Pietraserena Tuscany Wine Dinner @Ventizi Centara Grand Central World

Story ชาธร โชคภัทระ / Photos สุเทพ ช่วยปัญญา

กลิ่นขนมปังหอมกรุ่นที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ ไวน์สีแดงทับทิมเข้มข้นที่ถูกรินใส่แก้วทรงสูง อาหารอิตาเลียนสไตล์ทัสคานีแสนอร่อย และผองเพื่อนสนิทที่มารวมตัว นั่งพูดคุยสรวนเสเฮฮากันอีกครั้ง คือบรรยากาศพิเศษที่ คาเฟ่ บวนจอร์โน่ (Cafe’ Buongiorno) รังสรรค์ให้เกิดขึ้น ในค่ำคืนวันที่ 20 กันยายน 2023 ณ ห้องอาหาร หรู Ventizi ชั้น 24 โรงแรม Centara Grand Central World Bangkokหลังจาก Cafe’ Buongiorno ได้ชวนเรามาลิ้มลอง Boutique Wine ชั้นเลิศจากแคว้นต่างๆ ของอิตาลีแล้วหลายครั้ง คืนนี้ก็ถือว่าพิเศษไม่แพ้ครั้งไหนๆ เพราะเรากำลังจะพาตัวและหัวใจบินลัดฟ้าสู่ แคว้นทัสคานี (Tuscany) หรือ ทอสคานา (Toscana) สวรรค์ของการผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงของโลกมาช้านาน บวกกับอาหารอิตาเลียนแท้ๆ จาก Chef Andrea Montella แห่งห้องอาหาร Ventizi ก็ยิ่งช่วยให้ความสุขอบอวลอยู่ในทุกอณู อาหารคืนนี้แพริ่งกับ White & Red Wine ได้ยอดเยี่ยม ตั้งแต่ Otello Prosecco ที่ซู่ซ่าสดชื่นกำลังดี ตามาด้วยไวน์ขาว Vigna del Sole ซึ่งใช้องุ่นพันธุ์หายาก Vernaccia จากนั้นก็เป็นไวน์แดงรสเปรี้ยวนำอย่าง Poggio Al Vento ใช้องุ่นยอดฮิต Sangiovese และปิดท้ายด้วยพระเอกของคืนนี้ ที่ดูจะเข้มข้นสุด คือ Caulio ไวน์แดงผสมองุ่น 3 สายพันธุ์ ทั้ง Sangiovese, Malvasia Nera และ Syrah ช่วยให้อาหารอร่อยขึ้นอีกล้านเท่า
ห้องอาหาร Ventizi ชั้น 24 โรงแรม Centara Grand Central World Bangkok บรรยากาศดีวิวหลักล้าน มองเห็นพระอาทิตย์ตกของกรุงเทพฯ มุมสูง น่าประทับใจมาก Mr.Robert F. Maurer-Loeffler, General Manager and Corporate Director of Operations โรงแรม Centara Grand Central World Bangkok พร้อมต้อนรับทุกท่าน
บรรยากาศส่วน VIP ของห้องอาหาร Ventizi หรูหราและมีความเป็นส่วนตัวดีมาก เหมาะมานั่งสังสรรค์กันเพลินๆ ห้องอาหาร Ventizi มีหลายมุมหลายบรรยากาศให้เลือก คนที่ชอบวิวโปร่งโล่งสบายตา เลือกโต๊ะตรงมุมกระจก มองเห็นตึกระฟ้า และแสงยามเย็นของกรุงเทพฯ ได้น่าประทับใจ โต๊ะส่วนตัวแบบโรแมนติกกันสองคนก็มี

เรียกน้ำย่อยด้วย ขนมปังฟอคคาเซีย” (Focaccia) เนื้อนุ่มหนึบ กลิ่นหอมแป้งสาลีผสมน้ำมันมะกอก เป็นขนมปังคู่บ้านคนอิตาเลียน ที่กินเมื่อไหร่ก็อร่อย มีเครื่องเคียงเป็นซอสถั่ว และมะเขือเทศคลุกน้ำมันมะกอก กินคู่กับ Sparkling Wine ชั้นเลิศจากทางภาคเหนือของอิตาลี Otello Prosecco DOC ของ Arrigoni Vineyard การจะเรียกไวน์ตัวใดว่าเป็น “โปรเซคโก้” (Prosecco Wine) ได้อย่างแท้จริง ต้องผลิตมาจากเขตโปรเซคโก้ ที่ปลูกอยู่ในแคว้นเวเนโต (Veneto) เท่านั้น Prosecco เป็นชื่อหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในแคว้นนี้ และนิยมใช้องุ่นพันธุ์ เกลียร่า (Glera) ในการทำมากที่สุด

เริ่มต้นด้วย Sparkling Wine Otello Prosecco จากเมืองเทรวิโซ่ (Treviso) ตัวนี้ มีความ Balance ของรสชาติเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเสิร์ฟเย็นเจี๊ยบ 8-10 องศาเซลเซียส เนื้อไวน์ละมุนสีเหลืองฟางอ่อน (Pale Straw) แอลกอฮอล์ต่ำ 11% ดื่มง่าย มีความ Extra Dry (หวานกลางๆ) เด่นด้วยกลิ่นดอกไม้ป่า อัลมอนต์ และแอปเปิลเขียวชัดเจน จิบแล้วทิ้งความหอมหวานไว้ทั่วปาก และทิ้งรสขมนิดๆ ไว้ที่โคนลิ้น เหมาะกินคู่กับ Starters กุ้งหอยปูปลานานาชนิด ถือเป็นไวน์ที่ Body ไม่ Waxy พรายฟอง (Bubbles) เล็กๆ เบาๆ ซู่ซ่ากำลังดี จิบเพลินไวน์ทั้งหมดที่เสิร์ฟในคืนนี้มาจาก Arrigoni Wine Producer ที่มีชื่อเสียง และเก่าแก่กว่า 110 ปีแล้ว ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1913 ผลิตไวน์ต่อเนื่องกันมา 4 ชั่วอายุคน โดยเริ่มในแคว้นลิกูเรีย (Liguria) และทัสคานี (Tuscany) ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกองุ่นในแคว้นเวเนโต (Veneto) ด้วย ภูมิประเทศเป็นภูเขา เนินเขา สลับทุ่งหญ้า กลางวันแดดเจิดจ้า กลางคืนหนาว ช่วงเช้ามีหมอก นี่คือยูโทเปียในอุดมคติของการปลูกองุ่น (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)ไวน์ขาวและไวน์แดงที่เราได้ลิ้มลองในคืนนี้เป็นไวน์มาตรฐานสูง DOC และ DOCG ผลิตขึ้นจากไร่ Pietraserena Vinyard ของตระกูล Arrigoni ไร่ตั้งอยู่ใจกลาง เมืองซาน จิมิกนาโน่ (San Gimignano) จังหวัดเซียน่า (Siena) แคว้นทัสคานี เป็นเมืองโบราณสมัยยุคกลาง เป็นมรดกโลกของ UNESCO ด้วย เพราะยังมีหอคอยหินสูงเด่น และบ้านสไตล์โบราณ ล้อมรอบด้วยเนินเขาที่มีไร่ไวน์ทอดไกลออกไป โดยเฉพาะองุ่นพันธุ์ Vernaccia ถือเป็นพันธุ์เฉพาะถิ่นหายากของที่นี่ รำ่ลือกันว่าเป็นไวน์ขาวเนื้อสัมผัสนุ่มดุจแพรไหม! (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/) ไร่องุ่น Pietraserena คือพื้นที่หัวใจสำคัญของเมืองโบราณมรดกโลก San Gimignano (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)เมนูเรียกน้ำย่อยในวันนี้มีหลากหลาย ทั้งซุปมะเขือเทศช็อต, หอยแมลงภู่ดำอิตาเลียนอบชีส สไตล์ Viareggio, Tuscan Salami เกรดพรีเมียม, ขนมปังถั่วลูกไก่ ท็อปปิ้งด้วยซาลามี่หมู Colonnata, ขนมปัง Classic Brucetta เนื้อหนานุ่ม โรยหน้าด้วยมะเขือเทศซอยละเอียด คลุกเคล้าน้ำมันมะกอก กระเทียม และโหระพาอิตาเลียน ว่ากันว่า Tuscan Salami ที่เสิร์ฟในคืนนี้ เป็นหนึ่งในซาลามี่ดีที่สุดในอิตาลีเลยก็ว่าได้ ลองชิมแล้วเนื้อมีความนุ่มละมุน กลิ่นหอมขึ้นจมูก รสไม่เค็มจัด กินคู่กับไวน์ขาว Vigna del Sole มีความสุขใจทุกจิบเลยล่ะ ซุปมะเขือเทศในแก้วช็อต เสิร์ฟมาพร้อม หอยแมลงภู่ดำอิตาเลียนอบชีส สไตล์วิอาเร็กจิโอ้ (Viareggio) เมืองชายทะเลของแคว้นทัสคานี จิบ Vigna del Sole ตามเข้าไป เสริมรสชาติกันยอดเยี่ยม ทำให้นึกถึงน้ำทะเลสีฟ้าครามของที่นั่นไวน์ขาวอันโด่งดัง Vigna del Sole มาตรฐานสูงสุดระดับ DOCG ปี 2022 จากไร่ Pietraserena เมือง San Gimignano ผลิตจากองุ่นพันธุ์หายาก “เวอร์แน๊กเชีย” (Vernaccia) ซึ่งมีปลูกเฉพาะในแคว้นทัสคานีเท่านั้น เคยโด่งดังมากในช่วงศตวรรษที่ 13-14 เพราะเสิร์ฟขึ้นโต๊ะพระกระยาหารของกษัตริย์เท่านั้น กวีดังแห่งอิตาลี ดังเต้ (Dante) รวมถึงสถาปนิกชื่อก้องโลก มีเกลันเจโล (Michelangelo) ก็เคยกล่าวถึงองุ่นชนิดนี้ไว้เช่นกัน

Vigna del Sole เคยได้รับรางวัลจากการประกวดมากถึง 11 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1994-2017 ถือเป็น Boutique Wine ระดับเหรียญทองที่มี Character เฉพาะตัวมาก น้ำไวน์สีฟางเข้ม Medium Body ให้กลิ่นขนมปัง วานิลลา และอัลมอนด์ ชัดเจน ทิ้งความหอมหวานอมเปรี้ยวเพียงเล็กน้อยไว้ในปาก ถือว่ามีความผสมผสานลงตัว เหมาะดื่มกับ Starter จำพวก seafood ต่างๆ
คอร์สที่สองพิเศษมาก Ricotta Cheese Dumpling” ปั้นเป็นก้อนกลม กินคู่กับซอสครีมเห็ดทรัฟเฟิลฤดูร้อน น้ำซอสนุ่มนวล รสเค็มเพียงเล็กน้อย ความข้นมันกำลังดี ส่วนเนื้อรีคอตต้าชีสก็นุ่มละมุน ละลายในปากแบบไม่ต้องเคี้ยวเลย เป็นอาหารเบาๆ กินคู่กับไวน์แดง Poggio Al Vento ที่มีความเปรี้ยวนำ เสริมรสชาติกันเหมือนเนื้อคู่

Poggio Al Vento เป็นไวน์แดงชั้นเลิศระดับ DOCG ปี 2020 ผลิตจากองุ่นพันธุ์ ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ซึ่งเป็นองุ่นที่ปลูกมากที่สุดในแคว้นทัสคานีและอิตาลี ลักษณะเด่นคือมีความเปรี้ยวนำ (High Acidity) จึงสามารถคงรสชาติ และกลบความมันของพาสต้า ชีส หรือซอสมะเขือเทศ ในอาหารอิตาเลียนได้อย่างยอดเยี่ยม นอกจากนี้ Poggio Al Vento ยังเป็นไวน์แดงจำพวก “เคียนติ” (Chianti Wine) ซึ่งผลิตในพื้นที่พิเศษเรียกว่า “เคียนติ” ในแคว้นทอสคานา (อยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองฟลอเรนส์และเซียน่า) โดยแบ่งออกเป็น 7 sub-zone ใช้องุ่นพันธุ์ซานโจเวเซ่ผลิตไวน์แดงเป็นหลัก แบ่งระดับมาตรฐานตามระยะเวลาการบ่มหมัก (Aging Classification) คือ 2.5 ปี, 2 ปี, 1 ปี, 9 เดือน และ 6 เดือน ตามลำดับ ไวน์ที่ได้จึงมีราคาสูงต่ำและคุณภาพต่างกัน ไล่ตั้งแต่เลิศสุด Grand Seleczione, Riserva, Classico, Superior และ Chianti ธรรมดา
Ricotta Cheese Dumpling ตัวนี้แท้จริงก็คือ “เวย์ชีส” (Whey Cheese) ซึ่งก็คือน้ำที่เหลือจากการผลิตชีส เรียกว่า “Whey” เป็นตัวเดียวกับเวย์โปรตีนที่เอาไปสกัดเป็นผงชงให้นักกีฬาหรือคนป่วยกินนั่นล่ะ คำว่า “Ricotta” แปลว่า “Recooked” โดยครั้งแรกเอาชีสไปต้มให้เหลือ Whey แล้วเอา Whey ไปต้มอีกครั้ง จนได้ตะกอนนิ่ม กลายเป็น Fresh Cheese จำพวกเเดียวกับ Mozzarealla Cheese แต่เก็บได้นานกว่า เพราะมีการเติมเกลือ และส่วนใหญ่ก็เป็นโปรตีน ไม่มีครีม ความคึกคักของห้องอาหาร Ventizi กับ Pietraserena Tuscany Wine Dinner มาถึง Main Course ที่กินกับไวน์แดงได้อร่อยล้ำ “สตูแก้มเนื้อวัววากิว” ตุ๋นนานถึง 24 ชั่วโมง แบบ Slow Cook ราดซอสพริกไทยดำผสมไวน์แดงเคียนติ

ไวน์แดงที่ใช้แพริ่งกับเมนูนี้ต้องยกให้ Caulio, Chianti DOCG ปี 2018 อันโด่งดัง เคยได้รับรางวัลจากการประกวดไม่ต่ำกว่า 9 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993-2017 Blend จากองุ่น 3 สายพันธุ์ ทั้ง Sangiovese, Malvasia Nera และ Syrah ในสัดส่วนเหมาะเจาะลงตัว น้ำไวน์จึงมีสีทับทิมเข้มข้น Full Body หนักแน่น แต่มีความ Balance เป็นเลิศ แทนนินลื่นเหมือนแพรไหม รสชาติไม่ Fruity แอลกอฮอล์ 14% นุ่มลึกดี จิบแล้วทิ้งกลิ่นวานิลลาและผลไม้ป่าไว้ในปาก กินคู่กับสตูแก้มวัววากิวเนื้อนุ่ม ไวน์ยังทิ้งรสเปรี้ยวนิดๆ ไว้ที่โคนลิ้นด้วย เพราะมีองุ่นซานโจเวเซ่ผสมอยู่นั่นเอง
ก่อนกินก็ต้องราดซอสพริกไทยดำ ผสม Chianti Red Wine ซะก่อนปิดท้ายค่ำคืนแห่งความสุข กับเมนูของหวานโบราณจากเมืองฟลอเรสซ์ ซึ่งยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้ คือ “Zuccotto Fiorentino” เป็นเค้กเนื้อฟองน้ำนุ่มนิ่มรูปโดม ไส้ตรงกลางเป็นครีม ชีส Tiramisu หรือไอศกรีมรสชาติต่างๆ และ Ricotta ครีมช็อกโกแลต กินพร้อมผลไม้รสหวาน ว่ากันว่ารูปร่างโดมของเค้กนี้มาจากยอดโดม Florence Cathedral มหาวิหารหลักของเมืองฟลอเรนซ์ เค้กนี้กินคู่กับ Pompelmocello หรือน้ำองุ่นเปรี้ยวอมหวาน รสชาติคล้าย Limoncello ช่วยล้างความคาวออกจากปากได้หายเกลี้ยง
Mr.Nicolas Loreau, Director of Food & Beverage กล่าวขอบคุณแขกทุกท่านที่มาร่วมรับประทานอาหารและไวน์ชั้นเลิศในค่ำคืนนี้Chef Andrea Montella แห่งห้องอาหาร Ventizi กล่าวถึงอาหารอิตาเลียนสไตล์ทัสคานีที่เสิร์ฟในคืนนี้ และไวน์มาตรฐานสูงจาก Pietraserena Vinyard ของตระกูล Arrigoni อันเก่าแก่ นับเป็นการแพริ่งสุดวิเศษ และเราจะพบกันใหม่เร็วๆ นี้แน่นอนสนใจชิมไวน์ทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี และสั่งซื้อไวน์อิตาเลียนหายาก ติดต่อ Cafe’ Buongiorno Tel. 06-2494-1649 (คุณพิม)

Booking โต๊ะรับประทานอาหาร และชิม Italian Wine ชั้นเลิศได้ที่ โทร. 02-100-6255

สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสิงห์บุรี จัดอบรมท่องเที่ยวโดยชุมชน พัฒนาศักยภาพพร้อมรับอนาคต

เรื่องและภาพ โดย ชาธร โชคภัทระ / สำนักข่าวท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสิงห์บุรี ร่วมกับ สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) องค์การบริหารส่วนตำบลทองเอน ชุมชนไทยพวนบางน้ำเชี่ยว และ สำนักข่าวท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม จัดสัมมนา เสริมศักยภาพคนท้องถิ่น พลิกฟื้นท่องเที่ยวโดยชุมชน จังหวัดสิงห์บุรี ในหัวข้อ “การพัฒนาศักยภาพท่องเที่ยวโดยชุมชน” โดยวิทยากรประสบการณ์สูง ด้านการท่องเที่ยวโดยชุมชน จากสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย
นายสานนท์ เพ็ญแสง ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสิงห์บุรี กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานเปิดการสัมมนา “การพัฒนาศักยภาพ ท่องเที่ยวโดยชุมชน” พร้อมด้วย นายกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) คุณรพีพร คำสกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสิงห์บุรี กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา นายธรรมนูญ วิทยานนท์ รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลทองเอน นายไชยวัฒน์ สุคันธวิภัติ ประธานชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนไทยพวนบางน้ำเชี่ยว นายมานิตย์ บุญฉิม ที่ปรึกษาฝ่ายการตลาด สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย นายวิโรจน์ สิตประเสริฐนันท์ ที่ปรึกษาสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย คุณโสดารินท์ ธนเนืองโรจน์ ประธาน ฝ่ายส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย และนายณัฐพงษ์ นิรมล เจ้าหน้าที่ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสิงห์บุรี
นายสานนท์ เพ็ญแสง ผู้อำนวยการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสิงห์บุรี กล่าวว่า “เรามาสอบถาม พูดคุย และเตรียมความพร้อม ในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวโดยชุมชน ในแต่ละพื้นที่ของจังหวัดสิงห์บุรี การที่สธทท.นำวิทยากรที่มีประสบการณ์มีองค์ความรู้จริงมาเปิดอบรมให้กับคนในชุมชน ทำให้คนในชุมชนได้รับความรู้อย่างถูกต้อง เกี่ยวกับการบริหารจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ มีการเตรียมความพร้อมอย่างไร ก่อนที่เราจะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศได้จริง
และเราต้องการมารับรู้ความต้องการของคนในพื้นที่ว่ามีอะไรบ้าง นอกจากนี้เราต้องการสร้างเครือข่ายให้กับชุมชนต่างๆ จะได้มีเพื่อนร่วมทางทำการท่องเที่ยวโดยชุมชนไปด้วยกัน น่าจะให้ท่องเที่ยวโดยชุมชนจะมีความชัดเจนเข้มแข็งขึ้น อย่างไรก็ตามเราต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนที่ให้ความร่วมมือในการสัมมนาในครั้งนี้” “ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ มีการเตรียมความพร้อมอย่างไร ก่อนที่เราจะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศได้จริง และเราต้องการมารับรู้ความต้องการของคนในพื้นที่ว่ามีอะไรบ้าง นอกจากนี้เราต้องการสร้างเครือข่ายให้กับชุมชนต่างๆ จะได้มีเพื่อนร่วมทางทำการท่องเที่ยวโดยชุมชนไปด้วยกัน น่าจะให้ท่องเที่ยวโดยชุมชนจะมีความชัดเจนเข้มแข็งขึ้น อย่างไรก็ตามเราต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่ให้ความร่วมมือในการสัมมนาในครั้งนี้” นายกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย กล่าวว่า “การสัมมนาการพัฒนาศักยภาพ ท่องเที่ยวโดยชุมชน ในครั้งนี้ เราเต็มใจที่จะมาช่วยชุมชนในจังหวัดสิงห์บุรีอย่างแท้จริง เพราะผมก็เป็นลูกหลานคนเมืองสิงห์คนหนึ่ง การที่จะทำการท่องเที่ยวโดยชุมชนให้เดินหน้าต่อไปได้ และยั่งยืนด้วยนั้น เราต้องมีใจที่อยากจะทำก่อนเป็นอย่างแรก ถ้าถูกบังคับให้ทำก็จะไม่เกิดประโยชน์
 และต้องคำนึงถึงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ของคนในชุมชนด้วย ทำแล้วเงินในกระเป๋าจากแบงค์ยี่สิบต้องเปลี่ยนเป็นแบงค์พัน คนในชุมชนต้องมีความสามัคคี รับผลประโยชน์ร่วมกัน ผิดก็ต้องร่วมกับผิดชอบ ขยะในชุมชนต้องไม่เพิ่มขึ้น ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง การท่องเที่ยวโดยชุมชนถึงจะยั่งยืน”
นายธรรมนูญ วิทยานนท์ รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลทองเอน “การสัมมนาในวันนี้เรื่อง การพัฒนาศักยภาพท่องเที่ยวโดยชุมชน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน ที่เราตามหามานาน ทั้งที่เราก็มีทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวอยู่มากมาย เราจัดงานมาแล้วถึง 13 ครั้ง แต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ
 นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ ก็ยังไม่เข้ามาท่องเที่ยวในชุมชนของเรา แต่เราก็ต้องทำต่อไป อย่างน้อยก็ให้ลูกหลานของเราได้รับรู้ สืบสานเรื่องราวของคนลาวแง้วต่อไป ไม่ว่าจะเป็นด้าน วัฒนธรรม ประเพณี อาหาร และทำให้แนวทางการทำการท่องเที่ยวโดยชุมชนได้ชัดเจนขึ้น และรู้ว่าเราจะเดินต่อไปอย่างไร
นายไชยวัฒน์ สุคันธวิภัติ ประธานชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนไทยพวนบางน้ำเชี่ยว กล่าวว่า “การสัมมนาครั้งนี้ที่บรรลุเป้าหมายของเราก็คือ เครือค่ายของเราได้รับความรู้ความเข้าใจมากขึ้น ในเรื่องการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน มีความกระจ่างเห็นแนวทางในการขับเคลื่อน และพัฒนาต่อไปให้เกิดความยั่งยืน อันนี้คือสิ่งที่เราได้รับ เพราะที่ผ่านมานั้นเรายังไม่เคยไดัรับการให้ความรู้ หรือได้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการท่องเที่ยวโดยชุมชน ที่มันตรงประเด็นเท่าไหร่
 ที่ผ่านมาหลายหน่วยงานที่เข้ามาอบรมเสร็จ แล้วก็ปล่อยเราให้เดินตามลำพัง มาครั้งนี้ ทกจ.สิงห์บุรี ร่วมกับ สธทท. เข้ามาช่วยพร้อมเป็นพี่เลี้ยงให้เราได้พัฒนาขึ้น ก็หวังว่าคงจะให้โอกาสพวกเรา การที่จะนำนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวจริง มาประเมินเพื่อให้ได้รู้ว่าศักยภาพของเราพร้อมหรือยัง ที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวตัวจริง และมีอะไรบ้างที่ต้องปรับปรุงแก้ไขต่อไป”
 การสัมมนา “การเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชน” ในครั้งนี้มีชุมชน และหน่วยงานที่เข้าร่วมอบรมดังนี้ ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนไทยพวนบางน้ำเชี่ยว ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนลาวแง้ว ชุมชนบางน้ำเชี่ยว ชุมชนทองเอน ชุมชนวัดกุฎีทอง ชุมชนชลอน ชุมชนหัวป่า และชุมชนบ้านพวน
นายมานิตย์ บุญฉิม ที่ปรึกษาฝ่ายการตลาด สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย  บรรยายเรื่อง “การเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชน”นายมานิตย์ บุญฉิม ให้ความรู้ด้าน การพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชน (CBT Capability Improvement) ผู้นำชุมชนท่องเที่ยวจังหวัดสิงห์บุรี รับฟังบรรยายจากวิทยากรด้วยความสนใจ และมีการซักถามแลกเปลี่ยนตลอดเวลา
นายวิโรจน์ สิตประเสริฐนันท์ ปรึกษาสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย นายวิโรจน์ สิตประเสริฐนันท์  บรรยายเรื่อง “พระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2559” คุณโสดารินท์ ธนเนืองโรจน์ ประธาน​ฝ่ายส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม​ สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทยคุณโสดารินท์ ธนเนืองโรจน์  บรรยายเรื่อง “การจัดทำราคา ต้นทุน ประมาณราคา กิจกรรม อาหาร การแสดง และ Package ท่องเที่ยวโดยชุมชน” ทกจ.สิงห์บุรี ลงพื้นที่เสริมศักยภาพคนท้องถิ่น พลิกฟื้นท่องเที่ยวโดยชุมชน จังหวัดสิงห์บุรี จัดขึ้นในวันที่ 22  สิงหาคม 2566 ณ ห้องประชุม บ้านนาย100 โฮมสเตย์ ตำบลบางน้ำเชี่ยว อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี และในวันที่ 23 สิงหาคม 2566 ณ องค์การบริหารส่วนตำบลทองเอน อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี

Pizza, Pasta and More @Le Meridien Bangkok

โรงแรม Le Meridien Bangkok โรงแรมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะ ตั้งอยู่ในย่านสีลมอันคึกคักของกรุงเทพฯ ชวนนักชิมทุกท่านมาอร่อยกับ “Pizza, Pasta and More” อาหารบุฟเฟ่ต์นานาชาติแบบไม่อั้น All-You-Can-Eat ชวนน้ำลายสอ ที่ ห้องอาหาร Latest Recipe ได้แล้วตั้งแต่วันนี้

“Pizza, Pasta and More” ให้บริการตั้งแต่วันพุธ-อาทิตย์  แบบกินได้ไม่จำกัด นำเสนออาหารน่าทึ่งมากมายจากทั่วโลก เน้นความพิเศษของพิซซ่า พาสต้า ทาร์ทา ซุป และอีกหลากหลาย โดยเชฟประจำห้องอาหาร คัดสรรวัตถุดิบระดับพรีเมียม เช่น เห็ดทรัฟเฟิล ปลาแซลมอน และเนื้อปูแน่นๆ ปรุงตามสั่งที่สเตชั่นปรุงอาหารได้ตามต้องการ

Mr. Marco Cammarata / Executive Chef , Le Meridien Bangkok เชฟมากฝีมือชาวอิตาเลียน รังสรรค์ความอร่อยหลากเมนูให้ห้องอาหาร Latest Recipe

เริ่มต้นมื้อพิเศษแบบไม่อั้นที่ สลัดบาร์”  ซึ่งเต็มไปด้วยสีสันและผักสดกรอบ ต่อด้วย สเตชั่นทาร์ทา” ที่จัดขึ้นโดยเฉพาะ ให้เราเลือกรับประทานและปรุงในแบบที่ตัวเองชอบได้ มีทั้ง ทาร์ทาปลาแซลมอน ปลากะพง ปลาทูน่า เนื้อชั้นดี และไข่ออร์แกนิก รวมทั้ง Cold Cut” ที่มีให้เลือกหลายแบบ ชีส เครื่องเคียง และเครื่องผสมอีกมากมาย

ใครที่ชื่นชอบอาหารอิตาเลียนต้องตรงไปที่ สเตชั่นพาสต้า” ของเชฟ Marco โดยในแต่ละวันจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป เช่น ทากลิโอนีโฮมเมดกับหอยลาย เฟตตูชินีกับซอสเห็ดทรัฟเฟิลดำ และลิงกวินีฉู่ฉี่เนื้อปูทะเลสไตล์ไทย  หรือเราจะรังสรรค์ในแบบของตัวเองก็ได้ อีกมุมจะพบกับ พิซซ่าโฮมเมด” ทั้งหน้ามาร์เกอริต้า หน้าดิอาโวลา หน้าซีฟู้ดแบบไทย และอีกมากมาย  อีกมุมคือ “Friggitoria” ของทอดตามแบบฉบับดั้งเดิมของอิตาลี เชฟจะปรุงขนาดพอดีคำตามสั่ง เช่น ปูนิ่มทอดซิซิเลียน, อารันชินี ข้าวผสมเนื้อสับทอด, คาลามารีปลาหมึกทอด, หอยแมลงภู่ชุบแป้งทอด ฯลฯ

From Chef’s Pan อร่อยกับเมนคอร์สที่ปรุงสดๆ สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปไม่ซ้ำ อาทิ กราแตงปูอะลาสก้ากับมันฝรั่งและเนยกรุยแยร์ ซี่โครงแกะย่างกับโหระพาไทยและกระเทียม หอยแมลงภู่เดนมาร์กนึ่งซอสเนยไวน์ขาว หมูกรอบแบบไทย และอกเป็ดเคลือบซอส ฯลฯ

แน่นอน ทุกมื้อจบลงที่ของหวาน มีให้เลือกมากมาย อาทิ เค้กช็อกโกแล็ตลาวา ทีรามิสุ และเครมบรูเล่

Pizza, Pasta and More พร้อมน้ำเปล่า ราคาเพียง 722++ ต่อท่าน

อาหารค่ำ ทุกวันพุธ – วันเสาร์  เวลา 18:00 น. – 22:00 น.

อาหารกลางวัน ทุกวันอาทิตย์  เวลา 12:00 น. – 15:00 น.

สอบถามเพิ่มเติม และสำรองที่นั่ง โทร. 0-2232-8888

E-mail : service.lmbkk@lemeridien.com

Website :  http://www.lemeridienbangkoksurawong.com/

Facebook : https://www.facebook.com/LeMeridienBangkok/

Line : @lemeridienbangkok

สอบถามเพิ่มเติม ติดต่อ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด (ณัฐธินี พยุงวงค์) โทร. 0-2232-8826, 08-9145-5422

E-mail : nuttinee.payungwong@lemeridien.com

นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @เขาชะงุ้ม จ.ราชบุรี

เรื่อง/ภาพ สุเทพ ช่วยปัญญา สำนักข่าวท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดราชบุรี สมาพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (สสทท.) สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) บริษัท เมืองไทย ครีเอทีฟ แอนด์ ทัวร์ จำกัด และสำนักข่าวท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม (สทส.) จัดกิจกรรม “นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @ เขาชะงุ้ม ราชบุรี” เยี่ยมชม โครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม ทำกิจกรรมปลูกหญ้าแฝก  ซื้อของฝากพืชผักสวนครัวจากร้านในโครงการเขาชะงุ้ม ชมความงามอุทยานหินเขางู กราบพระพรมน้ำมนต์ในถ้ำเขางู ถวายเทียนพรรษาที่วัดหนองหอย ดื่มกาแฟยามบ่าย @ KON RUK SUAN CAFE ขอพรเจ้าแม่กวนอิม วัดหนองหอย ช้อปสินค้าโอท็อป กาดวิถีชุมชนคูบัว ราชบุรี
คุณสัญชัย สวัสดี หัวหน้างานโฆษณาและส่งเสริมการท่องเที่ยว การรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย คุณจุไรรัตน์ ชัยทวีทวัทรัพย์ รองผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานราชบุรี  และ คุณกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) ร่วมต้อนรับนักท่องเที่ยว นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @เขาชะงุ้ม ราชบุรี สถานีจุฬาลงกรณ์ ราชบุรี นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @ เขาชะงุ้ม ราชบุรี” ทริปนี้ไม่ได้เป้น One Day Trip เหมือนที่เพชรบุรี และกาญจนบุรี แต่เป็นแบบค้าง 1 คืน 2 วัน รถไฟ KIHA 183 มาถึง สถานีจุฬาลงกรณ์ ราชบุรี ในเวลา 9.30 น. นักท่องเที่ยวจำนวน 200 คน เต็มทุกที่นั่ง ทยอยลงจากรถไฟ เพื่อเดินไปขึ้นรถบัส 5 คัน จอดรออยู่แล้วที่ข้างสถานี โดยมีเจ้าหน้าการรถไฟช่วยนักท่องเที่ยวขนกระเป๋า ชี้ป้ายบอกทางไปยังรถบัส แยกตามสีป้ายคล้องคอที่ได้รับต้อนลงทะเบียนในตอนเช้า โครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม ตามพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 จุดแรกที่มาถึงก็คือ โครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม ตามพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 นักท่องเที่ยวแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ขึ้นรถรางเข้ารับฟังการบรรยายในห้องประชุม ถึงประวัติความเป็นมาที่ได้รับบริจากมา เดิมเป็นบ่อดินลูกรังที่ถูกหน้าดินขายไปหมดแล้ว วัถตุประสงค์เพื่อทำการทดลองฟื้นฟู บำรุงดิน ให้กลับมาใช้เพาะปลูกได้ และทำกิจกรรมปลูกหญ้าแฝก ในโครงการฯ ส่วนกลุ่มที่ 2 รวมกลุ่มกันถ่ายรูปหมู่กับป้ายหน้าโครงการฯ เสร็จแล้วใครจะถ่ายรูปเช็คอินส่วนตัวก็เชิญตามสบาย จากนั้นก็นั่งรถราง ชมฐานกิจกรรมต่างๆของโครงการฯ อ่างเก็บน้ำเขาชะงุ้ม ต้นไม้ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงปลูก และแวะถ่ายรูปหมู่กันที่ฐานปลูกผักสวนครัวกันอีก 1 จุด  มื้อกลางวันทานอาหารท้องถิ่นแบบโต๊ะไทย นั่งรถรางชมฐานกิจกรรมต่างๆเสร็จแล้วก็ได้เวลา มื้อกลางวันทานอาหารท้องถิ่นแบบโต๊ะไทย เมนูประกอบไปด้วย น้ำพริงกะปิชะอมชุบไข่ทอด แกงคั่วหมูผักทอง ไข่พะโล้หมูเต้าหู้ ปลานิลทอดสมุนไพร และผัดผักรวมมิตรน้ำมันหอย ปิดท้ายด้วยของหวานกล้วยบวชชี อร่อยรสชาติ แบบท้องถิ่น ทุกเมนู กิจกรรมปลูกหญ้าแฝก ป้องกันหน้าดินพังทะลาย หลังอาหารมื้อกลางวัน นักท่องเที่ยวร่วมกันทำกิจกรรม ปลูกหญ้าแฝก ป้องกันหน้าดินพังทะลาย ตามพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 เจ้าหน้าที่โครงการฯ ได้เตรียมต้นกล้าหญ้าแฝกต้นเล็ก อยู่ในถุงดำเล็กวางเรียงรายอยู่ในร่องดินที่เจ้าหน้าที่ขุดเตรียมไว้ พร้อมปลูก นักท่องเที่ยวลงจากรถราง มาถึงก็ต้องเช็คอินถ่ายรูปกับต้นกล้าหญ้าแฝกเพื่อลงโซเซียนกันก่อน เพียงแค่แกะถุงดำออกให้เหลือแต่ต้นกล้าหญ้าแฝก แกะเสร็จก็วางลงไปในร่อง แล้วเอาดินที่ขุดเป็นร่องอยู่ข้างๆกลบต้นกล้าลงไป ใครจะปลูกกี่ต้นก็ได้ตามอำเภอใจ จากนั้นก็ไปเอาฝักบัวรดน้ำมารดให้ต้นกล้าได้ชุ่มช่ำสดชื่น มีน้ำเพียงพอในการฟื้นตัว หลังจากที่นักท่องเที่ยวปลูกหญ้าแฝกเสร็จกลับไปแล้ว แต่เจ้าหน้าก็ยังต้องดูแลให้หญ้าแฝกเจริญเติบโตต่อไปได้ อุทยานหินเขางู แหล่งระเบิดหินเก่ากลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว  อุทยานหินเขางู ตั้งอยู่ที่ ตำบลเกาะพลับพลา อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เดิมเป็นแหล่งระเบิดหินเอาไปทำปูนซีเมนต์ และทำหินผสมคอนกรีต มาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อมาภาครัฐและเอกชนมีมติให้ยกเลิกสัมปทานระเบิดหิน เพราะสภาพภูมิประเทศในบริเวณนั้นเสื่อมโทรมลงอย่างมาก เกิดเป็นแอ่งน้ำลึกไปตาม 5 ล่องเขา ต่อทางจังหวัดราชบุรีจึงได้พัฒนาเขางูให้เป็นสวนสาธารณะ และสถานที่ท่องเที่ยว แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น อุทยานหินเขางู  เช้าวันใหม่นักท่องเที่ยวทานอาหารเช้าที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางมาที่ อุทยานหินเขางู เพื่อมาถ่ายรูปหมู่ กันบนสะพานแขวงสัญลักษณ์ของอุทยานหินเขางู เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไปท่องเที่ยวตามจุดต่างๆของอุทยานฯ ซึ่งก็มีหลายจุดให้ท่องเที่ยว บางกรุ๊ปก็เดินเที่ยวชมธรรมชาติสวยงามไปตามเทรล จะเช่าเรือถีบล่องแอ่งน้ำเพลินๆ หรือซื้ออาหารปลาเลี้ยงปลาคราฟก็ได้ กราบพระรับพรมน้ำมนต์ที่ ถ้ำฤาษีเขางู  ในบริเวณ อุทยานหินเขางู ยังมี ถ้ำฤาษีเขางู ให้นักท่องเที่ยวได้มากราบพระรับพรมน้ำมนต์ได้อีกจุดหนึ่ง ด้านหน้ามีพระพุทธรูปสลักหินปางลีลาขนาดใหญ่ เต็มพื้นที่หน้าผา สร้างจากการยิงแสงเลเซอร์ลงบนหน้าผาหินให้เป็นรูปองค์พระแบบนูนตำ่ ลงรักปิดทองเหลืองงามตา เหนือพระเศียรประดับด้วยฉัตรเงิน 8 ชั้น ด้านข้างองค์พระใหญ่มีศาลเจ้าพ่อเขางู ให้กราบบูชาก่อนถึงไปยังถ้ำฤาษี  ภายถ้ำฤาษี มีพระพุทธรูปสลักหินนูนต่ำ สมัยทราวดี 2 องค์ มีพระพุทธรูปปางแสดงธรรม และปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ อยู่ที่ผนังถ้ำ นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังขอพรรับพรมน้ำมนต์จากพระสงฆ์ ที่มาจำวัดอยู่ในถ้ำนี้ได้ด้วย ถวายเทียนพรรษา วัดหนองหอย ช่วงบ่ายคณะนักท่องเที่ยวไปร่วมกันถวายเทียนพรรษาที่ วัดหนองหอย เนื่องจากวันเข้าพรรษาในวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 ที่จะเวียนมาถึง ทางวัดได้จัดเก้าอี้ให้นักท่องเที่ยวนั่งทำกิจกรรมทางสงฆ์ได้อย่างสะดวกสบาย นายสัญชัย สวัสดี หัวหน้างานโฆษณาและส่งเสริมการท่องเที่ยว การรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นประธานถวายเทียนพรรษา นางสาวจุไรรัตน์ ชัยทวีทวัทรัพย์ รองผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ถวายเครื่องอัฐบริขาร ตัวแทนคณะนักท่องเที่ยวถวายเงินบริจาค จากนักท่องเที่ยว เป็นจำนวนเงิน 27,100 บาท เสร็จแล้วถ่ายรูปหมู่กันที่บันไดหน้าศาลาการเปรียญ วัดหนองหอยเป็นอันเสร็จพิธี ดื่มกาแฟยามบ่าย @ KON RUK SUAN CAFE เสร็จจากถวายเทียนพรรษาแล้วก็มาพัก  ดื่มกาแฟยามบ่าย @ KON RUK SUAN CAFE กันได้ตามอัธยาศัย ใครใคร่ดื่ม อเมริกาโน เอสเปรสโซ ลาเต้ คาปูชิโน ชาเขียว ร้อนเย็น มีให้เลือกดื่มหลากหลายเมนู ภายในบริเวณร้านก็มีมากหลายบรรยากาศ ร้านเมนหลักรับออเดอร์ลูกค้ากว้างขวางใหญ่โต รองรับลูกค้าได้อย่างเพียงพอ ตัวอาคารติดกระจกโดยรอบให้ความโปร่งสบาย นอกจากนี้ยังมีห้องต่างๆให้ลูกค้าเลือกใช้บริการได้หลายรูปแบบ บรรยายกาศแบบการ์เดน นั่งทานกาแฟในสวน ก็มีให้นั่งถ่ายรูปเก๋ๆได้หลายมุม ขอพรเจ้าแม่กวนอิม วัดหนองหอย ราชบุรี ตรงข้ามวัดหนองหอยมี หอเจ้าแม่กวนอิม ให้นักท่องเที่ยวไปกราบขอพร ให้ชาวพุทธมามกะมาถือศิลกินเจ และมีอาหารเจให้ทานฟรี ทานเสร็จจะใส่ตู้บริจาคได้ตามกำลังศรัทธาก็สามารถทำได้  ภายใน หอเจ้าแม่กวนอิม มีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมอยู่หลายองค์ ให้นักท่องเที่ยวได้กราบขอพรอย่างทั่วถึง ทั้งองค์ใหญ่องค์เล็ก มีรูปปั้นหลวงปู่ทวด พระสังกัจจายน์ให้นักเที่ยวเสี่ยงทายโยนเหรียญ และสุดท้ายก็คือจุดชมวิวที่มองได้กว้าง 180 องศา สวยงาม ช้อปสินค้าโอท็อป กาดวิถีชุมชนคูบัว  ปิดท้ายทริปนี้ด้วยการมาซื้อของฝากที่ กาดวิถีชุมชนคูบัว ตั้งอยู่ในบริเวณ วัดโขลงสุวรรณคีรี อ.เมือง จ.ราชบุรี ลงจากรถบัสแล้วก็มาถ่ายรูปกับพระพุทธปางสมาธิองค์ใหญ่ ที่อยู่หน้ากาดกันก่อน  ทางขวาของกาดยังมี เมืองโบราณคูบัว ให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันอีก 1 จุด เมืองโบราณคูบัวเป็นเมืองเก่าสมัยทราวดี ทรงสี่เหลี่ยมพื้นผ้า มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ขุดค้นพบประติมากรรมปูนปั้น และดินเผา ที่ใช้ประดับอาคาร เช่น พระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ เทวดาหรือบุคคลชั้นสูง ปัจจุบันจัดแสดงอยู่พิพพธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี ก่อนเข้ากาดก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันอีกแล้ว ภายตลาดมีการแสดงย้อนยุคไทยวนบนเวที สินค้าโอท๊อปในชุมชนให้เลือกซื้อหลากหลาย อาหารก็มีผัดไทยกระธงดอกบัว ขนมจีนน้ำยาไข่ต้ม แต่ที่นักท่องเที่ยวตามหากันก็คือร้านหัวไชโป๊ราชบุรี เจอร้านแล้วปรากฏว่านักท่องเที่ยวพากันซื้อเหมาหมดร้านเรียบร้อย  “นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @ เขาชะงุ้ม ราชบุรี จัดขึ้นเมื่อวันที่ 22-23 กรกฎาคม 2566 

ติดตามข่าวสาร จองทริปต่อไปของรถไฟ KIHA 183 และสามารถโหลดรูปที่เจ้าหน้าที่การรถไฟถ่ายให้ในทริปนี้ ได้ทางเพจ Feacbook ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย 

Beautiful Italian, Tempo Wine Event @Le Meridien Bangkok

Italy ประเทศในฝันของใครหลายคน เป็นดินแดนที่รุ่มรวยด้วยประวัติศาสตร์และอารยธรรมโบราณของอาณาจักร Roman งดงามด้วยธรรมชาติชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสีน้ำเงินครามเข้มข้น ที่สำคัญคือ Italy เป็นเจ้าพ่อแห่งการผลิตไวน์ชั้นเลิศของโลก ทั้ง 20 แคว้น มีองุ่นสายพันธุ์ท้องถิ่นที่ใช้ผลิตไวน์ขาวและแดง อยู่ไม่น้อยกว่า 350 สายพันธุ์เลย

ค่ำคืนนี้เรากำลังจะได้สัมผัสส่วนเสี้ยวหนึ่งของ Italian Wine ชั้นเลิศ 5 ตัว ที่ Cafe’ Buongiorno บริษัทนำเข้า Boutique Wine ร่วมกับ Tempo Barโรงแรม Le Meridien Bangkok จัดคอกเทลไวน์เทสติ้ง  “Beautiful Italian” เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2023
Tempo Bar ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ของโรงแรม Le Meridien Bangkok ตกแต่งบรรยากาศหรูเรียบ เหมาะมาพบปะสังสรรค์กันในบรรยากาศเป็นกันเอง ตั้งแต่เวลา 17.00-23.00 น. พร้อมเสิร์ฟอาหารฟิวชั่น และไวน์คุณภาพเยี่ยมในแบบ Sommelier Selection ที่ใครๆ ก็ติดใจ (Contact 0-2232-8888, 0-2232-8999)
ขอบอกว่าแสงสียามค่ำคืนที่ Tempo Bar สวยงาม จับตาจับใจมาก
Mr. Dieter Ruckernbauer / General Manager, Le Meridien Bangkok ยินดีต้อนรับทุกท่าน
Mr. Marco Cammarata / Executive Chef , Le Meridien Bangkok เชฟมากฝีมือชาวอิตาเลียนแท้  รังสรรค์ความอร่อยหลากเมนูอย่างใส่ใจ ให้แขกผู้มาเยือน
คุณ Waraporn Viyanut / Senior Bartender ของ Tempo Bar คอยดูแลอาหารและเครื่องดื่มตามสไตล์ที่คุณต้องการ
คุณ Thanawan Sawangsub (Mind), Food & Beverage Manager / คุณ Nuttinee Payungwong (Tik), Marketing Communications Manager / คุณ Waraporn Viyanut, Senior Bartender Tempo Bar
Mr. Akarawit Jintanakarn / Director of Food & Beverage, Le Meridien Bangkok เตรียมอาหารและเครื่องดื่มชั้นเลิศ ไว้บริการทุกท่านอาหารชั้นเลิศ ก็ต้องคู่กับ Italian Wine ชั้นยอด
DJ เปิดเพลงสนุกสนาน สร้างบรรยากาศเพลิดเพลิน น่าจดจำที่ Tempo Bar
Mr. Akarawit Jintanakarn, Director of Food & Beverage กล่าวต้อนรับ และพูดถึง Italian Wine ทั้ง 5 ตัว ซึ่งนำเข้าโดย Cafe’ Buongiorno บริษัท Wine Importer ที่มีชื่อเสียง ทำให้เราได้สัมผัสไวน์สายพันธุ์หายากจากภูมิภาคต่างๆ ของอิตาลีไวน์ชั้นเลิศทั้ง 5 ตัวในคืนนี้ ผลิตขึ้นอย่างพิถีพิถันโดย ARRIGONI Vineyard ซึ่งทำไวน์ต่อเนื่องกันมา 4 ชั่วอายุคนแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1913 ปัจจุบันจึงมีความเก่าแก่ถึง 110 ปี ไร่องุ่นส่วนใหญ่ของเขาตั้งอยู่ในพื้นที่ World Heritage Site ของ UNESCO ด้วย (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)เรียกน้ำย่อยและสร้างความสดชื่นด้วย Sparkling Wine ตัวแรก Otello Prosecco” มาตรฐานสูงระดับ DOC มีความ Extra Dry คือหวานกลางๆ แต่ยังคงความสดชื่นหอมหวานโดดเด่นของกลิ่น Green Apple ผสานกลิ่นอัลมอนด์ และดอกไม้สีขาว เหมาะเสิร์ฟเย็นฉ่ำที่อุณหภูมิ 8-11 องศาเซลเซียส จึงสัมผัสได้ถึงความ peak ของกลิ่น รส และเนื้อสัมผัสนุ่มลื่นที่แท้จริง เนื้อไวน์สีฟางอ่อน (Pale Straw) และมีพรายฟองเล็กละเอียดน่ารักดี เหมาะรับประทานคู่กับเมนูปลา หรือ seafood

Otello Processo ผลิตที่ เมืองเทรวิโซ่ (Treviso) แคว้นเวเนโต้ (Veneto) ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี ซึ่งอากาศเย็น ภูมิประเทศเป็นหุบเขา โดยผลิตขึ้นจากองุ่นพันธุ์ เกลียร่า (Glera) ซึ่งเหมาะในการทำ Prosecco ที่สุดOtello Prosecco แพริ่งกันได้ดีกับ “ซิกเคติ” (Cicchetti) อาหารอิตาเลียนสไตล์ภาคเหนือของชาวเวเนเชียน “ซิกเคติ” แปลว่า “อาหารจานเล็ก” หรืออาหารที่เสิร์ฟมาเป็นคำเล็กๆ และยังหมายถึง “อาหารทานเล่น” หรือ “อาหารว่าง” ได้ด้วย ซิกเคติคืนนี้มีส่วนผสมหลักของปูม้า กับปลา Crostini’s Whisked Cod และน้ำมันมะกอกอย่างดี กัดคำนึง จิบ Otello Prosecco อึกนึง ช่วยเสริมรสชาติกันได้ยอดเยี่ยมเพิ่มดีกรีความสนุกกับ “MANON” ไวน์ขาวอันโด่งดังจาก แคว้นเวเนเซีย (Venezia) ผลิตที่เขตฟริอูลี (Friuli) ทางภาคเหนือของอิตาลี โดยใช้องุ่นพันธุ์ ปินอต กริจิโอ (Pinot Grigio /กลายพันธุ์มากจาก Pinot Noir) ซึ่งถือเป็น ปินอต กริจิโอ ที่ดีที่สุดของอิตาลีเลยทีเดียว ตัวนี้มาตรฐานสูงระดับ DOC ให้สีฟางอ่อน แต่กระทบแสงเป็นประกายสีทอง ตัวไวน์มีความ balance ยอดเยี่ยม ของความ Full Body กลิ่นผลไม้หอมเข้มข้น รสชาติหวานน้อย เปรี้ยวน้อย และแทบไม่ติดขมเลยเมื่อกลืนไปแล้ว ทิ้งความหอมหวานชื่นใจไว้ในปาก เหมาะรับประทานคู่กับเนื้อสีขาวอย่างปลา ไก่ หอย และ seafood เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 10-12 องศาเซลเซียส ยอดเยี่ยมที่สุดMANON Pinot Grigio เหมาะแพริ่งกับ “เซวิเช่ มิกซโต้” (Ceviche Mixto) ซึ่งมีส่วนผสมลงตัวของปลากะพง, มันเทศหวาน, เมล็ดข้าวโพด คลุกเคล้าด้วยซอส Coconut Lime เผ็ดนิดๆ ชิมแล้วให้ความละมุนลิ้น กลิ่นไม่แรง ชอบเลยครับ
เข้าสู่โหมด Red Wine ชื่อดังของโลกจาก เกาะซิซิลี (Sicily / คนอิตาเลียนเรียก “ซิซิเลีย”) SIMON B” มาตรฐานระดับ  IGT ซึ่งใช้องุ่นพันธุ์หายาก เนโร ดาโวล่า (Nero D’Avola) มาบ่มหมักอย่างใส่ใจ องุ่นแดงพันธุ์นี้มีปลูกเฉพาะที่เกาะซิซิลีเท่านั้น Character มีความ Full Body กลิ่นรสเทียบเท่าองุ่นพันธุ์คาเบอร์เน่ต์ โซวิญอง (Carbernet Sauvignon) จากแคว้นบอร์โด (Bordeaux) ของฝรั่งเศสเลยทีเดียว แต่ทิ้งความ Fruity ไว้ในปากมากกว่า น้ำไวน์สีทับทิมอมแดงเข้มข้น แทนนินนุ่มลื่น เปรี้ยวน้อย มีกลิ่น Blueberry ชัดเจน เหมาะรับประทานคู่กับเนื้อสีแดง เนื้อย่าง สเต็กเนื้อ ซี่โครงแกะย่าง รวมถึง Risotto (ข้าวผัดครีมข้นอิตาเลียน) เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 16-18 องศาเซลเซียส เริ่ดสุด

ชื่อ Nero D’Avola มาจากคำว่า “Nero” แปลว่า “สีดำ” ของผลองุ่นเมื่อแก่เต็มที่เปลือกจะกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ และ “Avola” เป็นชื่อหมู่บ้านทางชายฝั่งตะวันออกของเกาะซิซิลี ซึ่งองุ่นพันธุ์นี้ถือกำเนิดขึ้นมา Nero D’Avola จึงได้สมญามากมาย เช่น สิงห์ดำแห่งซิซิลี และองุ่นดำแห่งหมู่บ้านอะโวล่า นอกจากนี้ยังได้ฉายาว่า “The Godfather Wine” เพราะถูกนำไปโยงกับหนังเรื่อง The Godfather ของตระกูลคอร์เลโอเน่แห่งซิซิลีด้วย

จริงๆ แล้วซิซิลียังมีไวน์ดีๆ ให้ชิมอีกเพียบ ไวน์แดงยังมี Nerello Mascalese, Perricone และ Frappato ส่วนไวน์ขาวที่ห้ามพลาด เช่น Catarratto, Carricante, Insolia และ Grillo นอกจากนี้ยังมี Marsala Wine ซึ่งเป็นไวน์ปรุงแต่ง (Fortified Wine) ที่เติมแอลกอฮอล์ปริมาณสูง และค่อนข้างหอมหวาน ปกตินิยมจิบเป็นแก้วเล็กๆ จบมื้ออาหาร และเชฟทั่วโลกชอบนำไปใช้ปรุงอาหารในครัว

SIMON B Nero D’Avola แพร่ิงได้ยอดเยี่มกับ “อารันชินี่” (Arancini) คือข้าวรีซอสโตปั้นเป็นก้อน คลุกเคล้าเกล็ดขนมปัง นำไปทอด สอดไส้ด้วยเนื้อวัวตุ๋น, ถั่วพิสตาชิโอบดละเอียด ผสมกับชีสอร่อยๆ อย่าง Stracciatella Espuma ที่นิยมรับประทานกันในภาคใต้สุดของอิตาลี
เดินทางจากภาคใต้ของอิตาลี ขึ้นมาตรงรอยต่อภาคเหนือ-ภาคกลาง ณ “แคว้นทอสคานา” (Toscana หรือ ทัสคานี / Tuscany) แคว้นใหญ่ชายฝั่งตะวันตก ที่ได้รับลมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งปี กอปรกับมีภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับหุบเขา กลางวันร้อน กลางคืนหนาว เช้ามีหมอก จึงกลายเป็นยูโทเปียของการผลิตไวน์ชื่อก้องโลก

คืนนี้เราได้จิบไวน์แดง “Pietraserena In NERO” มาตรฐาน IGT ผลิตจากองุ่นพันธุ์ “เวอร์เมนติโน่ เนโร” (Vermentino Nero) ซึ่งเคยเกือบจะสูญพันธุ์ไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเพิ่งได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาจนแพร่หลายอีกครั้ง ไวน์ตัวนี้ผลิตที่ เมืองซาน จิมิกนาโน (San gimignano) ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นเนินเขา และดินมีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ เนื้อไวน์สีแดงทับทิม (Red Ruby) ค่อนไปทางสีแดงโกเมน (Garnet) เนื้อไวน์ Full Body ให้รสกลิ่นไม่ซับซ้อน ไม่หวาน แทนนินนุ่มลื่นกำลังดี เข้ากันได้ยอดเยี่ยมกับพวก Cold Meat อย่างไส้กรอก, Tuscan Pasta และพิซซ่า
คืนนี้ Pietraserena In NERO นำมาแพริ่งกับ “Pork Belly” หรือหมูสามชั้น เสิร์ฟไซต์เล็กๆ พอดีคำ โดยเชฟนำหมูสามชั้นไปทำให้สุกช้าๆ แบบ Slow-cooked นานถึง 12 ชั่วโมง ร่วมกับ Red Wine Pear แต่งกลิ่นรสเพิ่มด้วยกระเทียม และใบโหระพาอิตาเลียน จิบไวน์แดงเข้าไปก่อนนิดนึง แล้วกิน Pork Belly ตาม รสชาติเปลี่ยนไปบนลิ้น นับว่าแปลกดี ยกนิ้วให้มาถึงพระเอกของค่ำคืนนี้คือ “Poggio Al Vento” ไวน์แดงมาตรฐานสูงระดับ Chianti Colli Sensi, DOCG ซึ่งเคยได้รับรางวัลจากการประกวดมาแล้วกว่า 10 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995-2017 ไวน์แดงชั้นเลิศของแคว้นทอสคานาตัวนี้ ผลิตจากองุ่น “ซานโจเวเซ่” (Sangiovese) เพียวๆ ถือเป็นพันธุ์องุ่นที่ปลูกมากที่สุดในอิตาลี เป็นองุ่นพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของทอสคานา และได้ฉายาว่า “โลหิตแห่งพระเจ้า” (The Blood of God) ด้วยเนื้อไวน์สีแดงทับทิมเข้มข้น ฉายานี้ตั้งเป็นเกียรติแด่เทพเจ้าแห่งสายฟ้า (Zeus) หรือที่คนกรีกและโรมันเรียกว่า Jupiter หรือ Jove นั่นเอง Sangiovese เป็นองุ่นที่เกิดมาเพื่ออาหารอิตาเลียนโดยแท้ เพราะมี Acidity (ความเปรี้ยว) ค่อนข้างมาก จึงกลบความเลี่ยนของชีส พาสต้า รวมถึงเป็นไวน์ไม่กี่ชนิดที่รสชาติยังคงอยู่ เมื่อรับประทานคู่กับอาหารที่มี Tomato Sauce

Character ของไวน์แดงตัวนี้ มีกลิ่นหอมหวาน ของ Blackberry ชัดเจนมาก ร่วมกับกลิ่น Raspberry, วานิลลา, อัลมอนด์, ดอกไวโอเล็ต น้ำไวน์มีรสนุ่มลื่นราวแพรไหมเมื่อสัมผัสลิ้น กลิ่นรสซับซ้อนมาก เกิดจากการบ่มหมักเป็นเวลานานก่อนบรรจุขวด ตามข้อกำหนดเคร่งครัดของไวน์ระดับ Chianti DOCG คือ 2.5 ปี, 2 ปี, 1 ปี, 9 เดือน และ 6 เดือน หากจะลิ้มลอง Sangiovese ที่ดีที่สุด ต้องมาจากเขต Chianti ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเมือง Florence และ Siena ครับ“Poggio Al Vento Sangiovese” นำมาแพริ่งได้ยอดเยี่ยมกับ “ทาลิอาตะ” (Tagliata) หรือเนื้อวัวย่าง Medium-Rare สไตล์อิตาเลียน สไลด์เป็นชิ้นบางๆ โดยเชฟใช้เนื้อเซอร์ลอยน์สันนอก กินคู่กับแตงซูกินีย่าง มะเขือเทศ ราดซอสบัลซามิคมะกอกดำ นับว่ารสชาติเข้าคู่กับไวน์แดงขวดนี้อย่างยอดเยี่ยมสุดๆ ราวฟ้าประทานเลยเชียว!นอกจากไวน์ทั้ง 5 ตัวดังกล่าวแล้ว ที่ Tempo Bar ของโรงแรม Le Meridien Bangkok ยังมีเครื่องดื่มพิเศษอีกชนิดให้ลิ้มลอง คือ “ไวน์อุ่น” (Mulled Wine) ซึ่งแถบยุโรปนิยมดื่มกันในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ไวน์อุ่นมีประวัติย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 14 เลย ยุคนั้นมีเฉพาะพวกขุนนางชั้นสูงที่ดื่มกัน โดยบ่มหมักไวน์อุ่นในถังไม้เคลือบทองคำ ผสมด้วย ส้ม, น้ำตาล, อบเชย, กานพลู, วานิลลา เพื่อให้เกิดรสชาติกลมกล่อม ภายหลังสามัญชนได้ทดลองนำไวน์อุ่นที่เสื่อมสภาพแล้วมาปรุงใหม่ จนเป็นที่แพร่หลาย ปัจจุบันพบไวน์อุ่นได้ในหลายประเทศ อาทิ อิตาลี, เยอรมนี, สวิตเซอร์แลนด์, ชิลี, ฝรั่งเศส, สวีเดน และโรมาเนีย เป็นต้น
หากใครชอบกินไอศกรีม ลองแวะเข้าไปที่ โรงแรม Le Meridien Bangkok ชั้นล่างมี Italian Gelato อร่อยๆ ของ Cafe’ Buongiornoให้ชิมด้วย เป็นเจลาโต้ที่ผลิตขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญชาวอิตาเลียนแท้ๆ มีหลายสิบรสให้ชิม ราคาก็ไม่แพง แค่แท่งละ 90 บาทเท่านั้น ถ้านึกไม่ออกว่าจะชิมรสอะไร แนะนำ Dark Chocolate ครับสนใจชิมไวน์ทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี และสั่งซื้อไวน์อิตาเลียนหายาก ติดต่อ Cafe’ Buongiorno 

Tel. 06-2494-1649 (คุณพิม)

นั่งรถไฟ KIHA 183 เที่ยวสุขใจแหลมผักเบี้ย จ.เพชรบุรี

ภาพโดย สุเทพ ช่วยปัญญา สำนักข่าวท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม / The Way News.com
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเพชรบุรี สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) เปิดประสบการณ์ใหม่จัดทริป นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @ แหลมผักเบี้ย เพชรบุรีพานักท่องเที่ยวกว่า 400 คน นั่งรถไฟดีเซลรางขบวนพิเศษของ JR Hokkaido ประเทศญี่ปุ่น ไปปล่อยลูกปูม้า ที่หาดทรายเม็ดแรก เยี่ยมชมระบบบำบัดน้ำเสียด้วยธรรมชาติ เดินเทรลศึกษาธรรมชาติป่าโกงกาง ที่โครงการศึกษาวิจัย และพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ฟังการบรรยายการทำนาเกลือ ที่ฟาร์มทะเลตัวอย่างในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และแวะช้อปซื้อของฝากที่ โรงานลุงเอนกขนมหวานเมืองเพ็ชร์ คุณศุภมาศ ปลื้มสกุล หัวหน้ากองโฆษณาและส่งเสริมการท่องเที่ยว ศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต้อนรับคณะนักท่องเที่ยว นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @ แหลมผักเบี้ย เพชรบุรี พร้อมด้วย นางทนาดา วิจักขณะ รองผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเพชรบุรี (ททท.) นายนัทธพงศ์ วิบูลรังสรรค์ หัวหน้ากลุ่มงานกีฬา และนันทนาการ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเพชรบุรี และ นายกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย(สธทท.) ร่วมกับนักท่องเที่ยวปล่อยลูกปูม้า ที่หาดชายเม็ดแรก แหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรีเมื่อวันที่ 1-2 กรกฎาคม 2566คุณศุภมาศ ปลื้มสกุล หัวหน้ากองโฆษณาและส่งเสริมการท่องเที่ยว ศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า “โครงการท่องเที่ยวด้วย รถไฟขบวนรถเพิเศษ KIHA 183 นี้เป็นดำริของท่าน นิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ต้องการให้เกิดการมีส่วนร่วมระหว่างองค์กรท่องเที่ยวต่างๆ กับรฟท. ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด (ทกจ.) สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) และท่องเที่ยวโดยชุมชนต่างๆ อยากเห็นการท่องเที่ยวลงสู่ชุมชนด้วย”“เราได้รับ รถไฟ KIHA 183 จากเกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น มา 17 ตู้ 4 ขบวน มีเสียงออกมาว่าเอามาทำไม ซ่อมไม่คุ้ม แล้วก็ไม่รู้ว่าจะวิ่งได้หรือเปล่า ขนาดรางก็ไม่เท่ากัน แต่รฟท. ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า รถไฟ KIHA 183 ยังสามารถใช้งานได้ ตอนนี้ซ่อมเสร็จแล้ว 1 ขบวน เราก็นำมาวิ่งเป็นรถขบวนพิเศษนำเที่ยว เฉพาะวันเสาร์ และอาทิตย์ แบบ One day trip ไปเช้าเย็นกลับ บางทริปก็เป็นแบบค้างคืน 1 คืน 2 วัน เฉพาะวันเสาร์ และอาทิตย์เช่นกัน โดยในแต่ละเดือนเราจะมี Concept ที่แตกต่างกันไป ในเดือนกรกฎาคมนี้ เราใช้ สืบสาน รักษา ต่อยอด ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่เราจะไปก็จะเป็น โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 หรือชุมชนที่เดินรอยตามศาสตร์พระราชา”“อย่างวันนี้เราใช้ชื่อทริปว่า นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @ แหลมผักเบี้ย เพชรบุรี  เริ่มตั้งแต่ช่วงเช้า นักท่องเที่ยวร่วมกันทำกิจกรรมปล่อยลูกปูม้า ที่หาดทรายเม็ดแรก เสร็จเยี่ยมชม ระบบบำบัดน้ำเสียด้วยธรรมชาติ เดินเทรลศึกษาป่าโกงกาง ที่โครงการศึกษาวิจัย และพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต่อด้วยฟังการบรรยายการทำนาเกลือ ที่ฟาร์มทะเลตัวอย่างในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และแวะช้อปซื้อของฝากที่ โรงานลุงเอนกขนมหวานเมืองเพ็ชร์” รถไฟ KIHA 183 เริ่มออกเดินทางจากสถานีรถไฟหัวลำโพง เวลา 07.00 น. ถึงสถานีเพชรบุรีประมาณ 10.00 น.
นักท่องเที่ยวทยอยกันมาลงทะเบียนแต่เช้าตรู่ พร้อมการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่อย่างอบอุ่นท่านกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) กล่าว่า “นักท่องเที่ยวมาลงทะเบียนวันนี้เต็ม 200 คน ทุกที่นั่ง แสดงให้เห็นถึงกระแสความนิยมการท่องเที่ยวโดยรถไฟ ขบวนพิเศษ KIHA 183 เพื่อไปทำกิจกรรม SCR สืบสาน รักษา ต่อยอด ในโครงการพระราชดำริของจังหวัดเพชรบุรี”รถไฟ KIHA 183 เดินทางถึงสถานีเพชรบุรี เวลาประมาณ 10.00 น. พร้อมอากาศแจ่มใส เหมาะกับการท่องเที่ยวคุณประมวลวิทย์ พฤศชนะ ผู้ช่วยท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเพชรบุรี (เสื้อสีดำ) รอให้การต้อนรับคณะนักท่องเที่ยวที่มากับรถไฟ KIHA 183 ณ สถานีรถไฟเพชรบุรีจากสถานีรถไฟเพชรบุรี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ด้วยรถบัสปรับอากาศอย่างดี สู่อำเภอบ้านแหลม บริเวณ “แหลมหลวง” ซึ่งถือเป็นหาดทรายหาดแรกของฝั่งอ่าวไทย จนได้ฉายาว่า “ต้นทางทราย ปลายทางเกลือ โคลนก้อนสุดท้าย ทรายเม็ดแรก” เพราะในส่วนถัดขึ้นไปทางทิศเหนือจะเป็นหาดโคลนทั้งหมด ลูกปูนับแสนๆ ตัว ถูกจัดเตรียมไว้ในถังพลาสติก ให้นักท่องเที่ยวนำไปปล่อย เติมเต็มความสมบูรณ์ให้ท้องทะเล แหลมหลวงในช่วงกลางวันน้ำทะเลจะลดระดับลง เผยให้เห็นหาดทรายสีน้ำตาลอ่อน เหมาะทำกิจกรรม CSR ปล่อยลูกปูลงทะเล อีกทั้งจุดนี้ยังอยู่ห่างจากธนาคารปูเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้นรอยยิ้มแห่งความสุขในการปล่อยลูกปู  สืบสาน รักษา ต่อยอด เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้ท้องทะเลคุณประมวลวิทย์ พฤศชนะ ผู้ช่วยท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเพชรบุรี  ปล่อยลูกปูม้าที่บริเวณแหลมหลวง ร่วมกับนักท่องเที่ยวที่มากับขบวนรถไฟ KIHA 183ท่านกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) ร่วมกิจกรรมปล่อยลูกปูที่แหลมหลวง เมื่อปล่อยลูกปูเสร็จแล้ว คณะเดินทางต่อไปที่ “ธนาคารปูม้า” อ.บ้านแหลม แหลมผักเบี้ย ณ ร้านโอ้โหปูอร่อย ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของชุมชน เพื่ออนุรักษ์เพิ่มจำนวนปูม้า หลังจากเคยประสบภาวะเสื่อมโทรมลดจำนวนของสัตว์ทะเล ด้วยสาเหตุขาดการดูแลใส่ใจระบบนิเวศสิ่งแวดล้อม ธนาคารปูม้าแหลมผักเบี้ย รับซื้อแม่ปูไข่นอกกระดอง นำลูกปูมาอนุบาลจนแข็งแรง แล้วค่อยปล่อยลงทะเล แม่ปูม้าไข่นอกกระดอง ต้นพันธุ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ แม่ปูม้าหนึ่งตัวสามารถมีไข่ได้ถึง 200,000 ถึง 1 ล้านฟอง ได้เวลาอาหารเที่ยง ก็ถึงเวลาล้ิมลองอาหารทะเลสดอร่อยของเพชรบุรี ณ ร้านโอ้โหปูอร่อย อาหารเที่ยงแบบพื้นบ้านแสนอร่อย ประกอบด้วย ผักชะครามลวก กินกับหัวกะทิและน้ำพริกแดง, ปูม้านึ่ง, ยำสาหร่ายพวงองุ่น, ปลากะพงทอดราดน้ำจิ้มรสเด็ด, หอยตลับผัดใบโหระพา, ต้มยำปลากะพง และไข่เจียวร้อนๆ อิ่มเอมเปรมปรีกับอาหารเที่ยงแล้ว เดินทางเลียบทะเลด้วยรถบัสอีกเพียง 10 นาที ก็ถึง “โครงการศึกษาและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.​ 2534 ในความดูแลของมูลนิธิชัยพัฒนา ตามแนวพระราชดำริของพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ผู้ทรงมีสายพระเนตรยาวไกล จัดเป็นโครงการศึกษาวิจัยและบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีการธรรมชาติ พร้อมให้ความรู้ด้านระบบนิเวศป่าชายเลน จนกลายเป็นแหล่งศึกษาดูงาน และพื้นที่ดูนกสำคัญ ซึ่งนักดูนกทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดี การเยี่ยมชมพื้นที่และกิจกรรมของ โครงการฯ แหลมผักเบี้ย ใช้รถพ่วงนั่งได้คันละ 35 คน แล่นไปตามจุดต่างๆ ใช้เวลารอบละ 25 นาที จุดแรกผ่านไฮไลท์คือ “บ่อบำบัดน้ำเสียด้วยสาหร่ายสีเขียวธรรมชาติ” โดยสูบน้ำเสียจากตัวเมืองเพชรบุรีมาบำบัด พร้อมสามารถเลี้ยงปลาได้เมื่อคุณภาพน้ำดีขึ้น และจับปลาขายได้ทุก 6 เดือน ส่วนน้ำสะอาดที่บำบัดแล้ว สามารถนำไปใช้ประโยชน์หรือปล่อยลงทะเลได้ โดยไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การใช้ต้นหญ้า 7 ชนิด บำบัดน้ำเสีย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดสุดท้ายเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ (Nature Trail) ระยะทางเดินไปกลับ 1800 เมตร เพื่อศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลน จนไปถึงศาลาริมทะเลเปิดโล่ง อากาศสดชื่น นักท่องเที่ยวรถไฟ KIHA 183 เดินชมธรรมชาติ ศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลน ซึ่งเป็นทั้งกำแพงธรรมชาติป้องกันคลื่นลมทะเล และยังอนุบาลสัตว์ทะเลวัยอ่อน เพื่อออกไปเติบโตในห่วงโซ่อาหารทะเลชายฝั่งด้วย ภาพแห่งความสุขอันน่าจดจำ ในการเดินทางสู่แหลมผักเบี้ยกับ รถไฟ KIHA 183 ใครที่ไม่ได้นั่งรถพ่วงไปชมพื้นที่โครงการฯ ก็สามารถเข้าห้องประชุมติดแอร์เย็นฉ่ำ ฟังบรรยายสรุปประวัติที่มาและกิจกรรมของโครงการฯ แหลมผักเบี้ย ถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึกบริเวณด้านหน้าอาคารโครงการฯ แหลมผักเบี้ย ออกจากโครงการฯ แหลมผักเบี้ย ใช้ถนนเส้นเลียบทะเลอำเภอบ้านแหลมไปอีกไม่เกิน 15 นาที ด้านขวามือก็จะพบกับ “โครงการฟาร์มทะเลตัวอย่างแบบผสมผสานตามพระราชดำริ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” ต.บางแก้ว อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.​ 2551 โครงการฟาร์มทะเลตัวอย่างแบบผสมผสานตามพระราชดำริฯ จัดตั้งขึ้นด้วยสาเหตุที่ชาวประมงจับสัตว์ทะเลได้น้อยลง และต้องออกเรือไปไกลขึ้น พื้นที่แห่งนี้จึงศึกษาวิจัยและสาธิตเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จำเป็นทั้งเพื่อการเพาะเลี้ยงและจับสัตว์ทะเลให้มีประสิทธิภาพ และถูกสุขอนามัยมากขึ้นด้วย แต่ละปีจะมีผู้สนใจเข้าศึกษาดูงานนับหมื่นคน พื้นที่กว่า 82 ไร่ ของโครงการฯ เป็นนาเกลือร้างที่ได้รับการบริจาคมา จึงสามารถสื่อถึงเรื่องราว “การทำนาเกลือสมุทร” ด้วยวิธีดั้งเดิม เพราะอำเภอบ้านแหลม จ.เพชรบุรี มีพื้นที่นาเกลืออยู่มากที่สุดของประเทศไทย ไม่น้อยกว่า 33,000 ไร่เกลือทะเลคุณภาพสูงของอำเภอบ้านแหลม สามารถนำมาเพิ่มมูลค่าแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มากมาย โดยเฉพาะเกลือสปา แป้งร่ำเกลือจืด และอื่นๆต้นแม่พันธุ์สาหร่ายพวงองุ่น ชมการเพาะเลี้ยงและคัดแยกสาหร่ายพวงองุ่น นักท่องเที่ยว รถไฟ KIHA 183 ทดลองทำตะแกรงเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่น โครงการฟาร์มทะเลตัวอย่างฯ มีบ่อเลี้ยงสัตว์ทะเลสวยงามนานาชนิดไว้ให้ชมอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น หอยมือเสือ, ปลาดาว, กุ้งมังกร, ปลาการ์ตูน, หอยเป๋าฮื้อ, ปลาสิงโต, ปลาทู, ปลากะรัง, ปลิงทะเล และอีกมากมาย สาหร่ายทะเลสด สามารถเพาะเลี้ยง นำไปแปรรูปเป็นสาหร่ายอบกรอบ และอาหารอุดมคุณค่า

มาถึงฟาร์มทะเลตัวอย่างฯ​แล้ว ต้องไม่พลาดชิมเครื่องดื่มนวัตกรรมใหม่ “น้ำสาหร่ายผมนาง” ที่ดีต่อสุขภาพมาก น้ำรสชาตินุ่มนวล ดื่มง่าย และมีเนื้อสาหร่ายผมนางเนื้อนุ่มคล้ายเส้นเจลลี่ ผิวสัมผัสคล้ายเส้นบุกสุขภาพ แช่เย็นดื่มยิ่งอร่อย
หมุดหมายสุดท้ายของทริปนี้ คือการเดินทางกลับจากแหลมผักเบี้ยเข้าสู่อำเภอเมืองเพชรบุรี เพื่อช้อปปิ้งซื้อของฝากกลับบ้านที่ “ร้านลุงอเนก ขนมหวานเมืองเพ็ชร์” ซึ่งเป็นโรงงานผลิตขนมไทยที่มีมาตรฐานความสะอาดระดับ GHP/HACCP จากสถาบันมาตรฐาน ISO จึงมั่นใจได้เรื่องคุณภาพ ร้านลุงอเนกมีขนมพื้นบ้านไทยหลากหลายให้เลือกชิมเลือกซื้อ ทั้งทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมอาลัว ขนมหม้อแกง ขนมฝอยทองกรอบ ขนมฝอยทองรังนกน้อย กาละแม ฯลฯ ราคาไม่แพง เพราะเป็นแหล่งผลิตเอง ของใหม่สดทุกวัน ขนมหม้อแกงถ้วย เป็น Signature โด่งดังของร้านนี้  ยิ่งแช่เย็นนำมากินยิ่งอร่อย มี 6 รส คือ รสเผือก รสทุเรียน รสกล้วย รสเมล่อน รสฟักทอง และรสถั่ว ท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี (คุณวันเพ็ญ มังศรี) มาต้อนรับคณะนักท่องเที่ยว รถไฟ KIHA 183 ด้วยตนเอง

คุณวันเพ็ญ มังศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี กล่าวว่า “จังหวัดเพชรบุรีพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคน เพราะเรามีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลาย ทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วัดวาอาราม สายมูสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และอาหารการกินที่อร่อย มีไม่ซ้ำกันทั้งสามมื้อ ต้องขอขอบคุณการรถไฟแห่งประเทศไทย และนักท่องเที่ยวหลายร้อยคนในครั้งนี้ ที่เดินทางมาพร้อมรถไฟ KIHA 183 ช่วยสร้างสีสัน สร้างความคึกคัก และช่วยกระจายรายได้ให้เพชรบุรีเป็นอย่างมาก

นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @ แหลมผักเบี้ย เพชรบุรี” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 1- 2 กรกฎาคม 2566

สนใจเดินทางในทริปถัดไป โทร.สอบถามได้ที่ 1690 (สายด่วนการรถไฟแห่งประเทศไทย)