นั่งรถไฟ Kiha 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @แหลมผักเบี้ย จ.เพชรบุรี

ภาพโดย สุเทพ ช่วยปัญญา สำนักข่าวท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม / The Way News.comการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จัดทริปรถไฟท่องเที่ยวขบวนพิเศษ KIHA 183 นำนักท่องเที่ยวกว่า 400 คน สู่ “แหลมผักเบี้ย” จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 1-2 กรกฎาคม 2565 เพื่อท่องเที่ยวพักผ่อนและทำกิจกรรม SCR สืบสาน รักษา ต่อยอด โครงการพระราชดำริแหลมผักเบี้ย กินลมชมวิวริมทะเลอากาศสดชื่น ลิ้มลองอาหารทะเลอร่อยๆ และที่สำคัญคือได้นั่งรถไฟ KIHA 183 ซึ่ง JR Hokkaido ประเทศญี่ปุ่น มอบให้ไทยมาปรับปรุงใช้งานเพื่อการท่องเที่ยว

รถไฟ KIHA 183 เริ่มออกเดินทางจากสถานีรถไฟหัวลำโพง ขบวนประกอบด้วย 4 ตู้ ในแต่ละทริปสามารถพานักท่องเที่ยวไปได้ 200 คน ทริปจังหวัดเพชรบุรีคราวนี้เริ่มออกเดินทางประมาณ 07.00 น. ถึงสถานีเพชรบุรี ประมาณ 10.00 น. นับเป็น One Day Trip ที่เที่ยวสนุกได้ทั้งครอบครัว นักท่องเที่ยวทยอยกันเข้ามาลงทะเบียนตั้งแต่เช้าตรู่ที่ สถานีรถไฟหัวลำโพง (สถานีกรุงเทพฯ) โดยมีเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับอย่างอบอุ่น คุณศุภมาศ ปลื้มสกุล หัวหน้ากองโฆษณาและส่งเสริมการท่องเที่ยว ศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)  กล่าวว่า “ประเทศญี่ปุ่นได้มอบรถไฟ KIHA 183ให้ไทยมาจำนวน 17 ตู้ 4 ขบวน ช่างของ รฟท. จึงได้นำมาปรับปรุงใหม่ โดยดัดแปลงความกว้างของช่วงล้อ ให้เหมาะสมกับการวิ่งในประเทศไทย ในส่วนของตัวรถก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์เดิมของญี่ปุ่นไว้ ไม่ว่าจะเป็นป้ายต่างๆ หรือแม้แต่ตราสัญลักษณ์ปีกสีทองที่ส่วนหัวรถไฟ ซึ่งปัจจุบันได้จัดเป็นขบวนพิเศษเพื่อการท่องเที่ยว ในวันเสาร์อาทิตย์ก่อน และให้บริการในระยะไม่เกิน 300 กิโลเมตร ผู้สนใจสามารถเข้าไปชมโปรแกรมท่องเที่ยว ที่เปลี่ยนไปทุกเสาร์อาทิตย์ ได้ที่เว็บไซต์ของ รฟท. หรือโทรสอบถามที่ 1690 ก็ได้”รถไฟ KIHA 183 เดินทางถึงสถานีเพชรบุรี เวลาประมาณ 10.00 น. พร้อมอากาศแจ่มใส เหมาะกับการท่องเที่ยวจากสถานีรถไฟเพชรบุรี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ด้วยรถบัสปรับอากาศอย่างดี สู่อำเภอบ้านแหลม บริเวณ “แหลมหลวง” ซึ่งถือเป็นหาดทรายหาดแรกของฝั่งอ่าวไทย จนได้ฉายาว่า “ต้นทางทราย ปลายทางเกลือ โคลนก้อนสุดท้าย ทรายเม็ดแรก” เพราะในส่วนถัดขึ้นไปทางทิศเหนือจะเป็นหาดโคลนทั้งหมด แหลมหลวงในช่วงกลางวันน้ำทะเลจะลดระดับลง เผยให้เห็นหาดทรายสีน้ำตาลอ่อน เหมาะทำกิจกรรม CSR ปล่อยลูกปูลงทะเล อีกทั้งจุดนี้ยังอยู่ห่างจากธนาคารปูเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น
ลูกปูนับแสนๆ ตัว ถูกจัดเตรียมไว้ในถังพลาสติก ให้นักท่องเที่ยวนำไปปล่อย เติมเต็มความสมบูรณ์ให้ท้องทะเลคุณศุภมาศ ปลื้มสกุล หัวหน้ากองประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) พร้อมด้วยหน่วยงานเครือข่ายพันธมิตรในพื้นที่และนักท่องเที่ยว เตรียมปล่อยลูกปูที่แหลมหลวงรอยยิ้มแห่งความสุขในการปล่อยลูกปู สืบสาน รักษา ต่อยอด เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้ท้องทะเลท่านกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) ร่วมกิจกรรมปล่อยลูกปูที่แหลมหลวง เมื่อปล่อยลูกปูเสร็จแล้ว คณะเดินทางต่อไปที่ “ธนาคารปูม้า” อ.บ้านแหลม แหลมผักเบี้ย ณ ร้านโอ้โหปูอร่อย ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของชุมชน เพื่ออนุรักษ์เพิ่มจำนวนปูม้า หลังจากเคยประสบภาวะเสื่อมโทรมลดจำนวนของสัตว์ทะเล ด้วยสาเหตุขาดการดูแลใส่ใจระบบนิเวศสิ่งแวดล้อม
ธนาคารปูม้าแหลมผักเบี้ย รับซื้อแม่ปูไข่นอกกระดอง นำลูกปูมาอนุบาลจนแข็งแรง แล้วค่อยปล่อยลงทะเลแม่ปูม้าไข่นอกกระดอง ต้นพันธุ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ แม่ปูม้าหนึ่งตัวสามารถมีไข่ได้ถึง 200,000 ถึง 1 ล้านฟองได้เวลาอาหารเที่ยง ก็ถึงเวลาล้ิมลองอาหารทะเลสดอร่อยของเพชรบุรี ณ ร้านโอ้โหปูอร่อย อาหารเที่ยงแบบพื้นบ้านแสนอร่อย ประกอบด้วย ผักชะครามลวก กินกับหัวกะทิและน้ำพริกแดง, ปูม้านึ่ง, ยำสาหร่ายพวงองุ่น, ปลากะพงทอดราดน้ำจิ้มรสเด็ด, หอยตลับผัดใบโหระพา, ต้มยำปลากะพง และไข่เจียวร้อนๆ ชะคราม เป็นไม้พุ่มทนแล้งขนาดเล็ก ขึ้นอยู่ตามชายทะเลและนาเกลือ ใบอ่อนนำมาลวกกินได้ เป็นยาระบายอ่อนๆ สาหร่ายพวงองุ่น เป็นอาหารที่อุดมวิตามินอันเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ปลูกเลี้ยงกันมากมายในแถบแหลมผักเบี้ย ปูม้านึ่ง เนื้อหวานเจี๊ยบ (ไซต์ 4 ตัวโลฯ) กินกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด หอยตลับผัดใบโหระพา เนื้อนุ่มหนึบบอกได้ถึงความสด ปลากะพงทอด กินกับน้ำจิ้มแสนอร่อย
ต้มยำปลากะพง ชิ้นใหญ่ เนื้อสด รสชาติชนะเลิศ
อิ่มเอมเปรมปรีกับอาหารเที่ยงแล้ว เดินทางเลียบทะเลด้วยรถบัสอีกเพียง 10 นาที ก็ถึง “โครงการศึกษาและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.​ 2534 ในความดูแลของมูลนิธิชัยพัฒนา ตามแนวพระราชดำริของพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ผู้ทรงมีสายพระเนตรยาวไกล จัดเป็นโครงการศึกษาวิจัยและบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีการธรรมชาติ พร้อมให้ความรู้ด้านระบบนิเวศป่าชายเลน จนกลายเป็นแหล่งศึกษาดูงาน และพื้นที่ดูนกสำคัญ ซึ่งนักดูนกทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดีฟังบรรยายสรุปความเป็นมาและกิจกรรมของ โครงการฯ แหลมผักเบี้ย ถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึกบริเวณด้านหน้าอาคาร การเยี่ยมชมพื้นที่และกิจกรรมของ โครงการฯ แหลมผักเบี้ย ใช้รถพ่วงนั่งได้คันละ 35 คน แล่นไปตามจุดต่างๆ ใช้เวลารอบละ 25 นาที จุดแรกผ่านไฮไลท์คือ “บ่อบำบัดน้ำเสียด้วยสาหร่ายสีเขียวธรรมชาติ” โดยสูบน้ำเสียจากตัวเมืองเพชรบุรีมาบำบัด พร้อมสามารถเลี้ยงปลาได้เมื่อคุณภาพน้ำดีขึ้น และจับปลาขายได้ทุก 6 เดือน ส่วนน้ำสะอาดที่บำบัดแล้ว สามารถนำไปใช้ประโยชน์หรือปล่อยลงทะเลได้ โดยไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมการใช้ต้นหญ้า 7 ชนิด บำบัดน้ำเสีย ได้อย่างมีประสิทธิภาพจุดสุดท้ายเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ (Nature Trail) ระยะทางเดินไปกลับ 1800 เมตร และกลับทางเดิม เพื่อศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลน จนไปถึงศาลาริมทะเลเปิดโล่ง อากาศสดชื่นเดินศึกษาพรรณไม้ชายเลนหลากหลายชนิด นักท่องเที่ยวรถไฟ KIHA 183 เดินชมธรรมชาติ ศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลน ซึ่งเป็นทั้งกำแพงธรรมชาติป้องกันคลื่นลมทะเล และยังอนุบาลสัตว์ทะเลวัยอ่อน เพื่อออกไปเติบโตในห่วงโซ่อาหารทะเลชายฝั่งด้วย ภาพแห่งความสุขอันน่าจดจำ ในการเดินทางสู่แหลมผักเบี้ยกับ รถไฟ KIHA 183ออกจากโครงการฯ แหลมผักเบี้ย ใช้ถนนเส้นเลียบทะเลอำเภอบ้านแหลมไปอีกไม่เกิน 15 นาที ด้านขวามือก็จะพบกับ “โครงการฟาร์มทะเลตัวอย่างแบบผสมผสานตามพระราชดำริ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” ต.บางแก้ว อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.​ 2551
โครงการฟาร์มทะเลตัวอย่างแบบผสมผสานตามพระราชดำริฯ จัดตั้งขึ้นด้วยสาเหตุที่ชาวประมงจับสัตว์ทะเลได้น้อยลง และต้องออกเรือไปไกลขึ้น พื้นที่แห่งนี้จึงศึกษาวิจัยและสาธิตเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จำเป็นทั้งเพื่อการเพาะเลี้ยงและจับสัตว์ทะเลให้มีประสิทธิภาพ และถูกสุขอนามัยมากขึ้นด้วย แต่ละปีจะมีผู้สนใจเข้าศึกษาดูงานนับหมื่นคนพื้นที่กว่า 82 ไร่ ของโครงการฯ เป็นนาเกลือร้างที่ได้รับการบริจาคมา จึงสามารถสื่อถึงเรื่องราว “การทำนาเกลือสมุทร” ด้วยวิธีดั้งเดิม เพราะอำเภอบ้านแหลม จ.เพชรบุรี มีพื้นที่นาเกลืออยู่มากที่สุดของประเทศไทย ไม่น้อยกว่า 33,000 ไร่ เกลือทะเลคุณภาพสูงของอำเภอบ้านแหลม นำมาเพิ่มมูลค่าแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มากมาย โดยเฉพาะเกลือสปา แป้งร่ำเกลือจืด และอื่นๆ
ชมการเพาะเลี้ยงและคัดแยกสาหร่ายพวงองุ่นต้นแม่พันธุ์สาหร่ายพวงองุ่น นักท่องเที่ยว รถไฟ KIHA 183 ทดลองทำตะแกรงเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นโครงการฟาร์มทะเลตัวอย่างฯ มีบ่อเลี้ยงสัตว์ทะเลสวยงามนานาชนิดไว้ให้ชมอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น หอยมือเสือ, ปลาดาว, กุ้งมังกร, ปลาการ์ตูน, หอยเป๋าฮื้อ, ปลาสิงโต, ปลาทู, ปลากะรัง, ปลิงทะเล และอีกมากมายสาหร่ายทะเลสด สามารถเพาะเลี้ยง และนำไปแปรรูปเป็นสาหร่ายอบกรอบและอาหารอุดมคุณค่ามาถึงฟาร์มทะเลตัวอย่างฯ​แล้ว ต้องไม่พลาดชิมเครื่องดื่มนวัตกรรมใหม่ “น้ำสาหร่ายผมนาง” ที่ดีต่อสุขภาพมาก ตัวน้ำรสชาตินุ่มนวล ดื่มง่าย และมีเนื้อสาหร่ายผมนางเนื้อนุ่มคล้ายเส้นเจลลี่ ผิวสัมผัสคล้ายเส้นบุกสุขภาพ แช่เย็นดื่มยิ่งอร่อย
หมุดหมายสุดท้ายของทริปนี้ คือการเดินทางกลับจากแหลมผักเบี้ยเข้าสู่อำเภอเมืองเพชรบุรี เพื่อช้อปปิ้งซื้อของฝากกลับบ้านที่ “ร้านลุงอเนก ขนมหวานเมืองเพ็ชร์” ซึ่งเป็นโรงงานผลิตขนมไทยที่มีมาตรฐานความสะอาดระดับ GHP/HACCP จากสถาบันมาตรฐาน ISO จึงมั่นใจได้เรื่องคุณภาพ ร้านลุงอเนกมีขนมพื้นบ้านไทยหลากหลายให้เลือกชิมเลือกซื้อ ทั้งทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมอาลัว ขนมหม้อแกง ขนมฝอยทองกรอบ ขนมฝอยทองรังนกน้อย กาละแม ฯลฯ ราคาไม่แพง เพราะเป็นแหล่งผลิตเอง ของใหม่สดทุกวันขนมหม้อแกงถ้วย เป็น Signature โด่งดังของร้านนี้ ยิ่งแช่เย็นนำมากินยิ่งอร่อย มี 6 รส คือ รสเผือก รสทุเรียน รสกล้วย รสเมล่อน รสฟักทอง และรสถั่วท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี (คุณวันเพ็ญ มังศรี) มาต้อนรับคณะนักท่องเที่ยว รถไฟ KIHA 183 ด้วยตนเอง

ท่านที่สนใจเดินทางท่องเที่ยวทุกวันเสาร์อาทิตย์ด้วย รถไฟ KIHA 183 สามารถเข้าชมโปรแกรมตลอดเดือนกรกฎาคม  โดย Scan QR Code ตามด้านล่างนี้ จะได้รีบจองและไม่พลาดการเดินทางสุดประทับใจกับ รฟท.

หรือโทร.สำรองที่นั่งได้ทาง 1690

สธทท. ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 ได้นายกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ ต่อวาระนายกฯ

          สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 เลือกตั้งใหม่ได้ นายกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายก สธทท. ทำงานต่ออีกวาระ พร้อมเชิญ นางสาวฐาปนียย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บรรยายเรื่องนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมท่องเที่ยว บรรยายเรื่องภาระกิจของกรมการท่องเที่ยว นายอัครวิชย์ เทพาสิต ผู้อํานวยการภูมิภาคภาคตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บรรยายเรื่อง การท่องเที่ยวของภาคตะวันออก นายชาญยุทธ เศวตสุวรรณ ผู้อํานวยการ ททท. สํานักงานกรุงเทพมหานคร บรรยายเรื่อง เส้นทางท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานคร              นางสาวฐาปนียย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) เป็นอีกหนึ่งพันธมิตรของเรา ที่จะขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยในปี 2566 และต่อเนื่อง ปี 2567 ซึ่งมีความท้าทายมาก ททท. ต้องตอบโจทย์รัฐบาล ที่มีเป้าหมายในปี 2570 ให้การท่องเที่ยวมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 30% ของ GDP และในปี 2567 จะต้องรายมีรายได้เท่ากับปี 2562 ก่อนเกิดโควิด คือ 3 ล้านล้านบาท แล้วเราต้องขยับสัดส่วนรายได้ นักท่องเที่ยวไทยกับนักท่องเที่ยวต่างจาก 30% กับ 70% เป็น 35% กับ 65% เพื่อลดอัตราเสี่ยงจากนักท่องเที่ยวต่างชาติลง 5% และเป็นการเพิ่มมูลค่าจากอุสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้เพิ่มมากขึ้น”
“Campaign ปีนี้ เป็นปีท่องเที่ยวไทย 2566 เรายังใช้ Amazing New Chapters” ส่วนตลาดในประเทศเราใช้ “เที่ยวเมืองไทยอเมดซิ่งยิ่งกว่าเดิม” และเรายังมีกิจกรรมส่งเสริมการตลาด สร้างภาพลักษณ์ต่างๆ จะมีการเปิดตัว Unseen New Chapters ได้สถานที่อันซีนใหม่อีก 25 แห่ง ที่จะประกาศให้เป็น Unseen New Chapters 2566 จากการคัดเลือกสถานที่ท่องเที่ยวทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ โดยจะให้ประชาชนคนไทยได้ร่วมโหวตถึง 18 มิถุนายน 2566 เป็นวันสุดท้าย และจะประกาศอย่างเป็นทางการในเดือน มิถุนายน 2566 นี้”
          “เราต้องมีพันธมิตร มีความหลากหลายของโปรดักส์สินค้า และการบริการมีการเตรียมพร้อม เราต้องยึดโยงกลยุทธ์ และความต่อเนื่อง วันนี้จึงมาพูดคุยว่าในปีนี้เราจะทำกิจกรรมอะไรบ้าง จะเน้นกลุ่มไหนบ้าง กลุ่มที่ ททท.ให้ความสำคัญ เช่น กลุ่มวัฒนธรรมย่อย หรือ Sub-Culture Movement คือกลุ่มการเคลื่อนที่มีความสนใจพิเศษ มีวัฒนธรรมย่อยเดียวกัน ถือว่าเป็นกลุ่มที่ทรงพลังมาก ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวสายศรัทธา สายมู สายดาราศาสตร์ สาย LCBTQ สายสุขภาพ Health & Wellness พวกนี้เป็นกลุ่มใหม่ที่ ททท. ให้ความสำคัญ เราจะนำพลังที่คิดในสิ่งเดียวกันนี้ มาเป็นมวลชนในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในปีต่อไป และเราได้พันธมิตรคือ สธทท. มาครีเอทเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆ ไปด้วยกัน”
       นายกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย  แสดงวิสัยทัศน์ นโยบายทำการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนภายใต้การบรูณาการ 8 ด้าน

     1. ด้านสิ่งแวดล้อม ทั่วโลกเขาเริ่มทำไปแล้วแต่ของเรายังไปไม่ถึงไหน ผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั้ง 13 สาขาอาชีพก็ต้องรวมมือกัน
    2. ด้านวัฒนธรรม เราทำการท่องเที่ยวได้เงินตราจากต่างประเทศเข้ามา แต่เราต้องไม่ลืมรากเหง้าทางวัฒนธรรมของตัวเอง ได้เงินเข้ามา แต่วัฒนธรรมเราหาย มันก็ไม่คุ้ม
3. ด้านสุขอนามัยของแหล่งท่องเที่ยว ตอนนี้ห้องน้ำในสถานที่ท่องเที่ยวยังไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร มุ่งแต่ทำโครงสร้างพื้นฐานถนนหนทาง บางแหล่งท่องเที่ยวยังไม่มีห้องน้ำเสียด้วยซ้ำ หรือบางแห่งมีแต่ไม่มีคนดูแลรับผิดชอบ สกปรกนักท่องเที่ยวเข้าใช้ไม่ได้ ร้านบางแห่งมีห้องน้ำน้อย ไม่เหมาะกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าใช้บริการ ต้องไปใช้ห้องน้ำตามปั๊มแทน เรื่องสุขอนามัยของแหล่งท่องเที่ยว ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
4. ด้านสิทธิประโยชน์ของผู้ประกอบการขาดการควบคุม ร้านอาหารขายราคาเท่าเดิม แต่ได้ของลดลง เราต้องลงไปจัดการพูดคุยกับร้านค้าให้เข้าใจ ไม่อย่างนั้นลูกค้าของบริษัททัวร์จะหายหมด กว่าจะได้ลูกค้ามาแต่ละคนแสนลำบาก
 5. ด้านคุณภาพและบริการ อาหารที่นักท่องเที่ยวรับประทานแล้ว ต้องท้องไม่เสีย
  6. ด้านความปลอดภัย เช่น เสื้อชูชีพที่อยู่บนเรือต่างๆ ใส่แล้วต้องลอย ไม่ใช่ใส่แล้วจม
      7. ด้านการตลาด ต้องให้ความสำคัญ ว่าประชาสัมพันธ์ไปแล้วจะขายใคร เอาลูกค้ามาจากไหน
  8. ด้านประชาสัมพันธ์ ไม่ใช่เร่งทำประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว แล้วนักท่องเที่ยวมามากเกินขีดจำกัดรองรับ ตัวแหล่งไม่พร้อม ความเสียหายก็จะเกิดกับแหล่งท่องเที่ยวอย่างรวดเร็ว จะกลายเป็นแหล่งถูกเที่ยว ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว       “ส่วนเรื่องการ ครีเอท เส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆ เราจะทำร่วมกับ ททท. ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย นักท่องเที่ยวสายศรัทธา สายมู สายดาราศาสตร์ สาย LCBTQ สายสุขภาพ Health & Wellness เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศให้มีสัดส่วยเพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 35 % ตามเป้าหมายของ ททท. ที่ตั้งไว้ ”
      นายชาญยุทธ เศวตสุวรรณ ผู้อํานวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สํานักงานกรุงเทพมหานคร บรรยายเรื่อง เส้นทางท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานคร Walking Bangkok เส้นทางเยาวราช เส้นทางกุฎีจีน คลองโอ่งอ่าง พาหุรัด เส้นทางสนามไชย เสาชิงช้า สามยอด เส้นทางสาทร บางรัก สีลม เส้นทางตลาดน้อย เส้นทางอิสรภาพ วังหลัง เส้นทางนางเลิ้ง หลานหลวง เส้นทางสามเสน เทเวศร์ บางลำพู เส้นทางพระราม 1 สยาม ราชประสงค์
คุณมานิต บุญฉิม ที่ปรึกษาฝ่ายการตลาดท่องเที่ยวในประเทศ สธทท. บรรยายให้ความรู้ด้านการทำตลาดท่องเที่ยวด้วยระบบ Wholesale        นายอัครวิชย์ เทพาสิต ผู้อํานวยการภูมิภาคภาคตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บรรยายเรื่อง เทศกาลแสงสีแสงสุดอลังการ @วิจิตรระยอง แสงแห่งขุมทรัพย์ตะวันออก และแหล่งท่องเที่ยวในภาคตะวันออก นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา บรรยายเรื่อง ภารกิจและขอบข่ายการดำเนินการของกรมการท่องเที่ยว “กรมการท่องเที่ยว เป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาด้าน Supply Site สินค้า บริการ และกิจกรรมด้านการท่องเที่ยว มีทั้งหมด 5 ด้าน       1. ด้านพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งเราทำร่วมกับ อพท. ทำเสร็จก็ส่งต่อให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ไปทำเรื่อง Demand Site คือการประชาสัมพันธ์และการตลาด เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวทั่วประเทศ
  2. ด้านบริการท่องเที่ยว เราดูแลเรื่องอำนวยความสะดวก และแก้ปัญหาให้นักท่องเที่ยว เช่น เรื่องการทำประกันให้กับสกูตเตอร์ ที่ให้นักท่องเที่ยเช่า และเรื่องที่กำลังจะทำคือผลักดันให้มีป้ายทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์เช่าสำหรับนักท่องเที่ยว  และเก็บภาษีจากเรือยอร์ชที่เข้ามาจอดในประเทศไทย
  3. ด้านธุรกิจนำเที่ยว และมัคคุเทศก์  จดทะเบียนให้บริษัททัวร์ เปิดอบรมมัคคุเทศก์ รับเรื่องร้องเรียน และดำเนินคดีกับบริทัวร์ที่ทำผิดกฎหมาย
    4. ด้านบุคลากรด้านการท่องเที่ยว เปิดอบรมให้ความรู้ด้านการท่องเที่ยวกับบุคลากรด้านการท่องเที่ยว ในแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ
  5. ด้านกิจการภาพยนต์ และวิดิทัศน์ต่าประเทศ ให้ใบอนุญาต อำนวยความสะดวก และเก็บภาษี กับกองถ่ายภาพยนต์ต่างประเทศ ที่เข้ามาถ่ายทำในเมืองไทย”    ท่านกันตพงษ์ ธนนเนืองโรจน์ ได้รับเลือกตั้งให้เป็น นายก สธทท. ทำงานต่ออีกสมัย ในวาระปี 2566-2567
คุณวรินทร ทองพูน ประธานที่ปรึกษา สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย มอบช่อดอกไม้แสดงความยินดี

ท่านกันตพงษ์ ธนนเนืองโรจน์ นายก สธทท. ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน แสดงวิสัยทัศน์และแนวทางการทำงาน หลังจากได้รับเลือกตั้งให้ทำงานต่ออีกสมัย พร้อมสร้างสรรค์เส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆ และกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยให้คึกคัก

สธทท. เลือกตั้งนายกสมาคมฯ ได้คุณกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ ทำงานต่อวาระ

ขอแสดงความยินดีกับ ท่านกันตพงษ์ ธนนเนืองโรจน์ ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) ต่อ ในวาระปี 2566-2567 จากการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 เมื่อวันพุธที่ 14 มิถุนายน 2566 ณ โรงแรม ดิ เอเมอรัลด์ กรุงเทพฯ ท่านกันตพงษ์ ธนนเนืองโรจน์ กล่าวถึงความสำเร็จอย่างงดงาม ของผลงานในวาระที่ผ่านมา (ปี 2564-2565) ซึ่งมีทั้งการท่องเที่ยวด้วยเครื่องบินไปลง ณ สนามบินเบตง สร้างความคึกคักให้การท่องเที่ยวเขตชายแดนใต้, การท่องเที่ยวด้วยรถไฟ, การท่องเที่ยวเชื่อมโยงด้วยพาหนะล้อ เรือ ราง บิน, หรอยแรงแหล่งใต้ และอื่นๆ อีกมากมาย ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ด้วยโปรแกรมทัวร์ที่มีความพิเศษ นำนักท่องเที่ยวคุณภาพลงไปสัมผัสทุกภาคอย่างต่อเนื่อง ช่วยกระจายรายได้ให้ท้องถิ่นอย่างมหาศาล คุณวรินทร ทองพูน ประธานที่ปรึกษา สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย มอบช่อดอกไม้แสดงความยินดีคุณวรางคณา สุเมธวัน ประธานชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว มอบช่อดอกไม้แสดงความยินดีกับ ท่านกันตพงษ์ ธนนเนืองโรจน์ นายกสมาคม สธทท. ท่านกันตพงษ์ ธนนเนืองโรจน์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงวิสัยทัศน์และแนวทางการบริหารงาน สธทท. ในวาระปี 2566-2567 ว่า “เรายังเน้นการทำท่องเที่ยวเชิงคุณภาพเพื่อความยั่งยืน, ให้ความสำคัญกับสุขอนามัยในแหล่งท่องเที่ยว, การท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย และยังเดินหน้าผลักดันการท่องเที่ยวเชื่อมโยงแบบล้อ เรือ ราง บิน ต่อไป”

“การทำงานให้ประสบความสำเร็จนั้น ไม่สามารถทำคนเดียวได้ ต้องอาศัยการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งเอกชนและรัฐบาล รวมถึงพันธมิตรของ สธทท. ทั้งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา, สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด และอื่นๆ เพื่อให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพต่อไป” สมาชิก สธทท. ร่วมแสดงความยินดีกับการต่อวาระนายกสมาคมฯ ของ ท่านกันตพงษ์ ธนนเนืองโรจน์

ททท. ผนึกกำลังพันธมิตร เตรียมความพร้อมโครงการ Amazing Thailand Grand Sales 2023 กระตุ้นการช้อป กิน บิน เที่ยว ลดกระหน่ำทั่วประเทศ

บ่ายวันที่ 26 พฤษภาคม 2566 นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นประธานในการประชุมเตรียมความพร้อมการจัดโครงการ Amazing Thailand Grand Sale 2023     

พร้อมด้วย นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว ททท. หน่วยงานภาครัฐ สมาคม และพันธมิตรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกว่า 50 ราย ครอบคลุมห้างสรรพสินค้าชั้นนำจากทั่วประเทศ กลุ่มสายการบิน แพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ e-commerce และกลุ่ม Privilege Card ร่วมประชุมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยว ภายใต้โครงการ Amazing Thailand Grand Sale 2023 ณ ห้องประชุมสุพรรณหงส์ อาคาร ททท. สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า โครงการ Amazing Thailand Grand Sale เป็นหนึ่งในโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ ททท. จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งปีนี้พิเศษกว่าทุกปี เพื่อเฉลิมฉลองการกลับมาของการท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ ททท. จึงได้เชิญชวนพันธมิตรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วประเทศโดยเฉพาะผู้ประกอบการในเมืองท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร-เชียงใหม่-ภูเก็ต-อุดรธานี-ชลบุรี (พัทยา)-สงขลา (หาดใหญ่) รวมทั้งสิ้นกว่า 1,000 ราย ร่วมมอบสิทธิพิเศษให้แก่นักท่องเที่ยว ตลอดระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน – 15 สิงหาคม 2566

เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ประเทศไทยให้เป็น 1 ใน 6 จุดหมายปลายทางของการช้อปปิง (Shopping Destination) ที่ทั่วโลกอยากมาเยือน โดยมุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการนำเสนอสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ มีความหลากหลาย และคุ้มค่า ควบคู่กับการส่งเสริม Soft Power และการสร้างมาตรฐานความยั่งยืน เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว และส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวเหนือระดับที่มีคุณค่าและความหมาย (Meaningful Travel)

โครงการ Amazing Thailand Grand Sale 2023 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 มิถุนายน – 15 สิงหาคม 2566 ภายใต้แนวคิด “Hunting Season” ให้นักท่องเที่ยวได้สนุกกับกิจกรรมล่าดีลเด็ดกว่า 10,000 รายการ จากผู้ประกอบการในเมืองท่องเที่ยวหลักทั้ง 6 จังหวัด เพื่อสร้างอิสระในการจับจ่ายในยุคหลังโควิด กระตุ้นค่าใช้จ่ายนักท่องเที่ยวและเป็นโอกาสในการเข้าถึงสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวในราคาพิเศษ โดยกิจกรรมส่งเสริมการขายแบ่งออกเป็น 2 ส่วน

ส่วนที่ 1 สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยททท. ร่วมกับ Vat Refund แจกของที่ระลึกจาก 5 ชุมชน เมื่อนักท่องเที่ยวซื้อสินค้าและบริการในร้านค้าที่รับ Vat Refund ณ ศูนย์การค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ทั้ง 6 จังหวัด ครบ 5,000 บาท โดยรับของที่ระลึกได้ที่เคาน์เตอร์ Vat Refund ณ ท่าอากาศยาน ทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง-พัทยา ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ส่วนที่ 2 สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย สามารถร่วมลุ้นรางวัลทุกสัปดาห์ เมื่อซื้อสินค้าและบริการ ณ ร้านค้าที่ร่วมโครงการฯ ครบ 500 บาทต่อ 1 สิทธิ์ มูลค่ารวมกว่า 2.5 ล้านบาท และสามารถรับกระเป๋า Shopping Bag เมื่อซื้อสินค้าและบริการในร้านค้าที่ร่วมโครงการฯ ครบ 3,000 บาท ณ ศูนย์การค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ทั้ง 6 จังหวัด

นอกจากนี้ ยังมี กิจกรรม PROMOTION CAMPAIGN พบส่วนลดสูงสุด 80% จากแบรนด์สินค้าไทย ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ พันธมิตรสายการบิน ช้อปปิงแพลตฟอร์ม รวมทั้งมอบสิทธิประโยชน์ส่วนลด On Top แก่สมาชิก Privilege Card, VISA, The1, Mcard, Viz Card Union Pay หรือ NFT Community เป็นต้น และกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับพันธมิตรอื่นๆ เช่น กิจกรรม TikTok Creators Challenge กิจกรรม See Post Get Code ผู้ที่เห็นรีวิวสินค้าภายใต้โครงการฯ จะได้รับโค้ดส่วนลดทันที กิจกรรม LIVE Flash Sale ไลฟ์นำเสนอสินค้าในราคาส่วนลด 80% ขึ้นไป ในวัน Pay Day ผ่านแพลตฟอร์ม Shopee และ LAZADA และกิจกรรมแข่งช้อป หรือ Shop Challenge ททท. เชื่อมั่นว่า โครงการ Amazing Thailand Grand Sale 2023 จะเป็นโครงการทางการตลาดที่สำคัญในการกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยว เพิ่มค่าใช้จ่าย กระจายรายได้หมุนเวียนให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยไม่น้อยกว่า 75 ล้านบาท

ทั้งนี้ สามารถติดตามข้อมูลและโปรโมชันท่องเที่ยวดีๆ ได้ที่

Facebook : Amazing Thailand Grand Sale Official

หรือ LINE OA : Amazing Thailand Grand Sale

หรือศึกษารายละเอียดโครงการได้ที่ www.amazingthailandgrandsale.com หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

งานกลยุทธ์ส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว กองวางแผนลงทุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ฝ่ายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ททท. โทร. 0 2250 5500 ต่อ 2940-2945

Arrigoni & Trappolini Wine Dinner @Ventisi Bangkok 2023

ในโลกของคนรักไวน์ การมีโอกาสชิมไวน์แปลกใหม่ในบรรยากาศดีๆ มีเพื่อนฝูงที่รู้ใจร่วมโต๊ะด้วย คือความสุขที่ยากจะอธิบาย วันนี้เป็นอีกครั้งที่เราได้มาพบปะสังสรรค์กัน โดยมี Cafe’ Buongiorno บริษัทนำเข้า Boutique Wine ชั้นเลิศจากอิตาลี ร่วมกับ ห้องอาหารอิตาเลียน Ventisi ชั้น 24 โรงแรม Centara Grand Central World จัดค่ำคืน Dinner สุดพิเศษ เสิร์ฟ Premium Italian Wine จาก 2 ไวเนอร์รี่ระดับตำนาน คือ Arrigoni และ Trappolini นับเป็นซีรี่ส์ที่ 18 ของห้องอาหาร Ventisi แล้ว ที่นำไวน์จากแคว้นต่างๆ ของอิตาลีมาให้เราได้ลิ้มลองไวน์ 4 Labels ในคืนนี้ : 2 ตัวแรกเป็น Sparkling Wine (Prosecco) และ White Wine จากภาคเหนือของอิตาลี  ซึ่งมีอากาศเย็น ในแคว้นเวเนโต (Veneto) และแคว้นเวเนเซีย (Venezia) เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเริ่มต้นมื้ออาหาร จากนั้น Red Wine 2 ตัว มาจากภาคกลางของอิตาลี ในแคว้นลาซิโอ (Lazio) ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุงโรม และแคว้นอุมเบรีย (Umbria) ที่มีภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนอันอบอุ่น และมีแร่ธาตุดินภูเขาไฟอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีแหล่งมรดกโลก UNESCO World Heritage Site จำนวนมากอีกด้วย
ยินดีต้อนรับสู่ห้องอาหาร Ventisi (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)
บรรยากาศเปี่ยมความสุข พร้อมบริการระดับห้าดาว ที่ห้องอาหาร Ventisi (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)Cooking Corner ของห้องอาหาร Ventisi (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)มอบความสุขให้ตัวเอง ด้วยไวน์อิตาเลียนชั้นเลิศ และวิวพาโนรามากรุงเทพฯ ยามเย็น (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)วิวหลักล้าน ดูพระอาทิตย์ตกใจกลางกรุง จากห้องอาหาร Ventisi ชั้น 24 Centara Grand Central World
มุมดินเนอร์สุดโรแมนติก ที่ Ventisi (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)Chef Andrea Montella ชาวอิตาเลียน ผู้มากประสบการณ์ พร้อมทีมงานห้องอาหาร Ventisi มารังสรรค์อาหารอิตาเลียนแท้ให้ชิมในค่ำคืนนี้เมนูวันนี้มี 4 คอร์ส พร้อมด้วยไวน์ระดับพรีเมี่ยม จากภาคเหนือและภาคกลางของอิตาลีเริ่มต้นเรียกน้ำย่อยด้วย ขนมปังฟอคคาเซีย” (Focaccia) เนื้อนุ่มหนึบ กลิ่นหอมแป้งสาลีผสมน้ำมันมะกอก เป็นขนมปังคู่บ้านคนอิตาเลียน ที่กินเมื่อไหร่ก็อร่อย มีเครื่องเคียงเป็นซอสถั่ว และมะเขือเทศคลุกน้ำมันมะกอก กินคู่กับ Sparkling Wine ชั้นเลิศจากทางภาคเหนือของอิตาลี Otello Prosecco DOC ของ Arrigoni Vineyard ซึ่งเป็น Wine Producer ที่เก่าแก่และมีชื่อเสียง นับอายุย้อนไปได้ถึงปี ค.ศ. 1913 การจะเรียกไวน์ตัวใดว่าเป็น “โปรเซคโก้” (Prosecco Wine) ได้อย่างแท้จริง ต้องผลิตมาจากเขตโปรเซคโก้ ที่ปลูกอยู่ในแคว้นเวเนโต (Veneto) หรือ แคว้นฟริอูลิ เวเนเซีย จูเลีย (Friuli Venezia Giulia) เท่านั้น ซึ่ง Prosecco เป็นชื่อหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในแคว้นนี้ และนิยมใช้องุ่นพันธุ์ เกลียร่า (Glera) ในการทำมากที่สุด

โปรเซคโก้จากเมืองเทรวิโซ่ (Treviso) ตัวนี้ มีความ Balance ของรสชาติเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเสิร์ฟเย็นเจี๊ยบราวๆ 8-10 องศาเซลเซียส เนื้อไวน์ละมุนสีเหลืองฟางอ่อน (Pale Straw) แอลกอฮอล์ต่ำ 11 เปอร์เซนต์ Body นุ่มลึก มีความ Extra Dry (หวานกลางๆ) เด่นด้วยกลิ่นดอกไม้ป่า อัลมอนต์ และแอปเปิลเขียวชัดเจน จิบแล้วทิ้งความหอมหวานไว้ทั่วปาก และทิ้งรสขมนิดๆ ไว้ที่โคนลิ้น เหมาะกินคู่กับ Starters และกุ้งหอยปูปลานานาชนิด ถือเป็นไวน์ที่ Body ไม่ Waxy เกินไป พรายฟอง (Bubbles) เล็กๆ เบาๆ ซู่ซ่ากำลังดี จิบเพลิน Arrigoni Vineyard  เป็น Wine Producer ที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่กว่า 110 ปีแล้ว ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1913 ผลิตไวน์ต่อเนื่องกันมา 4 ชั่วอายุคน โดยเริ่มในแคว้นลิกูเรีย (Liguria) และทัสคานี (Tuscany) ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกองุ่นในแคว้นเวเนโต (Veneto) ด้วย ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับไวน์ขาวชั้นเลิศ เพราะอากาศเย็น อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำ พื้นที่เป็นภูเขา เนินเขา สลับทุ่งหญ้า กลางวันแดดเจิดจ้า กลางคืนหนาว ช่วงเช้ามีหมอก นี่คือยูโทเปียในอุดมคติของการปลูกองุ่น (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1913 ครอบครัว Arrigoni ใช้ความหลงใหลในการทำไวน์ สร้าง Vineyard ขึ้นในดินแดนภาคเหนือของอิตาลี  ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสร์ ธรรมชาติ และมีแหล่ง UNESCO World Heritage Site มากมาย อาทิ Botanical Garden (Orto Botanico), City of Verona, City of Vicenza, Venice และ Padua’s Fresco Cycle เป็นต้น (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)ดินและหินของแคว้น Veneto อุดมด้วยแร่ธาตุที่เหมาะต่อการเจริญงอกงามขององุ่น อีกทั้งช่วยให้ไวน์มีรสชาติพิเศษตามแบบฉบับภาคเหนือ (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)นอกจาก Prosecco และ White Wine ชั้นเลิศแล้ว Arrigoni Vineyard ยังมีไวน์อีกหลาย Categoriesให้เลือกชิม เช่น Vermentino Colli di Luni, Chianti Colli Senesi, Cinqueterre e Cinqueterre Sciacchetrà, Vernaccia di San Gimignano, Brunello di Montalcino, Morellino di Scansano, Vinsanto del Chianti เป็นต้น (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)Starter Menu แสนอร่อยสไตล์อุมเบรีย (Umbria) ทางภาคกลางของอิตาลี ประกอบด้วยซุปถั่ว Lentil เนื้อข้น เสิร์ฟแบบร้อนในแก้วช๊อต กินคู่กับแป้งทอดไส้ชีส / มะเขือยาวผัดกับมะเขือเทศ ในสไตล์คล้ายราตาตูย (Ratatouille) วางทับบนขนมปัง / ซาลามี่เกรดพรีเมี่ยมนำเข้าจากอิตาลี หั่นบางๆ กินคู่กับแตงกวาดอง รสเค็มกำลังดี / หอยแมลงภู่ดำ (Black Mussel) จากอิตาลี ผัดซอสรสเปรี้ยวนิดๆ ทั้งหมดกินคู่กับไวน์ขาวชั้นเลิศ Manon Friuli DOC ปี 2021Arrigoni Manon Friuli DOC ปี 2021 แอลกอฮอล์ 12.5 เปอร์เซนต์ เป็นไวน์ขาวชั้นสูง ที่ผลิตโดยควบคุมคุณภาพเข้มงวด ในพื้นที่เฉพาะ และใช้องุ่นพันธุ์ท้องถิ่นของอิตาลีเท่านั้น คือพันธุ์ “ปินอต กริจิโอ้” (Pinot Grigio) ซึ่งเป็นการกลายพันธุ์ย่อยขององุ่น Pinot Noir นั่นเอง และในบางพื้นที่ก็เรียกว่า Pinot Gris ด้วย องุ่นปินอต กริจิโอ้ ได้ชื่อภาษาอิตาเลียนมาจากคำว่า “กรวยสีเทา” เพราะผลออกเป็นพวงรูปกรวยสีเทา หรือม่วงอมเทาเข้มห้อยระย้า

องุ่นพันธุ์ Pinot Grigio ปรากฏชื่อครั้งแรกเมื่อศตวรรษที่ 13 ในแคว้นเบอร์กันดี (Burgundy) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส จากนั้นค่อยๆ แพร่เข้าสู่เยอรมนี ฮังการี สวิตเซอร์แลนด์ และทางภาคเหนือของอิตาลี ตัวที่เราได้ชิมในคืนนี้ผลิตจาก เมืองฟริอูลี” (Friuli) ซึ่งถือเป็นปิโนต์ กริโจ้ ที่ดีที่สุดของอิตาลีเลยทีเดียว ไวน์ขาวตัวนี้เป็นสีฟางอ่อน (Pale Straw) แต่มีความวาวสะท้อนแสงเป็นสีทอง จิบแล้วให้กลิ่นผลไม้เข้มข้น หอมหวนติดจมูก เนื้อไวน์ Full Body รสชาติซับซ้อนนุ่มลึก มีสมดุลระหว่างความหวานน้อยนิด (Low Sweetness) กับความเปรี้ยวน้อย (Low Acidity) ที่ยอดเยี่ยม เสิร์ฟอุณหภูมิ 10-12 องศาเซลเซียส เหมาะกินคู่กับ Straters Set นี้ที่สุดเรียกน้ำย่อยด้วย มะเขือยาวผัดกับมะเขือเทศ ในสไตล์คล้ายราตาตูย (Ratatouille) วางทับบนขนมปัง / ซาลามี่เกรดพรีเมี่ยมนำเข้าจากอิตาลี หั่นบางๆ กินคู่กับแตงกวาดอง รสเค็มกำลังดี ซุปถั่ว Lentil เนื้อข้น เสิร์ฟแบบร้อนในแก้วช๊อต กินคู่กับแป้งทอดไส้ชีส เรียกน้ำย่อยได้ดีจังหอยแมลงภู่ดำ (Black Mussel) จากอิตาลี ผัดซอสรสเปรี้ยวนิดๆ จิบไวน์ขาวตาม เสริมรสชาติกันได้ยอดเยี่ยมเชฟใส่ใจทุกรายละเอียดของการปรุง และตกแต่ง ก่อนยกมาเสิร์ฟจานแรกวันนี้คือ Pasta Strozzapreti ผัดกับไส้กรอกอิตาเลียน และเห็ด Black Truffle ความพิเศษคือเส้น Homemade Italian Pasta ในสไตล์ เส้นฟูซิลลี่ (Fusilli Pasta) บิดเกลียว และมีความยาวมากกว่าปกติ ชิมแล้วรสชาติลงตัว ไม่เค็มจัดเกินไป ยิ่งได้จิบไวน์แดงตาม ก็ยิ่งชูรสพาสต้าให้อร่อยล้ำขึ้นอีกหลายเท่า

เส้น Fusilli Homemade Pasta ที่ยาวและบิดเกลียวสวยเป็นพิเศษ ยิ่งทำให้หน้าตาจานนี้น่ากินขึ้นมาก เนื้อไส้กรอกบดก็เคี้ยวง่าย โรยหน้าด้วยพาร์เมซานชีสอย่างดีตามสไตล์อิตาเลียนแท้ไวน์แดงชั้นเลิศที่เหมาะกินคู่กับ Pasta จานนี้คือ Trappolini IL Piccolo IGP ปี 2016 ผลิตที่แคว้นอุมเบรีย (Umbria) ฉายา “The Green Heart of Italy” เพราะอยู่ตอนกลางของอิตาลีพอดี แถบนี้ไม่มีทางออกทะเลในลักษณะ Land Lock จึงเต็มไปด้วยภูเขาสลับลาดเนิน ดินภูเขาไฟอุดมแร่ธาตุ และอยู่ใกล้ภูเขาพีเกลีย (Peglia Mountain) ด้วย จึงมีภูมิอากาศที่จำเพาะเป็นของตัวเอง (Micro-Climate) ในหุบเขาต่างๆ ซึ่งต้นองุ่นชอบมาก

Red Wine ตัวนี้ผลิตขึ้นจากองุ่นพันธุ์ “ชีราส” (Shiraz) หรือจะอ่านว่า “ซีราห์” (Syrah) ก็ได้ องุ่นพันธุ์นี้เก่าแก่ย้อนไปได้ถึงยุคกรีกโรมัน ต้นกำเนิดจากแคว้นโรน (Rhone) ของฝรั่งเศส เป็นการผสมกันของ 2 พันธุ์องุ่นโบราณ คือ Dureza สีแดงเข้ม เเละ Mondeuse Blanche สีขาว ผลที่ได้คือองุ่นแดงที่ให้น้ำไวน์สีทับทิมเข้มข้น รส กลิ่น มีเครื่องเทศจัดจ้าน แทนนินฝาดชัดเจน และค่อนข้างจะเปรี้ยวมาก ข้อดีคือเหมาะจะเก็บไว้นานๆ (Ageing) นอกจากนี้ยังเหมาะกินกับเนื้อสัตว์สีแดง และไวน์ก็ช่วยลดความเลี่ยนของชีสและพาสต้าได้ดีมากRed Wine ตัวนี้เป็น Single Syrah 100% ให้สีทับทิมเข้มงดงามน่าหลงใหล (Deep Ruby) กลิ่นหอมไม้โอ๊คจากการบ่มหมัก มีกลิ่นดินนิดๆ (Earthy) รวมถึงได้กลิ่นผลไม้รสหวานเข้มข้น เมื่อจิบแล้วไม่บาดคอ มีความสมดุล ลุ่มลึก เนื้อสัมผัส Full Body ดีมาก เป็น Old World Syrah ที่แทนนิน Smooth นุ่มลื่น ความเปรี้ยว (Acidity) ต่ำ และกลิ่นรสเครื่องเทศไม่จัด จิบเพลิน ต่างกับ New World Syrah ที่รสค่อนข้างแรง บาดคอ และมีกลิ่นเครื่องเทศจัดจ้านร้อนแรง ไวน์ตัวนี้เสิร์ฟที่ประมาณ 18 องศาเซลเซียส กลิ่นรสจะ Peak มาก
IL Piccolo IGP ผลิตขึ้นโดยตระกูล Trappolini ซึ่งทำไวน์ติดต่อกันมา 3 ชั่วอายุคนแล้ว พวกเขาสร้าง Vineyard ชื่อเดียวกันขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1961 นอกจากไวน์แดงชั้นเลิศ ยังผลิตไวน์ขาวชั้นยอดได้ด้วย ไร่องุ่นอยู่ในแคว้นอุมเบรีย (Umbria) และแคว้นลาซิโอ (Lazio) มีดินภูเขาไฟอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำไทเบอร์ (Tiber River) และเทือกเขาแอเพนไนน์ (Apennines) เรียกว่าธรรมชาติให้ทรัพยากรมาดี ก็ใช้ผลิตไวน์ได้ชื่อเสียงโด่งดัง (Thank you for picture from www.trappolini.com)จิบไวน์ให้อารมณ์ดี พูดคุยสรวนเสเฮฮากัน (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)เชฟช่วยกันรังสรรค์ Main Course อย่างตั้งอกตั้งใจMain Course พระเอกในวันนี้คือ Traditional Lamb Abbacchio Roman Style หรือเนื้อลูกแกะ ปรุงตามแบบฉบับดั้งเดิมของกรุงโรม เข้ากันได้ดีกับไวน์แดงจากภูมิภาคเดียวกัน

จานนี้ใช้ Baby Lamb ของฝรั่งเศส เฉพาะส่วนขา ตุ๋นเล็กน้อย แล้วนำไปซูวี (Sous Vide – การทำให้อาหารสุกช้าๆในน้ำที่อุณหภูมิไม่ถึงจุดเดือด เพื่อไม่ทำให้วัตถุดิบแข็งหรือเหนียวเกินไป ส่วนใหญ่ใช้อุณหภูมิ 50-70 องศาเซลเซียส) เสร็จแล้วใส่เตาอบ เพื่อให้รสและเนื้อสัมผัสมีความ balance ยิ่งขึ้น จากนั้นเลาะกระดูกออก หั่นเอาเฉพาะส่วนเนื้อล้วนให้สวย เนื้อลูกแกะที่เสิร์ฟในหนึ่งจาน จะมีทั้งส่วนเนื้อต้นขาและปลายขา จึงมีทั้งชิ้นใหญ่และเล็กอย่างพิถีพิถัน ราดซอสเกรวี่ Red Wine เคี่ยวกับน้ำสต็อก โดยนำเนื้อทั้งหมดมาตุ๋นแบบ Long Cooking ให้เนื้อเปื่อย และซึมซับความหอมของหัวหอม โรสแมรี่ เซเลอรี่ คั้นเอาเฉพาะน้ำอย่างเดียวไปเคี่ยวกับ Red Wine จนได้ซอสที่ Unique มาก!

Baby Lamb เนื้อนุ่มๆ กินคู่กับมันฝรั่งสูตรพิเศษ โดยหั่นมันฝรั่งเป็นแผ่นบางๆ นำมาซ้อนกันเป็นชั้นๆ กดให้แน่น แช่เย็นไว้ จากนั้นนำออกมาเซียร์ (Searing – การทำให้ผิวอาหารด้านนอกสุกโดยใช้ไฟแรง จนผิวค่อนข้างแข็ง เป็นสีน้ำตาล แต่เนื้อด้านในยังนุ่มละมุนลิ้น) โรยเกลือ พริกไทย เมื่อลองเคี้ยวจะสัมผัสได้ถึงความหอมของมันฝรั่ง ที่ผสมกลมกลืนกับเครื่องเทศได้อย่างลงตัว

Red Wine ของ Trappolini ที่เหมาะกินคู่กับ Baby Lamb ต้องยกให้ ROSSO Acadia Crogneto IGT ปี 2020 จากแคว้นลาซิโอ (Lazio) แอลกอฮอล์ดุดัน 15 เปอร์เซนต์ จึงถือเป็นพี่ใหญ่ของคืนนี้ เป็นการ Blend องุ่นชั้นเลิศ 2 สายพันธุ์ คือ “ซานโจเวเซ่” (Sangiovese) และ “มอนเตพูลชิอาโน่” (Montepulciano) ซึ่งทั้งสองถือเป็นระดับเรือธงสุดคลาสสิกของอิตาลี สำหรับองุ่น Sangiovese ได้นิกเนมว่า “โลหิตแห่งพระเจ้า” เพราะสีแดงข้น รสจัดจ้าน เนื้อแน่นเข้ม มี Acidity ค่อนข้างสูง และมีกลิ่น Tannin นิดๆ เหมาะดื่มคู่กับอาหารอิตาเลียนแท้ๆ

ส่วนองุ่น Montepulciano ชอบอากาศร้อน จึงปลูกมากในอิตาลีภาคกลางและภาคใต้ ให้น้ำไวน์ที่มีเนื้อสัมผัส กลิ่น และรสยอดเยี่ยม สีแดงราวกับผลเชอร์รี่ แต่ใสมาก กลิ่นอบอวลด้วยผลไม้สีแดงและสีดำนานาชนิด ทั้ง Black Berry, Black Current, Raspberry, Dark Chocolate, วานิลลา, เชอร์รี่ และใบยาสูบ เมื่อนำทั้ง 2 สายพันธุ์มา Blended กัน จึงได้ไวน์แดงที่ซับซ้อนเย้ายวน มีเสน่ห์น่าค้นหามากคำว่า “ROSSO” ในภาษาอิตาเลียนหมายถึง “สีแดง” บ่งบอกได้ดีว่าไวน์ ROSSO Acadia Crogneto มีสีแดงทับทิมเข้มข้นและใสเหลือเชื่อ กลิ่นมี Tannin หอมหวานชื่นใจ แกว่งแก้วไปมาดูขาไวน์ถี่ยิบ เป็นเส้นสวยมากเหมือนผมนางฟ้า เพราะมีแอลกอฮอล์สูงถึง 15 เปอร์เซนต์ ลองจิบแล้วรู้สึกว่า Body และรสชาติ Smooth นุ่มลื่นมาก มีกลิ่นลูกพลัมและเครื่องเทศอ่อนๆ ขึ้นจมูก แบบ Fruit Based Wine ถือเป็นไวน์ที่ห้ามพลาดเลยล่ะ และคนอิตาเลียนบอกว่าเป็นไวน์ที่กินกับอะไรก็อร่อยไปหมดทุกอย่าง

ส่วนตัว ผมถือว่าเป็น Elegant Wine ที่มีความ Balance ของ Body, Alcohol, Tannin, Sweetness และ Acidity สุดยอดตัวหนึ่ง เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 18 องศาเซลเซียส จะได้ความ Peak สุดยอดครับ กินขนมหวานล้างปากก่อนกลับบ้าน ด้วยโดนัทอิตาเลียน “เซปโปลา” (Zeppola หรือ Zeppole) เป็นขนมท้องถิ่นของแถบกรุงโรม (Rome) และเมืองเนเปิลส์ (Naples) เนื้อนุ่มมาก ข้างในสอดไส้ครีมหวานๆ กินคู่กับน้ำเลมอนต์ Homemade Limoncello Trolley ช่วยล้างรสอาหารคาวออกจากปาก และให้ความรู้สึกสดชื่นจี๊ดจ๊าดChef Andrea Montella ออกมาทักทาย และกล่าวถึงความพิเศษของอาหารอิตาเลียนคืนนี้ ที่ Paring กับไวน์ได้ยอดเยี่ยม สร้างความประทับใจให้ทุกคนความสุขในหมู่เพื่อนฝูง ที่มีไวน์จาก Cafe’ Buongiorno เชื่อมโยงเราไว้ด้วยกัน วันนี้ผมได้ตกหลุมรัก Boutique Wine สี่ตัวจากอิตาลีเข้าแล้ว หวังว่าอีกไม่นานเราจะได้พบกันใหม่ See You Soon My Friends.สนใจชิมไวน์ทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี และสั่งซื้อไวน์อิตาเลียนหายาก ติดต่อ Cafe’ Buongiorno Tel. 06-2494-1649 (คุณพิม) Booking โต๊ะรับประทานอาหาร และชิม Italian Wine อย่างดีได้ที่ โทร. 02-100-6255

Aonang Princess 9 ล่องเรือยอร์ชสุดหรูดู Sunset ทะเลกระบี่

บริษัท Aonang Travel & Tour จำกัด เปิดตัวเรือเจ้าหญิงองค์ใหม่แห่งท้องทะเลอันดามัน เชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยง กระบี่-ภูเก็ต-พังงา-สตูล ในนามเรือ “Aonang Princess 9” ที่มีความทันสมัย เน้นการให้บริการ เสริมด้วยแนวคิดรักษ์โลก Low Carbon และ Wellness Toutism
เสน่ห์ของทะเลกระบี่ คือน้ำทะเลใสและเกาะแก่งหินปูนรูปทรงแปลกตา มีชื่อเสียงระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นทะเลแหวก, เกาะปอดะ, เกาะพีพีเล เกาะพีพีดอน, เกาะห้อง, เกาะไหง, เกาะลันตา, อ่าวมาหยา ฯลฯ เที่ยวชมได้สวยงามที่สุดช่วงเดือนพฤศจิกายน-พฤษภาคม

การล่องเรือยอร์ช Aonang Princess 9 เปิดมิติมุมมองใหม่ของการท่องเที่ยวทะเลกระบี่ให้มีสีสันคึกคักมากขึ้น
ด้วยความจุผู้โดยสารกว่า 350 คนต่อเที่ยว เรือ Aonang Princess 9 แล่นออกจากท่าหาดนพรัตน์ธารา อำเภอเมืองกระบี่ เวลาประมาณ 16.00 น. พาไปชมหลายจุด ทั้งอ่าวนาง หาดไร่เลย์ ทะเลแหวก เกาะไก่ เกาะหม้อ เกาะทับ ลอยลำดูอาทิตย์อัสดงลงทะเลน่าประทับใจ ครั้งหนึ่งในชีวิต ได้ดูพระอาทิตย์ตกแสนโรแมนติกกลางทะเล บนเรือยอร์ชสุดหรู Aonang Princess 9เรือ Aonang Princess 9 จอดรอรับนักท่องเที่ยวที่ท่าเรือหาดนพรัตน์ธารา อำเภอเมืองกระบี่ ผู้โดยสารทุกท่านต้อง Booking และชำระค่าโดยสารมาล่วงหน้าเท่านั้น เพื่อจะได้จัดเตรียมความพร้อมให้เรียบร้อยห้องโดยสารมีหลายชั้น ติดแอร์เย็นฉ่ำ พร้อมด้วยที่นั่งนุ่มสบาย ปรับเอนได้ แบบที่นั่งเครื่องบิน

เรือ Aonang Princess 9 ให้บริการผู้โดยสารได้ 350 คนต่อเที่ยว พนักงาน 22 คน จัดอยู่ในประเภทเรือกลเดินทะเลเฉพาะเขต ความยาวตลอดลำ 48 เมตร ใช้เครื่องยนต์ Boudouin 1,500 แรงม้า 2 เครื่อง กินน้ำลึก 3.25 เมตร มีห้องโดยสารปรับอากาศทั้ง 3 ชั้น เก้าอี้นั่งปรับระดับได้เหมือนบนเครื่องบิน พร้อมที่นั่งเบาะหนังเกรดพรีเมี่ยม (เฉพาะชั้น VIP) และช่องเก็บสัมภาระ (เฉพาะชั้น 2 ขึ้นไป) นอกจากนี้ยังมี จอทีวีขนาดใหญ่ทุกชั้น WIFI มินิบาร์ มีห้องน้ำแยกชาย/หญิง 6 ห้อง (ชั้นละ 2 ห้อง แบบถังบำบัด EM) และแทงค์น้ำจืด 8,000 ลิตร

อุปกรณ์นิรภัย บนเรือ Aonang Princess 9 มีพร้อมสรรพ ทั้งกล้องวงจรปิดครอบคลุมทั้งเรือ, หัวน้ำดับเพลิง, เซนเซอร์ตรวจจับควันไฟ, เสื้อชูชีพทุกที่นั่ง, ถังดับเพลิง, แพชูชีพ 8 ลำ, อุปกรณ์ความปลอดภัยนำร่อง, เรดาร์ตรวจจับสภาพอากาศ, พายุฝน และการเคลื่อนไหวของวัตถุต่างๆ, ระบบนำทาง GPS ผ่านดาวเทียม, ซาวเดอร์ ตรวจความลึกใต้น้ำ และวิทยุสื่อสาร ระบบ VHF/UHF CB

คุณอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวอ่าวนาง และกรรมการบริหาร บริษัท อ่าวนาง แทรเวล แอนด์ ทัวร์ จำกัด กล่าวว่าเส้นทางการให้บริการของเรือ Aonang Princess 9 คือ ภูเก็ต-อ่าวนาง, อ่าวนาง-เกาะพีพี, เกาะพีพี-เกาะลันตา และในอนาคตมีแผนจะเพิ่มเส้นทาง เกาะลันตา-เกาะไหง, เกาะไหง-เกาะหลีเป๊ะ ด้วย

บริการพร้อมรอยยิ้ม ตลอดการเดินทางล่องทะเลกับ เรือ Aonang Princess 9
ท่าเรือหาดนพรัตน์ธารา เป็นหนึ่งในท่าเรือหลักของการออกเที่ยวทะเลกระบี่ มีเรือหลากหลายประเภทและขนาดของบริษัทต่างๆ จอดอยู่
เรือหัวโทง หรือ เรือหางยาวแบบปักษ์ใต้ เป็นหนึ่งในพาหนะหลักพานักท่องเที่ยวออกไปสัมผัสหมู่เกาะทะเลกระบี่เรือหัวโทงทยอยแล่นกลับเข้าสู่ท่าเรือหาดนพรัตน์ธาราท่าเรือหาดนพรัตน์ธาราในยามเย็น
ยืนเหม่อมองรับลมทะเลอย่างมีความสุข บนดาดฟ้าชั้นบนสุดของ เรือ Aonang Princess 9 แสงอาทิตย์ยามเย็นก็อุ่นสบายกำลังดีส่วนดาดฟ้าหัวเรือ เป็นจุดชมวิวทะเลกว้างได้เกิน 180 องศา แบบพาโนรามารอยยิ้มแห่งความสุข บน เรือ Aonang Princess 9 หลังเรือแล่นออกจากท่าหาดนพรัตน์ธาราได้ประมาณ 40 นาที ก็ได้ชมเกาะและภูมิทัศน์ชายฝั่ง เป็นภูเขาและหน้าผาหินปูนรูปทรงแปลกตา เก็บภาพประทับใจไว้อวดเพื่อนๆ พร้อมรับลมทะเลแสนสดชื่นบนดาดฟ้า วงดนตรีแบบ Live Music บนดาดฟ้า ขับกล่อมตลอดการเดินทาง เติมเต็มความสุข ให้วิวทะเลสวยๆ ดูชิลและฟินขึ้นอีกล้านเท่า เมื่อเรือ Aonang Princess 9 แล่นมาถึงทะเลแหวก และได้เวลาพระอาทิตย์ตก ก็ได้เวลาเสิร์ฟอาหารเย็นบนดาดฟ้า มีทั้งอาหารหนัก ของหวาน และอาหารทานเล่น ข้าวผัดทะเล, ปอเปี๊ยะทอด, ไก่สะเต๊ะ, ลูกชิ้นปลาลวกจิ้ม, ผลไม้, เค้กช็อกโกแลต, เค้มกล้วยหอม ฯลฯ เสิร์ฟแบบไลน์บุฟเฟ่ กินไป ชมวิวไป ฟังเพลงไป นี่คือสวรรค์กลางท้องทะเลกระบี่ที่เราสัมผัสได้
วินาทีที่เรารอคอย อาทิตย์อัสดงลงที่ทะเลแหวก วิวหลักล้านกับความงามสุดโรแมนติก พระอาทิตย์ตกลงทะเลที่ทะเลแหวก จ.กระบี่
พระอาทิตย์ตกที่เกาะไก่ (ภาพนี้ผม Retouch ไว้ให้ดูกันเล่นๆ ครับ เพราะของจริงพระอาทิตย์ตกอีกด้านของเกาะไก่ เรือแล่นไปไม่ถึง ผมเลยใช้จินตนาการสร้างภาพเสมือนจริงขึ้นมาสนุกๆ นะครับ อย่าซีเรียส)แม้ดวงอาทิตย์จะตกลงทะเลลับเส้นขอบฟ้าไปแล้ว ทว่าอีก 30 นาทีต่อจากนั้น ผืนฟ้าก็ยังมีแสงสีสวยงามยิ่งใหญ่อลังการ น่าตื่นตาตื่นใจเกือบ 20.00 น. เรือ Aonang Princess 9 ค่อยๆ แล่นฝ่าความมืดกลับสู่ท่าเรือหาดนพรัตน์ธารา พร้อมความประทับใจของทุกคน

สนใจล่องเรือ Aonang Princess 9 จ.กระบี่

จองตั๋ว Online ได้ทาง www.aonangtravel.co.th  บริษัท Aonang Travel & Tour จำกัด

ทร. 0-7563-7152, 0-7563-7153 (สำนักงานกระบี่) / 0-7635-3211-2 , 08-3389-7770 (สำนักงานภูเก็ต)