จังหวัดสระแก้วหลากสไตล์ มุมมองใหม่ 2022

“ชายแดนเบื้องบูรพา ป่างามน้ำตกสวย มากด้วยรอยอารยธรรมโบราณ ย่านการค้าไทย-เขมร” นี่คือคำขวัญของ จังหวัดสระแก้ว เมืองชายแดนภาคตะวันออกที่อุดมสมบูรณ์ และหลากหลายด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วิถีชีวิตผู้คน กิจกรรม และอาหารการกิน ผสมผสานกลายเป็นเสน่ห์ให้ไปเยือน ในฐานะเมืองรองที่มีศักยภาพสูงสามารถพัฒนาได้อีกมากในอนาคต
เชื่อหรือไม่ว่า จังหวัดสระแก้ว เป็นจังหวัดซึ่งมีเนื้อที่มากที่สุดในภาคตะวันออก (ประมาณ 7,195.43 ตารางกิโลเมตร) มีชาติพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกันเหมือนพี่น้องไม่น้อยกว่า 6 เชื้อชาติ ทั้ง ญ้อ ลาว ญวน เขมร จีน และไทย
แถมยังเป็นเมืองหน้าด่าน ที่เหมือน HUB มาตั้งแต่ยุคอดีต คือเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางตะวันตก-ตะวันออก (ระหว่างเมืองชายฝั่งทะเลอ่าวไทย-กัมพูชา) และเหนือ-ใต้ (ระหว่างเมืองในลุ่มน้ำโขง ชี มูล กับเมืองชายฝั่งทางจันทบุรี) จังหวัดสระแก้ว จึงกลายเป็นเบ้าหลอมทางอารยธรรมไปโดยปริยายทริปนี้เราร่วมเดินทางไปกับ สำนักงานท่องเท่ียวและกีฬา จังหวัดสระแก้ว สำรวจแหล่งท่องเที่ยวใน 8 อำเภอ (จากทั้งหมด 9 อำเภอ คือ อำเภอเมืองสระแก้ว, อำเภอคลองหาด, อำเภอตาพระยา, อำเภอวังน้ำเย็น, อำเภอวัฒนานคร, อำเภออรัญประเทศ, อำเภอเขาฉกรรจ์, อำเภอโคกสูง และอำเภอวังสมบูรณ์) ค้นหามุมมองใหม่อันน่าประทับใจ นำร่องเพื่อผู้รักการเดินทางทุกท่านเริ่มต้นทักทายจังหวัดสระแก้วกันด้วยธรรมชาติสวยๆ สดชื่น ถ่ายภาพได้น่าตื่นตา กับ “อุทยานแห่งชาติปางสีดา” อำเภอเมืองสระแก้ว เป็นผืนป่าอนุรักษ์ขนาดใหญ่ เนื้อที่กว่า 527,500 ไร่ ให้กำเนิดต้นน้ำลำธาร และมีชื่อเสียงเรื่องการดูผีเสื้อที่มีอยู่ถึง 500 ชนิด ทั้งผีเสื้อกลางวัน (Butterfly) และผีเสื้อกลางคืน (Moth) จัดว่าพบง่าย มากมาย และหลากหลาย โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคมทุกปี ที่นี่ยังมีเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ ศึกษาพรรณไม้ และมีน้ำตกปางสีดา ที่แสนติดตาตรึงใจ
ปางสีดายังเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกทางธรรมชาติของ UNESCO เพราะอยู่ในกลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ประกอบด้วย ป่าเขาใหญ่, ป่าตาพระยา, ป่าทับลาน, ป่าดงใหญ่ และป่าปางสีดา ประกาศเป็นมรดกโลกเมื่อ พ.ศ. 2548
น้ำตกปางสีดา เป็นน้ำตกเล็กๆ ที่สวยงามลงตัว สายน้ำทิ้งตัวลดหลั่นลงมาเป็นขั้นบันไดตามหน้าผาหิน สูงประมาณ 8 เมตร สายน้ำชุ่มฉ่ำเย็นตลอดปี แวดล้อมด้วยผืนป่าเขียวครึ้ม ร่มรื่น เหมาะไปลงเล่นน้ำหรือนั่งพักผ่อนไฮไลท์ของการมาเยือนอุทยานแห่งชาติปางสีดา ในช่วงฤดูฝนเดือนสิงหาคมเช่นนี้ คือการดูผีเสื้อในงานเทศกาลดูผีเสื้อปางสีดา ปี 2565 แม้จะมีเวลาไม่มากแต่เราก็ได้พบเห็นผีเสื้อหลายสิบชนิดออกมาบินต้อนรับ พวกมันมักมารวมตัวกันอยู่ในที่ที่มีดอกไม้ป่าให้ดูดน้ำหวาน หรือจะไปลงเกาะอยู่ตามโป่งดิน โป่งน้ำ ซึ่งมีแร่ธาตุเจือปนอยู่ โดยเฉพาะวันที่มีแดดออก จะพบเห็นผีเสื้อได้มากเป็นพิเศษผีเสื้อปางสีดา กำลังเพลิดเพลินกับน้ำหวานจากดอกพนมสวรรค์ การถ่ายภาพผีเสื้อ โดยให้รบกวนผีเสื้อน้อยที่สุด เป็นการเคารพธรรมชาติ นักถ่ายภาพควรมี Lens Macro 105 mm. หรือใช้ Lens 70-200 mm. ก็ได้ แต่สำคัญที่สุดคือต้องรู้ว่าจะมีผีเสื้อลงบริเวณใดและเมื่อไหร่? ข้อนี้ให้ถามเจ้าหน้าที่ของอุทยานฯ ได้ครับ
ฝูงผีเสื้อสะพายฟ้า ลงมารวมตัวกันที่โป่งใกล้ลำธารอย่าดูผีเสื้อกันจนเพลิน ที่อุทยานแห่งชาติปางสีดายังมีพรรณไม้น่าสนใจมากมาย อาทิ เห็ดถ้วยแชมเปญ ที่มักงอกขึ้นจากขอนไม้ชื้นๆ ผุๆ ในฤดูฝนงานเทศกาลดูผีเสื้อปางสีดา สิงหาคม 2565 จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 17 แล้ว ตัวกิจกรรมหลักคือการดูผีเสื้อจะอยู่ที่ผืนป่าอุทยานแห่งชาติปางสีดา ส่วนในอำเภอเมืองสระแก้ว ก็มีกิจกรรมบนเวทีเปิดตัวงานอย่างยิ่งใหญ่
ความงามของแสงสีในงานผีเสื้อราตรี
อำเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว (เทศกาลดูผีเสื้อปางสีดา สิงหาคม 2565)
เดินทางต่อไปสู่แหล่งท่องเที่ยวมหัศจรรย์ธรรมชาติของจังหวัดสระแก้ว ละลุ อำเภอตาพระยาจริงๆ แล้วละลุมีพื้นที่กว้างขวางถึง 2,000 ไร่ บางส่วนอยู่ในพื้นที่สาธารณะ บางส่วนอยู่ในที่ของชาวบ้าน การเที่ยวชมให้เหนื่อยน้อยสุดจึงต้องนั่งรถอีแต๋นเข้าไป ชาวบ้านเจ้าของพื้นที่ก็จะได้แบ่งส่วนรายได้ด้วย ทำให้เกิดความรักความหวงแหนทรัพยากรท่องเที่ยวของท้องถิ่น ละลุในฤดูฝนสวยเป็นพิเศษ ​เพราะแลเห็นทุ่งนาเขียวๆ ของชาวบ้านอยู่ใกล้ๆ มีจุดชมวิวมุมสูงให้ปีนขึ้นไปดูภูมิทัศน์มหัศจรรย์จากด้านบนด้วย
ละลุ เกิดจากการกัดกร่อนพังทลายของชั้นดินต่างๆ ที่มีความแข็งไม่เท่ากัน ตัวกระทำหลักคือ น้ำฝน ลม และแสงแดด ลักษณะเป็นดินลูกรังสีส้มอมแดงเข้มที่มีแร่เหล็กเจือปนอยู่มาก ทุกปีรูปลักษณ์ของละลุจะเปลี่ยนไป เพราะเกิดการผุกร่อนพังทลายลงเรื่อยๆ เราจึงเห็นเม็ดกรวดทรายเล็กๆ ผุกร่อนลงมากองอยู่บนพื้น เหลือไว้เพียงรูปร่างของแท่งดินที่ชวนให้พิศวง จนได้ฉายาว่า “สโตนเฮนจ์เมืองไทย” ละลุ จังหวัดสระแก้ว มีกระบวนการเกิดขึ้นคล้ายๆ กับแพะเมืองผี จังหวัดแพร่ และเสาดินนาน้อย-คอกเสือ จังหวัดน่านการถ่ายภาพละลุให้ได้สวยสุดคงหนีไม่พ้นตอนเย็นย่ำ พระอาทิตย์คล้อยตำ่แสงอาทิตย์กลายเป็นสีส้ม ยิ่งทำให้สีของละลุดูเข้มข้นขึ้นไปอีกใครสนใจไปเที่ยวละลุ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มละลุโฮมสเตย์ โทร. 0-3724-9708-9, 08-9098-0772อีกหนึ่งความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของจังหวัดสระแก้ว ที่รอการเข้าไปสัมผัส โดยซุ่มซ่อนตัวเองอยู่อย่างเงียบเชียบลึกลงไปใต้พื้นพิภพ คือ “เขาศิวะ” อำเภอคลองหาด (หรือ เขาพระศิวะ, ถ้ำศิวะ, ถ้ำน้ำเขาศิวะ) ลักษณะเป็นเทือกเขาหินปูนขนาดใหญ่ ซึ่งมีส่วนหนึ่งเป็นแท่งหินขนาดยักษ์ยืนเด่นอยู่ แลคล้ายศิวะลึงค์ ใต้ภูเขานี้มีถ้ำน้ำที่ลึกถึง 500 เมตร เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ชอบผจญภัยในแนว Adventure หรือ Eco-Tourismการผจญภัยเข้าสู่ถ้ำน้ำเขาศิวะ เหมาะในฤดูร้อนและฤดูหนาว ส่วนฤดูฝนปริมาณน้ำในถ้ำอาจมากเกินไปจนเป็นอันตรายได้ การเข้าไปท่องเที่ยวต้องติดต่อชาวบ้านให้นำทางเข้าไป โดยมีไฟฉาย ถุงกันน้ำ (Dry Bag สำหรับใส่กล้องกันเปียกน้ำ) และสวมเสื้อชูชีพเข้าไปด้วย เพราะระดับน้ำลึกประมาณ 10-220 เซนติเมตร บางช่วงสามารถเดินลุยน้ำ แต่บางช่วงก็ต้องว่ายน้ำเข้าไป ภายในถ้ำมีหินงอก หินย้อย ม่านหินปูน (Flow Stone) และโพรงลึกที่มีขั้นบันไดหินปูนลดหลั่นสวยงามมาก นับเป็นแหล่งท่องเที่ยว Unseen ที่ท้าทายสุดๆ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ททท. สำนักงานสระแก้ว-นครนายก-ปราจีนบุรี โทร. 0-3731-2284 เขาฉกรรจ์ อำเภอเขาฉกรรจ์  เป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสระแก้ว เพราะเป็นเทือกเขาหินปูนขนาดใหญ่ที่สวยงามแปลกตา 3 ลูกเรียงต่อกัน โดยมีเขาฉกรรจ์เป็นเขาลูกใหญ่สุดตั้งอยู่ตรงกลาง เขามิ่งอยู่ด้านซ้าย และเขาฝาละมีอยู่ด้านขวา มีถ้ำที่สำรวจพบแล้วมากถึง 72 แห่ง อาทิ ถ้ำเขาทะลุ ซึ่งเป็นช่องเขาสองด้านทะลุถึงกัน รอบๆ เขาฉกรรจ์ปัจจุบันยังมีผืนป่าร่มรื่น รวมถึงสวนสาธารณะ และร้านกาแฟวิวหลักล้าน น่าไปนั่งจิบเครื่องดื่ม พร้อมกับชมสวนดอกไม้กับคนรู้ใจ ไฮไลท์อย่างหนึ่งของการมาเที่ยวเขาฉกรรจ์ คือการได้ดูฝูงค้างคาวนับล้านตัวบินออกจากถ้ำไปหากิน โดยพวกมันจะพากันบินออกมาเป็นสายต่อเนื่องนานนับชั่วโมง และจะบินกลับเข้าถ้ำในตอนใกล้เช้าของวันใหม่ จุดชมค้างคาวแบบเจ๋งๆ คือที่ร้านกาแฟรอบๆ เขาฉกรรจ์ ซึ่งได้สร้างหอชมค้างคาวไว้ให้โดยเฉพาะ รวมถึงที่วัดเขาฉกรรจ์ด้วยค้างคาวเขาฉกรรจ์เป็นจำพวกที่ตัวไม่ค่อยใหญ่นัก มองจากระยะไกลคล้ายฝูงนก
เปลี่ยนบรรยากาศไปล่องแพชมธรรมชาติเพลินๆ พร้อมกับกินปลาเขื่อนกันที่ “เขื่อนพระปรง” อำเภอวัฒนานคร  เขาบอกว่าทุกเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม จะมี นกอ้ายงั่ว อันแสนหายากมาหากินอยู่ที่นี่ด้วยเขื่อนพระปรง  เป็นพื้นที่กักเก็บน้ำทางชลประทานที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดสระแก้ว  ความจุมากถึง 97 ล้านลูกบาศ์กเมตร มีพระราชดำริให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2521 โดยพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ในการชลประทานหล่อเลี้ยงการเพาะปลูกของชาวบ้าน ตัวเขื่อนสร้างกั้นลำห้วยพระปรงที่ไหลลงมาจากป่าปางสีดา ตัวอ่างเก็บน้ำทั้งหมดจึงเป็นผืนป่าในอุทยานแห่งชาติปางสีดาที่ถูกน้ำท่วม เหมาะไปล่องแพชมธรรมชาติเพลินๆในระยะเวลา 1-2 ชั่วโมง พร้อมกับสั่งอาหารเมนูปลามานั่งกินบนแพอย่างมีความสุข หรือจะล่องเรือตกปลาก็ได้นะริมเขื่อนพระปรงมีที่จอดรถกว้างขวาง พร้อมกับซุ้มนั่งกินอาหารในแบบลูกทุ่ง
ล่องแพชมธรรมชาติอย่างมีความสุขที่เขื่อนพระปรงอาหารเมนูปลาที่เขื่อนพระปรงเปลี่ยนบรรยากาศมาเที่ยวในแบบวิถีชุมชนกันบ้างที่ “ชุมชนมิตรสัมพันธ์” อำเภออรัญประเทศ เป็นชุมชนชาวญวน หรือชาวเวียดนาม ที่อพยพเข้าสู่ประเทศไทยผ่านทางด่านชายแดนปอยเปต ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489 เพราะต้องหนีภัยสงครามเวียดนาม เมื่อสงครามสงบลง พวกเขาจึงตั้งถิ่นฐานถาวรอยู่ในอำเภออรัญประเทศ ทุกวันนี้ในชุมชนมิตรสัมพันธ์เราจึงเห็นสถาปัตยกรรมการก่อสร้างที่มีกลิ่นอายจีนและเวียดนาม เข้ามาผสานผสมอย่างกลมกลืน โดยเฉพาะที่ วัดมิตรสัมพันธ์ที่วัดมิตรสัมพันธ์ ภายในชุมชน มีพระอุโบสถไสตล์จีน รวมถึงหอระฆังสถาปัยกรรมจีน และหอไตรเสาเดี่ยวกลางน้ำ ที่แปลกตาหาชมยากลูกหลานของชุมชนมิตรสัมพันธ์ในวันนี้ ยังไม่ลืมรากเหง้าถิ่นกำเนิดเดิมของตนเองในประเทศเวียดนาม ยังคงมีการสวมชุดอ๋าวหญ่าย หมวกทรงแหลม และในโรงเรียนยังอนุรักษ์การแสดงแบบเวียดนามด้วยความน่ารักของน้องๆ เชื้อสายญวนในชุมชนมิตรสัมพันธ์ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้วมาถึงชุมชนชาวญวนแท้ๆ ทั้งทีก็ต้องขอลองชิมอาหารเวียดนามอร่อยๆ กันที่ “ร้านยายต๊าม” เป็นร้านอาหารเวียดนามเจ้าแรกของอำเภออรัญประเทศ  เปิดมานานกว่า 60 ปี เมนูน่าลิ้มลองมีเพียบ เช่น แหนมเนือง, จ้างหล่อง, บั๋นหอย (หมี่หน้าหมู), ยำหมูยอ, ส้มตำเวียดนาม, หว๋อนก๊วน (เปาะเปี๊ยะสด), ข้าวต้มญวน (ข้าวต้มเลือดหมู), ก๊าจ๋า, จ๋าเจียง, ขนมเบื้องญวน, ข้าวเกรีบบปากหม้อ, กุ้งพันอ้อย และอีกมากมาย
(ร้านยายต๊าม ชุมชนมิตรสัมพันธ์ อำเภออรัญประเทศ โทร. 08-1559-8664, 0-3723-1794)
ข้าวต้มเลือดหมูสไตล์ญวน ว่ากันว่าหาชิมได้เฉพาะที่อำเภออรัญประเทศเท่านั้น เช้าๆ มีขายในตลาดแค่ไม่กี่เจ้า
ไปท่องเที่ยวกันต่อที่ “หมู่บ้านทับทิมสยาม 05” อำเภอคลองหาด
เป็นหมู่บ้านที่จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2536 บนพื้นที่ค่ายอพยพเดิม (ศูนย์อพยพที่ 8) ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีลำคลองน้ำใสกั้นพรมแดนเอาไว้ ภัยสงครามทำให้ผู้อพยพหลั่งไหลเข้ามา และเมื่อเหตุการณ์สงบลง จึงมีการจัดตั้งเป็นหมู่บ้านทับทิมสยาม 05 พร้อมด้วยการนำโครงการพระราชดำริเข้ามา ทั้งเกษตรกรรมและเลี้ยงโคนม ปัจจุบันหมู่บ้านมีเนื้อที่กว่า 9,960 ไร่ รวม 150 หลังคาเรือน และมีคนอาศัยอยู่เกือบ 800 คน นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาขับรถเที่ยวชม จะเห็นแบบแปลนบ้านที่เหมือนกันทุกหลัง เพราะสร้างขึ้นโดยทุนบริจาคโครงการความร่วมมือไทย-เยอรมนีบังเกอร์หลบระเบิดในอดีต หมู่บ้านทับทิมสยาม 05
ภายในหมู่บ้านทับทิมสยาม 05 มีจุดชมวิวที่ได้นิกเนมว่า “สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย” เพราะมีเทือกเขาล้อมรอบตัวเราทั้ง 360 องศา
พร้อมด้วยร้านกาแฟเปิดใหม่ชื่อ “ร้าน Marugo Park” (โทร. 09-3321-2977) มีทุ่งดอกทานตะวันและแปลงกุหลาบหลากสี ให้ถ่ายภาพอย่างเพลิดเพลิน แถมยังมีลานกางเต็นท์นอนค้างคืนรับลมธรรมชาติด้วย
สวนกุหลาบ ที่ร้านกาแฟ Marugo Park หมู่บ้านทับทิมสยาม 05
ร้านกาแฟ Marugo Park หมู่บ้านทับทิมสยาม 05แปลงดอกไม้ ที่ร้านกาแฟ Marugo Park ค่าเข้าชมครั้งละ 30 บาท/คน
(ขอบคุณภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา เว็บไซต์ The Way News)
ไหนๆ เที่ยวเชิงเกษตร Argo-Tourism กันแล้ว ก็เที่ยวต่อเนื่องที่ “สวนวังน้ำฟ้า” อำเภอวังสมบูรณ์ (โทร. 06-2398-9922, 08-1864-7629) เลยดีกว่า เพราะที่นี่มีอินทผาลัมสดอร่อยให้ชิมสวนไม้ดอกไม้ใบร่มรื่นสวยงาม เข้าชมได้ตลอดปี ที่สวนวังน้ำฟ้า
ความเขียวสดชื่น ของบรรยากาศธรรมชาติในสวนวังน้ำฟ้า
สวนอินทผาลัม สวนวังน้ำฟ้า เริ่มปลูกเมื่อ พ.ศ. 2555  ประมาณ 1,000 ต้น กระทั่งปัจจุบันมีพันธุ์ที่โดดเด่นคือ พันธุ์บาร์ฮี (Barhi) และพันธุ์อาเหม็ด ดาฮาน (Ahmed Dahan) โดยซื้อต้นพันธุ์เข้ามาจากประเทศ UAE แล้วนำมาเพาะเนื้อเยื่อต่อ จึงให้ผลดกดีมาก สวนนี้ขายเฉพาะผลสด ใครอยากชิมต้องมาที่สวนเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีส้มเวียดนาม ส้มโอ และส้มเขียวหวานให้ชิมด้วยอินทผาลัมพันธุ์อาเหม็ด ดาฮาน ของสวนวังน้ำฟ้า ใกล้สุกได้ที่อินทผาลัมพันธุ์อาเหม็ด ดาฮาล  กินผลสดเนื้อหวานกรอบกำลังดีนอกจากอินทผาลัมสดแล้ว ที่สวนวังน้ำฟ้ายังมีน้ำอินทผาลัมให้ชิมด้วย เขาบอกว่าน้ำตาลในน้ำอินทผาลัมเป็น น้ำตาลฟรุกโตส (Fructose) ที่ดีต่อสุขภาพ  แต่ก็ไม่ควรบริโภคในปริมาณมากเกินควรแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร Agro-tourism ที่สำคัญมากอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสระแก้วคือ “โรงเรียนกาสรกสิวิทย์” (หรือโรงเรียนสอนควาย) อำเภอเมืองสระแก้ว โรงเรียนกาสรกสิวิทย์ เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ.​ 2552โดยพระราชดำริของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  เพื่อสืบสานความผูกพันระหว่างควาย (กระบือ) และชาวนาไทย โดยเน้นการสอนควายให้ไถนาเป็น สอนชาวนาให้ทำนาอย่างถูกวิธี อีกทั้งเป็นศูนย์ศึกษาวิจัยสุขภาพควาย พืชอาหารควาย มีแปลงปลูกข้าวนาโยน และห้องวิจัยทางวิทยาศาสตร์ด้วยแปลงปลูกข้าวนาโยน ที่โรงเรียนกาสรกสิวิทย์เกวียนแบบโบราณ อนุรักษ์ไว้ให้ลูกหลานดูที่โรงเรียนกาสรกสิวิทย์
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  ทรงตั้งชื่อให้ร้านกาแฟในโรงเรียนกาสรกสิวิทย์ว่า “ร้านควายคะนอง Coffee & Restaurant” เป็นชื่อเก๋ไก๋ มีกาแฟ Signature หลายตัวต้องชิม เช่น กาแฟควายเผือก หรือลาเต้เย็นเรียนรู้การไถนาร่วมกันระหว่างควายและคน
ควายด่อน หรือควายเผือก ตัวอ้วนพี ที่โรงเรียนกาสรกสิวิทย์มุมนั่งพักผ่อนชมธรรมชาติทุ่งนาสุดชิลที่ โรงเรียนกาสรกสิวิทย์สำหรับใครที่ชื่นชอบขนมพื้นบ้านของจังหวัดสระแก้ว ขอแนะนำให้ไปที่ชุมชนบ้านพร้าว ชิม “ข้าวหลามบ้านพร้าว” อำเภอวัฒนานคร  ของกินของฝากขึ้นชื่อ ที่มีมานานกว่า 50 ปีแล้วข้าวหลามบ้านพร้าวเจ้าแรกที่เป็นต้นตำรับคือ “ข้าวหลามป้าบาง”  ทำมาตั้งแต่ป้าบางอายุแค่ 19 ปี เริ่มจากการหาบขาย เผาด้วยไม้ฟืนแบบดั้งเดิม จนปัจจุบันทำข้าวหลามขายกันทั้งชุมชน ความพิเศษของข้าวหลามบ้านพร้าวคือ เป็นข้าวหลามไส้สังขยาตั้งแต่หัวจรดท้ายลำ มีทั้งข้าวเหนียวขาว ข้าวเหนียวดำ และหน้าสังขยา รสหวานมัน ชุ่มด้วยน้ำกะทิ ใครอยากดูขั้นตอนการเผาต้องตื่นเช้า เพราะชาวบ้านจะเผาข้าวหลามตั้งแต่ตีสามตี่สี่แล้ว  (ข้าวหลามป้าบาง ชุมชนบ้านพร้าว โทร. 08-4782-3377)มาถึงจังหวัดสระแก้วแล้ว ถ้าไม่ได้สัมผัสร่องรอยอารยธรรมขอมบนแผ่นดินสุวรรณภูมิก็ดูจะกะไรอยู่ ห้ามพลาด “ปราสาทสด๊กก๊อกธม” อำเภอโคกสูง เป็นปราสาทขอมขนาดใหญ่และสำคัญที่สุดของจังหวัดสระแก้ว และยังจัดเป็น ปราสาทหินขอมขนาดใหญ่ที่สุดของภาคตะวันออก สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 2 ถึงปัจจุบันก็อายุพันกว่าปีแล้ว โดยทำหน้าที่เป็นเทวาลัยในศาสนาฮินดู ก่อนที่อาณาจักรขอมโบราณจะเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธในภายหลัง
(ขอบคุณภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา เว็บไซต์ The Way News)ปราสาทสด๊กก๊อกธม สร้างด้วยหินทรายและศิลาแลงตามศิลปะคลัง-บาปวน มีการค้นพบหลักศิลาจารึกสด๊กก๊อกธม (หลักที่ 2) จดบันทึกเรื่องราวของชนชาติขอมโบราณ ช่วงระยะเวลานานถึง 200 ปี อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในจำนวนปราสาทนับร้อยแห่งที่สร้างไว้บน “เส้นทางราชมรรคา” หรือ The Royal Roads เชื่อมโยงภาคอีสานของไทย เข้าสู่เมืองพระนครศูนย์กลางอาณาจักรขอมโบราณ
นอกจากนี้ ปราสาทสด๊กก๊อกธมยังเป็นปราสาทหินขอมแห่งแรกในเมืองไทย ที่ได้รับการบูรณะด้วย วิธีอนัสติโลซิส (Anastylosis) เป็นเทคนิคทางโบราณคดีของประเทศฝรั่งเศส คือถอดซากหินที่ปรักหักพัง ใส่หมายเลขกำกับ จากนั้นประกอบขึ้นใหม่ให้เหมือนเดิม ซึ่งวิธีนี้จะใช้ได้กับปราสาทหินเท่านั้น เพราะปราสาทที่สร้างขึ้นด้วยอิฐหากรื้อแล้วประกอบใหม่ อิฐก็จะหักพังหมด
(ขอบคุณภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา เว็บไซต์ The Way News) ก่อนเข้าชมตัวปราสาทสด๊กก๊อกธม จะพบกับ “พิพิธภัณฑ์ปราสาทสด๊กก๊อกธม” (ศูนย์บริการข้อมูล) ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่เอี่ยม รับผิดชอบดูแลโดยกรมศิลปากรภายในศูนย์บริการข้อมูลปราสาทสด๊กก๊อกธรม ให้เข้าชมแบบเดินทางเดียว (เวียนขวา) ห้องแรกเป็น Mini Theater หรือโรงภาพยนตร์ขนาดย่อม ฉายประวัติความเป็นมาอย่างย่อของปราสาทสด๊กก๊อกธม ให้เข้าใจได้อย่างกระชับรวดเร็วโมเดลจำลองเรื่องราวการก่อสร้างปราสาทสด๊กก๊อกธม ย้อนไปเมื่อกว่าพันปีก่อนห้องนิทรรศการให้ความรู้เรื่องปราสาทหินในประเทศไทย
ห้องจัดแสดงเศษซากหินปรักหักพังจาก ปราสาทสด๊กก๊อกธม โมเดลจำลองปราสาทสด๊กก๊อกธม เราตามรอยประวัติศาสตร์อารยธรรมขอมบนแผ่นดินจังหวัดสระแก้วมาที่ “ลานหินตัด” อำเภอตาพระยา หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “สระเพลง” เพราะในคืนวันพระมักได้ยินเสียงเพลงดนตรีไทยแว่วออกมาจากป่า อันเป็นจุดที่ตั้งของแหล่งหินตัดอายุนับพันปีนี้ลานหินตัดตาพระยา (สระเพลง) เป็นแหล่งหินทรายธรรมชาติที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ ค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2523 โดยชาวบ้านที่อยู่ในแถบเทือกเขาพนมดงรัก (ชายแดนไทย-กัมพูชา) ปัจจุบันการเข้าไปชมต้องนั่งรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อ จากหน่วยพิทักษ์อุทยานตาพระยา 1 เข้าไปประมาณ 10 นาที จากนั้นต้องเดินเท้าผ่านป่าไผ่และป่าเบญจพรรณรกทึบขึ้นลงเนิน เข้าไปประมาณ 500 เมตร ก็จะพบกับแนวหน้าผาหินสูง 4-5 เมตร ที่มีร่องรอยการตัดหินเป็นแนวตรงลึกลงในเนื้อหินประมาณ 5 นิ้ว แสดงถึงการใช้เครื่องมือโบราณตัดหินได้อย่างชาญฉลาดและละเอียด นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า เมื่อช่างตัดหินเป็นก้อนๆ เสร็จแล้ว ก็จะใช้ช้างชักลาก หรือล่องหินไปตามลำน้ำ สู่แหล่งสร้างปราสาทหินในเขมร
การท่องเที่ยวที่ลานหินตัดตาพระยา ปัจจุบันยังต้องใช้เจ้าหน้าที่นำทาง และเหมาะสำหรับคนที่มีสุขภาพแข็งแรง สามารถเดินป่าได้จังหวัดสระแก้วมีการท่องเที่ยวเชิงศาสนาด้วย หากใครสนใจกราบขอพรพระเกจิชื่อดัง เชิญที่ “วัดป่าใต้พัฒนาราม” อำเภอวัฒนานคร  กราบ “หลวงปู่บุดดา ปัญญาธโร” พระอริยสงฆ์ผู้มีอายุมากถึง 112 ปี แล้วพระอุโบสถวัดป่าใต้พัฒนาราม สร้างด้วยศิลปกรรมร่วมสมัย มีลวดลายปูนปั้นวิจิตรพิสดารหลวงปู่บุดดา เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2454 เป็นพระอริยสงฆ์ผู้มีเมตรบารมีธรรมสูงส่ง ใบหน้าของท่านจึงมีรอยยิ้มอยู่เสมอ ท่านดำรงตนเรียบง่าย ฉันอาหารพื้นบ้านธรรมดา และยังออกบิณฑบาตรโปรดสัตว์ ลงทำวัตรตามกิจของสงฆ์อย่างเคร่งครัด สิ่งที่ทำให้ท่านโด่งดังอีกอย่างคือ พระเครื่องอันมีฤทธิ์เข้มขลังจากการปลุกเสก แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่หลวงปู่บุดดามิได้เน้น เพราะท่านย้ำเสมอให้เชื่อในการทำดี ยึดถือศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลักสำหรับสายมูสายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้องไปต่อกันที่ “สำนักสงฆ์แม่ย่าซอม” อำเภอคลองหาดประวัติเล่าสืบต่อกันมาว่า แม่ย่าซอมเป็นชาวเขมรที่อาศัยอยู่ในอำเภอคลองหาดเมื่อครั้งอดีต กาลล่วงถึงปัจจุบันก็ยังมีชาวบ้านเห็นแม่ย่าซอมในชุดนุ่งขาวห่มขาวปรากฏกายเป็นประจำ ต่อมามีพระธุดงค์รูปหนึ่งมาปักกลดในที่นาชาวบ้าน กลางคืนฝันว่าแม่ย่าซอมประสงคฆ์ให้ท่านช่วยสร้างวัดไว้ตรงนี้ ตื่นเช้ามาก็มีชาวบ้านนำเงินมาถวาย และบริจาคที่ดินให้สร้างสำนักสงฆ์ขึ้นได้จริงๆ อย่างน่าอัศจรรย์
สำนักสงฆ์แม่ย่าซอม มีงานศิลป์สิ่งศักดิ์ให้สักการะมากมาย ทั้งปู่พญานาค, พระพิฆเนศวร, พระราหู และอื่นๆ อีกมากมายปิดท้ายทริปสำรวจแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดสระแก้ว อย่างมีความสุข ที่ร้านอาหารเวียดนามแสนอร่อย “ร้านยายเต็ม” อำเภอเมืองสระแก้ว (โทร. 08-0880-0090) 
ร้านยายเต็ม เป็นร้านอาหารเวียดนามที่ตกแต่งแปลกตาสวยงาม เน้นสไตล์ Vintage นำของสะสมเก่าๆ ชวนให้นึกถึงอดีต มาประดับตกแต่งได้อย่างลงตัว อาหารเวียดนาม และอาหารอีสานแสนอร่อยที่ ร้านยายเต็ม อำเภอเมืองสระแก้ว
สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดสระแก้ว

โทร. 037-425031 หรือ https://sakaeo.mots.go.th

บินไปเที่ยว เบตง หรอยแรง แหล่งใต้ 2022

 เบตง ใต้สุดแดนสยาม เมืองงามชายแดน  คำกล่าวนี้ยังจริงเสมอ เพราะแม้จะอยู่ไกล แต่ความงามด้านธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม และอาหารแสนอร่อย ยังสามารถดึงดูดผู้คนให้ไปเยือนเบตงได้อย่างไม่ขาดสาย และมีมิติใหม่ เมื่อสนามบินเบตงเปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อต้นปี พ.ศ. 2565 ร่วมกับสายการบินนกแอร์ ใช้เครื่องบินใบพัด 86 ที่นั่ง (เครื่อง Q400 NextGen) บินสัปดาห์ละ 3 เที่ยว ทุกวันอังคาร ศุกร์ และอาทิตย์ เวลา 10.00 – 11.45 น. และออกจากเบตงเวลา 12.15 – 14.00 น. ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง 55 นาที ยิ่งทำให้การเดินทางสู่เบตงง่ายขึ้นไปอีก
สนามบินเบตง เป็นสนามบินลำดับที่ 29 ของกรมท่าอากาศยาน และเป็นสนามบินแห่งที่ 39 ของประเทศไทย อยู่ห่างจากตัวเมืองเบตงออกไปประมาณ 10 กิโลเมตร อาคารที่พักรับรองผู้โดยสารได้ 300 คน/ชั่วโมง และปัจจุบันมี Runway ยาว 2,500 เมตร จึงมีเฉพาะเครื่องบินขนาดเล็กเท่านั้นที่ขึ้นลงได้ใน อนาคตมีแผนต่อเติม Runway ให้ยาวเพิ่มขึ้นอีก 300 เมตร เพื่อรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่เอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครของสนามบินเบตงสนามบินเบตง ออกแบบให้มีความทันสมัยแต่ไม่ลืมกลิ่นอายท้องถิ่น คือยังมีการใช้ไม้ไผ่ตงมาประดับตกแต่งอย่างสวยงามน่ามองบินถึงเบตงแล้วไม่รอช้า ได้เวลาไปเที่ยวชมเสน่ห์อันหลากหลายของเมืองใต้สุดแดนสยาม โดยเริ่มต้นที่ธรรมชาติสุดอลังการ Skywalk ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง
ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง อยู่ที่ตำบลอัยเยอร์เวง บนถนนหมายเลข 410 ช่วง กม.33 เป็นทะเลหมอกที่ Amazing มาก เพราะเที่ยวได้เกือบตลอดปี โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ เราสามารถชมทะเลหมอกสีขาวหนาแน่นราวกับปุยนุ่น ลอยอ้อยอิ่งอาบแสงอาทิตย์ยามเช้า ขอ Confirm เลยว่า นี่คือธรรมชาติ Unseen ที่สวยสู้ทะเลหมอกทางภาคเหนือได้สบายSkywalk ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง เป็น Skywalk ยาวที่สุดในเอเชีย เพราะมีสะพานยื่นออกจากตัวอาคารยาวถึง 50 เมตร แบ่งเป็น 6 ชั้น แต่ละชั้นมีวิวสวยงามต่างกันไป โดย Skywalk ยาว 50 เมตร อยู่ที่ชั้น 3  ลักษณะเป็นสะพานกระจกใส ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องใส่ถุงผ้าคลุมรองเท้าไว้กันกระจกเป็นรอย ตอนที่ซื้อตั๋วก่อนขึ้นไปชม เราจะได้รับถุงผ้าคลุมรองเท้านี้มาครับ (ราคาคู่ละ 30 บาท ใช้เสร็จแล้วเอากลับบ้านได้เลย)ที่จุดชมทะเลหมอกเดิมของอัยเยอร์เวง อยู่ห่างจาก Skywalk แค่นิดเดียว ปัจจุบันมีการสร้างหอชมวิวเล็กๆ 2 ชั้นไว้ให้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยประติมากรรมลอยตัวสามมิติรูปนกเงือก ที่พบในป่าฮาลา-บาลา จ.ยะลา มีทั้งนกเงือกหัวแรด นกเงือกกรามช้าง และนกกาฮัง (นกกก) สร้างไว้ข้างๆ หอคอย Skywalk อัยเยอร์เวง นับเป็นจุดถ่ายภาพใหม่ที่มีเอกลักษณ์มาก นั่งจิบกาแฟร้อนๆ ที่ ร้านกาแฟใต้หมอก ทะเลหมอกอัยเยอร์เวงชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวงเสร็จแล้ว ลงเขามาก็เที่ยวน้ำตกต่อได้เลย ชื่อว่า น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9 หรือ น้ำตกอัยเยอร์เค็ม ปากทางเข้าน้ำตกอยู่ริมถนนสาย 410 (ยะลา-เบตง) ช่วง กม.33 ขับรถเข้าไปไม่ไกล จอดรถไว้ แล้วเดินป่าเลียบธารน้ำตกอีกราวๆ 500 เมตร ก็จะพบกับน้ำตกยิ่งใหญ่อลังการจนต้องตะลึง เพราะสายน้ำสีขาวสะอาดไหลทิ้งตัวลงจากหน้าผาสูงไม่ต่ำกว่า 50 เมตร อากาศสดชื่นเย็นสบาย และผืนป่าโดยรอบก็บริสุทธ์เขียวชอุ่มชุ่มชื้นมาก ด้านหน้าน้ำตกมีโขดหินน้อยใหญ่ระเกะระกะ สลับกับวังน้ำให้ลงเล่นน้ำได้ แต่ก็ควรระวังหินลื่นๆ ด้วยล่ะ
ความงดงามตระการตาของ น้ำตกอัยเยอร์เค็ม หรือ น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9 มีทั้งหมด 5 ชั้น

น้ำตกแห่งนี้เดิมชื่อว่า น้ำตก “วังเวง” หรือ “อัยเยอร์เค็ม” เพราะมีชาวจีนที่มาทำเหมืองกับฝรั่งในยุคมลายูเป็นอานานิคมอังกฤษ ชื่อ เข่ง ชาวบ้านเรียก “ไอเข่ง” “ไอเกง” เพี๊ยนเป็น “อัยเยอร์เค็ม” เริ่มมีการพัฒนาบุกเบิกเส้นทางเข้ามาเมื่อ พ.ศ. 2543 และ พ.ศ. 2546 ก็ได้พัฒนาอย่างจริงจัง ใครรักธรรมชาติและการถ่ายภาพมาเที่ยวน้ำตกนี้จะ Happy แน่นอนครับสวนหมื่นบุปผา (สวนดอกไม้เมืองหนาวเบตง) อยู่ที่หมู่บ้านปิยะมิตร 2 โครงการตามพระราชดำริของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  เป็นสวนดอกไม้นานาพันธุ์ตั้งอยู่บนเขา อากาศเย็นสบาย พาคนพิเศษของเราไปทำโรแมนติก ชวนกันถ่ายรูปกับดอกกุหลาบ ดอกฮอลีฮ้อค ดอกแอสเตอร์ สีสันสวยงามไม่แพ้ภาคเหนือ เสร็จแล้วจะนอนค้างในรีสอร์ทสวยได้สบาย ไม่น่าเชื่อเลยว่าสุดชายแดนใต้ของเราจะมีดอกไม้เมืองหนาวให้ชมกันด้วย Amazing!
บ่อน้ำร้อนเบตง อยู่ที่บ้านจะเราะปะไร ตำบลเนาะแม (ห่างจากตัวเมืองเบตง 5 กิโลเมตร บนถนนสาย 410) บ่อน้ำร้อนธรรมชาติแห่งนี้มีควันฉุยตลอดเวลา น้ำอุ่นกำลังดี ต้มไข่สุกได้ใน 7 นาที นักท่องเที่ยวนิยมลงมาอาบแช่แก้เมื่อย รักษาสุขภาพ บ้างก็แก้หนาว ปัจจุบันมีการสร้างรีสอร์ทเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้นอนพักค้างคืนกันด้วย ใครที่มีเวลาน้อยจะแค่มานั่งแช่เท้าก็รู้สึกชิลแล้วล่ะทางเดินเข้าสู่บ่อน้ำร้อนเบตง สร้างใหม่สวยงาม บรรยากาศเหมือนอยู่ญี่ปุ่นเลยนิบ่อน้ำร้อนเบตงมีอุณหภูมิอยู่ที่ 80 องศาเซลเซียส แต่ในส่วนของบ่อแช่ตัวและแช่เท้า ได้มีการลดอุณหภูมิลงให้พอเหมาะเพื่อสุขภาพที่ดี คือไม่เกิน 40 องศาเซลเซียสบ่อน้ำร้อนเบตง เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจยอดนิยมของคนในท้องถิ่น เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวที่ชอบมาแวะพักผ่อนอุโมงค์ปิยะมิตร อยู่ที่หมู่บ้านปิยะมิตร 1 ต.ตะเนาะแมเราะ ใช้เส้นทางเดียวกับที่จะไปบ่อน้ำร้อนเบตง (เลยบ่อน้ำร้อนไป 4 กิโลเมตร) ปัจจุบันบริเวณนี้เป็นที่อยู่ของพี่น้องชาวจีนผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ซึ่งเดิมในอดีตเคยเป็นฐานที่มั่นของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา (เขต 2) เขาเหล่านั้นต้องขุดอุโมงค์ใต้ดินยาวกว่า 1 กิโลเมตร กว้าง 50-60 ฟุต เพื่อใช้อยู่อาศัยหลบซ่อนจากการตรวจจับของทางการ โดยสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2519บรรยากาศในอุโมงค์ปิยะมิตร ดูลึกลับดีนะ แต่ไม่ต้องกังวล อากาศถ่ายเทดีหายใจได้สะดวก มีป้ายบอกทางพร้อมลูกศรชี้เตาไร้ควันใช้ทำอาหาในป่า  เพื่อไม่ให้คนภายนอกเห็นออกจากอุโมงค์ปิยะมิตร ขากลับจะเดินผ่าน ต้นไทรยักษ์ 100 ปี ที่มีความสูงกว่า 40-50 เมตร  เป็นจุดถ่ายภาพสวยงามแปลกตา แสดงให้เห็นถึงต้นไทรในธรรมชาติ ที่ทอดรากเลื้อยพันโอบรัดต้นไม้เจ้าบ้านจนตายลง  สุดท้ายเหลือไว้เพียงต้นไทร ที่มีลักษณะเป็นพืชกาฝาก (Parasitic Plant) ออกดอกออกผลให้นกและสัตว์ต่างๆ ได้กินอีกทอดหนึ่งจุดท่องเที่ยวใหม่ที่น่าสนใจในเบตงวันนี้คือ สะพานแตปูซู สามารถจอดรถชมได้ง่าย เพราะอยู่ริมถนน 410 ช่วง กม.32 ไม่ห่างจากทะเลหมอกอัยเยอร์เวง และน้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9 มากนัก

ประวัติเล่าว่าในอดีตชาวบ้าน กม.32 ต้องข้ามแม่น้ำปัตตานีสายนี้ด้วยแพไม้ไผ่ ทุกปีมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ชาวบ้านจึงร่วมแรงร่วมใจบริจาคเงินสร้างสะพานแขวนยาวกว่า 100 เมตร นี้กันเอง สะท้อนถึงความสามัคคีและกลายเป็น Landmark ใหม่ของเบตง ที่น่าไปเก็บภาพประทับใจไว้เบตงเป็นเมืองน่ารัก บรรยากาศสุดชิล เพราะตัวเมืองมีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไปในการเที่ยวชม อีกทั้งตัวเมืองยังโอบล้อมด้วยภูเขาเขียวๆ อากาศเย็นสบาย แทบทุกเช้าตรู่จะมีสายหมอกโรยตัวลงห่มคลุม จนเบตงกลายเป็นเมืองในหมอกไม่แพ้ภาคเหนือ นอกจากนี้เบตงยังเป็นเมืองพหุวัฒนธรรม มีทั้งชาวมุสลิม ไทยพุทธ และจีน อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์มาช้านานแล้วสายหมอกยามเช้าตรู่อันหนาวเย็น ห่มคลุมตัวเมือง เบตง ไว้อย่างอ่อนโยนสีสันแต่งแต้มตัวเมือง เบตง ให้น่าเที่ยวน่ามองใกล้วงเวียนหอนาฬิกาเบตง มีซอยเล็กๆ ที่มีภาพ Street Art และโรตีเจ้าดังขายกันยามค่ำ สามารถซื้อใส่ถุงเดินกินเที่ยวแบบสนุกสนานเบิกบานใจหอนาฬิกาเบตง  (ขอบคุณภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา เว็บไซต์ The Way News)

เป็นสิ่งก่อสร้างอันเก่าแก่อยู่เคียงคู่กับเมืองเบตงมาช้านาน เปรียบเสมือนสัญลักษณ์จุดศูนย์กลางเมือง สร้างด้วยหินอ่อนอย่างสวยงาม ในยามเย็นจะเห็นฝูงนกนางแอ่นนับพันตัวบินมาเกาะหลับอยู่บนสายไฟรอบๆ หอนาฬิกา กลายเป็นสัญลักษณ์คู่กันไปแล้ว คนเบตงเขามีอารมณ์ขัน บอกว่าถ้าใครมาเที่ยวเบตงแล้วถูกนกนางแอ่นอุจจาระใส่หัว จะต้องกลับมาเที่ยวที่นี่อีก! จะจริงหรือเปล่า คงต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง ฮาฮาฮา หอนามฬิกาเบตงในแต่ละช่วงของปีจะตกแต่งด้วยแสงไฟต่างกัน อย่างช่วงไหนตรงกับงานเทศกาลถือศีลอดของชาวมุสลิม ก็จะประดับประดาด้วยไฟสีรูปดาวและจันทร์เสี้ยว แต่ถ้าช่วงไหนตรงกับเทศกาลของชาวจีน ก็จะประดับประดาด้วยโคมไฟจีนสีแดงอย่างสวยสดงดงามตู้ไปรษณีย์ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย เบตง มีประวัติว่า นายสงวน จิรจินดา นายกเทศมนตรีเทศบาลเบตงคนแรก และเป็นอดีตนายไปรษณีย์โทรเลข เห็นว่าอำเภอเบตงอยู่ห่างไกล จะติดต่อสื่อสารโดยช่องทางอื่นกับโลกภายนอกไม่ได้เลย ยกเว้นทางจดหมาย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเบตงท่านจึงได้สร้างตู้ไปรษณีย์ยักษ์นี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2467 โดยสร้างขึ้นที่บริเวณสี่แยกหอนาฬิกาใจกลางเมืองเบตง

ตู้ไปรษณีย์ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยของ เบตง ตั้งอยู่ที่ด้านหน้าอาคารสีเหลือง ติดกับวงเวียนหอนาฬิกาเลยครับอาคารเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา

อาคารเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (หรือศาลารับเสด็จ) เป็นแหล่งท่องเที่ยวใกล้เมืองเบตงที่ไม่ควรพลาด เพราะตั้งอยู่บนยอดเขาที่สามารถชมวิวพาโนรามาได้กว้างไกลสุดสายตา อีกทั้งสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมไทย รอบๆ ตกแต่งด้วยสวนไม้ดอกไม้ประดับงดงาม ภายในจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บรักษางานศิลป์ล้ำค่า ทั้งเครื่องปั้นดินเผา งานเซรามิค งานไม้แกะสลัก และภาพวาดทรงคุณค่ามากมาย เปิดให้เข้าชมเวลา 8.30-16.30 น.จุดชมวิวจากอาคารเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา เห็นตัวเมืองเบตงอยู่ไม่ไกลภาพวาดพระบรมสาทิสลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในตัวเมืองเบตง

และภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ ในหลวง ร.9 Street Art King Bhumibolใหญ่ที่สุดในเมืองไทย  ขนาด 8×12 เมตร อยู่ที่โรงเรียนอนุบาลเบตง (สุภาพอนุสรณ์) หรือโรงเรียนบ้านเบตง

ภาพวาดในหลวง ร.9 Street Art King Bhumibol ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย วาดขึ้นเพื่อรำลึกถึงการเสด็จเยือนเบตง เมื่อปี พ.ศ.​ 2519 วาดโดย นายชวัส จำปาแสน  หรือ ครูอะไหล่  ครูสอนศิลปะ จากสถาบันสอนศิลปะ Viridian Academy of Art  ศิษย์เก่าจากคณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมม์ มหาวิทยาลัยศิลปากร พร้อมเพื่อนอาจารย์ อีก 2 ท่าน
Street Art หลากหลายในตัวเมืองเบตง  สะท้อนเอกลักษณ์โดดเด่น และวิถีชีวิตผู้คนอันมีเสน่ห์เบตงวันนี้ไม่ใช่เมืองชายแดนธรรมดาๆ แต่มีการนำศิลปะเข้าไปเติมแต่งจนมีชีวิตชีวาน่าเที่ยวชม ทั้งตึกรามบ้านช่องร้านค้าที่พร้อมใจกันทาสีสดใส มี ภาพ Street Art ตามตรอกซอกซอยต่างๆ น่ารัก โดยเริ่มมีมาตั้งแต่ตอนเมืองเบตงครบ 111 ปี (เมื่อ พ.ศ. 2560) จึงเชิญศิลปินและนักเรียนศิลปะมาช่วยกันเพนท์ภาพ Street Art ไว้ และมีการวาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ Street Art น้องเหมียวสุดน่ารักที่ เบตงภาพ Street Art นกเงือกชนิดต่างๆ ในป่าฮาลา-บาลา จ.ยะลาภาพ Street Art กระทิง ในป่าฮาลา-บาลา จ.ยะลา ภาพ Street Art เบตง สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตและของดีของเด่นของคนที่นี่ มีด้วยกันหลายสิบภาพแบ่งเป็นโซนๆ คือถ้าภาพอยู่ตรงโซนไหน ก็จะเกี่ยวเนื่องกับคนแถวนั้น เช่น ตรงตลาดสดก็จะมีภาพพืชผักผลไม้ต่างๆ และพอเดินเลยไปถึงโซนร้านน้ำชาติ่มซำ ก็จะมีภาพชุดม้านั่งที่มีคนกำลังนั่งจิบชาเปิดสภากาแฟกันอยู่ครับ น่ารักมาก Street Art และวิถีชีวิตที่เบตง หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว สะท้อนจิตวิญญาณซึ่งกันและกันตามตรอกซอกซอยต่างๆ ของตัวเมืองเบตง มีภาพ Street Art เก๋ๆ  ซ่อนอยู่เพียบ ขยันเดินหน่อยก็จะเจออุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์โฉมใหม่  เป็นอุโมงค์ลอดภูเขาแห่งแรกของประเทศไทย ตอนนี้ดู Modern ขึ้นเยอะ แต่เวลาไปถ่ายภาพ ต้องระวังรถที่แล่นไปมาด้วยนะจ๊ะอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ อยู่ที่ถนนอมฤทธิ์ตัดกับถนนภักดีดำรง ผ่านสวนสาธารณะออกสู่ถนน บริเวณหน้าสวนนกเชื่อมต่อกับถนนมงคลประจักษ์ ทะลุไปสู่ชุมชนเมืองใหม่หมู่บ้านแกรนด์วิว และเชื่อมต่อกับถนนอัยเยอร์เบอร์จัง ไปสู่ชุมชนธารน้ำทิพย์อีกทอดหนึ่ง เป็นอุโมงค์รถยนต์ลอดภูเขาแห่งแรกของไทย  สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดี ยาว 268 เมตร กว้าง 9 เมตร สูง 7 เมตร ผิวจราจรคู่ กว้าง 7 เมตร ทางเท้าเดินกว้างข้างละ 1 เมตร ความเร็วรถวิ่งได้ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง
สนามกีฬาเบตง เป็นสนามกีฬาท่ามกลางหุบเขาล้อมรอบ เนื้อที่กว่า 120 ไร่ ถือเป็นสนามกีฬามาตรฐานบนระดับความสูงที่สุดของเมืองไทย นอกจากฟุตบอลแล้ว คนเบตงยังนิยมมาเดินหรือวิ่งจ๊อกกิ้งออกกำลังกายกันทุกวันเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์จากภูเขา ทำให้เบตงมีศักยภาพสามารถพัฒนาเป็น Sport City ได้ในอนาคตวัดพุทธาธิวาส เป็นวัดสำคัญตั้งเด่นอยู่บนเนินเขา มีพระประธานในอุโบสถเหมือนหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดเท่าองค์จริง ผู้คนมาสักการะกันไม่ได้ขาด ส่วนภายนอกมี พระมหาธาตุเจดีย์พระพุทธธรรมประกาศ สีทองอร่ามงามเด่น กับพระพุทธรูปปางสมาธิขนาดยักษ์ตั้งอยู่กลางแจ้ง ชื่อ พระพุทธธรรมกายมงคลประยุรเกศานนท์สุพพิธาน  เป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ให้กราบไหว้กันด้วย ด่านชายแดนอำเภอเบตง-รัฐเปรัก ประเทศมาเลเซีย  เปิดให้ข้ามไปมาได้ปกติแล้วเที่ยวเบตงแล้วถ้ายังไม่หนำใจ จะเที่ยวต่อเข้าไปในในมาเลเซียก็ได้ ด่านพรมแดนเบตงแห่งนี้ทำหน้าที่เหมือนประตูบ้านเชื่อมโยงสองประเทศเข้าหากัน จุดเด่นคือมีป้ายใต้สุดแดนสยามและหลักเขตแดนให้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก หรือจะเลยเข้าไปในมาเลเซียนิดนึง ช้อปปิ้งที่ร้าน Duty Free ปลอดภาษี  ซื้อขนม ช็อกโกแลต เครื่องดื่มต่างๆ รวมถึงกระเป๋า รองเท้า นาฬิกา กลับมาด้วยก็ได้ บ้านโบราณ 150 ปี ชาวจีนฮากกา (หมู่บ้าน กม.4) อยู่ที่หมู่ 1 ต.ตะเนาะแมเราะ อ.เบตง ปากทางเข้าอยู่บริเวณ กม.4 ถนนสาย 410 (ยะลา-เบตง) ไม่ห่างจากร้านวุ้นดำเบตงประวัติเล่าว่าเมื่อ พ.ศ. 2343 มีชาวจีนกลุ่มแรกเดินทางเข้าถึงบริเวณนี้ โดยมาจากมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน นั่งเรือมาขึ้นฝั่งที่มาเลเซีย แล้วเดินหรือนั่งเกวียนเข้ามาสู่อำเภอเบตง ครั้งนั้นมีประมาณ 10-20 คน เป็นคนหนุ่มสาว สภาพพื้นที่ในขณะนั้นยังคงเป็นป่าทึบที่อุดมด้วยสัตว์ป่านานาชนิด ต่อมาจึงมีชาวจีนอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานเพิ่มขึ้น เนื่องจากทางการไทย ต้องการคนช่วยบุกเบิกป่า จึงเปิดโอกาสให้คนเข้ามาจับจองที่ดินได้ตามกำลังหมู่บ้าน กม.สี่ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา  ถือเป็นถิ่นอาศัยของชาวไทยเชื้อสาย จีนฮากกา หรือ จีนแคะ หนึ่งในกลุ่มพหุวัฒนธรรมของเบตง ได้แก่ ชาวมุสลิม ชาวจีน และชาวไทยพุทธ บ้านโบราณหลังนี้เป็นของต้นตระกูลแซ่ลู่  อพยพมาจากเมืองจีนและมาสร้างธุรกิจอยู่ที่เกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย ต่อมาขายธุรกิจแล้วมาอยู่ที่เบตง ทางราชการจึงจัดสรรที่ดินให้ทำกิน 20,000 ไร่ ชาวไทยเชื้อสายจีนฮากกาจึงเรียกบริเวณนี้ว่า “ว่านหยี่ไร่” ในยุคนั้นยังเป็นป่าดงดิบ เริ่มบุกเบิกทำสวน ปลูกผัก ปลูกข้าว ทำโรงสีพลังน้ำตำข้าว ต้นตระกูลลู่สร้างบ้านหลังนี้โดยออกแบบมาจากตัวอักษรจีน ที่ออกเสียงว่า เกา หมายถึง สูง เนื่องจากตัวบ้านตั้งอยู่บนเนินสูง น้ำท่วมไม่ถึงนั่นเองบ้านโบราณหลังนี้เคยใช้เป็นที่หลบซ่อนจากทหารญี่ปุ่น ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2  ปัจจุบันยังพบเห็นช่องลับได้บนเพดานชั้น 2วุ้นดำเบตง กม.4 (เฉาก๊วยแท้) ขนมพื้นบ้านแสนอร่อย ที่ห้ามพลาดชิมเมื่อมาเยือนเบตง ทุกวันนี้ยังทำด้วยกรรมวิธีโบราณ

วุ้นดำเบตง เป็นขนมพื้นบ้านสไตล์จีนที่ใช้ภูมิปัญญาล้วนๆ รังสรรค์ขึ้นมา ทำจากหญ้าชนิดหนึ่งที่ปลูกในประเทศจีน (และอินโดนีเซีย) ปัจจุบันยังทำด้วยกรรมวิธีโบราณ คือใช้เตาไม้ฟืน เวลากินจึงได้กลิ่นหอมของไม้ด้วย กรรมวิธีคร่าวๆ คือ นำหญ้าเฉาก๊วยมาต้มกับส่วนผสมแล้วกรองเอาเฉพาะน้ำ เพื่อแยกหญ้าวุ้นดำออกจากกัน จากนั้นนำแป้งมันสำปะหลังผสมกับน้ำที่ได้จากการกรองในขณะร้อนๆ คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ประมาณ 1 คืน จนเย็นกลายเป็นวุ้น นิยมรับประทานกับน้ำเชื่อมเติมน้ำแข็ง มีสรรพคุณช่วยแก้ร้อนใน ให้ความรู้สึกชื่นใจดีนักแล

ปัจจุบันนี้นอกจากปลาจีนนึ่งซีอิ๊วที่นักท่องเที่ยวนิยมชมชอบกันที่เบตงแล้ว ยังมีเมนูใหม่ที่มาแรงแซงทางโค้ง คือ “ปลานิลสายน้ำไหล” ร้านโกหงิ่ว (โทร. 0-7329-9311, 09-5094-6153) โดยเลี้ยงปลานิลไว้ในบ่อที่ปล่อยให้สายน้ำธรรมชาติไหลผ่านตลอดเวลา จึงได้เนื้อปลานิลสด นุ่ม หวาน ไร้กลิ่นคาว นิยมนำมาลวกจิ้มได้อร่อยเด็ด! ทุเรียนพันธุ์มูซังคิง  (Musang King) ราชาแห่งทุเรียนจากมาเลเซีย ของแท้ต้องมีลายรูปดาวห้าแฉกที่ก้นลูก หาชิมได้ในเบตงประมาณเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม นอกจากนี้เบตงยังมีทุเรียนพันธุ์พวงมณี หมอนทอง ก้านยาว ชะนี และทุเรียนบ้านปักษ์ใต้ ให้ชิมด้วยมาถึงเบตงทั้งที ต้องไปชิมอาหารจีน Signature หลากหลายเมนูที่ ร้านต้าเหยิน (กิตติ) ร้านนี้เปิดมานานกว่า 50-60 ปี มีอาหารขึ้นชื่อของเบตงให้ชิมทุกเมนูครบ เปิดทุกวัน เวลา 10.00-22.00 น.ร้านต้าเหยิน ตั้งอยู่เลขที่ 253 ถนนสุขยางค์ อ.เบตง จ.ยะลา โทร. 0-7323-0461, 0-7324-5189, 08-1599-4654
ชิมอาหารรสเลิศที่ร้านต้าเหยิน โดยเฉพาะ “ไก่เบตง” ของแท้ต้องมาชิมที่อำเภอเบตงเท่านั้น เนื้อไก่เหนียวนุ่ม มันน้อย หวานในปาก เคี้ยวง่าย ส่วนหนังไก่เป็นสีเหลืองทอง กรอบ ไม่มีชั้นไขมันหนาอยู่ใต้ผิวหนังเหมือนไก่เลี้ยงสายพันธุ์อื่น เพราะไก่เบตงเวลาเลี้ยงต้องปล่อยให้วิ่งเล่นไปมาอย่างอิสระ ว่ากันว่าเมื่อร้อยกว่าปีก่อน มีชาวจีนนำพันธุ์ไก่เข้ามาจากจีนตอนใต้ เลี้ยงกันแพร่หลาย ทว่ากว่าจะจับขายได้แต่ละตัว ต้องรอนาย 6 เดือน หรือ 1 ปี จำนวนผู้เลี้ยงจึงลดลง ปัจจุบันเหลือเลี้ยงอยู่จริงไม่กี่เจ้า ไก่เบตงของร้านต้าเหยินอร่อยเป็นพิเศษ ​เพราะใช้ซีอิ๊วดำทำเองด้วย
เต้าหู้บ๊อก, ปลานิลน้ำไหลราดพริก, หมูย่างหมั่นโถว, ถั่วเจี๋ยน (ร้านต้าเหยิน)ผัดผักน้ำเบตง, ปลาจีนนึ่งซีอิ๊ว, หมูเต้าหู้ยี้, แกงจืดหมักชอย (ร้านต้าเหยิน)หมูย่างต้าเหยิน, กบภูเขาทอดกระเทียม, เคาหยก, ผัดต้นอ่อนทานตะวัน (ร้านต้าเหยิน)อาหารจีนในเบตงที่อยากแนะนำอีกร้าน คือ ร้านใบหยก หรือ Baiyok Restaurant (อยู่ติดกับวงเวียนหอนาฬิกา) เป็นร้านเก่าแก่ที่ห้ามพลาด เพราะทุกเมนูยังคงรสชาติดั้งเดิมแบบเบตงแท้ มิได้ผิดเพี้ยน ร้านเปิดทุกวัน เวลา 8.30-20.00 น. โทร. 08-6964-4692 / www.facebook.com/BaiyokBetong/ ก่อนไปกิน แนะนำให้โทร.จองโต๊ะก่อนนะ จะได้ไม่ผิวหวังยังไม่หมดนะครับ ยังมี ร้านก้งถง (อยู่ใกล้โรงแรม Grandview Landmark Hotel) เป็นร้านอาหารจีนเปิดใหม่ มีเมนูน่าชิมของเบตงครบ ทั้งไก่เบตง ไก่เก้าชั่ง ถั่วเจี๋ยน เคาหยก ฯลฯ ลองแวะไปชิมกันนะครับ

(ขอบคุณภาพจาก : คุณใหญ่ Thailand Fotobook)
ขอบอกว่าอาหารจีนยามเช้าในเมืองเบตงนั้นอลังการไม่ใช่เล่น เพราะที่นี่มีคนจีนอาศัยอยู่มาก เป็นชาวจีนกวางไสจากกว่างซีจ้วง และชาวจีนฮกเกี้ยน วัฒนธรรมการกินของพวกเขาสืบทอดกันมา อย่างติ่มซำยามเช้าที่มีให้เลือกเพียบ ในเบตงมีหลายร้าน เช่น ร้านไทซีฮี้ และร้านเซ้งติ่มซำ  Location อยู่แถวๆ หอนาฬิกาและตู้ไปรษณีย์ยักษ์ มองไปเห็นชัดเลย

ก่อนกลับบ้าน อย่าลืมแวะซื้อของฝากมากมายที่ ร้านสุมะโน (โทร.06-6156-6424) ร้านของฝากแบบดั้งเดิมของชาวเบตงโด่งดังมานานกว่า 65 ปี โดยเฉพาะขนมเปี๊ยะโบราณ และขนมไหว้พระจันทร์สูตรเบตงร้านรวมสินค้า OTOP หลากหลายของเบตงที่ One Stop Service โรงเรียนบ้านเบตง หรือ โรงเรียนอนุบาลเบตง (อยู่ใกล้กับภาพวาดในหลวง ร.9 ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย) ร้านนี้เน้นสินค้าจากท้องถิ่นจริงๆ ครับ รวมถึงนำผลงานฝีมือหัตถกรรมของนักเรียนมาจำหน่าย สร้างรายได้ ฝึกทักษะ เสริมกำลังใจให้เด็กๆ มีทุนการศึกษาเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีมุมกาแฟและอาหารจำหน่ายด้วย แนะนำที่พักเปิดใหม่ สะอาด โอ่โถง สะดวกสบาย โรงแรม Grandview Landmark Hotel (โทร. 0-7323-4888) ตั้งอยู่ใกล้จุดท่องเที่ยวต่างๆ ภายในตัวเมืองเบตง เดินทางง่าย และมีห้องพักหลายแบบให้เลือก อีกทั้งมีห้องประชุมขนาดใหญ่ ที่จอดรถกว้าง จากโรงแรมสามารถเดินไปแค่ไม่กี่ก้าว ก็ถึงร้านอาหารจีน ร้านก้งถง และอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์

(ขอบคุณภาพจาก : คุณใหญ่ Thailand Fotobook)

สนใจซื้อแพ็กเกจทัวร์ “เบตง หรอยแรง แหล่งใต้ 2022”ได้ที่ บริษัท เมืองไทย ครีเอทีฟ แอนด์ ทัวร์ จำกัด

โทร. 081-251-2207, 085-065-8144, 064-232-2878

ถ้าใช้สิทธิ์โครงการทัวร์เที่ยวไทย รัฐจะช่วยจ่ายค่าแพ็กเกจทัวร์ให้ถึง 40 เปอร์เซนต์ สูงสุดไม่เกิน 5,000 บาท

This is a standard post format with preview Picture

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Aenean commodo ligula eget dolor. Aenean massa. Cum sociis natoque penatibus et magnis dis parturient montes, nascetur ridiculus mus.

Donec quam felis, ultricies nec, pellentesque eu, pretium quis, sem. Nulla consequat massa quis enim. Donec pede justo, fringilla vel, aliquet nec, vulputate eget, arcu. In enim justo, rhoncus ut, imperdiet a, venenatis vitae, justo. Nullam dictum felis eu pede mollis pretium. Integer tincidunt. Cras dapibus. Vivamus elementum semper nisi.

Read more

Postformat Gallery: Multiple images with different sizes

Nullam dictum felis eu pede mollis pretium. Integer tincidunt. Cras dapibus. Vivamus elementum semper nisi. Aenean vulputate eleifend tellus. Aenean leo ligula, porttitor eu, consequat vitae, eleifend ac, enim. Aliquam lor

Donec quam felis, ultricies nec, pellentesque eu, pretium quis, sem.

Read more

This is a test

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Aenean commodo ligula eget dolor. Aenean massa. Cum sociis natoque penatibus et magnis dis parturient montes, nascetur ridiculus mus.

Donec quam felis, ultricies nec, pellentesque eu, pretium quis, sem.

Read more

Custom Lightbox!

Ut enim ad minim veniam, quis nostrud exercitation ullamco laboris nisi ut aliquip ex ea commodo consequat. Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipisicing elit, sed do eiusmod tempor incididunt ut labore et dolore magna aliqua.

Read more