เกาะกระดาน หาดสวยที่สุดในโลก มหัศจรรย์แห่งอันดามัน

ในบรรดาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีอยู่ดาษดื่นในเมืองไทยเรา “ท้องทะเลอันดามัน” ถือว่ามีความพิเศษน่าสนใจ และให้ภาพที่สวยงาม โรแมนติก น่าประทับใจเสมอ

โดยเฉพาะ “หมู่เกาะทะเลตรัง” ซึ่งมีเกาะน้อยใหญ่กระจายกันอยู่กว่า 54 เกาะ เสน่ห์ของทะเลตรังที่ยากจะหาที่ใดเทียบ คือความพิสุทธิ์ของธรรมชาติ น้ำทะเลสีเขียวมรกตใสแจ๋วราวกับแก้วคริสตัล รวมถึงสรรพปะการังและหมู่ปลานานาชนิด แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ก็ยังคงสวยงามดึงดูดให้นักแรมทางคนแล้วคนเล่า ลงเรือออกไปชื่นชมอย่างไม่เบื่อ

ความสวยงามดังกล่าว ไม่ได้กล่าวขานกันเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยวไทยเท่านั้น ทว่าในปี 2566 นี้เอง “เกาะกระดาน” แห่งทะเลตรัง ได้คว้าตำแหน่งชายหาดที่ดีที่สุดในโลก จัดอันดับโดย World Beach Guide 2023 สำรวจความคิดเห็นและลงคะแนนจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกจำนวนมาก นับเป็นความภาคภูมิใจของไทยเรา สะท้อนได้อย่างยอดเยี่ยมว่าเกาะกระดานมีหาดทราย สายลม เกลียวคลื่น แนวปะการัง และบรรยากาศยามเย็นเห็นอาทิตย์อัสดงน่าตื่นตะลึงแนวหาดทรายบนเกาะกระดานเกิดจากการสลายตัวของแนวปะการัง รวมถึงปลานกแก้วที่กินปะการัง แล้วถ่ายออกมาเป็นเม็ดทรายพัดพาขึ้นมารวมตัวเป็นชายหาด ปลานกแก้วเต็มวัยหนึ่งตัวจะผลิตทรายได้มากถึงปีละ 100 กิโลกรัมเลยทีเดียว นอกจากนี้แนวปะการังหน้าหาดเกาะกระดาน ยังช่วยกันคลื่นทำให้น้ำนิ่ง ก่อตัวเป็นหาดทรายสวยได้ตลอดปี

หมู่เกาะทะเลตรังที่ว่ามีอยู่มากถึง 54 เกาะนั้น มีตำนานพื้นบ้านเล่าขานกันว่า เกิดจากการค้าทางทะเลของนายลิบงได้แต่งงานกับนางมุก ภายหลังเกิดเรือสำเภาล่ม สิ่งของกระจัดกระจายกลายเป็นเกาะที่เห็นทุกวันนี้

นอกจากเกาะกระดานแล้ว ยังมีเกาะอื่นๆ อีกเพียบ ทั้ง เกาะลิบง แหล่งหญ้าทะเลอุดมสมบูรณ์ เป็นบ้านของพะยูนฝูงสุดท้ายของไทย เกาะรอกนอก-เกาะรอกใน ซึ่งมีน้ำตกลงทะเล เกาะมุก ที่ตั้งของถ้ำมรกต เกาะสุกร มีนาข้าวและการปลูกแตงโมริมทะเล ฯลฯ การเที่ยวทะเลตรังมักเป็นแบบเที่ยววันเดียว หรือ One Day Trip 5 เกาะ โดยเรือจะออกจากท่าเรือปากเมงช่วงเช้า พาไปเกาะมุก (ถ้ำมรกต) เกาะกระดาน เกาะเชือก เกาะม้า และเกาะแหวน มีทั้งเรือสปีทโบ๊ท เรือหัวโทง และเรือประมงดัดแปลงสองชั้น จุได้ไม่ต่ำกว่า 50 คน แต่จะเหมาเรือส่วนตัวตรงดิ่งไปเกาะกระดานเลยก็ได้

ยามเช้าที่ฟ้าเปิดแดดเจิดจ้า คลื่นลมสงบ เรือประมงดัดแปลงสองชั้นค่อยๆ แล่นออกจากท่าเรือปากเมง ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 40 นาที ก็ถึง “เกาะกระดาน” สวรรค์แห่งท้องทะเลอันดามันที่เราค้นหา ช่วงตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคม ถือว่าเป็นไฮท์ซีซันของเกาะกระดาน ทะเลจะสวยสุดๆ คลื่นลมสงบ ฟ้าเปิดโปร่งโล่งเป็นสีฟ้าครามสะอาดตา เคียงคู่น้ำทะเลสีเขียวมรกตไล่โทนเข้มอ่อนรอบๆ สะกดทุกสายตาให้หยุดมอง บริเวณหน้าหาดซันเซ็ท จะแลเห็นทิวสนทะเลสีเขียวเป็นพุ่มแน่นขนัดเรียงราย ถัดลงมาเป็นหาดทรายสีขาวและสีเหลืองอ่อนนวลตา ทอดตัวยาวเกือบ 3 กิโลเมตร คลื่นน้อยค่อยๆ ทยอยกันสาดซัดเข้าคลอเคลียเม็ดทรายละเอียดเนียนนุ่ม แผ่นน้ำสีเขียวมรกตนั้นมีความใสไม่ต่างจากกระจก มองลงไปเห็นริ้วทรายเบื้องล่าง รวมถึงแนวปะการังแข็ง และฝูงปลาเล็กๆ ที่ว่ายเข้ามาทักทายพวกเราเกาะกระดานมีลักษณะผอมยาว ทอดตัวในแนวทิศเหนือ-ใต้ พื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นของชาวบ้านและรีสอร์ทเอกชน ซึ่งเข้ามาอยู่อาศัยก่อนประกาศเขตเป็นอุทยานแห่งชาติ ทุกวันนี้จึงมีรีสอร์ทอย่างดีให้พักค้างคืนได้ พื้นที่อีกส่วนอยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ส่วนหาดอื่นๆ ที่ห้ามพลาดชม คือ หาดอ่าวเนียง ยาวกว่า 800 เมตร เป็นจุดดำน้ำชมปะการังแข็งที่น่าตื่นตา มองเห็นเกาะลิบงได้ ถัดมาคือ หาดอ่าวไผ่ ไม่มีปะการัง ทว่ามีหาดทรายขาวสะอาดทอดยาวประมาณ 200 เมตร มองเห็นเกาะเชือก เกาะแหวน และเกาะมุก สุดท้ายคือ หาดอ่าวช่องลม ยาวราวๆ 800 เมตร สามารถเดินขึ้นสู่จุดชมวิวมุมสูงบนเนินเขา จะมองเห็นเกาะรอก และพระอาทิตย์ตกได้ชัดเจนมากที่มาของชื่อเกาะกระดาน อย่างแรกสันนิษฐานว่ามาจากตำนานนายลิบงและนางมุก ซึ่งเรือสำเภาแตก ไม้แผ่นกระดานได้ลอยมาติดอยู่บริเวณนี้จนกลายเป็นเกาะกระดาน ส่วนอีกที่มาสันนิษฐานว่ามาจากภูมิประเทศของเกาะ ลักษณะค่อนข้างแบนเหมือนแผ่นกระดานหาดที่นิยมสุดคือหาดซันเซ็ท (หาดเกาะกระดาน) นั่นเอง เพราะเป็นหาดด้านตะวันตก ที่เรือทัวร์ทุกคณะจะเข้ามาจอดเทียบท่าทอดสมอ หาดทรายทอดยาวเกือบ 3 กิโลเมตร เนื้อทรายละเอียดนุ่มเท้าสีน้ำตาลอ่อนนวลตา เวลาน้ำลดจะเห็นแนวหาดทรายทอดยาวออกไปในทะเล โดยมีทิวสน ต้นหูกวาง ต้นโพธิ์ทะเล แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาส่วนตัว บางจุดมีกิ่งไม้หักผูกชิงช้าอยู่ริมหาด กลายเป็นจุดถ่ายภาพเช็คอินที่ห้ามพลาดเด็ดขาดน้ำที่เกาะกระดานใสแจ๋วราวกับแก้วคริสตัลเจียระไน ใสจนแลเห็นพื้นทรายใต้น้ำ และฝูงปลาแหวกว่ายไปมาอย่างเสรีเดินเล่นริมหาดเงียบสงบ ปล่อยตัวและหัวใจไปกับความงามของท้องทะเล และหาดทรายสวยที่สุดในโลกบรรยากาศแห่งความสุขล่องลอยอยู่ในทุกอณูของเกาะกระดาน

นอกจากการเล่นน้ำทะเลใสๆ พายเรือคายัค นอนอาบแดด เดินถ่ายภาพริมหาด ยังมีการดำน้ำตื้น ดำน้ำลึกที่ “อ่าวเนียง” ซึ่งน้ำลึกไม่เกิน 5 เมตร อุดมด้วยแนวปะการังแข็งสวยงาม ทั้งปะการังเขากวาง ปะการังโขด ปะการังสมอง น้ำใสแจ๋วทำให้เห็นปลาต่างๆ แหวกว่ายอยู่รอบตัวเรา เหมือนกับอะควาเรียมธรรมชาติ ทั้งปลาโนรีครีบยาว ปลานกแก้ว ปลาวัว ปลาเสือ ปลากสาก และลูกปลาเล็กๆ ฝูงใหญ่นับไม่ถ้วน แหวกว่ายอย่างอิสระเสรี ต่อเติมระบบนิเวศใต้น้ำให้สมบูรณ์

แดดเจิดจ้าฟ้าใสสีคราม น่าลงเล่นน้ำซะจริงๆ นะ
หาดซันเซ็ทเกาะกระดาน มีหาดทรายทอดยาวเกือบ 3 กิโลเมตร เคียงคู่น้ำทะเลใสแจ๋วสีมรกตปัจจุบันหน้าหาดซันเซ็ท มีการทำทุ่นลอยต่อเป็นสะพานทางเดินจากเรือใหญ่ ให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าสู่หาดได้เลยบนเกาะกระดานมีที่พักให้เลือก ทั้งบ้านพักหรือลานกางเต็นท์ของอุทยานฯ และรีสอร์ทเอกชน เช่น The Sevenseas Resort โทร. 08-2490-2552, 08-2490-2442 / Kalume Eco Boutique Resort โทร. 06-2009-6620 ฯลฯท่าเรือปากเมง อำเภอสิเกา คือจุดลงเรือสู่เกาะกระดานที่ใกล้ที่สุดประตูสู่อันดามันของจังหวัดตรัง ท่าเรือปากเมงท่าเรือปากเมงวันนี้ มีการปรับปรุงสร้างใหม่อย่างดีเรือพร้อมออกทะเลสู่เกาะกระดานแล้ว

สนใจซื้อแพ็กเกจทัวร์เที่ยวเกาะกระดาน จ.ตรัง ติดต่อ บริษัท เมืองไทย ครีเอทีฟ แอนด์ ทัวร์ จำกัด

โทร. 081-251-2207, 085-065-8144, 064-232-2878

บินไปเที่ยว เบตง หรอยแรง แหล่งใต้ 2022

 เบตง ใต้สุดแดนสยาม เมืองงามชายแดน  คำกล่าวนี้ยังจริงเสมอ เพราะแม้จะอยู่ไกล แต่ความงามด้านธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม และอาหารแสนอร่อย ยังสามารถดึงดูดผู้คนให้ไปเยือนเบตงได้อย่างไม่ขาดสาย และมีมิติใหม่ เมื่อสนามบินเบตงเปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อต้นปี พ.ศ. 2565 ร่วมกับสายการบินนกแอร์ ใช้เครื่องบินใบพัด 86 ที่นั่ง (เครื่อง Q400 NextGen) บินสัปดาห์ละ 3 เที่ยว ทุกวันอังคาร ศุกร์ และอาทิตย์ เวลา 10.00 – 11.45 น. และออกจากเบตงเวลา 12.15 – 14.00 น. ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง 55 นาที ยิ่งทำให้การเดินทางสู่เบตงง่ายขึ้นไปอีก
สนามบินเบตง เป็นสนามบินลำดับที่ 29 ของกรมท่าอากาศยาน และเป็นสนามบินแห่งที่ 39 ของประเทศไทย อยู่ห่างจากตัวเมืองเบตงออกไปประมาณ 10 กิโลเมตร อาคารที่พักรับรองผู้โดยสารได้ 300 คน/ชั่วโมง และปัจจุบันมี Runway ยาว 2,500 เมตร จึงมีเฉพาะเครื่องบินขนาดเล็กเท่านั้นที่ขึ้นลงได้ใน อนาคตมีแผนต่อเติม Runway ให้ยาวเพิ่มขึ้นอีก 300 เมตร เพื่อรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่เอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครของสนามบินเบตงสนามบินเบตง ออกแบบให้มีความทันสมัยแต่ไม่ลืมกลิ่นอายท้องถิ่น คือยังมีการใช้ไม้ไผ่ตงมาประดับตกแต่งอย่างสวยงามน่ามองบินถึงเบตงแล้วไม่รอช้า ได้เวลาไปเที่ยวชมเสน่ห์อันหลากหลายของเมืองใต้สุดแดนสยาม โดยเริ่มต้นที่ธรรมชาติสุดอลังการ Skywalk ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง
ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง อยู่ที่ตำบลอัยเยอร์เวง บนถนนหมายเลข 410 ช่วง กม.33 เป็นทะเลหมอกที่ Amazing มาก เพราะเที่ยวได้เกือบตลอดปี โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ เราสามารถชมทะเลหมอกสีขาวหนาแน่นราวกับปุยนุ่น ลอยอ้อยอิ่งอาบแสงอาทิตย์ยามเช้า ขอ Confirm เลยว่า นี่คือธรรมชาติ Unseen ที่สวยสู้ทะเลหมอกทางภาคเหนือได้สบายSkywalk ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง เป็น Skywalk ยาวที่สุดในเอเชีย เพราะมีสะพานยื่นออกจากตัวอาคารยาวถึง 50 เมตร แบ่งเป็น 6 ชั้น แต่ละชั้นมีวิวสวยงามต่างกันไป โดย Skywalk ยาว 50 เมตร อยู่ที่ชั้น 3  ลักษณะเป็นสะพานกระจกใส ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องใส่ถุงผ้าคลุมรองเท้าไว้กันกระจกเป็นรอย ตอนที่ซื้อตั๋วก่อนขึ้นไปชม เราจะได้รับถุงผ้าคลุมรองเท้านี้มาครับ (ราคาคู่ละ 30 บาท ใช้เสร็จแล้วเอากลับบ้านได้เลย)ที่จุดชมทะเลหมอกเดิมของอัยเยอร์เวง อยู่ห่างจาก Skywalk แค่นิดเดียว ปัจจุบันมีการสร้างหอชมวิวเล็กๆ 2 ชั้นไว้ให้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยประติมากรรมลอยตัวสามมิติรูปนกเงือก ที่พบในป่าฮาลา-บาลา จ.ยะลา มีทั้งนกเงือกหัวแรด นกเงือกกรามช้าง และนกกาฮัง (นกกก) สร้างไว้ข้างๆ หอคอย Skywalk อัยเยอร์เวง นับเป็นจุดถ่ายภาพใหม่ที่มีเอกลักษณ์มาก นั่งจิบกาแฟร้อนๆ ที่ ร้านกาแฟใต้หมอก ทะเลหมอกอัยเยอร์เวงชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวงเสร็จแล้ว ลงเขามาก็เที่ยวน้ำตกต่อได้เลย ชื่อว่า น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9 หรือ น้ำตกอัยเยอร์เค็ม ปากทางเข้าน้ำตกอยู่ริมถนนสาย 410 (ยะลา-เบตง) ช่วง กม.33 ขับรถเข้าไปไม่ไกล จอดรถไว้ แล้วเดินป่าเลียบธารน้ำตกอีกราวๆ 500 เมตร ก็จะพบกับน้ำตกยิ่งใหญ่อลังการจนต้องตะลึง เพราะสายน้ำสีขาวสะอาดไหลทิ้งตัวลงจากหน้าผาสูงไม่ต่ำกว่า 50 เมตร อากาศสดชื่นเย็นสบาย และผืนป่าโดยรอบก็บริสุทธ์เขียวชอุ่มชุ่มชื้นมาก ด้านหน้าน้ำตกมีโขดหินน้อยใหญ่ระเกะระกะ สลับกับวังน้ำให้ลงเล่นน้ำได้ แต่ก็ควรระวังหินลื่นๆ ด้วยล่ะ
ความงดงามตระการตาของ น้ำตกอัยเยอร์เค็ม หรือ น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9 มีทั้งหมด 5 ชั้น

น้ำตกแห่งนี้เดิมชื่อว่า น้ำตก “วังเวง” หรือ “อัยเยอร์เค็ม” เพราะมีชาวจีนที่มาทำเหมืองกับฝรั่งในยุคมลายูเป็นอานานิคมอังกฤษ ชื่อ เข่ง ชาวบ้านเรียก “ไอเข่ง” “ไอเกง” เพี๊ยนเป็น “อัยเยอร์เค็ม” เริ่มมีการพัฒนาบุกเบิกเส้นทางเข้ามาเมื่อ พ.ศ. 2543 และ พ.ศ. 2546 ก็ได้พัฒนาอย่างจริงจัง ใครรักธรรมชาติและการถ่ายภาพมาเที่ยวน้ำตกนี้จะ Happy แน่นอนครับสวนหมื่นบุปผา (สวนดอกไม้เมืองหนาวเบตง) อยู่ที่หมู่บ้านปิยะมิตร 2 โครงการตามพระราชดำริของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  เป็นสวนดอกไม้นานาพันธุ์ตั้งอยู่บนเขา อากาศเย็นสบาย พาคนพิเศษของเราไปทำโรแมนติก ชวนกันถ่ายรูปกับดอกกุหลาบ ดอกฮอลีฮ้อค ดอกแอสเตอร์ สีสันสวยงามไม่แพ้ภาคเหนือ เสร็จแล้วจะนอนค้างในรีสอร์ทสวยได้สบาย ไม่น่าเชื่อเลยว่าสุดชายแดนใต้ของเราจะมีดอกไม้เมืองหนาวให้ชมกันด้วย Amazing!
บ่อน้ำร้อนเบตง อยู่ที่บ้านจะเราะปะไร ตำบลเนาะแม (ห่างจากตัวเมืองเบตง 5 กิโลเมตร บนถนนสาย 410) บ่อน้ำร้อนธรรมชาติแห่งนี้มีควันฉุยตลอดเวลา น้ำอุ่นกำลังดี ต้มไข่สุกได้ใน 7 นาที นักท่องเที่ยวนิยมลงมาอาบแช่แก้เมื่อย รักษาสุขภาพ บ้างก็แก้หนาว ปัจจุบันมีการสร้างรีสอร์ทเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้นอนพักค้างคืนกันด้วย ใครที่มีเวลาน้อยจะแค่มานั่งแช่เท้าก็รู้สึกชิลแล้วล่ะทางเดินเข้าสู่บ่อน้ำร้อนเบตง สร้างใหม่สวยงาม บรรยากาศเหมือนอยู่ญี่ปุ่นเลยนิบ่อน้ำร้อนเบตงมีอุณหภูมิอยู่ที่ 80 องศาเซลเซียส แต่ในส่วนของบ่อแช่ตัวและแช่เท้า ได้มีการลดอุณหภูมิลงให้พอเหมาะเพื่อสุขภาพที่ดี คือไม่เกิน 40 องศาเซลเซียสบ่อน้ำร้อนเบตง เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจยอดนิยมของคนในท้องถิ่น เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวที่ชอบมาแวะพักผ่อนอุโมงค์ปิยะมิตร อยู่ที่หมู่บ้านปิยะมิตร 1 ต.ตะเนาะแมเราะ ใช้เส้นทางเดียวกับที่จะไปบ่อน้ำร้อนเบตง (เลยบ่อน้ำร้อนไป 4 กิโลเมตร) ปัจจุบันบริเวณนี้เป็นที่อยู่ของพี่น้องชาวจีนผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ซึ่งเดิมในอดีตเคยเป็นฐานที่มั่นของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา (เขต 2) เขาเหล่านั้นต้องขุดอุโมงค์ใต้ดินยาวกว่า 1 กิโลเมตร กว้าง 50-60 ฟุต เพื่อใช้อยู่อาศัยหลบซ่อนจากการตรวจจับของทางการ โดยสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2519บรรยากาศในอุโมงค์ปิยะมิตร ดูลึกลับดีนะ แต่ไม่ต้องกังวล อากาศถ่ายเทดีหายใจได้สะดวก มีป้ายบอกทางพร้อมลูกศรชี้เตาไร้ควันใช้ทำอาหาในป่า  เพื่อไม่ให้คนภายนอกเห็นออกจากอุโมงค์ปิยะมิตร ขากลับจะเดินผ่าน ต้นไทรยักษ์ 100 ปี ที่มีความสูงกว่า 40-50 เมตร  เป็นจุดถ่ายภาพสวยงามแปลกตา แสดงให้เห็นถึงต้นไทรในธรรมชาติ ที่ทอดรากเลื้อยพันโอบรัดต้นไม้เจ้าบ้านจนตายลง  สุดท้ายเหลือไว้เพียงต้นไทร ที่มีลักษณะเป็นพืชกาฝาก (Parasitic Plant) ออกดอกออกผลให้นกและสัตว์ต่างๆ ได้กินอีกทอดหนึ่งจุดท่องเที่ยวใหม่ที่น่าสนใจในเบตงวันนี้คือ สะพานแตปูซู สามารถจอดรถชมได้ง่าย เพราะอยู่ริมถนน 410 ช่วง กม.32 ไม่ห่างจากทะเลหมอกอัยเยอร์เวง และน้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9 มากนัก

ประวัติเล่าว่าในอดีตชาวบ้าน กม.32 ต้องข้ามแม่น้ำปัตตานีสายนี้ด้วยแพไม้ไผ่ ทุกปีมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ชาวบ้านจึงร่วมแรงร่วมใจบริจาคเงินสร้างสะพานแขวนยาวกว่า 100 เมตร นี้กันเอง สะท้อนถึงความสามัคคีและกลายเป็น Landmark ใหม่ของเบตง ที่น่าไปเก็บภาพประทับใจไว้เบตงเป็นเมืองน่ารัก บรรยากาศสุดชิล เพราะตัวเมืองมีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไปในการเที่ยวชม อีกทั้งตัวเมืองยังโอบล้อมด้วยภูเขาเขียวๆ อากาศเย็นสบาย แทบทุกเช้าตรู่จะมีสายหมอกโรยตัวลงห่มคลุม จนเบตงกลายเป็นเมืองในหมอกไม่แพ้ภาคเหนือ นอกจากนี้เบตงยังเป็นเมืองพหุวัฒนธรรม มีทั้งชาวมุสลิม ไทยพุทธ และจีน อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์มาช้านานแล้วสายหมอกยามเช้าตรู่อันหนาวเย็น ห่มคลุมตัวเมือง เบตง ไว้อย่างอ่อนโยนสีสันแต่งแต้มตัวเมือง เบตง ให้น่าเที่ยวน่ามองใกล้วงเวียนหอนาฬิกาเบตง มีซอยเล็กๆ ที่มีภาพ Street Art และโรตีเจ้าดังขายกันยามค่ำ สามารถซื้อใส่ถุงเดินกินเที่ยวแบบสนุกสนานเบิกบานใจหอนาฬิกาเบตง  (ขอบคุณภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา เว็บไซต์ The Way News)

เป็นสิ่งก่อสร้างอันเก่าแก่อยู่เคียงคู่กับเมืองเบตงมาช้านาน เปรียบเสมือนสัญลักษณ์จุดศูนย์กลางเมือง สร้างด้วยหินอ่อนอย่างสวยงาม ในยามเย็นจะเห็นฝูงนกนางแอ่นนับพันตัวบินมาเกาะหลับอยู่บนสายไฟรอบๆ หอนาฬิกา กลายเป็นสัญลักษณ์คู่กันไปแล้ว คนเบตงเขามีอารมณ์ขัน บอกว่าถ้าใครมาเที่ยวเบตงแล้วถูกนกนางแอ่นอุจจาระใส่หัว จะต้องกลับมาเที่ยวที่นี่อีก! จะจริงหรือเปล่า คงต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง ฮาฮาฮา หอนามฬิกาเบตงในแต่ละช่วงของปีจะตกแต่งด้วยแสงไฟต่างกัน อย่างช่วงไหนตรงกับงานเทศกาลถือศีลอดของชาวมุสลิม ก็จะประดับประดาด้วยไฟสีรูปดาวและจันทร์เสี้ยว แต่ถ้าช่วงไหนตรงกับเทศกาลของชาวจีน ก็จะประดับประดาด้วยโคมไฟจีนสีแดงอย่างสวยสดงดงามตู้ไปรษณีย์ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย เบตง มีประวัติว่า นายสงวน จิรจินดา นายกเทศมนตรีเทศบาลเบตงคนแรก และเป็นอดีตนายไปรษณีย์โทรเลข เห็นว่าอำเภอเบตงอยู่ห่างไกล จะติดต่อสื่อสารโดยช่องทางอื่นกับโลกภายนอกไม่ได้เลย ยกเว้นทางจดหมาย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเบตงท่านจึงได้สร้างตู้ไปรษณีย์ยักษ์นี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2467 โดยสร้างขึ้นที่บริเวณสี่แยกหอนาฬิกาใจกลางเมืองเบตง

ตู้ไปรษณีย์ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยของ เบตง ตั้งอยู่ที่ด้านหน้าอาคารสีเหลือง ติดกับวงเวียนหอนาฬิกาเลยครับอาคารเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา

อาคารเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (หรือศาลารับเสด็จ) เป็นแหล่งท่องเที่ยวใกล้เมืองเบตงที่ไม่ควรพลาด เพราะตั้งอยู่บนยอดเขาที่สามารถชมวิวพาโนรามาได้กว้างไกลสุดสายตา อีกทั้งสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมไทย รอบๆ ตกแต่งด้วยสวนไม้ดอกไม้ประดับงดงาม ภายในจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บรักษางานศิลป์ล้ำค่า ทั้งเครื่องปั้นดินเผา งานเซรามิค งานไม้แกะสลัก และภาพวาดทรงคุณค่ามากมาย เปิดให้เข้าชมเวลา 8.30-16.30 น.จุดชมวิวจากอาคารเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา เห็นตัวเมืองเบตงอยู่ไม่ไกลภาพวาดพระบรมสาทิสลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในตัวเมืองเบตง

และภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ ในหลวง ร.9 Street Art King Bhumibolใหญ่ที่สุดในเมืองไทย  ขนาด 8×12 เมตร อยู่ที่โรงเรียนอนุบาลเบตง (สุภาพอนุสรณ์) หรือโรงเรียนบ้านเบตง

ภาพวาดในหลวง ร.9 Street Art King Bhumibol ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย วาดขึ้นเพื่อรำลึกถึงการเสด็จเยือนเบตง เมื่อปี พ.ศ.​ 2519 วาดโดย นายชวัส จำปาแสน  หรือ ครูอะไหล่  ครูสอนศิลปะ จากสถาบันสอนศิลปะ Viridian Academy of Art  ศิษย์เก่าจากคณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมม์ มหาวิทยาลัยศิลปากร พร้อมเพื่อนอาจารย์ อีก 2 ท่าน
Street Art หลากหลายในตัวเมืองเบตง  สะท้อนเอกลักษณ์โดดเด่น และวิถีชีวิตผู้คนอันมีเสน่ห์เบตงวันนี้ไม่ใช่เมืองชายแดนธรรมดาๆ แต่มีการนำศิลปะเข้าไปเติมแต่งจนมีชีวิตชีวาน่าเที่ยวชม ทั้งตึกรามบ้านช่องร้านค้าที่พร้อมใจกันทาสีสดใส มี ภาพ Street Art ตามตรอกซอกซอยต่างๆ น่ารัก โดยเริ่มมีมาตั้งแต่ตอนเมืองเบตงครบ 111 ปี (เมื่อ พ.ศ. 2560) จึงเชิญศิลปินและนักเรียนศิลปะมาช่วยกันเพนท์ภาพ Street Art ไว้ และมีการวาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ Street Art น้องเหมียวสุดน่ารักที่ เบตงภาพ Street Art นกเงือกชนิดต่างๆ ในป่าฮาลา-บาลา จ.ยะลาภาพ Street Art กระทิง ในป่าฮาลา-บาลา จ.ยะลา ภาพ Street Art เบตง สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตและของดีของเด่นของคนที่นี่ มีด้วยกันหลายสิบภาพแบ่งเป็นโซนๆ คือถ้าภาพอยู่ตรงโซนไหน ก็จะเกี่ยวเนื่องกับคนแถวนั้น เช่น ตรงตลาดสดก็จะมีภาพพืชผักผลไม้ต่างๆ และพอเดินเลยไปถึงโซนร้านน้ำชาติ่มซำ ก็จะมีภาพชุดม้านั่งที่มีคนกำลังนั่งจิบชาเปิดสภากาแฟกันอยู่ครับ น่ารักมาก Street Art และวิถีชีวิตที่เบตง หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว สะท้อนจิตวิญญาณซึ่งกันและกันตามตรอกซอกซอยต่างๆ ของตัวเมืองเบตง มีภาพ Street Art เก๋ๆ  ซ่อนอยู่เพียบ ขยันเดินหน่อยก็จะเจออุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์โฉมใหม่  เป็นอุโมงค์ลอดภูเขาแห่งแรกของประเทศไทย ตอนนี้ดู Modern ขึ้นเยอะ แต่เวลาไปถ่ายภาพ ต้องระวังรถที่แล่นไปมาด้วยนะจ๊ะอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ อยู่ที่ถนนอมฤทธิ์ตัดกับถนนภักดีดำรง ผ่านสวนสาธารณะออกสู่ถนน บริเวณหน้าสวนนกเชื่อมต่อกับถนนมงคลประจักษ์ ทะลุไปสู่ชุมชนเมืองใหม่หมู่บ้านแกรนด์วิว และเชื่อมต่อกับถนนอัยเยอร์เบอร์จัง ไปสู่ชุมชนธารน้ำทิพย์อีกทอดหนึ่ง เป็นอุโมงค์รถยนต์ลอดภูเขาแห่งแรกของไทย  สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดี ยาว 268 เมตร กว้าง 9 เมตร สูง 7 เมตร ผิวจราจรคู่ กว้าง 7 เมตร ทางเท้าเดินกว้างข้างละ 1 เมตร ความเร็วรถวิ่งได้ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง
สนามกีฬาเบตง เป็นสนามกีฬาท่ามกลางหุบเขาล้อมรอบ เนื้อที่กว่า 120 ไร่ ถือเป็นสนามกีฬามาตรฐานบนระดับความสูงที่สุดของเมืองไทย นอกจากฟุตบอลแล้ว คนเบตงยังนิยมมาเดินหรือวิ่งจ๊อกกิ้งออกกำลังกายกันทุกวันเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์จากภูเขา ทำให้เบตงมีศักยภาพสามารถพัฒนาเป็น Sport City ได้ในอนาคตวัดพุทธาธิวาส เป็นวัดสำคัญตั้งเด่นอยู่บนเนินเขา มีพระประธานในอุโบสถเหมือนหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดเท่าองค์จริง ผู้คนมาสักการะกันไม่ได้ขาด ส่วนภายนอกมี พระมหาธาตุเจดีย์พระพุทธธรรมประกาศ สีทองอร่ามงามเด่น กับพระพุทธรูปปางสมาธิขนาดยักษ์ตั้งอยู่กลางแจ้ง ชื่อ พระพุทธธรรมกายมงคลประยุรเกศานนท์สุพพิธาน  เป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ให้กราบไหว้กันด้วย ด่านชายแดนอำเภอเบตง-รัฐเปรัก ประเทศมาเลเซีย  เปิดให้ข้ามไปมาได้ปกติแล้วเที่ยวเบตงแล้วถ้ายังไม่หนำใจ จะเที่ยวต่อเข้าไปในในมาเลเซียก็ได้ ด่านพรมแดนเบตงแห่งนี้ทำหน้าที่เหมือนประตูบ้านเชื่อมโยงสองประเทศเข้าหากัน จุดเด่นคือมีป้ายใต้สุดแดนสยามและหลักเขตแดนให้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก หรือจะเลยเข้าไปในมาเลเซียนิดนึง ช้อปปิ้งที่ร้าน Duty Free ปลอดภาษี  ซื้อขนม ช็อกโกแลต เครื่องดื่มต่างๆ รวมถึงกระเป๋า รองเท้า นาฬิกา กลับมาด้วยก็ได้ บ้านโบราณ 150 ปี ชาวจีนฮากกา (หมู่บ้าน กม.4) อยู่ที่หมู่ 1 ต.ตะเนาะแมเราะ อ.เบตง ปากทางเข้าอยู่บริเวณ กม.4 ถนนสาย 410 (ยะลา-เบตง) ไม่ห่างจากร้านวุ้นดำเบตงประวัติเล่าว่าเมื่อ พ.ศ. 2343 มีชาวจีนกลุ่มแรกเดินทางเข้าถึงบริเวณนี้ โดยมาจากมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน นั่งเรือมาขึ้นฝั่งที่มาเลเซีย แล้วเดินหรือนั่งเกวียนเข้ามาสู่อำเภอเบตง ครั้งนั้นมีประมาณ 10-20 คน เป็นคนหนุ่มสาว สภาพพื้นที่ในขณะนั้นยังคงเป็นป่าทึบที่อุดมด้วยสัตว์ป่านานาชนิด ต่อมาจึงมีชาวจีนอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานเพิ่มขึ้น เนื่องจากทางการไทย ต้องการคนช่วยบุกเบิกป่า จึงเปิดโอกาสให้คนเข้ามาจับจองที่ดินได้ตามกำลังหมู่บ้าน กม.สี่ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา  ถือเป็นถิ่นอาศัยของชาวไทยเชื้อสาย จีนฮากกา หรือ จีนแคะ หนึ่งในกลุ่มพหุวัฒนธรรมของเบตง ได้แก่ ชาวมุสลิม ชาวจีน และชาวไทยพุทธ บ้านโบราณหลังนี้เป็นของต้นตระกูลแซ่ลู่  อพยพมาจากเมืองจีนและมาสร้างธุรกิจอยู่ที่เกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย ต่อมาขายธุรกิจแล้วมาอยู่ที่เบตง ทางราชการจึงจัดสรรที่ดินให้ทำกิน 20,000 ไร่ ชาวไทยเชื้อสายจีนฮากกาจึงเรียกบริเวณนี้ว่า “ว่านหยี่ไร่” ในยุคนั้นยังเป็นป่าดงดิบ เริ่มบุกเบิกทำสวน ปลูกผัก ปลูกข้าว ทำโรงสีพลังน้ำตำข้าว ต้นตระกูลลู่สร้างบ้านหลังนี้โดยออกแบบมาจากตัวอักษรจีน ที่ออกเสียงว่า เกา หมายถึง สูง เนื่องจากตัวบ้านตั้งอยู่บนเนินสูง น้ำท่วมไม่ถึงนั่นเองบ้านโบราณหลังนี้เคยใช้เป็นที่หลบซ่อนจากทหารญี่ปุ่น ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2  ปัจจุบันยังพบเห็นช่องลับได้บนเพดานชั้น 2วุ้นดำเบตง กม.4 (เฉาก๊วยแท้) ขนมพื้นบ้านแสนอร่อย ที่ห้ามพลาดชิมเมื่อมาเยือนเบตง ทุกวันนี้ยังทำด้วยกรรมวิธีโบราณ

วุ้นดำเบตง เป็นขนมพื้นบ้านสไตล์จีนที่ใช้ภูมิปัญญาล้วนๆ รังสรรค์ขึ้นมา ทำจากหญ้าชนิดหนึ่งที่ปลูกในประเทศจีน (และอินโดนีเซีย) ปัจจุบันยังทำด้วยกรรมวิธีโบราณ คือใช้เตาไม้ฟืน เวลากินจึงได้กลิ่นหอมของไม้ด้วย กรรมวิธีคร่าวๆ คือ นำหญ้าเฉาก๊วยมาต้มกับส่วนผสมแล้วกรองเอาเฉพาะน้ำ เพื่อแยกหญ้าวุ้นดำออกจากกัน จากนั้นนำแป้งมันสำปะหลังผสมกับน้ำที่ได้จากการกรองในขณะร้อนๆ คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ประมาณ 1 คืน จนเย็นกลายเป็นวุ้น นิยมรับประทานกับน้ำเชื่อมเติมน้ำแข็ง มีสรรพคุณช่วยแก้ร้อนใน ให้ความรู้สึกชื่นใจดีนักแล

ปัจจุบันนี้นอกจากปลาจีนนึ่งซีอิ๊วที่นักท่องเที่ยวนิยมชมชอบกันที่เบตงแล้ว ยังมีเมนูใหม่ที่มาแรงแซงทางโค้ง คือ “ปลานิลสายน้ำไหล” ร้านโกหงิ่ว (โทร. 0-7329-9311, 09-5094-6153) โดยเลี้ยงปลานิลไว้ในบ่อที่ปล่อยให้สายน้ำธรรมชาติไหลผ่านตลอดเวลา จึงได้เนื้อปลานิลสด นุ่ม หวาน ไร้กลิ่นคาว นิยมนำมาลวกจิ้มได้อร่อยเด็ด! ทุเรียนพันธุ์มูซังคิง  (Musang King) ราชาแห่งทุเรียนจากมาเลเซีย ของแท้ต้องมีลายรูปดาวห้าแฉกที่ก้นลูก หาชิมได้ในเบตงประมาณเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม นอกจากนี้เบตงยังมีทุเรียนพันธุ์พวงมณี หมอนทอง ก้านยาว ชะนี และทุเรียนบ้านปักษ์ใต้ ให้ชิมด้วยมาถึงเบตงทั้งที ต้องไปชิมอาหารจีน Signature หลากหลายเมนูที่ ร้านต้าเหยิน (กิตติ) ร้านนี้เปิดมานานกว่า 50-60 ปี มีอาหารขึ้นชื่อของเบตงให้ชิมทุกเมนูครบ เปิดทุกวัน เวลา 10.00-22.00 น.ร้านต้าเหยิน ตั้งอยู่เลขที่ 253 ถนนสุขยางค์ อ.เบตง จ.ยะลา โทร. 0-7323-0461, 0-7324-5189, 08-1599-4654
ชิมอาหารรสเลิศที่ร้านต้าเหยิน โดยเฉพาะ “ไก่เบตง” ของแท้ต้องมาชิมที่อำเภอเบตงเท่านั้น เนื้อไก่เหนียวนุ่ม มันน้อย หวานในปาก เคี้ยวง่าย ส่วนหนังไก่เป็นสีเหลืองทอง กรอบ ไม่มีชั้นไขมันหนาอยู่ใต้ผิวหนังเหมือนไก่เลี้ยงสายพันธุ์อื่น เพราะไก่เบตงเวลาเลี้ยงต้องปล่อยให้วิ่งเล่นไปมาอย่างอิสระ ว่ากันว่าเมื่อร้อยกว่าปีก่อน มีชาวจีนนำพันธุ์ไก่เข้ามาจากจีนตอนใต้ เลี้ยงกันแพร่หลาย ทว่ากว่าจะจับขายได้แต่ละตัว ต้องรอนาย 6 เดือน หรือ 1 ปี จำนวนผู้เลี้ยงจึงลดลง ปัจจุบันเหลือเลี้ยงอยู่จริงไม่กี่เจ้า ไก่เบตงของร้านต้าเหยินอร่อยเป็นพิเศษ ​เพราะใช้ซีอิ๊วดำทำเองด้วย
เต้าหู้บ๊อก, ปลานิลน้ำไหลราดพริก, หมูย่างหมั่นโถว, ถั่วเจี๋ยน (ร้านต้าเหยิน)ผัดผักน้ำเบตง, ปลาจีนนึ่งซีอิ๊ว, หมูเต้าหู้ยี้, แกงจืดหมักชอย (ร้านต้าเหยิน)หมูย่างต้าเหยิน, กบภูเขาทอดกระเทียม, เคาหยก, ผัดต้นอ่อนทานตะวัน (ร้านต้าเหยิน)อาหารจีนในเบตงที่อยากแนะนำอีกร้าน คือ ร้านใบหยก หรือ Baiyok Restaurant (อยู่ติดกับวงเวียนหอนาฬิกา) เป็นร้านเก่าแก่ที่ห้ามพลาด เพราะทุกเมนูยังคงรสชาติดั้งเดิมแบบเบตงแท้ มิได้ผิดเพี้ยน ร้านเปิดทุกวัน เวลา 8.30-20.00 น. โทร. 08-6964-4692 / www.facebook.com/BaiyokBetong/ ก่อนไปกิน แนะนำให้โทร.จองโต๊ะก่อนนะ จะได้ไม่ผิวหวังยังไม่หมดนะครับ ยังมี ร้านก้งถง (อยู่ใกล้โรงแรม Grandview Landmark Hotel) เป็นร้านอาหารจีนเปิดใหม่ มีเมนูน่าชิมของเบตงครบ ทั้งไก่เบตง ไก่เก้าชั่ง ถั่วเจี๋ยน เคาหยก ฯลฯ ลองแวะไปชิมกันนะครับ

(ขอบคุณภาพจาก : คุณใหญ่ Thailand Fotobook)
ขอบอกว่าอาหารจีนยามเช้าในเมืองเบตงนั้นอลังการไม่ใช่เล่น เพราะที่นี่มีคนจีนอาศัยอยู่มาก เป็นชาวจีนกวางไสจากกว่างซีจ้วง และชาวจีนฮกเกี้ยน วัฒนธรรมการกินของพวกเขาสืบทอดกันมา อย่างติ่มซำยามเช้าที่มีให้เลือกเพียบ ในเบตงมีหลายร้าน เช่น ร้านไทซีฮี้ และร้านเซ้งติ่มซำ  Location อยู่แถวๆ หอนาฬิกาและตู้ไปรษณีย์ยักษ์ มองไปเห็นชัดเลย

ก่อนกลับบ้าน อย่าลืมแวะซื้อของฝากมากมายที่ ร้านสุมะโน (โทร.06-6156-6424) ร้านของฝากแบบดั้งเดิมของชาวเบตงโด่งดังมานานกว่า 65 ปี โดยเฉพาะขนมเปี๊ยะโบราณ และขนมไหว้พระจันทร์สูตรเบตงร้านรวมสินค้า OTOP หลากหลายของเบตงที่ One Stop Service โรงเรียนบ้านเบตง หรือ โรงเรียนอนุบาลเบตง (อยู่ใกล้กับภาพวาดในหลวง ร.9 ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย) ร้านนี้เน้นสินค้าจากท้องถิ่นจริงๆ ครับ รวมถึงนำผลงานฝีมือหัตถกรรมของนักเรียนมาจำหน่าย สร้างรายได้ ฝึกทักษะ เสริมกำลังใจให้เด็กๆ มีทุนการศึกษาเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีมุมกาแฟและอาหารจำหน่ายด้วย แนะนำที่พักเปิดใหม่ สะอาด โอ่โถง สะดวกสบาย โรงแรม Grandview Landmark Hotel (โทร. 0-7323-4888) ตั้งอยู่ใกล้จุดท่องเที่ยวต่างๆ ภายในตัวเมืองเบตง เดินทางง่าย และมีห้องพักหลายแบบให้เลือก อีกทั้งมีห้องประชุมขนาดใหญ่ ที่จอดรถกว้าง จากโรงแรมสามารถเดินไปแค่ไม่กี่ก้าว ก็ถึงร้านอาหารจีน ร้านก้งถง และอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์

(ขอบคุณภาพจาก : คุณใหญ่ Thailand Fotobook)

สนใจซื้อแพ็กเกจทัวร์ “เบตง หรอยแรง แหล่งใต้ 2022”ได้ที่ บริษัท เมืองไทย ครีเอทีฟ แอนด์ ทัวร์ จำกัด

โทร. 081-251-2207, 085-065-8144, 064-232-2878

ถ้าใช้สิทธิ์โครงการทัวร์เที่ยวไทย รัฐจะช่วยจ่ายค่าแพ็กเกจทัวร์ให้ถึง 40 เปอร์เซนต์ สูงสุดไม่เกิน 5,000 บาท

20 ที่เที่ยวสุดประทับใจ ในเมืองพัทลุง

(1). เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย (อุทยานนกน้ำทะเลน้อย) อ.ควนขนุน อาณาจักรนกน้ำและทะเลบัวยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคใต้ ทะเลน้อย ทะเลบัวผืนใหญ่สุดของภาคใต้ เนื้อที่กว่า 17,500 ไร่ กินอาณาเขตจังหวัดพัทลุง สงขลา และนครศรีธรรมราช จริงๆ แล้วทะเลน้อยคือส่วนด้านบนสุดของทะเลหลวงและทะเลสาบสงขลา แต่ทะเลน้อยมีน้ำจืดสนิทตลอดปี จึงเกิดทะเลบัวแดงนับล้านดอกเบ่งบานในช่วงฤดูหนาว-ต้นฤดูร้อน ประมาณเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ไปล่องเรือเที่ยวชมอาณาจักรแห่งสรรพชีวิตในเวิ้งน้ำกว้าง ตั้งแต่เช้าตรู่ ดูนกตื่นนอน เกี้ยวพาราสี ฟักไข่ เลี้ยงลูก แถมยังได้ชมทะเลบัวเบ่นบานรับแสงตะวันอุ่นยามเช้า สูดโอโซนสดชื่น พร้อมกับชมนกอพยพฤดูหนาวนับร้อยชนิด อย่างนกกระสาแดง, นกกระสานวล, นกอีโก้ง, นกเป็ดผี, นกกาน้ำเล็ก รวมถึงฝูงเป็ดแดงนับหมื่นตัว แถมยังมีควายดำน้ำกินหญ้า, ดงสาหร่ายข้าวเหนียว และยอที่ปากประ ทะเลน้อยอยู่ห่างจากตัวเมืองพัทลุง 32 กม. ไปตามถนนหมายเลข 4048 (พัทลุง-ควนขนุน) ที่นี่มีบ้านพักและร้านอาหารบริการด้วย (2). ถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา (หรือ สะพานเอกชัย) อ.ควนขนุน สะพานชมวิวสุดชิลแห่งทะเลน้อย
การเที่ยวชมทะเลน้อยที่พัทลุง นอกจากจะล่องเรือแล้ว เรายังสามารถขับรถชมวิวชิลๆ ไปตาม ‘ถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2560’ ได้อีกด้วย ถนนสายนี้แท้จริงแล้วมีลักษณะเป็นสะพานยกระดับอย่างดี เชื่อมต่อบ้านไสกลิ้ง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง กับบ้านหัวป่า อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา โดยตัวสะพานมีความยาวถึง 5.45 กิโลเมตร จึงกลายเป็นสะพานยาวที่สุดในเมืองไทย แทนที่สะพานติณสูลานนท์ จ.สงขลา ไปโดยปริยาย ตลอดแนวสะพานจะผ่านไปบนพื้นที่ชุ่มน้ำริมทะเลสาบสงขลาตอนบน เป็นทุ่งหญ้าฉ่ำน้ำที่มีลำคลองเล็กๆ ไหลผ่าน อุดมด้วยฝูงนก ควายน้ำ และธรรมชาติสดชื่นงามตา แถมบนขอบสะพานมีป้ายบอกชื่อชนิดนกต่างๆ ให้ความรู้กับนักท่องเที่ยวด้วย เพราะจะมีจุดจอดรถชมวิวถ่ายภาพจัดไว้ให้อย่างปลอดภัย
(3). เขาอกทะลุ อ.เมืองพัทลุง Landmark แห่งเมืองลุงเขาอกทะลุ คือภูเขาที่อยู่ในตราประจำจังหวัดพัทลุง มีความสำคัญเพราเป็น Landmark เด่นในเทศบาลเมือง มองจากจุดใดก็เห็นเด่นชัด เขาลูกนี้สูงประมาณ 250 เมตร มีทางเดินป่าปีนเขาขึ้นไปชมวิวเมืองพัทลุงจากด้านบนได้ ความพิเศษคือมีโพรงหินปูนเป็นช่องทะลุ รูปร่างวงกลมขนาดใหญ่เหมือนยักษ์มาเจาะรูไว้ ปู่ย่าตายายท่านแต่งนิทานอธิบายว่า อดีตมีพ่อค้าชื่อนายเมือง มีเมีย 2 คน ชื่อนางสินลาลุดีเป็นเมียหลวง และนางบุปผาเป็นเมียน้อย อยู่มาวันหนึ่งสองคนนี้ทะเลาะกัน นางสินลาลุดีกำลังทอผ้าอยู่จึงใช้ฟืมทอผ้าตีหัวนางบุปผาแตก ส่วนนางบุปผากำลังตำข้าว ก็ใช้สากเสียบอกอีกฝ่าย ตายด้วยกันทั้งคู่ นางสินลาลุดีจึงกลายเป็นเขาอกทะลุ และนางบุปผากลายเป็นเขาหัวแตก ตั้งเด่นอยู่ในเมืองพัทลุงมาตราบทุกวันนี้(4). เกาะสี่ เกาะห้า อำเภอปากพะยูน เกาะรังนกกลางทะเลหลวง
ไม่น่าเชื่อเลยว่าประเทศไทยเราจะเป็น 1 ใน 3 ประเทศที่ส่งออกรังนกมากที่สุดในโลก! และไม่น่าเชื่ออีกเช่นกันว่า รังนกคุณภาพดีที่สุดในโลกนั้นมาจากประเทศไทยนี่เอง! โดยเแหล่งผลิตที่ดีที่สุด อยู่ที่ “เกาะสี่ เกาะห้า ตำบลเกาะหมาก อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง เนื่องจากบริเวณนี้เป็นพื้นที่ 3 น้ำ คือน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม ธรรมชาติอุดม มีนกแอ่นกินรังเข้ามาทำรังหากินในถ้ำไม่น้อยกว่า 80 แห่ง บนเกาะสี่ เกาะห้า ซึ่งเป็นเกาะสัมปทานรังนกมาตั้งแต่สมัย ร. 5 แม้ว่าปัจจุบันจะไม่ได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวถาวร แต่ถ้าขออนุญาตล่วงหน้า ก็สามารถนั่งเรือเข้าบางจุดได้ โดยลงเรือที่ท่าปากพะยูน หรือท่าเรือลำปำ บนเกาะมีอนุสาวรีย์ ร. 5 และผลิตภัณฑ์ของ บริษัท สยามรังนกทะเลใต้ ให้ชม ติดต่อเรือที่ เขาชันรีสอร์ท เกาะหมาก โทร. 08-9812-1276, 08-9611-9372 (5). หลาดใต้โหนด อ.ควนขนุน ตลาดนัดชุมชนคนเมืองลุง ถ้าเราอยากสัมผัสของฝากของกินงานศิลป์ถิ่นพัทลุง ขอบอกเลยว่าต้องไม่พลาด ‘หลาดใต้โหนด’ (ภาษาปักษ์ใต้ ‘หลาด’ ก็คือ ‘ตลาด’ นั่นเอง) เพราะตลาดนัดพื้นบ้านแห่งนี้ คือศูนย์รวมอาหารคาวหวานท้องถิ่นนับร้อยเมนู รวมถึงมีงานหัตถกรรมขึ้นชื่อของพัทลุงรวมมาครบในที่เดียว เดินเที่ยวกันเป็นชั่วโมงๆ ไม่เบื่อ หลาดใต้โหนด ตั้งขึ้นที่บ้านนักเขียนรางวัลซีไรต์ ปี 2539 คุณกนกพงศ์ สงสมพันธุ์  ซึ่งเสียชีวิตเมื่อปี 2549 ตั้งใจทำให้บ้านหลังนี้เป็นที่แลกเปลี่ยนความรู้ด้านศิลปะ เป็นที่อ่านหนังสือของชุมชน  ต่อมา ร้านใต้โหนด บ้านนักเขียน และเครือข่ายกินดี มีสุข จ.พัทลุง ได้จับมือกันตั้งเป็นตลาดท้องถิ่นด้วยแนวคิด  ของใช้ ของกิน งานศิลป์บ้านๆ’  เพื่อให้ชาวบ้านนำสินค้าปลอดสารพิษ อาหารพื้นถิ่น และงานฝีมือมาขาย เปิดทุกวันอาทิตย์ อยู่ที่บ้านจันนา อ.ควนขนุน ถ้ามาตามถนนสายเอเชีย ถึงสี่แยกโพธิ์ทอง อ.ควนขนุน เลี้ยวเข้าไปทาง อ.ศรีบรรพต ประมาณ 2.5 ก.ม. ตลาดอยู่ซ้ายมือเลยจ้า (6). นาโปแก อ.ควนขนุน ผืนนาแห่งการเรียนรู้วิถีเกษตรอินทรีย์พอเพียง
พัทลุงเป็นเมืองเนิบช้าน่ารัก เงียบสงบ มีเสน่ห์ของท้องทุ่งนาสีเขียวที่ทำให้เราสูดอากาศบริสุทธิ์กันได้เต็มปอด คนที่มาเยือนพัทลุงจึงรู้สึกสดชื่น และถูกกลืนไปกับวิถีนาไร่ที่สืบสานกันมาแต่บรรพบุรุษ เพราะพัทลุงเป็นเมืองอู่ข่าวอู่น้ำของภาคใต้อย่างแท้จริง วันนี้ที่ ‘นาโปแก’ อำเภอควนขนุน ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ในกระท่อมปลายนา ชวนให้เราเดินเที่ยวสัมผัสวิถีท้องทุ่ง ถ่ายภาพบนสะพานไม้ นาโปแกอยู่บนถนนเส้นทางเดียวกับไปทะเลน้อย คำว่า ‘นาโปแก’ เป็นภาษาพื้นบ้านท้องถิ่น ‘นา’ คือ ‘นาข้าว’ ส่วน ‘โปแก’ เป็นสำเนียงปักษ์ใต้ หมายถึง ‘พ่อของแม่ พ่อแก่ พ่อเฒ่า หรือคุณตา’ เมื่อรวมความหมายก็แปลว่า ‘ที่นาของคุณตา’ นั่นเอง ที่นี่มีแปลงปลูกข้าวสาธิต อุดมด้วยพันธุ์ข้าวพื้นเมือง เช่น ข้าวสังข์หยด ข้าวซ้อมมือโบราณ ฯลฯ นักท่องเที่ยวสามารถไปช่วยดำนา ไถนา เกี่ยวข้าว เลี้ยงควาย ขุดบ่อปลา แถมมีควายตัวเป็นๆ ให้ป้อนหญ้าได้ด้วย (เปิดจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-17.30 น. และเสาร์-อาทิตย์ เวลา 08.00-18.30 น. เข้าชมฟรี) (7). สวนไผ่ขวัญใจ ตลาดป่าไผ่สร้างสุข อ.ควนขนุน สวนไผ่สารพัดประโยชน์สุดชิล
ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวใหม่ แต่เป็นที่สนใจและกล่าวขานกันอย่างกว้างขวาง ณ ขณะนี้ที่อำเภอควนขนุน จ.พัทลุง เพราะ ‘สวนไผ่ขวัญใจ’ คือขวัญใจของนักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติ ต้องการสัมผัสวิถีท้องถิ่น รวมถึงยังเป็นขวัญใจของชาวบ้านรอบๆ ด้วย เพราะที่นี่ได้แบ่งปันความสุข การมีส่วนร่วม และกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างกว้างขวาง สวนไผ่แห่งนี้มีเนื้อที่กว่า 30 ไร่ ปลูกไผ่ไว้ไม่น้อยกว่า 41 ชนิด โดยไผ่ต้นแรกนำมาจาก จ.สุพรรณบุรี พื้นที่เดิมเป็นสวนมะพร้าว แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสวนไผ่ร่มรื่นในปัจจุบัน เปิดทุกวันเสาร์ เวลา 09.00-18.00 น. มีชาวบ้านมาเปิดร้านค้ากันอย่างคึกคัก ขายของกินของใช้ งานหัตถกรรมน่ารักๆ เก๋ๆ นอกจากนี้เรายังได้สูดอากาศบริสุทธิ์ที่ป่าไผ่ปล่อยออกมาให้หายใจกันฟรีๆ ด้วยล่ะจ้า
(8). ศูนย์หัตถกรรมกระจูดวรรณี (VARNI) อ.ควนขนุน หัตถศิลป์จากธรรมชาติ สู่ระดับนานาชาติ
‘กระจูด’ เป็นพืชท้องถิ่นของภาคใต้ พบมากตามห้วยหนองคลองบึงและพื่้นที่ชุ่มน้ำต่างๆ โดยเฉพาะริมทะเลสาบสงขลาและทะเลน้อย จ.พัทลุง ชาวบ้านแต่โบราณจึงเรียนรู้สั่งสมภูมิปัญญา นำกระจูดมาตากแห่ง ทำเป็นเส้นเล็กๆ แล้วย้อมสี สานเป็นเสื่อกระจูด กระเป๋า กระบุง ตะกร้า ฯลฯ ใช้สอยประโยชน์หลากหลาย และวันนี้กระจูดเมืองพัทลุงได้พัฒนาไปอีกก้าวหนึ่งแล้วกับ ‘กระจูดวรรณี’ ศูนย์เรียนรู้หัตถกรรมกระจูดที่พัฒนาจากระดับพื้นบ้านสู่สากลได้อย่างสง่างาม เราสามารถเข้าชมขั้นตอนการผลิต ทดลองสาน และช้อปปิ้ง คุณมนัทพงศ์ เซ่งฮวด นักออกแบบรุ่นใหม่ของกระจูดวรรณีผู้สืบสานภูมิปัญญาจากคุณแม่ผู้เป็นครูช่างศิลปหัตถกรรมของศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศปี 2556 เข้ามาช่วยดูแลเรื่องลวดลายการสานให้ดูทันสมัยขึ้น แต่ยังคงเอกลักษณ์ปักษ์ใต้ไว้อย่างสมบูรณ์ (โทร. 0-7461-0415  https://www.facebook.com/varni2529/) (9). ข้าวสังข์หยดอินทรีย์ กลุ่ม G10 อ.เขาชัยสน ข้าวท้องถิ่นเพื่อสุขภาพดีมีประโยชน์
ข้าวสังข์หยด เป็นพันธุ์ข้าวดั้งเดิมของจังหวัดพัทลุง ปลูกกันมาหลายชั่วอายุคนตั้งแต่โบราณแล้ว ข้าวพันธุ์นี้มีสีแดง เมื่อหุงสุกแล้วหอม เนื้อนุ่ม กินอร่อย แถมยังมีคุณค่าทางอาหารสูงมาก จนปัจจุบันปลูกขายแทบไม่ทัน เกษตรกรชาวพัทลุงได้จัดตั้งกลุ่มข้าวสังข์หยดอินทรีย์ที่ไม่ใช้สารเคมีหรือยาฆ่าแมลงใดๆ โดยเฉพาะ ‘กลุ่มข้าวสังข์หยด G10’ ต.ควนขนุน อ.เขาชัยสน ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ในโครงการ TOP THAI RICE ของกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ด้วย เราสามารถติดต่อขอเข้าชมแปลงนา ขั้นตอนการปลูก และแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งข้าวแพ็กถุง, สบู่, ยาสระผม, กาแฟ ฯลฯ มีการวิจัยออกมาแล้วว่า ถ้าเรากินข้าวสังข์หยดเป็นประจำร่างกายจะแข็งแรง เนื่องจากอุดมด้วยสารอาหารมากมายจริงๆ อาทิ มีวิตามิน บี 1 และ บี 2 ป้องกันอัมพฤก เหน็บชา โรคปากนกกระจอก, มีสังกะสีสูงที่สุดในข้าวไทยทุกชนิด, มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความชรา, สารสีแดงในข้าวสังข์หยดช่วยป้องกันโรคหัวใจ และโรคภูมพิแพ้ต่างๆ เป็นต้น (ติดต่อ โทร. 08-5473-2438, 0-7460-0387) (10). ร้านแบบไทย อ.เมืองพัทลุง อาหารสุขภาพ และนวดตำรับชาววัง

ที่นี่มิได้เป็นเฉพาะร้านอาหารสุขภาพที่โด่งดังมากเท่านั้น ทว่ายังเป็นร้านนวดไทยตำรับชาววังที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใครอีกด้วย ร้านแบบไทยจึงเหมาะสำหรับคนที่รักสุขภาพ ต้องการดูแลกายใจในองค์รวม บรรยากาศของที่นี่สร้างด้วยอาคารไม้สถาปัตยกรรมไทยทั้งหมด ร่มรื่นด้วยแมกไม้ เงียบสงบเป็นส่วนตัว ใครที่ตระเวนเที่ยวมาทั้งวันแล้วรู้สึกหิว ขอเชิญที่ร้านอาหารด้านหน้า เขามีเมนูสุขภาพเสิร์ฟตลอดวัน โดยเป็นอาหารปลอดสารพิษ ไม่ใส่ผงชูรส เน้นไปทางพืชผักและปลาท้องถิ่น ผลไม้ตามฤดูกาล แถมยังมีเครื่องดื่มคลอโรฟิลด์ น้ำส้มคั้นสด น้ำอัญชัญ เย็นชื่นใจให้ลิ้มรสด้วย ส่วนคนที่อยากผ่อนคลายกายใจ แนะนำให้เดินไปที่เรือนไม้ข้างๆ ร้านอาหาร เป็นโรงนวดแบบไทยพื้นบ้านต้นตำรับปักษ์ใต้ของ ‘หมอทอง’ ครูนวดที่เคยเข้าไปอยู่ในราชสำนักมาก่อน การนวดสุดแปลกไม่เหมือนใครของแบบไทยคือ ให้หมอนวดตั้งแต่ 2-9 คน ขึ้นมาเหยียบคลายเส้นเราพร้อมๆ กัน! อันนี้แล้วแต่ว่าใครเมื่อยมากเมื่อยน้อย และทนได้มากแค่ไหน (ติดต่อ โทร. 0-7461-0986, 08-9876-2235, 0-7461-0988, 08-7570-5544) (11). วังเก่าเจ้าเมืองพัทลุง อ.เมืองพัทลุง ย้อนอดีตวันวานความรุ่งเรืองเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ
วังเก่าเจ้าเมืองพัทลุง อยู่ใกล้กับวัดวัง อำเภอเมืองพัทลุง เดิมใช้เป็นที่ว่าราชการและที่พำนักของเจ้าเมืองพัทลุง ลักษณะเป็นหมู่เรือนไทยภาคกลางสร้างด้วยไม้ผสมปูนอย่างงดงาม ส่วนที่เหลืออยู่คือวังเก่าสร้างสมัยพระยาพัทลุง (น้อย จันทโรจวงศ์) เป็นผู้ว่าราชการ ต่อมาตกทอดสู่นางประไพ มุตามะระ บุตตรีของหลวงศรีวรฉัตร ส่วนวังใหม่สร้างเมื่อ พ.ศ. 2432 โดยพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (เนตร จันทโรจวงศ์) บุตรชายของเจ้าเมืองพัทลุง ปัจจุบันทายาทตระกูลจันทโรจวงศ์ได้มอบให้กรมศิลปากร ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติและเป็นโบราณสถาน เปิดให้เข้าชมทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์-อังคาร) เวลา 09.00-12.00 น. และ 13.00-16.00 น. ด้านในมีห้องหับต่างๆ ทั้งห้องนอน ห้องรับแขก ห้องครัว ฯลฯ พร้อมด้วยเครื่องเรือนสมัยโบราณในสภาพดีเยี่ยม น่าชมมาก (12). วัดเขาอ้อ อ.ควนขนุน สำนักตักศิลาไสยเวทย์แห่งปักษ์ใต้หากจะกล่าวถึงสำนักไสยเวทย์ หรือแหล่งรวมสรรพวิทยาคมที่เข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในภาคใต้ของไทย คงจะไม่มีที่ใดมีชื่อเสียงเกินกว่า ‘วัดเขาอ้อ’ หมู่ 3 ต.มะกอกเหนือ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ไปได้อย่างแน่นอน เพราะวัดแห่งนี้มีประวัติสืบย้อนไปได้ยาวนานหลายร้อยปี แต่เดิมเป็น ‘สำนักเขาอ้อ’ ที่ก่อตั้งขึ้นโดยเหล่าพราหมณ์ผู้เรืองเวทย์ สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 800 แล้ว โดยเหล่าพราหมณ์ผู้เรืองวิทยาคมทั้งหลาย ได้มาชุมชนกันในถ้ำ บำเพ็ญพรตและสั่งสมวิชาอาคมถ่ายทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งในเรื่องของตำรับยาสมุนไพรรักษาโรค เวทมนต์คาถา โดยเฉพาะเรื่องคงกระพันชาตรีนั้นวัดเขาอ้อถือว่ามีชื่อเสียงที่สุด จึงมีลูกศิษย์ลูกหามากมายอยู่ทั่วประเทศ ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมวัด เข้าไปในถ้ำฉัททันต์บรรพต เดินขึ้นเขาไปนมัสการรอยพระพุทธบาท หรือเข้าร่วมพิธีสะเดาะห์เคราะห์, พิธีแช่น้ำว่านอาบยา, พิธีหุงข้าวเหนียวดำ และพิธีป้อนข้าวเหนียวดำ ซึ่งเชื่อกันว่าเมื่อได้กินข้าวเหนียวดำที่ผ่านการปลุกเสกนี้แล้ว จะประสบแต่โชคดี และส่งผลในเรื่องความหนังเหนียวคงกระพันชาตรี โดยพิธีแช่น้ำว่านอาบยาจะจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง คือเดือน 5 และ เดือน 10 ทุกปี พิธีแช่น้ำว่านอาบยา วัดเขาอ้อ อ.ควนขนุน จ.พัทลุงพิธีกวนข้าวเหนียวดำ วัดเขาอ้อ อ.ควนขนุน จ.พัทลุงพิธีสะเดาะห์เคราะห์ต่อชะตา วัดเขาอ้อ อ.ควนขนุน จ.พัทลุงพิธีป้อนข้าวเหนียวดำ วัดเขาอ้อ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง (ประกอบพิธีในพระอุโบสถ เข้าร่วมได้เฉพาะผู้ชาย)

(13). วัดวัง อ.เมืองพัทลุง แม้จะเป็นวัดเล็กๆ แต่ “วัดวัง ก็คือหนึ่งในวัดสำคัญที่สุดของพัทลุง ตั้งอยู่ที่หมู่ 4 บ้านลำปำ ตำบลลำปำ อำเภอเมืองพัทลุง เป็นโบราณที่เคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตามพงศาวดารเมืองพัทลุงกล่าวว่า พระยาพัทลุง (ทองขาว) เป็นผู้สร้างวัดนี้ มีการฉลองเมื่อวันจันทร์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 พ.ศ. 2359 ต่อมาพระยาพัทลุง (ทับ) ได้ทำการบูรณะ โดยให้หลวงยกกระบัตร (นิ่ม) ไปรื้ออิฐจากกำแพงเมืองเก่าชัยบุรีมาสร้าง มีการฉลองวัดอีกครั้งเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8 พ.ศ. 2403 ภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถถือว่าเขียนโดยช่างชั้นครู เป็นช่างชุดเดียวกับผู้วาดภาพจิตกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวัดพระแก้ว โดยนายช่างได้ใช้สีแดง น้ำเงิน ขาว และดำ เป็นหลัก โดยเฉพาะสีน้ำเงินนั้นทำมาจากต้นครามแท้ๆ แต่ยังอยู่มาได้หลายร้อยปีจนถึงปัจจุบัน (14). วัดเขียนบางแก้ว อ.เขาชัยสนวัดเขียนบางแก้ว เป็นวัดเก่าแก่ของพัทลุง สันนิษฐานว่าสร้างสมัยอยุธยาตอนต้น จุดเด่นคือพระธาตุบางแก้ว ซึ่งดูให้ดีจะรู้สึกว่าคล้ายกับจำลองแบบมาจาก พระบรมธาตุนคร (นครศรีธรรมราช) คนที่ชอบศึกษาประวัติศาสตร์ต้องชอบที่นี่ เพราะเชื่อกันว่าเป็นบริเวณที่เมืองเก่าพัทลุงเคยตั้งอยู่ มีการขุดค้นพบซากปรักหักพังของศิลาแลงจำนวนมาก รวมถึงพระพุทธรูปโบราณแบบดินเผา, หม้อ ไห จาน ชาม, เครื่องเคลือบจีน, เหรียญกษาปณ์, เงินพดด้วง, สร้อยหินสีลูกปัด, ตำราโบราณ, อาวุธโบราณ และวัตถุโบราณนับไม่ถ้วน ส่วนหนึ่งจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์วัดเขียนบางแก้วการเดินทางจากตัวเมืองพัทลุง ใช้ทางหลวงหมายเลข 4081 เลยอำเภอเขาชัยสนไป 7 กิโลเมตร ในเขตบ้านบางแก้วใต้ ตรง กม.14 มีป้ายบอกทางเข้าวัดอยู่ด้านซ้ายมือ ไปอีก 2.5 กิโลเมตร โดยวัดเขียนบางแก้ว ตั้งอยู่ริมทะเลสาบสงขลา บรรยากาศร่มรื่น สงบมาก (15). วัดวิหารเบิก อ.เมืองพัทลุง
วัดวิหารเบิก เป็นวัดโบราณที่สำคัญมากอีกวัดหนึ่งในจังหวัดพัทลุง โดยอยู่ฝั่งตรงข้ามกับวัดวัง ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างขึ้นสมัยใด แต่กรมศิลปากรสันนิษฐานจากศิลปกรรมการสร้างพระอุโบสถ รวมถึงภาพจิรกรรมฝาผนังด้านในที่คล้ายคลึงกับวัดวัง จึงน่าจะสร้างขึ้นพร้อมๆ กัน สอดคล้องกับเรื่องเล่าว่าสองวัดนี้สร้างขึ้นพร้อมกันเพื่อแข่งขันกันว่าใครจะสร้างสวยกว่ากัน จุดเด่นของวัดวิหารเบิกคือพระอุโบสถศิลปกรรมยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่มีขนาดเล็ก และมีทางเข้าออกทางเดียวด้านหน้า ภายในประดิษฐานพระประฐานปางมารวิชัยสีทองเหลืองอร่าม งดงามด้วยพุทธลักษณะ ตามฝาผนังทุกด้านมีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือชั้นครู วาดโดยพระอาจารย์สุ่น ซึ่งเป็นผู้วาดภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดวัง และพระอุโบสถวัดพระแก้ว กรุงเทพมหานคร ด้วย ปัจจุบันวัดวิหารเบิกได้รับการอนุรักษ์เป็นโบราณสถานของชาติ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 แล้ว (16). หาดแสนสุขลำปำ อ.ปากพะยูน แหล่งรวมความสุขริมทะเลสาบสงขลา
พัทลุงเป็นเมืองเงียบเรียบง่าย กินอยู่สบาย อากาศดีตลอดปี เพราะมีลมเย็นจากทะเลน้อยและทะเลสาบสงขลาพัดโชยมาชื่นใจ คนพัทลุงเขาน่าอิจฉามีที่เที่ยวนั่งพักผ่อนปิกนิก โดยเฉพาะ หาดแสนสุขลำปำ’ อยู่ห่างจากตัวเมืองพัทลุงไปทางตะวันออก 7 กม. ด้วยถนนสาย 4047 (พัทลุง-ลำปำ) มีสภาพเป็นสวนสาธารณะร่มรื่น และทางเดินเลียบชายฝั่งทะเลสาบสงขลา น่านั่งชิลกันทั้งวัน มองไปเบื้องหน้าเห็นวิวทะเลสาบกว้างไกล โปร่งโล่งสบาย และเมื่อมองออกไปลิบๆ จะเห็นเกาะสี่ เกาะห้า เป็นเกาะรังนก นอกจากนี้บริเวณหาดแสนสุขลำปำยังมีร้านขายอาหาร เครื่องดื่ม และรีสอร์ทไว้บริการด้วย (17). วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ.เมืองพัทลุง โถงถ้ำแห่งศรัทธา
ศาสนสถานสำคัญที่ตั้งอยู่กลางเมืองพัทลุงมาตั้งแต่โบราณก็คือ ‘วัดถ้ำคูหาสวรรค์’ (วัดสูง, วัดคูหาสวรรค์)บริเวณเชิงเขาเป็นที่สูงทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเชิงเขาคูหาสวรรค์ (เขาหัวแตก) ห่างจากสถานีรถไฟพัทลุงไปทางทิศตะวันตกเพียง 500 เมตรเท่านั้น มีบันทึกคร่าวๆ ว่าในอดีตเมืองพัทลุงเคยถูกโจรสลัดบุกปล้น วัดถ้ำคูหาสวรรค์จึงถูกทิ้งร้าง เพิ่งได้รับการบูรณะสมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2432 เพื่อเตรียมรับเสด็จ ร. 5 เมื่อ รศ. 108 วัดถ้ำคูหาสวรรค์จึงกลายเป็นพระอารามหลวงแห่งแรกของพัทลุง จุดเด่นที่เราเข้าไปเดินชมได้ง่ายๆ คือในโถงถ้ำใหญ่มีพระพุทธรูปปางสมาธิและปางไสยาสน์ประดิษฐานเรียงรายอยู่ตามผนัง ส่วนเพดานหินตรงปากถ้ำ มีจารึกพระปรมาภิไธยย่อของพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ปรากฏอยู่ด้วย (18). ศรีปากประ อันดาคูรา บูติค รีสอร์ท และร้านอาหารวิวยอ อ.ควนขนุน ที่พักและร้านอาหารสุดชิล ชมวิวสุดประทับใจ 
ตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง เป็นพื้นที่ธรรมชาติน่าชมอยู่ริมทะเลสาบสงขลาตอนบน สามารถล่องเรือออกมาจากทะเลน้อยผ่านคลองนางเรียม สู่ปากประ ซึ่งมียอตั้งอยู่กลางน้ำจำนวนมาก ยอเหล่านี้ใช้จับปลาลูกเบร่มาทำอาหารได้หลายเมนู บริเวณปากประนี้เองเป็นที่ตั้งของ ‘ศรีปากประ อันดาคูรา บูติค รีสอร์ท’ และ ‘ร้านอาหารวิวยอ’ อยู่ริมน้ำลมพัดเย็นชื่นใจตลอดวัน มองออกไปเห็นเวิ้งน้ำกว้างของทะเลสาบสงขลา โดยเฉพาะยามเช้าตรู่จะแลเห็นพระอาทิตย์ขึ้นคู่กับยอเหล่านี้ เรียกว่าเป็นอัศจรรย์แห่งแสงสียามอรุณเบิกฟ้าเลยก็ว่าได้ ที่พักของศรีปากประฯ สร้างกลมกลืนกับธรรมชาติ ซุ่มซ่อนอยู่ในไพรพฤกษ์เขียวของป่าชายเลน ส่วนร้านอาหารวิวยอก็มีเมนูพื้นบ้านรสเลิศให้ชิมตลอดวัน อาทิ ปลาดุกร้าทอด อาหารขึ้นชื่อของพัทลุง, ยำก้านบัว, ต้มกะทิกุ้งก้านบัว, ยำปลาลูกเบร่, ปลาหมอทอดขมิ้น, สะตอผัดกุ้งกะปิ, ปลาเนื้ออ่อนต้มส้ม ฯลฯ (ติดต่อ ศรีปากประ อันดาคูรา บูติค รีสอร์ท โทร. 09-1825-5294, 06-1149-9494 / ร้านอาหารวิวยอ โทร. 06-2232-5201, 09-4598-2944) (19). ร้านขนำ คอฟฟี่ อ.เมืองพัทลุงตระเวนเที่ยวพัทลุงกันมาทั่วแล้ว ถ้ารู้สึกเหนื่อย ร้อน หรืออยากพักผ่อนในบรรยากาศสบายตาสบายใจ มองเห็นเขาอกทะลุสัญลักษณ์เมืองพัทลุงอยู่ใกล้ๆ เราขอแนะนำให้ไปที่ ‘ร้านขนำ คอฟฟี่’ ต.ควนมะพร้าว อ.เมืองพัทลุง (โทร. 09-9970-6178 / www.facebook.com/KanamCoffee/ ) ชวนกันไปจิบกาแฟนั่งชิล พร้อมกับกินเค้กรสละเมียดไปด้วย บรรยากาศร้านสร้างได้กลมกลืนกับท้องทุ่ง เน้นวัสดุเป็นไม้ มีสะพานทางเดินเชื่อมส่วนต่างๆ เข้าหากัน พร้อมด้วยมุมถ่ายภาพเก๋ๆ เท่ห์ๆ มากมาย นี่ล่ะพัทลุงยุคใหม่ ที่เราต้องไม่พลาด! (20). โนรา – หนังตะลุง ศิลปะการแสดงเอกลักษณ์แดนใต้
ถ้ามาเที่ยวพัทลุง แล้วไม่ได้ชมการแสดงพื้นบ้านอันมีเอกลักษณ์อย่าง “โนรา และ “หนังตะลุง ก็เหมือนกับว่ามาไม่ถึง เพราะศิลปะการแสดงสองอย่างนี้ซึมซาบอยู่ในวิถีชีวิตของคนพัทลุงมานับร้อยๆ ปีแล้ว ตั้งแต่ยุคอดีตที่ไม่มีทีวีวิทยุ ยามค่ำก็ได้มหรสพเหล่านี้ปลอบประโลมใจ ดูแล้วสนุก เฮฮา ครื้นเครง ได้หัวเราะทำให้หายเหนื่อยจากการทำงาน โนรา หรือ มโนราห์ เป็นละครรำละครร้องเรื่องยาว คล้ายละครชาตรีของภาคกลาง แต่มีท่ารำที่เน้นการต่อตัว ดัดตัว และมีเครื่องแต่งกายสีสันฉูดฉาดด้วยลูกปัด และเทริดสวมหัว (มงกุฎทรงสูง) บทร้องมีทั้งขบขัน สองแง่สองง่าม ส่วน หนังตะลุง เป็นหุ่นเงาที่ได้รับอิทธิพลมาจากมาเลเซียและอินโดนีเซีย สนใจหาชมได้ที่หลาดใต้โหนด อำเภอควนขนุน หรือสอบถาม ททท. พัทลุง ก่อนล่วงหน้า ว่าช่วงใดจะมีการแสดง สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานพัทลุง – นครศรีธรรมราช โทร. 0-7534-6515-6

พักในอ้อมกอดสีเขียว เที่ยวกระบี่ที่ Pooltara Resort

นานแล้วไม่ได้กลับมาเที่ยว ‘จังหวัดกระบี่’ มาเที่ยวทั้งทีทริปนี้จึงต้องเป็นอะไรที่พิเศษสุดๆ

เราเดินทางเข้าสู่อ้อมกอดของแมกไม้เขียวขจีและสายน้ำใสเย็นจากธรรมชาติ ที่  Pooltara Resort Krabi ซึ่งแม้จะอยู่ในเขตอำเภอเมืองกระบี่ ทว่าก็ไม่ได้อยู่ในใจกลางเมืองหรือแถบอ่าวนางที่ค่อนข้างแออัด แต่ Pooltara Resort ได้พาตัวเองมาแอบซ่อนอยู่ในอ้อมกอดของขุนเขา และธรรมชาติพิสุทธิ์ ที่ซึ่งมีเพียงเราและธรรมชาติกระซิบรักกันฝนโปรยละอองเย็นฉ่ำ ต้อนรับการมาถึงของเราที่ Pooltara Resort ตัวรีสอร์ทตั้งอยู่ติดลำธารธรรมชาติชื่อ ‘คลองธารทิพย์’ ซึ่งเคยมีนากน้ำอาศัยอยู่ เป็นลำธารสาธารณะที่ไหลมาจากป่าบนเขาพนมเบญจา บรรยากาศของที่นี่จึงอาบอิ่มด้วยธรรมชาติ อากาศปลอดโปร่ง เหมาะจะมาพักผ่อนกายใจในมุมส่วนตัวอย่างแท้จริง
คุณเฟียต CEO แห่ง Pooltara Resort Krabi คือหนึ่งคนที่ตกหลุมรักจังหวัดกระบี่เข้าอย่างเต็มเปา จากที่ป่าพรุและสวนเก่า 10 ไร่ ซึ่งคุณพ่อได้ซื้อไว้เมื่อกว่า 26 ปีก่อน บัดนี้คุณเฟียตได้เนรมิตให้กลายเป็นที่พักสไตล์ Eco-Friendly  เป็นมิตรใกล้ชิดธรรมชาติอย่างกลมกลืนมากๆจุดเด่นของ Pooltara Resort Krabi คือความเป็นธรรมชาติของแมกไม้เขียวสดร่มรื่น และลำคลองธารทิพย์ ที่ผ่านเข้ามายังรีสอร์ท เหมาะไปนั่งพักผ่อน เล่นน้ำ พายเรือ ให้เย็นกายเย็นใจเหมือนการช๊าตพลังชีวิตอดใจไม่ไหว ไปพายเรือแคนนูเล่นชมธรรมชาติกันเถอะเรา ริมคลองธารทิพย์ มีการจัดแต่งสวนสวยร่มรื่น ใช้เป็นจุด check in หรือ photo point ได้สบายๆ เลยจ้าส่วนสำคัญอีกอย่างของ Pooltara Resort Krabi คือบ้านพักสไตล์ Villa ที่ออกแบบได้อย่าง Modern โปร่งโล่งสบาย มองเห็นธรรมชาติอยู่ใกล้แค่เอื้อม สำหรับหลังนี้เป็นแบบสองชั้น โดยชั้นล่างใช้เป็นห้องนั่งเล่น อิงกายบนโซฟานุ่ม ส่วนชั้นบนเดินขึ้นบันไดไปอีกนิด ก็ถึงที่นอนคล้ายชั้นลอย ให้ความรู้สึกอบอุ่นสบายคล้ายอยู่บ้าน
ที่พิเศษมาก คือหน้าห้องมีมุม Relax สุดชิล เป็นตาข่ายให้นอนเล่นรับลมธรรมชาติมุม Lobby ที่ให้ความรู้สึกเป็นกันเองได้เวลา Dinner แล้ว ขอให้คืนนี้เป็นคืนพิเศษที่เราจะจดจำไปอีกนานแสนนานแค่เห็นการจัดโต๊ะก็กินขาดแล้วล่ะ นำเอาใบตองมาปูโต๊ะ เป็นการผสมผสานกลิ่นอายท้องถิ่นปักษ์ใต้เข้ามาได้อย่างน่ารักมากๆ
อาหารค่ำของ Pooltara Resort Krabi มี 2 เซ็ทให้เลือก คือ ลัดตา Set และปกาสัย Set ทั้งสองแบบนี้จัดมาในสไตล์อาหารท้องถิ่น อาทิ แกงส้มปลากะพง, หมูฮ้อง, คั่วกลิ้งปลา, น้ำพริกปลาฉิ้งฉ้าง, หมูสามชั้นผัดกะปิ, ต้มกะทิใบเหรียง และนำ้พริกกะปิกุ้งสด เป็นต้นลิ้นลิ้มรสความอร่อย ตาได้เสพความงาม และหูได้ยินเสียงเพลงเบาๆ เคล้าบรรยากาศยามหัวค่ำท่ามกลางธรรมชาติ
เครื่องดื่มเย็นๆ ผสมแอลกอฮอล์เบาๆ ช่วยให้ค่ำคืนนี้ Perfect ขึ้น ในขณะที่เรานั่งพูดคุยสรวนเสเฮฮากับเพื่อนฝูงอาหารเช้าของ Pooltara Resort Krabi ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เพราะเน้นอาหารพื้นบ้าน ที่อุดหนุนชาวบ้านมาแท้ๆ รสชาติจึงอร่อยถึงเครื่องแบบปักษ์ใต้จริงๆ ส่วนการจัด Setting Buffet Corner ก็น่ารักเก๋ไก๋ฟรุ้งฟริ้ง
ข้าวเหนียวไก่ทอดแบบพื้นบ้าน ดูหน้าตาธรรมดา แต่รสชาติอาหร่อยอย่างแรง ขอบอกว่าถึงเครื่องมากครับ แต่ก็ขอเหลือท้องไว้ชิมขนมจีนด้วย ฮาฮาฮาขนมพื้นบ้านต่างๆ จัดไว้เสิร์ฟกันตั้งแต่เช้าตรู่ กินกันให้เต็มที่เลยนะเช้านี้ จะได้มีแรงออกไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวสุด Unseen ที่อยู่ไม่ห่างจาก Pooltara Resort Krabi คือ ‘จุดชมวิวเขาทอง’ จากจุดนี้สามารถชื่นชมพระอาทิตย์ตกได้แบบสุดสายตา Panorama โดยมีหมู่เกาะทะเลกระบี่เรียงรายอยู่ตรงหน้าเลย!ส่วนใครที่อยากเที่ยวแบบ Adventure ผจญภัยกลางแจ้ง แนะนำให้ไปพายเรือคายัคในคลองบ่อท่อ ตรงสู่ ‘ถ้ำผีหัวโต’ แหล่งประวัติศาสตร์กว่า 3,000 ปี เป็นถ้ำที่มีภาพเขียนสีอยู่บนผนังถ้ำนับร้อยภาพ มากที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย มีภาพแปลกๆ ชวนให้ฉงนสนเท่ห์ ตั้งแต่ ผีหัวโต, มือหกนิ้ว, มนุษย์อวกาศ, เจ้าบ่าวเจ้าสาว, ฮิปปี้โบราณ, นกยักษ์, ปลาโบราณ ฯลฯถ้ำลอด ในระหว่างทางไปถ้ำผีหัวโต คลองบ่อท่อภาพวาดผีหัวโต ที่ชวนให้ขบคิดว่า นี่คือภาพของสัตว์ คน หรือมนุษย์ต่างดาวกันแน่นะ?!อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยว Unseen ใกล้ Pooltara Resort Krabi ที่ห้ามพลาดชมด้วยประการทั้งปวงก็คือ ‘ท่าปอม คลองสองน้ำ’ ระบบนิเวศมหัศจรรย์ ที่มีน้ำจืดและน้ำทะเลไหลบ่าสลับกันเข้ามาในลำธารสีเขียวมรกตธรรมชาติ มีให้ชมทุกวัน โดยเฉพาะในยามเช้าที่น้ำจะใสปิ๊งเป็นพิเศษ แต่ปัจจุบันอนุญาตให้ลงเล่นน้ำได้แค่บางจุดเท่านั้นนะ เพื่อรักษารากไม้และระบบนิเวศนี้ไว้ให้คงอยู่ตลอดไป

Contact : Pooltara Resort Krabi เลขที่ 144/1 หมู่ 4 บ้านในสระ ต.เขาทอง อ.เมือง จ.กระบี่ 81000

โทร. 0-7566-4599, 0-7581-9846, 0-7581-9847

pooltararesort@gmail.com / Facebook : Pooltara Resort Krabi

11 Best of Mie, Amazing Kansai

จังหวัดมิเอะ (Mie Prefecture) เมื่อเอ่ยถึงชื่อนี้ หลายคนคงทำหน้างงๆ ว่าคืออะไร? อยู่ที่ไหน? ก็ต้องขอเฉลยเลยว่า เป็นจังหวัดน่ารักน่าเที่ยวอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น (ภูมิภาคคันไซ) ติดมหาสมุทรแปซิฟิก โดยจังหวัดมิเอะนี้ตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างเมืองนาโกย่า (ทางเหนือ) และเมืองโอซาก้า (ทางใต้) หลายคนซึ่งไปเที่ยวเมืองใหญ่ในญี่ปุ่นกันมาจนปรุแล้ว ขอเชิญมาเที่ยวมิเอะดูบ้าง จะพบกับประสบการณ์แปลกใหม่ อันเต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจ ที่จะทำให้คุณลืมไม่ลงอย่างแน่นอน!

1. สุดอลังการ กับดวงไฟนับล้าน Winter Illumination ที่ Nabana No Sato สวนพฤกษศาสตร์ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

ชวนกันไปเที่ยวสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ ที่งดงามน่าชมทั้ง 4 ฤดู เพราะมีดอกไม้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเบ่งบานให้ชมไม่รู้เบื่อ อย่างดอกไฮเดรนเยียในต้นฤดูร้อน ทุ่งคอสมอสในต้นฤดูใบไม้ร่วง และช่วงฤดูใบไม้ผลิยังเด่นด้วยดอกซากุระ ทิวลิป กุหลาบ แด๊ฟโฟดิล ฯลฯ บานสะพรั่งให้ชม ทว่าไฮไลท์จริงๆ อยู่ที่การประดับไฟในช่วงฤดูหนาว (Winter Illumination) ที่มีหลอดไฟกว่า 200 ล้านหลอด และอุโมงค์ไฟอันน่าตื่นตา
Naba No Sato 2 Naba No Sato 3 Naba No Sato 4 Naba No Sato 5 Naba No Sato 6 Naba No Sato 7 Naba No Sato 82. Gozaisho Ropeway กระเช้ายาวที่สุดในญี่ปุ่น ขึ้นสู่ยอดเขาโกไซโช บนเทือกเขาซูซูก้า

พากันไปนั่งกระเช้ายาวที่สุดในญี่ปุ่น ใช้เวลานานถึง 15 นาที จากความสูง 400 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ขึ้นสู่ยอดเขาที่ระดับความสูง 1,212 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล เนื่องจากจังหวัดนี้ตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศ ติดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก อากาศจึงค่อนข้างอบอุ่น ทว่ายอดเขาโกไซโชคือจุดเดียวที่มีหิมะในฤดูหนาวของจังหวัดมิเอะ บนยอดเขามีจุดชมวิวสวยๆ แบบพาโนรามา ร้านค้า และกิจกรรมเล่นหิมะให้สนุกกันด้วย
Gozaisho Ropeway 1 Gozaisho Ropeway 2 Gozaisho Ropeway 3 Gozaisho Ropeway 4 Gozaisho Ropeway 5 Gozaisho Ropeway 6 Gozaisho Ropeway 73. อิงะนินจา ต้นกำเนิดนินจาแห่งญี่ปุ่น

พาตัวและหัวใจย้อนอดีตกลับสู่หมู่บ้านนินจาอิงะ ในยุคที่ญี่ปุ่นยังมีนินจาโลดแล่นอยู่ในวงการต่อสู้ กับภาระกิจซ่อนเร้นที่เจ้านายไม่ว่าจะเป็นไดเมียวหรือโชกุนสั่งให้ทำแบบลับๆ ทั้งการสอดแนม ลอบทำร้าย และลอบฆ่าศัตรู ทุกวันนี้ที่หมู่บ้านนินจาอิงะยังมีการสืบทอดความรู้เหล่านี้ไว้บางส่วน และจัดแสดงให้พวกเราได้ชมอย่างน่าตื่นเต้นระทึกใจ แถมยังมีบ้านนินจาที่มีซอกมุมค่ายกลซับซ้อนเอาไว้หลบศัตรู ให้เข้าชมด้วย
อิกะ นินจา 1 อิกะ นินจา 2 อิกะ นินจา 3 อิกะ นินจา 4 อิกะ นินจา 54. ศาลเจ้าหลวงแห่งอิเสะ ศาลเจ้าใหญ่และสำคัญที่สุดในลัทธิชินโตแห่งแดนอาทิตย์อุทัย

มาเที่ยวมิเอะต้องไม่พลาดชม ‘ศาลเจ้าหลวง’ หรือ The Grand Shrine เป็นศาลเจ้าแรกของญี่ปุ่นในลัทธิชินโต ซึ่งคนญี่ปุ่นเชื่อว่าต้องมาสักการะให้ได้สักครั้งในชีวิต ศาลเจ้านี้เรียกกันทั่วไปว่า ‘อิเสะจิงงุ’ (ศาลเจ้าหลวงอิเสะ) ตั้งอยู่บริเวณแหลมอิเสะ ในผืนป่าโบราณที่ร่มรื่นเย็นฉ่ำ เต็มไปด้วยไม้ใหญ่หลายคนโอบ บรรยากาศแลขลังและศักดิ์สิทธิ์มาก อย่างไรก็ตาม ในบริเวณศาลเจ้าหลักนั้นห้ามถ่ายภาพ และส่วนในสุดห้ามไม่ให้เข้า แต่เชื่อกันว่าเป็นที่เก็บรักษาสมบัติ 3 อย่าง อันเป็นตัวแทนความเชื่อสูงสุดในลัทธิชินโต คือ คันฉ่อง พระแสงดาบ และอัญมณี ซึ่งใช้เป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันเป็นเสมือนตัวแทนที่ติดต่อกับเทพเจ้าได้
ศาลเจ้าหลวงอิเสะ 1 ศาลเจ้าหลวงอิเสะ 2 ศาลเจ้าหลวงอิเสะ 3 ศาลเจ้าหลวงอิเสะ 4 ศาลเจ้าหลวงอิเสะ 55. เที่ยวถนนคนเดินย้อนยุคสุดชิล โอคาเงะ โยโคโช

หลังจากสักการะศาลเจ้าหลวงแห่งอิเสะเรียบร้อยแล้ว คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการเดินต่อเนื่องเข้าสู่ ถนนคนเดินโอฮาริ มาชิ และโอคาเงะ โยโคโช’ (Oharai machi and Okage yokocho) สองหมู่บ้านโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะจนถึงเมจิ สองฟากฝั่งเต็มไปด้วยบ้านเรือนเก่าใหม่ และหลากหลายร้านรวงน่าแวะชม ทั้งร้านอาหาร ร้านน้ำชา ร้านขนม ร้านสาหร่าย และร้านขายของที่ระลึก บรรยากาศย้อนยุคดีเหลือเกิน ใครชอบถ่ายภาพ หรือชอบซื้อหาสินค้า Handmade น่ารักๆ มาเที่ยวที่นี่ไม่ผิดหวังชัวร์

หมู่บ้านโอคาเงะ โยโคโช 1 หมู่บ้านโอคาเงะ โยโคโช 2 หมู่บ้านโอคาเงะ โยโคโช 3 หมู่บ้านโอคาเงะ โยโคโช 4 หมู่บ้านโอคาเงะ โยโคโช 5 หมู่บ้านโอคาเงะ โยโคโช 66. เยี่ยมชม Mikimoto Pearl Island ไข่มุกคุณภาพดีที่สุดในโลก!

เป็นเวลากว่า 160 ปีมาแล้ว ที่คุณปู่ Kokichi Mikimoto ได้ก่อตั้งฟาร์มเลี้ยงหอยมุก Mikimoto ขึ้น โดยการนำหอยมุกพันธุ์ Agoya ที่คัดมาเป็นอย่างดี นำมาเลี้ยงในน้ำทะเลอันใสสะอาดของชายฝั่งแปซิฟิกจังหวัดมิเอะ จนได้หอยมุกคุณภาพเยี่ยมที่ทั่วโลกกล่าวขาน เพราะมีคุณภาพยอดเยี่ยมที่สุด ทั้งขนาด รูปทรง ความแวววาว สีสัน นับเป็นสมบัติล้ำค่าจากท้องทะเลที่ควรค่าแก่การสวมใส่อย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชม ‘เกาะไข่มุกมิกิโมโตะ’ หรือ Mikimoto Pearl Island ได้ มีส่วนพิพิธภัณฑ์ ร้านจำหน่าย ร้านอาหาร และสาธิตการดำน้ำเก็บหอยของ ‘อามะ’ (Ama) นักดำน้ำหญิงแห่งมิเอะ ที่ดำน้ำตัวเปล่าโดยไม่ใช้ถังอากาศเลย

Mikimoto Pearl Farm 1 Mikimoto Pearl Farm 2 Mikimoto Pearl Farm 4 Mikimoto Pearl Farm 5 Mikimoto Pearl Farm 67. Mie บ้านของ ‘อามะ’ หญิงนักดำน้ำโดยไม่ใช้ถังอากาศ

เป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว ที่ ‘อามะ’ (Ama) หรือ ‘นักดำน้ำหญิง’ (Woman Diver) แห่งจังหวัดมิเอะ มีบทบาทสำคัญยิ่งยวด ในกิจการผลิตหอยมุกอันมีชื่อเสียง เพราะพวกเธอคือคนที่ดำดิ่งลงสู่ใต้ทะเลสีคราม เพื่อเก็บหอยมุกขึ้นมา หรือเมื่อมีพายุไต้ฝุ่นและคลื่นแรงจัด พวกเธอก็ต้องดำน้ำลงไปย้ายหอยมุกเข้าสู่ที่ปลอดภัย นับเป็นภาระกิจหนักหน่วงที่เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง แม้ทุกวันนี้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าขึ้นมาก และอาชีพหญิงนักดำน้ำจะไม่จำเป็นอีกแล้ว ทว่าจังหวัดมิเอะและ Mikimoto Pearl Island ก็ยังอนุรักษ์อาชีพโบราณอันทรงเกียรตินี้ไว้ให้ชมกัน เล่ากันว่า นอกจากจะดำน้ำเก็บหอยมุกแล้ว ในการดำน้ำแต่ละครั้งพวกเธอยังเก็บหอยเป๋าฮื้อ สาหร่ายทะเล และสัตว์ทะเล ขึ้นมาเลี้ยงครอบครัวและขายยังชีพด้วย
อามะ สาวดำน้ำ 1 อามะ สาวดำน้ำ 2 อามะ สาวดำน้ำ 3 อามะ สาวดำน้ำ 48. เก็บสตรอว์เบอร์รี่สดใหม่ลูกใหญ่จากสวน ชิมได้ทันที ที่ Aqua Ignis

ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ผลไม้อย่างหนึ่งที่จะผลิลูกออกอย่างดกดื่นในจังหวัดมิเอะก็คือ ‘สตรอว์เบอร์รี่’ แสนอร่อย ลูกใหญ่ แถมยังหวานฉ่ำ กลิ่นหอมติดลิ้นติดจมูกซะเหลือเกิน มีหลายฟาร์มให้เข้าชมและเก็บกินได้ทันที เพราะเขาปลูกด้วยวิธีออร์แกนิก ปราศจากสารพิษ สถานที่ก็สะอาดสะอ้าน โดยเฉพาะที่ Aqua Ignis ร้านอาหารสไล์โมเดิร์น ที่จัดส่วนหนึ่งไว้เป็นฟาร์มสตรอว์เบอร์รี่ในโรงเรือนอย่างดี ชิมกันให้อิ่มแปล้ไปเลย กินได้เต็มที่ เขาไม่ว่า เพียงแต่อย่าเก็บใส่กระเป๋ากลับบ้านก็แล้วกัน ฮาฮาฮา
Aqua Ignis 1 Aqua Ignis 2 Aqua Ignis 3 Aqua Ignis 49. ชิมเนื้อมัตสึซากะ ระดับ 5A ความอร่อยระดับโลก!

สำหรับคนที่ชื่นชอบการรับประทานเนื้อวัวเป็นชีวิตจิตใจ แค่ได้ยินฉายา ‘King Of Beef’ ของเนื้อวัวมัตสึซากะแห่งจังหวัดมิเอะ ก็คงต้องน้ำลายสอแน่นอน! เพราะเนื้อมัตสึซากะถือเป็นเนื้อวัวคุณภาพดีที่สุด และแพงที่สุดในโลก ตามมาติดๆ ด้วยเนื้อวัวโกเบ และเนื้อวัววากิว เขาบอกว่าที่เนื้อมัตสึซากะอร่อยล้ำถึงเพียงนี้ก็เพราะเป็นสายพันธุ์ American Black Cattle ที่นำเข้ามาจากอเมริกาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนมีการพัฒนาสายพันธุ์ให้เป็น Japanese Black ในปัจจุบัน บวกกับวิธีการเลี้ยงสุดพิสดาร คือเปิดเพลงให้วัวฟัง มีการนวด ให้กินอาหารที่มีกากใยสูง และให้ดื่มเบียร์คิดเป็นปริมาณกว่า 6 ขวดต่อวัน ฯลฯ นอกจากนี้ยังเป็นการเลี้ยงให้โตแบบช้าๆ จึงเกิดเส้นไขมันร่างแห หรือไขมันลายหินอ่อน (Shimo furi) แทรกซึมอยู่ระหว่างเนื้อแดง เมื่อนำมาปิ้งย่างให้สุกปานกลาง จิ้มน้ำจิ้มหรือโรยเกลือเล็กน้อย กินเข้าไปมันจะละลายในปากทันที!

เนื้อมัทสึซากะ 1 เนื้อมัทสึซากะ 2 เนื้อมัทสึซากะ 410. Mie ดินแดนแห่ง Seafood สดใหม่ เรายกทะเลมาไว้ที่นี่

สำหรับ Foodie Traveler หรือนักเดินทางที่ชอบเที่ยวไปชิมไป เพื่อค้นหาความอร่อยในแบบต้นตำรับของแต่ละท้องถิ่น ขอบอกว่าที่จังหวัดมิเอะมีราชาแห่งอาหารทะเลอย่างหนึ่งให้ชิมกัน คือ ‘กุ้งมังกรญี่ปุ่น’ หรือ Japanese Lobster เป็นกุ้งมังกรตัวยาวกว่า 1 ฟุต จับกันจากธรรมชาติจริงๆ โดยกล่าวกันว่าที่ อ่าววากุ เมืองชิมะ จังหวัดมิเอะ เป็นจุดที่มีกุ้งมังกรชนิดนี้ชุกชุมที่สุดในญี่ปุ่น ชาวประมงจะออกเรือไปวางลอบดักกุ้งในตอนกลางคืน (เพราะกุ้งชนิดนี้ออกหากินตอนกลางคืน) แล้วออกไปกู้ลอบในตอนเช้า การได้ชิมเนื้อกุ้งมังกรสดๆ จากทะเลสักครั้ง โดยนำมาเผาไฟให้สุกพอดีๆ จึงถือเป็นหนึ่งในสุดยอดความอร่อยที่พลาดไม่ได้จริงๆ นอกจากนี้มิเอะ ยังมีอาหารทะเลทั้ง กุ้ง หอย ปลา และหมึกทะเลตัวใหญ่ รอให้เราไปชิมด้วยนะจ๊ะ
Seafood 1Seafood 4 Seafood 2 Seafood 3 Seafood 5 Seafood 611. อธิษฐานให้ความรักสมหวัง ที่หินแต่งงาน Wedding Rock

สำหรับคนที่ยังไม่มีแฟน หรือมีคู่แล้วแต่ต้องการให้ความรักมั่นคงยืนยาว ขอแนะนำให้ไปเที่ยวที่ ‘หินแต่งงานแห่งมิเอะ’ (Wedding Rock หรือ Marrige Couple Rocks) ซึ่งคนญี่ปุ่นเรียกว่า ‘Meoto Iwa’ เป็นหินสองก้อนตั้งอยู่ในทะเลใกล้ชายฝั่ง บริเวณศาลเจ้าฟุตามิโอคิทามะ (Futami Okitama Shrine) หินก้อนหนึ่งมีขนาดใหญ่ อีกก้อนเล็กกว่า เชื่อมโยงกันด้วยเชือกฟางเส้นใหญ่คล้ายมงคลงสมรสของบ่าวสาวในวันแต่งงาน เรียกว่า ‘ชิเมนาวะ’ (Shimenawa Rope) ตามตำนานหมายถึงคู่สามีภรรยา คือ เทพอิซานากิ (Izanagi no Okami) และเทพอิซานามิ (Izanami no Okami) ผู้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นบนโลก และให้กำเนิดเทพต่างๆ อีกมากมาย
wedding rock 1 wedding rock 2 wedding rock 3 wedding rock 4logo World ProSpecial Thanks : บริษัท เวิล์ดโปร แทรเวิล จำกัด (World Pro Travel Co., Ltd.) สนับสนุนการเดินทางจัดทำสารคดีเรื่องนี้เป็นอย่างดีเยี่ยม

สนใจไปเที่ยวมิเอะ ติดต่อ โทร. 0-2026-3372, line id : wpoutbound หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.worldprotravel.com/tour-program

และ www.facebook.com/WorldProTravel หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ outbound@worldprotravel.com

Top of World Wellness เที่ยวสนุก สุขภาพดี ในต่างแดน

pamukkale 31. Pamukkale, Turkey ภูเขาหินปูนขนาดยักษ์ สูง 200 เมตร ยาวเกือบ 2 กิโลเมตร มีแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติผุดขึ้นให้อาบแช่กันมาตั้งแต่สมัยโรมันโบราณ เพื่อพักผ่อนและรักษาสุขภาพ ปัจจุบันกลายเป็นมรดกโลกของ UNESCO แถมโดยรอบยังมีเมืองโบราณเฮียราโพลิส เป็นเมืองตากอากาศของโรมันในอดีตให้ชมอีกด้วยpamukkale 10pamukkale 9pamukkale 1 pamukkale 7 pamukkale 82. Bali Spa, Indonesia บาหลี เกาะแห่งธรรมชาติ วัฒนธรรม และต้นกำเนิดสปาที่คนไทยใช้เป็นต้นแบบ มีสปาหลากหลายที่ช่วยบำบัดทั้งกาย-ใจ รีสอร์ทสปาบางแห่งตั้งอยู่ริมทะเล หาดทรายดำภูเขาไฟ หรือบางแห่งตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขาและป่าไม้ร่มรื่น ช่วยผ่อนคลายได้สุดๆ
bali spa 3 bali spa 4 bali spa 5 bali spa 83. Cat Cafe, South Korea คาเฟ่ต์แมว เป็นร้านน่ารักที่เราจะได้สัมผัสเจ้าเหมียวอย่างใกล้ชิด ได้ลูบคลำ ได้เล่นกับมัน ถือเป็นวิธีการใช้ ‘สัตว์บำบัด’ ที่ทำให้ความดันเลือดเราลดลง ใจสบายขึ้น ความเครียดก็ลดลงด้วย ลองไปเที่ยวแถวถนนเมียงดง ในโซล เกาหลีใต้ มีคาเฟ่ต์แมวอยู่หลายแห่งเลยล่ะ
cat therapy 1 cat therapy 7 cat therapy 94. Art Therapy, Okinawa Island, Japan ศิลปะบำบัดกำลังเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก เพราะช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย หรือบางครั้งยังได้ปลดปล่อยจินตนาการของเรา อีกทั้งยังช่วยทำให้มีสมาธิเพิ่มขึ้นได้ ถ้าไปเที่ยวที่เกาะโอกินาวา หมู่เกาะใต้สุดของญี่ปุ่น ถือเป็นแหล่งศิลปะตัวแม่ เพราะเป็นเมืองแห่งการเป่าแก้วริวกิวแบบพิเศษ เราสามารถไปทดลองทำได้ อีกทั้งมีหมู่บ้านวัฒนธรรมริวกิว เป็นการย้อนยุคแบบน่ารักมาก
okinawa 1 okinawa 3 okinawa 7 okinawa 9 okinawa 10 okinawa 145. Misty Bathing ทะเลหมอกโซอุนเคียว เกาะ Hokkaido, Japan อาบหมอกเย็นชื่นฉ่ำใจในยามอรุณรุ่ง ณ จุดชมทะเลหมอกโซอุนเคียว ตื่นตากับเทือกเขาสลับซับซ้อนที่มีทะเลหมอกขาวโพลน ลอยอ้อยอิ่งคลอเคลียอย่างอ่อนโยน สูดโอโซน รับแสงตะวันสังเคราะห์วิตามิน K ให้ร่างกาย แถมยังได้รับความชุ่มชื้นในอากาศจากสายหมอกอีกด้วย
ทะเลหมอกโซอุนเคียว 1 ทะเลหมอกโซอุนเคียว 56. Forest Bathing อาบป่าสุขใจ ที่ป่าไผ่ Kyoto, Japan พาตัวและหัวใจเดินเข้าสู่ป่าไผ่ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในแดนอาทิตย์อุทัย ให้ความสงบเงียบของบรรยากาศ สีเขียวของแมกไม้ เสียงนก และเสียงใบไผ่ปลิ้วไหวแกว่งไกวไปมาตามกระแสลม ช่วยเยียวยาจิตใจที่อ่อนล้า จากการทำงานในเมืองใหญ่ ให้กลับฟื้นคืนพลังอีกครั้ง เรียกว่าเป็นการไปรับพลังบวกจากธรรมชาติพิสุทธิ์แบบเต็มๆ
สวนไผ่ kyoto 3 สวนไผ่ kyoto 4 สวนไผ่ kyoto 67. Hot Sand Bath, Beppu, Japan ชวนกันไปเที่ยวเชิงสุขภาพสุขใจ ที่เมืองเบปปุ จังหวัดโออิตะ บนเกาะคิวชู ของเมืองปลาดิบ นอนห่มทรายร้อนสัก 15-20 นาที ด้วยทรายธรรมชาติ เป็นทรายภูเขาไฟสีดำริมหาดทราย ให้คุณค่าของแร่ธาตุแทรกซึมผ่านผิวหนังเข้าไป ในขณะเดียวกันสิ่งตกค้างในร่างกายก็จะถูกขับออกมาพร้อมเหงื่อ ช่วยให้ผิวพรรรผุดผ่อง หน้าสวยใสจ้าอาบทรายร้อน เบปปุ 2 อาบทรายร้อน เบปปุ 3 อาบทรายร้อน เบปปุ 4 อาบทรายร้อน เบปปุ 58. สุดยอดเมืองอายุรเวทแดนภารตะ รัฐเคราล่า (Kerala), India ไปเที่ยวเพื่อสุขภาพแบบ Long Stay กับเมืองแห่งศูนย์กลางการบำบัดสุขภาพด้วยแนวทางอายุรเวท ที่ใช้หลักการดูแลกาย-ใจ-จิต ในองค์รวม ทั้งการนวด นั่งสมาธิ ฝึกโยคะ กินอาหารธรรมชาติ เหมาะสำหรับคนที่ไม่ป่วย แต่ต้องการไปดูแลสุขภาพให้ดี หรือใครที่ไม่สบาย เขาก็มีหมออายุรเวทคอยดูแลให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด ตลอดเวลาที่อยู่ในเคราล่า
india 1 india 2 india 3 india 4 india 5 india 6ImNikonSpecial Thanks : บริษัท Nikon Sales (Thailand) Co., Ltd. สนับสนุนอุปกรณ์ถ่ายภาพระดับมืออาชีพ

สนใจติดต่อ 195 อาคาร Empire Tower ชั้น 45 ถนน สาทรใต้ แขวง ยานนาวา เขต สาทร กรุงเทพมหานคร 10120 โทร. 0-2633-5100 / www.nikon.co.th

The Best of Iran, Heart of the Persian

(1). หมู่บ้านมาชูเล่ห์
หมู่บ้านมาชูเล่ห์ 1 หมู่บ้านมาชูเล่ห์ 2 หมู่บ้านมาชูเล่ห์ 3(2). หมู่บ้านอะบียาเน่ห์
หมู่บ้านอาบียาเน่ห์ 1 หมู่บ้านอาบียาเน่ห์ 2 หมู่บ้านอาบียาเน่ห์ 3 หมู่บ้านอาบียาเน่ห์ 4 หมู่บ้านอาบียาเน่ห์ 5(3). สวน Egoil เมืองทาบริส
เมืองทาบริส สวน Egoil 1 เมืองทาบริส สวน Egoil 3 เมืองทาบริส สวน Egoil 4(4). สะพานคาจู เมืองอิสฟาฮาน
เมืองอิสฟาฮาน สะพานคาจู 1 เมืองอิสฟาฮาน สะพานคาจู 3 เมืองอิสฟาฮาน สะพานคาจู 4(5). อิหม่าม สแควร์ เมืองอิสฟาฮาน
เมืองอิสฟาฮาน สุลต่าน square 1 เมืองอิสฟาฮาน สุลต่าน square 2 เมืองอิสฟาฮาน สุลต่าน square 3 เมืองอิสฟาฮาน สุลต่าน square 4 เมืองอิสฟาฮาน สุลต่าน square 5 เมืองอิสฟาฮาน สุลต่าน square 6 เมืองอิสฟาฮาน สุลต่าน square 7 เมืองอิสฟาฮาน สุลต่าน square 8 เมืองอิสฟาฮาน สุลต่าน square 9 เมืองอิสฟาฮาน สุลต่าน square 10 เมืองอิสฟาฮาน สุลต่าน square 11 เมืองอิสฟาฮาน สุลต่าน square 12(6). สุสานกษัตริย์ นัคเซรอสตัม
สุสานกษัตริย์ 1 สุสานกษัตริย์ 2(7). เมืองโบราณ Percepolis
Percepolis 1 Percepolis 2(8). หอคอย Azadi กรุงเตหะรานAzadi tower 1(9). พระราชวังโกเลสตาน กรุงเตหะราน
พระราชวัง โกเลสตาน 1 พระราชวัง โกเลสตาน 2 พระราชวัง โกเลสตาน 3(10). พระราชวังเนียวาราน กรุงเตหะราน
พระราชวังเนียวาราน 1 พระราชวังเนียวาราน 2(11). Pink Mosque เมืองชีราส
เมืองชีราส Pink Mosque 1 เมืองชีราส Pink Mosque 2 เมืองชีราส Pink Mosque 3 เมืองชีราส Pink Mosque 4(12). ตลาดวากิล บาซาร์ เมืองชีราส
เมืองชีราส ตลาดวากิล บาซาร์ 1 เมืองชีราส ตลาดวากิล บาซาร์ 2(13). ป้อมการิมข่าน หอคอยเอียง เมืองชีราส
เมืองชีราส ป้อมการิมข่าน 1 เมืองชีราส ป้อมการิมข่าน 2(14). สุสานท่านฮาเฟส เมืองชีราส
เมืองชีราส สุสานฮาเฟส 1(15). อนุสรณ์สถานท่านอาลี เมืองชีราส
เมืองชีราส อนุสรณ์อาลี 1 เมืองชีราส อนุสรณ์อาลี 2 เมืองชีราส อนุสรณ์อาลี 3(16). Blue Mosque เมืองทาบริส
เมืองทาบริส Blue Mosque 1 เมืองทาบริส Blue Mosque 2(17). พระราชวังเซเฮลโชตุน เมืองอิสฟาฮาน
เมืองอิสฟาฮาน เฮเซลโชตุน 1 เมืองอิสฟาฮาน เฮเซลโชตุน 2 เมืองอิสฟาฮาน เฮเซลโชตุน 3 เมืองอิสฟาฮาน เฮเซลโชตุน 4 เมืองอิสฟาฮาน เฮเซลโชตุน 6(18). บ้านเศรษฐีเก่า The Historic House เมืองคาชานเมืองคาชาน บ้านเศรษฐี 1 เมืองคาชาน บ้านเศรษฐี 2 เมืองคาชาน บ้านเศรษฐี 3

(19). โรงอาบน้ำโบราณ The Historic Bath House เมืองคาชานเมืองคาชาน โรงอาบน้ำโบราณ 1 เมืองคาชาน โรงอาบน้ำโบราณ 2 เมืองคาชาน โรงอาบน้ำโบราณ 3(20). ทุ่งกุหลาบ ตำบลกำซา เมืองคาชานเมืองคาชาน สวนกุหลาบ คำซา 1 เมืองคาชาน สวนกุหลาบ คำซา 2 เมืองคาชาน สวนกุหลาบ คำซา 3(21). คฤหาสถ์ Naranjestane Ghavam เมืองชีราส เมืองชีราส Naranjestane Ghavam 1 เมืองชีราส Naranjestane Ghavam 2(22). Grand Bazar เมืองทาบริสเมืองทาบริส Grand Bazar 1 เมืองทาบริส Grand Bazar 2 เมืองทาบริส Grand Bazar 3(23). บ้านรู Kandovan เมืองทาบริสเมืองทาบริส Kandovan 1 เมืองทาบริส Kandovan 3(24). มัสยิดกลาง เมืองทาบริสเมืองทาบริส มัสยิดกลาง 1 เมืองทาบริส มัสยิดกลาง 2(25). ร้านพรมเปอร์เชียแท้ Carpet Lover Club เมืองอิสฟาฮาน
เมืองอิสฟาฮาน carpet lover club 1 เมืองอิสฟาฮาน carpet lover club 2 เมืองอิสฟาฮาน carpet lover club 3(26). National Museum กรุงเตหะรานNational Museum 1 National Museum 2

Tana Toraja Land of Life & Dead, Indonesia

Tana Toraja 2สุลาเวสี (Sulawesi) ชื่อนี้หลายคนอาจไม่คุ้นเคย แต่ถ้าจับแผนที่หมู่เกาะของประเทศอินโดนีเซียมากางดู จะรู้ว่าสุลาเวสี คือหนึ่งในเกาะใหญ่ที่สุดทางตะวันออกของอินโดนีเซีย อยู่ถัดจากเกาะชวา เกาะบาหลี และลอมบอก ออกไป เกาะนี้เป็นแหล่งปลูกข้าวสำคัญ เพราะมีดินภูเขาไฟอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งมีเทือกทิวเขาสลับซับซ้อน มีภูเขาสูงเกินพันเมตรหลายลูก อากาศเย็นฉ่ำ กลายเป็นแหล่งปลูกกาแฟ โกโก้ วานิลลา และที่สำคัญคือ สุลาเวสียังได้ชื่อว่าเป็น “หมู่เกาะเครื่องเทศ” ในอดีตอีกด้วย
Tana Toraja 3เมื่อเดินทางไปถึงตอนใต้ของเกาะสุลาเวสี ที่บริเวณ Tana Toraja เราจะได้ชื่นชมวิถีชีวิตการปลูกข้าว ที่ผูกพันกับผู้คนมาหลายร้อยปี
Tana Toraja 4และแน่นอนว่า เมื่อมีการเกษตรกรรมปลูกข้าว ควายก็คือเพื่อนแสนดีที่ชาวนาใน Tana Toraja สนิทที่สุด ทว่าด้วยความเชื่อในเรื่อง ‘ชีวิตหลังความตาย’ ควายจึงถูกนำไปเปรียบเสมือนพาหนะที่จะนำพาวิญญาณของผู้วายชนม์ไปสู่สุขติ ใน Tana Toraj จึงมีการบูชายัญควายในพิธีศพด้วย อีกทั้งยังมี ‘ตลาดควาย’ หรือ Buffalo Market ที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย ทุกวันเสาร์และวันอังคาร จะมีควายหลายพันตัวมาสู่ตลาดซื้อขายนี้Tana Toraja 5เอกลัษณ์อย่างหนึ่งของชาว Torajan ที่อาศัยอยู่ในเขต Tana Toraja ของเกาะสุลาเวสีตอนใต้ ก็คือการสร้างบ้านหลังคาโค้งหน้าจั่วแหลมสูงที่เรียกว่า ‘ตองโกนัน’ (Tongkonan) โดยเหตุที่เขาต้องสร้างหลังคาในลักษณะนี้ก็เพราะ บรรพบุรุษของชาว Torajan ได้ล่องเรืออพยพมาจากกัมพูชาและจีนตอนใต้ เมื่อมาถึงเกาะสุลาเวสี ก็ล่องเรือลึกเข้ามาในแผ่นดินตามแม่น้ำสายใหญ่ และเมื่อเริ่มตั้งรกรากฐาวร ไม่อาศัยอยู่ในเรืออีกแล้ว จึงสร้างตัวแทนเรือไว้เป็นหลังคาบ้านแบบนี้ล่ะครับ โดยบ้านรุ่นเก่าจะมุงหลังคาด้วยไม้ไผ่และฟาง ส่วนเสาบ้านใช้ต้นปาล์มป่า หรือไม้เนื้อแข็งสี่เหลี่ยม บนบ้านมีไม่เกิน 4 ห้อง อาศัยอยู่ได้แค่ 4-5 คน
Tana Toraja 6หมู่บ้านปาลาวา (Palawa Village) เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่สุดของชาว Torajan ซึ่งยังมีบ้าน Tonganan ในลักษณะดั้งเดิมให้ชมหลายสิบหลัง ด้านนอกตัวบ้านจะมีการสลักไม้เป็นลวดลายต่างๆ ทั้งพระจันทร์ พระอาทิตย์ ไก่ ทุ่งนา ควาย ฯลฯ ล้วนสะท้อนถึงวิถีชีวิตเกษตรกรรม อีกทั้งเมื่อมีคนในบ้านเสียชีวิตลง ช่วงแรกเขาก็จะเก็บศพไว้ในบ้าน ทำทีว่าผู้นั้นยังมีชีวิต มีการจัดข้าวปลาอาหารเลี้ยงดูปกติ จากนั้นก็จะห่อศพคล้ายมัมมี่เก็บไว้ โดยในพิธีศพจะมีการเชือดควายบูชายัญมากน้อยตามฐานะผู้ตายTana Toraja 7ทิวเขา สายหมอก ป่าไม้ บ้าน Tongonan วัวควาย และทุ่งนา คือลมหายใจและจิตวิญญาณที่แท้จริงของ Tana TorajaTana Toraja 8รีสอร์ทบางแห่งสร้างห้องพักเลียนแบบบ้าน Tongonan อันมีเอกลักษณ์
Tana Toraja 9ชาว Torajan ในปัจจุบันปรับตัวมาใช้ชีวิตแบบคนเมืองแล้ว ส่วนใหญ่เปิดให้ท่องเที่ยว และขึ้นชมบ้านได้ รวมทั้งจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองที่หาชมที่อื่นไม่ได้แน่นอนTana Toraja 10การเต้นรำพื้นเมืองแบบ Torajan หาชมได้เฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญ หรือในโรงแรมใหญ่ๆTana Toraja 11สาว Torajan ดูแทบไม่ออกเลยว่าบรรพบุรุษของเธอคือชาวกัมพูชา และคนจีนตอนใต้ที่อพยพสู่เกาะสุลาเวสีTana Toraja 12การเดินทางจากเมืองไทยไป Tana Toraja บนเกาะสุลาเวสีไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไป ช่วงแรกต้องบินจาก กทม.-จาการ์ต้า แล้วเปลี่ยนเครื่องภายในประเทศ จาการ์ต้า-มาคาซาร์ (Makassar) จากนั้นต้องนั่งรถยนต์อีก 300 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 8-10 ชั่วโมง จนถึงเขต Tana Toraja ตรงจุดกึ่งกลางครึ่งทางมีร้านกาแฟให้นั่งแวะพัก บริเวณ ภูเขาโนน่า (Gunung Nona)Tana Toraja 13เมื่อถึงเขต Tana Toraja ก็จะต้องผ่านเข้าสู่ประตู Toraja Gate เสียก่อน
Tana Toraja 14ก่อนที่จะเดินทางถึง เมืองมาคาเล่ (Makale) เมืองหลวงของ Tana Toraja เราจะผ่านหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรม และความศรัทธาของชาวคริสต์ที่นี่ (เนื่องจากคนเกิน 60 เปอร์เซนต์ ของ Toraja ปัจจุบันนับถือศาสนาคริสต์) คือ ‘รูปปั้นพระเยซูคริสต์แห่งมานาโด้’ (Jesus of Manado) ซึ่งมีความยิ่งใหญ่ไม่แพ้รูปปั้นพระเยซูคริสต์ที่บราซิลเลยแม้แต่น้อยTana Toraja 15ลงจากยอดเขา Jesus of Lemo สู่ ตัวเมือง Makale เพื่อเดินทางต่อไปยังเขตทะเลภูเขาสลับซับซ้อนของ Tana TorajaTana Toraja 16Land Above the Cloud หรือ แผ่นดินสูงเหนือเมฆ คือจุดชมวิวสวยที่สุดในยามเช้าของเขต TorajaTana Toraja 17 จาก Land Above the Cloud มองลงไปเบื้องล่าง งามไม่ต่างจากสวรรค์!
Tana Toraja 18ที่ Land Above the Cloud มีจุดกางเต็นท์และจุดชมวิวให้นักท่องเที่ยวเลือกหลายแห่ง วิวตรงหน้าก็จะงามต่างกันไป
Tana Toraja 19ด้วยความสูงไม่ต่ำกว่า 1,300-1,600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ทำให้ภูเขาในแถบ Tana Toraja กลายเป็นแหล่งปลูกกาแฟอะราบิก้าคุณภาพดีที่สุดแห่งหนึ่งของอินโดนีเซีย ส่งออกไปทั่วโลกTana Toraja 20ต้องหากาแฟ Toraja Cofee ร้อนๆ ดื่มแก้หนาวกันหน่อยล่ะTana Toraja 21กาแฟ และผงโกโก้เข้มข้น ที่นี่หาซื้อง่าย แม้แต่ใน ตลาดเช้า หรือ Morning Market ก็มีให้เลือกซื้อเพียบTana Toraja 22บรรยากาศตลาดเช้าของเมือง Makale คึกคักทุกวัน พืชผักผลไม้มีให้เลือกซื้อหลากหลายจริงๆ สะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินTana Toraja 23การจะเข้าถึง Tana Toraja ให้ได้แบบถึงกึ๋นลึกซึ้ง เราต้องไปเยี่ยมชมสถานที่เกี่ยวกับ ‘ชีวิตหลังความตาย’ กันหน่อย! อย่าเพิ่งตกใจ เพราะคนที่นี่เขามองเรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดา เหมือน Cycle of Life นั่นล่ะ ที่ Tana Toraja จะไม่มีการเผาศพหรือฝังศพเด็ดขาด แต่จะใช้วิธีห่อศพคล้ายมัมมี่ แล้วนำไปเก็บไว้ตามถ้ำ ตามหน้าผา หรือสร้างบ้าน Tongonan หลังเล็กๆ เก็บไว้แทน เพื่อให้ลูกหลานได้รำลึกถึงบรรพบุรุษ อย่างที่ ‘ถ้ำลีโม่’ (Lemo Cave) จะมีการเจาะโพรงไว้บนหน้าผาสูงชัน หรือนำศพคนตายไปเก็บไว้ในถ้ำต่างๆTana Toraja 24.1หน้าผาเก็บศพแห่งลีโม่ มีการแกะสลักตุ๊กตาไม้ตัวแทนผู้ตาย ให้คนที่ยังอยู่ได้รำลึกถึง ตุ๊กตาเหล่านี้มีขนาดเท่าคนจริง เรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า ‘เตา-เตา’ (Tao-Tao)Tana Toraja 24ที่ ‘หมู่บ้านทัมปัง อัลโล’ (Tampang Allo Village) มีต้นไม้โบราณอยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งชาวบ้านใช้เก็บศพเด็กทารกที่ตายก่อนจะมีฟันน้ำนมขึ้น โดยเขาจะนำศพเด็กห่อผ้าเหมือนมัมมี่ นำไปใส่ไว้ในโพรงต้นไม้ เพราะต้นไม้นี้มียางขาวคล้ายน้ำนม วิญญาณเด็กจะได้ดื่มน้ำนมแล้วมาเกิดใหม่ มันจึงกลายเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่มีการเก็บกินผลเด็ดขาด ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงต้นเดียว ภายในบรรจุศพเด็กทารกไว้หลายสิบศพ
Tana Toraja 25ที่หมู่บ้าน Tampang Allo ยังมีอีกหนึ่งสถานที่น่าขนลุกซึ่งไม่ควรพลาดชม นั่นคือ ‘ถ้ำเก็บศพแห่งทัมปัง อัลโล่’ ภายในถ้ำขนาดใหญ่ที่เย็นชื้นและโบราณนี้ เต็มไปด้วยหัวกะโหลก โครงกระดูก โลงศพไม้โบราณ และตุ๊กตาเตา-เตา นับร้อยๆ ตัว วางระเกะระกะอยู่ทั่วไปในทุกซอกหลืบ บ้างแขวนอยู่บนเพิงผาหินปูนสูงชัน ปัจจุบันเหลือถ้ำเก็บศพลักษณะนี้อยู่ใน Tana Toraja เพียงไม่กี่แห่ง โดยส่วนใหญ่จะเป็นศพของชนชั้นปกครองหรือคนรวยTana Toraja 26ภายในถ้ำเก็บศพทัมปัง อัลโล่ คือที่พำนักสุดท้ายอันสงบสงัดของผู้วายชนม์!Tana Toraja 27ตุ๊กตาเตา-เตา ภายในถ้ำเก็บศพทัมปัง อัลโล่

หากคุณมีโอกาส และต้องการเดินทางสู่ดินแดนแปลกใหม่ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่ในโลก หรือต้องการผจญภัยในดินแดนห่างไกลที่แทบจะไม่เคยมีใครย่างเหยียบไปถึง เราขอแนะนำ ดินแดน Tana Toraja แห่งเกาะสุลาเวสี ที่สุดแห่งการเดินทางครั้งหนึ่งในชีวิต!
Wonderful IndonesiaImNikon

Top 10 Akita เสน่ห์ Tohoku Japan

1 Akita Snow 11.อะคิตะ ดินแดนแห่งหิมะขาว (Akita the Snow Country of Tohoku) อาบอิ่มด้วยความฉ่ำเย็นทางภาคเหนือ หรือภูมิภาคโทโฮขุ (Tohoku) ของแดนอาทิตย์อุทัย นั่งรถกระเช้าขึ้นไปบนสกีรีสอร์ท ชมวิว ถ่ายภาพ เล่นสกี เล่นสโนว์บอร์ด เก็บเกี่ยวควาทรงจำดีๆ เอาไว้ในใจตลอดไป หิมะขาวของ Akita จะโปรยปรายให้ชื่นชม ระหว่างปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนมีนาคม2 Akita Snow 2 3 Akita Snow 3 3.1 Akita Snow 3 4 Akita Snow 4 5 Akita Snow 5 6 Akita Snow 6 7 Akita Snow 7 8 Akita Snow 8 9 Tazawa Lake 12. ทะเลสาบทาซาวะ (Tazawa Lake) เมืองเซนโบขุ (Senboku) เป็นทะเลสาบลึกที่สุดของญี่ปุ่น คือลึกกว่า 420 เมตร ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นทะเลสาบในปากปล่องภูเขาไฟเก่าที่ดับสนิทแล้วนั่นเอง เราจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมในช่วงฤดูหนาวที่หิมะตกหนัก น้ำในทะเลสาบจึงไม่จับตัวเป็นน้ำแข็ง คงเพราะมีความร้อนจากใต้พิภพผุดขึ้นมาจากก้นทะเลสาบนั่นเอง

ทะเลสาบทาซาวะมีตำนานความรักของเจ้าหญิง Tatsuko กับ Hachiro อันอบอุ่น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมน้ำในทะเลสาบแห่งนี้จึงไม่เคยเป็นน้ำแข็งเลย! ลองไปสัมผัสเรื่องราวเหล่านี้ด้วยตัวเอง แล้วจะรู้สึกเลยถึงความโรแมนติก คลาสสิก เหมาะกับการถ่ายภาพ ชมวิวสวยๆ แสนประทับใจ10 Tazawa Lake 2 11 Tazawa Lake 3tsurunoyu13. สึรุโนะยุ ออนเซน (Tsurunoyu Secret Onsen) เมืองเซนโบขุ (Senboku) เป็น 1 ใน 8 ที่พักไสตล์ออนเซนเรียวกังของย่าน นิวโตะ (Nyuto Onsen) สึรุโนะยุ ออนเซน เป็นบ่อน้ำแร่ร้อนออนเซนอันลี้ลับกลางหุบเขาหนาวเย็น ซึ่งไดเมียวและเหล่าซามูไรเคยมาอาบแช่เมื่อหลายร้อยปีก่อน นับเป็นหนึ่งในออนเซนที่คนญี่ปุ่นทั้งประเทศต้องการมาอาบแช่สักครั้งในชีวิต เพราะน้ำสีนมเทอร์ควอยต์ของที่นี่อุดมด้วยแร่ธาตุมากมาย ได้อาบแช่แล้วสบาย ผ่อนคลายกายใจ ช่วยให้สุขภาพดีkuroyu kuroyu1 kyukamura4 magoroku1 taenoyu4 15 Tsurunoyu onsen 4 16 Hanabi 14.  เทศกาลดอกไม้ไฟ ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น (Omagari Firework Festival) ช่วงเสาร์สุดท้ายของเดือนสิงหาคมทุกปี ที่ เมืองโอมาการิ (Omagari City) ในจังหวัดอะคิตะ จะมีการจัดงานเทศกาลดอกไม้ไฟที่ยิ่งใหญ่อลังการที่สุดในญี่ปุ่น เพราะดินแดนโทโฮขุแถบนี้เป็นแหล่งผลิตดอกไม้ไฟอันมีชื่อเสียงมาแต่โบราณ งานนี้คนญี่ปุ่นเรียกว่า Hanabi Taikai เป็นช่วงซึ่งที่พักหายากมาก อาจต้องจองข้ามปีกันเลยทีเดียว

งานนี้เราจะได้ตื่นตาตื่นใจกับการแข่งขันจุดพลุและดอกไม้ไฟ จากสุดยอดช่างทำพลุของญี่ปุ่น ที่มาโชว์ฝีมือแข่งกันอย่างเต็มที่
17 Hanabi 2 18 Hanabi 3 19 Hanabi 4 20 Samurai Village 15. หมู่บ้านซามูไร คาคุโนดาเตะ (Kakunodate Samurai Village) ใน เมืองเซนโบขุ (Senboku) เป็นย่านซามูไรอันเก่าแก่ของญี่ปุ่นที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี ทำให้เราสัมผัสได้ถึงก้าวย่างสู่อดีตของญี่ปุ่นก่อนยุคเมจิ (ญี่ปุ่นสมัยใหม่) มีซามูไรกว่า 80 ตระกูล อาศัยทำการค้าขายอยู่ในแถบนี้ จึงมีเรื่องราวประวัติศาสตร์ให้เรียนรู้ ปัจจุบันมีบ้านซามูไร 6-8 หลัง เปิดให้เข้าชมทั้งภายนอกภายใน แถมยังมีร้านให้เช่าชุดกิโมโนและชุดซามูไร ใส่เดินเที่ยวถ่ายรูปได้ตลอดวัน สลับกับการนั่งพักดื่มชา หรือชิมอาหารอร่อยๆ ในย่านนี้ Happy จริงๆ เนอะ

หมู่บ้านซามูไรแห่งคาคุโนดาเตะ แบ่งเป็น 2 โซนใหญ่ๆ คือ โซนหมู่บ้านซามูไร (Samurai District) และโซนค้าขาย (Merchant District) สร้างมาตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1620 ใครที่โหยหาอดีตย้อนยุค มาเที่ยวที่นี่ไม่ผิดหวังแน่นอน โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ผลิ ดอกซากุระสีชมพูสองข้างถนนจะพร้อมใจกันเบ่งบานอลังการสุดๆ เลยล่ะ
21 Samurai Village 2 22 Samurai Village 3 23 Samurai Village 4 24 Samurai Village 5 25 Kanto Festival 16. เทศกาลโคมไฟ (Akita Kanto Festival) ถือเป็นเทศกาลโคมไฟที่ยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุดในญี่ปุ่น จัดกันที่จังหวัดอะคิตะในเมือง Akita City เป็นประจำทุกปีช่วงวันที่ 3-6 สิงหาคม โดยงานนี้ถือเป็น 1 ใน 6 เทศกาลใหญ่สุดของภูมิภาคโทโฮขุ จัดขึ้นเพื่อให้เกิดโชคดีสำหรับฤดูเก็บเกี่ยว โคมไฟแต่ละอันจะผูกติดอยู่กับก้านไม้ไผ่ยาวตั้งแต่ 2-6 เมตร! กวัดแกว่งไปมาอย่างพลิ้วไหวประดุจรวงข้าวต้องลม ผู้ถือโคมไฟจึงต้องมีทักษะความชำนาญในการ Balance หรือถืออย่างไรให้สมดุล โคมไฟไม่ตกลงมาซะก่อน
26 Kanto Festival 2 27 Kanto Festival 3 28 Kanto Festival 4 29 Namahake 17. อะคิตะ ดินแดนต้นกำเนิดนามาฮาเกะ (Namahake) เทพเจ้าหรือปีศาจแห่งขุนเขา ที่ออกมาหาผู้คนในช่วงปีใหม่ของญี่ปุ่น เพื่อคอยย้ำเตือนให้ผู้คนทำดี และในวันสิ้นปีนามาฮาเกะจะไปตามบ้านเพื่อหาเด็กขี้เกียจ! เอกลักษณ์ของตัวนามาฮาเกะนั้น จะสวมหน้ากากออกแนวน่ากลัว ห่มคลุมด้วยชุดฟางข้าว มือถือมีดอีโต้ขนาดใหญ่ นามาฮาเกะถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของจังหวัดอะคิตะ พบเห็นได้ทั่วไปทั้งในแบบรูปปั้น ภาพวาด ของที่ระลึก หรือแม้แต่ขนมกินเล่น นอกจากนี้ที่ เมืองโอกะ (Oga) ยังมีพิพิธภัณฑ์นามาฮาเกะ และศาลเจ้าต้นกำเนิดนามาฮาเกะ ให้ไปเที่ยวชมอีกด้วย

ทุกปีช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ จะมี งานเทศกาลนามาฮาเกะ เซนโด เป็นขบวนแห่นามาฮาเกะลงมาจากเขาหิมะอันน่าตื่นตาตื่นใจ (ปี 2017 งาน Namahake Sedo Festival จัดวันที่ 10-12 กุมภาพันธ์ ที่ศาลเจ้านามาฮาเกะ)30 Namahake 2 31 Namahake 3 32 Namahake 4 33 Sakura DIY 18. สนุกกับกิจกรรม นำเปลือกไม้ซากุระอันมีลวดลายสวยงาม มาประดิษฐ์ประดอยเป็นของที่ระลึกเก๋ไก๋น่ารัก (Sakura Bark Handmade Souvenir DIY) เป็นการนำเปลือกไม้จากต้นยามะซากุระ ซึ่งเติบโตอยู่บนภูเขาสูงและหายาก มาประดิษฐ์เป็นรูปทรงหรือตัวอักษรติดลงบนแผ่นไม้ จากนั้นรีดด้วยเหล็กร้อนจนเกิดกาวธรรมชาติ ผนึกเปลือกซากุระจนติดแน่น เก็บไว้ดูเป็นที่ระลึกเก๋ไก๋ ไปสนุกกันได้ที่ เมืองคาคุโนดาเตะ (Kakunodate) จ้า

ทั้งนี้งานศิลปะจากเปลือกไม้ซากุระ ถือเป็นหนึ่งในงานหัตศิลป์ที่คิดค้นขึ้นโดยเหล่าซามูไรในสมัยโบราณ เห็นไหมล่ะว่า ไม่ใช่แต่เก่งฟันดาบอย่างเดียวนะ ซามูไรยังต้องทำงานฝีมือ หรือแต่งกลอนเป็นด้วยล่ะ อย่างเมื่อมีเวลาว่า ซามูไรจะทำกล่องใส่ของไว้ใช้เอง เช่น กล่องอาหารเบนโตะ เป็นต้น
34 Sakura DIY 2 35 Sakura DIY 3 36 Sakura DIY 4 37 Soba Akita 19. อะคิตะ แหล่งผลิตเส้นโซบะสดและเส้นอูด้งแสนอร่อยของญี่ปุ่น (Yummy Soba & Udon) อะคิตะเป็นแหล่งผลิตเส้นโซบะและเส้นอูด้งที่ดีที่สุด 1 ใน 3 แห่งของญี่ปุ่น เนื้อเส้นเหนียวนุ่ม ละมุนลิ้น กินกับน้ำซุปร้อนๆ ช่วยให้ร่างกายอุ่นขึ้นท่ามกลางอากาศหนาวเย็น หาชิมได้ทั่วไปในร้านอาหารทั้งเล็กใหญ่จ้า38 Soba Akita 2 39 Sake Akita 110. อะคิตะ แหล่งผลิตเครื่องดื่มสาเกคุณภาพเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น (Unique Sake of Japan) ผลิตโดยใช้ข้าวพันธุ์ท้องถิ่น นำมาบ่มหมักด้วยกรรมวิธีแบบโบราณ และด้วยความที่อากาศแถบนี้หนาวเย็นยาวนาน ทำให้ยีสที่ใช้ในการผลิตสาเก บ่มหมักไปอย่างช้าๆ เครื่องดื่มสาเกที่ได้จึงมีรสไม่ขม ทว่านุ่มลื่น ออกหวานนิดๆ นับเป็นรสชาติเฉพาะตัวของสาเกอะคิตะเลยทีเดียว โรงงานเครื่องดื่มสาเกหลายแห่งเปิดให้เข้าชมด้วย นับเป็นการเปิดประสบการณ์ที่หาได้ยาก
40 Sake Akita 2 41 Sake Akita 3 42 Sake Akita 4More info Contact : ปารี เทรเวล www.pareetravel.com และ Facebook.com/pareetravel

ล่องเรือดูนก เกาะ Langkawi Malaysia

_kbi5433 _kbi5446 _kbi5493อัญมณีแห่งรัฐเคดาห์ (The Jewel of Kedah) คือฉายาที่ใครๆ ยกย่องให้ เกาะลังกาวี (Langkawi) ในมาเลเซีย เกาะเพื่อนบ้านไม่ใกล้ไม่ไกลจากน่านน้ำอันดามันของไทยในจังหวัดสตูล ลังกาวีนี้เป็นหมู่เกาะใหญ่ รวมแล้วกว่า 99 เกาะ รวมเนื้อที่ถึง 477 ตารางกิโลเมตร ปกคลุมด้วยป่าดิบชื้นและป่าชายเลนอุดมสมบูรณ์มาก _kbi5510ที่นี่คือแหล่งอาศัยของปักษากว่า 220 ชนิด โดยจะมีนกอพยพฤดูหนาวบินมาสมทบอีก 50 ชนิดทุกปี ช่วยเพิ่มมีชีวิตชีวา และกิจกรรมดูนกบนเกาะลังกาวีให้คึกคักตลอด ความง่ายของการสัมผัสธรรมชาติที่นี่คือ เราสามารถลงเรือยนต์ขนาดเล็กล่องไปตามป่าชายเลนร่มครึ้มเขียวขจี ค่อยๆ ซุ่มไปอย่างเงียบเชียบช้าๆ ใช้กล้องส่องทางไกลสังเกตการณ์ เฝ้าดูพฤติกรรมความน่ารักของนกป่าและนกชายเลนนานาชนิด เพื่อช่วยให้เราเกิดความรัก ความเข้าใจ และความหวงแหนในนิเวศน์ธรรมชาติอันแสนเปราะบางของโลกใบนี้ _lak0735 _lak1052 _lak1482 _lak9242 _kbi5486 _lak9247 _lak9391 _lak9433ระหว่างล่องเรือดูนกในป่าชายเลน เมื่อน้ำลด จะเห็นเหล่าปลาตีนโผล่จากรูออกมาคืบคลานหากิน_lak9459

ในป่าชายเลนเต็มไปด้วยความดิบเถื่อนของธรรมชาติ อย่างปูกับงูคู่นี้_lak9722 _lak9793 _lak9795 _lak9864เทือกเขาหินปูนรูปทรงแปลกตา ที่เกาะลังกาวี_lak9917พายเรือคายัคล่องสัมผัสธรรมชาติป่าชายเลน เกาะลังกาวี_lak9922 %e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b8%98%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%94%e0%b8%b2นกกระเต็นน้อยธรรมดา%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b9%88%e0%b8%98%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%94%e0%b8%b2นกกระเต็นใหญ่ธรรมดา
%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b9%88%e0%b8%9b%e0%b8%b5%e0%b8%81%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%95นอกจากเหยี่ยวแดง (Brahminy Kite) ที่ถือเป็นนกรับแขก และสัญลักษณ์ของเกาะลังกาวีแล้ว นกหายากสุด และในมาเลเซียพบได้เฉพาะที่เกาะลังกาวีเท่านั้น คือ นกกระเต็นใหญ่ปีกสีน้ำตาล (Brown-winged Kingfisher) ซึ่งอาศัยอยู่ตามริมน้ำในป่าชายเลน คอยดักจับปลาเล็กกินเป็นอาหาร %e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b9%81%e0%b8%81%e0%b9%87%e0%b8%81

นกแก็ก หรือ Oriental Pied Hornbill (ชนิดย่อย นกแก็กใต้)%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%88%e0%b8%b2%e0%b8%9a%e0%b8%84%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b8%9f%e0%b9%89%e0%b8%b2นกจาบคาหางสีฟ้า
%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%97%e0%b8%99%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b9%88นกยางโทนใหญ่%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%ab%e0%b8%b1%e0%b8%a7%e0%b8%82%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%adนกหัวขวานสี่นิ้วหลังทอง%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b8%9b%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94-%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%b5

เหยี่ยวแดง นกรับแขกของเกาะลังกาวี%e0%b8%a5%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b9%81%e0%b8%aa%e0%b8%a1

Getting There

– เครื่องบิน โดยสายการบิน Malaysia Airlines (www.malaysiaairlines.com) เส้นทางกรุงเทพฯ-กัวลาลัมเปอร์-ลังกาวี มีออกจากกรุงเทพฯ วันละ 3 เที่ยว เวลา 06.00, 11.05, 14.15 น.

– เรือ ลงเรือเฟร์รี่ได้ที่ท่าเรือตำมะลัง จังหวัดสตูล วิ่งตรงสู่เกาะลังกาวี ใช้เวลา 45 นาที ติดต่อ บริษัท Satun Inter Ferry โทร. 0-7421-0662, 08-6284-5552 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Tourism Malaysia สำนักงานกรุงเทพฯ โทร. 0-2636-3380 www.tourism.gov.my/th-th/th/

– ล่องเรือหรือเดินป่าดูนกที่ลังกาวี ติดต่อผู้เชี่ยวชาญ http://junglewalla.com