอดต่อเนื่องไปเป็นผืนพรมสีเขียวอยู่เบื้องล่าง มองเห็นตัวคน วัดวาอาราม บ้านเรือน รถยนต์ กลายเป็นขนาดเล็กจิ๋วราวกับของเล่นเด็ก ตอนบอลลูนลอยสูงขึ้นทีแรกใจเริ่มหวิวๆ แต่สัก 10 นาที ก็ปรับตัวได้ ผมตื่นเต้นสุดๆ กับวิวพาโนรามา 360 องศารอบตัวที่มองเห็น ตัวเมืองเชียงใหม่ยามเช้าช่างสงบงาม แลเห็นสายหมอกขาวลอยคลอเคลียดอยสุเทพ วัด เจดีย์ แม่น้ำปิง บ้านเรือน   ป่าไม้ และทุ่งข้าวสีทองที่เก็บเกี่ยวไปแล้วบางส่วน เมื่อมองไปทางทิศตะวันออก อาทิตย์ดวงกลมโตค่อยๆ ลอยเด่นขึ้น เห็นกลุ่มบอลลูนน้อยใหญ่ลอยละลิ่วไปตามแรงลม ช่างเป็นภาพมหัศจรรย์จริงๆ

10

ใช้เวลาบินอยู่เหนือน่านฟ้าเชียงใหม่กว่า 1 ชั่วโมง ผมก็ร่อนลงในทุ่งข้าวอำเภอสารภีอย่างปลอดภัย แต่ที่สนุกมากอีกอย่างคือ การช่วยนักบินเก็บบอลลูนขึ้นรถกลับนี่สิ ทั้งสนุกทั้งเหนื่อยมาก ได้รสชาติของชีวิต   นี่คือหนึ่งประสบการณ์ที่ผมจะต้องจดจำไป อีกนานแสนนาน

11

12

13

14

15

16

17

18

19

ไฮไลท์ของงานไม่ได้อยู่ที่การขึ้นบินบอลลูนชมเมืองเชียงใหม่เท่านั้น ทว่าในบริเวณงาน ช่วงเย็นยังมีการจัดแสดงบอลลูนเรืองแสง (Balloon Night Glow) ประกอบแสงสีเสียงและการจุดพลุสุดอลังการ พร้อมด้วยการคัดเลือกผู้โชคดี 100 คนในงาน ให้ได้ขึ้นบอลลูนผูกยึดอยู่กับที่ (Tethered Balloon) โดยลอยสูงขึ้นจากพื้นประมาณ 5-10 เมตร นอกจากนี้ยังมีการแสดงมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชั้นนำ ปาล์มมี่, ฮิวโก้, การ์ธ เทย์เลอร์ จากเมืองโจฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้ ฯลฯ สร้างสรรค์ให้งานทั้งสนุกและน่าชม

20

21

22

23

24

25

Traveler’s Guide

When to go : งานบอลลูนนานาชาติในประเทศไทย จัดเป็นประจำทุกปีช่วงฤดูหนาว ประมาณเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม โดยเปลี่ยนสถานที่จัดงานไปเรื่อยๆ ตามความเหมาะสม แต่ดูเหมือนว่าจะจัดที่เชียงใหม่บ่อยสุด สนใจเข้าร่วมงานกรุณาโทรสอบถามล่วงหน้า

Contact : บริษัท เอิร์ท วินด์ แอนด์ ไฟร์ จำกัด หมู่ที่ 6 158/60 ตำบลเชิงดอย อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ 50220 โทร. 0-5329-2224 / การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ โทร. 0-5327-6141

Balloon International Festival 2010 @นครนายก

2

สำหรับโลกยุคปัจจุบันที่ทุกอย่างจะดูทันสมัยไปซะหมด และเทคโนโลยีล้ำยุคได้เข้ามาชี้นำชีวิตของเรา การเดินทางด้วยพาหนะต่างๆจึงรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาเหมือนในอดีต แต่เราก็ต้องแลกมาด้วยการใช้พลังงานที่ปลดปล่อยก๊าซเรือกระจกออกมาสร้างภาวะโลกร้อน ถ้ามานั่งคิดดูให้ดี ก็เหลือพาหนะอยู่ไม่กี่แบบที่ยังคงใช้พลังงานธรรมชาติอย่างแท้จริง โดยเฉพาะพลังงานลม “บอลลลูน” (Balloon) คือหนึ่งในพาหนะชนิดนั้น ที่มนุษย์ตัวเล็กๆอย่างเราคิดค้นขึ้นมา ด้วยความหวังว่าจะบินได้เหมือนนก !

3

สำหรับคนไทย บอลลูนอาจเป็นพาหนะแปลกประหลาดราวกับจานบินแห่งฟากฟ้า ทว่าสำหรับประเทศในแถบยุโรปและอเมริกา เขารู้จักพาหนะชนิดนี้มาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1700 แล้ว กระทั่งล่วงเข้าถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 บอลลูนจึงมีการพัฒนาให้ล้ำยุค สามารถใช้ขนส่งคน ส่ิงของ สอดแนมทางทหาร และใช้เพื่อการพาณิชย์หรือท่องเที่ยวในเวลาต่อมา แต่ถ้าจะถามว่าชาติใดสามารถคิดค้นบอลลูนได้เป็นชาติแรกของโลก คำตอบคือ “จีน” นั่นเอง ส่วนพี่ไทยก็คงจะมีโคมลอยแถวภาคเหนือเท่านั้นล่ะที่พอจะใกล้เคียงบอลลูนบินได้ของยุโรปมากที่สุด

            บอลลูนแบ่งเป็นหลายประเภท อาทิ บอลลูนลมร้อน (Hot Air Balloon) ที่เติมลมร้อนเข้าไปจึงบินได้ แต่บินไม่ค่อยสูงนัก ส่วนที่บินได้สูงจริงๆ และมีการปรับระดับความสูงขึ้นลงได้ อีกทั้งยังบินได้ไกลมากก็คือ บอลลูนก๊าซ (Gas Balloon) ที่ใช้ก๊าซฮีเลียม (ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมเนื่องจากติดไฟง่ายเกินไป) ไฮโดรเจน (ได้รับความนิยมสูง แต่ราคาแพง) โพรเพน (เป็นก๊าซเติมบอลลูนที่ปลอดภัยกว่าสองชนิดแรก) ฯลฯ อัดเข้าไปในลูกบอลลูนเส้นใยสังเคราะห์ ซึ่งเจ้าพวกนี้เองที่มาทำการบินอยู่ในจังหวัดนครนายกของเรา

4

5

6

7

8

การบินบอลลูนในเมืองไทยยังรู้จักกันในหมู่คนจำกัด ไม่แพร่หลาย เพราะผู้ที่จะเป็นเจ้าของและทำการบินได้ต้องมีงบประมาณส่วนตัวสูงลิบ เข้าขั้นสิบล้านบาท ส่วนนักท่องเที่ยวที่อยากได้รับประสบการณ์บินบอลลูนสักครั้งในชีวิต ก็ต้องควักกระเป๋าจ่ายครั้งละไม่ต่ำกว่า 6,000-8,800 บาท ต่อการบินบอลลูนเพียง 1 ชั่วโมง ด้วยเหตุนี้เองงานเทศกาลบอลลูนนานาชาติจึงเปิดโอกาสให้คนทั่วไปได้สัมผัสบอลลูนของจริงอย่างใกล้ชนิด

9

ในเช้าตรู่วันที่อากาศดี ฟ้าปลอดโปร่ง ลมไม่แรงจัด นักบินบอลลูนจะทำการตรวจข่าวพยากรณ์อากาศ จากนั้นก็ปล่อยบอลลูนตรวจอากาศลูกเล็กๆ เรียกว่า Spy Ball ขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อดูว่าลมบนแรงแค่ไหนและพัดไปทางทิศใด เมื่อเห็นว่าเหมาะสมแล้ว นักบินพร้อมทีมลูกเรือก็จะช่วยกันกางบอลลูนขึ้น โดยบอลลูนแต่ละลูกจะแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก คือ ส่วนของลูกโป่งอัดก๊าซหรือลมร้อน และส่วนตะกร้าผู้โดยสารที่ห้อยอยู่ด้านใต้ การเตรียมการทั้งสองส่วนนี้จะทำพร้อมกันอย่างรวดเร็วตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อแข่งกับอุณหภูมิอากาศที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ เพราะหากปล่อยให้สาย เที่ยง หรือบ่ายแล้ว อากาศเมืองไทยเราจะร้อนเกินไป บอลลูนจะลอยไม่ค่อยขึ้น หรือถ้าลอยขึ้นก็บินไปไหนไม่ได้ไกล เนื่องจากการที่บอลลูนบินได้ก็ด้วยเหตุที่มีความต่างของอุณหภูมิภายนอกและในบอลลูนนั่นเอง พูดง่ายๆคือ บอลลูนเบากว่าอากาศภายนอก มันจึงล่องลอยไปไหนมาไหนได้พร้อมกระแสลม

10

11

เมื่อตะกร้าถูกติดสลิงขึงไว้กับลูกบอลลูนที่พองตัวขึ้นเต็มที่แล้ว กัปตันก็จะเติมก๊าซร้อนเข้าไปจนเต็ม ทำให้บอลลูนสีสดใสค่อยๆลอยขึ้นอย่างช้าๆ ผู้โดยสารที่มาคอยอยู่แล้วจึงต้องรีบขึ้นบอลลูนให้ทัน วันนี้โชคไม่ดี เราไม่สามารถปล่อยตัวบอลลูนจากหน้าเขื่อนขุนด่านปราการชลได้ เนื่องจากเกิดลมหมุนในอากาศ จึงต้องมาปล่อยตัวกันบริเวณสนามกีฬาจังหวัดนครนายก เมื่อลูกโป่งยักษ์ค่อยๆลอยขึ้นเหนือพื้นอย่างเชื่องช้า ทีแรกจะเกิดความรู้สึกหวิวเล็กน้อย แต่เมื่อผ่านไปสักพักเราก็จะชินกับสายลมอ่อนๆ บนท้องฟ้าใส ได้เห็นวิวภูเขา ทุ่งนา บ้านเรือนผู้คน มีฝูงนกออกบินหากินในยามเช้า พร้อมกับแสงอาทิตย์อ่อนๆ สาดส่องมาอาบบอลลลูนและตัวเราจนอบอุ่น ขณะที่บอลลูนถูกพัดพาไปตามกระแสลม ดูวิวไปเพลินๆ และถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก ก็ลองมาสำรวจในตะกร้าผู้โดยสารกันบ้าง ตะกร้าของบอลลูนสานขึ้นจากหวายเส้นใหญ่เป็นทรงสี่เหลี่ยม สูงประมาณ 150 เซนติเมตร ถ้าเป็นตะกร้าเล็กจะจุคนได้ไม่เกิน 4 คน แต่ถ้าเป็นตะกร้าใหญ่ก็ไม่เกิน 6 คน

12

13

14

15

16

17

การบินระยะทางใกล้ๆ จะใช้ก๊าซ 2 ถัง ส่วนการบินไกลๆ อย่างการบินข้ามเทือกเขาแอลป์ในยุโรป ก็ต้องใช้ถังก๊าซไม่น้อยกว่า 4 ถัง และมีการสำรวจจุดลงไว้ล่วงหน้า บนบอลลูนของเรายังมีเครื่องวัดความสูง และความเร็วลมอยู่ด้วย บวกกับประสบการณ์ของกัปตัน จึงไม่ต้องกังวล เพราะเขาคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ทำให้เราสนุกกับการล่องลอยไปพร้อมกระแสลมครั้งนี้ สิ่งที่รู้สึกได้ก็คือ “ความอิสระเสรี” มีเพียงตัวเรากับความสูงและความเวิ้งว้างของอากาศรอบๆตัว ไม่มีกระจกกั้นเหมือนนั่งเครื่องบิน ได้สูดอากาศบริสุทธิ์เบื้องบน ผิวหนังได้สัมผัสความเย็นของอากาศ อีกทั้งได้ชมวิวรอบตัวแบบ 360 องศา สุดสายตาพาโนรามา สุดยอดจริงๆเลย

18

ก่อนจะลงจอดบนพื้น กัปตันบอลลูนชาวอเมริกาที่ไปอาศัยอยู่ในอิตาลีมกว่าสิบปี และปัจจุบันเป็นครูสอนบินบอลลูนด้วยบอกว่า ในโลกปัจจุบันนี้มีพาหนะอยู่เพียง 2 อย่างที่ยังอาศัยพลังธรรมชาติเพื่อการเดินทางอย่างแท้จริง คือ เรือใบและบอลลูน โดยทั้งสองอย่างนี้พึ่งพลังงานลมด้วยกันทั้งคู่ ถ้าเราสามารถนำพลังงานสะอาดชนิดนี้มาทดแทนน้ำมันได้ก็คงดี

19

20

ประมาณ 1 ชั่วโมงที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า ไปพร้อมกับบอลลูนอีกเกือบยี่สิบลูก และเพื่อนๆที่ขึ้นบินบอลลูนพร้อมกัน มันช่างรวดเร็วเหมือนฝัน ทำไมนะ เวลาแห่งความสุขจึงหมดไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ แต่มันก็เป็นสุดยอดประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ลืมไม่ลงจริงๆ

21

1841

 

Traveller’s Guide

Best season : ปัจจุบันบินได้ตลอดปีในช่วงเากาศเหมาะสม แต่ดีที่สุดคือฤดูหนาว-ต้นฤดูร้อน ประมาณปลายเดือนตุลาคม-ต้นเดือนมีนาคม โดยเทศกาลงานบอลลูนนานาชาติ จะหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปตามจังหวัดต่างๆ ที่มี location เหมาะสม โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่

More info : บริษัท เอิร์ท วินด์ แอนด์ ไฟร์ จำกัด โทร. 0-5329-2224 เว็บไซต์ www.thailandadventuresports.com

เปิดโลกธรรมชาติไร้ขีดจำกัด! จังหวัดสตูล

2

น้ำทะเลใสแจ๋วหน้าเกาะราวี เคียงคู่กิ่งไม้โอนเอนแทบจะลงไปหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

3

อดรนไม่ไหว ใส่อุปกรณ์ดำน้ำตื้นลงไปทักทายหมู่ปลาและปะการังหลากชนิด ที่หน้าเกาะราวี

4

 วันฟ้าใสที่สะพานหินเกาะไข่ เป็น Landmark ที่คนเห็นกันชนชินตา และกลายเป็นสัญลักษณ์ของหมู่เกาะตะรุเตาไปแล้ว

5

 สะพานหินเกาะไข่ เกิดจากการกัดเซาะของคลื่นลมในบริเวณปลายแหลมหิน จนเกิดโพรงช่องทะลุใหญ่ สามารถเดินลอดเข้าไปได้

6

 ท่าเรือหน้าเกาะตะรุเตา เกาะใหญ่ซึ่งที่ทำการอุทยานแห่งชาติตะรุเตาตั้งอยู่ เมื่อก่อนเกาะนี้เองเคยเป็นที่คุมขังนักโทษการเมือง จนกลายเป็นโจรสลัดที่ออกปล้นเรือ และถูกปราบปรามในเวลาต่อมา

7

 ฝูงลูกปลาน้อยว่ายน้ำเข้ามาทักทายนักท่องเที่ยวที่ท่าเรือหน้าเกาะตะรุเตา

8

 ในวันฟ้าใสคลื่นลมสงบแบบนี้ จะมีอะไรดีไปกว่าการออกไปพาบเรือคายัคเที่ยวเล่นชมธรรมชาติรอบเกาะตะรุเตาล่ะ

9

 เกาะตุเรามักจะเป็นที่จอดเรือหลบคลื่นลมของเรือยอร์ชต์นักท่องเที่ยว

10

 แสงสุดท้ายของตะวันกำลังจะลาลับลงจุมพิตผืนทะเลที่หน้าเกาะตะรุเตา แต่กว่าจะได้ภาพนี้มาก็ต้องออกแรงปีนขึ้นเขาไปยังจุดชมวิว

11

 บนเกาะตะรุเตามีค่างแว่นถิ่นใต้อยู่หลายฝูง แถมยังคุ้นคน เข้ามาอยู่ใกล้ๆ บ้านพักเลย ค่างแว่นถิ่นใต้มีลักษณะเฉพาะคือหนังสีขาวรูปตัว C รอบตาสองข้าง แต่ถ้าเป็นค่างแว่นถิ่นเหนือแผ่นหนังสีขาวนั้นจะเป็นรูปตัว O พวกมันอาศัยอยู่เป็นฝูงเล็กๆ และกินใบไม้ผลไม้เป็นหลัก เรียกว่าเป็นสัตว์มังสวิรัตอย่างแท้จริง

12

 นกแก็ก คือนกเงือกชนิดตัวเล็กที่สุดของไทย Amazing มากๆ เพราะที่เกาะตะรุเตามันเข้ามาโชว์ตัวถึงหน้าบ้านพักเลย ไม่ต้องออกแรงเข้าไปหาดูในป่า

13

 แสงยามเย็นที่ปลายแหลมด้านทิศใต้ของเกาะหลีเป๊ะ เก็บภาพได้งดงามจากมุมสูง เห็นสีของเนินทรายตัดกับผืนทะเลไล่โทนเข้มอ่อนเบื้องหลังอย่างงดงาม

14

 อรุณรุ่งฝั่งหมู่บ้านชาวเลที่เกาะหลีเป๊ะ งามไม่ต่างจากภาพสวยๆ ของศิลปินธรรมชาติ

15

 วิถีชาวเลเผ่าอูรักลาโว้ยแห่งเกาะหลีเป๊ะ ยังผูกพันอยู่กับทะเลไม่เคยเปลี่ยน เมื่อแสงอาทิตย์ส่อง จังหวะแห่งชีวิตก็เริ่มต้นขึ้น

16

 สาวสวยกับหาดทรายขาวที่หาดพัทยา เกาะหลีเป๊ะ ศูนย์รวมความเจริญบนเกาะน่าเที่ยวแห่งนี้

17

 ดวงตะวันกลมดิกเป็นไข่แดง ขณะอาทิตย์อัสดงที่จุดชมวิวมุมสูงของเกาะตะรุเตา

18

 เกาะหินซ้อน เป็นเหมือนกองหินขนาดใหญ่โผล่ขึ้นเหนือทะเล ว่ากันว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกลงทะเลได้สวยที่สุดจุดหนึ่งในหมู่เกาะตะรุเตา

19

 เกาะหินงาม ถือเป็นความพิเศษหนึ่งเดียวของธรรมชาติอย่างแท้จริง เพราะเป็นเพียงเกาะเดียวที่มีหินริ้วลายสวยงามนับหมื่นๆ แสนๆ ก้อน ไปกองรวมกัน จนกลายเป็นหาดหินเคียงคู่เกลียวคลื่นขาว แต่หินบนเกาะนี้มีคำสาบ! ใครบังอาจเก็บติดมือกลับบ้าน จะต้องประสบเหตุเภทภัย จนต้องนำกลับมาคืนทุกราย!!!

20

21

 จังหวัดสตูลไม่ได้มีแต่ท้องทะเลสวยงามน่าเที่ยวเท่านั้น แต่บนบกยังมีธรรมชาติน่าเที่ยวเช่นกัน โดยเฉพาะการผจญภัยลงสู่โลกใต้พิภพ เป็นโลกซ่อนเร้นที่แทบไม่เคยมีใครพบเห็น ภาพนี้คือ ถ้ำภูผาเพชร ที่มีโถงถ้ำมรกตอันเกิดจากตะไคร่เขียวขึ้นปกคลุมโดยอาศัยความชุ่มชื้นในโถงถ้ำ เมื่อสะท้อนแสงไฟจึงเปล่งประกายงดงามเช่นนี้

22

 ถ้าภูผาเพชร เป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภาคใต้ ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งพบหินงอก หินย้อย และเสาหินขนาดยักษ์ ซึ่งต้องใช้เวลาหลายล้านปีในการก่อกำเนิดขึ้น

23

 บางช่วงเวลาของวัน จะมีลำแสงอาทิตย์ส่องทะลุโพรงหินเข้าสู่ความมืดมิดภายในถ้ำภูผาเพชร จนเกิดเป็นภาพแปลกตา รวมกับลำแสงรัสมีจากสวรรค์!

24

 พายเรือคายัคลำน้อยเข้าสำรวจถ้ำเจ็ดคต ถ้ำน้ำลอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้!

25

 เด็กๆ ชาวป่าเผ่าเซียมัง ที่พบอาศัยอยู่ในป่าดงดิบของจังหวัดสตูลเท่านั้น ส่วนเผ่าซาไกพบได้ในแถบจังหวัดพัทลุงและตรัง

26

 คลองลำโลน อำเภอละงู จังหวัดสตูล เป็นลำธารสายน้อย ใสแจ๋ว และคดเคี้ยว ลดเลี้ยวเข้าไปตามป่าดงดิบ ผ่านถิ่นอาศัยของคนป่าเผ่าเซียมังด้วย

เกาะไม้ท่อน มัลดีฟส์แห่งใหม่ในทะเลอันดามัน จ.ภูเก็ต

ฉันนั่งมอง wristband สีฟ้าสดใส ที่มีตัวหนังสือสีขาวสกรีนลงไปว่า LOVEandaman.com ซึ่งสวมอยู่ที่ข้อมือข้างขวาของฉันตอนนี้ เจ้า wristband หรือปลอกข้อมือยางนี้ไม่ใช่จะได้มาง่ายๆ นะ แต่คุณต้องเป็นส่วนหนึ่งของทัวร์สุดพิเศษ One Day Trip ของบริษัท Love Andaman ที่กำลังมุ่งหน้าฝ่าท้องทะเลสีคราม น้ำใสแจ๋ว ตรงจากเกาะภูเก็ตมุ่งหน้าไปยัง “เกาะไม้ท่อน” เกาะส่วนตัวที่ปิดมานานนับสิบปี แต่เพิ่งเปิดออกสู่สายตาโลกภายนอกไม่นาน ทำให้เราได้มีโอกาสนั่งเรือสปีตโบ๊ทเร็วจี๋เหินเหนือยอดคลื่นมาในวันนี้

ผู้โดยสารกว่า 40 คนบนเรือต่างตื่นเต้น มองไปทางหัวเรือ ที่ใกล้ถึงเกาะไม้ท่อนเข้าไปทุกที อีกไม่กี่อึดใจแล้วสินะ ฉันก็จะได้เห็นเกาะสวรรค์ที่ใครๆ ตั้งฉายาให้ว่า มัลดีฟส์แห่งใหม่ของเมืองไทย เกาะที่อาบอิ่มด้วยธรรมชาติแสนบริสุทธิ์ เป็นเสมือนเกาะส่วนตัว ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการฮันนีมูนกับคู่รักหรือคนพิเศษของเราโดยไม่กลัวใครจะมารบกวน ว้าว!

2

จริงๆ แล้ว เกาะไม้ท่อนเป็นเกาะส่วนตัวของครอบครัวคุณภูริ หิรัญพฤกษ์ ดาราหนุ่มสุดหล่อ ที่ควงคู่มากับเจ้าสาวสุดสวยคุณแอน อลิชา เห็นแล้วน่าอิจฉา เพราะทั้งคู่มีเกาะส่วนตัวไว้ฮันนีมูนกัน ตลอดชีวิตเลย! เกาะไม้ท่อนจึงเรียกว่าเป็นเกาะแห่งความรัก ก็ไม่น่าจะผิดนะ

3

เพียงแค่ 15 นาที เรือสปีตโบ๊ทแรงม้าสูงสามเครื่องยนต์ ก็พาเรามาถึงเกาะไม้ท่อนอย่างรวดเร็ว เหมือนโกหก ภาพเกาะตรงหน้าทำให้พวกเราตกตะลึงไปชั่วขณะ เพราะไม่นึกเลยว่า ไม้ท่อนจะมีความใสบริสุทธิ์ถึงเพียงนี้ บนเกาะมีป่าเขียวครึ้มปกคลุม ถัดลงมาเป็นหาดทรายสีทองอ่อนๆ เคียงคู่น้ำทะเลสีเขียวมรกตไล่โทนไปจนถึงสีครามเข้มอ่อนอย่างสวยงามชวนมอง แดดเจิดจ้าและฟ้าใสๆ ของวันนี้ ได้เปิดเผยความงามในสัมผัสแรกให้เราประทับใจกันถ้วนหน้า มองไปบนหาดทรายหน้าเกาะ เราเห็นเพียงอาคารรีสอร์ทไม่กี่หลัง สร้างกลืนไปกับดงไม้ร่มครึ้ม มีเพียงความเงียบสงบ อวลด้วยกลิ่นอายทะเล ยินเพียงเสียงคลื่นขาวสาดซัดเข้าหาฝั่งดังซ่าๆ เป็นจังหวะน่าฟัง นี่ล่ะเสน่ห์แบบธรรมชาติของเกาะไม้ท่อน ที่แม้แต่เจ้าชายจิกมีแห่งประเทศภูฏานก็ยังทรงโปรดฯ เพราะทรงเคยเสด็จมาประทับพักผ่อนที่นี่ด้วย!

4

5

6

7

8

จากท่าเทียบเรือหน้าหาด ไกด์ผู้มากอารมณ์ขัน พาเราเดินตรงไปยังที่นั่งพักผ่อนติดกับร้านอาหาร ซึ่งจุดนี้มีระเบียงไม้แบบ Outdoor กว้างขวางใต้ทิวสนทะเลต้นเบ้อเริ่ม ให้เราได้นั่งชิลชมวิวทะเลสวยราวสวรรค์เบื้องหน้า หรือจะถอดรองเท้าลงไปเดินเล่นบนผืนทรายนุ่มๆ แสนสะอาด แล้วมานอนอิงกายบนเตียงผ้าใบใต้ร่มชายหาดสีขาว สั่งเครื่องดื่มเย็นๆ มาจิบ ยกกล้องคู่ใจขึ้นมาบันทึกภาพสักแช๊ะ แล้วลองหลับตา สูดโอโซนเข้าปอดสักฟอดใหญ่ๆ จากนั้นลองใช้โสตประสาทสัมผัสทางหู รับฟังสรรพสำเนียงของธรรมชาติแท้ๆ ที่คุณจะหาจากที่อื่นไม่ได้ง่ายๆ นี่คือโลกอีกโลกหนึ่ง ซึ่งฉันอยากหยุดเวลาไว้ แล้วขอนอนเอกเขนกอยู่ตรงนี้ให้นานๆ ตลอดไป

9

10

กิจกรรมของทริปทัวร์วันนี้ไม่มีอะไรมาก ไม่อัดแน่น ไม่บังคับกัน ใครอยากจะพักอยู่เฉยๆ ก็ไม่มีใครว่า แต่ส่วนใหญ่ (รวมทั้งตัวฉันด้วย) เลือกที่จะลงไปเดินเล่นถ่ายภาพบนชายหาดมากกว่า แหม ไม่ได้มากันบ่อยๆ ขอเก็บภาพประทับใจไปอวดเพื่อนๆ ที่กรุงเทพฯ ให้อิจฉาเล่นดีกว่า ขอบอกว่า แม้หาดทรายบนเกาะไม้ท่อนจะไม่ได้เป็นสีขาวจั๊วะเหมือนกับแถวหมู่เกาะสิมิลัน หรือหมู่เกาะสุรินทร์ของพังงา แต่หาดทรายสีทองอ่อนๆ ของที่นี่ก็มีเนื้อละเอียดเนียน นุ่มเท้า อ่อนโยนยามได้สัมผัส อีกทั้งฟองคลื่นขาวที่สาดซัดเข้ามาตลอดเวลา ก็ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้หาดของเกาะไม้ท่อนได้อย่างสมบูรณ์แบบ หลายคนอดใจไม่ไหว โดดลงไปเล่นน้ำ พายเรือคายัก เดินหาเปลือกหอยสวยๆ มาเรียงบนหาดทราย หรือไม่ก็หามุมถ่ายภาพตามโขดหิน ร่มไม้ แล้วโดดตัวลอยถ่ายภาพพร้อมกันเป็นหมู่อย่างสนุกสนาน

            สมแล้วที่เกาะไม้ท่อนเป็นเกาะแห่งความรักและความสุข ฉันแอบอิจฉาตัวเองเล็กๆ ที่ได้มาอยู่บนหาดทรายผืนนี้ ณ วินาทีนี้

11

12

13

ก่อนเที่ยง ไกด์ผิวเข้มหน้าตาใจดี ชวนพวกเราเดินขึ้นเขาไปบนจุดชมวิว ไม่ต้องตกใจหรอก เดินแค่ 200-300 เมตร ก็ถึงแล้ว ถ้าไม่ขึ้นไปจะเสียใจ ระหว่างทางมีแมกไม้ร่มรื่น เดินชิลไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบ พอถึงยอดเขาก็ต้องร้องโอ้โห เพราะสามารถมองเห็นวิวแบบพาโนรามา 360 องศา โดยในวันที่ฟ้าโปร่งแบบนี้ เราสามารถมองเห็นได้ไกลถึง 3 จังหวัดเลยทีเดียว คือ ภูเก็ต พังงา และกระบี่ บนยอดเขาจุดชมวิวนี้ค่อนข้างโล่ง มีศาลาที่พักเล็กๆ ให้นั่งชมวิว พร้อมกับภายประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิให้เรากราบไหว้เป็นสิริมงคลด้วย

            กลับลงมาที่ร้านอาหาร ไลน์บุฟเฟ่ต์ก็เตรียมเสร็จพอดี นี่คืออาหารเที่ยงแบบจัดเต็ม กินกันไม่อั้น โดยเฉพาะหมึกย่างกับกุ้งเผา จิ้มน้ำจิ้มซีฟู๊ดรสเด็ด ใครจะหม่ำข้าว สปาเก็ตตี้ น่องไก่ทอด ผัดผัก แกงจืด มันฝรั่งทอด ฯลฯ ก็เลือกกันเลยตามสบาย กินให้อิ่มนะ แต่อย่าอิ่มจนล้น เพราะประมาณบ่ายโมง เขาจะพาลงเรือไปดำน้ำดูปลาทักทายปะการังแสนสวยกันด้วย

14

15

16

17

18

19

20

จุดเด่นอย่างหนึ่งของธรรมชาติเกาะไม้ท่อนก็คือ มีแนวปะการังอุดมสมบูรณ์ยาวเหยียดกว่า 1 กิโลเมตร ทอดตัวขนานไปกับชายหาดด้านหน้าเกาะ โดยอยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่ร้อยเมตรเอง แถมยังเป็นโลกใต้น้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยปะการังนานาชนิด มีปลาการ์ตูน หอยต่างๆ ฟองน้ำทะเล ดอกไม้ทะเล ปลาดาว และโดยเฉพาะฝูงลูกปลานับล้านๆ ตัว! แหวกว่ายรวมฝูงกันอยู่อย่างหนาแน่น แสดงให้เห็นว่าทะเลตรงนี้ปลอดภัย ใช้เป็นแหล่งอนุบาลตัวอ่อนของสัตว์ทะเล เพื่อต่อเติมห่วงโซ่แห่งโลกสีครามให้สมบูรณ์ต่อไปไม่สิ้นสุด

            พอเรือสปีตโบ๊ทจอดเราก็ไม่รอช้า รีบสวมหน้ากากดำน้ำ เสื้อชูชีพ และตีนกบ โดดลงน้ำตูมทางท้ายเรือ ว่ายน้ำตามไกด์ไปตรงจัดที่มีปะการังสวยๆ รออยู่

21

22

โลกใต้น้ำที่นี่ช่างสวยงาม น่าตื่นเต้น น่าค้นหา ปะการังส่วนใหญ่เป็นแบบปะการังโขดก้อนใหญ่ๆ อย่างปะการังสมองก้อนเบ้อเริ่ม ปะการังเขากวางดงใหญ่ทอดต่อเนื่องออกไปเป็นพื้นที่ยาวเหยียด นอกจากนี้ยังมีปะการังผักกาด ปะการังโต๊ะ หอยมือเสือ ดาวทะเล หนอนพู่ฉัตร และปลาหลากสีว่ายวนหากิน อยู่คู่กับปะการังเหล่านั้น เปรียบไปคงเหมือนบ้านอันแสนสุขของพวกมัน ฉันโชคดีว่ายไปเจอกอดอกไม้ทะเล กับปลาการ์ตูนคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในนั้น มันว่ายน้ำผลุบๆ โผล่ๆ ออกมาจากกอดอกไม้ทะเล เพื่อมาสอดแนมฉัน ดูว่าพวกเรามาทำอะไรกันในเขตบ้านของมัน ไม่ต้องกลัวนะเจ้าปลาน้อย ฉันแค่มาเยี่ยม ไม่ได้มาทำอันตรายหรอก

23

เวลาแห่งความสุขผ่านไปอย่างรวดเร็ว บ๊ายบาย เกาะไม้ท่อน มัลดีฟส์ของฉัน แล้วพบกันใหม่เร็วๆ นี้นะจ๊ะ

1841

Special Thank : บริษัท Nikon Sales (Thailand) Co., Ltd. สนับสนุนสุดยอดอุปกรณ์ถ่ายภาพระดับมืออาชีพ

สนใจติดต่อ โทร. 0-2633-5100 / แฟ็กซ์ 0-2633-5191 (Office) / 0-2633-5192 (Service) www.nikon.co.th

 

Professional Guide

Best season : ฟ้าสวยน้ำใส คลื่นลมสงบที่สุด ช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน

Getting there : เกาะไม้ท่อนอยู่ห่างจากเกาะภูเก็ตไปทางตะวันออก 9 กิโลเมตร เรือสปีตโบ๊ทออกจากท่าเรือแหลมพันวา ใช้เวลาวิ่งเพียง 15 นาที ก็ถึงแล้ว โดยมีรถตู้รับส่งนักท่องเที่ยวจากโรงแรมที่พักมายังท่าเรือด้วย แพ็กเกจ One Day Trip อยู่ในช่วงเวลา 10.00-16.00 น. นอกจากพาเดินเที่ยวขึ้นจุดชมวิวบนเกาะแล้ว ยังมีพาไปดำน้ำ 2 จุด และพักผ่อนบนหาดด้วย

Overnight : บนเกาะไม้ท่อนมีที่พักอยู่แห่งเดียว คือ Honeymoon Island Phuket Resort (ชื่อเดิม ไม้ท่อน ไอส์แลนด์ รีสอร์ท) ตั้งอยู่บนหาดส่วนตัวทางด้านตะวันออกของเกาะ ซึ่งเป็นจุดที่เรือสปีดโบ๊ทมาจอดนั่นแหละ สามารถจองผ่าน www.hoteltravel.com

Cuisine : แพ็กเกจ One Day Trip เกาะไม้ท่อน มีอาหารเที่ยงรวมให้ด้วย 1 มื้อ เสิร์ฟบนเกาะอย่างอิ่มหนำ สำราญ จัดเต็มกับซีฟู๊ดกุ้ง หมึก ปลา และสารพัดอาหารอร่อย พร้อมเครื่องดื่มเย็นๆ สำหรับคลายร้อน

Contact : Love Andaman เป็นเพียงบริษัทเดียวที่ได้รับอนุญาตให้พานักท่องเที่ยวไปเกาะไม้ท่อน สนใจจองแพ็กเกจทัวร์ โทร. 0-7648-6095-6, 08-1999-8844, 08-9500-5111 เว็บไซต์ http://loveandaman.com เฟสบุ๊ค www.facebook.com/loveandaman อีเมล info@LoveAndaman.com

อลังการ Unseen ทะเลหมอกวัดถ้ำเสือ จ.กระบี่

1109

ไปเที่ยวกระบี่มาก็ตั้งหลายหน แต่ไม่พ้นจุดหมายคือทะเลสีคราม มาเยือนกระบี่รอบนี้เลยขอไปเที่ยวทะเลแบบอื่นบ้าง (ไม่ใช่ทะเลแหวกด้วยนะ) แต่เป็นทะเลหมอกที่สวยไม่แพ้ภาคเหนือเลยจ้ะ

ทะเลหมอกที่ว่าต้องใช้กำลังขาเดินขึ้นกันนิดนึง ผ่านบันไดถึง 1,260 ขั้น!!! เพราะที่นี่คือ จุดชมวิวทะเลหมอกวัดถ้ำเสือ เห็นตัวเลขแล้วอย่าเพิ่งท้อ เพราะถ้าได้ลองขึ้นมาเห็นกับตาแล้ว จะรู้ว่า ไม่เสียแรงเดินขึ้นมาเลยจริงๆ

เมื่อปี พ.ศ. 2528 หลวงพ่อจำเนียร มีความประสงค์จะหาสถานที่ปฏิบัติธรรมใหม่ จึงเกิดนิมิตเห็นสถานที่ที่มีภูเขาล้อมรอบชื่อ “วัดถ้ำเสือ” ในจังหวัดกระบี่ หลวงพ่อจึงได้ให้พระอาจารย์หีดไปเสาะแสวงหาที่ดังกล่าว จึงพบถ้ำเสือเข้าในที่สุด หลวงพ่อจำเนียรจึงได้นำคณะภิกษุสามเณร 53 รูป และแม่ชี 53 ท่าน จากวัดสุคนธาวาส มาอยู่ ณ ที่นี้ โดยในอดีตใช้ชื่อว่า “สำนักสงฆ์หน้าชิง” ตามชื่อหมู่บ้าน เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518 และต่อมาใน พ.ศ. 2533 จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดถ้ำเสือ” ดังเช่นปัจจุบัน โดยเหตุที่ชื่อนี้ก็เพราะ อดีตเคยมีเสือโคร่งอาศัยอยู่จำนวนมาก อีกทั้งยังมีหินธรรมชาติรูปอุ้งเท้าเสืออยู่ด้วยนั่นเอง นอกจากถ้ำเสือแล้ว ยังมีถ้ำคนธรรพ์, ถ้ำลอด, ถ้ำช้างแก้ว, ถ้ำลูกธนู, ถ้ำงู, ถ้ำเต่า และถ้ำมือเสือ ท่องเที่ยวได้ตลอดปี

328

เช้านี้เราตื่นตั้งแต่ตีสี่ ออกจากที่พักตีสี่ครึ่ง เพื่อรีบมารวมพลเดินขึ้นเขาวัดถ้ำเสือ ที่เขาร่ำลือกันว่างามหนักหนา ระหว่างทางก็ต้องรีบเดินแข่งกับเวลา เพราะกลัวไม่ทันเก็บแสงแรกของตะวันบนยอดเขา

426

เพื่อนๆ เราพากันนั่งคอตกหมดแรง เมื่อผ่านบันไดชันขึ้นเขามาได้ครบ 1,260 ขั้น! (ของเก่ามี 1,237 ขั้น) นี่คือรางวัลของความพยายาม และความศรัทธาที่จะได้ขึ้นมากราบพระ พร้อมกับชมทะเลหมอกสุดอลังการของเมืองกระบี่ ที่ใครหลายคนไม่เคยรู้ว่ามีอยู่มาก่อน

527

 เทือกเขาหินปูนวัดถ้ำเสือยังหลับใหลอยู่ในแสงยามเช้าก่อนตะวันขึ้น ลมเย็นโบกสะบัดพัดพลิ้ว ทำให้กอเฟินบนเขาหินปูนโอนเอนไปมาตามจังหวะลมหายใจของธรรมชาติ

626

 ถึงแล้ว จุดชมวิวยอดเขาวัดถ้ำเสือ มีลานกว้างให้เดินชมวิวได้รอบ พร้อมด้วยองค์พระพุทธรูปขนาดใหญ่ให้เราไปสักการะ

726

 พี่อิช พี่ชายใจดีแห่งเว็บไซต์เมืองไทยดอทคอม แอ็กท่าเท่ห์ให้เราเก็บภาพคู่กับเทือกเขาหินปูน ซึ่งแลเห็นยอดเขาพนมเบญจา (ยอดเขาสูงสุดของจังหวัดกระบี่) ตั้งอยู่ไกลลิบๆ โน่น

827

 การถ่ายภาพเทือกเขาหินปูนบนยอดเขาวัดถ้ำเสือ จำเป็นต้องใช้เลนส์มุมกว้างพวก 17-35 มม. หรือ 14-24 มม. เพื่อเก็บภาพ Landscape (ภาพภูมิทัศน์) ให้ได้กว้างสะใจอย่างนี้ล่ะ

927

 แม้วันนี้ทะเลหมอกวัดถ้ำเสือจะไม่ได้อลังการเหมือนที่เราหวังไว้ แต่ธรรมชาติก็มอบรางวัลแห่งความงาม ของแสงตะวันแรกสีทองงามจับตาจับใจ

1026

 จากจุดชมวิวยอดเขาวัดถ้ำเสือ มองเห็นเทือกเขาหินปูนทอดตัวเรียงรายสลับซับซ้อนราวภาพฝัน โดยมียอดเขาพนมเบญจา ยอดเขาสูงสุดของจังหวัดกระบี่ตั้งตระหง่านเป็นพี่ใหญ่สุดอยู่ทางด้านหลัง

1132

 เทือกเขาหินปูนอายุหลายร้อยล้านปีในแถบจังหวัดกระบี่ ในอดีตเคยจมอยู่ใต้ทะเลมาก่อน เมื่อเปลือกโลกยกตัวขึ้น แล้วสึกกร่อนไปตามกาลเวลา จึงเกิดริ้วรอยหิน และพรรณไม้ป่าดิบชื้นขึ้นปกคลุมอย่างน่าชมเช่นนี้

1229

 ทะเลหมอกวัดถ้ำเสือในยามเช้าตรู่ คือรางวัลของคนขยันตื่นเช้า และเดินฝ่าบันไดชัน 1,260 ขั้น ขึ้นสู่ยอดเขาสำเร็จ!

1326

 ภาพสวยๆ อย่างนี้ เราใช้เลนส์ซูมช่วง 70-200 มม. ติดบนขาตั้งกล้องเพื่อความนิ่ง แล้วค่อยๆ เลือกเฉพาะส่วนภาพที่ต้องการ จัดองค์ประกอบให้แน่นพอประมาณ โดยมีทิวป่าสีเขียวเป็นฉากหน้า (Foreground) ด้วย ทำให้ภาพดูมีมิติมากขึ้น

1425

 สายหมอกขาวลอยอ้อยอิ่งให้เราเก็บภาพเคียงคู่กับเขาหินปูนอยู่นานมาก ต้องขอขอบคุณธรรมชาติจริงๆ นะจ๊ะ

1524

 ทางด้านหน้าของจุดชมวิวยอดเขาวัดถ้ำเสือ เมื่อมองลงไปในหุบเหวเบื้องล่าง เล่นเอาใจหวิวเหมือนกันนะ! แต่วิวก็สวยยั่วใจยิ่งกว่า จนหายกลัวไปเลยล่ะ

1622

 เช้านี้มีทั้งเพื่อนๆ ช่างภาพชาวกระบี่ เพื่อนๆ จากเว็บไซต์เมืองไทยดอทคอม และคนขึ้นมากราบพระกันพอสมควร

1722

 หมอกขาวถูกสายลมแรงจากหุบเขาตีตวัดลอยฟุ้งขึ้นมาคลอเคลียยอดเขาหินปูนอย่างงดงาม ให้ความรู้สึกเหมือนโลกอีกโลกหนึ่ง ซึ่งยิ่งใหญ่ และตัวเราดูเล็กนิดเดียว

1820

1919

2017

2120

 จากยอดเขาสามารถมองลงไปเห็นถนนหนทางคดเคี้ยวราวกับงูเลื้อย และรถเก๋งที่แล่นไปมาก็กลายเป็นขนาดเล็กจิ๋วเหมือนของเล่นเด็กไม่มีผิด

2216

 แปดโมงกว่าแล้ว หลังจากกราบพระและเก็บภาพกันจนชุ่มปอด ก็ได้เวลาเดินลงเขากลับโรงแรมไปกินข้าวเช้า

2313

 หนทางลงเขาช่างแสนสบาย ฮาฮาฮา ไม่ต้องเหนื่อย เพราะใช้เวลาแค่ครึ่งเดียวของตอนขึ้นมา

2411

 เดินช้าๆ ชมพรรณไม้ที่ขึ้นอยู่บนผาหินปูนสองข้างทางไปด้วย เราพบดอกไม้ในวงศ์ใบกำมะหยี่ สีม่วงขนาดเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารัก มันจะออกดอกเฉพาะฤดูฝนที่มีความชุ่มชื้นพอเพียงเท่านั้น

2510

267

 พวกเราเดินลงเขา แต่หลวงพี่รูปนี้ท่านเดินขึ้นยอดเขาทุกวัน เพื่อไปดูแลความเรียบร้อยของสถานที่ สุดยอดไปเลยครับ!

276

Special Thanks : ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกระบี่ และผองเพื่อนจากเว็บไซต์ เมืองไทยดอทคอม ที่สนับสนุนการเดินทาง และแบ่งปันประสบการสนุกๆ ร่วมกันในทริปนี้

สอบถามเพิ่มเติมที่ ททท. สำนักงานกระบี่ โทร. 0-7562-2163, 0-7561-2811-2

Traveler’s Guide

How to go : จากตัวเมืองกระบี่ เลี้ยวซ้ายที่สี่แยกตลาดเก่า ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ทางไปอำเภอเหนือคลอง เลี้ยวซ้ายที่สามแยกถ้ำเสือไปตามถนนราษฎรพัฒนา (ทางหลวงหมายเลข 4037) ไปประมาณ 2 กิโลเมตร ก็ถึงแล้ว

When to go : ช่วงเวลาเหมาะสมที่สุดในการเดินขึ้นวัดถ้ำเสือ คือตอนเช้าตรู่ เพราะอากาศเย็นสบาย ไม่ร้อน เดินขึ้นไปตอนเช้าจะได้ชมทะเลหมอกด้วย แต่ก็มีบางคนขึ้นไปนอนค้างคืนใต้ชะง่อนหินบนยอดเขาเลยก็มี เวลาในการเดินขึ้น ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน ถ้าแข็งแรงหน่อย อาจใช้เวลา 45-50 นาที แต่ระหว่างทางพักนานกว่านั้น อาจใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมง และตรงจุดกึ่งกลางทางเดินขึ้น มีห้องน้ำไว้บริการด้วย แต่บนยอดเขาไม่มีห้องน้ำนะจ๊ะ ต้องทำธุระส่วนตัวให้เสร็จไปก่อนเลย

Contact : พระครูภาวนาธิคุณ (เจ้าอาวาส) วัดถ้ำเสือ ตำบลกระบี่น้อย อำเภอเมืองฯ จังหวัดกระบี่ 81000 โทร. 08-4068-4664 แฟ็กซ์ 0-7570-1056 เว็บไซต์ www.watthumsua-krabi.com

ผจญภัยโลกใต้พิภพล้านปี ถ้ำคลัง จ.กระบี่

258

327

ถ้ำคลัง มีความแปลกประหลาดไม่เหมือนถ้ำไหนๆ นั่นคือมีทั้งถ้ำบกและถ้ำน้ำ สามารถเดินทางเข้าถ้ำบกแล้วไปทะลุอีกด้านและล่องแคนูลอดถ้ำอีกถ้ำหนึ่ง ซึ่งอยู่แฝดคู่กันเป็นโพรงถ้ำมืดมีน้ำตลอดลอดกลับมาได้ อย่างไรก็ตาม หินงอกหินย้อยสวยงามจะอยู่ที่ถ้ำบกซึ่งมีความมหัศจรรย์อย่างยิ่งตลอดทั้ง 13 คูหา ลึกราว 1,200เมตร มีลักษณ์เด่นแตกต่างกันไป จุดเด่นคือนอกจากหินย้อยแล้วคือแท่นหินงอกที่มีมากกว่าถ้ำอื่น หินควอทต์ที่เป็นหลอดกาแฟนับพันๆ แท่งหินควอทต์รูปปะการังและม่านหินย้อยสีทอง กล่าวกันว่าน่าจะเป็นหนึ่งในถ้ำที่สวยที่สุดในเอเชียเลยล่ะ!!!

425

การผจญภัยสุดขั้วในทริปนี้ เราเดินทางไปพร้อมกับเพื่อนๆ พี่ๆ แสนใจดีจาก ททท. สำนักงานกระบี่ และพี่อิช พร้อมทีมงานเว็บไซต์คุณภาพ เมืองไทยดอทคอม ภาพนี้คือบริเวณหน้าปากถ้ำ คือจุดสุดท้ายที่มีแสงสว่าง เราต้องเดินข้ามสะพานไม้เข้าสู่โลกใต้พิภพ จุดนี้มีน้ำท่วมพื้นถ้ำ เราเห็นปลาตัวเล็กๆ บางชนิดแหวกว่ายอยู่ในน้ำด้วย

526

 น้องสาวแสนน่ารักจาก ททท. สำนักงานกระบี่ ร่วมเข้าสำรวจถ้ำกับเรา พร้อมกับเป็นนางแบบให้ด้วย การเที่ยวถ้ำคลังจำเป็นต้องพกไฟฉายพร้อมแบตเตอร์รี่สำรองเข้าไป เพราะการเดินเที่ยวใช้เวลาค่อนข้างนาน อีกทั้งในถ้ำยังมืดสนิทมาก ห้ามเดินออกนอกเส้นทางเด็ดขาด ไฟฉายที่ใช้ควรเป็นแบบหลอด LED เพราะมีความร้อนต่ำ หากใช้ไฟฉายแบบเก่าหรือตะเกียงน้ำมัน จะมีความร้อนสูงและเขม่าควัน ไปเพิ่มอุณหภูมิให้ถ้ำที่มีความชื้น โดยสภาพนิเวศนี้เปราะบางมาก หากเกิดความร้อนเกินกว่าปกติเพียง 1-3 องศาเซลเซียส หินงอกหินย้อยในถ้ำที่มีชีวิต ก็จะหยุดการเจริญเติบโตจนตายไปในที่สุด!!!

625

ต้องยอมรับเลยว่า โถงถ้ำคลังในแต่ละคูหานั้นมีขนาดมหึมาจริงๆ แถมยังมีลักษณะของหินงอกหินย้อยที่มีชีวิตอยู่ สวยงามจนเราต้องตะลึง ชวนให้จินตนาการไปถึงรูปทรงต่างๆ อย่างไม่จบสิ้น

725

หินรูปหลอดกาแฟนับพันๆ หมื่นๆ อัน ห้อยย้อยลงมาจากเพดานถ้ำ ตรงส่วนปลายมีหยดน้ำย้อยอยู่ด้วย น้ำเหล่านี้แหละที่รวมตัวกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กลายเป็นกรดคาร์บอนิกอย่างอ่อนๆ ค่อยๆ ละลายหินปูนลงมาเป็นรูปหลอดกาแฟ ทั้งผลึกแคลไซต์ และผลึกควอทต์

826

 เมื่อหินปูนรูปหลอดกาแฟจากเพดานถ้ำงอกยาวทิ้งตัวลงมามากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะไปบรรจบกับหินงอกขึ้นจากพื้น จนกลายเป็นเสาหินปูน หรือ Limestone Pillar โดยอัตราการงอกของมันนั้นช้ามากๆ พอๆ กับปะการังในทะเลเลยทีเดียว คืองอกยาวออกมาได้แค่ปีละ 2 มิลลิเมตร ดังนั้นเสาหินปูนแม้เพียงต้นเล็กๆ ที่เห็น จึงมีอายุเก่าแก่หลายชั่วอายุคนแล้ว ถ้าไม่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ก็น่าเสียดาย

926

 บางโถงถ้ำของถ้ำคลัง มีม่านหินย้อย หรือ Flowstone เรียงรายลดหลั่นซ้อนกันลงมาจากผนังถ้ำ จนก่อตัวกันเป็นเสาหินรูปทรงแปลกตา ม่านหินย้อยเหล่านี้แท้จริงถูกน้ำกรดคาร์บอนิกอ่อนๆ จากธรรมชาติ ละลายลงมาจนมีรูปทรงดังกล่าว และในถ้ำคลังก็มีให้ชม ให้ศึกษากันอย่างดาษดื่น แต่ขอเตือนว่าห้ามแตะต้องเด็ดขาด เพราะอุณหภูมิ รวมถึงความชื้นของมันจะเปลี่ยน จนหยุดการเติบโตได้

1025

1131

 ยิ่งเดินลึกเข้าไปในถ้ำคลังมากแค่ไหน ความงามใต้พื้นพิภพก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่ก็น่าแปลกที่เราไม่รู้สึกร้อนอบอ้าว หรือหายใจไม่ออกเลย เพราะในถ้ำมีการระบายอากาศตามธรรมชาติดีมาก แถมยังแทบไม่ได้กลิ่นขี้ค้างคาวเลย จะพบก็แต่สัตว์ขนาดเล็ก อย่างจิ้งจกถ้ำ ลายสีเหลืองสลับดำ, จิ้งหรีดถ้ำ, แมงป่องถ้ำ, มดถ้ำ, ปลาถ้ำตาบอด ฯลฯ นับเป็นนิเวศน์มหัศจรรย์ที่แยกตัวโดดเดี่ยวออกจากโลกภายนอกมานานหลายล้านปี จนมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง

1228

1325

 บางโถงถ้ำก็มีน้ำท่วมลึกลงไปหลายสิบเมตร เหมาะสำหรับผู้เชี่ยวชาญการดำน้ำสำรวจถ้ำมืออาชีพ พร้อมอุปกรณ์เฉพาะ ในการดำน้ำลงไปสำรวจว่าจะมีโพรงทะลุไปถึงจุดใดได้อีกบ้างหรือไม่?  ก็อาจจะพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ซุกซ่อนอยู่ก็เป็นได้?!

1424

1523

 ดูกันให้เต็มตา กับประติมากรรมธรรมชาติ อันเกิดจากกระบวนการหินปูนละลายโดยกรดคาร์บอกนิกอ่อนๆ จนเกิดหินรูปหลอดกาแฟกลวงๆ มีน้ำค่อยๆ หยดลงมาทุกเมื่อเชื่อวัน จนบรรจบกับหินงอกที่พื้นขึ้นไปชนกัน อีกหลายชั่วอายุคนมันจะกลายเป็นเสาหิน แล้วขยายขนาดจนปิดโพรงถ้ำ ณ จุดนั้นไปเลย!!!

1621

1721

1819

1918

กลับออกจากถ้ำคลังกันอย่างปลอดภัยทุกคน พร้อมกับความประทับใจในโลกธรรมชาติอัศจรรย์ ที่เราต้องช่วยกันรักษาไว้ให้อยู่คู่ผืนดินไทยตลอดไปนะครับ

Special Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกระบี่ และผองเพื่อนจากเว็บไซต์ เมืองไทยดอทคอม สนับสนุนการเดินทาง และแบ่งปันประสบการณ์สุดมันร่วมกันในครั้งนี้

Traveler’s Guide

When to go : สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปี แต่ต้องมีไกด์นำทางเข้าถ้ำด้วยทุกครั้ง เพราะหนทางภายในวกวนซับซ้อนและมืดมาก จำเป็นต้องนำไฟฉายแบบหลอด LED ติดตัวเข้าไปสำรองไว้คนละ 1-2 อัน พร้อมมีแบตเตอร์รี่สำรองด้วย นอกจากนี้ยังควรเชื่อฟังไกด์ ไม่เดินออกนอกเส้นทางเด็ดขาด การเข้าชมให้ครบทุกโถงถ้ำแบบไม่ละเอียด ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง แต่ถ้าจะชมให้ละเอียดจริงๆ คงต้องใช้เวลาวันเต็ม และควรเริ่มเข้าถ้ำตั้งแต่เช้าๆ

How to go : จากแยกอ่าวลึกเหนือ เดินทางด้วยทางหลวงหมายเลข 4 ไปทางจังหวัดกระบี่ ประมาณ 4 กิโลเมตร เลี้ยวขวาหน้าโรงเรียนบ้านในยวนแขก เข้าไปอีก 2 กิโลเมตร จนถึงปากทางเข้าถ้ำ เส้นทางนี้ไม่มีรถประจำทางผ่าน ต้องเช่าเหมารถไปเอง

Contact : สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานกระบี่ โทร. 0-7562-2163, 0-7561-2811-2

เดินป่าฝ่าเขาตระหง่านขึ้นจุดสูงสุด เขาหงอนนาค จ.กระบี่

250

“เขาหงอนนาค” ชื่อนี้อาจไม่เป็นที่คุ้นเคยของคนทั่วไป แต่สำหรับชาวจังหวัดกระบี่และนักเดินป่าผจญภัยในธรรมชาติแล้ว รับรองว่าต้องเคยได้ยินแน่นอน เขาหงอนนาคไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวใหม่นะ จริงๆ มีมานานมากแล้ว ทว่าคนทั่วไปไม่ค่อยได้สัมผัส เพราะต้องเดินป่าฝ่าเขาสูงขึ้นไปกว่า 3.7 กิโลเมตร (เครื่อง GPS บางตัวก็จับระยะทางได้ 4 กิโลเมตร) จึงถือว่าค่อนข้างสมบุกสมบัน ทหรหด และต้องใช้กำลังกายกำลังใจในการเดินป่าเส้นทางนี้ไม่น้อยเลย แต่รับรองเลยว่า เมื่อขึ้นถึงยอดเขาแล้วจะหายเหนื่อย ทำไมน่ะหรือ? ตามผมมาเลยครับ

 326

น้องชายผมเองชื่อ โล่ อาสาทำหน้าที่เป็นลูกหาบกิตติมศักดิ์ ช่วยแบกขาตั้งกล้องและข้าวของหนักอึ้ง ส่วนช่างภาพที่จะขึ้นเขาหงอนนาค ขอบอกเลยว่าให้นำอุปกรณ์ติดตัวไปน้อยช้ินที่สุด เพราะยิ่งเดินแรงยิ่งน้อย ของจะยิ่งหนัก!

525

 ทางเดินขึ้นเขาหงอนนาค จริงๆ แล้วเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติ หรือ Nature Trail ที่มีจุดป้ายให้ความรู้รวม 13 จุด ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องพรรณไม้ในป่าดิบชื้น, การย่อยสลาย, พืชบนเขาสูง ฯลฯ

624

 หนทางช่วงแรกยังค่อนข้างราบ เป็นการเดินเทรกกิ้งไปในร่องหุบที่ต้องข้ามห้วยธารเล็กๆ 2 สาย แต่ไม่ต้องลุยน้ำ เพราะเขาทำสะพานปูนไว้ให้เรียบร้อย

825

925

เนื่องจากเราเริ่มเดินขึ้นเขาหงอนนาคกันตอนบ่ายสองแล้ว พอถึงจุดชมวิวแรกตะวันก็เริ่มจะคล้อย ฟ้าเปลี่ยนสี อาบทาหมู่เกาะหินปูนในทะเลกระบี่ให้งามแปลกตาไปอีกแบบ

1024

1130

ใกล้จุดชมวิวแรกเข้าไปทุกที ป่าเริ่มโปร่งขึ้น เต็มไปด้วยต้นเสม็ดแดง และเฟินหนาแน่นอันชุ่มชื้นบนพื้นป่า

1227

ถึงแล้ว จุดชมวิวแรก มองออกไปเห็นเทือกเขาหินปูน และสวนยางพาราซึ่งเกิดจากการบุกรุกป่าธรรมชาติในอดีต ต้องรีบกันหน่อยแล้ว เพราะเหลืออีกตั้ง 1.5 กิโลเมตร กว่าจะถึงยอดเขา จะทันแสงสุดท้ายรึเปล่านะ?

1324

ดูกันใกล้ๆ กับต้นเสม็ดแดงบนป่าสันเขาหงอนนาค เปลือกมันจะแตกเป็นเกล็ดๆ แบบนี้ล่ะ สีก็แดงเตะตา ทำให้ป่าผืนนี้มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

1423

1522

พูพอนของต้นไม้ใหญ่บางชนิดแผ่กว้าง สูงใหญ่กว่าหัวเราซะอีก พูพอนนี้จะเกิดขึ้นในส่วนโคนของต้นไม้ที่มีรากตื้น เพื่อทำหน้าที่ช่วยค้ำยันไม้ใหญ่ต้นนั้นไม่ให้โค่นล้มลงง่ายๆ

1620

 เห็ดขอน งอกขึ้นมาจากซากไม้ล้มระหว่างทาง เห็ดพวกนี้ไม่ได้สวยอย่างเดียวนะ แต่ยังทำหน้าที่ผู้ย่อยสลายตามธรรมชาติ (Decomposer) นำสารอาหารจากสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว กลับคืนลงสู่ผืนดินอีกครั้ง

1720

 ระหว่างทางเราพบเห็ดระโงกสีเหลืองสด พี่เจ้าหน้าที่นำทางบอกว่าเห็ดสีสวยอย่างนี้ แต่กินไม่ได้นะ เป็นเห็ดพิษครับ

1818

 ทางเดินบนสันเขามีมอสเขียวสดขึ้นเป็นกอหนาแน่นอยู่ตามพื้น เห็นแล้วนึกว่าอยู่ที่ญี่ปุ่น! แต่ไม่ใช่หรอก เพราะบนเขาหงอนนาคมีอากาศเย็นและชุ่มชื้นตลอดปีนั่นเอง มอสพวกนี้จึงเจริญงอกงามอยู่ได้

1917

 พี่อิช พี่ชายใจดีแห่งเว็บไซต์เมืองไทยดอทคอม ในมาดนักผจญภัยตัวจริง ผู้พิชิตเขาหงอนนาคได้สำเร็จ แต่จุดนี้ยังไม่ถึงยอดเขาสูงสุดนะ ต้องเดินต่อไปอีกกว่า 20 นาที

2015

2119

 ไชโย! ถึงแล้ว ยอดเขาหงอนนาค สูง 565 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มองลงไปเห็นวิวได้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาแบบพาโนรามา โดยมองเห็นอ่าวนางอยู่ลิบๆ ทางขวามือโน่นไง

2215

 ผาหงอนนาค กับวินาทีอันแสนหวาดเสียวของนายแบบสุดอึดสุดเท่ห์ของเรา

2312

 น้องตั๊ก นางแบบแสนสวยที่ร่วมเดินทางพิชิตยอดเขาด้วยกันในครั้งนี้ เอนกายผ่อนคลายอย่างสบายอารมณ์บนยอดเขาหงอนนาค หลังจากเดินเทรกกิ้งขึ้นเขามาเกือบ 3 ชั่วโมง! แต่เธอก็ยิ้มได้

2410

257

 แสงสุดท้ายของตะวันสีทอง อาบทาท้องฟ้าและทะเลกระบี่ เห็นได้ชัดเจนอิ่มตาอิ่มใจจากยอดเขาหงอนนาค

266

 ฟ้ายังไม่มืดสนิท แต่ที่อ่าวนางก็เริ่มเปิดไฟกันแล้ว

275

 ระหว่างทางลงอันมืดสนิทกลางป่า พวกเราใช้ไฟฉายนำทางค่อยๆ เดินกันลงมาอย่างระมัดระวัง ระหว่างทางได้ยินเสียงนก แมลง และสัตว์กลางคืนเริ่มร้องระงม โชคดีพบนกโพระดกกลับเข้าโพรงนอน เลยขอเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกหน่อยนะจ๊ะเจ้านกน้อย

 

Special Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกระบี่ และผองเพื่อนจากเว็บไซต์ เมืองไทยดอทคอม ที่สนับสนุนการเดินทาง และแบ่งปันประสบการณ์สนุกๆ ในทริปนี้ให้แก่กันและกัน

สอบถามเพิ่มเติมที่ ททท. สำนักงานกระบี่ โทร. 0-7562-2163, 0-7561-2811-2

Traveler’s Guide

How to go : การเดินทางสู่เขาหงอนนาค จากตัวเมืองกระบี่ใช้ทางหลวงหมายเลข 4034 ถึงบ้านหนองทะเล ตรงไปเรื่อยๆ จนพบสามแยกวัดคลองสน เลี้ยวขวาตรงไปเรื่อยๆ ถึงสามแยกบ้านคลองม่วง (ทางซ้ายมือจะไปหาดคลองม่วง และไปพระตำหนักที่ประทับ) ให้เลี้ยวขวาไปทางบ้านเกาะกวาง หาดทับแขก ไปจนสุดทางถนน จะพบที่ทำการอุทยานหงอนนาค อันเป็นจุดเริ่มเดินขึ้นไปชมธรรมชาติบนยอดเขา แต่นักท่องเที่ยวควรติดต่อล่วงหน้า และควรมีเจ้าหน้าที่นำทางเสมอ เพราะบางจุดป้ายไม่ชัดเจน อาจหลงทางได้!

Contact : เขาหงอนนาค หมู่ที่ 3 ตำบลหนองทะเล อำเภอเมืองฯ จังหวัดกระบี่ เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ติดต่อ โทร. 0-7563-7200 (งานบ้านพัก), 0-7566-1145, 0-7563-7436

บุกถ้ำมนุษย์โบราณ เขาขนาบน้ำ จ.กระบี่

เขาขนาบน้ำ สัญลักษณ์สำคัญที่สุดของจังหวัดกระบี่ ถือเป็น Landmark ซึ่งไม่มีที่ใดเหมือน จดจำง่าย และโดดเด่นเป็นที่ภาคภูมิใจของชาวกระบี่ทุกคนครับ

248

 เขาขนาบน้ำ เป็นเขาสองลูกสูงประมาณ 100 เมตร ขนาบแม่น้ำกระบี่ด้านหน้าตัวเมือง ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองกระบี่ สามารถไปเที่ยวชมได้โดยเช่าเรือหางยาวที่ท่าเรือเจ้าฟ้า ใช้เวลาเดินทางเพียง 15 นาที นอกจากนั่งเรือชมเขาและป่าชายเลนที่มีความสมบูรณ์แล้วยังสามารถเดินขึ้นไปเที่ยวถ้ำได้ ภายในมีหินงอกหินย้อย และเป็นสถานที่ที่เคยพบโครงกระดูกมนุษย์จำนวนมากอีกด้วยแต่ปัจจุบันไม่หลงเหลืออยู่แล้ว  สันนิษฐานว่าอาจเป็นโครงกระดูกของกลุ่มคนที่อพยพมาตั้งหลักแหล่งแต่ล้มตายลงเนื่องจากเกิดอุทกภัยอย่างฉับพลัน และสำหรับนักนิยมพายเรือคายัค, เรือแคนู บริเวณนี้เหมาะที่จะพายเรือมาก เพราะมีธรรมชาติเขียวชอุ่มด้วยป่าชายเลน และน้ำก็นิ่ง ไม่มีคลื่นแรงให้หวาดเสียวกัน

KBI9842

 จากลานปูดำมองไปเห็นเขาขนาบน้ำได้ชัดแจ๋ว ถ่ายรูปเจ๋ง โดยเฉพาะตอนเช้าๆ ที่คึกคักด้วยชมรมรำมวยไทเก็กกระบี่

KBI9912

ที่ลานปูดำ ทุกเช้าตรู่จะมีคุณป้าคุณน้า มารำมวยไทเก็ก และรำพัดจีน เพื่อออกกำลังกาย สูดอากาศบริสุทธิ์ ใครสนใจเข้าร่วมได้ไม่ว่ากันครับ

KBI9111

ลานปูดำ Landmark แห่งใหม่ของคนกระบี่ เราสามารถลงเรือจากจุดนี้ไปเขาขนาบน้ำที่อยู่เบื้องหน้าได้ ใช้เวลาไม่เกิน 20 นาทีเอง

325

จากท่าเรือบริเวณลานปูดำ มองไปทางเขาขนาบน้ำจะเห็นวัดถ้ำเสือ และเขาพนมเบญจา (ยอดเขาสูงที่สุดในจังหวัดกระบี่) ยืนตระหง่านอาบเมฆหมอกอยู่เบื้องหลัง อย่างชัดเจน

423

 แนวป่าชายเลนแน่นทึบบริเวณลำคลองเขาขนาบน้ำ มีกุ้ง หอย ปู (ปูดำ) ปลานานาชนิดอาศัยอยู่ ให้ผู้คนได้พึ่งพิงจับกิน และนำไปขายเลี้ยงปากท้องครอบครัว นี่ถ้าไม่มีป่าชายเลน จะเกิดอะไรขึ้นหนอ?

เขาขนาบน้ำ 1

524

 กัปตันเรือใจดียิ้มแฉ่ง พร้อมลูกชาย พาเราไปเที่ยวเขาขนาบน้ำในวันนี้

623

723

 พร้อมแล้ว ก็ไปลุยถ้ำมนุษย์โบราณกันได้เลย!

824

 ระหว่างทางจากท่าจอดเรือเดินไปปากถ้ำ มีซอกหลืบโพงหินปูนให้สำรวจนับไม่ถ้วน

924

1023

 ด่านแรก ต้องไต่บันไดสูงชันขึ้นสู่ปากถ้ำเขาขนาบน้ำครับ จะมีอะไรรอเราอยู่ด้านในบ้างเอ่ย?

1129

 เคยมีการขุดพบซากโครงกระดูกมนุษย์โบราณบริเวณปากถ้ำเขาขนาบน้ำ แต่ปัจจุบันนักโบราณคดีได้เคลื่อนย้ายของจริงไปเก็บรักษาไว้แล้ว จึงมีการทำหุ่นจำลองมาวางไว้ให้ชมกัน สังเกตให้ดีบนพื้นทรายบริเวณนี้มีรูของแมลงช้างอยู่นับร้อยๆ รู แมลงพวกนี้จะขุดโพรงลงไปฝังตัวเองอยู่ใต้ทราย รอให้มีเหยื่อตกลงไปในโพรงแล้วจัดการงาบกินเป็นอาหาร!

1226

ถ้ำเขาขนาบน้ำ 3

 โถงใหญ่สุดภายในถ้ำเขาขนาบน้ำ เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อย และเสาหินปูนขนาดยักษ์มากมาย มองออกไปอีกฝั่งหนึ่งเป็นโพรงช่องทะลุขนาดยักษ์ ที่ปล่อยให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาได้เกือบทั่วถึง

1323

จากปากถ้ำด้านหน้า พอปีนบันไดขึ้นมาก็จะพบกับคูหาแรกหน้าตาสวยงามอย่างนี้ล่ะครับ

1422

1521

ถ้ำเขาขนาบน้ำ 2

โถงถ้ำเขาขนาบน้ำในคูหาใหญ่ที่สุดตรงกลาง เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยตื่นตา อลังการมาก

1619

ถ้้ำเขาขนาบน้ำ 1

กลางโถงถ้ำในเขาขนาบน้ำ มีเสาหินปูนขนาดยักษ์ สูงหลายสิบเมตรตั้งตระหง่านอยู่

1719

กว่า 3,000-5,000 ปีที่แล้ว เคยมีมนุษย์ถ้ำอาศัยอยู่ในถ้ำเขาขนาบน้ำด้วย! รวมถึงถ้ำผีหัวโต, ถ้ำชาวเล, เขากาโรส, ถ้ำเขาตีบนุ้ย, แหลมไฟไหม้, แหลมชาวเล, เขาเขียนในสระ และถ้ำหน้ามันแดง พวกเขาเหล่านั้นใช้ยางไม้ผสมดินฝุ่นสีแดง เขียนภาพไว้บนผนังถ้ำ เพื่อบันทึกวิถีชีวิตประจำวัน รวมถึงพิธีกรรมต่างๆ มีทั้งรูปคน สัตว์บก สัตว์น้ำ และรูปทรงเรขาคณิต

1817

 ภาพมือคนมี 6 นิ้ว นี้จริงๆ แล้วสำรวจพบที่ถ้ำผีหัวโตในคลองบ่อท่อครับ แต่จำลองมาให้นักท่องเที่ยวได้ชมกันด้วย

1916

วิถีชีวิตของมนุษย์ถ้ำยุคแรกๆ บนแผ่นดินกระบี่ น่าจะมีรูปแบบเป็นอย่างนี้เอง คือดำรงชีพด้วยการเก็บ หา ล่า ไล่ และเริ่มสร้างเครื่องมืออย่างง่ายๆ ขึ้นมาเพื่อเป็นอุปกรณ์ล่าสัตว์ ทำอาหาร

2014

ถัดจากมุมจำลองวิถีชีวิตมนุษย์ถ้ำ ก็มีมุมจำลองค่ายพักทหารญี่ปุ่น ซึ่งเคยใช้ถ้ำแห่งนี้เป็นที่หลบภัยสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย

2118

มนุษย์โบราณคงจะอยู่กันกระจัดกระจายเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ดูๆ ไปก็คล้ายกับลิงเอปขนาดใหญ่ ที่เพิ่งพัฒนายืนตั้งตรงและเดินได้ มนุษย์พวกนี้ยังไม่รู้จักก่อไฟ จึงกินอาหารสดกันเหมือนหุ่นจำลองนี้ล่ะครับ

2214

2311

 เที่ยวเขาขนาบน้ำเสร็จแล้ว อย่าเพิ่งรีบกลับ ต้องให้คนเรือพาไปชิมอาหารแสนอร่อยที่ร้าน “บ้านมะหญิง” ซึ่งมีลักษณะเป็นร้านอาหาร Seafood บนกระชังปลา รับรองว่าของทุกอย่างสดใหม่ เพราะกระบี่เป็นประมงชายฝั่ง จึงมีของสดให้ชิมไม่เว้นแต่ละวันครับ สังเกตดูขนาดของกุ้ง หอย ปู ปลา บนโต๊ะเอาเองก็แล้วกัน ว่ามันอลังการขนาดไหน?!

249

เอาภาพมายั่วน้ำลายกันเล่นๆ แบบ Close Up แค่เมนุเดียวพอ คือ กุ้งซอสมะขาม แม่เจ้า!!! กุ้งตัวใหญ่เท่าฝ่ามือเลย!!! แถมน้ำซอสเข้มข้นมะขามเปียก หวานอมเปรี้ยว กินกับข้าวสวยร้อนๆ เจ๋ง!

256

265

 ระหว่างรอกับข้าวออกจากครัว ใครแรงเหลือจะไปพายเรือคายัคเล่นหน้าแพ ร้านบ้านมะหญิงก็ได้นะ เขามีเรือให้ยืมจ้า

274

นอกจากจะมีอาหาร Seafood สดอร่อยแล้ว ครัวบ้านมะหญิงยังมีกระชังปลาให้นักท่องเที่ยวสัมผัสวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้านด้วย ถึงกึ๋นจริงๆ นะเนี่ยะ

283

อิ่มแปล้แล้ว ระหว่างทางกลับท่าเรือ พี่กัปตันใจดียังพาเราลัดเลาะเข้าไปในป่าชายเลนแน่นทึบ บ่งชี้ว่ากระบี่วันนี้ยังมีธรรมชาติสมบูรณ์สมคำร่ำลือจริงๆ

Special Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกระบี่ และผองเพื่อนจากเว็บไซต์เมืองไทยดอทคอม ที่ช่วยสนับสนุนการเดินทาง พร้อมแบ่งปันมิตรภาพดีๆ ให้แก่กันครับ

Traveler’s Guide

When to go : ท่องเที่ยวได้ตลอดปี แต่อากาศปลอดโปร่ง ฟ้าใสที่สุด ช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน

How to go : สามารถไปเที่ยวชมได้โดยเช่าเรือหางยาวที่ท่าเรือเจ้าฟ้า ใช้เวลาเดินทางเพียง 15 นาที ค่าเช่าเรือประมาณ 300-500 บาท และมีค่าเข้าชมถ้ำเขาขนาบน้ำอีกคนละ 30 บาท (ราคาชาวต่างชาติเท่าคนไทย)

Contact : สอบถามเพิ่มเติมที่ ททท. สำนักงานกระบี่ โทร. 0-7562-2163, 0-7561-2811-2

ปล่อยตัวและหัวใจไปกับโลกธรรมชาติ เขากาโรส จ.กระบี่

324

 แนวป่าชายเลนตรงท่าเรือไปเขากาโรส ทุกวันนี้ยังอุดมสมบูรณ์ มีต้นโกงกางเรียงขึ้นกันแน่นเอี๊ยด ทำหน้าที่เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำและปราการธรรมชาติป้องกันคลื่นลมได้อย่างยอดเยี่ยม

246

 เดินไปลงเรือหางยาว (เรือหัวโทง) ที่จอดคอยอยู่ตรงปลายหัวสะพานที่ป่าชายเลน

422

 ทีมงานเราจัดเต็มกับอุปกรณ์กันแดดนานาชนิด รับรองว่าวันนี้ไปเที่ยวเขากาโรสต้องสนุกแน่ พอๆ กับแดดที่ร้อนจัดจนตัวเกรียม! แต่เราก็ยอม เพราะเมื่อฟ้าใส ก็ได้ภาพสวยครับ

523

622

 ถึงแล้วครับ นี่คือด้านหน้าเขากาโรสก่อนลอดถ้ำทะลุเข้าไปสู่ลากูนด้านใน

722

 เขากาโรส หรือเกาะกาโรส เกาะลึกลับชายฝั่งทะเลกระบี่ ซึ่งเคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์โบราณในยุค 3,000-5,000 ปีก่อน และยังปรากฏร่องรอยภาพเขียนสีบนเพิงผาหินปูนให้ชมกันด้วย นอกจากนี้ยังมีป่าชายเลน พรรณไม้หินปูนแปลกๆ และถ้ำลอดให้พายเรือ หรือนำเรือหางยาวค่อยๆ ลอดเข้าไปชมธรรมชาติภายในลากูนด้านในได้ด้วย

823

 ค่อยๆ แล่นเรือช้าๆ เงียบๆ เข้าสู่ลากูนเขากาโรส ที่เงียบ วังเวง และสวยด้วยธรรมชาติแสนบริสุทธิ์

923

1022

1128

1225

 ตรงบริเวณปากถ้ำทะลุ มีโพรงหินรูปหัวใจ ที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำตามธรรมชาติอยู่ด้วย ว้าว! Amazing มากๆ เหมาะจะมาบอกรักกันตรงนี้มากเลยนะ ฮาฮาฮา

1322

1421

 ดับเครื่องเรือ แล้วค่อยๆ แจวช้าๆ เงียบๆ ลอดถ้ำทะลุ สดับฟังสรรพสำเนียงแห่งธรรมชาติ

1520

พี่อิชและน้องตั๊ก แห่งเว็บไซต์เมืองไทยดอทคอม ทำ CSR ปล่อยลูกปลากะพงให้ไปเติบโตขยายพันธุ์ เพิ่มความอุดมแก่ธรรมชาติเขากาโรสต่อไป ต้องขอบคุณท่านประมงจังหวัดกระบี่ ที่เอื้อเฟื้อพันธุ์ลูกปลาให้เราในครั้งนี้ครับ

1618

1718

1816

 เพิงผาหินปูนบนเขากาโรส มีร้ิวลายหลากสี เคียงคู่กับพรรณไม้ทนแล้งนานาชนิด

1915

 ในบริเวณเกาะกาโรส (เขากาโรส) ยังมีแนวป่าชายเลนอุดมสมบูรณ์มาก นี่ล่ะคือแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ และปราการธรรมชาติป้องกันคลื่นลมได้อย่างดีเยี่ยม

2013

 จอดเรือหัวโทงไว้ แล้วชวนกันปีนป่ายขึ้นไปบนจุดชมวิวถ้ำกาโรส

2117

2213

2310

 ถึงแล้ว จุดชมวิวตรงปากถ้ำกาโรส เบื้องล่างคือผืนน้ำและป่าชายเลนอุดมสมบูรณ์แน่นทึบ

247

255

 สาวสวยหนุ่มหล่อคู่นี้ แต่งตัวสีสันไม่เกรงใจเพื่อนเลยนะครับ ฮาฮาฮา (ล้อเล่น) จากปากถ้ำกาโรสมองออกไปเห็นสภาพภูมิทัศน์โดยรวมของบริเวณนี้ได้เต็มตาเลย

264

 เดินกลับลงมาจากถ้ำกาโรส เพื่อลงเรือต่อไปชมภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์ครับ แต่ตอนปีนลงบันไดกลับลงนี่สิลื่นมาก! ต้องก้าวช้าๆ และระมัดระวังให้มาก

273

282

 บนหน้าผาหินปูนเขากาโรส (เกาะกาโรส) มีภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ อายุ 3,000-5,000 ปีอยู่ 2 กลุ่ม โดยอยู่บนเพิงผาสูง มนุษย์ปัจจุบันขึ้นไม่ถึง วาดด้วยฝุ่นดินหรือยางไม้สีแดง เป็นภาพกิจกรรมการล่าสัตว์ แต่ทุกวันนี้ภาพเลือนลางไปมาก เพราะผ่านกาลเวลาและแดดลมมาเนิ่นนานเหลือเกิน

292

 ดูให้ดีในป่าโกงกางตรงท่าเรือไปเขากาโรส มีฝูงลิงแสมน่ารักๆ ออกมาโชว์ตัวรับแขกอยู่เพียบเลย แต่ขอแนะนำว่าไม่ควรให้อาหารพวกมันนะครับ มันจะเสียนิสัยลิงตามธรรมชาติ แม่ลูกคู่นี้นั่งสังเกตการณ์เราตาไม่กะพริบเลยเชียว

 Special Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกระบี่ และผองเพื่อนจากเว็บไซต์ เมืองไทยดอทคอม สนับสนุนการเดินทางทริปนี้ ด้วยมิตรภาพ และไมตรีอันน่าจดจำ

Traveler’s Guide

Best season : ท่องเที่ยวได้ตลอดปี แต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน ฟ้าใส ทะเลสงบที่สุด

How to go : จากตัวเมืองกระบี่ไปตามทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ประมาณ 45 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงชนบทหมายเลข 4039 ประมาณ 14 กิโลเมตร สุดท้ายจะถึงท่าเรือบ้านแหลมสัก จากนั้นลงเรือหางยาว (เรือหัวโทง) ต่อไปยังเขากาโรส ใช้เวลาท่องเที่ยวประมาณครึ่งวัน แนะนำให้ไปเที่ยวช่วงเช้า เพราะช่วงบ่ายแดดจะร้อนมาก และเรือนำเที่ยวที่นี่ไม่มีหลังคา แนะนำให้เตรียมร่ม, หมวก, แว่นกันแดด, ครีมกันแดด, เสื้อแขนยาว ไปด้วยครับ

Contact : สอบถามเพิ่มเติมที่ ททท. สำนักงานกระบี่ โทร. 0-7562-2163, 0-7561-2811-2

In Love with Art @ราชบุรี

“ราชบุรี” หนึ่งในจังหวัดชายแดนตะวันตกซึ่งอาบอิ่มด้วยธรรมชาติ เป็นดินแดนใกล้กรุงอันน่าเที่ยว วันนี้เขามีการพลิกฟื้นเมืองให้เต็มอิ่มสีสันด้วย “ศิลปะร่วมสมัย” เป็นแนว Trendy & Modern Art ที่ใช้ความคลาสสิกของราชบุรีเป็นฉาก ทั้ง Art Gallery การแสดง งานหัตถกรรม และ Art ในวิถีแห่งผู้คน ทริปนี้ร่วมกันเดินทางไปเปิดมุมมองใหม่ในการท่องเที่ยวราชบุรีกันเถอะ

เราเริ่มต้นทริปแบบ Art Art ในบรรยากาศแสนโรแมนติกกันที่อำเภอสวนผึ้ง ซึ่งอยู่ห่างตัวเมืองราชบุรี ไปเพียง 60 กิโลเมตร เขาบอกว่าอำเภอนี้คือผืนป่าใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด คือห่างกันเพียง 160 กิโลเมตร อากาศจึงบริสุทธิ์ เย็นสบาย วันนี้เห็นสวนผึ้งกำลังเติบโต มีรีสอร์ทเก๋ๆ เท่ๆ แต่งแต้มสีสันเมืองพักผ่อนแห่งนี้ให้มีชีวิตชีวา

2

“สวนศิลป์ บ้านดิน” ธรรมชาติสถานเพื่อการเรียนรู้งานศิลป์ แห่งตำบลเจ็ดเสมียน ตั้งอยู่ในพื้นที่กว่า 3 ไร่ ร่มรื่นด้วยแมกไม้ธรรมชาติ สวนสวย สระน้ำ และสวนมะม่วง ธรรมชาติและศิลปะจึงเข้าคู่กันได้อย่างลงตัว พร้อมด้วยที่พักสไตล์บ้านดินอันมีเอกลักษณ์ ได้มาเยือนแล้วสบายตาสบายใจ สถานที่แห่งนี้อยู่ในความดูแลของภัทราวดีเธียเตอร์ ก่อตั้งขึ้นโดยครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน ร่วมกับครูนาย มานพ มีจำรัส ศิลปินเจ้าของรางวัลศิลปาธร สาขาศิลปะการแสดง เพื่อให้เป็นศูนย์กลางพบปะของศิลปิน พร้อมด้วยเวทีการแสดงเปิดกว้างอย่างสร้างสรรค์ โดยในโครงการ In Love with Art @Ratchaburi ครูนายได้เนรมิตการแสดงชุด “เจ้าจันท์ ผมหอม”   ให้ชม เป็นการแสดงร่วมสมัยที่ดันแปลงมาจากนวนิยายรางวัลซีไรท์ ของคุณมาลา คำจันทร์ เนื้อเรื่องลึกซึ้งกินใจ

3

4

5

6

 “โรงงานเซรามิกก เถ้าฮงไถ่” โรงงานแรกที่คิดทำ “โอ่งมังกร” ขึ้นใช้ในราชบุรีเมื่อกว่า 80 ปีก่อน จนโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศในปัจจุบัน ประวัติเขาเล่าว่า สมัยก่อนคนราชบุรีไม่มีน้ำประปาใช้ ทุกบ้านจึงต้องมีโอ่งไว้เก็บน้ำฟ้าน้ำฝนไว้ใช้กินดื่มกัน ภายหลังเมื่อเริ่มมีน้ำประปาใช้แล้ว โอ่งจึงลดความสำคัญลง ทว่าโอ่งมังกรแห่งราชบุรีซึ่งมีลวดลายสวยงาม ไม่เหมือนใคร อีกทั้งมีคุณภาพทนทานแข็งแรงมาก ก็เร่ิมพัฒนาจากโอ่งใช้งาน กลายเป็นโอ่งประดับสวน แล้วมีการคิดค้นรูปแบบใหม่ เป็นตุ๊กตาโน่นนี่นั่น รวมทั้งกระถางบัว กระถางต้นไม้ แจกัน โต๊ะ เก้าอี้ ที่ใส่เทียนหอม อ่างบัว และตุ๊กตาไม่จำกัดรูแบบหรือขนาด ทุกวันนี้เราสามารถเข้าชมโรงงานและขั้นตอนการผลิตได้ทุกวัน แถมมีส่วนให้เราทดลองทำเองด้วย

7

8

 “เมืองเก่าโพธาราม” ที่ได้รับนิยามว่า “เมืองเล็กที่จะทำให้คุณหลงรัก” เป็นชุมชนเล็กๆ ริมลำน้ำแม่กลอง ซึ่งจะว่าไปแล้วเคยยิ่งใหญ่ เพราะเป็นชุมทางค้าขายสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์เคยเสด็จฯ เยือน แล้วทรงมีพระราชหัตถเลขาว่า “ตำบลโพธารามนี้เป็นที่ตลาดอย่างสำเพ็ง ยืดยาวมาก ผู้คนหนาแน่น จำนวนคนมีถึง 40,000 มากกว่าอำเภอเมืองราชบุรีเสียอีก” เนื่องจากอดีตไม่มีถนน ผู้คนจึงใช้เรือขึ้นล่องผ่านโพธารามทั้งสิ้น ถิ่นนี้กลายเป็นเบ้าหลอมทางวัฒนธรรมของชน 4 เชื้อชาติ ทั้งไทย จีน มอญ และลาว ย่านเก่าเล่าเรื่องอดีตของโพธารามอยู่ใน “ถนนโพธาราม” ซึ่งมีเรือนไม้เก่าอายุ 100-120 ปี เรียงรายต่อกัน   เริ่มต้นเที่ยวได้จากเรือนไม้สองชั้นชื่อ “บ้านแม่เลขา” เดินทอดน่องลัดเลาะตามตรอกซอกซอย ชมร้านรวงที่เริ่มมีความเป็น Art เข้าไปสร้างชีวิตชีวา และกำลังจะมีที่พักสไตล์บูกติกย้อนยุคเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ จากนั้นเดินเก็บภาพประทับใจไปยังริมน้ำ ไหว้พระวัดไทรอารีรักษ์ ชมเก๋งจีนสูงเกือบเท่าตึก 2 ชั้น สร้างอยู่ในโบสถ์   ถ้ามาในวันลอยกระทงก็จะได้ “ลอยกระทงสี” จุดประทีปรอบวัดสว่างไสว

9

 “ตลาดเจ็ดเสมียน” ตลาดเก่า 119 ปี ที่ยังคงมีชีวิตชีวา เหมาะสำหรับคนโหยหาอดีต ได้ไปเดินเล่นชื่นชมวิถีชีวิตอันเรียบง่าย ตลาดแห่งนี้ตั้งอยู่หน้าสถานีรถไฟเจ็ดเสมียนพอดิบพอดี ที่ตรงนี้เป็นชุมชนชาวจีนอันเก่าแก่ ปรากฏชัดด้วยร่องรอยบ้านไม้สองชั้นปลูกเรียงรายติดกันเป็นพืด ไล่ไปจนจรดลานริมน้ำ เราสามารถหาของกินอร่อยๆ ได้เพียบ ตั้งแต่ข้าวหมากหวาน, ข้าวหลามแสนอร่อย, ห่อหมกปลา, ผัดไทยโบราณ, ขนมหวานแบบไทยๆ ไปจนถึงอาหารสไตล์จีนขึ้นชื่อ คือ “หัวไชโป้ว” ร้านแม่ตังกวย ดั้งเดิมทำเฉพาะหัวไชโป้วเค็ม ต่อมาภายหลังปรุงให้กินง่ายขึ้นเป็นหัวไชโป้วหวาน มีทั้งแบบมาเป็นหัวๆ หั่นเป็นชิ้นลูกเต๋าพอดีคำ หั่นเป็นเส้นฝอยๆ ฝานเป็นแว่น หรือแบบผสมพริกก็มี ฯลฯ

10

11

12

เราเดินทางตามรอยตำนานโอ่งมังกรราชบุรี เพื่อไปเยี่ยมชมผลงานของลูกหลานรุ่นที่ 3 ของเถ้าฮงไถ่ คุณวศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ ซึ่งได้ก่อตั้งอาร์ตแกลลอรี่แห่งแรกขึ้นในราชบุรี เมื่อไม่นานมานี้เอง และขอบอกว่าเป็นอาร์ตแกลลอรี่เล็กๆ แต่น่ารัก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลองกลางเมืองราชบุรี ใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องสะดุดตา เพราะเขาได้บูรณะเรือนไม้เก่าสองชั้นจนกลายเป็นที่จัดแสดงงานศิลป์ สวยงาม แปลกตา น่าชื่นชมจริงๆ ที่นี่ชื่อก็แปลก คือ “D Kunst Gallery” อ่านออกเสียงว่า ดี-คุ้น เป็นภาษาเยอรมัน แปลว่า “ศิลปะ” นั่นเอง แต่ชื่อเต็มๆ ของเขาออกจะยาวหน่อย คือ “พิพิธภัณฑ์หอศิลป์ร่วมสมัย เถ้าฮงไถ่ : ดี คุนส์” (D Kunst Gallery) ตั้งอยู่ที่ถนนวรเดช หน้าเขื่อนเมืองราชบุรี เป็นอาร์ตแกลลอรี่ร่วมสมัย ที่มีผลงานของศิลปินจากทั่วประเทศหมุนเวียนกันมาให้ชม ในบรรยากาศเรือนไม้เก่าสไตล์จีนแสนคลาสสิก เขาเนรมิตเขื่อนปูนริมน้ำแม่กลองให้กลายเป็น Street Art ชวนศิลปินมาเพ้นต์ภาพสีสันสดใส เป็นภาพขนาดใหญ่เรียงรายยาวเกือบ 2 กิโลเมตร สร้างสีสันนำศิลปะมาสู่วิถีชีวิตจริง ให้คนราชบุรีและนักท่องเที่ยวสัมผัสอย่างใกล้ชิด

13

14

15

16

17

18

19

 “The Scenery Resort and Farm” ที่พักแนวบูติกรีสอร์ทธรรมชาติ ซึ่งพลิกผันตัวเองกลายมาเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวเชิงศิลปะร่วมสมัยของราชบุรี ที่อีกไม่นานเขาจะเปิดเป็น Farm Stay ให้นักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพเข้าไปพักผ่อนเรียนรู้ธรรมชาติ โดยพักกันอยู่นานๆ แบบเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ในอ้อมกอดขุนเขาและป่าไม้ของอำเภอสวนผึ้ง The Scenery เข้าร่วมโครงการ In Love with Art @Ratchaburi จัด Outdoor Concert ในฟาร์มแกะ พร้อมจุดเทียนหอมนับหมื่นดวง! ให้ฟาร์มสว่างไสวในยามราตรี เคล้าเคลียอากาศเย็นฉ่ำ ชักนำนักท่องเที่ยวที่คลั่งไคล้ไหลหลงในศิลปะ และบทเพลงแบบ Love Love เข้ามารวมตัวกัน ถือเป็นการสร้างแนวท่องเที่ยวใหม่ให้แก่ราชบุรี นอกจากจะได้เข้าไปพักผ่อนเติมเต็มพลังงานชีวิตกับธรรมชาติของสวนผึ้งแล้ว ยังจะได้ใกล้ชิดศิลปะอย่างแท้จริง

20

21

ใครมาเที่ยวสวนผึ้งต้องไปแวะที่ “บ้านหอมเทียน” อีกหนึ่งสถานที่ซึ่งมีกลิ่นอายศิลปะเข้ามาเจือปน จนสามารถดึงดูดผู้คนได้ไม่ขาดสาย ที่นี่คือแหล่งจำหน่ายเทียนหอมสไตล์โมเดิร์นหลากหลายรูปแบบ น่าใช้ น่ามอง ยิ่งเวลาจุดในห้องกลิ่นจะหอมชื่นใจ ทำให้รู้สึกสดชื่น เทียนเขาเก๋มาก มีทั้งเป็นก้อนสี่เหลี่ยม ลวดลาย สีสันสดใสน่ารัก ใช้เป็นของวางประดับบ้านก็ยิ่งดี หรือจะเป็นเป็นเทียนในถ้วยแก้ว จุดแล้วสว่างไสว หรี่ไฟที่บ้านลงนิดนึง แสงเทียนจะโดดเด่นน่ามอง ซื้อหากลับบ้านกันไปเป็นของฝากแสนน่ารัก พอช้อปเสร็จ เขายังมีมุมสวนหย่อมน่านั่ง ให้ดูดดื่มกาแฟเย็นๆ ในบรรยากาศชิลชิล อย่างนี้สิน่า ใครมาสวนผึ้งก็ต้องหลงรัก

ได้เวลากลับบ้านแล้ว ทริปนี้เราพกพาเอาความประทับใจกันมาเต็มเปี่ยม พร้อมด้วยเรื่องราวของศิลปะ ที่ศิลปินสาขาต่างๆ ได้ช่วยกันสร้างสรรค์ปั้นแต่งขึ้น ให้ราชบุรีมีมุมมองใหม่ เป็นจุดหมายใหม่ในการท่องเที่ยวเชิงศิลป์ เพื่อสืบสานศิลปะให้อยู่คู่โลกสวยใบนี้ตลอดไป

Special Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ฝ่ายสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว สนับสนุนการเดินทาง

 Traveler’s Guide

Best season : ท่องเที่ยวได้ตลอดปี แต่เขตอำเภอสวนผึ้งในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายม อากาศร้อนจัด

How to go : รถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ มี 2 เส้นทางให้เลือก คือ ถนนสายเก่าสายเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) ผ่านบางแค-อ้อมน้อย-อ้อมใหญ่-นครชัยศรี-นครปฐม-ราชบุรี และเส้นทางสายใหม่ (ทางหลวงหมายเลข 338) กรุงเทพฯ-พุทธมณฑล-นครชัยศรี เข้าถนนเพชรเกษมบริเวณอำเภอนครชัยศรี ก่อนถึงตัวเมืองนครปฐมประมาณ 16 กิโลเมตร จากนั้นใช้ถนนเพชรเกษมตรงไปตัวเมืองราชบุรี รวมระยะทาง ประมาณ 100 กิโลเมตร ส่วนการเดินทางไปอำเภอสวนผึ้ง จากตัวเมืองราชบุรี ใช้ทางหลวงหมายเลข 3087 ที่จะไปอำเภอสวนผึ้ง-จอมบึง ระยะทาง 60 กิโลเมตร ก็ถึงแล้ว

Where to stay : สวนศิลป์บ้านดิน เจ็ดเสมียน อำเภอโพธาราม โทร. 0-3239-7668, 08-1831-7041 www.facebook.com/SuansilpBandin และ Aristo Chic Resort & Farm อำเภอสวนผึ้ง โทร. 08-5566-5533, 08-0985-5666 www.aristo-resort.com

What to eat : ก๋วยเตี๋ยวไข่คุณแหม๋ม ถนนราษฏรยินดี อำเภอเมืองราชบุรี อยู่ข้างโรงพยาบาลพร้อมแพทย์ โทร. 08-1944-5406 เปิดทุกวัน เวลา 07.00-17.00 น. ร้านนี้อร่อยทั้งของหวานของคาว คนแน่นตลอดวัน

Souvenirs : หัวไชโป้วแม่ตังกวย ตลาดเจ็ดเสมียน โทร. 0-3239-7090, 08-3546-6614

More info : ททท. สำนักงานจังหวัดราชบุรี โทร. 0-3247-1005-6 / ชมรมอย่าลืม… โพธาราม โทร. 08-6318-2391 / บ้านหอมเทียน อำเภอสวนผึ้ง โทร. 08-1841-1895, 08-5845-7379 / โรงงานเซรามิก เถ้าฮงไถ่ อำเภอเมืองราชบุรี โทร. 0-3233-7574, 08-6344-9191 www.thtceramic.com / D Kunst Gallery อำเภอเมืองราชบุรี โทร. 08-1880-3600, 0-3232-3630