10 ที่เที่ยวฟรุ้งฟริ้ง รับลมหนาว
1. ทุ่งทานตะวันบานรับลมหนาว จังหวัดลพบุรี-สระบุรี เห็นแล้วสดชื่นเมื่อยืนอยู่ท่ามกลางผืนพรมสีเหลืองของดอกไม้นับล้าน เบ่งบานช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม เที่ยวง่ายเพราะรถถึง ไม่ต้องลำบากเดินป่าให้เมื่อยตุ้ม
2. ภูกระดึง จังหวัดเลย งามราวสวรรค์สรรค์สร้างเมื่อมีใบเมเปิลแดงผลัดใบรับลมหนาว เคียงคู่สายน้ำตกงามในป่าปิดอันแสนบริสุทธิ์ หลีกเร้นจากสายตาผู้คน
3. ป่าซากุระขุนวาง ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ สวยหวานซึ้งตลอดฤดูหนาว ราวกับว่าอยู่ในญี่ปุ่น เผยความงามสุดๆ ช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศหนาวสุดๆ ถึงขนาดเลขตัวเดียวเช่นกัน!
4. ทะเลหมอกห้วยน้ำดัง จังหวัดเชียงใหม่ คือหนึ่งในสุดยอดทะเลหมอกเมืองไทย มองไปเห็นดอยเชียงดาวยืนทะลุทะเลเมฆขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ คล้ายภาพฝันที่เป็นจริงบนโลกมนุษย์
5. ทะเลบัวแดง หนองหานกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เบ่งบานช่วงปลายฤดูหนาว ราวเดือนกุมภาพันธ์ เหมาะจะไปทำซึ้ง หรือแต่งานวิวาห์ล้านบัวในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ หรือจะล่องเรือออกไปดูนกอพยพฤดูหนาวก็ได้
6. ทะเลหมอกม่อนกระทิง อุทยานแห่งชาติแม่เมย จังหวัดตาก อาบอิ่มสายหมอกขาวอันฉ่ำเย็น ในผืนป่าตะวันตกติดชายแดนเมียนมาร์
7. ซากุระบานบนดอยอ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่ อาณาจักรแห่งพรรณไม้เมืองหนาวที่มนุษย์สรรค์สร้าง ไปเยือนยลครั้งใดจะรู้สึกหลงรักจนหมดใจทุกครั้ง
8. ดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ สุดยอดอาณาจักรพรรณไม้อัลไพน์เมืองไทย หนาวเย็น เป็นเขาหินปูนที่อุดมด้วยพืชพรรณและสัตว์เฉพาะถิ่นนับร้อยชนิด เที่ยวได้วิธีเดียวคือต้องเดินป่าปีนเขา อารมณ์ Outdoor Adventure สุดมัน
9. ภูลมโล จังหวัดเลย อลังการป่าซากุระ 100,000 ต้น บานท้าลมหนาว เขตต่อเนื่องอุทยานแห่งชาติภูหินร่อง เพชรบูรณ์-เลย งามพิสุทธิ์เกินกว่าจะบรรยายได้ด้วยคำพูด
10. ทุ่งบัวตอง เหมืองแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ความงามหวานซึ้งของผืนพรมดอกไม้สีเหลืองสดใสเป็นล้าน บ้านสะพรั่งรับลมหนาว เคียงคู่ทิวเขาโอบล้อมดั่งปราการธรรมชาติ เก็บภาพประทับใจได้สวย ไว้บอกเล่ากันอีกนานแสนนาน
10. ทุ่งบัวตอง เหมืองแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ความงามหวานซึ้งของผืนพรมดอกไม้สีเหลืองสดใสเป็นล้าน บ้านสะพรั่งรับลมหนาว เคียงคู่ทิวเขาโอบล้อมดั่งปราการธรรมชาติ เก็บภาพประทับใจได้สวย ไว้บอกเล่ากันอีกนานแสนนาน
10 ที่เที่ยวฟรุ้งฟริ้ง ♥ รับลมหนาว 2
http://www.gotravelphoto.com/2014/11/24/10-ที่เที่ยวฟรุ้งฟริ้ง-รั-2/
Amazing Island แดนธรรมชาติมหัศจรรย์ เกาะคอเขา จ.พังงา
“โอ่โอ ปักษ์ใต้บ้านเรา มีน้ำภูเขา ทะเลกว้างไกล จะไปไหน ปักษ์ใต้บ้านเรา…” บทเพลงไพเราะแสนอมตะของวงดนตรี Hammer นี้ ยังคงก้องอยู่ในใจผมเสมอ ฟังทีไรทำให้นึกถึงภาพภูเขา ป่าไม้ และหาดทรายชายทะเล เกาะแก่งน้อยใหญ่ของภาคใต้ขึ้นมาทุกที และทริปนี้ก็เหมือนเคย เพราะผมได้มายืนอยู่บนหาดทรายสีทองเนื้อละเอียดยิบของ “เกาะคอเขา” อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา แล้วนะสิครับ
เกาะคอเขาเป็นเกาะขนาดใหญ่ แต่ยังคงความเป็นธรรมชาติอย่างสมบูรณ์แบบ เงียบสงบ เหมาะจะพาตัวและหัวใจมาพักผ่อนฟังเสียงกระซิบจากธรรมชาติ และเกลียวคลื่นอย่างแท้จริง เกาะนี้มีความยาวจากเหนือจรดใต้ถึง 28 กิโลเมตร มีถนนหนทางอย่างดีให้รถวิ่งได้ การท่องเที่ยวจึงสะดวกโยธินซะจริงๆ
ความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของเกาะคอเขาก็คือ ในบางหาดจะมีปูเสฉวนนับพันๆ ตัว (โดยเฉพาะเวลากลางคืน) ขึ้นมาเดินต้วมเตี้ยมตามหาดทราย น่ารักน่าชังมาก มีทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ หลากสี บ่งบอกถึงธรรมชาติที่ยังบริสุทธิ์ ไม่ถูกรบกวนโดยนักท่องเที่ยวมากนัก
เจ้าตัวนี้เป็นพี่ใหญ่ ตัว BIG มาก เลยต้องหาเปลือกหอยอันใหญ่มาเป็นบ้าน เชื่อหรือไม่ว่าพวกมันเปลี่ยนเปลือกหอยกันอยู่เสมอ คงเพราะตัวมันโตขึ้น เลยต้องหาเสื้อผ้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้นไปด้วยไงล่ะ
จากท่าเรือบ้านน้ำเค็ม ลงเรือเล็กข้ามฝั่งไปเกาะคอเขา ใช้เวลาแค่ 5 นาทีเอง
เกาะคอเขาเป็นสวรรค์ของคนรักธรรมชาติ ชอบดูนก ดูดาว เล่นน้ำทะเล และชอบศึกษานิเวศน์ธรรมชาติกับพรรณพืชแปลกๆ ใจกลางเกาะมีสภาพเป็นป่าพรุ (Peat Swamp Forest) คล้ายบนเกาะพระทอง ดินเป็นดินปนทรายสีขาว มีความเค็มสูง ในที่ลุ่มจะกลายเป็นห้วยหนองคลองบึงตื้นๆ กระจายกันอยู่ โดยมีต้นเสม็ดขาวและทุ่งหญ้างอกงามอยู่สลับกัน ส่วนชายน้ำก็จะมีไม้พุ่มและเฟินต่างๆ เพียบ แต่ที่เจ๋งมากคือในน้ำมีบัวบา เป็นบัวสีขาวดอกจิ๋วเดียวให้ชมกันด้วย ส่วนนักดูนกต้องชอบ เพราะเกาะคอเขามีนกมากถึง 300 ชนิด!
ดูดูไป เกาะคอเขาของเราก็คล้ายป่าอะเมซอนเมืองไทยเหมือนกันนะ ฮาฮาฮา
บริเวณชายน้ำมักมีพืชกินแมลงงอกงามอยู่ดาษดื่น โดยเฉพาะหม้อข้าวหม้อแกงลิง ชนิดหม้อใหญ่บ้าง เล็กบ้าง พวกมันเป็นพืชกินแมลงที่สามารถปรับตัวอยู่ในสภาพนิเวศน์แห้งแล้งขาดแคลนอาหารนี้ได้ โดยพัฒนาให้มีส่วนกระเปาะ (หม้อ) งอกยาวออกไปจากปลายใบ เพื่อใช้ดักจับแมลงมาย่อยกินเป็นอาหารอย่างน่าอัศจรรย์
ในกระเปาะของหม้อข้าวหม้อแกงลิง (บางคนเรียกว่า น้ำเต้าฤาษี) จะมีเมือกลื่นๆ ให้แมลงลื่นตกลงไปในน้ำย่อยด้านล่าง เป็นกับดักธรรมชาติที่ได้ผลมานับล้านปีแล้ว!
ชนิดนี้เป็นหม้อข้าวหม้อแกงลิงจิ๋ว งอกอยู่กับพื้นดินทราย สูงไม่ถึง 3 นิ้ว และมีสีแดงต่างจากหม้อขาวหม้อแกงลิงสีเขียวขนาดใหญ่ที่ห้อยอยู่ตามต้นไม้ ในภาพจะเห็นดอกกระดุมเงินจุ๋มจิ๋มน่ารักอยู่เคียงคู่กันด้วย
หยาดน้ำค้าง เป็นพืชกินแมลงจิ๋วอีกชนิดหนึ่ง ที่พบอยู่ทั่วไปบนพื้นดินใกล้ชายน้ำ ตุ่มน้ำขาวๆ ที่เห็นอยู่ตามปลายขนสีแดง แท้จริงเป็นเมือกเหนียวที่ใช้ดักแมลงต่างหากล่ะ!
ใกล้ชายน้ำเป็นสังคมพืชที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะมีเฟินโบราณอายุเป็นล้านปีพวก สามร้อยยอด หรือไลโคโพเดียม งอกงามอยู่ดาษดื่น
ดอกไม้ในวงศ์ถั่วสีม่วงน่ารัก เบ่งบานอยู่ริมถนน เราเลยจอดรถลงไปเก็บภาพมาฝากเพื่อนๆ
ดอกบัวบา ถือเป็นดอกบัวชนิดที่เล็กที่สุดของไทย พบเห็นได้ทั่วไปตามแอ่งน้ำธรรมชาติบนเกาะคอเขาครับ
ทุ่งดอกหญ้าสีทองบนเกาะคอเขา พัดพลิ้วไปตามกระแสลมอย่างน่ารักมาก
นอกจากเรื่องธรรมชาติแล้ว บนเกาะคอเขายังมี “เมืองโบราณบ้านทุ่งตึก” ซึ่งคาดว่าน่าจะเก่าแก่นับพันปี มีการค้นพบซากเมืองโบราณ หมู่บ้าน บ่อน้ำ ซากเจดีย์เก่า ซากประภาคาร ซากเครื่องเคลือบจีน และเศษลูกปัดจำนวนมาก ซึ่งมีการมาสำรวจตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 ในภาพเป็นหินที่ใช้รองฐานอาคาร มีหลุมสี่เหลี่ยมตรงกลางใช้ปักไม้ลงไป พบอยู่ทั่วไปในเขตเมืองโบราณทุ่งตึก
เศษกระเบื้องดินเผา และเคลื่องเคลือบจีน ที่ขุดพบ
ซากกระเบื้องดินขอโบราณ ซึ่งชาวทุ่งตึกเคยใช้มุงหลังคา
ซากฐานพระเจดีย์โบราณ หรือเป็นส่วนของฐานประภาคาร ก็ยังไม่แน่ เพราะเลยไปนิดเดียวเป็นทะเลแล้ว คาดว่าสมัยก่อนเรือสำเภาจะเข้ามาเทียบท่าใกล้ๆ ตรงนี้เลย
เที่ยวชมเมืองโบราณกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ตระเวนซึมซับบรรยากาศชายทะเลเงียบสงบใต้ทิวสนกันต่อ
บนเกาะคอเขามีควายอยู่เยอะมาก แต่ชาวบ้านที่นี่เขาเลี้ยงแบบปล่อย เรียกกันว่า ควายทุ่ง หรือควายปละ โดยปล่อยให้มันเดินหากินเองตอนกลางวัน และก็น่าแปลก เพราะตกเย็นมันจำทางได้ เดินกลับมาเข้าคอกเองซะงั้น ถ้าโชคดีไปเที่ยวในวันที่แดดจ้า ฟ้าใส ควายมันร้อน ช่วงเย็นๆ ไปดักซุ่มดู จะเห็นฝูงควายลงอาบน้ำทะเลกันด้วยล่ะ! Amazing มากๆ
อีกหนึ่งความ Amazing ของเกาะคอเขาก็คือ เราจะได้ชมปูเสฉวนนับพันตัว ปีนต้นไม้!
ก่อนปีนต้นไม้ บางตัวจะหาเปลือกหอยเปลี่ยน เหมือนเปลี่ยนบ้านเพื่อไม่ให้คับกับตัวที่โตขึ้น จะได้อยู่สบายขึ้น เจ้าของรีสอร์ทชายทะเลบางแห่งเลยหาเปลือกหอยเปล่าๆ ไปวางเรียงไว้ให้ปูเสฉวนมาเลือกเปลี่ยน ยังกับเป็น Super Market เปลือกหอยยังไงยังงั้นเลย ฮาฮาฮา
เจ้าตัวนี้คงมีความสุขมาก กับเปลือกหอยใหม่ที่ได้ เลยปีนต้นสนเล่นซะงั้น
ส่วนเจ้าตัวนี้ตัวเล็ก เลยหาเปลือกหอยสีดำรูปกรวยอันเล็กๆ ให้เหมาะกับขนาดตัวมันเอง ถ้าเราเรียนรู้จากธรรมชาติ ก็จะเข้าใจสมดุลย์ และความพอดีที่ธรรมชาติดำเนินไป และทั้งหมดนี้คือบางส่วนเสี้ยวของความงาม และความมหัศจรรย์บนเกาะคอเขา จังหวัดพังงา ครับผม
Special Thanks : ททท. ศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยวจังหวัดพังงา (โทร. 0-7648-1900-2) และ คุณนครพจน์ ปิ่นมิ่ง ททท. ฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ (โครงการต้นกล้าตากล้อง ท่องเที่ยวไทย) สนับสนุนการเดินทางทำสารคดีเรื่องนี้
Traveler’s Guide
Best season : ท่องเที่ยวได้ตลอดปี แต่ช่วงฟ้าใส คลื่นลมสงบสุด ต้องช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน
How to go : ข้ามไปเที่ยวเกาะคอเขา ต้องไปลงเรือหรือแพขนานยนต์ที่บ้านน้ำเค็ม ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า มี 2 เส้นทาง คือ เส้นทาง ภูเก็ต–ตะกั่วป่า โดยใช่ถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) ผ่าน ตำบลโคกกลอย–ตำบลท้ายเหมือง-ตำบลทุ่งมะพร้าว-บ้านทับละมุ–เขาหลัก ลงไปผ่านตลาดบางม่วง แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปในหมู่บ้านน้ำเค็ม ถ้าหากต้องการเดินทางผ่านตัวเมืองพังงา และอำเภอกะปง ก็ให้มุ่งหน้าไปทางอำเภอตะกั่วป่า ผ่านตลาดย่านยาว และที่ว่าการอำเภอ แล้วเลี้ยวขวาเข้าไปที่หมู่บ้านน้ำเค็มติดกับอาคารสำนักงานตำรวจทางหลวงอำเภอตะกั่วป่า เมื่อเลี้ยวเข้าสู่เส้นทางบ้านน้ำเค็ม ก็ตรงไปจนพบทางแยก เลี้ยวขวาเข้าไปยังท่าเทียบเรือบ้านน้ำเค็มตามป้าย ถ้าเอารถยนต์ลงแพขนานยนต์ คันละ 150 บาท มอเตอร์ไซค์ คันละ 20 บาท และค่าเรือข้ามฟาก คนละ 10 บาท เท่านั้นเอง
Where to stay : แนะนำ C&N Kho Khao Beach Resort เลขที่ 89 หมู่ 3 เกาะคอเขา อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา โทร. 08-6470-4789, 08-1797-0827 www.cnkhokhaobeachresort.com
More info : สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ อบต.เกาะคอเขา โทร.0-7641-7017 / ศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยวจังหวัดพังงา โทร. 0-7648-1900-2
Life @เมืองเก่าตะกั่วป่า จ.พังงา
ในขณะที่โลกกำลังหมุนไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ใครบางคนกำลังถูกความรีบเร่งและสังคมเมืองกลืนกินวิถีชีวิตอันแสนสงบเรียบง่าย ให้หายไปอย่างไม่มีวันกลับ เราได้มาพบกับเมืองน้อยน่ารักนามว่า “เมืองเก่าตะกั่วป่า” แห่งจังหวัดพังงา เมืองเก่าอายุเกิน 100 ปี ที่เติบโตขึ้นในยุคเดียวกับภูเก็ต ด้วยธุรกิจทำเหมืองแร่ดีบุก
อาก๋งท่านนี้ เคยเป็นช่างตีเหล็กที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของเมืองตะกั่วป่า นั่งเรืออพยพมาจากเมืองจีนแท้ๆ ตั้งแต่วัยหนุ่ม ทว่าหลังจากธุรกิจเมืองแร่ดีบุกยุติลง และร่างกายก็ล่วงเข้าวัยชรา ทุกวันนี้อาก๋งจึงไม่ได้ตีเหล็กอีกแล้ว อาชีพนี้ก็สูญหายไปจากตะกั่วป่าอย่างไม่มีวันกลับ เหลือเพียงคำบอกเล่าจากปากของท่าน
เมืองเก่าตะกั่วป่า มีชื่อเดิมว่า “ตะโกลา” เป็นเมืองโบราณที่มีความสำคัญยิ่งของภาคใต้ ทำหน้าที่เป็นเมืองท่ามาตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 500 ค้าขายกับอินเดีย อาหรับ จีน และชาติต่างๆ ที่ล่องเรือนำสินค้ามาขึ้นยังฝั่งทะเลอันดามัน จากตะโกลาปัจจุบันชื่อเพี้ยนเปลี่ยนเสียงมาเป็น “ตะกั่วป่า” เมืองน่ารัก Slow Town ที่เราหลงรัก
อดีตที่ผันผ่าน ยังคงตราตรึงอยู่ในควาทรงจำของผู้คนที่นี่ คนที่เกิด เติบโต และไม่เคยจากเมืองเก่าตะกั่วป่าไปไหนไกล
ทุกซอกมุมคืออดีตที่บรรจุเรื่องราวไว้นับไม่ถ้วน อิฐเก่าบอกเล่าอดีตอย่างเงียบเชียบ รอคนที่เปิดใจมาสัมผัสรับฟัง
สำหรับคนที่โหยหาอดีต ประตูหน้าต่างเก่าหน้าบ้านที่เห็น มิได้เป็นเพียงสถาปัตยกรรมอายุร้อยปี ทว่าเป็นประตูสู่วิถีชีวิตผู้คนแดนใต้ฝั่งอันดามัน ที่พร้อมบอกเล่าเรื่องราวไม่รู้จบ
แม้สังขารจะถูกกาลเวลาพาให้ร่วงโรย แต่รอยยิ้มของอาก๋งนักตีเหล็กก็ยังเปื้อนหน้าทุกครั้ง ที่แหงนหน้าขึ้นดูรูปถ่ายขาวดำเก่าๆ ทั้งของตัวเอง เมีย ลูกๆ และหลานๆ วันวานยังหวานอยู่จริงๆ นะ
ทำอาชีพที่ตนเองรัก มีความสุข อยู่อย่างพอเพียง คือปรัชญาชีวิตของคุณป้าท่านนี้ แม้ไม่ได้เกิดที่เมืองเก่าตะกั่วป่า แต่เมื่อได้มาใช้ชีวิตอยู่จริงๆ ก็หลงรัก และไม่อยากจากไปไหน
ซื่อสัตย์กับอาชีพที่ตัวเองรัก นั่งปักผ้า เย็บผ้าทุกวัน ตามออร์เดอร์ลูกค้า ค่อยๆ ทำตามที่มีแรง ไม่เร่งไม่ร้อน
เดินเล่นไปในเมืองเก่าตะกั่วป่า พบเห็นเส้นสายลายศิลป์บนผืนผ้านุ่งผ้าโสร่ง ที่มีแหล่งผลิตจากทั้งในเมืองไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ช่างงดงามน่ามอง เป็นเอกลักษณ์ เหมาะจะซื้อไปฝากคนที่รู้คุณค่าและได้สวมใส่ใช้งานจริง
ตัดผ้ามาตั้งแต่หนุ่มๆ โดยไม่เคยจากเมืองเก่าตะกั่วป่าไปไหน เทิดทูนในหลวงไว้เหนือเกล้า ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ศิลปะแห่งแสงสี ฉาบทาอยู่ในทุกอณูเนื้อของอาคารเก่า ผนังกำแพงที่ใครหลายคนมองว่าไร้ค่า แต่สำหรับเรานี่คือพิพิธภัณฑ์ศิลปะอันมีชีวิต Living Museum / Art Museum ของแท้แน่นอน
แม้จะเป็นเพียงมุมเล็กๆ ที่เก่าคร่ำคร่า ทว่าก็เปรียบเสมือน Installation Art เป็นศิลปะการจัดวางอย่างไม่ตั้งใจ แต่ก็งามเกินบรรยาย
เมืองเก่าตะกั่วป่า มีศาลเจ้าจีนอยู่หลายแห่ง และจัดงานเทศกาลใหญ่ๆ รวมถึงงานถือศีลกินผักพร้อมๆ กับภูเก็ตด้วยเหมือนกัน
ภาพขรึมขลังของบรรพบุรุษชาวจีนรุ่นแรกๆ ที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ประกอบสัมมาอาชีพในเมืองเก่าตะกั่วป่า สืบทอดลูกหลานมาจนปัจจุบัน
บ้านคุณป้าที่เห็นด้านหลัง เคยเป็นโรงตีเหล็ก แต่เมื่อเหมืองแร่ดีบุกหมดไป อาชีพนี้ก็สาบสูญ คุณป้าบอกว่า “เมืองกำลังจะหมดลมหายใจ!” เป็นประโยคสั้นๆ ที่กินใจเราเหลือเกิน!
ร้านโกปี้ หรือร้านกาแฟแบบชาวใต้ เหมาะไปนั่งพักผ่อนสบายๆ ดูคนเมืองเก่าตะกั่วป่าเขาเปิดสภากาแฟ พูดคุยสรวนเสเฮฮากันในสยามเช้า
อาคารโบราณอายุเกิน 100 ปีในเมืองเก่าตะกั่วป่า สร้างขึ้นในยุคเดียวกับเมืองเก่าภูเก็ต ด้วยสถาปัตยกรรมแบบ ชิโน-ยุโรเปียน (Chino-European) หรือจะเรียกว่า ตึกแบบจีนปนยุโรป ก็ไม่ผิด เขาบอกว่าถ้าอาคารหลังใดสร้างต่อกัน ด้วยแบบเหมือนกันหลายคูหา แสดงว่าเป็นญาติหรือครอบครัวเดียวกัน แต่ถ้าอาคารใดสร้างคนละแบบ หรือมีการเว้นช่องว่างไว้ ก็แสดงว่าไม่ใช่ญาติกันนั่นเอง
Special Thanks : ททท. ศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยวจังหวัดพังงา (โทร. 0-7648-1900-2) และ คุณนครพจน์ ปิ่นมิ่ง ททท. ฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ (โครงการต้นกล้าตากล้อง ท่องเที่ยวไทย) สนับสนุนการเดินทางทำสารคดีเรื่องนี้
ลอยกระทงสายไหลประทีป ๑,๐๐๐ ดวง จังหวัดตาก
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานตาก จัดงานประเพณี “ลอยกระทงสายไหลประทีป ๑,๐๐๐ ดวง ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” เมื่อวันที่ ๑-๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ บริเวณริมสายธารลานกระทงสาย เชิงสะพานกรุงสมโภชน์รัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี
กระทงสายถือเป็นเอกลักษณ์และมรดกตกทอดทางภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สะท้อนถึงความเชื่อ ความเคารพและศรัทธาที่มีต่อสายน้ำ ถือเป็นประเพณีสำคัญที่ชาวจังหวัดตากภาคภูมิใจยิ่ง และจัดสืบต่อกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล
กระทงสาย ตัวกระทงทำจากกะลา ส่วนตัวไส้เทียนทำจากด้ายฟั่นเป็นรูปตีนกา การทำตีนกาเป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมาว่า แสงไฟจากตีนกาจะเป็นการบูชาแม่กาเผือกของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาถึงทุกวันนี้ การจุดไฟที่ด้ายและตีนกาถือเป็นความเชื่อของชาวบ้านที่ว่า แสงไฟจะสร้างความสว่างไสวให้กับชีวิตของตนเอง
คืนวันแรกของการจัดงานจะมีขบวนแห่กระทงของชาวบ้าน แต่ละคนจะแต่งกายประจำชุมชนและอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ขบวนแห่ประกอบด้วย กระทงขนาดใหญ่ เรียกว่า กระทงนำ พร้อมด้วยกระทงกะลา และกระทงปิดท้าย ซึ่งตกแต่งได้อย่างยิ่งใหญ่ วิจิตรงดงาม นอกจากนั้นยังมีการจัดประกวดทั้งกระทงนำ กระทงกะลา และกระทงปิดท้ายอีกด้วย
งานวันแรก (๑ พ.ย.) จะมีพิธีเปิดงานฯ และอัญเชิญกระทงพระราชทาน ๑๐ พระองค์ลงลอยเป็นปฐมฤกษ์และเป็นสิริมงคลในการจัดงาน จากนั้นจะมีการลอยกระทงสายโชว์จำนวน ๑,๐๐๐ ดวง
วันที่สองไปถึงวันสุดท้าย (๒-๖ พ.ย.) จะมีการทอดผ้าป่าน้ำ ณ เวทีกลางน้ำ ต่อจากนั้นก็จะเป็นแข่งขันลอยกระทงสายฯ วันละ ๒ ทีม
การแข่งขันจะประกอบด้วยการประกวดการแสดงบนเวที และการประกวดลอยกระทงสายไหลประทีป ๑,๐๐๐ ดวง ให้ทันตามเวลาที่กำหนด
ก่อนเริ่มลอยกระทงสายจะต้องลอยกระทงนำก่อนพร้อมๆ กับการแสดงบนเวทีที่เริ่มขึ้น จากนั้นเริ่มลอยกระทงสาย พอครบ ๑,๐๐๐ ดวง ก็จะทำการลอยกระทงปิดท้าย เป็นอันเสร็จสิ้นการแข่งขัน และในวันสุดท้ายจะมีการประกาศผล ทีมที่ชนะเลิศจะได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานฯ ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช โปรดเกล้าฯ พระราชทานถ้วยรางวัลสำหรับทีมชนะเลิศในการประกวดกระทงสาย ตั้งแต่ปี ๒๕๔๐ มาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากชาวจังหวัดตากและนักท่องเที่ยวจะได้ชมการแข่งขันลอยกระทงสายและร่วมลอยกระทงเพื่อขอขมาและสักการะต่อพระแม่คงคาแล้ว ยังจะได้ช้อปชิมอาหารพื้นเมืองและเลือกซื้อสินค้าต่างๆ ที่มาออกร้านมากมายบริเวณสวนคนเดินการกระทงสาย มีทั้งสินค้า OTOP สินค้าพื้นเมือง และอาหารท้องถิ่นที่หาทานที่ไหนไม่ได้ ชมกระทงสายจำลองแกะสลักจากหินแกรนิต บริเวณถนนเลียบแม่น้ำปิง โดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัดตาก นายสมชัยฐ์ หทยะตันย์ติ ได้พัฒนาถนนเลียบแม่น้ำนี้ให้กลายเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สวยงาม สะอาดตา และสามรถรองรับนักท่องเที่ยวได้ทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ เด็ก คนท้อง และผู้พิการอีกด้วย
งานประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีป ๑,๐๐๐ ดวง ได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยถึง ๒ ครั้งในปี ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๖ ถือเป็ฯเครื่องเชิดชูเกียรติและเป็นที่ประจักษ์แก่สายตานักท่องเที่ยวทุกท่านที่เดินทางมายังจังหวัดตาก
ติดต่อสอบถามข้อมูลและเส้นทางท่องเที่ยวได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานตาก โทร. 0 5551 4341-3 อีเมล tattak@tat.or.th และ www.facebook.com/taktravel
ราตรีผ้าไหม สายใยข้าวหอมมะลิ 2557 จ.สุรินทร์
ผ้าไหม เป็นหนึ่งในหัตถกรรมสิ่งทอพื้นบ้านที่อยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน แพรพรรณนี้มีความโดดเด่น ต่างจากเนื้อผ้าชนิดอื่นอย่างเห็นได้ชัด เพราะผ้าไหมมีเนื้ออันอ่อนนุ่ม มันวาวสะท้อนแสง เลอค่าน่าสวมใส่ จึงเป็นที่นิยมใช้กันทั้งในระดับราชสำนักชั้นสูง กระทั่งถึงระดับขุนนาง ข้าราชการ พ่อค้าวาณิชย์ และประชาชนทั่วไป ผ้าไหมจึงเป็นแพรพรรณอันทรงคุณค่าที่สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทยได้ยอดเยี่ยม
แต่หากจะสืบสาวประวัติของผ้าไหมย้อนไปในอดีต ทำให้ทราบว่าผ้าไหมมีต้นกำเนิดขึ้นในอินเดีย และจีน จากนั้นจึงค่อยๆ แพร่เข้าสู่แผ่นดินสุวรรณภูมิผ่านทางการค้าขาย มีการค้นพบว่าตั้งแต่สมัยบ้านเชียง หรือประมาณ 3,000-5,000 ปีมาแล้ว ผู้คนบนผืนดินสุวรรณภูมิก็มีการใช้ผ้าไหมกันในชีวิตประจำวันแล้ว กระทั่งย่างเข้าสู่สมัยสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา ผ้าไหมก็ยิ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างกว้างขวาง มีการพัฒนาลวดลายและเทคนิคการทอให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น ตามการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมกับต่างชาตินั่นเอง กล่าวกันว่าผ้าไหมไทยมีวิวัฒนาการแบ่งเป็น 3 ยุค คือยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นช่วงรัชกาลที่ 1-3 (ซึ่งสยามยึดประเทศโดยรอบในแถบบอุษาคเนย์ไว้ได้เกือบทั้งหมด) ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และปัจจุบันเป็นยุคที่สาม ภายใต้พระบรมราชานุเคราะห์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชนินีนาถ ทรงจัดตั้งศูนย์ศิลปาชีพขึ้นเพื่ออนุรักษ์ผ้าไหมไทยมิให้สูญหาย สนับสนุนช่างทอให้มีงานทำมีรายได้ อีกทั้งยังเป็นการพัฒนารูปแบบลวดลายให้ร่วมสมัย น่าสวมใส่ จากไหมไทยบ้านๆ แบบเดิมๆ มาบัดนี้ก้าวไปสู่ต่างแดนได้อย่างสง่าผ่าเผย
ดินแดนอีสานตอนล่างของสยามในบริเวณจังหวัดสุรินทร์ เป็นถิ่นที่มีผู้คนอพยพข้ามแดนมาตั้งรกราก จากฝั่งประเทศกัมพูชาเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ช่วงสมัยรัชกาลที่ 1-3 พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้มาตัวเปล่า แต่นำความชำนิชำนาญการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้าไหมติดตัวมาด้วย ช่างทอฝีมือยอดเยี่ยมนับไม่ถ้วน ช่วยกันรังสรรค์ผืนผ้าล้ำค่าด้วยลวดลายวิจิตรพิสดารจนลือเลื่องไปทั่วแดน จนบัดนี้ นอกจากสุรินทร์จะเป็นถิ่นสุดยอดข้าวหอมมะลิไทยแล้ว ยังถือเป็นสุดยอดแห่งดินแดนผ้าไหมอีกด้วย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุรินทร์ ร่วมกับบัตรเครดิตกสิกรไทย จึงร่วมกันจัดงานกาล่าดินเนอร์สุดหรู “ราตรีผ้าไหม สายใยข้าวหอมมะลิ” เมื่อค่ำของวันที่ 12 กรกฎาคม 2557 ณ โรงแรมทองธารินทร์ อำเภอเมืองจังหวัดสุรินทร์ โดยมีแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก อาทิ นายสามพร มณีไมตรีจิต ผู้อำนวยการกองตลาดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, นายชูเกียรติ โพธิโต ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานสุรินทร์ และ อาจารย์วีรธรรม ตระกูลเงินไทย ผู้นำหมู่บ้านทอผ้าไหมยกทองจันทร์โสมา โดยท่านผู้นี้เป็นหนึ่งในกูรูผู้เชี่ยวชาญแนวหน้าเรื่องผ้าไหมไทย ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เพราะท่านเคยทำงานรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคบาทสมเด็จพระนางเจ้าฯ อย่างใกล้ชิดในเรื่องผ้าไหมของศูนย์ศิลปาชีพมาอย่างช้านานแล้ว
งานกาล่าดินเนอร์ ราตรีผ้าไหม สายใยข้าวหอมมะลิ เป็นการจัดงานเพื่อเชิดชูคุณค่าความสำคัญ ของผ้าไหมและข้าวหอมมะลิ อันเป็นสุดยอดสองผลผลิตท้องถิ่นของสุรินทร์ให้เป็นที่ประจักษ์อีกครั้งหนึ่ง ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ถือเป็นสินค้า OTOP ระดับพรีเมียม เพราะเติบโตขึ้นจากคุณค่าอุดมของดินภูเขาไฟ เป็นข้าวหอมมะลิที่อ่อนนุ่มน่าทาน กลิ่นหอม และมีวิตามินสูง ส่วนไหมสุรินทร์แบบดั้งเดิมของชาวเขมรนั้น นอกจากจะมีผ้าอัมปรมและหมี่โฮล ลักษณะเป็นผ้าไหมเนื้อบางนุ่มนิ่ม ทอเป็นลายตารางเล็กลายถี่ และใช้สีแดงสีส้มเป็นหลักแล้ว ปัจจุบันยังมีการพัฒนายกระดับขึ้นด้วยลวดลายโบราณ ยกดิ้นเงินดิ้นทอง ดังที่ปรากฏที่บ้านท่าสว่าง ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ ซึ่งส่วนใหญ่ทอผ้าเฉพาะที่สั่งพิเศษ เพื่อส่งเข้าไปใช้ในสำนักพระราชวัง งานกาล่าดินเนอร์คืนนี้จึงนำผ้าไหมบ้านท่าสว่างมาเป็นนางเอกกว่า 10 ชุด โดยใช้นางแบบนายแบบสุดสวยสุดหล่อ ซึ่งเป็นชุดเดียวกับที่เคยเดินแบบให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทอดพระเนตรมาแล้ว อาจารย์วีรธรรม ตระกูลเงินไทย แห่งบ้านท่าสว่าง จึงเข้ามาดูแลและให้ความรู้ด้วยตัวเอง
ก่อนโชว์ชุดผ้า มีการแสดงพื้นเมืองของสุรินทร์ให้ชมให้ฟังกันด้วย
วินาทีที่ทุกคนในงานรอคอยก็มาถึง เมื่อการโชว์นางแบบผ้าไหมไทยโบราณที่หาชมได้ยากยิ่งเริ่มขึ้น อาจารย์วีรธรรมค่อยๆ นำนางแบบพร้อมผู้ช่วยออกมาสาธิตวิธีการนุ่งห่มผ้าไหมไทย ตามอย่างแนวประเพณีโบราณให้เราได้ชมทีละขั้นทีละตอนอย่างละเอียด โดยอธิบายว่า แต่เดิมการนุ่งผ้าของชาวสยามเรียกว่า “การนุ่งห่ม” เนื่องจากในอดีตเรานิยมใช้ผ้าผืนที่ไม่มีการตัดเย็นเป็นชุด มาห่มคลุมร่างกายโดยตรง ท่อนบ่นใช้ผ้าห่มให้เข้ารูปแทนเสื้อ ส่วนท่อนล่างใช้ผ้าผืนนุ่งเป็นโจง (โจงกระเบน) ลักษณะเป็นผ้าสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว เนื้อผ้าและลวดลายต่างกันไปตามฐานะ บรรดาศักดิ์ และความชอบ ส่วนพระมหากษัตริย์และพระราชินีจะผ้าที่มีลวดลายเนื้อดีทอเป็นพิเศษ บางคนมองว่าการนุ่งห่มผ้าแบบไทยโบราณนั้นจะทำให้ใช้ชีวิตประจำวันไม่ค่อยสะดวก แต่จริงๆ แล้วไม่เป็นเช่นนั้น เพราะคนสยามมีวิธีนุ่งผ้าได้ในทุกโอกาส ทั้งเพื่อการทำงานที่ต้องการคล่องตัว นุ่งให้ทะมัดทะแมง นุ่งให้สวยงาม และการนุ่งผ้ามงคล
การแต่งกายในสมัยรัตนโกสินทร์ช่วงรัชกาลที่ 1-3 สตรีนิยมนุ่งผ้าจีบและห่มสไบเฉียง ต่อมาช่วงรัชกาลที่ 4-5 นิยมนุ่งผ้าโจงกระเบนห่มสไบทับเสื้อแขนกระบอก สมัยรัชกาลที่ 6 นิยมนุ่งโจงกระเบนและนุ่งซิ่น แต่ในสมัยรัชกาลที่ 7 ผู้คนเริ่มนุ่งซิ่นกันอย่างแพร่หลาย และใส่เสื้อตัวยาว ไม่นิยมโจงกระเบนเท่าใดนัก ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงออกแบบเครื่องแต่งกายที่ประยุกต์มาจากโบราณ แต่ยังคงแสดงออกถึงความเป็นไทย และทรงพระราชทานนามว่า “ชุดไทยพระราชนิยม” ซึ่งปัจจุบันถือเป็นชุดไทยประจำชาติของสตรีด้วย
หน้างานกาล่าดินเนอร์ ราตรีผ้าไหม สายใยข้าวหอมมะลิ มีการออกร้าน และสาธิตทอผ้าไหมโบราณของสุรินทร์ อย่างผ้าหมักโคลนภูเขาไฟสีส้มอมน้ำตาล เนื้อนุ่มน่าใช้ สีติดทนนาน
ประวัติของชุดไทยพระราชนิยมนั้นน่าสนใจมาก คือในโอกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรปและสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ เมื่อปี พ.ศ. 2503 ทรงพระราชทานพระราชดำริว่า สมควรที่จะสรรค์สร้างการแต่งกายชุดไทยให้เป็นไปตามประเพณีที่ดีงาม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ศึกษาค้นคว้าเครื่องแต่งกายสมัยต่างๆ จากพระฉายาลักษณ์ของเจ้านายฝ่ายใน และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์ ควบคู่กับการปรับปรุงพัฒนาให้เหมาะสมกับกาลสมัย ทรงเสนอรูปแบบที่หลากหลายและได้ฉลองพระองค์เป็นแบบอย่างด้วย ทั้งได้พระราชทานให้ผู้ใกล้ชิดแต่งและเผยแพร่ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น มี 8 ชุด คือ ชุดไทยเรือนต้น ชุดไทยจิตรลดา ชุดไทยอมรินทร์ ชุดไทยบรมพิมาน ชุดไทยจักรี ชุดไทยดุสิต ชุดไทยจักรพรรดิ์ และชุดไทยศิวาลัย ชุดไทยพระราชนิยมเหล่านี้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงใช้ในโอกาสและสถานที่ต่างๆ จนเป็นที่รู้จักแพร่หลายและชื่นชมไปทั่วทั้งในและต่างประเทศ
คืนนี้เราได้ตื่นตาตื่นใจกับนางแบบโฉมงามในชุดไทยจักรพรรดิ์และชุดไทยศิวาลัย ที่มีเครื่องประดับสร้อยสังวาล ทับทรวง กำไล ต่างหู และเข็มขัดทองเหลืองอร่าม เนื้อผ้าไหมลายวิจิตรพิสดารสลับซับซ้อน หลากสี อวดลวดลายโบราณหลากหลาย เนื้อผ้าพลิ้วไหวไปตามจังหวะการเดินของนางแบบนายแบบ เมื่อผ้าต้องแสงไฟก็สะท้อนแวววาวอย่างน่ามอง นับเป็นความอัศจรรย์ของผ้าไหมไทยที่ไม่มีผ้าใดมาเทียบได้ เช่นเดียวกับผ้าสไบจีนผืนยาวที่ห่มพาดเฉวียงบ่าของนางแบบ ยามเดินเยื้องย่างไปอย่างแช่มช้า ก็พลิ้วไหวลู่ลมอย่างน่ามอง แต่ละชุดค่อยๆ เดินผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนออกมาโชว์อย่างจุใจ
Traveler’s Guide :
How to go : รถยนต์เดินทางจากกรุงเทพฯ-สุรินทร์ ไปได้ 2 เส้นทาง คือ ทางแรกใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) จนถึงสระบุรี เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2 (มิตรภาพ) ไปจนถึงนครราชสีมา แล้วใช้ทางหลวงหมายเลข 226 ผ่านบุรีรัมย์จนถึงสุรินทร์ รวมระยะทาง 434 กิโลเมตร หรืออีกเส้นทางหนึ่ง ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ไปจนถึงสระบุรี เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2 ไปจนถึงอำเภอสีคิ้ว แล้วเข้าทางหลวงหมายเลข 24 (โชคชัย-เดชอุดม) ผ่านอำเภอโชคชัย อำเภอนางรอง อำเภอประโคนชัย เลี้ยวซ้ายเข้าเส้นทางหมายเลข 214 ที่อำเภอปราสาท ไปจนถึงจังหวัดสุรินทร์ รวมระยะทาง 450 กิโลเมตร
Where to stay : โรงแรมทองธารินทร์ โทร. 0-4451-4281-8 เว็บไซต์ www.thongtarinhotel.com
More info : ททท. สำนักงานสุรินทร์ โทร. 0-4451-4447-8 เฟสบุ๊ค www.facebook.com/tatsurin
เที่ยวบ้านท่าสว่าง ถิ่นผ้าไหม 1,416 ตะกอ! จ.สุรินทร์
“กลุ่มทอผ้ายกทอง จันทร์โสมา” แห่งบ้านท่าสว่าง ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองฯ จังหวัดสุรินทร์ เป็นหมู่อาคารเรือนไทยหลายหลังในสวนสวยแมกไม้ใหญ่ร่มรื่น ที่นี่มีทั้งส่วนอาคารพิพิธภัณฑ์ของสะสม ของท่านอาจารย์วีรธรรม ตระกูลเงินไทย แกนนำกลุ่มจันทร์โสมา ที่มีจุดเด่นในการอนุรักษ์และฟื้นฟูผ้ายกทองชั้นสูงแบบราชสำนักไทยโบราณ โดยการนำใยไหมเส้นเล็กละเอียด (ไหมน้อย) มาย้อมสีธรรมชาติ ด้วยเทคนิคโบราณผสานกับการออกแบบลวดลายที่วิจิตรเหมือนในอดีต เช่น ลายเทพพนม ลายหิ่งห้อยชมสวน ลายก้านขดเต้นรำ ลายครุฑยุดนาค ฯลฯ ผสานกับลายผ้านุ่งที่คนสุรินทร์นิยมอยู่แล้ว คือ ลายอัมปรม ลายสาคู ลายสมอ ลายละเบิก ลายลูกแก้ว มีการใช้เส้นไหมกะไหล่ทองปั่นควบกับเส้นไหม ถักทอเป็นผ้าไหมยกทองอันวิจิตรงดงามอย่างเหลือเชื่อ ยิ่งกว่านั้นบ้านท่าสว่างยังได้รับการสนับสนุนจากสำนักพระราชวัง และมูลนิธิในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ จนได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ทอผ้าไหมมอบให้กับผู้นำเอเปค เมื่อปี พ.ศ. 2546 บ้านท่าสว่างจึงเป็นที่รู้จักนับแต่นั้น
สาวน้อยแห่งบ้านท่าสว่าง วันนี้มาช่วยคุณป้าคุณน้าย้อมสีธรรมชาติสวยๆ ให้เราชมด้วย
คุณยายใช้เส้นใยจากใบไม้มาเตรียมไว้มัดเส้นไหม เตรียมลงย้อมในหม้อสีที่ต้มไว้เดือดๆ โดยย้อมทีละมัดๆ อย่างประณีต
จากทางเข้าด้านหน้า เราค่อยๆ เดินชมนกชมไม้เข้ามาสู่โรงย้อมผ้าสีธรรมชาติ ที่มีชาวบ้านกำลังช่วยกันนำเส้นไหมลงย้อมในหม้อบนเตาฟืนควันฉุย หม้อสีครามให้สีน้ำเงินสดใส หม้อน้ำต้มครั่งได้สีแดงชาติเตะตา หม้อน้ำจากต้นเขให้สีเหลืองแจ่มกระจ่างตา สีส้มได้จากดอกคำแสด สีเขียวมะกอกได้จากแก่นขนุน สีดำได้จากผลมะเกลือ สีน้ำตาลได้จากต้นหมาก และสีม่วงได้จากต้นหว้า เป็นต้น เมื่อนำผืนผ้าสีธรรมชาติมาทอผสมผสานกับไหมยกทองโบราณ ด้วยลวดลายที่มีความพิเศษของ อาจารย์วีรธรรม แล้ว ก็ยิ่งทำให้ผ้าไหมบ้านท่าสว่างกลายเป็นแพรพรรณอันเล่อค่าจนไม่น่าเชื่อ
สีธรรมชาติจากพรรณไม้ต่างๆ นำมาจากมใบไม้, เปลือกไม้, แก่นไม้ แช่น้ำทิ้งไว้ค้างคืน แล้วนำมาเติมน้ำต้มให้เดือดควันฉุย จากนั้นนำมัดเส้นไหมหรือฝ้ายมาย้อมหลายครั้ง จนสีติดดี ได้สีเข้มตามต้องการ นี่คือเทคนิคการย้อมแบบร้อน
พอย้อมสีเส้นไหมเสร็จแล้ว ก็นำมาตากให้แห้งในที่ร่มลมโกรก
จากเรือนย้อมผ้า เราสาวเท้าเข้าไปที่เรือนทอผ้า และก็ต้องตื่นตาอีกครั้งกับกี่ทอผ้าขนาดยักษ์ของที่นี่ เพราะกี่ทอผ้าแต่ละอันของบ้านท่าสว่างนั้นมีความสูงกว่า 2-3 เมตร! สูงเท่าตึกเกือบสองชั้น! แต่ละกี่ต้องใช้คนช่วยกันทอ 4-5 คน! เพราะผ้าไหมบ้านท่าสว่างมีมากถึง 1,416 ตะกอ! จึงต้องอาศัยทักษะและทีมเวิร์กขั้นสูง เพราะต้องมีคนช่วยยกตะกอ 2-3 คน คนสอดไม้ 1 คน และคนทออีก 1คน เป็นความซับซ้อนทางด้านเทคนิคการทอ จนได้ผลงานเพียงวันละ 6-7 เซนติเมตรเท่านั้น! ช่างทอซึ่งเป็นคุณป้าคุณยายเล่าให้ฟังว่า ผ้าลายพิสดารที่อยู่บนกี่นี้ล้วนมีคนสั่งทอทั้งสิ้น ผืนหนึ่งยาว 3 เมตร ราคาก็ไม่ต่ำกว่า 1.5-2.5 แสนบาท! และต้องช่วยกันทุ่มเทแรงกายแรงใจทอนานหลายเดือนเลยทีเดียว เราสอบถามท่านว่ามีลูกหลานรุ่นใหม่มาร่ำเรียนสืบทอดวิชาทอผ้าบ้างหรือไม่? คุณป้ามองหน้ากันแล้วยิ้ม ตอบว่า “แทบไม่มีคนรุ่นใหม่มาสืบทอดวิชาทอผ้าเลย! สักวันมันคงสูญหายแน่นอน” เรื่องนี้จะจริงหรือไม่ เราไม่แน่ใจ แต่คงเป็นการบ้านที่ผู้รับผิดชอบต้องช่วยกันอนุรักษ์สืบสานมรดกของชาติแขนงนี้ไว้ให้ได้
กี่ทอผ้ายักษ์แห่งบ้านท่าสว่าง แต่ละอันสูงกว่า 3 เมตร! ไม่ต่างจากตึก 3 ชั้น ที่มีทั้งชั้นล่าง ชั้นกลาง ชั้นบน ใช้ช่างทอที่มีความชำนาญสูงช่วยกันกี่ละไม่ต่ำกว่า 4-5 คน นับเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านขนานแท้ ที่สร้างความซับซ้อนบนผืนผ้าขึ้นมาได้
เสน่ห์ของสีธรรมชาติ คือ Colour Variation เป็นความหลากหลาย ความต่างของสีที่ไม่เท่ากันเลยในการย้อมแต่ละครั้ง ได้สีเข้มอ่อนตามการย้อม การผสม และวัสดุธรรมชาติที่ก่อกำเนิดสี ยิ่งใช้ยิ่งสวย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาก
หม้อหมักคราม ต้องหมั่นดูแลเพื่อไม่ให้ครามเน่า ชาวบ้านเรียกว่าครามยังมีชีวิต ถ้าครามเน่าเสีย หรือครามตายแล้ว จะเรียกว่า ครามหนีไปแล้ว!
ลวดลายอันสวยงาม สลับซับซ้อน และวิจิตรพิสดาร ของผ้าไหมยกดิ้นทองบ้านท่าสว่าง ส่วนใหญ่จะเป็นการทำตามออร์เดอร์ โดยเฉพาะส่งเข้าวัง
นี่คือความสลับซับซ้อนของกี่ทอผ้าบ้านท่าสว่าง จริงๆ ยังมีลึกลงไปใต้ดินอีก โดยมีช่างประจำอยู่ด้านล่าง ไม้ไผ่ซี่เล็กๆ ที่เห็นเรียกว่า “ตะกอ” ย่ิงมีจำนวนตะกอมาก ความซับซ้อนของลายก็ยิ่งสุดยอด!
พอเดินชมสาธิตวิธีการทอผ้าไหมยกดิ้นทองในโรงทอแล้ว ก็ได้เวลาออกมาเดินช้อปปิ้งผ้าไหมบ้านท่าสว่าง อุดหนุนชาวบ้าน
สอบถามเพิ่มเติม ททท. สำนักงานจังหวัดสุรินทร์ โทร. 0-4451-4447-8
Traveler’s Guide :
การเดินทางสู่บ้านท่าสว่าง อยู่ในอำเภอเมืองจังหวัดสุรินทร์ โดยอยู่ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศเหนือ 10 กิโลเมตร ใช้ถนนสายเกาะลอย-เมืองลิง (ทางหลวงชนบท สร.4026) จากตัวเมืองสุรินทร์ เป็นถนนลาดยางตลอด
เปิดให้เข้าชมเวลา 08.00-17.00 น. โทร. 08-9202-7009, 0-4455-8489-90 (อาจารย์วีระธรรม ตระกูลเงินไทย, คุณสุมาลี ติดใจดี)