เปิดเทศกาลงานดอกไม้เมืองหนาว ‘แก่นมะกรูด’ จ.อุทัยธานี 2018

ลมหนาวพัดโชยมาแล้ว แม้ว่าจะไม่หนาวเท่าปีก่อนๆ ทว่าที่ ต.แก่นมะกรูด อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางราวๆ 750-1,200 เมตร ก็เริ่มเย็นฉ่ำ พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศ ให้มาชื่นชมสวนดอกไม้หลากสีหลายสายพันธุ์ ที่กำลังเบ่งบานขานรับการส่งท้ายปีเก่า 2018 ต้อนรับปีใหม่ 2019 อย่างเต็มรูปแบบแล้วเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2018 จังหวัดอุทัยธานี ร่วมกับชาว ต.แก่นมะกรูด อ.บ้านไร่ จึงจับมือกันเปิดงาน ‘เทศกาลดอกไม้เมืองหนาวแก่นมะกรูด’ อย่างเป็นทางการ ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย โดยมี นายณรงค์ ร้กร้อย ผู้ว่าจังหวัดอุทัยธานี เป็นประธานเปิดงาน ร่วมด้วย นายภฤศ พุทธนบ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานอุทัยธานี, นายเผด็จ นุ้ยปรี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุทัยธานี, ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ, นายอำเภอบ้านไร่ และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุทัยธานีท่านผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี กล่าวเปิดงานเทศกาลดอกไม้เมืองหนาวแก่นมะกรูด สร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวผู้มาเยือน ด้วยความพร้อมทุกด้าน ทั้งการจราจรในพื้นที่, ความปลอดภัย, ห้องน้ำ, สิ่งอำนวยความสะดวก และการช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉินนายภฤศ พุทธนบ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานอุทัยธานี กล่าวเชิญชวนนักท่องเที่ยวทั่วไทยให้มาเยี่ยมชมสวนดอกไม้เมืองหนาว ต.แก่นมะกรูด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาคเหนือตอนล่าง ที่อยู่ห่างจากเมืองกรุงเพียง 230 กิโลเมตร เดินทางสะดวก มีอาหารอร่อย วิวสวยๆ ไว้คอยต้อนรับ แถมผู้คนที่นี่ยังยิ้มง่ายใจดีด้วยล่ะความสดชื่นสดใสของบรรยากาศที่แก่นมะกรูดท่ามกลางลมหนาวแม้ว่าแก่นมะกรูดจะอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางเพียง 1,000 กว่าเมตร ทว่าอากาศในช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ก็เย็นสบาย ไม่แพ้ภาคเหนือตอนบน สามารถปลูกดอกไม้เมืองหนาวได้หลากชนิด โดยเฉพาะดอกลิลลี่ ที่ถือว่าโดดเด่นเป็นพระเอกคอยรับแขก จึงถือว่า ‘แก่นมะกรูดคือสวรรค์ของดอกลิลลี่’ อย่างแท้จริงจ้า
ยามเมื่อได้เข้าไปชมและดอมดมดอกลิลลี่ใกล้ๆ จะได้กลิ่นหอมๆ และได้ยินเสียงหึ่งๆ ของผึ้งตัวน้อยที่คอยมาไต่ตอม ช่วยผสมเกสรให้ดอกลิลลี่สีขาวสะอาดตา ท่ามกลางแดดอุ่นและอากาศเย็นสบายยามเช้า ที่แก่นมะกรูดดอกทิวลิปบานแล้วที่แก่นมะกรูดผึ้งตัวน้อยแวะมากินน้ำหวานและละอองเกสรบนดอกคอสมอส สร้างความสดใสและชีวิตชีวาให้แก่นมะกรูดเดินถ่ายภาพไป รับลมหนาวไป ฟังเพลงไพเราะไป แหม…​อะไรจะสุขกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ฮาๆๆๆ แก่นมะกรูดเป็นถิ่นที่อยู่ของพี่น้องชาวปกากะญอหลายหมู่บ้าน ที่ตั้งรกรากอยู่อาศัยกันมาหลายชั่วอายุคน บัดนี้พวกเขาได้เข้ามามีส่วนร่วมในการท่องเที่ยว นำเราเข้าไปสัมผัสวิถีเกษตร และวิถีวัฒนธรรมอันน่าชื่นชม นอกจากที่แก่นมะกรูด อ.บ้านไร่ แล้ว ใครที่ยังมีเวลาเหลือ และอยากตระเวนเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวใหม่เอี่ยมของอุทัยธานี เราแนะนำให้ไปที่นี่เลย ‘บ้านสวนจันทร์กระจ่าง’ ต.ทุ่งนางาม อ.ลานสัก (ติดต่อ คุณอัฐพร จันทร์กระจ่าง โทร. 081-9530021) ชมสวนดอกไม้ในแนว Agro-tourism ที่เพิ่งเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวเป็นปีแรก ด้วยเสน่ห์ของดอกไม้นานาพันธุ์หลากสีสัน ที่เกิดจากความตั้งใจ ของครอบครัวจันทร์กระจ่าง เดินเที่ยวถ่ายภาพกันกลางลมหนาวในช่วงปีใหม่ให้เต็มอิ่มไปเลยนะจ๊ะ
อีกแห่งที่ห้ามพลาดคือ ‘บ้านชายเขา สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย’ อ.ลานสัก ที่ตั้งอยู่ในโอบล้อมของขุนเขารอบด้าน ถ่ายภาพออกมาได้ตื่นตาตื่นใจสุดๆ เลย (สอบถามเพิ่มเติม ติดต่อ คุณรัต โทร. 085-7310853) สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงาน อุทัยธานี โทร. 0-5651-4651-2

เบอร์โทรศัพท์ในการขอความช่วยเหลือยามฉุกเฉิน

สถานีตำรวจภูธรบ้านไร่ โทร. 056-539106

สถานีตำรวจภูธรจังหวัดอุทัยธานี โทร. 056-503100

ตำรวจท่องเที่ยว โทร. 082-3847333

หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.อุทัยธานี โทร. 081-9731116

กู้ภัยเมืองพระชนกจักรี โทร. 088-7997836

กรณีรถเสีย, รถขัดข้อง ติดต่อ วิทยาลัยชุมชนอุทัยธานี โทร. 087-1991128

โรงพยาบาลบ้านไร่ โทร. 056-539000

โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแก่นมะกรูด (หมอโรจน์) โทร. 098-6859204

กำนันตำบลแก่นมะกรูด โทร. 081-0407056

ประชาสัมพันธ์จังหวัดอุทัยธานี โทร. 056-511915

A Boutique Italian Wine Tasting & Food Pairing @204 BAR / Swissotel BANGKOK

ค่าเฟ่บ่วนจอร์โน่ ร่วมกับ สวิสโซเทล เลอ คองคอร์ต กรุงเทพฯ จัดบูติค Italian Wine Tasting ที่ 204 BAR เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2018

โดยภายในงานมีสื่อมวลชน และผู้บริหารของโรงแรม เข้าร่วมอย่างอบอุ่น มีการเทสต้ิงไวน์พิเศษหลากหลายจากทางภาคเหนือของอิตาลี นำเสนอคู่กับอาหารทานเล่นที่เข้าคู่กันได้เป็นอย่างดี และช่วยเพิ่มรสชาติให้ไวน์ได้อย่างยอดเยี่ยม วัตถุดิบต่างๆ ล้วนคัดสรรมาอย่างดี

ซึ่งจะมีการจัดงานอีกครั้งที่ 204 Bistro โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพ รัชดา ในวันที่ 17 มกราคม 2019

สำหรับคอไวน์ทั้งหลายที่สนใจ สอบถามรายละเอียดได้ที่ คุณพิม 06-2494-1649

ไวน์สุดพิเศษที่มีการเทสต้ิงกันในงานนี้ประกอบด้วย

1.GleraBrut (Sparkling wine) as welcome drink

2. Manon Pinot Grigio (White)

3. Vernaccia Torri Vernaccia (White)

4. La Bisbetica Barbera (Red)

5. Chianti Torri Vernaccia (Red)

6. Vermentino Nero  (Red)

7. Alfredo Moscato (Sparkling dessert wine)

Swissôtel Bangkok Ratchada

204 Ratchadapisek Road, | Huay Kwang, Bangkok 10320 | Thailand
Tel:  + 66 (0) 2694 2222 | Fax: + 66 (0) 2694 2212
E-mail: romteera.tanthanongsakkul@swissotel.com | www.swissotelbangkok.com

เสน่ห์นครพนมเมืองรอง ไม่ลองไปไม่รู้!

วันนี้มาเที่ยวในโครงการ Go Local Enjoy Local เที่ยวเมืองรอง ที่ไม่เป็นรองใคร โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มาที่ ‘จังหวัดนครพนม’ ดินแดนแห่งความสงบงามริมลำน้ำโขง และวัฒนธรรมหลากชนเผ่า อีกทั้งยังเป็นเพียงจังหวัดเดียวในเมืองไทยที่มีพระธาตุประจำวันเกิดครบ 7 วัน แม้ว่านครพนมจะได้รับการจัดให้เป็น ‘เมืองรอง’ ด้านการท่องเที่ยว ทว่าเมื่อได้ไปสัมผัสบรรยากาศจริงแล้ว ขอบอกเลยว่า ไม่เป็นสองรองใคร

#GoLocalEnjoyLocal #เที่ยวเมืองรองที่ไม่เป็นรองใคร #AmazingThailandGoLocal #เที่ยวท้องถิ่นไทยชุมชนเติบใหญ่เมืองไทยเติบโต #เที่ยวเมืองรอง #การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย #ททท #เที่ยวเมืองรองกับททท#TatXBlogger #TatXMediaAndBloggerclub

นครพนม เมืองเนิบช้าที่สุขสุดๆ ริมแม่น้ำโขง เมืองแห่งอาณาจักรศรีโคตรบูรอันรุ่งเรืองในอดีต ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็น Gateway to ASEAN ของอีสาน ด้วยสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 ทอดข้ามโขง นำเราเที่ยวเชื่อมโยงไปได้ถึงลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้ เลยล่ะ จากตัวเมืองนครพนมมองข้ามไปอีกฝั่งของลำโขง จะเห็นเทือกเขาหินปูนทอดยาวในฝั่งเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน ของลาว สามารถล่องเรือข้ามไปเที่ยว หรือล่องเรือชมบรรยากาศอาทิตย์อัสดงยามเย็นได้งามจับใจจริงๆวันนี้จังหวัดนครพนมได้กลายเป็น “เมืองแห่งจักรยาน” หรือ The Cycling City อย่างแท้จริงแล้ว เพราะด้วยสภาพของตัวเมืองเลียบลำน้ำโขง บรรยากาศเย็นสบาย มีจุดชมวิว และมีเลนจักรยานให้ปั่นต่อเนื่องยาวหลายกิโลเมตร อีกทั้งคนนครพนมยังนิยมปั่นจักรยานกันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว จักรยานจึงเป็นพาหนะที่ยังอยู่ในวิถีของคนที่นี่จริงๆ

เส้นทางปั่นจักรยานเที่ยวในนครพนม ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ มีอยู่ 4 เส้นทาง คือ 1.เส้นทางชมเมืองเก่าไชยบุรี 2. เส้นทางบ้านดอนนางหงส์ 3.เส้นทางเมืองโบราณบ้านหนองจันทร์ และ 4. เส้นทางเลียบโขงตัวเมืองนครพนม
ชวนกันไปเดินเล่นชิลล์ๆ ในย่าน ‘หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์’ พักผ่อนหย่อนใจ ชมวิถีชุมชนเก่าอันเนิบช้าริมลำน้ำโขงกลางเมืองนครพนม ไปชม ชิม ช็อป แชะ แชร์ กับภาพประทับใจมากมายในย่านหอนาฬิกาเก่า ซึ่งปัจจุบันมีร้านอาหารน่านั่งสำหรับวัยรุ่นเปิดกันเพียบ อีกทั้งในคืนวันศุกร์และเสาร์ ตั้งแต่เวลา 17.00-20.00 น. ยังมีถนนคนเดิน เปิดให้เดินช็อปกันยาวกว่า 800 เมตรด้วยนะบ้านเรือนเก่าริมลำโขงในเมืองนครพนม เต็มไปด้วยเสน่ห์ของรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานสีสันลานคนเมืองนครพนมมีจุดถ่ายภาพเก๋ๆ ตรงริมโขงด้วยถนนคนเดินนครพนมในย่านเมืองเก่า มีทุกวันศุกร์-เสาร์ เก๋ไก๋ น่ารักจริงๆ เลยพิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าราชการ (หลังเก่า) อำเภอเมืองนครพนม ตั้งอยู่ที่ถนนสุนทรวิจิตร ใกล้ริมแม่น้ำโขง สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลในยุคที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดครองดินแดนแถบลุ่มน้ำโขง อาคารหลังนี้เคยใช้เป็นที่พำนักของผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมในอดีต ทว่าปัจจุบันได้พลิกบทบาทมาเป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าเรื่องราวหลากหลายของนครพนม ผ่านภาพถ่ายเก่า โมเดล ภาพยนตร์สั้น ฯลฯ อีกทั้งยังเคยเป็นที่ประทับแรมของในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ครั้งเสด็จเยือนนครพนมด้วย โดยในครั้งนั้น แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ อายุ 102 ปี ได้มาถือดอกบัวรอรับเสด็จ จนกลายเป็นภาพแสนซึ้งตรึงใจที่ไม่เคยลืม

ตัวเมืองนครพนมปัจจุบัน มีพี่น้องชาวไทยคริสต์จากเวียดนามที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่จำนวนมาก จึงปรากฏโบสถ์คริสต์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในภาคอีสานขึ้น ในนาม “โบสถ์นักบุญอันนา” บ้านหนองแสง สร้างขึ้นโดยคุณพ่อเอทัวร์ นำลาภ เมื่อปี ค.ศ. 1926 โบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่ริมลำน้ำโขง กล่าวกันว่าเป็นโบสถ์แบบโกธิคที่สวยที่สุด 1 ใน 3 แห่งของไทย!

ในบริเวณริมโขงยังมี ‘วัดโอกาสศรีบัวบาน’ เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองนครพนมมาแต่โบราณ ตั้งอยู่บนถนสุนทรวิจิตร ตรงข้ามด่านท่าเรือนครพนม-คำม่วน สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1994 ในสมัยอาณาจักรศรีโคตรบูรรุ่งเรือง ความโดดเด่นอยู่ที่หอประดิษฐานพระติ้วและพระเทียม “พระติ้ว” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ทำด้วยไม้ติ้วบุทองคำ หน้าตักกว้าง 30 เซนติเมตร สูง 2 ฟุต สร้างโดยเจ้าผู้ครองนครศรีโคตรบูร เมื่อ พ.ศ. 1328 ส่วน “พระเทียม” สร้างให้เหมือนพระติ้ว เพื่อใช้ประดิษฐานไว้ข้างๆ เพื่อเทียม หรือแทนกันนั่นเอง

พระติ้ว พระเทียม อันศักดิ์สิทธิ์ใครตื่นแต่เช้า ก็จะได้ไปตักบาตรริมโขงที่หน้าวัดพระธาตุนคร ต้อนรรับวันใหม่อันสดใสเสน่ห์ยามเย็นของแสงสีบนฟากฟ้าเหนือลำน้ำโขงหน้าเมืองนครพนม สามารถล่องเรือชมได้ทุกวันเสน่ห์แสงยามเช้าในช่วงฤดูหนาวหน้าเมืองนครพนม มองไปยังฝั่งเมืองท่าแขก แขวงคำม่วนของลาว ฤดูหนาวน้ำโขงลดระดับ เผยให้เห็น ‘หาดทรายทองศรีโคตรบูร’ อันงดงามน่าชมเสน่ห์อันเป็นที่สุดอีกอย่างหนึ่งของนครพนมคือ ‘เทศกาลไหลเรือไฟ’ ซึ่งจะจัดขึ้นทุกปีในช่วงออกพรรษา ประมาณปลายเดือนตุลาคม ไฮไลท์ของงานคือขบวนเรือไฟใหญ่ ที่ประกวดประชันกันสร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ แต่ละลำสูงเท่าตึก 2-4 ชั้น ประดับไฟประทีปนับหมื่นดวง และลงทุนนับล้านบาท พร้อมด้วยการจุดพลุสร้างเพิ่มความสว่างไสวแก่ลำน้ำโขงอย่างยิ่งใหญ่อลังการสุดๆ

หลังจากเที่ยวตัวเมืองนครพนมในแถบริมโขงกันจนอิ่มใจแล้ว ก็ได้เวลาออกไปตระเวนเที่ยวรอบนอกกันบ้าง โดยเริ่มที่การสักการะ 7 พระธาตุประจำวันเกิดเลยดีกว่า

พระธาตุพนม (พระธาตุประจำคนเกิดวันอาทิตย์) เป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิส่วนพระอุรังคธาตุ หรือกระดูกส่วนหน้าอก ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระธาตุสูงถึง 53.60 เมตร สง่างามมาก กล่าวกันว่าแค่ได้ไปสักการะพระธาตุพนมเพียง 1 ครั้ง ก็เป็นสิริมงคลยิ่งแล้ว แต่ถ้าได้ไปสักการะครบ 7 ครั้ง ก็จะกลายเป็น “ลูกพระธาตุ” ชีวิตมีแต่ความรุ่งเรือง นอกจากนี้ยังเป็นพระธาตุประจำคนเกิดปีวอกอีกด้วย

พระธาตุเรณู (พระธาตุประจำคนเกิดวันจันทร์) อำเภอเรณูนคร เป็นถิ่นที่อยู่ของชาวผู้ไท 1 ใน 8 เผ่าของนครพนม ซึ่งพวกเขายังคงรักษาขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของตน ไว้อย่างเข้มแข็งมาก ศูนย์กลางชุมชนนี้อยู่ที่องค์พระธาตุเรณูอันตระการตา สูงกว่า 35 เมตร สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2461 โดยประดับลวดลายปูนปั้นไว้รอบๆ อย่างวิจิตร เพราะได้จำลองแบบมาจากพระธาตุพนมองค์เดิม (ก่อนที่พระธาตุพนมจะพังถล่มลงมา) นั่นเอง

พระธาตุศรีคุณ (พระธาตุประจำคนเกิดวันอังคาร) แม้ว่าจะอยู่ห่างจากตัวเมืองนครพนมถึง 78 กิโลเมตร แต่การได้ไปสักการะพระธาตุศรีคุณสักครั้ง ก็ถือว่าคุ้ม เพราะมีลักษณะเหมือนพระธาตุพนมย่อส่วน ได้กราบแล้วอานิสงส์คือส่งให้เกิดยศศักดิ์ศรี โชคลาภทวีคูณ!

พระธาตุมหาชัย (พระธาตุประจำคนเกิดวันพุธกลางวัน) อำเภอปลาปาก องค์พระธาตุสูงถึง 37 เมตร ตั้งอยู่บนฐานสูง แลสง่าน่าเลื่อมใส เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุสำคัญ อานิสงส์ของการได้มานมัสการคือ จะมีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง ทำให้ชีวิตมีแต่ความรุ่งโรจน์

พระธาตุมรุกขนคร (พระธาตุประจำคนเกิดวันพุธกลางคืน) วันพุธเป็นเพียงวันเดียวที่มีพระธาตุประจำวันเกิด 2 องค์ คือ กลางวัน และกลางคืน ในส่วนของกลางคืนมีพระธาตุมรุกขนครเป็นพระธาตุประจำวัน เนื่องจากมีเรื่องเล่าว่าครั้งพุทธกาล มีอยู่คืนหนึ่งเป็นคืนวันพุทธ ภิกษุสงฆ์ได้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้น พระพุทธองค์จึงเสด็จหนีออกไปจากวัดที่ทรงจำพรรษาอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีพระธาตุประจำวันพุธกลางคืน พระธาตุมรุกขนครนั้นคล้ายพระธาตุพนมย่อส่วน สูง 50.9 เมตร สร้างขึ้นในพระวโรกาสที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์ครบ 50 ปี โดยความสูงเศษ จุด 9 เมตร ก็หมายถึง รัชกาลที่ 9 นั่นเอง

พระธาตุประสิทธิ์ (พระธาตุประจำคนเกิดวันพฤหัสบดี) อยู่ห่างจากตัวเมืองนครพนม 93 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง กระทั่งถึงอำเภอนาหว้า ก็จะได้สักการะองค์พระธาตุที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้า อานิสงส์ของการได้มานมัสการคือ ทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในความก้าวหน้าดังประสงค์ ในบริเวณวัดยังเป็นที่ตั้งของศูนย์หัตถกรรมบ้านท่าเรือ ซึ่งเป็นศูนย์ศิลปาชีพแห่งแรกของไทย เมื่อปี พ.ศ. 2520 สินค้าโดดเด่นคือผ้าไหมมัดหมี่อันประณีตงดงาม

พระธาตุท่าอุเทน (พระธาตุประจำคนเกิดวันศุกร์) อำเภอท่าอุเทน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงไหลเย็นชื่นใจ เป็นองค์พระธาตุสูงใหญ่ โดดเด่น สร้างให้คล้ายคลึงกับพระธาตุพนม สร้างเป็น 3 ชั้น ทรงสี่เหลี่ยม สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2454 โดยพระอาจารย์ศรีทัตถ์ เพื่อบรรจุพระอรหันตธาตุสำคัญ เชื่อว่าใครได้มาสักการะแล้วจะช่วยให้ชีวิตรุ่งโรจน์ เปรียบเสมือนพระอาทิตย์ขึ้นยามอรุณรุ่ง

พระธาตุนคร (พระธาตุประจำคนเกิดวันเสาร์) เป็นอีกหนึ่งพระธาตุของนครพนมที่ตั้งอยู่ใกล้ริมล้ำน้ำโขง ในบริเวณตัวเมืองนครพนม องค์พระธาตุ สูง 24 เมตร งดงามด้วยรูปลักษณ์และลวดลาย ไม่ย่ิงหย่อนไปกว่าพระธาตุองค์ใด ได้มากราบสักการะแล้วเชื่อว่าอานิสงส์จะช่วยเสริมบารมี ทำให้มีอำนาจวาสนาเป็นเจ้าคนนายคน

ห่างจากตัวเมืองนครพนมไปเพียง 47 กิโลเมตร ในอำเภอท่าอุเทน คือที่ตั้งของจุดบรรจบ “แม่น้ำสองสี” คือแม่น้ำสงครามสีเขียวมรกต ได้ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขงสีน้ำตาลแดง เกิดเป็นปากแม่น้ำที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ ฝูงปลาชุกชุม ชาวบ้านได้ออกเรือไปหาปลามาทำอาหารหลากหลาย โดยเฉพาะปลาส้มแสนอร่อยแห่งไชยบุรี เมืองริมโขงแสนน่ารักที่มีความเก่าแก่กว่า 200 ปี ตลอดริมฝั่งโขงมีวัดโบราณอันทรงคุณค่าอยู่ไม่น้อยกว่า 7-10 แห่ง พร้อมด้วยบ่อน้ำโบราณ ซากเจดีย์เก่า ชุมชนแสนน่ารัก พร้อมด้วยเส้นทางปั่นจักรยานริมน้ำชิลชิล และแน่นอนว่าต้องมีจุดชมวิวแม่น้ำสองสีที่น่าชมอย่างยิ่งปลาส้มปากน้ำไชยบุรี เมนูอร่อยล้ำต้องลองรับรองจะติดใจ!ซากเมืองเก่าไชยบุรี อำเภอท่าอุเทน คือประจักษ์พยานของอาณาจักรศรีโครบูรที่เคยรุ่งเรืองอยู่ ณ จุดนี้ เมื่อประมาณ พ.ศ. 1000-1500วัดเก่าแห่งไชยบุรี ได้รับการบูรณะสมัยฝรั่งเศสยึดครอง โดยนำศิลปะแบบโคโลเนียลเข้าไปประยุกต์ใช้ได้อย่างลงตัวซากเจดีย์เก่าของอาณาจักรศรีโคตรบูร แม้จะผุพังไปตามกาลเวลา ทว่ายังเปี่ยมด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์
เมืองเก่าท่าอุเทน เต็มไปด้วยบ้านเรือนโบราณที่เปี่ยมด้วยสถาปัตยกรรมโคโลเนียลอันสวยงาม โดยเฉพาะบ้านศรีอุเทน ที่เป็นตึกปูนสองชั้น ตั้งอยู่กลางชุมชน สามารถปั่นจักรยานจากพระธาตุท่าอุเทนมาถึงได้สบายมาก‘แหล่งเรียนรู้ไดเสาร์ท่าอุเทน’ คืออีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยว Unseen ที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะเราจะได้ชมรอยเท้าไดโนเสาร์นกกระจอกเทศ และอีกัวดอน รวมถึงรอยเท้าจระเข้ขนาดเล็ก จำนวนร้อยๆ รอย อายุกว่า 100 ล้านปี ค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2544 นักธรณีวิทยาสันนิษฐานว่าในช่วงเวลานั้น (ยุคครีเตเชียสตอนต้น) บริเวณนี้น่าจะเป็นริมฝั่งน้ำที่ไดโนเสาร์ต่างๆ มาหากิน โดยเฉพาะไดโนเสาร์นกกระจอกเทศที่อยู่กันเป็นฝูงไชยบุรี ท่าอุเทน นครพนม มีอะไรให้ค้นหามากมายจริงๆ เที่ยวกันจนเหนื่อยล่ะ แวะดื่มน้ำเย็นๆ ก่อนดีกว่าเนอะปิดท้ายทริปเมืองรองนครพนมอันแสนประทับใจ ด้วยการเติมพลังไข่กระทะ กับขนมปังบาแกตต์ ให้มีแรงเที่ยวต่อแล้วก็แน่นอนว่า ต้องลิ้มลองอาหารพื้นบ้านอย่างข้าวปุ้นน้ำนัว ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว หมูยอ รวมถึงอาหารอีสานครบชุดใหญ่ เป็นการสั่งลานครพนมอย่างประทับใจ

บอกแล้วว่า นครพนมเป็นเมืองมีเสน่ห์จริงๆ ในทุกด้าน ใครมาก็ต้องหลงรักเมืองรองแห่งนี้แน่นอนจ้า

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ ททท. สำนักงานนครพนม โทร. 0-4251-3490-1 / tatphnom@tat.or.th

TOP 22 of Pakistan, Once in a Lifetime!

ปากีสถาน (Pakistan) หนึ่งในดินแดนแห่ง Dreams Destination ที่ใครหลายคนฝันถึง ว่าสักวันจะได้ไปเยือน! เพราะถ้าสำรวจลงลึกจริงๆ แล้ว ปากีสถานคือประเทศที่รุ่มรวยด้วยอารยธรรมมานานหลายพันปี ด้วยจุดที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งสำคัญยิ่งยวด เป็นจุดกึ่งกลางเชื่อมโลกตะวันออก-ตะวันตกบนเส้นทางสายไหมโบราณ (Ancient Silk Road) ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นถนนสาย Karakoram Highway ยาว 1,300 กิโลเมตร เชื่อมจีน-ปากีสถาน นำเราย้อนกลับไปสู่อู่อารยธรรม ที่ยังคงมีลมหายใจ อวลด้วยกลิ่นอายเสน่ห์ และรอยยิ้มของผู้คนที่เป็นมิตร

1. Faisal Mosque, Islamabad (มัสยิดไฟซาล ศูนย์รวมใจชาวปากีสถาน, อิสลามาบัต)

แหล่งท่องเที่ยวอันเป็น Landmark สำคัญที่สุดในกรุงอิสลามาบัต เมืองหลวงของปากีสถาน ก็คือ ‘มัสยิดไฟซาล’ เปรียบเสมือนมัสยิดกลางของประเทศ ที่พี่น้องชาวมุสลิมเข้ามาใช้ประกอบศาสนกิจ มัสยิดแห่งนี้เปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1987 ออกทุนสร้างโดยกษัตริย์ซาอุดิอาระเบีย King Faisal จึงนำพระนามของพระองค์ใช้เป็นชื่อมัสยิดแห่งนี้ โดยใช้นายช่างชาวตุรกีออกแบบ ให้เป็นทรงเต็นท์ 8 เหลี่ยม ของชาวเบดูอิน หรือพวกเร่ร่อนซึ่งมาถึงบริเวณนี้เป็นพวกแรก มัสยิดไฟซาลมีความใหญ่โตโอฬารมาก ภายในจุคนได้ถึง 100,000 คน และบริเวณรอบนอกจุได้อีกกว่า 200,000 คน และมีเสามินาเร็ท (หอขาน) 4 ต้น ขนาบสี่มุม สูงต้นละ 79 เมตร ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวไปชมเป็นจำนวนมากแทบทุกวัน โดยการเข้าชมควรแต่งกายสุภาพ มิดชิด ไม่ส่งเสียงดัง และก่อนถ่ายภาพทุกครั้งควรขออนุญาตก่อน
2. Daman-e-Koh, Islamabad (ดามาน-อี-โกท จุดชมวิวพาโนรามาเหนืออิสลามาบัต)

จุดชมวิว Daman-e-Koh ป็นจุดชมวิวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ตั้งอยู่บนเทือกเขา Margalla Hills ทางตอนเหนือของกรุงอิสลามาบัต เมืองหลวงของปากีสถาน ยอดเขานี้สูงขึ้นมาจากตัวเมืองกว่า 500 ฟุต ทำให้เราชมวิวได้แบบสุดสายตาพาโนรามา แลเห็นทุ่งราบกว้างไกล และตัวเมืองที่แทบจะไม่มีตึกสูงระฟ้า ยกเว้นโรงแรมหรือห้างสรรพสินค้าบางแห่ง บนยอดเขานี้อากาศสดชื่นเย็นสบาย มีสวนร่มรื่น และม้านั่งให้พักผ่อนด้วย แต่ต้องคอยระวังพวกลิงที่อาจเข้ามาทักทายเราเป็นบางครั้งบางคราว จึงควรเก็บสิ่งของให้มิดชิดด้วยล่ะ
3. Taxila (เมืองเก่าตักศิลา มหานครแห่งศิลปะวิทยาการของโลกยุคโบราณในชมพูทวีป)

ตักศิลา หรือชื่อเดิม ตักสะสิลา คือเมืองโบราณอายุกว่า 3,500 ปี ที่เคยรุ่งเรืองถึงขีดสุดในแง่ของการเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกๆ ของโลก รวมถึงยังเคยเป็นแคว้นที่เคยมีพระพุทธศาสนาเฟื่องฟูอย่างยิ่งในอดีตกาล เพราะตักศิลาคือ 1 ใน 16 แคว้นของชมพูทวีปโบราณ ที่เป็นศูนย์รวมของสรรพวิชาการต่างๆ ผู้คนจากทั้งเอเชียและยุโรปในยุคนั้น จึงส่งลูกหลานมาศึกษาหาความรู้กันที่นี่ กับอาจารย์ซึ่งเรียกว่า ‘ทิศาปาโมกข์’ จากหลักฐานการขุดค้นพบว่าเมืองตักศิลาแห่งแรกมีอายุย้อนไปได้กว่า 1,000 ปี ก่อนคริสตกาล และมีการสร้างซ่อมบูรณะซ้อนทับกันมาหลายยุคสมัย สำหรับซากตัวเมืองเก่าตักศิลาที่เห็นในปัจจุบัน สร้างขึ้นโดยชาว Bactrian-Greek ซึ่งเป็นทหารของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ที่เคยกรีฑาทัพผ่านมาในบริเวณเมื่อปีที่ 3 ก่อนคริสตกาล ส่วนหนึ่งได้ตั้งรกรากอยู่ที่นี่ แล้วนำศิลปะแบบกรีกเข้ามาผสมผสานกับเอเชีย จนเกิดเป็น ‘ศิลปะแบบคันธาระ’ ขึ้นในที่สุด (พระพุทธรูปสไตล์คันธาระ พระพักตร์จะเหมือนใบหน้าคนกรีกยุคโบราณ)

กล่าวกันว่าตักศิลาคือมหาวิทยาลัยที่สอนความรู้ในทางโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกยุคโบราณ ควบคู่กับมหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกยุคนั้นเช่นเดียวกัน (อยู่ทางอินเดียตะวันออก) บุคคลสำคัญผู้เคยไปศึกษาที่เมืองตักศิลา เช่น พระเจ้าปเสนทิโกศล, หมอชีวกโกมาภัจจ์, องคุลีมาล รวมถึงเจ้าชายสิทธัตถะ ด้วย เมืองตักศิลารุ่งเรืองอยู่นานด้วยการสนับสนุนจากกษัตริย์ผู้ครองแคว้นที่นับถือพุทธ และรุ่งเรืองสุดขีดในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงสร้างเจดีย์และวัดต่างๆ ขึ้นอย่างมากมาย จนกระทั่งศตวรรษที่ 5 พวกฮั่นขาว (White Huns) ซึ่งเป็นนักรบจีนมองโกลเผ่าหนึ่งจากเอเชียกลาง ก็ได้เข้าเผาทำลายเมืองตักศิลาจนราบเป็นหน้ากลอง เหลือไว้เพียงซากโบราณสถานและพิพิธภัณฑ์ให้เราไปรำลึกความหลังในปัจจุบัน โดยเมืองโบราณนี้ตั้งอยู่ห่างจากกรุงอิสลามาบัต ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 32 กิโลเมตร ผ่านถนน Grand Trunk (GT Road) 4. Karakoram Highway : KKH (คาราโครัมไ​ฮเวย์ ถนนบนหลังคาโลกเชื่อมตะวันออกตะวันตกเป็นหนึ่งเดียว)

คาราโครัมไฮเวย์ ได้รับสมญานามว่าเป็น ‘สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก’ เพราะมันคือหนึ่งในถนนบนหลังคาโลก ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่สูงเกือบ 5,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล โดยสร้างขนานไปกับเส้นทางสายไหมโบราณ หรือ Ancient Silk Road เชื่อมโลกตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน คาราโครัมไฮเวย์มีความยาวประมาณ 1,300 กิโลเมตร สร้างขึ้นภายใต้ความร่วมมือของรัฐบาลปากีสถานและรัฐบาลจีน ที่มีแผนจะเปิดการค้าขายกันเต็มรูปแบบในอนาคตอันใกล้ โดยใช้ถนนสายนี้ขนส่งสินค้าและผู้คน แต่กว่าจะสร้างเสร็จก็ยากลำบากอย่างยิ่ง เพราะต้องสังเวยชีวิตคนงานก่อสร้างไปหลายร้อยคนเลย

คาราโครัมไฮเวย์ในเขตปากีสถาน มีระยะทางยาว 887 กิโลเมตร ส่วนในประเทศจีนยาว 413 กิโลเมตร ส่วนที่อยู่ในปากีสถานเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า China-Pakistan Friendship Highway หรือทางหลวงหมายเลข 35 (N-35) นั่นเอง มันเป็นถนนที่มีสภาพค่อนข้างดีเยี่ยม ผ่านภูมิประเทศหลากหลาย ทั้งที่ราบ แม่น้ำ หุบเขา และเทือกเขาหิมะสูงสลับซับซ้อน โดยเฉพาะที่ Khunjrab Pass สูง 4,735 เมตร เป็นจุดเชื่อมต่อพรมแดนปากีสถาน-จีน ในแคว้นซินเจียง และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เส้นทางสายคาราโครัมไฮเวย์ในเขตปากีสถานผ่านสถานที่น่าสนใจนับไม่ถ้วน อาทิ เส้นทางสายไหมโบราณ, จุดที่สองทวีปชนกันจนเกิดเทือกเขาหิมาลัย, ธารน้ำแข็งต่างๆ, หมู่บ้านและป้อมโบราณอายุนับพันปี ฯลฯ แต่สภาพรถที่จะใช้วิ่งบนเส้นทางนี้ควรตรวจเช็คให้ดีเยี่ยม เพราะบางช่วงถนนชันและคดเคี้ยว ส่วนผู้เดินทางอาจเกิดภาวะแพ้ความสูงเฉียบพลัน หรือ Acute Mountain Sickness (AMS) ได้ โดยเฉพาะที่บริเวณ Khunjerab Pass อาการคือปวดหัว คลื่นไส้ แน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย วิธีป้องกันคืออย่าเคลื่อนไหวเร็ว งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดบุหรี่ ดื่มน้ำอุ่น สูดอากาศบริสุทธิ์ ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น ให้รีบพักผ่อนแล้วลงสู่พื้นที่ตำกว่า
5. Khunjerab Pass, Karakoram Highway (จุดเชื่อมต่อคาราโครัมไฮเวย์ปากีสถานเข้าสู่แดนมังกร)

Khunjerab Pass คือยอดเขาส่วนสูงที่สุดของถนนสายคาราโครัมไฮเวย์ คือสูงกว่า 4,735 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ถือเป็นหนึ่งในถนนที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งรถยนต์สามารถพาเราขึ้นไปถึงได้อย่างสบาย โดยจุดนี้จริงๆ แล้ว คือด่านพรมแดนกั้นปากีสถาน-จีน ออกจากกัน ในฝั่งปากีสถานคือแคว้น Gilgit-Baltistan ของเมือง Hunza-Nagar ส่วนฝั่งจีนคือแคว้นซินเจียง เรียกว่าทางหลวงสาย China National Highway 314 (G314) ซึ่งสามารถเดินทางต่ออีก 420 กิโลเมตร ก็ถึงเมืองคัชการ์ (Kashgar) และอีก 1,890 กิโลเมตร ก็ถึงเมืองอูรูมูฉี (Urumqi) ที่จุดนี้เอง รถจากปากีสถานซึ่งขับชิดซ้าย เมื่อข้ามพรมแดนเข้าเขตจีนแล้ว ก็จะต้องเปลี่ยนไปขับชิดขวา

เนื่องจากบริเวณ Khunjerab Pass เป็นถนนส่วนที่สูงที่สุดของคาราโครัมไฮเวย์ อากาศจึงหนาวเย็นจับขั้วหัวใจตลอดปี บางวันลมแรงมาก ใครจะไปเที่ยวต้องเตรียมอุปกรณ์กันหนาวไปให้เต็มอัตราศึกเลยนะ และโดยปกติจะใช้เวลา 1 วันเต็มในการเดินทางไปกลับ รับรองว่าตลอดทางจะได้ชมภูมิประเทศภูเขา โตรกผา ทุ่งหิมะ และสัตว์ป่าบางชนิด เช่น Golden Marmot เป็นกระรอกดินขนาดใหญ่จำพวกหนึ่ง ขุดโพรงอยู่ในดิน และชอบแอบขึ้นมาดูรถที่วิ่งผ่านไปมา รวมถึงถ้าโชคดีสุดๆ ก็จะพบ Himalayan Ibex สัตว์กีบจำพวกแพะภูเขาที่หายาก ตัวผู้มีเขาโง้งยาวสวยงามมาก เป็นต้น การขับรถเที่ยวชมธรรมชาติสู่ Khunjerab Pass ไปตาม Karakoran Highway จึงเป็นเรื่องน่าสนุก น่าตื่นเต้น ในทุกวินาที เพราะจะมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้เราจดจำไปตลอดชีวิตแน่นอน
6. Continents Collided Point (จุดที่สองแผ่นเปลือกโลกชนกันจนเกิดเทือกเขาหิมาลัย, Karakoran Highway)

เมื่อขับรถอยู่บนคาราโครัมไฮเวย์ ระหว่างทางจากเมือง Gilgit มุ่งหน้าเมือง Hunza จะผ่านจุดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในทางภูมิศาสตร์ ซึ่งใครหลายคนอยากไปเห็นสักครั้งกับตาตัวเอง! นั่นคือ จุดที่เมื่อ 55 ล้านปีก่อน อนุทวีปอินเดีย (Indian Plate) ได้เคลื่อนเข้าชนกับแผ่นทวีปยูเรเซีย (Urasian Plate) จากนั้นแผ่นอนุทวีปอินเดียก็มุดตัวลง พร้อมกับเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ก่อให้เกิดแรงเค้นมหาศาลสุดประมาณ ดันให้เปลือกโลกยูเรเซียส่วนนี้ค่อยๆ สูงขึ้น จนกลายเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน พุ่งทะยานสูงขึ้นไปในอากาศเกือบ 9 กิโลเมตร ทั้งในส่วนของเทือกเขาหิมาลัย, ยอดเขาเอเวอร์เรสต์, ยอดเขาต่างๆ ในเนปาล รวมถึงเทือกเขาทั้งหมดในภาคเหนือของปากีสถานด้วย โดยเฉพาะในแคว้น Gilgit-Baltistan บริเวณเมือง Hunza-Nagar ต่างก็ตั้งอยู่บนแผ่นเปลือกโลกเดียวกันทั้งหมด

ที่สำคัญคือ ปัจจุบันนี้อนุทวีปอินเดียยังไม่หยุดเคลื่อนที่ ยอดเขาต่างๆ ดังกล่าวจึงยังคงสูงขึ้นทุกวันๆ ค่าเฉลี่ยสูงขึ้นประมาณ 7 มิลลิเมตร/ปี เทือกเขาหิมาลัย และภูเขาต่างๆ ในปากีสถาน จึงเป็นเทือกเขาที่ในทางภูมิศาสตร์ถือว่ายังมีอายุน้อยมากเพียง 55 ล้านปี (เมื่อเทียบกับอายุของโลกคือประมาณ 4,500 ล้านปี) และยังสูงขึ้นไม่หยุดหย่อน! โดยปากีสถานเองก็มียอดเขาสูงเกิน 8,000 เมตร ที่สำคัญอยู่ถึง 5 ยอด คือ K2 (8,611 เมตร) Nanga Parbat (8,126 เมตร) Broad Peak (8,051 เมตร) Gasherbrum-I (8,068 เมตร) และ Gasherbrum-II (8,036 เมตร)
7. Ancient Silk Road, Karakoram Highway (เส้นทางสายไหมโบราณ, คาราโครัมไฮเวย์)

เส้นทางสายไหม หรือ Silk Road เป็นเส้นทางสำหรับติดต่อค้าขายของคนในโลกยุคโบราณ โดยมีทั้งเส้นทางสายไหมทางบกและทางทะเล แถมยังแตกเป็นเส้นทางสายย่อยๆ มากมายนับไม่ถ้วน แต่เส้นทางสายหลักเริ่มต้นจากกรุงปักกิ่งในสมัยราชวงศ์ฮั่น เมื่อประมาณ 114 ปี ก่อนคริสตกาล จุดประสงค์เพื่อใช้ค้าขายเป็นสำคัญ เส้นทางสายนี้เชื่อมตั้งแต่ประเทศจีน ผ่านเอเชียกลาง เข้าสู่ปากีสถาน (คือเส้นทางสายไหมสายตะวันตก) ไปยังอัฟกานิสถาน อิหร่าน ถึงเอเชียตะวันตก แล้วข้ามเรือไปสู่อิตาลี จนถึงกรุงโรมในที่สุด นับเป็นเส้นทางที่ทำให้เกิดการติดต่อสื่อสาร และหล่อหลอมผู้คนทั้งโลกเข้าด้วยกัน

เส้นทางสายไหมดั้งเดิมที่ว่านั้น ยังคงมีส่วนให้เห็นได้บนถนนสาย Karakoram Highway ช่วงจากเมือง Gilgit ไปเมือง Hunza ในปากีสถาน ด้านซ้ายมือบนเชิงผาอันแห้งแล้งมีแต่แผ่นหิน เราจะพบแนวเส้นทางเดินแคบๆ เลาะเลียบหน้าผาเป็นแนวยาวเหยียด นี่คือ Ancient Silk Road สายดั้งเดิม ที่เคยใช้กันมานานหลายพันปี ซึ่งชาวปากีสถานเรียกว่า ‘Kinu Kutto’  มันมีขนาดเพียงให้ขบวนคาราวานม้า ลา ล่อ และอูฐ รวมถึงผู้คนเดินสัญจรผ่านไปมาเท่านั้น (เทียบได้กับขนาดพอให้รถจี๊ปวิ่งได้แค่คันเดียว) จนกระทั่งล่วงเข้ายุคปัจจุบัน มีการสร้างถนนสาย Karakoram Highway เส้นทางสายไหมโบราณนี้จึงเลิกใช้กันไปโดยปริยาย โดยเมื่อปี ค.ศ.​ 2004 รัฐบาลนอร์เวย์ ร่วมกับรัฐบาลของเมือง Hunza-Nagar ได้ทำการบูรณะเส้นทางสายไหมโบราณบางช่วงขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ทางโบราณคดีไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา ว่าครั้งหนึ่งมันเคยรุ่งเรืองเพียงไร8. Sacred Rocks of Hunza (หินศักดิ์สิทธิ์ ร่องรอยภาพเขียนสีศตวรรษที่ 1 เมืองฮุนซา)

หินศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองฮุนซา เป็นโบราณสถานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับชาวพุทธ เพราะเคยเป็นจุดแวะพักของนักแสวงบุญชาวพุทธ ในเขตหุบเขาฮุนซา ทางด้านชายฝั่งตะวันออกของแม่น้ำฮุนซา ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมยุคโบราณ เมื่อพวกเขาแวะพักที่บริเวณนี้ ก็ได้มีการขุดเจาะถ้ำ รวมถึงปลูกเพิงพักไว้ในบริเวณรอบๆ อีกทั้งมีการแกะสลักลายลงบนแผ่นผาโล่งเลี่ยน เพื่อเป็นบันทึกเรื่องราวหรืออนุสรณ์ โดยภาพสลักหลายร้อยภาพเหล่านี้ มีอายุย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 1 เลยทีเดียว หินศักดิ์สิทธิ์นี้มีขนาดใหญ่โตจนคล้ายเนินย่อมๆ ลูกหนึ่ง สูงประมาณ 30 ฟุต และยาวกว่า 200 หลา โดยแบ่งร่องรอยออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน คือกลุ่มด้านบน เป็นจำหลักภาษาพราหมี กล่าวถึงกษัตริย์ในยุคต่างๆ ส่วนลายจำหลักกลุ่มล่าง เป็นรูปฝูง Ibex หรือแพะภูเขา ที่มีเขาโง้งยาว รวมถึงมีรูปคนใส่ชุด Ibex และเจดีย์ทรงทิเบต ปรากฏอยู่ด้วย นับเป็นแหล่งโบราณคดีอันล้ำค่ายิ่ง

ปัจจุบันหินศักดิ์สิทธิ์นี้ตั้งอยู่ริมถนนสาย Karakoram Highway ในเมือง Karimabad โดยจากจุดนี้มองข้ามแม่น้ำ Hunza ไป บนภูเขาจะแลเห็นป้อม Baltit Fort และ Altit Fort รวมถึงยอดเขา Ladayfinger ทรงแหลมแปลกตา เป็นฉากหลังอย่างสวยงามมาก 9. Altit Fort and Baltit Fort, Hunza (ป้อมอัลติท และป้อมบัลติท เมืองฮุนซา)

ในบรรดาโบราณสถานที่เก่าแก่และสำคัญของแคว้น Gilgit-Baltistan ต้องถือว่า ‘ป้อม Altit’ แห่งเมืองฮุนซามีความเก่าแก่ที่สุด เพราะมีอายุกว่า 1,100 ปีแล้ว พอๆ กับหมู่บ้าน Altit ในหุบเขาฮุนซา ซึ่งเป็นหมู่บ้านแรกของแคว้นนี้ และเชื่อกันว่าสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่า White Huns ซึ่งก็คือลูกหลานของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซีโดเนีย (กรีก) ครั้งยาตราทัพข้ามเทือกเขาฮินดูกูช (เทือกเขาที่ขยายต่อจากเทือกเขาคาราโครัมในปากีสถานออกไปในอัฟกานิสถานอีก 800 กิโลเมตร) เข้าสู่ปากีสถาน เพื่อไปตีชมพูทวีป นั่นเอง

ป้อม Altit Fort สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 โดยกษัตริย์ผู้ครองแคว้นนี้ ซึ่งใช้คำนำหน้าพระนามว่า Mir อันเป็นคำในภาษาอาหรับ บ่งชี้ว่าศานาอิสลามได้แผ่เข้าสู่ดินแดนนี้แล้วในเวลานั้น จนถึงศตวรรษที่ 15 ศาสนาอิสลาม ก็ได้เข้ามามีอิทธิพลเหนือปากีสถานอย่างเต็มรูปแบบจนถึงปัจจุบัน ป้อมแห่งนี้จึงใช้เป็นที่ประทับของกษัตริย์ ทว่ามองเผินๆ อาจแลคล้ายป้อมของทิเบตหรือภูฏาน สาเหตุคือช่างผู้ออกแบบคือชาวทิเบต โครงสร้างที่ปรากฏออกมาจึงแลคล้าย Dzong (ซอง หรือป้อมปราการ) ของทิเบตด้วย ปัจจุบันป้อมนี้ได้รับการบูรณะโดยกองทุนความร่วมมือของ Aga Khan และรัฐบาลนอร์เวย์ ระหว่างทางขึ้นจะผ่านหมู่บ้านที่มีความสงบร่มรื่น และเคยเป็นหมู่บ้านของคนที่มีอายุยืนที่สุดในโลกด้วย ส่วนบนสุดของภูเขาเป็นตัวป้อม ภายในแบ่งซอยเป็นห้องหับเล็กๆ มากมาย และมองลงมาเห็นแม่น้ำฮุนซา หุบเขา รวมถึงหมู่บ้านที่เก่าแก่กว่า 1,000 ปี
10. Ancient Irrigation Cannel, Karimabad (คลองส่งน้ำโบราณ เมืองคาริมาบัต)

  ในเขตภาคเหนือของแคว้น Gilgit-Baltistan ปากีสถาน อันเป็นดินแดนที่มีแต่ภูเขาสูงสลับซับซ้อนนั้น สิ่งที่ผู้คนต้องการมากที่สุด นอกจากสะพาน ถนน อาหาร และยารักษาโรคแล้ว ‘น้ำ’ ก็คือหนึ่งปัจจัยเพื่อการยังชีพที่สำคัญที่สุด และดูเหมือนธรรมชาติจะเข้าใจ เอื้ออารีย์ให้มีน้ำจากการละลายของธารน้ำแข็งและหิมะ ในช่วงฤดูร้อน ฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วง ลงสู่ห้วยธารต่างๆ อย่างเพียงพอ ชาวปากีสถานบนภูเขาสูงเข้าใจสิ่งนี้ และสั่งสมภูปัญญาในการผันน้ำจากการละลายของน้ำแข็งดังกล่าว ลงสู่คลองส่งน้ำโบราณ ลักษณะเป็นคลองขุดและคลองจากการกั้นด้วยคันหินให้เป็นแนวยาว เลียบหน้าผา ส่งน้ำลงมาจนถึงตัวหมู่บ้านที่พวกเขาอาศัย ได้กิน ได้ดื่ม ได้อาบ ได้ใช้รดน้ำพืชผักผลไม้ และใช้ทำอาหาร เช่นเดียวกับที่หมู่บ้าน Karimabad ในหุบเขา Hunza ที่ยังมีหลายหมู่บ้านได้ใช้น้ำประปาภูเขาจากธารน้ำแข็งเหล่านี้มาจนถึงปัจจุบัน โดยคลองส่งน้ำจะผ่านไปถึงหน้าบ้าน ให้พวกเขาจัดสรรเวลาใช้งาน ว่าช่วงเวลาใดจะใช้ซักล้าง ช่วงใดใช้ตักไว้เพื่อดื่มกิน ทุกเช้าและเย็น เราจึงเห็นชาวบ้านออกมาที่คลองส่งน้ำนี้อย่างคึกคัก นับเป็นการกินอยู่อย่างเข้าใจธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง
11. Ladyfinger Peak, Hunza, Karimabad (ยอดเขาเลดี้ฟิงเกอร์ ยอดเขาทะลุทะเลเมฆ, เขตฮุนซา เมืองคาริมาบัต)

ยอดเขา Ladyfinger หรือที่ในภาษาอูร์ดู (Urdu) ของปากีสถานเรียกว่า ‘Bubli Motin’ เป็นยอดเขารูปทรงประหลาด สะกดทุกสายตาที่ได้พบเห็นมาตลอดเวลาที่มันยืนตระหง่านทะลุทะเลเมฆอยู่ตรงนั้น ณ เมืองคาริมาบัต ในแคว้นกิลกิต-บัลติสถาน ด้วยรูปทรงแหลมชูชันตั้งขึ้นเหมือนพีระมิดหรือปลายหอก ไม่เคยมีหิมะปกคลุมเลย ในขณะที่เทือกเขาโดยรอบมีหิมะขาวห่มปกเกือบตลอดเวลา ทำให้ยอดเขา Ladyfinger ยิ่งเตะตากว่าใครๆ ตัวของมันเองมีความสูงกว่า 600 เมตร ตั้งอยู่บนระดับความสูงกว่า 6,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อันเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขา Batura Muztagh ที่แตกตัวออกจากเทือกเขาคาราโครัม ไปทางตะวันตก

ยอดเขานี้มีตำนานรักแสนเศร้าเล่าสืบต่อกันมาหลายร้อยปีกล่าวว่า ในอดีตมีเจ้าชายชื่อ Kisar จากบัลติสถาน ได้มาพบรักและแต่งงานกับเจ้าหญิง Bulbi ที่เมืองฮุนซา แต่ต่อมาพระองค์ได้ข่าวจากบ้านเกิดว่า ชายาองค์แรกของพระองค์ชื่อ Langabrumo ได้ถูกกษัตริย์ต่างเมืองลักพาตัวไป จึงทรงรีบเตรียมตัวไปช่วย ก่อนออกเดินทางได้ทรงนำเจ้าหญิง Bulbi ขึ้นไปประทับอยู่บนภูเขา พร้อมด้วยประทานไก่และเมล็ดพืชไว้ให้ โดยรับสั่งว่าทุกปีให้ป้อนเมล็ดพืชหนึ่งเมล็ดแก่ไก่ เมื่อใดที่เมล็ดพืชหมดถุง เมื่อนั้นจะทรงกลับมา! แต่พระองค์ก็ไม่เคยกลับมาเลย และเชื่อกันว่าเจ้าหญิง Bulbi ก็ยังคงรอคอยเจ้าชายอยู่บนยอดเขา Ladyfinger แห่งนี้12. Hoper Glacier, Nagar Valler, Hunza, Gilgit-Baltistan (ธารน้ำแข็งโฮเปอร์, หุบเขาเนเกอร์ แคว้นกิลกิต-บัลติสถาน หนึ่งในธารน้ำแข็งเคลื่อนตัวเร็วที่สุดในโลก!

หนึ่งในสถานที่น่าตื่นตะลึงที่สุดทางธรรมชาติของปากีสถานภาคเหนือ ซึ่งเราไม่ควรพลาดชมด้วยประการทั้งปวง คือ ‘ธารน้ำแข็งโฮเปอร์’ หรือ Hoper Glacier (ป้ายบางที่สะกด Hopar บางที่สะกด Hopper) เพราะนี่คือธารน้ำแข็งที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดแห่งหนึ่งด้วยการนั่งรถยนต์จากเมือง Hunza ข้ามแม่น้ำฮุนซาเข้าสู่เขตหุบเขา Nagar จากนั้นขับรถเลาะเลียบไปตามแม่น้ำเนเกอร์อีกราวๆ ชั่วโมงครึ่ง แล้วเดินขึ้นเขาไปอีกนิดเดียว ก็จะถึงจุดชมวิวธารน้ำแข็งโฮเปอร์แล้ว นี่คือธารน้ำแข็งอายุกว่า 100,000 ปี ที่ยังจับตัวเป็นน้ำแข็งอยู่ชั่วนาตาปี มันมีขนาดมหึมามาก และเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา

นักธรณีวิทยาได้เคยมาทำการศึกษาการเคลื่อนตัวของธารน้ำแข็ง Hoper  เมื่อปี ค.ศ. 1987 ปรากฏว่ามันเคลื่อนตัวได้เร็วถึง 110 ฟุต ในเวลาแค่ 3 เดือน จึงกลายเป็นหนึ่งในธารน้ำแข็งเคลื่อนตัวได้เร็วที่สุดในโลก แต่ก็เป็นที่หวั่นวิตกกันว่า หากภาวะโลกร้อนยังไม่ทุเลาเบาบางลง ภายในปี ค.ศ. 2035 ธารน้ำแข็งนี้อาจหดตัวจนแทบหายไปเลย! และชาวปากีสถานส่วนใหญ่ที่ใช้น้ำจืดจากการละลายของน้ำแข็ง อาจต้องประสบภาวะขาดน้ำก็เป็นได้ 13. Passu Bridge, Hunza (สะพานแขวนร้อยปี เมืองพัสสุ เขตฮุนซา)

ในบรรดาสะพานแขวนทั่วปากีสถาน คงไม่มีที่ใดจะมีชื่อเสียงโด่งดังเท่ากับ ‘สะพานแขวนพัสสุ’ (Passu Bridge) หรือ ‘สะพานฮุซไซนี’ (Hussani Bridge) เพราะนี่คือสะพานแขวนอายุเป็นร้อยปี ที่มีลักษณะน่าหวาดเสียวที่สุด และเคยกล่าวขานกันว่าเป็นสะพานแขวนสำหรับคนเดินที่อันตรายที่สุดในโลก! ฉายานี้อาจฟังน่ากลัว เพราะมันเคยพังมาแล้วไม่รู้กี่รอบ แต่ก็ได้รับการซ่อมแซมขึ้นใหม่ทุกครั้งจากชาวบ้าน ที่ใช้เดินสัญจรข้ามไปมาระหว่างหมู่บ้านฮุซไซนีสองฝั่งทะเลสาบอริท (Borith Lake) ในเมือง Passu เขตฮุนซา ที่ว่าอันตรายเพราะพื้นสะพานใช้การเรียงท่อนไม้แบบห่างๆ กัน ไม่ได้เรียงชิดติดกัน จึงมีช่องว่างขนาดใหญ่ให้ใจหวิวเล่นขณะเดินข้ามไป มองเห็นสายน้ำไหลอยู่ด้านล่างเรา มีเพียงคนใจกล้าเท่านั้นที่จะเดินข้ามสะพานแขวนแห่งนี้ไปได้จนสุดทาง!

เมื่อไม่นานมานี้นิตยสาร National Geographic ได้ส่งช่างภาพชื่อ Kieron Nelson ไปถ่ายภาพสะพานแขวนนี้ ซึ่งเขาเองก็เขียนลงในคำบรรยายภาพว่า “In northern Pakistan’s Hunza region, travelers cross what’s often called the most dangerous bridge in the world: the Hussaini Hanging Bridge, which looks almost as unforgiving as the landscape around it. The bridge is extremely old and very narrow, situated high above Borith Lake, it is missing many of the original wooden planks.”
14. Borith Lake, Gulmit, Hunza Valley, Gilgit-Baltistan (ทะเลสาบบอริท, เมืองกุลมิต หุบเขาฮุนซา, แคว้นกิลกิต-บัลติสถาน)

ทะเลสาบอริท เป็นทะเลสาบสวยงามและมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในภาคเหนือของปากีสถาน โดยเฉพาะช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนายน ซึ่งน่าไปเยือนที่สุด เพราะนอกจากจะมีน้ำสีเขียวอมฟ้าแบบเทอร์ควอยต์เต็มเปี่ยมอิ่มเอมแล้ว ยังมีห่านป่าและเป็ดป่านับหมื่นตัวบินอพยพมาหากินจากภาคใต้ของปากีสถานด้วย ตัวทะเลสาบบอริทเป็นน้ำกร่อย ตั้งอยู่บนความสูงประมาณ 2,600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล จึงมีอากาศค่อนข้างเย็นสบายตลอดปี ส่วนการเข้าถึงทะเลสาบก็ง่ายนิดเดียว เพราะปัจจุบันมีทางรถจี๊ป ระยะทาง 2 กิโลเมตร จากหมู่บ้านฮุซไซนี (Husseini Village) ขึ้นเขามาจนถึงทะเลสาบ ซึ่งมีที่พักเป็นโรงแรมเล็กๆ น่ารักอยู่ริมทะเลสาบด้วย แต่คนที่ยังแข็งแรง และรักการผจญภัยกลางแจ้ง ก็อาจะเดินเทรกกิ้งนาน 2-3 ชั่วโมง ขึ้นมาจากหมู่บ้านกุลคิน (Ghulkin Village) ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีเส้นทางเดินเทรกกิ้งจากทะเลสาบบอริท ไปสู่ธารน้ำแข็ง Ghulkin Glacier และ Passu Gar Glacier ได้ด้วย โดยต้องติดต่อไกด์ท้องถิ่นให้นำทางไปจะสะดวกและปลอดภัยสุด
15. Batura Glacier, Passu, Gilgit-Baltistan (ธารน้ำแข็งบาทูร่า, เมืองพัสสุ แคว้นกิลกิต-บัลติสถาน)

มันคือธารน้ำแข็งยาว 57 กิโลเมตร กว้างถึง 285 กิโลเมตร นับเป็นธารน้ำแข็งยาวอันดับ 5 ของโลก นอกเขตขั้วโลก โดยธารน้ำแข็งนี้ตั้งอยู่ระหว่างเทือกเขาใหญ่ 2 แห่ง คือเทือกเขา Batura สูง 7,795 เมตร และเทือกเขา Passu สูงกว่า 7,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ธารน้ำแข็งบาทูร่าไหลจากทิศตะวันตกไปทางตะวันออก มันพัดพาตะกอนจำนวนมหาศาลลงไปด้วย ก่อให้เกิดหุบเขาสีเทาอันอุดมสมบูรณ์ที่มีพืชหลายชนิดใช้หล่อเลี้ยงปศุสัตว์ได้ นอกจากนี้ยังมีทะเลสาบสีเทอร์ควอยต์ขนาดเล็กอันเกิดจากการละลายของมัน กระจายอยู่ทั่วไปด้วย 16. Rakaposhi View Point, Nagar (จุดชมวิวราคาโปซี, เขตเมืองเนเกอร์)

บนถนนสาย Karakoram Highway อันน่าตื่นตาตื่นใจไปด้วยภูมิประเทศสุดตระการตา ช่วงระหว่างเมือง Gilgit สู่ Hunza ตรงจุดครึ่งทาง นักขับรถและนักเดินทางมักแวะพักเติมพลัง หรือยืดเส้นยืดสายคลายความอ่อนล้ากันที่ ‘จุดชมวิวราคาโปซี’ หรือ Rakaposhi View Point ซึ่งมีทั้งที่จอดรถ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ที่พัก รวมถึงเส้นทางเดินเลียบธารน้ำใสไหลเย็น อันเกิดจากการละลายของธารน้ำแข็งบนยอดเขาสูงลิบ นั่นคือ ‘ยอดเขาราคาโปซี’ (Rakaposhi Peak) ยอดเขาสูงอันดับ 27 ของโลก ที่ครองความสูงกว่า 7,788 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ระหว่างที่เราหยุดรถแวะพัก จีงได้ชมยอดเขายิ่งใหญ่นี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม

จุดที่ร้านอาหารตั้งอยู่ คือระดับความสูงประมาณ 1,950 เมตรจากระดับน้ำทะเล ยอดเขาราคาโปซี และธารน้ำแข็ง Ghulmet Glacier จึงอยู่สูงจากเราขึ้นไปกว่า 6,000 เมตร และอยู่ห่างจากเราเป็นระยะทางกว่า 11 กิโลเมตร ทว่าด้วยขนาดอันใหญ่โตสุดอลังการของมัน เทือกเขาที่เห็นตรงหน้าจึงมิได้ลดทอนขนาดของมันลงไปเลยแม้แต่น้อย! ความพยายามในการพิชิตยอดเขาราคาโปซีเริ่มขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1938 แต่ก็มาประสบความสำเร็จครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1958 โดยทีมนักปีนเขาร่วมของปากีสถาน-อังกฤษ ผ่านขึ้นไปตามเส้นทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของยอดเขา สู่ส่วนที่เรียกว่า Monk’s Head และทีมถัดมาก็ขึ้นถึงยอดเขาได้อีกในปี ค.ศ. 1979 ครั้งนี้เป็นทีมนักปีนเขาร่วมระหว่างปากีสถาน-โปแลนด์ นับเป็นการนำชาวปากีสถานคนแรกขึ้นสู่ยอดเขาได้สำเร็จ ผ่านเส้นทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งถือว่ายากที่สุด!
17. Attabad Tunnels, Karakoram Highway (อุโมงค์อัตตาบัต อุโมงค์ยาวที่สุดในปากีสถาน, คาราโครัมไฮเวย์)

บนเส้นทางถนนสาย Karakoram Highway หรือ KKH ระหว่างเมือง Passu ขึ้นไปถึงยอดเขา Khunjerab Pass ที่ชายแดนปากีสถาน-จีน ระหว่างทางจะผ่านถนนช่วงที่ถือว่าน่าตื่นเต้นที่สุดช่วงหนึ่ง คือ ‘อุโมงค์อัตตาบัต’  เป็นอุโมงค์ยาวที่สุดในปากีสถาน ด้วยความยาวรวมกว่า 7 กิโลเมตร เชื่อมต่อด้วยอุโมงค์ถึง 5 ช่วง คือส่วนหนึ่งของทางหลวงสาย Karakoram Highway ที่ได้รับการซ่อมสร้างขึ้นใหม่ล่าสุด ยาว 24 กิโลเมตร จากเหตุการณ์ดินถล่มครั้งใหญ่จนทำให้ถนนเสียหาย รวมถึงยังเป็นเส้นทางที่สร้างขึ้นทดแทนถนนสายเดิมที่ถูกทะเลสาบอัตตาบัต (Attabad Lake) ท่วมทับไป

ภายในอุโมงค์อัตตาบัตมีไฟส่องสว่างและแผ่นสะท้อนแสงอย่างดี ถนนแบ่งเป็น 2 เลน วิ่งสวนทางกัน โดยต้องขับรถวิ่งชิดซ้ายตามกฎจราจรของปากีสถาน (เหมือนไทย) และควรจำกัดความเร็วไม่เกิน 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อความปลอดภัย รัฐบาลปากีสถานหวังว่า อุโมงค์อัตตาบัตจะกลายเป็นความหวังใหม่ในการท่องเที่ยว และการขนส่งเพื่อค้าขายกับจีน ผ่านทาง Karakoram Highway นั่นเอง

18. Attabad Lake, Gojal Valley, Hunza, Karakoram Highway (ทะเลสาบอัตตาบัต, หุบเขาโกจัล เมืองฮุนซา, เส้นทางสายคาราโครัมไฮเวย์)

การขับรถเที่ยวบนเส้นทางสาย Karakoram Highway หรือ KKH ของปากีสถาน นอกจากจะได้ชื่นชมกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้คนชนเผ่าต่างๆ แล้ว ความยิ่งใหญ่ตระการตาของธรรมชาติ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเสมือนของรางวัลอันล้ำค่าให้ชีวิต เมื่อขับรถผ่านเมือง Hunza มุ่งหน้าสู่เมือง Passu และยอดเขา Khunjerab Pass ระหว่างทางจะผ่านทะเลสาบขนาดมหึมาที่มีแผ่นน้ำสีเขียวอมฟ้าเทอร์ควอยต์ เรียบนิ่งสนิทราวกับกระจกบานใหญ่ สะท้อนภาพขุนเขาและท้องฟ้าเบื้องบนลงมาเป็นภาพเสมือนจริงจนงามราวภาพฝัน ที่นั่นคือ ‘ทะเลสาบอัตตาบัต’ (Attabad Lake หรือ Gojal Lake) ที่เกิดจากการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ปิดกั้นแม่น้ำ Hunza เมื่อปี ค.ศ. 2010 โดยก่อนหน้านี้มักเกิดดินพังถล่มทับเส้นทางถนนและแม่น้ำ รัฐบาลปากีสถานจึงสร้างเขื่อนแห่งนี้ขึ้นเพื่อแก้ปัญหา จนทะเลสาบอัตตาบัตกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตในปัจจุบัน

ทะเลสาบอัตตาบัตมีความยาวถึง 21 กิโลเมตร เลียบขนานไปกับถนนคาราโครัมไฮเวย์ ตัวทะเลสาบมีความลึกถึง 109 เมตร และจุน้ำได้มากกว่า 410,000,000  ลูกบาศก์เมตร นอกจากการชมวิวธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ตระการตาที่มีเทือกเขาขนาดมหึมาโอบล้อมทะเลสาบไว้แล้ว ยังมีกิจกรรมล่องเรือชมธรรมชาติด้วย โดยมีเรือไว้บริการมากมาย
19. Gilgit Barzar (ตลาดเมืองกิลกิต)

กิลกิต คือเมืองหลวงของแคว้น Gilgit-Baltistan ทางภาคเหนือของปากีสถาน ตัวเมืองตั้งอยู่บนจุดบรรจบของแม่น้ำ Gilgit และแม่น้ำ Hunza ตัวเมืองจึงเติบโตทอดขนานไปกับแม่น้ำที่ให้ความชุ่มฉ่ำแก่ชีวิต นักเดินทางในภาคเหนือของปากีสถานส่วนมากเริ่มต้นทริปกันที่เมืองนี้ โดยเฉพาะนักเดินเขาและนักปีนเขาที่มุ่งหน้าสู่เทือกเขาคาราโครัม และถนนสายคาราโครัมไฮเวย์สู่ชายแดนจีนที่ Khunjerab Pass ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมโบรารณนั่นเอง เมือง Gilgit จึงมีเสน่ห์มาถึงปัจจุบัน ยิ่งถ้าเราได้ไปเดินเที่ยวชมตลาดด้วยแล้ว ก็จะเข้าใจถึงวิถีชีวิตการกินอยู่ที่แท้จริงของชาวเมือง ได้เห็นอาหาร พืชผักผลไม้ ผ้าทอ สร้อยคอหินสี สินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงนิสัยใจคอของผู้คน ที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยรอยยิ้ม นี่คือน้ำใจไมตรีของคนปากีสถานซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วไม่แพ้คนชาติใดในโลกเลย

20. Gilgit Old Bridge (สะพานไม้เมืองกิลกิต)

เมืองกิลกิต (Gilgit) เป็นเมืองใหญ่และสำคัญมากเมืองหนึ่งในภาคเหนือของปากีสถาน เพราะถือเป็นเมืองชุมทางของถนนหลายๆ สายที่มาพบกันของแคว้น Gilgit-Baltistan อีกทั้งยังมีสนามบินด้วย คนที่เดินทางมาจากเมืองหลวงคืออิสลามาบัต จึงต้องใช้เมืองกิลกิตเป็นเสมือนประตูสู่ภาคเหนือของประเทศนี้ ตัวเมืองกิลกิตตั้งอยู่บนที่ราบสูง เต็มไปด้วยเนินและที่ราบ มีบ้านเรือนและร้านรวงเรียงรายเต็มไปด้วยชีวิตชีวา และเมื่อเดินผ่านตลาดใหญ่ไปจนถึงริมแม่น้ำกิลกิตแล้ว ก็จะพบกับ ‘สะพานแขวนโบราณ’ ที่ชาวเมืองยังคงใช้งานกันอยู่ สะพานนี้ทอดข้ามแม่น้ำกิลกิตที่ถือว่าเป็นแควสายหนึ่งของแม่น้ำสินธุ (Indus River) แม่น้ำสายสำคัญของชมพูทวีป โดยเมื่อไหลผ่านตัวเมืองกิลกิตขึ้นทางทิศเหนือแล้ว ก็จะไปบรรจบกับแม่น้ำสินธุที่เมืองเล็กๆ ชื่อ Juglot

สะพานแขวนโบราณแห่งนี้ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่อยู่คู่เมืองกิลกิตมานาน ถ่ายภาพได้สวยในหลายมุม และเมื่อเดินไปถึงกลางสะพานแล้ว ก็จะมองเห็นวิวแม่น้ำกิลกิตได้กว้างไกล ชัดเจนเต็มตา

21. Phandar Lake, Phandar Valley, Ghizer District, Gilgit-Baltistan (ทะเลสาบแพนเดอร์, หุบเขาแพนเดอร์, เมือง Gahkuch)

ทะเลสาบแพนเดอร์ เป็นทะเลสาบสีฟ้าครามอันสวยงาม อาบอิ่มด้วยธรรมชาติ ทอดตัวอยู่อย่างนิ่งสงบในหุบเขาแพนเดอร์ ตำบลไกเซอร์ ทางด้านเกือบจะตะวันตกสุดของแคว้นกิลกิต-บัลติสถาน ซึ่งถ้าเดินทางต่อไปอีกไม่ไกล ก็จะถึงชายแดนอัฟกานิสถานแล้ว ชาวบ้านในแถบนั้นเรียกทะเลสาบแพนเดอร์ในอีกชื่อหนึ่งว่า Nango Chatt มันเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่มีความสำคัญมาก เพราะผู้คนได้อาศัยน้ำนี้ในการอุปโภคบริโภค โดยตัวทะเลสาบรับน้ำหลักๆ มาจากแม่น้ำไกเซอร์ ทะเลสาบมีความลึกสุดถึง 44 เมตร ยาว 900 เมตร และกว้าง 460 เมตร ทัศนียภาพโดยรอบโปร่งโล่งสบาย มีต้นไม้ขึ้นอยู่เป็นทิวตามชายฝั่ง ทำให้กลายเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญ และมีนักถ่ายภาพเดินทางไปเยือนจำนวนมาก

การเดินทางมาที่ทะเลสาบแพนเดอร์ หากเริ่มต้นที่เมือง Gilgit ก็ต้องนั่งรถเลาะเลียบแม่น้ำ Gilgit ซึ่งขนานกับเทือกเขาฮินดูกูชไปทางตะวันตกสู่เมือง Gupis ประมาณ 112 กิโลเมตร เมื่อถึง Gupis แล้ว ต้องขับรถต่อไปอีกราวๆ 2 ชั่วโมง ก็จะถึงตัวทะเลสาบ ซึ่งมีทางเดินโดยรอบ แสงสวยทั้งในเวลาเช้า เย็น ส่วนช่วงกลางวันแดดอาจจะร้อนหน่อย แต่ก็ได้รสชาติในการเดินทางดีไปอีกแบบ รวมถึงวิวทิวทัศน์ระหว่างทางก็น่าตื่นตาสุดๆ
22. Kargah Buddha, Gilgit (พระยืนคาร์กาห์, เมืองกิลกิต)

ในบรรดาร่องรอยของพระพุทธศาสนาที่เคยรุ่งเรืองเฟื่องฟูในดินแดนปากีสถานครั้งอดีต ดูเหมือนว่า ‘พระยืนคาร์กาห์แห่งเมืองกิลกิต’ จะเป็นหนึ่งในแหล่งที่มีชื่อเสียงไม่น้อย เพราะแม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็ยังมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ อีกทั้งยังเป็นประจักษ์พยานสำคัญของการตั้งมั่นแห่งพระพุทธศาสนาในดินแดนจุดเชื่อมต่อเอเชีย-ยุโรป ระหว่างเส้นทางสายไหมของปากีสถานนี้

พระยืนคาร์กาห์อยู่ห่างจากตัวเมืองกิลกิตไปราวๆ 10 กิโลเมตร ใกล้บริเวณที่เรียกว่า Kargah Nallah หรือหุบเขาคาร์กาห์ นั่นเอง องค์พระยืนได้รับการจำหลักขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 7 ในลักษณะแบบนูนต่ำสูง 50 ฟุต ปรากฏเด่นอยู่บนหน้าผาหินตั้งชัน อยู่สูงจากพื้นเบื้องล่างนับร้อยฟุต โดยเพิ่งค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1938-1939 ในการตามรอยบันทึกเก่าแก่ของเมืองกิลกิต ทั้งนี้ห่างจากองค์พระขึ้นไปตามแม่น้ำอีก 400 เมตร จะพบกับสถูปอีก 3 องค์ด้วย ในบันทึกกล่าวว่าเหตุที่ต้องสร้างองค์พระยืนคาร์กาห์ขึ้น ก็เพื่อขับไล่นางยักษิณีตนหนึ่ง ซึ่งเคยสิงสู่อยู่ในแถบหุบเขาคาร์กาห์นี้!
Special Thanks : บริษัท Prima Connection สนับสนุนและอำนวยความสะดวก ในการเดินทางทำสารคดีเรื่องนี้อย่างดีเยี่ยม
สนใจเดินทางท่องเที่ยวปากีสถาน กับผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพ ติดต่อ บริษัท Prima Connection 506/25 ถนนประชาอุทิศ แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กทม. 10310

โทร. 0-2158-9158 Fax 0-2158-9159 มือถือ 08-9885-8998

www.primaconnection.com 

www.primaconnection.com/ทัวร์ปากีสถาน/

พักในอ้อมกอดสีเขียว เที่ยวกระบี่ที่ Pooltara Resort

นานแล้วไม่ได้กลับมาเที่ยว ‘จังหวัดกระบี่’ มาเที่ยวทั้งทีทริปนี้จึงต้องเป็นอะไรที่พิเศษสุดๆ

เราเดินทางเข้าสู่อ้อมกอดของแมกไม้เขียวขจีและสายน้ำใสเย็นจากธรรมชาติ ที่  Pooltara Resort Krabi ซึ่งแม้จะอยู่ในเขตอำเภอเมืองกระบี่ ทว่าก็ไม่ได้อยู่ในใจกลางเมืองหรือแถบอ่าวนางที่ค่อนข้างแออัด แต่ Pooltara Resort ได้พาตัวเองมาแอบซ่อนอยู่ในอ้อมกอดของขุนเขา และธรรมชาติพิสุทธิ์ ที่ซึ่งมีเพียงเราและธรรมชาติกระซิบรักกันฝนโปรยละอองเย็นฉ่ำ ต้อนรับการมาถึงของเราที่ Pooltara Resort ตัวรีสอร์ทตั้งอยู่ติดลำธารธรรมชาติชื่อ ‘คลองธารทิพย์’ ซึ่งเคยมีนากน้ำอาศัยอยู่ เป็นลำธารสาธารณะที่ไหลมาจากป่าบนเขาพนมเบญจา บรรยากาศของที่นี่จึงอาบอิ่มด้วยธรรมชาติ อากาศปลอดโปร่ง เหมาะจะมาพักผ่อนกายใจในมุมส่วนตัวอย่างแท้จริง
คุณเฟียต CEO แห่ง Pooltara Resort Krabi คือหนึ่งคนที่ตกหลุมรักจังหวัดกระบี่เข้าอย่างเต็มเปา จากที่ป่าพรุและสวนเก่า 10 ไร่ ซึ่งคุณพ่อได้ซื้อไว้เมื่อกว่า 26 ปีก่อน บัดนี้คุณเฟียตได้เนรมิตให้กลายเป็นที่พักสไตล์ Eco-Friendly  เป็นมิตรใกล้ชิดธรรมชาติอย่างกลมกลืนมากๆจุดเด่นของ Pooltara Resort Krabi คือความเป็นธรรมชาติของแมกไม้เขียวสดร่มรื่น และลำคลองธารทิพย์ ที่ผ่านเข้ามายังรีสอร์ท เหมาะไปนั่งพักผ่อน เล่นน้ำ พายเรือ ให้เย็นกายเย็นใจเหมือนการช๊าตพลังชีวิตอดใจไม่ไหว ไปพายเรือแคนนูเล่นชมธรรมชาติกันเถอะเรา ริมคลองธารทิพย์ มีการจัดแต่งสวนสวยร่มรื่น ใช้เป็นจุด check in หรือ photo point ได้สบายๆ เลยจ้าส่วนสำคัญอีกอย่างของ Pooltara Resort Krabi คือบ้านพักสไตล์ Villa ที่ออกแบบได้อย่าง Modern โปร่งโล่งสบาย มองเห็นธรรมชาติอยู่ใกล้แค่เอื้อม สำหรับหลังนี้เป็นแบบสองชั้น โดยชั้นล่างใช้เป็นห้องนั่งเล่น อิงกายบนโซฟานุ่ม ส่วนชั้นบนเดินขึ้นบันไดไปอีกนิด ก็ถึงที่นอนคล้ายชั้นลอย ให้ความรู้สึกอบอุ่นสบายคล้ายอยู่บ้าน
ที่พิเศษมาก คือหน้าห้องมีมุม Relax สุดชิล เป็นตาข่ายให้นอนเล่นรับลมธรรมชาติมุม Lobby ที่ให้ความรู้สึกเป็นกันเองได้เวลา Dinner แล้ว ขอให้คืนนี้เป็นคืนพิเศษที่เราจะจดจำไปอีกนานแสนนานแค่เห็นการจัดโต๊ะก็กินขาดแล้วล่ะ นำเอาใบตองมาปูโต๊ะ เป็นการผสมผสานกลิ่นอายท้องถิ่นปักษ์ใต้เข้ามาได้อย่างน่ารักมากๆ
อาหารค่ำของ Pooltara Resort Krabi มี 2 เซ็ทให้เลือก คือ ลัดตา Set และปกาสัย Set ทั้งสองแบบนี้จัดมาในสไตล์อาหารท้องถิ่น อาทิ แกงส้มปลากะพง, หมูฮ้อง, คั่วกลิ้งปลา, น้ำพริกปลาฉิ้งฉ้าง, หมูสามชั้นผัดกะปิ, ต้มกะทิใบเหรียง และนำ้พริกกะปิกุ้งสด เป็นต้นลิ้นลิ้มรสความอร่อย ตาได้เสพความงาม และหูได้ยินเสียงเพลงเบาๆ เคล้าบรรยากาศยามหัวค่ำท่ามกลางธรรมชาติ
เครื่องดื่มเย็นๆ ผสมแอลกอฮอล์เบาๆ ช่วยให้ค่ำคืนนี้ Perfect ขึ้น ในขณะที่เรานั่งพูดคุยสรวนเสเฮฮากับเพื่อนฝูงอาหารเช้าของ Pooltara Resort Krabi ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เพราะเน้นอาหารพื้นบ้าน ที่อุดหนุนชาวบ้านมาแท้ๆ รสชาติจึงอร่อยถึงเครื่องแบบปักษ์ใต้จริงๆ ส่วนการจัด Setting Buffet Corner ก็น่ารักเก๋ไก๋ฟรุ้งฟริ้ง
ข้าวเหนียวไก่ทอดแบบพื้นบ้าน ดูหน้าตาธรรมดา แต่รสชาติอาหร่อยอย่างแรง ขอบอกว่าถึงเครื่องมากครับ แต่ก็ขอเหลือท้องไว้ชิมขนมจีนด้วย ฮาฮาฮาขนมพื้นบ้านต่างๆ จัดไว้เสิร์ฟกันตั้งแต่เช้าตรู่ กินกันให้เต็มที่เลยนะเช้านี้ จะได้มีแรงออกไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวสุด Unseen ที่อยู่ไม่ห่างจาก Pooltara Resort Krabi คือ ‘จุดชมวิวเขาทอง’ จากจุดนี้สามารถชื่นชมพระอาทิตย์ตกได้แบบสุดสายตา Panorama โดยมีหมู่เกาะทะเลกระบี่เรียงรายอยู่ตรงหน้าเลย!ส่วนใครที่อยากเที่ยวแบบ Adventure ผจญภัยกลางแจ้ง แนะนำให้ไปพายเรือคายัคในคลองบ่อท่อ ตรงสู่ ‘ถ้ำผีหัวโต’ แหล่งประวัติศาสตร์กว่า 3,000 ปี เป็นถ้ำที่มีภาพเขียนสีอยู่บนผนังถ้ำนับร้อยภาพ มากที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย มีภาพแปลกๆ ชวนให้ฉงนสนเท่ห์ ตั้งแต่ ผีหัวโต, มือหกนิ้ว, มนุษย์อวกาศ, เจ้าบ่าวเจ้าสาว, ฮิปปี้โบราณ, นกยักษ์, ปลาโบราณ ฯลฯถ้ำลอด ในระหว่างทางไปถ้ำผีหัวโต คลองบ่อท่อภาพวาดผีหัวโต ที่ชวนให้ขบคิดว่า นี่คือภาพของสัตว์ คน หรือมนุษย์ต่างดาวกันแน่นะ?!อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยว Unseen ใกล้ Pooltara Resort Krabi ที่ห้ามพลาดชมด้วยประการทั้งปวงก็คือ ‘ท่าปอม คลองสองน้ำ’ ระบบนิเวศมหัศจรรย์ ที่มีน้ำจืดและน้ำทะเลไหลบ่าสลับกันเข้ามาในลำธารสีเขียวมรกตธรรมชาติ มีให้ชมทุกวัน โดยเฉพาะในยามเช้าที่น้ำจะใสปิ๊งเป็นพิเศษ แต่ปัจจุบันอนุญาตให้ลงเล่นน้ำได้แค่บางจุดเท่านั้นนะ เพื่อรักษารากไม้และระบบนิเวศนี้ไว้ให้คงอยู่ตลอดไป

Contact : Pooltara Resort Krabi เลขที่ 144/1 หมู่ 4 บ้านในสระ ต.เขาทอง อ.เมือง จ.กระบี่ 81000

โทร. 0-7566-4599, 0-7581-9846, 0-7581-9847

pooltararesort@gmail.com / Facebook : Pooltara Resort Krabi

โปรฯ วันแม่สุดคุ้ม…ปูอลาสก้ามาเต็ม!

ปูมาแล้วจ้า ปู! แต่ไม่ใช่ปูธรรมดา เพราะเป็น ‘ปูอลาสก้า’ แท้ๆ ขาใหญ่ๆ เนื้อแน่นๆ สู้ปาก ที่ร้านอาหาร The Terrace@72 ของ โรงแรม Ramada Plaza Bangkok Menam Riverside โรงแรมสุดหรูในย่านถนนเจริญกรุง ท่ามกลางบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยาอันแสนคลาสิก
ห้องอาหาร The Terrace@72 โรงแรมแม่น้ำ รามาดาพลาซา เป็นที่รู้จักกันดีในเหล่านักชิม และคนรักบุฟเฟ่ต์ เพราะนอกจากจะมีบรรยากาศริมแม่น้ำที่สวยงาม ชื่นตาชื่นใจ และเย็นสบายตลอดวันแล้ว ร้านนี้ยังตกแต่งอย่างทันสมัยในสไตล์ Modern ให้ความรู้สึกโปร่งโล่งสบายตา ทุกโต๊ะสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเพลินๆ ได้ ในขณะที่กำลังละเลียดชิมบุฟเฟ่ต์นานาชาติ ที่คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพมาอย่างดี ทั้งอาหารไทย จีน ญี่ปุ่น อินเดีย และยุโรป เรียกว่ามาที่เดียวครบ หลากหลายจริงๆ
เมื่อวันแม่ใกล้เข้ามาทุกที ทาง The Terrace@72 เขาจึงจัดโปรโมชั่นพิเศษสุดคุ้ม เพื่อคุณแม่และคุณลูกโดยเฉพาะ ระหว่างวันที่ 10-13 สิงหาคม 2561 นี้ (รวม 4 วันเต็ม)

คือเมื่อคุณโทรมาสำรองที่นั่งล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน ก็จะได้รับฟรีทันที ‘ขาปูอลาสก้ายักษ์’ 1 จาน (ต่อโต๊ะ) ไปเลย! รวมทั้งยังสามารถอิ่มอร่อยกับบุฟเฟ่ต์นานาชาติได้อย่างไม่อั้นเช่นเคย เรียกว่าฉลองวันแม่แห่งชาติกันด้วยความสุข สนุก และอิ่มอร่อยกันทั้งครอบครัว
ไม่ต้องบรรยายกันมากเลยจริงไหม? ขาปูอลาสก้ายักษ์ ที่สั่งตรงมาจากรัสเซีย จับขึ้นมาสดๆ จากน่านน้ำเย็น แล้วส่งตรงสู่ The Terrace@72 เพื่อวันแม่นี้จริงๆขอบอกว่าขาปูยักษ์อลาสก้าแต่ละขานั้น ใหญ่มากๆๆๆๆ กินคนละ 2-3 ขา ก็อิ่มแปร้แล้ว! เปลือกที่หนาและแข็ง ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษช่วยเปิดให้เห็นเนื้อแน่นๆ ภายใน พอกัดคำแรกเข้าไป น้ำตาแทบไหล! เพราะมันแน่น นุ่ม สู้ปาก กัดลงไปมีความหวานซาบซ่านทะลักออกมา เคี้ยวเพลินกว่าเนื้อปูชนิดอื่นเป็นไหนๆ คงจะดีไม่น้อยเลยถ้าได้พาคุณแม่มานั่งกินด้วยกันนะจ๊ะ
เปรียบเทียบขนาดขาปู กับนางแบบเซเลปสุดสวยของเรา อิอิร้าน The Terrace@72 ของโรงแรมแม่น้ำ รามาดาพลาซา เปิดบริการทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็น

บุฟเฟ่ต์มื้อกลางวัน (11.30-14.30 น.) ท่านละ 790 บาท จันทร์-เสาร์

บุฟเฟ่ต์มื้อเย็น (18.00-22.00 น.) ท่านละ 1,400 บาท จันทร์-อาทิตย์

ซันเดย์บรั้นช์ วันอาทิตย์ (11.30-15.00 น.) ท่านละ 1,400 บาท และ 700 บาท สำหรับเด็กอายุ 6-12 ขวบ
นอกจากขาปูอลาสก้ายักษ์ในช่วงโปรโมชั่นพิเศษวันแม่ 10-13 สิงหาคม 2561 นี้แล้ว ยังมีบุฟเฟ่ต์ Seafood นานาชนิด สดใหม่ ให้ชิมกันอย่างจุใจ คงไม่ต้องบรรยายมากเนอะ ฮาฮาฮา สำหรับใครที่ไม่เคยไป โรงแรมแม่น้ำ รามาดาพลาซา ไม่ต้องกังวล เพราะหาง่ายมาก อยู่บนถนนเจริญกรุง เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส และใกล้ทางด่วน พร้อมมีบริการเรือของโรงแรมรับส่งฟรีจากท่าสาทรทุกวัน

อย่าลืมนะ วันแม่ปีนี้ 10-13 สิงหาคม พาคุณแม่ไปบอกรัก แกะเนื้อขาปูอลาสก้ายักษ์ป้อนแม่ ที่ร้าน The Terrace@72 จ้าสนใจสอบถามเพิ่มเติม หรือสำรองที่นั่ง โทร. 0-2688-1000 ต่อ 80110 (The Terrace@72)

www.ramadaplazamenamriverside.com/f-and-b-promotions.html

เที่ยวเกาหลีสไตล์ TEATA หมู่บ้าน Way Am (ตอน 5)

วันที่ 5 วันสุดท้ายของการเดินทางท่องเที่ยวเรียนรู้วิถีชุมชนของเกาหลีกับ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) ความเข้มข้นก็มิได้ลดน้อยลงเลยสักนิดเดียว แต่มาถึงไฮไลท์ของหมู่บ้านที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดในการจัดทำท่องเที่ยวโดยชุมชน คือ ‘หมู่บ้านวัฒนธรรมเวอัม’ (Way Am Folk Village) เมืองอาซาน (Asan) จังหวัดชุงชองนัม (Chungcheongnam) ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโซลเพียงระยะรถวิ่งแค่ 1.30 ชั่วโมง เท่านั้น
หมู่บ้านเวอัม มีขนาดไม่ใหญ่โตเลย แต่ตั้งอยู่ในโลเกชั่นสวยงามสุดๆ ตัวหมู่บ้านตั้งอยู่กลางทุ่งนา ในหุบเขาที่มีเทือกทิวเขาสองแนวโอบล้อมเป็นฉากหลังอย่างกับภาพวาด คือ ภูเขากวางด็อก (Gwangdeok Mountain) และภูเขาซุลวา (Sulhwa Mountain) แถมยังเที่ยวได้ 4 ฤดู ในความงามต่างกัน โดยเฉพาะฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนหมู่บ้านเวอัมจะมีชีวิตชีวาสุดๆ มีสีสันคัลเลอร์ฟูลของดอกไม้นานาชนิด เคียงคู่ผืนนาสีเขียวขจี บึงบัวบาน และกิจกรรมท่องเที่ยวอันคึกคัก ปัจจุบันหมู่บ้านเวอัมมีชื่อเสียงมากในแง่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชน ในลักษณะ ‘พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต’ หรือ Living Museum เพราะเขาสามารถปลุกชีวิตหมู่บ้านชนบทอายุ 500 ปี ที่มีอาชีพหลักทำเกษตรกรรมทำไร่ทำนาปลูกผัก ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้วิถีชุมชนได้อย่างสนุกสนาน เพราะมีการสนับสนุนงบส่วนหนึ่งจากรัฐบาลกลาง และชาวบ้านก็สามัคคี สร้างกิจกรรมสนุกๆ ให้นักท่องเที่ยว ผู้มาเยือน อีกทั้งมีการปรับปรุงภูมิทัศน์ ความสะอาด เที่ยวได้สบายใจจริงเมื่อข้ามลำธารสายเล็กๆ เข้าสู่หมู่บ้านแล้ว ก็พบบรรยากาศราวกับว่าเราได้พาตัวเองย้อนเวลาไปในอดีตเมื่อ 500 ปีก่อน เพราะในหมู่บ้านยังคงมีบ้านไม้โบราณที่มุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผา บ้างมุงหลังคาด้วยฟางข้าว และมีแนวกำแพงหินก่อเรียงกันไปเหมือนกับที่เราเห็นในละครเกาหลีจริงๆ เลยกังหันน้ำโบราณตรงทางเข้าหมู่บ้าน เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมไปนั่งฟังเสียงน้ำไหลซู่ซ่าให้เย็นใจการเดินชมหมู่บ้านโบราณอายุ 500 ปีแห่งนี้ ถ้าให้ดีก็ต้องเช่าชุดฮันบก (ชุดประจำชาติเกาหลี) ใส่ให้สวยๆ เดินเฉิดฉายถ่ายรูปไปเที่ยวไป แหม Happy ดีจริงเนอะหมู่บ้านเวอัมเปิดให้ท่องเที่ยวทุกวัน และได้รับความนิมอย่างสูง เพราะมีเสน่ห์ดึงดูดทั้งสถานที่ ธรรมชาติ กิจกรรม และวิถีชีวิตแบบย้อนยุคจากปากทางเข้าหมู่บ้าน เรานั่งรถแทร็กเตอร์พ่วงเข้าไปเพื่อประหยัดเวลา (พวกบ้านไกลเวลาน้อยก็อย่างนี้ล่ะครับ ฮาฮาฮา)แม้จะเป็นหมู่บ้านโบราณที่มีอายุถึง 500 ปี ทว่าเวอัมก็ได้รับการดูแลอย่างดี มีความสะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบ โดดเด่นด้วยเรือนไม้โบราณมุงหลังคาฟางข้าว และแนวกำแพงก่อด้วยหินยาวเหยียด อีกทั้งร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ เคียงคู่นาข้าว เป็นเสน่ห์ที่หาไม่ได้ในเมืองใหญ่ หรือการไปพักในโรงแรมหรูห้าดาว เพราะนี่คือจิตวิญญาณที่แท้จริงของแดนกิมจิล่ะครับอาหารเที่ยง เป็นอาหารมื้อแรกในหมู่บ้านเวอัม เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ตักเติมได้ไม่อั้น โดยต้องมากินรวมกันที่โรงครัวสำหรับนักท่องเที่ยวครับอาหารแบบง่ายๆ แต่นั่งกินกับคนรู้ใจ มันก็เลยอร่อยไงล่ะ ‘พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต’ หรือ Living Museum แห่งหมู่บ้านเวอัม โดยเฉพาะอย่างยิ่งโฮมสเตย์ของหมู่บ้านนที่โดดเด่นจริงๆ เพราะเราจะได้เข้าไปนอนค้างคืนในบ้านไม้โบราณอายุเป็นร้อยๆ ปี ที่ยังมีเจ้าบ้านอาศัยอยู่ และเขาแบ่งห้องให้เรานอน แบ่งครัวให้เราทำกับข้าว ซึ่งแม้จะพูดคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะชาวบ้านพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ทว่าน่าแปลกที่ภาษากายของเราช่วยให้สื่อสารกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของหมูบ้านเวอัม คือแนวกำแพงหินที่ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกสำคัญของชาติเกาหลีไปแล้ว ว้าว!หลังจากอาหารเที่ยง กิจกรรมสนุกๆ ก็เริ่มต้นขึ้น อย่างแรกคือ ‘การโม่ถั่วเหลือง’ เพื่อทำเต้าหู้แบบโบราณ กิจกรรมนี้ทำให้ใครหลายคนย้อนรำลึกถึงวัยเด็ก ที่ยังช่วยคุณแม่เข้าครัวโม่แป้งโม่ถั่วเหลืองอยู่ ซึ่งปัจจุบันคงหาอะไรแบบนี้ยากแล้ว ส่วนน้องๆ รุ่นใหม่ที่ร่วมทริปด้วย ก็ได้ฟังคำบอกเล่าจากปากของท่านผู้อาวุโส เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และย้อนเวลาหาอดีตได้อย่างสนุกสนาน
น้ำถั่วเหลืองที่บดแล้วจะไหลมารวมกันในหม้อต้ม เมื่อคนไปคนมาสักพัก แล้วเติมน้ำทะเลลงไปในขั้นตอนสุดท้าย ก็จะได้น้ำเต้าหู้และฟองเต้าหู้แยกจากกันชัดเจนนำน้ำถั่วเหลือง (น้ำเต้าหู้) ที่ต้มดีแล้ว กรองในถุงขนาดใหญ่ เพื่อให้ได้ความใสสะอาดจากนั้นนำกากถั่วเหลืองมาบีบบดคั้นเอาน้ำออกมาให้ได้มากที่สุด โดยชาวบ้านจะทิ้งน้ำเต้าหู้ (น้ำถั่วเหลือง) ที่เราช่วยกันคั้นนี้ ทิ้งไว้ 1 คืน ก่อนนำมาทำเต้าหู้แสนอร่อยให้เรารับประทานกันเต้าหู้หมู่บ้านเวอัมจากฝีมือเราเอง ขอบอกว่าเนื้อนุ่ม รสชาตินวลเป็นธรรมชาติ แทบไม่ต้องเคี้ยวเพราะละลายในปากได้เลย กินคู่กับผักดองกิมจิต่างๆ บำรุงสุขภาพเพราะอุดมด้วยคุณค่าทางอาหารมากมายครับหลังกิจกรรมทำเต้าหู้ ก็ได้เวลาออกเดินเที่ยวชมบรรยากาศของหมู่บ้านโบราณ ที่ไม่มีการสร้างตึกสูงหรืออาคารสมัยใหม่แทรกแซมเข้าไปเลย เรียกว่าเขายังอนุรักษ์สถาปัตยกรรมจากอดีตไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ตัวเรือนไม้โบราณที่ตั้งหลบอยู่ในดงต้นสนและเมเปิลอย่างนิ่งสงบ ช่วยให้ใจเราสงบไปด้วย อยากนั่งอยู่เฉยๆ สักพัก ชมแนวกำแพงหินเคียงคู่ดอกไม้ ป่าสน ลำธาร เป็นความงามเปี่ยมคุณค่า ถึงขนาดรัฐบาลเกาหลีประกาศให้ 3 สิ่งในหมู่บ้านวัฒนธรรมเวอัมกลายเป็น ‘มรดกสำคัญของชาติ’ (National Important Folk Material) คือ บ้านโบราณ, แนวกำแพงหินโบราณยาว 3 กิโลเมตร และทางน้ำแบบโบราณ ว้าว! แนวกำแพงหินที่แลดูธรรมดา บัดนี้กลายเป็นโลเกชั่นถ่ายแบบของสาวน้อยแสนน่ารักชาว TEATA ไปแล้ว
แนวกำแพงหินโบราณกลับมีชีวิตขึ้นอีกครั้งในฤดูร้อน เมื่อดอกไม้เล็กๆ เบ่งบานขึ้นมาทักทายกันอย่างน่ารักน่าชังใบเมเปิลแดงหลงฤดู ที่หมู่บ้านเวอัม นี่คือศิลปะในธรรมชาติที่มีคุณค่ายิ่งต่อจิตใจมนุษย์ต้นไม้โบราณเก่าแก่หลายชั่วอายุคน ยืนต้นตระหง่านแผ่กิ่งก้านสาขา เปลือกของมันแตกออกเป็นร่องเป็นเกล็ดเหมือนลวดลายที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นประดับประดาหมู่บ้านเวอัมเดินเที่ยวหมู่บ้านด้วยความเพลิดเพลิน เพราะแดดไม่ร้อนจัด แถมยังมีดอกไม้หลากสีเบ่งบานดึงดูดเราไปตลอดทางถนนเดินผ่านกลางหมู่บ้าน นำเราย้อนอดีตในทุกย่างก้าว ท่ามกลางโอบกอดของธรรมชาติและแนวกำแพงหินนิ่งสงบ แลดูมั่นคง
ชีวิตเรียบง่ายในเวอัม สะท้อนออกมาในทุกย่างก้าวของชีวิตผู้อยู่อาศัยพักคลายร้อนในห้องแอร์เย็นฉ่ำ กับการฟังบรรยายสรุปความเป็นมาของหมู่บ้าน และรูปแบบการจัดท่องเที่ยวโดยชุมชน สมาชิกชาว TEATA ได้ความรู้กันไปเต็มๆ ครับงานนี้ถัดมาเป็นกิจกรรม DIY (Do It Yourself) ที่เขาให้เราลองประดิษฐ์ตกแต่งพัดแบบเกาหลีด้วยตัวเอง เพื่อนำกลับไปเป็นของที่ระลึกน่ารักๆ สไตล์เกาหลีครับ โดยเขาจะแจกพัดกระดาษสีขาวโล่งๆ ให้คนละอัน พร้อมกาว และกระดาษสีที่ตัดเป็นรูปดอกไม้ต่างๆ จากนั้นก็ใช้จินตนาการของใครของมัน ปะติดให้เกิดลวดลายตามชอบเลยจ้า
เสร็จแล้วจ้า พัดเกาหลีสวยแบบ Minimal ตาม character ของน้องสาวแสนน่ารัก เสร็จแล้วจ้า ผลงานสวยๆ ของแต่ละคน มีชิ้นเดียวในโลกเลยนะเนี่ย กิจกรรมถัดมา เป็นสิ่งที่สาวๆ หลายคนรอคอยมาทั้งวัน นั่นคือการใส่ชุดฮันบก ซึ่งเป็นชุดประจำชาติของเกาหลี เพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เลือกกันได้ตามใจชอบเลยจ้า ผู้ชายหน้าหวานกับดอกซากุระบนหมวก เขาคือนักปราชญ์ราชบัณฑิตหรือขุนนางจากยุคไหนไม่มีใครรู้ รู้แต่แน่ๆ ว่า มีแต่คนเหลียวมองชายผู้นี้ ตลอดเวลาที่เขาสวมหมวกใบนั้น!!!
พี่น้องสองสาว ในชุดฮันบกสีสดใส บันทึกภาพนี้ไว้ในความประทับใจตลอดไปเลยยิ้มกว้างขนาดนี้ เขินหรือว่าดีใจที่ได้ใส่ชุดฮันบกจ๊ะพี่หุย? ฮาฮาฮา
เย็นมากแล้ว เวลาผ่านไปไม่รอท่า ได้เวลาเช็คอินเข้าพักในบ้านโบราณ ตอนนี้เจ้าบ้านแต่ละหลังมารอรับพวกเราอยู่แล้ว บางบ้านมีบริการพาเรานั่งรถเล่นด้วย น่าอิจฉาจังคู่นี้ค่ำวันนั้น ทางเกาหลีได้จัดงานเลี้ยงส่ง Farewell Party ให้กับคณะ 34 ชีวิตของ TEATA ที่มาเยี่ยมชมและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในทริปนี้ บรรยากาศงานเลี้ยงเต็มไปด้วยความสนุกสนานเฮฮา และเครื่องดื่มพื้นบ้านแบบเกาหลีหลายชนิด จนใครหลายคนมึนจัด หลงทาง เดินกลับบ้านพักไม่ถูกันเลยทีเดียว! ฮาฮาฮา
ในงานเลี้ยง มีการเชิญศิลปินแห่งชาติด้านการขับร้อง มาร้องเพลงอารีรัง (คนไทยรู้จักในชื่อเพลง อารีดัง) ให้เราฟังกันสดๆ ขอบอกว่าไพเราะจับใจมากจริงๆ ฟังจบปุ๊ปรู้สึกเลยว่ามาถึงเกาหลีแล้วการเดินทางมาเกาหลีเป็นเวลา 5 วัน ในครั้งนี้เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันระหว่างสองประเทศ ประสบความสำเร็จตามเป้าประสงค์อย่างดีเยี่ยม เช้าวัดสุดท้ายก่อนบินกลับไทย จึงเป็นวาระสำคัญยิ่งที่ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) จะได้เซ็นต์บันทึกความเข้าใจ (MOU) กับ สภาส่งเสริมการท่องเที่ยวชนบทเกาหลี (Korean Rural Experience Village Council : KREVC) ซึ่งเป็นโอกาสที่พิเศษมาก เพราะไม่เคยเกิดบรรยากาศการทำงานร่วมกันในลักษณะนี้มาก่อน จึงถือเป็นมิติใหม่และความหวังใหม่ในการดำเนินงานท่องเที่ยวโดยชุมชนให้ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง ระหว่างสองประเทศ โดยมี TEATA เป็นหัวหอกสำคัญเช้าวันสุดท้ายของการเดินทาง คณะ TEATA ทั้งหมดจึงเดินทางไปยังสถานที่จัดประชุมใกล้หมู่บ้านเวอัม พบปะตัวแทนด้านการท่องเที่ยวคนสำคัญๆ ของเกาหลี โดยเฉพาะ Mr. Lee Kyujeong ตำแหน่ง President of Korean Rural Experience Village Council และ Mr. Choi Bong-soon ตำแหน่ง Director of Rural Industry Division สังกัดกระทรวงเกษตร, อาหาร และกิจการชนบทเกาหลีบรรยากาศการประชุมอันอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยความเข้าใจ ในการทำงานสู่ทิศทางเดียวกัน ก่อนที่จะมีการเซ็นต์ MOU
คุณนีรชา วงศ์มาศา นายกสมาคม TEATA เป็นตัวแทนเซ็นต์ ​MOU ร่วมกับ Mr. Lee Kyujeong (President of Korean Rural Experience Village Council) ซึ่งมีเครือข่ายท่องเที่ยวหมู่บ้านกว่า 1,000 แห่งทั่วเกาหลี
ผลจากการเซ็นต์ MOU ครั้งนี้ มีข้อผูกพันระหว่างกันหลายประการ ไม่ว่จะเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการทำท่องเที่ยวชุมชนให้ยั่งยืน, การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ดูงาน, การฝึกอบรมบุคลากรร่วมกัน รวมถึงการจัดทริปเหย้าเยือนนักท่องเที่ยวระหว่างกันด้วย เป็นต้น โดยในเดือนพฤศจิกายน 2561 ที่จะถึงนี้ คณะทำงานจากเกาหลีก็จะเดินทางมาเยี่ยมเยือนประเทศไทยด้วย เตรียมตัวต้อนรับกันให้ดีนะครับหลังจากเซ็นต์ MOU เสร็จเรียบร้อย คุณนีรชา วงศ์มาศา นายกสมาคม TEATA ก็ได้นำเสนอความเป็นมา เป้าหมาย แนวคิด การทำงาน และผลงานของ TEATA ให้กับทางเกาหลีฟัง โดยได้รับความสนใจเป็นอย่างดีคุณนีรชา วงศ์มาศา ายกสมาคม TEATA ประเทศไทย มอบของที่ระลึกให้กับ Mr. Choi Bong-soon และทั้งหมดนี้ คือกิจกรรมสนุกๆ ของ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) ที่ไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาวงการท่องเที่ยวไทยให้ยั่งยืน บัดนี้เราได้ก้าวออกสู่เวทีโลกอย่างสง่าผ่าเผย และจะนำองค์ความรู้ ประสบการณ์ที่ได้ มาต่อยอดสร้างสรรค์พัฒนาวงการท่องเที่ยวไทยอย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรมต่อไป

แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้านะครับ บ้ายบายสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) โทร. 08-3250-9343 (คุณน้ำ)

เที่ยวเกาหลีสไตล์ TEATA ไร่ชา Bohyang Da Won (ตอน 4)

วันที่ 4 ของการเดินทางท่องเที่ยวอันแสนสนุกและไม่เหมือนใครในเกาหลีกับ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) เรานั่งรถยนต์มุ่งหน้ากลับขึ้นฝั่งจากเกาะนัมเฮ (Namhe Island) สู่หมุดหมายต่อไป ซึ่งขอบอกเลยว่าไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะเป็นไร่ชาที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในเกาหลี คือ ‘หมู่บ้านไร่ชาโพยาง ดาวอน’ (Boseong Da Won Tea Farm Village) ดำเนินกิจการต่อกันมาถึง 5 ชั่วอายุคนแล้ว โดยเริ่มปลูกผลไม้และชามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1937 จนสามารถพาธุรกิจของตัวเองยกระดับโด่งดังไปทั่วโลกด้วยชื่อ Bohyang Tea แม้จะเป็นไร่ชาแบบดั้งเดิมที่ยังคงสืบทอดวิธีปลูกและผลิตชาด้วยกรรมวิธีโบราณ ทว่าการจัดสถานที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวกลับดูเก๋ไก๋ น่ารัก โมเดิร์น ราวกับว่าเราอยู่ในยุโรปกลายๆ ยิ่งยามนี้เป็นฤดูร้อนด้วย ดอกไม้นานาชนิดจึงเบ่งบานละลานตาเชียวมุมเล็กๆ อันแสนน่ารัก เติมสีสันการท่องเที่ยวในไร่ชาโพยาง ดาวอน ให้สมบูรณ์แบบผึ้งตัวน้อยดื่มกินน้ำหวาน พร้อมกับช่วยผสมเกสรดอกไม้ ที่ไร่ชาโพยาง ดาวอนตามธรรมเนียม เมื่อแขกมาถึงบ้าน เจ้าบ้านก็ต้องกล่าวต้อนรับอย่างเป็นทางการ นอกจากการเรียนรู้วิถีชีวิตชาวไร่ชาแล้ว เรายังได้ฝึกฝนวิธีการทำความเคารพแบบคนเกาหลี ที่ถูกต้องด้วย สะท้อนถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน น่ารักดีครับ
อุ่นเครื่องกันได้ที่แล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาออกไปเก็บชากันล่ะ แต่ละคนจะได้รับแจกกระจาดเล็กๆ คนละอัน เอาไว้ไปใส่ยอดชาเขียวที่เก็บได้
ป้ายแสดงความมั่นใจให้ผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวว่า โร่ชาแห่งนี้ปลูกด้วยวิธี Organic ครับ คือไม่ใช้สารเคมีในทุกขั้นตอนคุณ Choi Yeong-Gi เจ้าของไร่ชาโพยาง ดาวอน มาสาธิตวิธีการเก็บยอดชาเขียวให้เราดูด้วยตนเองคุณชอยสอนว่าให้ดูยอดชาที่มี 3 ใบ ตรงส่วนบนสุดของลำต้น โดยสองใบจะแผ่ออก แต่ใบที่สามจะมีลักษณะเป็นปลายแหลมคล้ายหอก เด็ดมาเลยทั้ง 3 ใบ เอาพอเต็มกระจาด เข้าใจแล้วก็เริ่มต้นเก็บยอดชากันทันที ไม่จำกัดเวลานะครับ แต่เอาแค่พอเต็มกระจาด เพื่อนำไปคั่วต่อ การเดินในไร่ชาที่เปิดโล่ง อากาศบริสุทธิ์ มองเห็นทัศนียภาพเนินเขากว้างไกล และมีต้นสนซีดาร์กระจายอยู่ห่างๆ กัน ถือเป็นกำไรของชีวิต เพราะเป็นการพาตัวและหัวใจออกมาสัมผัสกลิ่นอายธรรมชาติบ้าง หลังจากถูกเมืองใหญ่ดูดกลืนพลังชีวิตไปซะเยอะแล้ว ฮาฮาฮาได้แล้วยอดขาเขียวสามใบ ตามที่คุณชอยสอนพี่หุยครับ เขาให้มาเก็บยอดชานะครับ ไม่ได้ให้มาเซลฟี่ ฮาฮาฮา (อ๋อ ดูในกระจาดเก็บได้เยอะแล้ว เลยเปลี่ยนจากยอดชา มาเก็บภาพเป็นที่ระลึกแทน อิอิ)โมงยามแห่งความสุข ของสมาชิกชาว TEATA ในไร่ชาโพยาง ดาวอนค่อยๆ เก็บยอดชาไป ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบร้อน เดี๋ยวก็เต็มกระจาดเองนั่นล่ะ มืออาชีพมากๆ ได้มาเพียบ เตรียมเอาไปทำกิจกรรมที่สองต่อเลย คือการคั่วใบชาเขียวครับผลงานการเก็บยอดชาเขียวคุณภาพ โดยน้องๆ ทีมงานจากนครพนม น่ารักอ่ะไม่รอช้า ต่อเนื่องเข้าสู่กิจกรรมที่สองกันเลย คือ ‘การคั่วยอดใบชาเขียว’ แต่ก่อนอื่นต้องฟังสรุปวิธีการคั่วใบชาที่ถูกวิธีจาก Tea Master กันก่อน
ผ้ากันเปื้อนและถุงมือกันร้อน คืออุปกรณ์สำคัญสำหรับทุกคนในกิจกรรมนี้ เพราะเราต้องใช้มือทั้งสองคั่วใบชาเขียวในกระทะขนาดใหญ่ ด้วยไฟร้อนถึง 150 องศาเซลเซียส น่ะสิเตรียมพร้อม เอายอดใบชาเขียวลงกระทะคั่วครับ‘การคั่วใบชา’ ผลที่ได้จะแตกต่างกัน ทั้งชาเขียว (Green Tea) และชาดำ (Black Tea) ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีและอุณหภูมิในการคั่ว วันนี้ผู้เชี่ยวชาญพาเราคั่วชาเขียว โดยนำยอดชาสดที่เพิ่งเก็บได้มาเทรวมกันใส่กระทะเหล็กใบใหญ่ที่อุณหภูมิราว 150 องศาเซลเซียส จากนั้นก็ใส่ถุงมือกันร้อน ช่วยกันใช้มือคั่ว คลุกเคล้าใบชาไปมาอย่างเป็นจังหวะ 3 เสต็ป ตั้งแต่เบาๆ นุ่มนวล ไปจนถึงเร็วและหนักหน่วงขึ้น จากนั้นก็นำใบชามาแผ่บนโต๊ะ แล้วนวดคลุกเคล้าต่อไปจนมันเย็น โห เพิ่งรู้ว่ากว่าจะได้ชาเขียวหอมกรุ่นดีๆ สักจอก ต้องใช้แรงเยอะเหมือนกันนะเนี่ยะ ต่อไปจะไม่ต่อราคาแล้ว เมื่อคั่วใบชาเขียวในกระทะจนได้ที่ ก็นำมาแผ่บนโต๊ะให้เย็นตัว แล้วแบ่งเป็นกองๆ นวดคลึงคลุกเคล้าไปมาอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความหอม และสารเคมีต่างๆ ในใบชาถูกกระตุ้นให้พร้อมออกมาเต็มที่ยามชงใส่น้ำร้อน เสร็จขั้นตอนคั่วและนวดคลึงใบชา ก็ได้เวลา Tea Master มาตรวจการบ้าน ว่าใน 5 กลุ่มของพวกเรา กลุ่มไหนคั่วใบชาเขียวได้เก่งที่สุด ดีที่สุด หอมที่สุด???
กลุ่ม 5 คว้ารางวัลชนะเลิศ สำหรับกิจกรรมคั่วใบชาเขียวในวันนี้ครับ รับรางวัลกันไป กับผลิตภัณฑ์ชาหลากชนิดของไร่ชาออร์แกนิก โพยาง ดาวอนนี่คือหน้าตาของชาแบบโบราณ ทั้งชาแผ่น ชาเหรียญ และชาก้อน เป็นการนำใบชามาอัดเป็นรูปทรงตากแห้งไว้ เพื่อใช้ในการเก็บไว้กินตลอดปี หรือเพื่อในการขนส่งไปค้าขายระยะทางไกลๆ หรือเพื่อติดตัวไปยามเดินทางได้สะดวก ซึ่งชาก้อนลักษณะนี้จริงๆ เราก็จะเห็นในประเทศจีนและญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน เรียกว่า ชาก้อน (Brick Tea)
คืนนี้เราจะเข้าพักค้างคืนที่ไร่ชาโพยาง ดาวอน ทว่าเขามีให้แต่ที่พัก (แบบง่ายๆ และมีจำนวนจำกัด) และไม่ได้มีอาหารรวมอยู่ในแพ็กเกจด้วย เราจึงต้องขับรถออกมาประมาณ 15 นาที สู่ตัวเมืองโพยาง (Bohyang) เพื่อกินอาหารเย็น ร้านนี้ไม่ธรรมดา เพราะเด่นด้วยเนื้อหมูเบอร์เกอร์ เสิร์ฟมาพร้อมอาหารเกาหลีขนานแท้หลากหลายรสชาติ เป็นอีกหนึ่งมื้อที่เรามีความสุขมากๆ
เรากลับจากร้านอาหารสู่ไร่ชาโพยาง ดาวอน เกือบสองทุ่ม เพื่อมารวมตัวกันและเริ่มกิจกรรมสุดท้ายของวันนี้ คือ พิธีชงชา’ (Tea Ceremony) ซึ่งต้องมี ‘ปรมาจารย์การชงชา’ หรือ Tea Master มาเป็นผู้นำ วันนี้คุณ Choi Yeong-Gi เจ้าของไร่ชา โพยอง ดาวอน ในเจนเนอร์เรชั่นที่ 4 มาสาธิตการชงชาให้เราชมด้วยตนเองเลย

การชงชาแบบเกาหลีนั้นจะดูเกร็งๆ น้อยกว่าของญี่ปุ่น คือของเกาหลีเขาให้เราจับคู่นั่งตรงข้ามกัน ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ชง อีกฝ่ายเป็นผู้ดื่ม แล้วผลัดกัน โดยวิธีการรับส่งแก้วและยกขึ้นดื่มจะต้องกระทำอย่างช้าๆ และมีเสต็ปเฉพาะ  การดื่มชาจริงๆ แล้วเป็นทั้งการดื่มดม และทำสมาธิไปในตัว ขณะดื่มก็ต้องคิดแต่สิ่งดีๆ แบบ Positive Thinking ให้เราสัมผัสลึกล้ำทั้งรูป รส กลิ่น เสียง ของน้ำชาที่ค่อยๆ ไหลลงคอแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย พร้อมกับมีการเสิร์ฟขนมหวานชิ้นเล็กๆ ให้กินคู่กันด้วย คุณ Choi Yeong-Gi เล่าให้ฟังว่าไร่ชาของเขามีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อยู่ตลอดเวลา มิใช่แค่ต้องการขายให้คนเกาหลีได้ดื่มเองในประเทศเท่านั้น แต่บุกตลาดไปทั่วโลก เพื่อให้คนทั่วโลกได้รับรู้ถึงวัฒนธรรมเกาหลีผ่านชาคุณภาพนี่ล่ะ ยิ่งกว่านั้นเขายังมีการคิดค้น ‘ชาทองคำ’ (Golden Tea) สำเร็จเป็นเจ้าแรกด้วย คือเขาได้วิจัยจนสามารถใช้กระแสไฟฟ้าละลายทองคำก้อนให้กลายเป็น ‘น้ำทองคำ’ จากนั้นก็นำไปรดต้นชา ให้ต้นชาดูดน้ำทองคำเข้าไปเก็บไว้ แล้วก็นำใบชานั้นมาผลิตเป็นชาทองคำ ขายราคากล่องละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ! ตอนนี้มีออร์เดอร์จากทั่วโลก โดยเฉพาะจากผู้นำหลายประเทศ รวมถึงดาราเซเลปก็สั่งชาทองคำไปดื่ม เพราะผลวิจัยพบว่าเมื่อร่างกายเรามีทองคำสะสมอยู่ถึงปริมาณหนึ่ง ร่างกายจะสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งได้โดยเองอัตโนมัติ! โห ฟังแล้วตาโต (แต่ไม่มีตังค์ซื้อ!) คุณนีรชา วงศ์มาศา นายกสมาคม TEATA มอบของที่ระลึกน่ารักๆ ให้กับคุณชอยและภรรยา วันเวลาในเกาหลีทำไมช่างผ่านไปรวดเร็วอย่างนี้นะ? เหลืออีกแค่วันเดียวก็ต้องกลับบ้านแล้ว และเราก็มุ่งหน้าเข้าใกล้กรุงโซลเข้าไปทุกทีๆ โปรดติดตามตอนสุดท้าย ว่าสมาชิก TEATA ของเราจะต้องไปผจญภัย หรือพบเจออะไรสนุกๆ อีกบ้าง บ้ายบายสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) โทร. 08-3250-9343 (คุณน้ำ)

เที่ยวเกาหลีสไตล์ TEATA หมู่บ้านดารังงี (ตอน 3)

วันที่สองของการเดินทางท่องเที่ยวในเกาหลีกับ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) เรายังตระเวนกันอยู่บนเกาะนัมเฮ (Namhe Island) เกาะใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งทางภาคใต้ของเกาหลี โดยในช่วงเช้าหลังจากเราเดินป่าขึ้นเขาไปไหว้พระและชมวิวบนภูเขากวมซาน (Mt. Geumsan) แล้ว ช่วงบ่ายก็ได้เวลามาทำความรู้จักกับหมู่บ้านแสนน่ารักอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาชมวิวบวกกับวิถีชีวิตอันน่าสนใจ นั่นคือ ‘หมู่บ้านดารังงี’ (Darangyi Village) จังหวัดคยองซาน (Geongsang)คอนเซ็ปต์ของการท่องเที่ยวที่นี่คือ ‘Ocean Village’ คล้ายๆ กับหมู่บ้านดูโมที่เราไปเยือนมาเมื่อวานนั่นแหละ ด้วยว่าหมู่บ้านดารังงีตั้งอยู่ริมทะเล มีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับเกษตรกรรมและประมงพื้นบ้าน อีกทั้งยังมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ผู้คนที่เริ่มอพยพเข้ามาตั้งรกราก ปรับพื้นที่ลาดเอียงของเนินเขา ให้เป็นนาขั้นบันไดอันสวยงามและมีชื่อเสียง ถ่ายภาพได้แจ่ม ก้อนหินจากการปรับพื้นที่นาก็เอามาสร้างบ้าน กลายเป็นหมู่บ้านน่ารักที่สร้างไล่เรียงลดหลั่นกันไปตามเนินเขาเตี้ยๆ ทัศนียภาพสวยงามจับใจจริง แต่การจะเข้าถึงหมู่บ้านไม่ใช่เรื่องหมูซะแล้ว เพราะรถบัสของเราวิ่งลงไปตามถนนแคบๆ ไม่ได้ จึงต้องออกแรงลากกระเป๋าเดินลงไปเกือบ 1 กิโลเมตร สู่ใจกลางหมู่บ้านที่อยู่ริมทะเลตรงโน้นนนนนนนน!โชคดี คุณคิม (Mr.Kim) ผู้นำท่องเที่ยวหมู่บ้านดารังงี มารอต้อนรับเราอยู่แล้ว จึงพาเราเข้าไปนั่งพักในศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวประจำหมู่บ้าน ติดแอร์เย็นฉ่ำ พร้อมมีชากาแฟอร่อยๆ ไว้ต้อนรับ
หมู่บ้านดารังงีได้รับงบสนับสนุนด้านท่องเที่ยวจากรัฐบาลกลางเกาหลี จึงนำมาปรับปรุงภูมิสถาปัตย์ให้งดงาม สะอาดสะอ้าน และมีเรื่องราวแฝงอยู่ในนั้น โดยแต่ละบ้านจะมีป้าย หรือมีรูปวาดไว้ตามหลังคา กำแพง ผนังบ้าน สื่อถึงจุดเด่นของบ้านแต่ละหลัง เช่น บางบ้านปลูกกระเทียม ก็มีรูปกระเทียม บางบ้านปลูกฟักทอง ก็มีรูปดอกและผลฟักทอง ส่วนบางบ้านเลี้ยงวัวไว้ไถนา ก็จะมีรูปวัว เป็นต้นด้วยว่าภูมิประเทศแทบทั้งหมดของหมู่บ้านดารังงีเป็นเนินเขาลาดเอียงลงสู่ทะเลสีคราม บ้านเรือนจึงสร้างลดหลั่นลงไปตามเนินเขาลาดชันอย่างสวยงามนอกจากภาพวาดตามฝาฟนัง หรือ Wall Painting ที่มีกระจายอยู่ทั่วหมู่บ้านแล้ว ในช่วงฤดูร้อนอย่างนี้ก็จะมีดอกไม้ประดับเบ่งบานแทบทุกบ้านเลย สดชื่นดีจัง ภาพชีวิตประจำวันอันแสนน่ารักของชาวดารังงี นอกจากอาชีพหลักคือปลูกข้าวและประมงแล้ว ยังนิยมปลูกกระเทียมด้วย เพราะกระเทียมบนเกาะนัมเฮนี้ว่ากันว่ารสชาติดีที่สุดในเกาหลี เพราะมีลมทะเลพัดมาเพิ่มความอร่อย จริงไม่จริงต้องไปพิสูจน์กันเองนะครับชื่อหมู่บ้านดารังงี มีความหมายสื่อถึงนาขั้นบันไดที่ลดหลั่นลงไปตามเชิงเขา โดยปัจจุบันมีนาขั้นบันไดอยู่กว่า 680 ผืน รวมเป็นพื้นที่ไม่น้อยกว่า 20 เฮกตาร์ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวมาสัมผัส ต่างกันไปในแต่ละฤดูกาล ซึ่งก็อิงอยู่กับวิถีเกษตรของชาวบ้านนั่นเอง อย่างในช่วงฤดูร้อน ก็จะมีกิจกรรมไถนา (ที่นี่ใช้วัวไถนานะครับ), ปลูกข้าว, จับหอยทาก,​ จับตั๊กแตน รวมไปถึงการเกี่ยวข้าวในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เป็นต้นพอพักกันจนหายเหนื่อยแล้ว คุณคิมก็เริ่มให้เราทำกิจกรรมแรกเพื่อทำความรู้จักกับหมู่บ้านดารังงีให้ดีขึ้น นั่นคือ ‘Running Man’ เป็นการวิ่งหา RC ตามคำถามที่ให้มา ใครหาครบก่อน และมาส่งให้กรรมการได้ก่อน (ต้องหา RC ถูกต้องด้วย) ก็จะได้รับรางวัลไปครับ กิจกรรมนี้สร้างชื่อเสียงให้หมู่บ้านดารังงีโด่งดังไปทั่วเกาหลี และถือเป็น Unique Program ที่สร้างสรรค์ขึ้นอย่างมีเอกลักษณ์เริ่มต้นเกมส์ Running Man ด้วยการแบ่งพวกเราออกเป็น 5 ทีม แล้วแจกแท๊ปเลทให้ทีมละเครื่อง ในนั้นมีคำถามอยู่ 10 ข้อ เพื่อให้เราออกไปค้นหาในหมู่บ้าน เช่น ให้ไปหาคนที่อายุมากที่สุดในหมู่บ้าน,​ให้ไปหาทุ่งนาขนาดเล็กที่สุดในหมู่บ้าน, ให้ไปหาหินรูปร่างเหมือนหินตา-หินยาย ของไทย อะไรทำนองนี้ พอพบ RC แต่ละข้อแล้ว ก็ให้ใช้แท็ปเลทถ่ายภาพทุกคนในทีมคู่กับสิ่งนั้น จนครบ แล้วเอาไปส่งกรรมการครับ สนุกล่ะงานนี้!
ใช่ว่าหมู่บ้านดารังงีจะเล็กซะเมื่อไหร่ เราเลยต้องวิ่งหากันทั่ว แถมยังต้องวิ่งขึ้นลงเนินกลางแดดยามบ่าย จะว่าสนุกก็ใช่ แต่ขอโทษนะพี่ เล่นเอาหอบเลยอ่ะ!!!
พบแล้ว คุณลุงคุณป้าผู้มีอายุมากที่สุดในหมู่บ้านดารังงี ขอถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกหน่อยน้าระหว่างเล่นเกมส์ Running Man เท่ากับเราได้ทำความรู้จักกับหมู่บ้านดารังงีในแง่มุมต่างๆ ไปโดยไม่รู้ตัว วิ่งกันเหนื่อย ก็หยุดถ่ายภาพคู่กับ Wall Painting สวยๆ ที่มีอยู่ทั่วหมู่บ้านร้านกาแฟน่ารักในหมู่บ้าน มองเห็นวิวทะเล และมีสีสันของดอกไม้ฤดูร้อนแต่งแต้มเติมชีวิตชีวา พบแล้ว ทุ่งนาผืนเล็กที่สุดในหมู่บ้าน แต่ตอนนี้ไม่มีต้นข้าว มีแต่ดอกไม้สีขาวเบ่งบานหอมชื่นใจในหมู่บ้านมีมุมถ่ายภาพเก๋ไก๋สไลเดอร์อยู่มากมาย สดชื่นดีจังเจอแล้ว หินตา หินยาย ที่สื่อถึงการกำเนิดและความอุดมสมบูรณ์ของชีวิต ขอถ่ายภาพไว้เอาไปส่งกรรมการด่วนนาขั้นบันไดที่มีอยู่ไม่น้อยกว่า 108 ชั้น ไล่เรียงลดหลั่นลงมาตามลาดเนินเขาของดารังงี กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและจุดถ่ายภาพยอดฮิตไปโดยปริยาย เกมส์ Running Man วิ่งๆๆๆๆๆ ใครไม่ฟิต อาจหน้ามืดได้ง่ายๆ ฮะ ฮาฮาฮาสภาพพวกเราหลังจบเกมส์ Running Man ภาพนี้ไร้คำบรรยาย!!!เมื่อทั้ง 5 ทีม มาส่งการบ้านครบ คุณคิมก็เริ่มตรวจว่าหา RC กันครบ และถูกต้องหรือไม่นะ?
ลุ้นกันใหญ่ เพราะอยากได้รางวัลของรางวัลแด่ทีมผู้ชนะครับ
รางวัลแห่งความภูมิใจ The Running Man (Girls)เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันนี้เหนื่อยสุดๆ ได้เวลาเข้าพักในบ้าน Homestay กับคุณป้าใจดี ที่จัดห้องไว้ให้เรา 2 ห้อง แยกหญิงชาย (บ้านเราพักกัน 4 คน) แต่กว่าจะถึงบ้านก็ต้องหอบอีกรอบ เพราะบ้านตั้งอยู่บนเนิน ต้องเดินลากกระเป๋าใบใหญ่ แล้วยกขึ้นบันไดไปอีกนิด โอ้วแม่เจ้า!รอยยิ้มอันอบอุ่นของคุณป้าเจ้าของบ้าน ทำให้เราหายเหนื่อย เพราะรู้สึกเหมือนได้เห็นหน้าแม่ ที่มาคอยดูแลสารทุกข์สุขดิบให้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะการเข้าครัวเตรียมอาหารเย็นอย่างขมักเขม้น จะไปขอช่วยก็ไม่ยอม อีกอย่างคือป้าเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เราจึงต้องใช้ภาษากายสื่อสารกัน ซึ่งก็น่าแปลกว่าสามารถเข้าใจกันได้ในระดับหนึ่ง
ห้องนอนชายหนุ่ม มีทีวี แอร์ และเครื่องนอนแบบง่ายๆ เตรียมไว้ให้ คุณป้าเจ้าของบ้านเขากลัวเราหนาว เลยเปิดฮีตเตอร์ที่พื้นบ้านไว้ให้ด้วย เรียกว่าอุ่นจนร้อนเลย นี่ผมเพิ่งเล่นเกมส์ Running Man มานะครับคุณป้า จะหนาวได้ไง เหงื่อท่วมออกขนาดนี้ ฮาฮาฮา!
ระหว่างที่เราอาบน้ำเปลี่ยนชุด คุณป้าก็จัดเตรียมอาหารเย็นชุดใหญ่ให้ในห้องรับแขก
เมนูผักทอด เป็นอะไรที่ดูง่ายๆ แต่อร่อยมากในยามนี้ซุปกิมจิหม้อใหญ่ ผัดหมูเกาหลี กิมจิก้านกระเทียมใส่ปลาตัวเล็ก ไส้กรอกทอด ผักทอด ปลาชุบแป้งทอด สาหร่ายแผ่น และข้าวสวยร้อนๆ คืออาหารเย็นง่ายๆ แต่ได้ใจเราไปเลยเต็มๆหน้าตาอาหารเช้าของบ้านนี้ อลังการยิ่งกว่าอาหารเย็นซะอีก โดยเฉพาะปลาทอดแสนอร่อย โชว์ความเจ๋งของดารังงีที่เป็นหมู่บ้านติดทะเลเอาล่ะ ไม่รีรอ หิววววววว กินแล้วนะค่ำวันนี้ยังมีกิจกรรมพิเศษรออยู่อีก แต่ก่อนอื่น เขาแจกกระติกน้ำเรืองแสงให้เราคนละอันไว้ประจำตัว เพราะเราต้องเดินจากศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวประจำหมู่บ้าน ไปยังโรงเรียนประจำหมู่บ้าน เพื่อทำกิจกรรมอะไรหนอ? เขาไม่ยอมบอก ปล่อยให้เรางง
เดินเรียงแถวกันไปสู่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน ผ่านทุ่งนาขั้นบันไดและวิวทะเล ซึ่งตอนนี้แสงหมด ถ่ายภาพไม่ได้ กะว่าตอนเช้าจะมาเก็บภาพซ้ำครับณ โรงเรียนประจำหมู่บ้านซึ่งปัจจุบันไม่ได้ใช้งานแล้ว เพราะนักเรียนกับวัยรุ่นเข้าไปเมืองใหญ่กันหมด! แต่เขาก็ไม่ได้ปล่อยให้มันร้าง ใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมยามค่ำให้นักท่องเที่ยว เริ่มด้วยเกมส์วิ่งหอยโข่ง ซึ่งเขาบอกว่าเป็นเกมส์โบราณที่ไม่ค่อยได้เห็นกันแล้ว เส้นที่วาดไว้บนพื้นจะเป็นเกลียวขดคล้ายลู่วิ่ง ให้สองทีมจัดคนวิ่งมาปะกัน แล้วเป่ายิ้งฉุบ ถ้าแพ้ก็ตายไปทีละคน ข้าวมื้อเย็นที่กินมาหมดไปเลยกับเกมส์นี้!เกมส์โบราณ แบ่งทีมทอยเส้น และโยนไม้ไปให้หลักของอีกฝ่ายล้ม คล้ายเกมส์สะบ้าของบ้านเรา เกมส์นี้ไม่เหนื่อยแต่ฝึกความแม่น สายตา การกะระยะ และน้ำหนักการโยนครับ
คุณคังจากหมู่บ้านดูโมที่เราไปพักเมื่อวาน ขับรถมาร่วมกิจกรรมยามค่ำกับเราด้วย แถมยังช่วยออกแบบท่าประจำกลุ่มอันแสนฮาและน่ารัก  เมื่อเล่นเกมส์ต่างๆ กันไปครบชั่วโมงนึง จนเหงื่อชุ่มโชกไปทั่วสารพางกายแล้ว ก็ได้เวลา Relax กับการลอยโคมอธิษฐานแบบเกาหลี เสร็จสิ้นการลอยโคมแล้ว แม้จะเร่ิมง่วง แต่หลายคนยังมีแรงเหลือ โดยเฉพาะคุณแม่คุณลูกแสนน่ารักคู่นี้ครับ
ก่อนเข้านอน เราใช้เวลาอีกราวหนึ่งชั่วโมง นั่งล้อมวงจับเข่าคุยกัน แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และปัญหาในการทำท่องเที่ยวชุมชน ทำให้รู่ว่ากว่าหมู่บ้านดารังงีจะประสบความสำเร็จเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อทำอย่างต่อเนื่องด้วยความสามัคคี และเติมความคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่ลงไป ในที่สุดก็ได้โปรแกรมการท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากมาย ทั้งจากจีน ยุโรป เอเชีย และคนเกาหลีเอง พี่หุย คุณนีรชา วงศ์มาศา นายกสมาคม TEATA ไม่ปล่อยให้ความรู้และข้อมูลดีๆ จากการพูดคุยผ่านเลย สมุดบันทึกคู่ใจจึงอยู่ข้างกายตลอดเวลาก่อนเข้านอน เพื่อให้กิจกรรมคืนนี้สมบูรณ์แบบ ก็ต้องทำมันหวานเผากินกันให้อุ่นท้องก่อนหมู่บ้านดารังงี คือตัวอย่างของวิถีชุมชนอันเรียบง่าย มีเอกลักษณ์ และประสบความสำเร็จด้านการท่องเที่ยวบนพื้นฐานของความสามัคคี สามารถดึง DNA หรือจุดเด่นของตนเองออกมาสร้างเป็นกิจกรรมสนุกๆ ได้มากมาย เป็นการขายความแตกต่าง ขายเอกลักษณ์ ขายเสน่ห์ ความน่ารัก ที่คนเมืองใหญ่โหยหา กลิ่นอายทะเลสีครามที่พัดโชยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน บวกกับต้นข้าวอ่อนสีเขียวสดที่พลิ้วไหวไปมาตามกระแสลม คือจิตวิญญาณของหมู่บ้านดารังงี ที่เราชาวสมาคม TEATA จะไม่มีวันลืมเลยจ้าสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) โทร. 08-3250-9343 (คุณน้ำ)

เที่ยวเกาหลีสไตล์ TEATA เดินป่าปีนเขา Geumsan (ตอน 2)

วันที่สองของทริปเกาหลีที่แตกต่างโดย TEATA เรายังอยู่บนเกาะนัมเฮม (Namhe Island) เกาะใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งทางภาคใต้ของเกาหลี หลังจากโบกมือลาหมู่บ้านดูโม (Dumo Village) แล้ว เราก็นั่งรถกันมาชั่วโมงกว่า จนถึง Hallyeo Haesang National Park เพื่อเดินป่าระยะสั้นขึ้นไปชมภูมิประเทศผาหินแปลกตา ชมพืชพรรณ ดอกไม้ และได้กราบพระที่วัดบนยอดเขาด้วย งานนี้ใครไม่ฟิตมีหอบแน่นอน!!!
ตัว Mascot น่ารักๆ ของอุทยาน เชิญชวนให้เราเข้าไปสัมผัสได้ทั้ง 4 ฤดู
ก่อนเดินขึ้นเขา ก็ต้องมาฟังบรรยายสรุปเส้นทางและจุดชมวิวเด่นๆ กันก่อน โดยวันนี้เราจะเดินกันไป-กลับ เป็นระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ไกด์บอกว่าทางไม่ชัน ส่วนใหญ่เป็นทางราบ (จะเชื่อได้จริงเหรอ???)วันนี้แดดไม่ร้อนจัด ประกอบกับผืนป่าก็ร่มรื่น ทำให้การเดินเทรกกิ้งในช่วงแรกเป็นไปอย่างชิลชิล สบายๆ ใครเดินเร็วก็นำไปก่อนเลย ส่วนผมเดินช้าเพราะต้องถ่ายภาพ และชอบชื่นชมต้นไม้ใบหญ้า ก็รั้งท้ายเช่นเคยระหว่างทางมีจุดให้นั่งพักผ่อนชมธรรมชาติด้วย อย่าลืมพกน้ำและขนมขึ้นไปกินล่ะ เพราะถ้าเที่ยวกันแบบจริงจัง ต้องใช้เวลากันเป็นวันทีเดียวบนภูเขาลูกนี้เดินมาได้ครึ่งทาง ภูมิทัศน์ก็เปิดมากขึ้น เราโผล่ออกจากแนวป่ามาสู่จุดชมวิวโล่ง เลยขอรวมตัวเก็บภาพไว้สักช๊อต ก่อนที่ทุกคนจะหอบกันไปมากกว่านี้ครับ!ภูเขาที่เรากำลังเดินเทรกกิ้งอยู่นี้ ชื่อ ‘ภูเขากวมซาน’ (Mt. Geumsan) สูง 705 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง เป็นยอดเขาสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในภาคใต้ของเกาหลี เพราะมีภูผาหินขนาดใหญ่รูปทรงแปลกตาผลุบโผล่ให้เห็นอยู่มากมาย โดยเฉพาะในส่วนยอดเขาบนสุด ซึ่งสามารถมองเห็นได้จาก ‘อาราม Boriam’ ที่เรากำลังมุ่งหน้าไปสักการะ บนภูเขาลูกนี้มีจุดชมวิวอยู่ไม่น้อยกว่า 38 แห่ง กระจายอยู่ตามหน้าผาและเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่คดเคี้ยวไปในราวไพร อยู่ที่ว่าคุณมีแรงมากพอจะเก็บแต้มได้มากแค่ไหนเท่านั้นเอง
ถ้าค่อยๆ เดินช้าๆ สังเกตผืนป่าสองข้างทางไปด้วย เราจะพบกับความหลากหลายของพืชและสัตว์มากมาย เขาบอกว่าในอุทยานแห่งชาตินี้มีพืชอยู่กว่า 1,142 ชนิด เช่น สนแดง (Red Pine), สนดำ (Black Pine), ต้นคามิเลีย (Camellia), ต้นโอ๊กซีเร็ตต้า (Serrata Oak) และต้นค็อกโอ๊ก (Cork Oak) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีก 25 ชนิด นก 115 ชนิด แมลง 1,566 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 16 ชนิด และเหล่าปลาอีกมากมาย เพราะอุทยานแห่งชาตินี้มีเนื้อที่กว้างใหญ่กว่า 545.63 ตารางกิโลเมตร กินพื้นที่ทั้งบนบกและในทะเลด้วยช่วงนี้เป็นฤดูร้อนในเกาหลี ระหว่างทางเดินเทรกกิ้งขึ้นเขาจึงมีดอกไม้ป่านานานชนิดเบ่งบาน สดชื่นมาก และแน่นอนว่ามันทำให้สปีตการเดินของเราลดลงด้วย เพราะต้องหยุดถ่ายภาพกันบ่อยมาก (ดีได้พักเหนื่อยไปด้วยนิ) สมาชิก TEATA หยุดชักภาพดอกไม้ตลอดทาง เธอคนนี้ผู้มีหัวใจรักธรรมชาติสุดๆ ครับจากแนวป่ามองทะลุยอดไม้ขึ้นไปเห็นยอดเขาหินตั้งตระหง่าน ในขณะที่หนทางก็เริ่มทวีความชันเป็นเนินยาวขึ้นเรื่อยๆ
เห็นเต็มตาขึ้นเมื่อใกล้ยอดเขา กับภูผาหินขนาดมหึมา ชวนให้จินตนาการไปเป็นรูปทรงต่างๆ พี่เอื้องกับน้องโม นี่คือหยุดนั่งเล่นชมธรรมชาติ หรือนั่งพักเหนื่อยจ๊ะ? เสียงหายใจแรงเชียว! (ล้อเล่นนะครับ)น้องจิ้น น้องโม น้องโอปอ นี่ก็หยุดพักชมธรรมชาติเช่นกัน!ในที่สุดก็มาถึงแล้ว ‘อาราม Boriam’ ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของยอดเขา Geumsan อารามนี้ถือเป็น 1 ใน 3 อารามที่มีผู้คนนิยมมาสักการะและสวดมนต์มากที่สุดในภาคใต้ของเกาหลีเลยล่ะ (อีก 2 แห่งคือ วัด Ganghwado Bomunsa และวัด Naksansa Hongryeonam) ใครจะขอพรอะไรก็เชิญตั้งจิตอธิษฐานได้เลยตามอัธยาศัยครับจาดยอดเขามองเห็นยอดเขา Geumsan ตั้งตระหง่านน่าเกรงขามอยู่ด้านหลัง โดยมีทางเดินป่าขึ้นไปประมาณ 1 กิโลเมตร จนถึงจุดที่มีสะพานเหล็กเชื่อมยอดเขาหินสองลูกไว้ด้วยกัน อันเป็นจุดชมวิวพาโนรามาสุดตระการตา และนักท่องเที่ยวนิยมเก็บภาพกันมากที่สุดครับความงามในรายละเอียดของสถาปัตยกรรมและพุทธศิลป์แบบเกาหลี ที่ต้องชื่นชม สมาชิก TEATA บางท่าน ไม่ได้ไปเดินเทรกกิ้งต่อขึ้นยอดเขา Geumsan แต่ใช้เวลาคุ้มค่าด้วยการนั่งสมาธิอย่างสงบ ข้าน้อยขอคารวะ!จริงๆ แล้วก่อนเข้าไปกราบพระในอาราม เราต้องล้างมือให้สะอาดด้วยนะจ๊ะ เขาเตรียมน้ำบริสุทธิ์ไว้ให้แล้ว
จากอารามมีจุดชมวิวขึ้นไปทางทิศเหนือ แลเห็นภูผาหินขนาดมหึมาโผล่ทะลุผืนพรมสีเขียวของพงไพรขึ้นมา ไม่ต่างจากยักษ์ปักษ์หลั่นอันน่าเกรงขาม ทำให้เราสำเหนียกในความเล็กกระจ้อยร่อยของตัวเรา ซึ่งมิอาจเทียบได้กับธรรมชาติผู้สร้างสรรค์สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ระหว่างเดินขึ้นเขา พบ ดอกโรโดเดนดรอน (กุหลาบพันปี) สีชมพูเบ่งบานอยู่เป็นดงใหญ่ ในเมืองไทยก็มี แต่พบทางภาคเหนือและภาคอีสานบนภูเขาที่ความสูงเกิน 1,000 เมตรขึ้นไปเท่านั้นครับยืนเหม่อมองทะเลภูเขาเรียงรายสลับซับซ้อนเวลายังเหลือ ถ้าจะหยุดอยู่แค่ที่วัดก็กระไรอยู่ เราหนุ่มสาวชาว TEATA จึงชวนกันเดิน (ปีนป่าย) ขึ้นเขาต่อไป เพื่อหวังไปให้ถึงจุดที่เป็นบันไดเหล็กเชื่อมภูเขาหินสองลูก ทว่าหนทางก็มิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทางเรียบๆ กลับกลายเป็นบันไดชันนับร้อยๆ ขั้น เราจึงต้องรวบรวมพละกำลังอีกครั้ง ค่อยๆ ก้าวเดินเป็นจังหวะและหายใจให้สม่ำเสมอ อีกทั้งปล่อยให้สีเขียวของผืนป่ารอบกายช่วยดึงดูดชักนำเราไปอย่างได้ผลทางชันต่อเนื่องขึ้นเขา พิสูจน์ใจ พิสูจน์กาย และพิสูจน์ศรัทธาของเราเองหนทางเดินลัดเลี้ยวผ่านไปในราวป่าเปลี่ยว มีเพียงเสียงหัวใจของเราเองพูดคุยกับธรรมชาติ ณ วินาทีนี้ เราลืมบางสิ่งที่เคยเจ็บปวด ปล่อยให้แมกไม้เยียวยาหัวใจอันบอบช้ำ (โห Drama มากๆ ฮาฮาฮา)ใบเมเปิลในฤดูร้อนเปล่งประกายเป็นสีเขียวสดใสเมื่อต้องไอแดดอุ่น ผิดกับในฤดูใบไม้ร่วงช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ที่พวกมันจะผลัดใบเป็นสีเหลือง ส้ม แดง ฉูดฉาดบาดตายิ่งนักเปลือกไม้บางต้นก็สวยงามราวกับภาพวาดศิลปะชั้นเยี่ยม ที่แอบมีคนมาเติมแต้มเอาไว้ผีเสื้อกลางคืน (ชีปะขาว) หรือ Moth ตัวน้อย เกาะพักหลับอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้รก ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็คงไม่เห็นใบเฟินอ่อนคลี่ออกรับแดดอุ่น ช่วยดูดซับความชื้นไว้ทำให้ราวป่าทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำขนาดยักษ์สองสาว TEATA พี่อ้อ น้องน้ำ เดินชมธรรมชาติบนภูเขา Geumsan กันเพลิน (หรือหลงทางครับ???)ทางเดินบางช่วงบนยอดเขา งดงามราวภาพวาดที่ดูแล้วสงบดีจัง
พื้นทางเดินหลายๆ ช่วง ปูลาดไว้ด้วยเชือกมะนิลา ที่ถูกถักทอสานกันเป็นผืนใหญ่ ช่วยป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวลื่น เป็น IDEA ที่ดี น่าเอามาทำบ้างในบ้านเรานะครับ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น ในที่สุดก็ถึงยอดเขา Geumsan สูง 705 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง บนนี้เป็นลานหินขรุขระเปิดโล่ง ล้อมรอบด้วยแมกไม้เขียว และวิวสุดสายตาพาโนรามาของอุทยาน ก้อนหินกลมคล้ายหัวกะโหลกบนยอดเขานี้มีขนาดมหึมาจนเราตะลึง มันถูกเชื่อมไว้ด้วยสะพานเหล็กแข็งแรง ให้นักทอ่งเที่ยวเดินข้ามไปมาระหว่างผาหินสองยอด ซึ่งถ้ามองลงไปเบื้องล่างก็สุดเสียวเพราะคือเหวดีๆ นี่เอง! ใช้เวลาไปกว่าครึ่งวันบนภูเขา Geumsan เรียกว่าทั้งสนุกสนานและได้ความรู้ในเรื่องราวของธรรมชาติกันไปเต็มๆ Late Lunch มื้อนี้ เราชวนกันไปล้ิมลองอาหารประจำชาติเกาหลีสุดฮิตเมนูหนึ่ง ที่ร้านเจจู (Jeju Restaurant) ร้านมีชื่อเสียงมากในแถบนี้ เมนูที่ว่าคือ ‘บิบิมบับ’ (Bibimbap) หรือจะเรียกง่ายๆ ว่า ‘ข้าวยำเกาหลี’ ก็คงไม่ผิด เป็นอาหารสุขภาพและอาหารที่สาวๆ หลายคนกินตอนลดความอ้วนครับ เพราะไม่มีเนื้อสัตว์เลย มีแต่ไข่และพืชผักนานาชนิด ราดด้วยซอสเกาหลีไว้ด้านบน เวลาจะกินก็คลุกเคล้าทุกอย่างให้เข้ากันจนเนียนเหมือนข้าวยำปักษ์ใต้บ้านเรานั่นล่ะ แต่ถ้าไม่อยากกินข้าวเยอะ ก็ให้ตักข้าวออกก่อนส่วนหนึ่งได้ ไม่ว่ากันบิบิมบับช่วยเรียกพลังเรากลับมาได้อย่างวิเศษ บ่ายนี้นั่งรถต่อไปหมู่บ้านดารังงี บนเกาะนัมเฮ ต้องหลับแน่ๆ แต่ไม่เป็นไร เพราะไม่มีอะไรเร่งร้อน Happy ดีจังทริปนี้สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) โทร. 08-3250-9343 (คุณน้ำ)