ภาคอีสาน

มหาลาภ ลาบยโสธรแท้ แซ่บนัวเด้อ!

_IND7774 _IND7784ปีนี้งานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2560 ที่สวนลุมพินี ระหว่างวันที่ 25-29 มกราคม 2560 คึกคักกว่าทุกปี โดยเฉพาะในโซนอาหารแซ่บนัวของภาคอีสาน เพราะมีอาหารอร่อยๆ ให้ชิมเพียบ

หนึ่งในนั้นคือลาบจากจังหวัดยโสธรแท้ๆ รสชาติดั้งเดิม ‘ร้านแม่อ้อมลาบเป็ด’ หรือ ‘ร้านมหาลาภ’ ในบูธที่ NEF 16 ณ ลานแซ่บนัว (โทร. 08-3734-2658, 08-1318-3561)
ยโสธร บ้านกว้าง ท่าเยี่ยม 48ลองมาชิม ลาบยโสธรแท้ๆ ที่ต้องใช้คำว่า ‘นัว’ เพราะรสชาติกลมกล่อม ไม่มีรสใดโดดขึ้นมากว่ารสอื่น อีกทั้งเนื้อเป็ดที่ใช้ยังเป็นเป็ดบ้านที่เหนียวนุ่ม เลี้ยงด้วยวิธีธรรมชาติ

พลาดไม่ได้ต้องชิม ‘เมนูมหาลาภ’ ประกอบด้วยลาบ 5 อย่าง คือ ลาบเป็ด, ลาบหมู, ลาบปลา, ลาบเห็ด และลาบไข่ ซึ่งลาบไข่เป็นเมนูพิเศษที่เพิ่งคิดค้นขึ้นใหม่ ให้ลองชิมกันในงานนี้เลย ชิมแล้วนอกจากอร่อย ยังได้ความมงคลจากชื่อมหาลาภด้วยนะจ๊ะยโสธร บ้านกว้าง ท่าเยี่ยม 49 ยโสธร บ้านกว้าง ท่าเยี่ยม 50_IND3946_IND7777สำหรับราคาขายในงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2560 มหาลาภลดพิเศษเหลือเมนูละ 60 บาทเท่านั้น ส่วนคนที่พลาดชิม ก็ไม่เป็นไร ตามไปกินได้ที่ร้านแม่อ้อมลาบเป็ด ในราคาย่อมเยาเพียง เมนูละ 70 บาทเท่านั้นจ้า_IND7792 _IND7804ลูกค้าเข้าร้านตลอดวัน เพราะอยากชิมว่าลาบยโสธรแท้ๆ รสชาติจะเป็นอย่างไรนะ_IND7822แม้แต่พี่ฝรั่ง ก็ยังชื่นชอบลาบยโสธรเลยจ้า_IND7826รีบมาเลย ที่ลานแซ่บนัวภาคอีสาน งานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2560 จ้า_IND7782 _PPL8937ส่วนใครที่ยังติดใจในรสชาติ ‘มหาลาภ’ ก็ต้องตามไปกินให้ถึงที่ บ้านกว้าง-ท่าเยี่ยม อำเภอเมือง จ.ยโสธร ‘ร้านแม่อ้อมลาบเป็ด’ เป็นที่รู้จัก ขึ้นชื่อลือชาในรสชาติมานานแล้ว

แถมยังเป็นแหล่งท่องเที่ยว และแหล่งเรียนรู้เชิงวิถีชุมชนน่ารักๆ ที่โดดเด่นทั้งในแง่วิถีข้าว และการทำบั้งไฟยโสธร บ้านกว้าง ท่าเยี่ยม 4ไปร่วมแห่บังไฟที่วัดบ้านกว้าง ท่าเยี่ยม จ.ยโสธร กับชาวบ้านน่ารักๆ เปี่ยมน้ำใจไมตรียโสธร บ้านกว้าง ท่าเยี่ยม 13บั้งไฟบ้านกว้างท่าเยี่ยมยโสธร บ้านกว้าง ท่าเยี่ยม 15ในช่วงฤดูทำนา จะมีพิธีทำขวัญข้าว บูชาพระแม่โพสพ ให้ชมด้วยยโสธร บ้านกว้าง ท่าเยี่ยม 23ความสงบงาม แบบ Slow Life ของผืนนาเขียวขจี ที่บ้านกว้าง ท่าเยี่ยม จ.ยโสธรยโสธร บ้านกว้าง ท่าเยี่ยม 45วิถีชาวบ้านอีสาน ณ บ้านกว้าง ท่าเยี่ยม ยังยึดถือฮีต 12 คอง 14 อย่างเหนียวแน่น น่าชื่นชม_IND7781อย่าลืม! ‘ร้านแม่อ้อมลาบเป็ด’ หรือ ‘ร้านมหาลาภ’ จ.ยโสธร โทร. 08-3734-2658, 08-1318-3561_IND7786

เรื่องเล่าจากเชียงคาน เรือนไม้โบราณริมโขง

 

เชียงคาน 2

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชื่อของ “เชียงคาน” อำเภอน้อยริมโขง แห่งจังหวัดเลย ได้กลายเป็นที่รู้จักแพร่หลายในหมู่นักท่องเที่ยวไทย ถึงขนาดเป็นแหล่งท่องเที่ยวฮอตฮิต คลื่นนักท่องเที่ยวหลั่งไหลไปชื่นชม จนบางปีในฤดูหนาวเชียงคานล้น หนาแน่นเกินความสามารถที่จะรับนักท่องเที่ยวได้ไหว! บางคนจึงมองว่า เชียงคานกำลังถูกกระแสบริโภคนิยมจากภายนอกทำให้เปลี่ยนไป จนสูญเสียตัวตนที่เคยน่ารัก ดีงาม

แต่ลึกๆ เชียงคานยังมีลมหายใจ ยังมีจิตวิญญาน มีเรื่องเล่า ความเป็นมา แอบซ่อนอยู่อีกมากมายในแต่ละตรอกซอกซอย การเที่ยวชมเชียงคานให้ละเอียดอย่างเนิบช้า ด้วยการเดินหรือปั่นจักรยาน พูดคุยกับชาวบ้านพร้อมรอยยิ้ม จะทำให้เราพานพบ “เชียงคาน” ในอีกแง่มุมหนึ่งอย่างแน่นอน…
เชียงคาน 3

คนเชียงคานดั้งเดิมแล้วอพยพข้ามโขงมาจากเมืองสานะคาม (เมืองชนะสงคราม) ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง หรือประเทศลาวในปัจจุบัน ณ บ้านเวินคำ โดยย้ายมาอยู่ที่ฝั่งผืนดินสยามบริเวณ บ้านท่านาจัน แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น “เมืองเชียงคาน” จนกลายมาเป็นอำเภอเชียงคาน ส่วนใหญ่คนที่นี่มีชื่อสายจากคนหลวงพระบาง จึงนำวิถีวัฒนธรรม การใส่บาตรข้าวเหนีว ภาษาการพูดด้วยสำเนียงอ่อนหวาน และนำอาหารการกินอร่อยๆ ติดตัวมาด้วย
เชียงคาน 4

คนเชียงคานแท้ๆ ต้องตื่นแต่เช้า หุงข้าวเหนียว เพื่อรอใส่บาตรในยามเช้าตรู่ จากนั้นยามสายจึงค่อยนำกับข้าวไปถวายเพลที่วัด ทว่าวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ที่เปลี่ยนไป เร่งรีบมากขึ้น มีเวลาน้อยลง ทำให้วัฒนธรรมการใส่บาตรข้าวเหนียวเชียงคาน ถึงกาลต้องเปลี่ยนไป!
เชียงคาน 5

จุดเด่นของเมืองเชียงคานที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธในความงามก็คือ ทัศนียภาพริมโขงที่เห็นแล้วทำให้รู้สึกโปร่ง โล่ง สบายใจ หายใจหายคอได้เต็มปอด สายน้ำโขงที่ไหลเอื่อยๆ อยู่ชั่วนาตาปีไม่เคยเหือดแห่ง คือเส้นเลือดหลัก หล่อเลี้ยงชีวิตคนสองฝั่งน้ำนี้มาหลายชั่วรุ่น

การขนส่งทางน้ำจากเมืองหลวงพระบางลงมายังเชียงคาน ทำให้เมืองนี้เติบโต รุ่งเรืองขึ้นในฐานะเมืองท่าขนาดใหญ่ที่สุดของลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ทว่าหลังจากลาวเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง สยามเลิกค้าขายกับลาว เมืองเชียงคานจึงซบเซาลง ทว่าเมื่อการท่องเที่ยวเพิ่มบทบาทมากขึ้น เชียงคานจึงเปลี่ยนจาก “เมืองท่าสู่เมืองเที่ยว” ในที่สุด

เชียงคาน 6

บรรยากาศยามเช้าเย็น ริมฝั่งโขงเชียงคาน คือภาพตระการตาของธรรมชาติแสงสีบนฟากฟ้า ที่จะประทับใจเรา มิรู้ลืมเชียงคาน 7

นอกจากตัวเมืองเชียงคานที่เด่นด้วยเรือนไม้เก่ายาวเหยียดอยู่ริมโขงแล้ว ใกล้ๆ กันยังมีภูทอก เป็นจุดชมทะเลหมอกตระการตา โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวและหน้าฝน ตื่นเช้าจากเชียงคานนั่งรถขึ้นภูทอก ได้ชมทะเลหมอกแสนสดชื่นเชียงคาน 8

คนเชียงคานเองก็น่ารัก ยิ้มง่าย ใจดี มีอัธยาศัยไมตรี พร้อมต้อนรับผู้มาเยือน หากเรามีเวลาได้นั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับชาวเชียงคาน ก็จะได้รับรู้ถึง “เรื่องเล่าที่ซ่อนเร้น” หรือ The Untold Story of Chiangkhan ซึ่งมีมิติมุมมองลุ่มลึก หลากหลาย ทั้งในเรื่องวิถีชีวิต ประเพณีวัฒนธรรม ภาษา อาหาร และอีกมากมาย

การฟ้อนแบบเชียงคาน ก็คือการฟ้อนหลวงพระบางอย่างหนึ่ง ซึ่งได้รับการดัดแปลงให้สอดรับกับยุคสมัยเชียงคาน 9

คงมีน้อยคนนักที่จะรู้ว่า ณ ถนนเชียงคาน ซอย 4 (ล่าง) ที่บ้านของ คุณตาคูณ จูงใจ จะมีเรื่องราวของศิลปะการตัดกระดาษสีที่แทบจะหาดูไม่ได้แล้ว โดยคุณตาคูณ เคยได้รับรางวัลครูศิลป์แห่งแผ่นดิน ประเภทการตัดกระดาษสี (Decorative Paper Cutting) จากศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ SACICTเชียงคาน 10

กระดาษสีที่ตัดออกมาแล้ว จะมีทั้งเป็นแผ่นรูปดาว ดอกมะลิ และเป็นพวงห้อยระย้า เพื่อใช้ในพิธีมงคลต่างๆ หากจะมีใครสนใจไปสืบทอดไว้ก็ไม่เสียหลาย เพราะนี่คือมรดกของแผ่นดินเชียงคาน และเมืองไทย ที่ประเมินค่ามิได้
เชียงคาน 11

คุณตาคูณเล่าว่า ในอดีตไม่มีกรรไกร ต้องใช้มีดพร้ากับฆ้อนตอกลงบนกระดาษสี จึงต้องเชี่ยวชาญจริงๆเชียงคาน 12

ที่บ้านของ คุณลุงเสี่ยน อ้วนคำ ซอย 16 (ล่าง) ท่านคือผู้เชี่ยวชาญการ “สานกระติ๊บข้าวเหนียว” คุณภาพเยี่ยม สานมาทั้งชีวิต สองมือของท่านจึงเคลื่อนไหวด้วยความแคล่วคล่องอย่างอัตโนมัติ อีกทั้งท่านเป็นคนใจดี ยิ้มง่าย ชอบพูดคุยกับลูกหลานที่ไปเยือน นี่คือหนึ่งในปราชญ์แห่งเชียงคานที่แทบไม่มีใครพูดถึง
เชียงคาน 13

คุณลุงเสี่ยน ตรวจสอบผลงานการสานกระติ๊บข้าวเหนียวอย่างตั้งใจ ละเอียดถี่ถ้วนเชียงคาน 14

ใกล้ๆ กับบ้านของลุงเสี่ยน ซอย 16 (ล่าง) คือบ้านของ คุณตาอ้วน และคุณยายสมบูรณ์ ผู้เชี่ยวชาญการ สานกระติ๊บข้าวเหนียว และหวดนึ่งข้าวเหนียว ผลงานของท่านละเอียดประณีต มีออร์เดอร์สั่งเข้ามาไม่ขาด สะท้อนถึงวัฒนธรรมอีสานที่ยังต้องการใช้งานหัตถกรรมประเภทนี้ในชีวิต ทว่าช่างฝีมือเหล่านี้ต่างหาก ที่กำลังลดลง และล้มหายตายจากบ้านเมืองของเราไปเรื่อยๆ

คุณตาอ้วนเล่าว่า มีนักท่องเที่ยวฝรั่งซื้อกระติ๊บข้าวเหนียวของท่านไปถึงอเมริกาและยุโรปด้วย น่าภูมิใจจริงๆเชียงคาน 15

คนทั่วไปรู้จักผีตาโขน แห่งอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย แต่ใครจะรู้บ้างว่าจังหวัดนี้ยังมีอีกหนึ่งผีที่แสนน่ารัก “ผีขนน้ำ”บ้านนาซ่าว อำเภอเชียงคาน แม้จะดูเผินๆ ภายนอกคล้ายผีตาโขน แต่ในรายละเอียดต่างกันมาก เพราะผีขนน้ำคืองานบุญเดือนหก ก่อนลงมือทำการเกษตร ประมาณเดือนพฤษภาคมเชียงคาน 16 ชาวบ้านนาซ่าว ซึ่งเป็นชาวไทยพวน เชื่อว่า ผีขน คือ วัว ควาย ที่ตายไปแล้ว แต่วิญญาณยังคงวนเวียนอยู่ตามห้วย หนอง คลอง บึงรอบหมู่บ้าน เมื่อชาวบ้านไปตักน้ำกลับมา ผีขนก็จะตามมาด้วย โดยได้ยินแต่เสียงกระดิ่งกระดึงที่ผูกคอมันไว้ ในอดีตเมื่อมีการละเล่นแห่ผีขนน้ำแล้ว ฝนมักจะตก ทุกวันนี้การเล่นผีขนน้ำจึงกลายเป็น “ผีขอฝน” นั่นเอง

ลายที่วาดบนหน้ากากผีขนน้ำมักจะน่ารัก ประดับด้านบนด้วยผ้าริ้วเป็นสีสดใส แสดงถึงสายฝนและความอุดมสมบูรณ์เชียงคาน 17 ผีขนน้ำบ้านนาซ่าว สืบทอดกันมาถึงรุ่นที่ 6 หรือ 7 แล้ว ทว่าคนนอกอำเภอเชียงคานแทบไม่รู้จักประเพณีการละเล่นผีขนน้ำเลย นับเป็นอีกหนึ่งประเพณี UNSEEN of Chiangkhan อย่างแท้จริงเชียงคาน 18

หน้ากากผีขนน้ำบ้านนาซ่าว ทำจากไม้นุ่น หรือไม้งิ้ว นำมาสลักให้เป็นรูปใบหน้า แล้วทาสีวาดลายตามต้องการ ส่วนหน้ากากผีตาโขนที่เราคุ้นเคย ทำจากหวดนึ่งข้าวเหนียว แค่นี้ก็ต่างกันแล้ว

ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนบ้านนาซ่าว สามารถทดลองทำหน้ากากผีขนน้ำได้ด้วยตนเอง สนใจติดต่อ คุณวิชิต ทำทิพย์ โทร. 08-8548-1688เชียงคาน 19เชียงคานในฤดูหนาว อากาศหนาวเย็นยะเยือกจับใจ ผู้คนที่นี่จึงเรียนรู้การทำ “ผ้าห่มนวม” ขึ้นใช้เอง และจำหน่ายเป็นสินค้ามีชื่อเสียง โดยเฉพาะที่ โรงหีบฝ้ายบ่วยเฮียงในตลาดเชียงคาน เป็นโรงหีบฝ้ายแห่งแรกของเชียงคาน มีทั้งหน้าร้านจำหน่าย และเปิดให้เข้าชมโรงงาน ขั้นตอนวิธีผลิตอย่างละเอียด ตั้งแต่การหีบฝ้าย (แยกเมล็ดฝ้ายออกจากปุยฝ้าย), การขึ้นเส้นโครงผ้าห่ม, การบุฝ้าย, การตีฝ้าย จนกลายเป็นผ้าห่มแสนอุ่นสบาย
เชียงคาน 20

ผ้าห่มนวมเชียงคานไม่ได้มีแต่ที่ร้านบ่วยเฮียง แต่ยังมีที่ร้านนิยมไทย (อยู่ระหว่างซอย 13 และ 14 ล่าง), ร้านไดเฮง (ซอย 12 บน), บ้านคุณป้าคำหล้า สิงห์หล้า (ซอย 10 บน) ฯลฯ
เชียงคาน 21

หนึ่งวัฒนธรรมอันแสนน่ารัก ดีงาม ที่บรรพบุรุษชาวหลวงพระบางนำมาสู่เชียงคานเมืองริมโขง ก็คือ “ประเพณีผาสาดลอดเคราะห์” (หรือ ปราสาทลอยเคราะห์) ที่เชื่อกันว่าเป็นเหมือนการสะเดาะห์เคราะห์ นำโชคร้าย สิ่งไม่ดีออกจากตัวด้วยการทำกระทงกาบกล้วยทรงสี่เหลี่ยม ประดับประดาอย่างงดงาม เพื่อไปลอยในแม่น้ำโขงเชียงคาน 22

กระทงผาสาดลอยเคราะห์ ตามแบบประเพณีนิยมดั้งเดิม นอกจากเชื่อว่าจะนำเคราะห์โศรก โรคภัย สิ่งไม่ดีทั้งปวงออกจากตัวเราแล้ว ยังช่วยให้มีโชคดีติดตามมาด้วยเชียงคาน 23

ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวที่สนใจในประเพณีผาสาดลอยเคราะห์ สามารถทดลองทำ แล้วนำไปลอยในแม่น้ำโขงได้ด้วยตัวเอง หรือติดต่อที่บ้านป้านาง ซอย 8 (ล่าง) ช่วยกันสืบสานสิ่งดีๆ ไม่ให้สูญหายนะจ๊ะเชียงคาน 24

เมื่อทำกระทงผาสาดลอยเคราะห์เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาลงเรือล่องโขง ออกไปหาจุดเหมาะๆ ลอยเคราะห์ไปกับสายน้ำเชียงคาน 25

นั่งเรือชมธรรมชาติสองฝั่งโขง พร้อมกับผาสาดลอยเคราะห์ในมือ ที่เราประดิษฐ์ขึ้นด้วยตนเองอย่างภาคภูมิใจเชียงคาน 26

ลอยผาสาดลอยเคราะห์กลางแม่นำ้โขง เชียงคาน ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ต้องจดจำ เชื่อกันว่าเมื่อลอยไปแล้ว ห้ามมอง ต้องปล่อยสิ่งไม่ดี โชคร้าย ความเศร้าโศรกไปกับกระทงนั้นเชียงคาน 27

กลับจากผาสาดลอยเคราะห์เข้าฝั่งเชียงคาน แสงอาทิตย์ก็คล้อยต่ำเย็นย่ำอ่อนแรง เปลี่ยนบรรยากาศริมโขงให้อ่อนหวาน เนิบช้า สงบเย็น นี่ล่ะเสน่ห์แท้จริงของเมืองริมโขงอย่างเชียงคาน ที่เราสัมผัสได้ตลอดปีเชียงคาน 28

เมื่ออาทิตย์อัสดง สายน้ำโขงเชียงคานก็ถูกแต่งแต้มเปลี่ยนเฉดสีไปตามธรรมชาติสร้างสรรค์ สีของฟากฟ้าสะท้อนลงมาเจือเป็นเนื้อเดียวกับสีสายน้ำโขง บ่งบอกเรื่องราวธรรมชาติ และชีวิตสองฟากฝั่ง โรแมนติกอย่าบอกใครเชียว
เชียงคาน 29

เชียงคานเป็นเมืองรุ่มรวยด้วยวัฒนธรรมอย่างแท้จริง ไม่ได้มีแต่ถนนคนเดินไว้ให้ช้อปปิ้งอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด โรงเรียนเชียงคาน คือแหล่งสืบทอดการรำเบิ่งโขง พร้อมด้วยการแต่งกายอย่างคนหลวงพระบาง บรรพบุรุษของชาวเชียงคาน ลีลาอ่อนช้อย และเนื้อเพลงอันน่าฟัง สะท้อนถึงความผูกพันของผู้คนกับสายน้ำโขง มาหลายชั่วรุ่นเชียงคาน 30

งามอย่างเชียงคาน กับลีลาการรำเบิ่งโขงอันอ่อนหวาน ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้พบเห็นเชียงคาน 31

นักเรียนของโรงเรียนเชียงคานทุกคน สามารถรำเบิ่งโขงได้ และในหนึ่งสัปดาห์ ต้องแต่งชุดประจำถิ่นของเชียงคาน เพื่อช่วยกันอนุรักษ์สืบสานอัตลักษณ์ ตัวตน คนเชียงคาน ให้คงอยู่ไปอีกนานแสนนานเชียงคาน 32

การเที่ยวสัมผัสเชียงคานอย่างมีคุณค่า ควรหาโอกาสไปที่บ้าน “อาจารย์สมโภช ดนตรีไทย” (โทร. 09-3449-3399, 09-4558-9388) อยู่ที่ซอย 10 (บน) เป็นแหล่งเรียนรู้ดนตรีไทยและดนตรีสากล ซึ่งผู้ใหญ่และเด็กรุ่นใหม่ในเชียงคานสนใจมาก การเที่ยวชมเป็นหมู่คณะก็สามารถทำได้ เพียงแต่ต้องติดต่อล่วงหน้า ไปร่วมกันซึมซับสัมผัสเสียงดนตรีอันไพเราะ เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณความเป็นไทย แล้วคุณจะรักเมืองไทยมากขึ้นอย่างแน่นอนเชียงคาน 33

ที่บ้านป้านาง (ซอย 8 ล่าง) เวลามีแขกไปใครมาเยือน ตอนเย็นๆ ก็จะมีจัดเลี้ยงอาหารพื้นเมือง เสร็จแล้วก็ร่วมวงฟ้อนรำกันสนุกสนาน บางวันอาจารย์สมโภชก็มาร่วมบรรเลงด้วย สร้างความประทับใจไปอีกนานแสนนานเชียงคาน 34

แม้วันเวลาจะล่วงเลยไปนานเพียงไร จิตวิญญาณที่แท้จริงอย่างหนึ่งของเชียงคาน ซึ่งไม่เคยเปลี่ยนก็คือ “เรือนไม้เก่าริมโขง” ไล่ตั้งแต่ซอย 0 ถึงซอย 20 นับเป็นหนึ่งในชุมชนเรือนไม้เก่าริมแม่นำ้โขงที่โดดเด่นที่สุดในสยาม แม้หลายหลังจะถูกทิ้งร้าง ทว่าส่วนใหญ่ยังมีชีวิต มีลมหายใจ ส่งต่อไปจากรุ่นสู่รุ่น
เชียงคาน 35

เรือนไม้เก่าริมโขงเชียงคาน บริเวณถนนศรีเชียงคาน ถือเป็นหัวใจของเมืองน้อยน่ารักแห่งนี้เชียงคาน 36

เรือนไม้เก่าบางหลัง ด้านที่ติดถนนศรีเชียงคานอาจจะปิดประตูบานพับไม้ไว้มิดชิด แต่เมื่อเดินไปที่ถนนชายโขงตรงริมแม่น้ำ เรายังเห็นผู้คนเปิดบ้านใช้ชีวิต รับลมแม่น้ำพัดพรูเข้ามาสร้างความชื่นใจ เป็นโลกสองด้านที่เราต้องเปิดใจรับรู้เชียงคาน 37

รถสามล้อสกายแลป คือพาหนะสุดเท่ห์ที่ผู้คนใช้เป็นรถรับส่งสาธารณะ ขนคนขนของ รับใช้ชุมชนนี้มาเนิ่นนาน เป็นพาหนะเอกลักษณ์เมืองชายโขงที่เข้าคู่กับเรือนไม้เก่าได้ลงตัว นั่งเที่ยวชมเชียงคานและแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง อย่างแก่งคุดคู้, ภูทอก, พระพุทธบาทภูควายเงิน, ภูช้างน้อย ฯลฯ ได้สบายมากๆ
เชียงคาน 38

เชื่อหรือไม่ว่าเชียงคานในอดีตเป็นเมืองท่าที่รุ่งเรืองมาก ถึงขนาดมีโรงหนังถึง 3 แห่ง คือ ราชาภาพยนตร์, สุวรรณรามา และพรเทพ โดยเฉพาะบนถนนซอย 9 ที่ตรงขึ้นมาจากท่าเรือเก่า ไปสู่ตลาดเชียงคาน แม้แต่คนฝั่งลาวยังนั่งเรือมาชมเวลามีโปรแกรมหนังใหม่ๆ ดังๆ เข้าฉายในวิก แต่เมื่อถึงยุคมีม้วนเทปวีดีโอ แผ่นซีดี ดีวีดี จนมาถึงยุคดูหนังฟรีทางอินเตอร์เน็ท โรงหนังทั้งหมดก็ปิดตัวลงอย่างถาวร สะท้อนสัจธรรมความเปลี่ยนแปลง ไม่หยุดนิ่งของโลกใบนี้เชียงคาน 39

คุณลุงเจ้าของโรงหนังราชาภาพยนตร์ เปิดที่พักเก๋ไก๋น่ารัก พร้อมกับนำเครื่องฉายภาพยนตร์ เก้าอี้ไม้เก่า และโปสเตอร์หนังสุดรัก มาตกแต่งคล้าย Mini Theater หรือโรงหนังขนาดย่อมในด้านล่างของที่พักแบบไม่เหมือนใครจริงๆเชียงคาน 40

โรงหนังสุวรรณรามา ซอย 9 (บน) ทางเข้าตลาดเชียงคาน ปัจจุบันผันตัวเองไปเป็นร้านอาหาร และคอร์ตแบตมินตัน แต่ก็ยังคงมีกลิ่นอายโรงหนังเก่าในอดีตให้สัมผัส ทั้งม้วนฟิล์มเก่า, เก้าอี้ไม้, เครื่องฉายหนัง, โปสเตอร์ภาพยนตร์ เป็นเสน่ห์ของเมืองเล็กๆ ริมโขง ที่ทำให้ผู้มาเยือนคนแล้วคนเล่าหลงรักจนหมดใจเชียงคาน 41เรือนไม้เก่าของเชียงคาน ถือเป็นมรดกทางสถาปัตยกรรมท้องถิ่นอันทรงคุณค่ายิ่ง แต่ละหลังเปี่ยมด้วยเรื่องราวน่าค้นหา อย่าง “บ้านตาสิงห์คำ” (ซอย 19 ล่าง ถนนศรีเชียงคาน) ที่เก่าแก่กว่า 150 ปีเป็นอย่างน้อย เป็นเรือนหลังเดียวในเชียงคาน ที่มีเสาใต้ถุนเป็นปูนทรงสี่เหลี่ยมแบบยุโรป บนตัวบ้านก็กว้างขวาง และหลังบ้านยังมียุ้งฉางข้าวแบบโบราณให้ชมด้วย

เชียงคาน 42

เรือนไม้เก่าอายุนับร้อยปีของตาสิงห์คำ เต็มไปด้วยเรื่องเล่าในทุกอณูของตัวบ้าน
เชียงคาน 43 บ้านตาอูบ ปากซอย 14 (ล่าง) ถนนศรีเชียงคาน คือเรือนไม้โบราณอันทรงคุณค่า แสดงให้เห็นถึงวิธีการสร้างเรือนของคนเชียงคานในอดีต ที่นิยมใช้ไม้ไผ่ขัดแตะแล้วฉาบปูนบางๆ ปิดทับเป็นฝาผนัง แม้ปัจจุบันบ้านหลังนี้จะปิดร้าง แต่ก็ยังทำหน้าที่เป็น Landmark ของเชียงคาน ที่ได้รับความสนใจจากผู้คนไม่เสื่อมคลายเชียงคาน 44

ด้านหลังบ้านตาอูบ ปัจจุบันกลายเป็นที่จอดรถสาธารณะ ทว่าตัวบ้านนั้นยังคงโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมท้องถิ่นอันมีเอกลักษณ์ สมควรได้รับการอนุรักษ์ ฟื้นฟูให้เป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชนเพื่อการเรียนรู้ต่อไปเชียงคาน 45

เรือนไม้เก่าเชียงคานทุกหลังมีอดีต มีเรื่องเล่า พร้อมให้เราเข้าไปเรียนรู้ ถ้าเราเปิดใจอย่างเต็มที่เชียงคาน 46

ซอย 9 คือหัวใจหลักของเชียงคานในอดีต เพราะท่าเรือเก่าอยู่ที่ริมน้ำซอย 9 พอขึ้นฝั่งมาก็จะพบกับร้านค้าของชาวจีน ที่มีทั้งร้านโชห่วย ร้านกาแฟ ร้านขายยา รวมถึงโรงหนัง และโรงแรมเล็กๆ เรียงราย จากถนนชายโขง ผ่านถนนศรีเชียงคาน ขึ้นไปยังตลาดเชียงคาน แม้แต่โรงแรมพูลสวัสดิ์ ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งแรกของเชียงคาน มี 9 ห้อง ก็อยู่ในซอย 9 นี้เช่นกันเชียงคาน 47

เรือนไม้เก่าเชียงคาน แม้เก่าก็เพียงตัวบ้าน ทว่ารอยยิ้มของผู้เป็นเจ้าของ ที่พร้อมบอกเล่าเรื่องราวให้เราฟังนั้น ไม่ได้เก่าไปด้วยเลย แต่เปี่ยมด้วยเสน่ห์วิถีชุมชน ที่ไม่ยอมละทิ้งบ้านเรือนของตนไปไหนไกลเชียงคาน 48 เชียงคาน 49

เชียงคานบุรี เรือนไม้ 3 ชั้นเพียงแห่งเดียวของเชียงคาน เป็นโรงแรมสร้างใหม่บริเวณซอย 11 (ล่าง) พอขึ้นไปชั้นบนสุด จะมองเห็นวิวตัวเมืองได้สวยงาม ใครจะไปพักต้องจองนะจ๊ะ จะบอกให้เชียงคาน 50

โรงแรม White House (อยู่ระหว่างซอย 5-6 ล่าง ถนนศรีเชียงคาน) เป็นตึกฝรั่งทรงโคโลเนียลสีขาวอันสวยงาม สะท้อนวันเวลาท่ีฝรั่งเศสเคยมีอิทธิพลเหนือล้านช้าง หรือลาวในอดีต แถมยังแผ่อิทธิพลข้ามโขงมาถึงเมืองเชียงคานด้วย ปัจจุบัน Whit House คือโรงแรมน่าพัก ที่พาเราย้อนกลับไปสู่อดีตได้ราวกับ Time Capsuleเชียงคาน 51

เชียงคานเป็นเมืองพุทธ เมืองสงบ ที่ผู้คนยังคงยึดมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างเต็มเปี่ยม วัดวาอารามกว่า 10 แห่งในย่านริมโขง ทำให้คนใกล้วัด ไม่ลืมทำบุญสุนทาน และในขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญด้วย เด่นที่สุดคือ “วัดศรีคุณเมือง” อยู่ระหว่างซอย 6-7 (ล่าง) ใกล้แม่น้ำโขง
เชียงคาน 52

วัดศรีคุณเมือง เดิมชื่อ วัดใหญ่ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2119 เป็นวัดที่โดดเด่นด้วยพุทธศิลป์แบบล้านช้าง (ลาว) เห็นได้จากหลังคาโบสถ์ที่ลดหลั่นกันลงมาในทรงเตี้ยแบบล้านช้าง, พระพุทธรูปไม้จำหลักปิดทอง และภาพจิตรกรรมฝาผนังแบบล้านช้างแท้ๆ นับเป็นศูนย์กลางรวมใจรวมศรัทธาของชาวเชียงคานเชียงคาน 53 พระประทานในโบสถ์วัดศรีคุณเมือง สร้างด้วยศิลปกรรมล้านช้างแท้ๆ เป็นทองสำริด เชียงคาน 54

วัดศรีคุณเมือง ที่เชียงคาน แท้จริงแล้วเป็นชื่อวัดเดียวกับ วัดสีคุนเมือง ของเมืองหลวงพระบางในประเทศลาว เป็นวัดที่ราชวงศ์ลาวให้การอุปถัมป์ เมื่อผู้คนอพยพลงมาสร้างบ้านแปงเมืองอยู่ ณ ที่ปัจจุบัน จึงนำชื่อวัดในบ้านเกิดมาด้วยเชียงคาน 55

วัดมหาธาตุ คือวัดใหญ่อีกแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่กลางเมืองเชียงคานใกล้ริมโขง บริเวณซอย 14 สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2197 เป็นวัดที่เก่าแก่มาก เด่นด้วยพระอุโบสถไม้หลังเก่าศิลปะล้านช้าง เชื่อกันว่าเจดีย์ขาวที่วัดมหาธาตุนี้ สร้างอุดรูพญานาคไว้ เพราะเชื่อว่าเป็นทางผ่านของพญามุจลินทร์นาคราช ที่เข้ามากราบไหว้หลวงพ่อใหญ่ แล้วกลับลงสู่แม่น้ำโขงเชียงคาน 56

นอกจากความเชื่อเรื่องพญานาคแล้ว วัดมหาธาตุยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง และวัตถุโบราณเก็บรักษาไว้ อีกทั้งยังมีส้วมฝรั่ง ที่เป็นห้องน้ำก่ออิฐถือปูนทรงโคโลเนียล เพราะจุดนี้เคยใช้เป็นที่ตั้งที่ว่าการเมืองเชียงคานเก่า สมัยพระยาศรีอรรคฮาตเชียงคาน 57

ภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดมหาธาตุ เป็นฝีมือช่างพื้นบ้านสกุลช่างล้านช้าง แม้ทุกวันนี้จะลบเลือนไปมาก แต่ก็ยังพอเห็นเค้าโครงกลิ่นอายความงามของพุทธศิลป์แห่งศรัทธา
เชียงคาน 58

หลวงพ่อใหญ่แห่งวัดมหาธาตุ ที่เชื่อกันว่าท่านศักดิ์สิทธิ์มาก
เชียงคาน 59

เชียงคานเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายสุดๆ ทั้งในแง่วัฒนธรรม ชุมชน งานประเพณี เชิงเกษตร และธรรมชาติ โดยเฉพาะที่ “ภูทอก” แหล่งชมทะเลหมอกใกล้เชียงคาน มองออกไปเห็นแม่น้ำโขงและฝั่งลาวได้ชัดเจน ยิ่งถ้าเป็นฤดูหนาวด้วยแล้ว ทะเลหมอกจะแน่นเป็นผืนพรมคล้ายปุยนุ่นทีเดียว เชียงคาน 60

แก่งคุดคู้ อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงคานไปทางตะวันออก 2 กิโลเมตร เป็นแก่งใหญ่กลางแม่น้ำโขง ที่จะเผยตัวขึ้นมาอย่างชัดเจนในยามฤดูแล้ง ปัจจุบันมีร้านอาหาร จุดชมวิว และบริการล่องเรือเที่ยวชมธรรมชาติลำน้ำโขง ชิลสุดๆเชียงคาน 61

ตำนานแก่งคุดคู่เล่าว่า ในอดีตมีพรานคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ ชื่อ ตาจึ่งขึ่งดังแดง ไล่ตามควายเงินมาจากฝั่งลาว โดยหมายจะยิงมันให้ได้ แต่พอมาถึงแก่ง ก็มีพ่อค้าจากหลวงพระบางถ่อเรือมาถึงพอดี ควายเงินตกใจ เผ่นหนีขึ้นไปซ่อนอยู่ที่ปลักบนภูควายเงิน พรานโกรธมากจึงนำหินมาก่อเรียงขวางลำน้ำ เพื่อไม่ให้ใครถ่อเรือผ่านไปได้อีก พระอินทร์จึงแปลงร่างลงมาเป็นเณรน้อย ออกอุบายให้พรานใช้ไม้ไผ่ทำคานแบกหิน ทว่าไม้ไผ่ไม่แข็งแรงพอ จึงหักลงมาบาดคอตายในท่านอนคุดคู้ บริเวณนี้จึงได้ชื่อว่า “แก่งคุดคู้” มาจนทุกวันนี้เชียงคาน 62

เวลาไปเที่ยวแก่งคุดคู้ นอกจากกุ้งแพ (กุ้งฝอยแม่น้ำโขง ชุบแป้งทอดเป็นแพ กินกับน้ำจิ้มแสนอร่อย) แล้ว สิ่งหนึ่งที่ห้ามพลาดชิมคือ มะพร้าวแก้วแก่งคุดคู้ ผลิตกันที่นี่มาช้านาน มีหลายเจ้า ขอเข้าชมการผลิตได้ เอกลักษณ์คือเนื้อมะพร้าวต้องนุ่ม รสชาติหวานนวลๆ กินเล่นได้เพลินๆ จ้าเชียงคาน 63

การผลิตมะพร้าวแก้วแก่งคุดคู้ ต้องใช้เนื้อมะพร้าวคุณภาพดี ทำความสะอาด แล้วผ่ารีดเป็นแผ่นบางๆ ก่อนนำไปเชื่อม
เชียงคาน 64

การเชื่อมมะพร้าวแก้ว แก่งคุดคู้ ของกินเล่นยอดฮิตที่เหมาะจะซื้อเป็นของฝากกลับบ้านเชียงคาน 65

ใครที่สนใจวิถีท่องเที่ยวเชิงเกษตร หรือ Agro-Tourism แนะนำให้ไปเที่ยวที่ “สวนผลไม้บ้านบุฮม” อยู่ห่างจากเชียงคานไปทางตะวันออก 14 กิโลเมตร ตามถนนเส้นเลียบโขงอันสวยงาม เราจะเห็นสวนมะม่วง สวนฝรั่ง สวนแก้วมังกร สวนกระท้อน สวนมะขามหวาน และอีกสารพัดสวน ให้เข้าชม ชิม และซื้อกลับบ้าน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันตลอดปีเชียงคาน 66

มะม่วงบ้านบุฮม มีพ่อค้ามาซื้อเหมากันไปถึงที่เลย รสชาติหวานอร่อยสุดยอด เพราะดินแถวริมโขงมีแร่ธาตุเยอะมากเชียงคาน 67

เชียงคานมีอาหารอร่อย เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครอยู่หลายอย่าง เช่น ที่ซอย 0 มี “ข้าวหลามยาว” ซึ่งเมื่อก่อนยาวมากถึง 1.5 เมตร (เกือบ 2 เมตรก็มี!) ถือเป็นข้าวหลามที่ยาวที่สุดในเมืองไทย เอกลักษณ์คือเนื้อข้าวเหนียวจะนุ่ม หอม หวานอ่อนๆ มีทั้งข้าวเหนียวดำและข้าวเหนียวขาว เหมาะจะกินเล่นจิ้มนมข้นหวาน ที่นี่ทำขายตอนเช้าเท่านั้นจ้าเชียงคาน 68

น่าเสียดายที่ทุกวันนี้ไม้ไผ่ยาวๆ ในบ้านเราแทบไม่มีแล้ว หรือถ้ามีก็อยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ เข้าไปตัดมาใช้งานไม่ได้ ข้าวหลามยาว ซอย 0 เชียงคาน เลยต้องรับซื้อไม้ไผ่มาจากฝั่งลาวแทนเชียงคาน 69

เมื่อปิ้งข้าวหลามจนสุกดีแล้ว ก่อนหม่ำก็ต้องมาเหลาเปลือกให้บางเฉียบ จนสามารถใช้มือปอกข้าวหลามกินได้ทันที นี่คือเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครของข้าวหลามยาวเชียงคาน
เชียงคาน 70

เที่ยวชมเชียงคานกันมาจนเหนื่อยแล้ว ได้เวลาเติมพลัง กับ “ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว” ซึ่งเป็นอาหารที่ได้รับอิทธิพลมาจากลาว (ต้นตำรับคือเวียดนาม) แท้จริงแล้วก็คือเส้นขนมจีน ใส่น้ำซุป และเครื่องในหมู เนื้อหมู กินกับผักแกล้ม พริก กะปิ มะนาว คล้ายๆ เฝอ (ก๋วยเตี๋ยว) เวียดนามนั่นล่ะ

เชียงคาน 71

ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว คืออาหารเช้ายอดฮิตของคนเชียงคาน ชื่อดังสุดคือ ข้าวปุ้นน้ำแจ่วป้าบัวหวาน ซอย 14 (บน)เชียงคาน 72

ส้มตำด้องแด้ง แห่งร้านจิตส้มตำ ปากซอย 21 (บน) ใกล้โรงพยาบาลเชียงคาน เป็นส้มตำเจ้าเด่นเจ้าดัง รสชาติแซ่บถึงใจ สั่งได้ตามต้องการ มีตำทุกประเภทให้เลือก โดยเฉพาะส้มตำด้องแด้ง ซึ่งมีต้นกำเนิดที่นี่เชียงคาน 73

จุ่มนัวยายพัด หรือสุกี้หลวงพระบาง ขายอยู่ที่ซอย 10 (ล่าง) รสชาติอร่อยกลมกล่อม ลูกค้าแน่นตลอดวัน ขายมาหลายสิบปี ร้านนี้ยังมีขนมหวานแบบไทยๆ ให้กินล้างปากด้วย โดยเฉพาะลอดช่อง, กล้วยบวชชี, ฟักทองแกงบวช สุดยอด!!!เชียงคาน 74

ตื่นเช้าเดินไปเที่ยวตลาดเชียงคาน ถ้าหิวขึ้นมา ก็เดินไปชิม “ปาท่องโก๋ยัดไส้” กินคู่กับกาแฟ โอวัลติน ชาร้อน ต้อนรับวันใหม่ให้สดชื่นอิ่มท้องเชียงคาน 75

มีคนเคยบอกว่า ตลาดเช้าคือสิ่งที่สะท้อนวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นนั้นๆ ได้ดี มันคือความจริง เพราะในตลาดเช้าเชียงคาน จะมีพืชพักผลไม้ในท้องถิ่นมาขายหลากหลายตามฤดูกาล รวมถึงพืชผัก ข้าวเหนียว แกง อ่อม หมก แหนม ฯลฯ อุดมสมบูรณ์ คนที่อยากใส่บาตรข้าวเหนียว ตื่นเช้าเอากระติ๊บมาซื้อข้าวเหนียวร้อนๆ ที่นี่ได้เลย
เชียงคาน 76

เชียงคาน เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ของเรื่องราว ชีวิต วัฒนธรรม และธรรมชาติงามริมโขง เรือนไม้เก่าทุกหลังล้วนมีอดีต เรื่องเล่า ที่พร้อมให้เราเข้าไปเรียนรู้ เชียงคานไม่ได้มีแต่ถนนคนเดิน แม้เชียงคานจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่นั่นคือการปรับตัวตามวิวัฒนาการของเมืองที่ได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยว คำถามคือ เราจะทำอย่างไรที่จะช่วยกันรักษาเชียงคานให้คงอยู่ พร้อมกับรักษาอัตลักษณ์ตัวตนไว้ได้ด้วย

เชียงคานไม่ใช่เมืองที่ถูกแช่แข็งไว้ในกาลเวลา แต่เป็นเมืองที่มีความเติบโตไปตามยุคสมัย วันนี้เชียงคานยังน่านัก เต็มไปด้วยเรื่องราวของชีวิตที่หมุนไป ไม่หยุดหย่อน เราจึงต้องเคารพความเป็นเชียงคาน ไปเรียนรู้ในสิ่งที่เขาเป็น อย่าให้เขาต้องเปลี่ยนเพื่อคนนอก

นี่คือเมืองแห่งเรือนไม้เก่าริมโขง ที่ฉันหลงรักจนหมดใจ ในความน่ารักและรอยยิ้มที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

 

มานครพนม ชมสามที่สุด เพื่อสุขที่สุด

วิวริมโขง นครพนม 2

มาเที่ยวนครพนมทีไร สุขใจทุกครั้ง ทั้งวิวสวยริมโขง ผู้คนน่ารัก ความหลากหลายของวัฒนธรรมไทย ญวน จีน และอีสาน ผสมกลมกลืน รวมถึงอาหารแสนอร่อย แต่มาเที่ยวคราวนี้มีความพิเศษ เพราะเป็นปีท่องเที่ยวนครพนม ที่เขาจัดแคมเปญสนุกๆ ชื่อ “สามที่สุด…ปีท่องเที่ยวนครพนม” ชวนไปชมของดีของเด่น ซึ่งจะทำให้เราประทับใจไม่รู้ลืม

ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด : พระธาตุพนม เป็นพระธาตุประจำคนเกิดวันอาทิตย์ และปีวอก

สวยที่สุด : สะพานมิตรภาพไทย-ลาว 3 (นครพนม-คำม่วน)

งามที่สุด : ทิวทัศน์ริมฝั่งโขงพระธาตุพนม 1

ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด : พระธาตุพนม เป็นพระธาตุประจำคนเกิดวันอาทิตย์ และปีวอก

พระธาตุพนม 2ท่านสมชาย วิทย์ดำรงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดตัวกิจกรรม “สามที่สุด…ปีท่องเที่ยวนครพนม” กับจุด Check In แรก ณ พระธาตุพนม ซึ่งถือว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในจังหวัดนครพนม
พระธาตุพนม 3มาเที่ยวนครพนมแล้ว ร่วมกิจกรรม “เช็ค อิน ฟินสุขสุด” และกิจกรรม Like and Share เพื่อรับของที่ระลึกและของรางวัลจากนครพนม ทั้งสินค้าโอทอป, เสื้อ T-Shirt สามที่สุด, แฟลชไดร์ฟสามที่สุด, Gift Voucher โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร ร้านของฝากในจังหวัด และแพ็กเกจทัวร์ ตั้งแต่ 11 มิถุนายน – 30 ตุลาคม 2559

สอบถามเพิ่มเติมที่ สำนักงานจังหวัดนครพนม โทร. 0-4251-1287
พระธาตุพนม 4

พระธาตุพนม เป็นพระบรมธาตุที่เก่าแก่มาก สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยทวารวดี เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 11 หรือ 12 เป็นที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุ หรือกระดูกส่วนหน้าอกของพระพุทธเจ้า ถ้าได้มากราบไหว้ หรือห่มผ้าพระธาตุแล้ว ถือว่าเป็นสิริมงคลอย่างยิ่งกับชีวิต
พระธาตุพนม 5

ใครได้มาไหว้พระธาตุพนมครบ 7 ครั้ง ถือว่าเป็นลูกพระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์แล้วนะจ๊ะพระธาตุพนม 6 อาจารย์คฑา ชินบัญชร และ คุณซัน ประชากร ปิยะสกุลแก้ว นักแสดงสายเลือดนครพนม นำคณะผู้ศรัทธา บูชาพระธาตุพนมและห่มผ้าพระธาตุ ณ จุด Check In จุดแรกพระธาตุพนม 7.1

พลังแห่งศรัทธา ณ พระธาตุพนมพระธาตุพนม 7เนื่องจากปี 2559 นี้ ถือเป็นปีดีเฮงๆ ของคนปีวอก จังหวัดนครพนมจึงจัดงาน “พิธีบูชาพระธาตุพนม เสริมบารมีคนปีวอก” ซึ่งโดยปกติจัดกันอยู่แล้วทุกวันเสาร์ที่ 2 และ 4 ของเดือน แต่ปีนี้จัดยิ่งใหญ่และพิเศษขึ้นอีก ด้วยว่าองค์พระธาตุพนมเป็นพระธาตุประจำคนเกิดปีวอก จึงมีผู้ศรัทธาเข้าร่วมอย่างล้นหลาม

พระธาตุพนม 8

ท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมพิธีเปิดงานบูชาพระธาตุพนม เสริมบารมีคนปีวอกพระธาตุพนม 9.1

ท่านประมวล มุ่งมาตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดงาน “พิธีบูชาพระธาตุพนม เสริมบารมีคนปีวอก” เมื่อค่ำของวันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน 2559พระธาตุพนม 9

ผู้ศรัทธาและนักท่องเที่ยวนับพัน เข้าร่วมพิธีบูชาพระธาตุพนม เสริมบารมีคนปีวอก
พระธาตุพนม 10.1

พิธีบายศรีสู่ขวัญตามความเชื่อของชาวอีสาน ก่อนที่การรำบูชาพระธาตุพนมจะเริ่มขึ้นพระธาตุพนม 10.2

พานบายศรีประดิษฐ์ด้วยใบตองฝีมือละเอียดประณีตของชาวนครพนม สร้างสรรค์เป็นรูปพญานาค 7 เศียร
พระธาตุพนม 10 ไฮไลท์ของงานบูชาพระธาตุพนมที่ทุกคนรอคอย คือการฟ้อนบูชาพระธาตุพนมโดยชาวบ้านกลุ่มต่างๆ ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา จัดขึ้นทุกวันเสาร์ที่ 2 และ 4 ของเดือนพระธาตุพนม 11

การฟ้อนบูชาพระธาตุพนมอันยิ่งใหญ่ตระการตา ได้ชมเมื่อไหร่ก็ประทับใจเมื่อนั้น สะท้อนถึงความผูกพันของผู้คน กับพระพุทธศาสนา และพระบรมธาตุอันศักดิ์สิทธิ์พระธาตุพนม 12.1

ชาวบ้านในอำเภอต่างๆ ของจังหวัดนครพนม ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาทำการแสดง เพื่อบูชาองค์พระธาตุพระธาตุพนม 12 การฟ้อนอันสวยงามอ่อนช้อย ของสาวนครพนม ตำบลพระกลางทุ่ง
พระธาตุพนม 13.1

รำด้วยศรัทธา ถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์พระธาตุพนมพระธาตุพนม 13 พระธาตุพนม 14 พระธาตุพนม 15 พระธาตุพนม 16 พระธาตุพนม 17

ท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ร่วมฟ้อนรำกับนางรำตำบลพระกลางทุ่ง ในช่วงท้ายของพิธีบูชาพระธาตุพนม เสริมบารมีคนปีวอกสะพานมิตรภาพไทย ลาว นครพนม 1

สวยที่สุด : สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 (นครพนม-คำม่วน) จุด Check In จุดที่ 2 ของสามที่สุด… ปีท่องเที่ยวนครพนม นำเราไปชมความสวยงามของสะพานทอดยาวข้ามลำโขง สู่เมืองท่าแขกของลาว ซึ่งมีทิวเขาหินปูนยิ่งใหญ่ทอดยาวตระการตา เป็นวิวทิวทัศน์ที่ Amazing จริงๆ!สะพานมิตรภาพไทย ลาว นครพนม 2

ซัน ประชากร ปิยะสกุลแก้ว นักแสดงวัยรุ่นชื่อดัง ลูกหลานของชาวนครพนมแท้ๆ มาเป็น presenter ให้กับกิจกรรม “สามที่สุด…ปีท่องเที่ยวนครพนม” ว๊าว!
สะพานมิตรภาพไทย ลาว นครพนม 3สะพานมิตรภาพไทย-ลาว 3 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 11 เดือน 11 ปี 2011 เวลา 11.11 น. ทำหน้าที่เหมือน Gateway ใหม่ของการเดินทางท่องเที่ยวและค้าขายใน ASEAN
สะพานมิตรภาพไทย ลาว นครพนม 4

สะพานมิตรภาพไทย-ลาว 3 ในวันฟ้าใสปิ๊งๆ
วิวริมโขง นครพนม 1งามที่สุด : ทิวทัศน์ริมฝั่งโขง จุด Check In ที่ 3วิวริมโขง นครพนม 2

วิวริมโขงนครพนมสวยสุดๆ ตลอดวัน ตั้งแต่เช้าจรดเย็น มองเห็นเทือกเขาหินปูนฝั่งเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน ทอดยาวเป็นแนวกำแพงธรรมชาติอยู่ไกลลิบๆ ตรงเส้นขอบฟ้า
วิวริมโขง นครพนม 3

สามพรีเซนเตอร์ ณ จุดงามที่สุด ทิวทัศน์ริมฝั่งโขงนครพนมวิวริมโขง นครพนม 4

ถ้าใครขยันตื่นเช้า ก็จะได้ชื่นชมความงามของตะวันเบิกฟ้า ณ ริมโขงนครพนม มองข้ามโขงไปเห็นแสงทองรับวันใหม่ เหนือเทือกเขาหินปูนแขวงคำม่วนวิวริมโขง นครพนม 5

ยามเช้าอันเงียบสงบที่ริมโขงนครพนม ยังเป็นเมือง Slow Town ที่ช่วยทำให้นาฬิกาชีวิตเราเดินช้าลงจริงๆ นะจ๊ะวิวริมโขง นครพนม 6.1

นอกจากวิวธรรมชาติสวยๆ แล้ว ยังมีกิจกรรมตักบาตรริมโขงรับวันใหม่ ตามวิถี Slow Life ชาวนครพนมวิวริมโขง นครพนม 6

บรรยากาศสบายๆ ในยามเช้าอันสดใสที่ริมโขงนครพนม รอพระเดินบิณฑบาตรหน้าวัดพระมหาธาตุ
วิวริมโขง นครพนม 7

ตักบาตรริมโขงยามเช้า สืบสานวิถีพุทธอันสงบเย็นให้คงอยู่สืบไปวิวริมโขง นครพนม 8

คนอีสานบ้านเฮา ก็ต้องตักบาตรข้าวเหนียวอย่างนี้ล่ะจ้าวิวริมโขง นครพนม 9

วิวริมโขงนครพนมในช่วงกลางวันแดดกระจ่างตาฟ้าใส มองไปเห็นทิวทัศน์เทือกเขาทอดยาวเรียงราย เหมาะนั่งเรือชมธรรมชาติสองฝั่งโขงซะจริงๆ เลยนะ
พระธาตุท่าอุเทน

นอกจากการร่วมกิจกรรม “จุดถ่ายภาพสามที่สุด” ในปีท่องเที่ยวนครพนมแล้ว มาเยือนจังหวัดนี้ทั้งที ก็ต้องหาโอกาสไปนมัสการพระธาตุประจำวันเกิดให้ครบ 7 วันด้วยนะจ๊ะ เพราะนครพนมเป็นจังหวัดเดียวในเมืองไทย ที่มีพระธาตุประจำวันเกิดครบ 7 วัน อย่างพระธาตุท่าอุเทน เป็นพระธาตุประจำคนเกิดวันศุกร์จ้าพระธาตุนครพระธาตุนคร พระธาตุประจำคนเกิดวันเสาร์
พระธาตุเรณู

พระธาตุเรณู พระธาตุประจำคนเกิดวันจันทร์พระธาตุศรีคูณ

พระธาตุศรีคูณ พระธาตุประจำคนเกิดวันอังคารทำบุญ นครพนม 1

มาไหว้พระทำบุญ ถวายสังฆทาน สะสมบุญบารมีกันที่นครพนม
ทำบุญ นครพนม 2

อาจารย์คฑา ชินบัญชร เป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มการจัดกิจกรรมไหว้พระธาตุประจำวันเกิดในจังหวัดนครพนม จนเกิดคลื่นมหาชนผู้ศรัทธา หลั่งไหลมาสักการะพระธาตุประจำวันเกิด เสริมบุญบารมี สร้างสิริมงคลแก่ชีวิตทำบุญ นครพนม 3สวดมนต์ไหว้พระ ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว เสริมบุญบารมีกันที่นครพนม เมืองริมโขงอันแสนสงบร่มเย็นอนุสรณ์สถานโฮจิมินห์ บ้านนาจอก 1พอไหว้พระเสร็จแล้ว ถ้าใครมีเวลาเหลือก็อย่าลืมแวะชมแหล่งท่องเที่ยวใหม่เอี่ยมของนครพนม คือ “อนุสรณ์สถานประธานาธิบดีโฮจิมินห์” เป็นสถานที่รวบรวมเรื่องราวประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของเส้นทางการต่อสู้เพื่อกอบกู้เอกราช ของประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ซึ่งเคยมาหลบภัยพำนักอยู่ที่บ้านจาจอก ตำบลหนองญาติ จังหวัดนครพนม อยู่หลายปีเลยล่ะ
อนุสรณ์สถานโฮจิมินห์ บ้านนาจอก 2

สาวไทยเชื้อสายเวียดนาม ที่บ้านนาจอก นครพนมอนุสรณ์สถานโฮจิมินห์ บ้านนาจอก 3

สีสันของสาวเวียดนามรุ่นใหญ่ ที่อนุสรณ์สถานประธานาธิบดีโฮจิมินห์ แหล่งท่องเที่ยวซึ่งไม่ใช่เฉพาะชาวไทยเท่านั้นนิยมไปชม แต่ชาวเวียดนามแท้ๆ ก็มักจะเดินทางตามรอยประวัติศาสตร์การกู้ชาติ มาเยือนบ้านนาจอกเสมอๆ โดยภายในที่นี้มีการจำลองบ้านพักของท่านมาให้ชมด้วย
อนุสรณ์สถานโฮจิมินห์ บ้านนาจอก 4อนุสรณ์สถานประธานาธิบดีโฮจิมินห์ บ้านนาจอก นครพนม แหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่ไม่ควรพลาด
อนุสรณ์สถานโฮจิมินห์ บ้านนาจอก 5

รูปเคารพของลุงโฮ หรือท่านโฮจิมินห์ ประธานาธิบดีคนแรกของเวีดยนาม หลังจากต่อสู้ทวงคืนเอกราชจากฝรั่งเศสได้สำเร็จ บัดนี้สร้างอย่างยิ่งใหญ่ ณ บ้านนาจอก นครพนม แหล่งที่ท่านเคยหนีมาพำนัก เพื่อวางแผนกู้ชาติNakhonpanomสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจังหวัดนครพนม โทร. 0-4251-1287

เที่ยวสุดยอด Unssen กาฬสินธุ์ ถิ่นอีสาน (ตอน 2)

กาฬสินธุ์ 48

ต่อจากความเดิม ในการท่องเที่ยวถิ่นอีสานกาฬสินธุ์ ชมสถานที่ Unseen และชุมชนน่ารักๆ ของชาวผู้ไทยกันไปแล้ว ในตอน 2 นี้ เราก็ยังขอพาแฟนๆ ตามรอย Go Travel Photo ไปเยือนกาฬสินธุ์เมืองน่ารักกันต่อเลยจ้า

1. สิมวัดอุดมประชาราษฎร์ บ้านนาจารย์ ตำบลนาจารย์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ เป็นวัดที่เริ่มสร้างเมื่อ พ.ศ. 2448 จนเสร็จสมบูรณ์เมื่อ พ.ศ. 2476 โดยผู้นำคือ ญาคูบุปผา เจ้าอาวาสในสมัยนั้น ร่วมกับญวนสองพี่น้อง คือ นายทองคำ จันทร์เจริญ และนายคำมี จันทร์เจริญ โดยสร้างขึ้นตามลักษณะของสิม (โบสถ์อีสาน) ในอดีต คือมีขนาดเล็ก ก่ออิฐถือปูน มุงหลังคากระเบื้องหรือไม้เกล็ด ความพิเศษอยู่ตรงภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่วาดอยู่บนผนังด้านนอกสิมทุกด้าน รวมถึงภายในด้วย เกี่ยวกับพุทธประวัติ เรื่องชาดก และวิถีชีวิตของคนอีสานในอดีต เช่น การละเล่นหัวล้านชนกัน, งานศพ, ภาพตลกขบขัน ฯลฯ โดยมีอักษรธรรมเขียนกำกับไว้ ช่างผู้วาดภาพเหล่านี้คือ อาจารย์ผาย ชาวอำเภอสหัสขันธ์
กาฬสินธุ์ 49

รอบสิมเต็มไปด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังลายเส้นง่ายๆ ดูแล้วสนุก สะท้อนถึงความเชื่อ วิถีชีวิตแบบเก่า คาดว่าน่าจะใช้สีธรรมชาติมาระบายแต้ม สีสันจึงไม่ฉูดฉาด ทว่าติดทนนานมาก
กาฬสินธุ์ 50

บนผนังด้านนอกสิม มีการปั้นเป็นอาร์ค (Arch) คล้ายซุ้มโค้ง ที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนังอยู่ภายใน งดงามมากกาฬสินธุ์ 51

ภายในสิม ประดิษฐานพระประทานโบราณ หลังพระประธานเป็นฮูปแต้ม (ภาพจิตรกรรมฝาผนัง) ภาพมังกรกลางผนัง ล้อมรอบด้วยภาพพระเวสสันดรชาดก เทวดา และอื่นๆ นับเป็นความงามอย่างเรียบง่าย ที่ให้ความรู้สึกขรึมขลังดีแท้กาฬสินธุ์ 52การเดินทางไปชมสิมวัดอุดมประชาราษฎร์ : จากตัวเมืองกาฬสินธุ์ ใช้ทางหลวงหมายเลข 213 (กาฬสินธุ์-สมเด็จ) จนถึงบ้านนาจารย์ เมื่อผ่านโรงเรียนชุมชนนาจารย์วิทยาแล้ว มีแยกขวาพร้อมป้ายบอกทางไปวัด ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้าน รวมระยะทางจากตัวเมือง เพียง 15 กิโลเมตร เท่านั้น
กาฬสินธุ์ 54

2. วัดป่ารังสีปาลิวัน ตำบลบ้านโพน อำเภอคำม่วง เป็นเจดีย์ในวัดป่าอันสงบ ร่มรื่น เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแด่ หลวงปู่เขียน ฐิตสีโล พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้มีวัตรปฏิบัติเคร่งครัด งดงาม ท่านเป็นสหายธรรมกับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) และพระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน) ตั้งแต่ครั้งสมัยที่ท่านทั้งสามยังมีอายุพรรษาไม่มากนัก
กาฬสินธุ์ 55

ปัจจุบันภายในเจดีย์วัดป่ารังสีปาลิวัน เป็นที่ประดิษฐานหุ่นขี้ผึ้งเหมือนจริง ของพระอริสงฆ์แห่งอีสานไว้หลายท่าน รวมถึงยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังปริศนาธรรม และพระบรมธาตุ อัฐิธาตุอันศักดิ์สิทธิ์มากมายให้กราบสักการะกาฬสินธุ์ 56 กาฬสินธุ์ 57 กาฬสินธุ์ 58

3. วิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่คนทั่วไปยังไม่ค่อยทราบ เหมาะสำหรับการเข้าเยี่ยมชมเป็นหมู่คณะ ใครรักชอบนาฏศิลป์ไทยถิ่นอีสาน เข้ามาดูการเรียนการสอน เพื่อสืบสานวัฒนธรรมการร่ายรำ ดนตรี ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ เร่ิมต้นด้วยการไปกราบสักการะพระพิฆเนตร เทพผู้ให้การปกปักรักษาและให้พรกับผู้ที่ทำงานด้านศิลปะ
กาฬสินธุ์ 62 กาฬสินธุ์ 63วิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ เป็นวิทยาลัยนาฏศิลป์ 1 ใน 12 แห่งของไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2524 ในสังกัดกองศิลปศึกษา กรมศิลปากร เปิดรับนักเรียนที่มีความสนใจในศิลปการแสดงดั้งเดิมของอีสาน และของไทย เพื่อสืบสานให้คงอยู่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ ไม่ว่าจะเป็นละคร, โขน, การแสดงพื้นบ้าน, ปี่พาทย์ (ระนาด ฆ้องวง ปี่), เครื่องสาย (ซออู้ ซอด้วง จระเข้), คีตศิลป์ (ขับร้องเพลงไทย), ดนตรีสากล (เครื่องดนตรีสากลทุกชนิด) และที่ขาดไม่ได้แน่นอน คือ ดนตรีพื้นบ้าน (เครื่องดนตรีอีสานทุกประเภท โดยเฉพาะโปงลาง สัญลักษณ์สำคัญของกาฬสินธุ์)

กาฬสินธุ์ 64

อนุสาวรีย์ของท่าน ผอ. สำเริง จิตรจง อดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ ผู้มีคุณูปการเอนกอนันต์ต่อสถาบันแห่งนี้ แม้ว่าท่านจะได้อำลาโลกไปแล้ว ทว่าคุณงามความดีของท่านยังคงอยู่ ทุกปีจะมีการจัดงานรำลึกแด่ท่านด้วย
กาฬสินธุ์ 65

น้องๆ นักเรียนนาฏศิลป์ ตั้งใจฝึกซ้อมกันอย่างขยันขันแข็ง นับเป็นภาพอันน่าชื่นใจ ว่ายังมีเยาวชนอีกกลุ่มหนึ่งให้ความสำคัญต่อศิลปของชาติ เข้ามาเรียน เข้ามาฝึกฝนเต็มเวลา ไม่ปล่อยให้กระแสโลกาภิวัฒน์ของโลก พาพวกเขาไหลบ่าไปกับอารยธรรมตะวันตกจนหมด ขอปรบมือให้ดังๆ เลยครับกาฬสินธุ์ 66

โปงลาง เครื่องดนตรีสัญลักษณ์ของจังหวัดกาฬสินธุ์ แน่นอนว่าต้องมีการเรียนการสอนที่นี่ด้วย
กาฬสินธุ์ 67

ฝึกรำบ่อยๆ และดัดมือ จนมืออ่อนโค้งงอน สะท้อนความอ่อนช้อยของนาฏศิลป์ถิ่นไทยจ้า

กาฬสินธุ์ 68

สนใจเข้าชมวิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ : ติดต่อล่วงหน้า โทร. 0-4381-1317, 08-5455-1501กาฬสินธุ์ 69

4. แหล่งขุดค้นไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว พิพิธภัณฑ์สิรินธร อำเภอสหัสขันธ์ อยู่บริเวณเชิงเขาภูกุ้มข้าว วัดสักกะวัน เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องไดโนเสาร์สัตว์โลกล้านปี ที่ไม่ได้มีชื่อเสียงเฉพาะในเมืองไทย หรือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เท่านั้น ทว่ายังมีชื่อเสียงในระดับโลก เพราะค้นพบโครงกระดูกไดโนเสาร์มากถึง 700 ชิ้นเป็นอย่างน้อย เป็นซากไดโนเสาร์ 7 ตัว อายุกว่า 130 ล้านปี ในยุคครีเตเชียสตอนต้น

อีกอย่างที่ทำให้ภูกุ้มข้าวโด่งดังมาก เพราะมีการค้นพบไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ของโลกเกือบ 10 ชนิด โดยเฉพาะไดโนเสาร์กินพืชตัวใหญ่ ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ ทำให้ทั่วโลกตื่นเต้น โดยซากโครงกระดูกจริงของมัน ยังไปชมได้ที่หลุมขุดค้น สภาพคล้ายมันนอนคว่ำม้วนหางเป็นวง
กาฬสินธุ์ 70

จำลองไดโนเสาร์ ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ ตั้งชื่อให้เป็นเกียรติตามพระนามของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
กาฬสินธุ์ 71

พิพิธภัณฑ์สิรินธร มิได้เป็นแหล่งเรียนรู้เฉพาะเรื่องไดโนเสาร์เท่านั้น ทว่ายังมีการจัดพิพิธภัณฑ์เป็น 8 โซน อย่างดี เล่าเรื่องราวของกำเนิดโลก, ธรณีวิทยา, ไดโนเสาร์, การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม, สัตว์ทะเลโบราณ และอื่นๆ อีกมากมาย ไปเที่ยวกันได้ตลอดปี ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จ้า
กาฬสินธุ์ 72

ขอแนะนำว่า พิพิธภัณฑ์สิรินธรมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ถ้าจะเดินชมแบบไม่รีบ ศึกษาหาความรู้ไปด้วย ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง อย่างในภาพนี้ คือห้องแรกๆ ที่จัดแสดงยุคทางธรณีวิทยาของโลก และตัวอย่างหินต่างๆกาฬสินธุ์ 73

หนึ่งในไฮไลท์ของการมาเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์สิรินธร คือการเดินเข้าสู่ห้องโถงกลาง ซึ่งจำลองโครงกระดูกทั้งตัว ของไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่ คล้ายฉากในหนังฮอลีวูดเรื่อง Jurassic Park น่าตื่นตาตื่นใจสุดๆ! แต่ไม่ได้น่าตื่นเต้นอย่างเดียว เขายังมีป้ายให้อ่านเพิ่มความรู้ใส่สมองอย่างละเอียดด้วยนะกาฬสินธุ์ 74

ซากฟอสซิลใหม่ล่าสุด ซึ่งพิพิธภัณฑ์สิรินธรได้นำมาจัดแสดงเพิ่มเติมจากพวกไดโนเสาร์ตัวใหญ่ก็คือ ซากฟอสซิลปลาโบราณจาก ภูน้ำจั้น บ้านดงเหนือ ตำบลเหล่าใหญ่ อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีการขุดพบซากฟอสซิลปลากินพืชที่สูญพันธุ์ไปพร้อมๆ กับยุคไดโนเสาร์เมื่อกว่า 65 ล้านปีก่อน สังเกตลักษณะเกล็ดปลาโบราณ จะเป็นสี่เหลี่ยม ไม่เป็นเกล็ดกลมมนเหมือนปลาปัจจุบัน ซากฟอสซิลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า อีสานคือผืนดินโบราณ ที่เคยมีสัตว์ดึกดำบรรพ์อยู่เต็มไปหมด!กาฬสินธุ์ 75

ณ หลุมขุดค้นจริง เราจะได้ชมซากไดโนเสาร์ ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ ในจุดที่มันนอนตายอยู่จริงๆ น่าตื่นเต้นดี สนใจสอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-4387-1014, 0-4387-1394, 0-4387-1613
กาฬสินธุ์ 76

5. สวนไดโนเสาร์ อบจ. กาฬสินธุ์ ห่างจากพิพิธภัณฑ์สิรินธรเพียง 3 กิโลเมตร ริมทางหลวงหมายเลข 227 เป็นสวนสาธารณะที่ไม่เหมือนใคร เพราะนอกจากจะมีสนามหญ้า และไม้ดอกไม้ใบร่มรื่นให้ไปนั่งปิกนิกกันได้แล้ว ยังมีไดโนเสาร์จำลองขนาดยักษ์หลายสิบชนิด ยืนจังก้าคล้ายกับว่ามีชีวิต! ให้เราตื่นเต้นเล่นๆ ฮาฮาฮา ถ่ายภาพมาได้บรรยากาศเหมือนย้อนอดีตไปเมื่อ 65 ล้านปีก่อนเลยล่ะ!
กาฬสินธุ์ 77 กาฬสินธุ์ 78

6. ปาท่องโก๋ไดโสเสาร์ ตลาดโรงสี อำเภอเมืองกาฬสินธุ์  ใครที่ชอบตื่นเข้า ไปเที่ยวกาฬสินธุ์รับรองมีรางวัลให้ชีวิต เพราะหลังจากได้ไปชมไดโนเสาร์จำลองตัวเบ้อเริ่มกันมาแล้วที่พิพิธภัณฑ์สิรินธร อำเภอสหัสขันธ์ เช้าวันต่อมาเรายังได้ชิม “ปาท่องโก๋ไดโนเสาร์” ตัวจิ๋วน่ารัก เหมือนลูกไดโนเสาร์สีทองลองฟ่องอยู่ในน้ำมันร้อนฉ่า! สั่งมาหลายๆ ตัวกินกับน้ำเต้าหู้ร้อนๆ แค่ตัวละ 5 บาทเท่านั้น เป็นอาหารเช้าของคนหัวใส สร้างกิมมิคให้เข้าคู่กับเมืองแห่งไดโนเสาร์ กาฬสินธุ์ได้อย่างเยี่ยมยอด
กาฬสินธุ์ 79 กาฬสินธุ์ 80

7. หมูทุบบ้านนาจารย์ ตำบลนาจารย์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ เป็นของกินเล่นกินจริง ที่กำลังโด่งดังทำเงินทำทองให้คนบ้านนาจารย์อย่างเป็นล่ำเป็นสัน เพราะเนื้อหมูทุบของที่นี่รสชาติเป็นเลิศ เนื้อหนานุ่ม เคี้ยวมัน เคี้ยวเพลิน จะกินเล่น กินจริง หรือกินกับข้าวสวยร้อนๆ กินเป็นกับแกล้มได้ทั้งนั้น เหมาะจะซื้อเป็นของฝากกัน เพราะเก็บไว้ได้นาน สนใจติดต่อ คุณอัจฉรา เดชพรรณา ประธานกลุ่มแปรรูปเนื้อสัตว์บ้านนาจารย์ โทร. 08-7215-8459
กาฬสินธุ์ 81 กาฬสินธุ์ 82 กาฬสินธุ์ 83

นอกจากหมูทุบแสนอร่อยแล้ว บ้านนาจารย์ยังมีสุดยอดแจ่วบอง (และแจ่วบองแมงดา) ให้ลองชิมด้วย เห็นคนที่ชอบๆ เขาไม่ได้ซื้อกันกระปุกเดียว แต่ซื้อกันทีละครึ่งโหล! กลิ่นหอมหวนชวนรับประทานเป็นที่สุด!
กาฬสินธุ์ 84

8. ไส้กรอกปลากาฬสินธุ์ (ห้างหุ้นส่วนจำกัด กาฬสินธุ์ผลิตภัณฑ์อาหาร) ถนนผ้าขาว ตำบลกาฬสินธุ์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ โทร. 0-4381-5255, 08-7863-3344, 08-1261-6091
กาฬสินธุ์ 85

ทุกวันนี้ อาหารฝรั่งอย่างไส้กรอกกำลังได้รับความนิยมมาก แต่หลายคนกังวลว่าถ้ากินไส้กรอกหมูบ่อยๆ จะอ้วน เพราะมีไขมันเยอะ ความกังวลนี้คงจะหมดไปล่ะ ถ้าเราได้ลองชิม “ไส้กรอกปลากาฬสินธุ์” เป็นไส้กรอกปลาสุขภาพที่มีชื่อเสียง ได้รับการตรวจประเมินคุณภาพจากหลายสถาบันเรียบร้อยแล้ว จึงส่งขายทั้งในเมืองไทย และส่งออกต่างประเทศแข่งกับไส้กรอกหมูเยอรมันต้นตำรับได้สบาย ฮาฮาฮากาฬสินธุ์ 86

ไส้กรอกปลากาฬสินธุ์ เป็นไส้กรอกสไตล์เยอรมัน แฟรงเฟอเธอร์ แต่นำปลาน้ำจืดของบ้านเรามาดัดแปลง แทนหมู วัว และไก่ โดยใช้ไขมันปลาและไขมันพืชแทน ในอัตราส่วนไม่เกิน 15 เปอร์เซนต์ ไม่ผสมแป้ง ไม่ใส่สารกันเสีย และใช้ไส้สังเคราะห์จากคอลลาเจนในการบรรจุ ทำให้คนห่วงใยเรื่องอาหารสุขภาพมั่นใจได้เลยจ้ากาฬสินธุ์ 87logo123-300x300Special Thanks : ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคอีสาน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานขอนแก่น ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-4322-7714-5

เที่ยวสุดยอด Unseen กาฬสินธุ์ ถิ่นอีสาน (ตอน 1)

กาฬสินธุ์ 1

เมื่อเอ่ยถึงชื่อ “ทุ่งกุลาร้องไห้” หลายคนคงร้องอ๋อ เพราะจำได้ว่าสมัยเด็กๆ ครูเคยสอนว่าเป็นเขตแห้งแล้งของภาคอีสาน รวมกว้างๆ อยู่ในเขตจังหวัดสุรินทร์, มหาสารคาม, บุรีรัมย์, ศรีสะเกษ, ยโสธร, ร้อยเอ็ด และบางส่วนของกาฬสินธุ์ ความทรงจำจากหนังสือเรียนสมัยเด็ก ทำให้ใครหลายคนไม่อยากย่างกรายไปอีสาน ทว่านั่นคือความเข้าใจผิดมาก!

เพราะแท้จริงแล้วทุ่งกุลาร้องไห้ที่อาจจะดูเปลี่ยวเหงาในฤดูแล้ง เมื่อได้ไปเยือนในฤดูฝน ภาพอีกภาพหนึ่งจะปรากฏให้เห็น เป็นภาพแห่งความเขียวขจีในผืนนานับล้านไร่! เนื่องจากดินบริเวณนี้เหมาะเจาะอย่างยิ่งสำหรับการปลูกข้าวหอมมะลิพันธุ์ดีเกรด Premium ส่งขายไปทั่วไทยและทั่วโลก!

ทริปนี้เราได้มาเยือนส่วนเสี้ยวหนึ่งของทุ่งกุลาร้องไห้ “กาฬสินธุ์ ถิ่นไดโนเสาร์” และอดีตเมืองโบราณอาณาจักรฟ้าแดดสงยาง สถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองเฟื่องฟูที่สุดแห่งหนึ่งบนผืนดินอีสาน ลองมาชมกันซิว่า วันนี้กาฬสินธุ์ยังสบายดีอยู่ไหมจ๊ะ? ฮาฮาฮากาฬสินธุ์ 21. พระธาตุยาคู หรือพระธาตุใหญ่ อำเภอกมลาไสย เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองโบราณอาณาจักรฟ้าแดดสงยาง (อายุประมาณ 2,200 ปี) ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงเหลี่ยมก่ออิฐ สร้างซ้อนทับบูรณะกันมาถึง 3 สมัย ชาวบ้านเชื่อว่าภายในบรรจุพระธาตุอัฐิของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่ชาวเมืองฟ้าแดดสงยางเคารพนับถือ สังเกตได้จากเหตุการณ์เมื่อเมืองเชียงโสมชนะสงคราม ได้ทำลายทุกอย่างในเมืองฟ้าแดดสงยาง แต่ไม่ทำลายพระธาตุยาคู ปัจจุบันจึงเป็นโบราณสถานที่ยังคงสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ โดยชาวบ้านจะจัดให้มีงานบุญบั้งไฟช่วงเดือนพฤษภาคมทุกปี เพื่อเป็นการขอฝนและความร่มเย็นแก่หมู่บ้าน

ส่วนคำว่า “ยาคู” แท้จริงมาจากคำในภาษาอีสานว่า “ญาคู” หมายถึง “พระสงฆ์ผู้ใหญ่ในวัด” นั่นเองกาฬสินธุ์ 3

ในบริเวณใกล้ๆ องค์พระธาตุยาคูมีพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก จัดแสดงใบเสมาหินทรายขนาดใหญ่ ที่ขุดค้นพบในบริเวณเมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง และรอบๆ พระธาตุยาคู โดยค้นพบมากถึง 130 แผ่น นับเป็นแหล่งที่ขุดพบมากที่สุดในเมืองไทยก็ว่าได้ บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา ความยิ่งใหญ่ของเมืองฟ้าแดดสงยาง และยังเผยให้เห็นถึงรูปแบบวิธีคิดของคนในอดีตอีกด้วยกาฬสินธุ์ 4 กาฬสินธุ์ 52. ไม่ห่างจากพระธาตุยาคูมากนัก ณ ทางเข้าของเมืองฟ้าแดดสงยางโบราณ ปัจจุบันคือที่ตั้งของ “วัดโพธิ์ชัยเสมาราม” หรือ “วัดบ้านก้อม” เป็นวัดเก่าที่ชาวบ้านได้นำใบเสมาหินทรายที่ขุดพบในเขตเมืองฟ้าแดดสงยางมารวบรวมไว้ ลักษณะเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่น่าสนใจมาก ใบเสมาบางอันขนาดใหญ่กว่า 2 เมตร สูงท่วมหัวคน! จำหลักเป็นภาพนูนต่ำเรื่องราวพุทธประวัติตอนต่างๆ และเรื่องชาดก

อาทิ ตอนพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากกรุงกบิลพัสดุ์ พร้อมด้วยพระเจ้าสุทโธทนะ ภาพแสดงให้เห็นพระราหุลและพระนางยโสธราพิมพา เข้าเฝ้าสักการะด้วยการสยายพระเกศา (ผม) เช็ดพระบาทพระพุทธเจ้า เรียกว่า “เสมาหินพิมพาพิลาป” ซึ่งใบเสมาหลักจริงได้นำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่นแล้ว ใครที่รักชอบเรื่องโบราณคดี มาวัดบ้านก้อมไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
กาฬสินธุ์ 6 กาฬสินธุ์ 7 กาฬสินธุ์ 8 กาฬสินธุ์ 9

3. มาลัยไม้ไผ่ ประณีตศิลป์แห่งชนเผ่าผู้ไทย บ้านกุดหว้า อำเภอกุฉินารายณ์ ณ ที่นี้คือชุมชนเผ่าผู้ไทยอันมีอัตลักษณ์เฉพาะตน งดงาม น่าชื่นชม โดยเฉพาะเมื่อย่างเข้าเดือนเก้าและเดือนสิบ ในช่วงบุญข้าวประดับดินและบุญข้าวสาก ตามวิถีฮีต 12 ของชาวอีสาน ผู้ไทยบ้านกุดกว้าก็จะรวมตัวกันสืบสานงานประเพณี “มาลัยไม้ไผ่” ซึ่งถือเป็นวิจิตรศิลป์เพื่อพุทธบูชาแห่งชาวกุดหว้าทั้งมวล
กาฬสินธุ์ 10 กาฬสินธุ์ 11

นอกจากมาลัยไม้ไผ่ดอกเล็กๆ แล้ว ชาวกุดหว้ายังประดิษฐ์มาลัยวิจิตรศิลป์อันตระการตา ขึ้นมาประกวดประชันกันด้วยกาฬสินธุ์ 12

เมื่อใกล้ถึงกำหนดวันงานบุญพวงมาลัย คณะกรรมการหมู่บ้านจะนำมาลัยไม้ไผ่ไปแจกจ่ายให้ชาวบ้าน ใช้เป็นเครื่องผูกร้อยพืชพรรณธัญญาหารตามฤดูกาล หรือสิ่งของอุปโภคบริโภค พร้อมด้วยดอกไม้ ธูป เทียน เป็นเครื่องไทยธรรม นำไปประกอบพิธีแห่มาลัยไม้ไผ่รอบโบสถ์ ก่อนจะนำมาแขวนรวมกันเป็นต้นกัลปพฤกษ์ถวายเป็นพุทธบูชากาฬสินธุ์ 13 กาฬสินธุ์ 14

ยิ้มง่ายๆ งามๆ แสนจริงใจ ของสาวผู้ไทยบ้านกุดหว้า
กาฬสินธุ์ 15

สาวผู้ไทยบ้านกุดหว้าในช่วงงานมาลัยไม้ไผ่ จะแต่งกายสวยสุดๆ โดยจะสวมเสื้อแขนกระบอกเข้ารูปสีดำหรือครามเข้ม พาดเฉวียงบ่าด้วยผ้าไหมแพรวาลายงามวิจิตร อีกทั้งยังตกแต่งเรือนกายด้วยดอกมาลัยไม้ไผ่ มีตั้งแต่เข็มกลัด, ต่างหู, ปิ่นปักผม ซึ่งล้วนสร้างสรรค์ขึ้นจากไม้ไผ่ไร่ในหมู่บ้าน นำมาจักสานอย่างประณีตบรรจง
กาฬสินธุ์ 16

ดอกมาลัยไม้ไผ่ ประดิษฐ์จากไม้ไผ่ไร่ซึ่งตัดทิ้งไว้ 15 วัน ให้แห้งสนิทดีซะก่อน จากนั้นนำมาตัดเป็นท่อนๆ ผ่าซีก เหลาให้บาง ความกว้างและยาวขึ้นอยู่กับขนาดดอก โดย 1 ดอก ใช้ไม้ไผ่ที่เหลาแล้ว 6 ชิ้น นำมาหักพับสลับฟันปลาแบ่งระยะความห่างช่องไฟให้พอดี สวยงาม เท่าๆ กัน พร้อมกับผ่าออกเป็นซี่เล็กๆ นำมาประกบเข้าคู่อย่างประณีต จนมีรูปร่างเป็นดอกไผ่ ใช้แขวนในพิธีทำบุญพวงมาลัยนั่นเองกาฬสินธุ์ 17 กาฬสินธุ์ 18

เข็มกลัดดอกไผ่
กาฬสินธุ์ 19

ต่างหูดอกไผ่กาฬสินธุ์ 20

ปิ่นปักผมดอกไผ่กาฬสินธุ์ 21

เมื่อพร้อมแล้ว ชาวบ้านก็จะนำขบวนมาลัยไม้ไผ่มาจัดขบวน เดินแห่แหนร่ายรำกันไปอย่างสนุกสนาน 3 รอบโบสถ์วัดกกต้องกุดกว้า ทั้งลูกเด็กเล็กแดง ผู้สาว แม่ใหญ่ ต่างมาร่วมงานกันอย่างชื่นมื่นอิ่มบุญกาฬสินธุ์ 22 กาฬสินธุ์ 23

ชาวบ้านกุดหว้า ออกมาร่วมงานมาลัยไม้ไผ่ พ่อเพลงหมอแคนต่างแสดงฝีมือกันเต็มที่ เพราะงานนี้มีปีละครั้งเดียว
กาฬสินธุ์ 24

4. วัดวังคำ บ้านนาวี ตำบลสงเปือย อำเภอเขาวง เป็นวัดสำคัญที่สุดของชาวผู้ไทยในเขตอำเภอเขาวง ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างขึ้นในเนื้อที่ 8 ไร่ เมื่อปี พ.ศ. 2539 สิ่งสำคัญที่สุดในวัดคือ นอกจากมีองค์พระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังมีวิหารที่จำลองแบบมาจากวัดเชียงทอง (มรดกโลก) ณ เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว หากได้ไปเยือนในยามค่ำคืน จะมีการเปิดไฟแสงสีประดับอย่างน่าตื่นตา อีกทั้งผนังด้านนอกส่วนหลังวิหาร มีการจำลองแบบต้นไม้แห่งชีวิต Tree of Life ประดับกระจกสี เฉกเช่นเดียวกับวัดเชียงทองอีกด้วย
กาฬสินธุ์ 25 กาฬสินธุ์ 26

ภายในวิหารวัดวังคำ งามอลังการดุจเทพนฤมิตร! เด่นด้วยสีแดงชาติและสีทองสุกปลั่งเหลืองอร่าม ทว่าภายในวิหารนี้ห้ามมิให้สตรีเข้าไปนะครับ เข้าได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้นกาฬสินธุ์ 27

ในการไปเยือนวัดวังคำ ศูนย์กลางชุมชนชาวผู้ไทยบ้านนาวี หากมีการติดต่อล่วงหน้า และเข้าเยี่ยมชมเป็นหมู่คณะ เขาก็จะมีการจัดงานต้อนรับอย่างเอิกเริก ทั้งในส่วนของชุดผู้ไทยที่มีการใช้ผ่าเบี่ยงพาดบ่า เป็นผ้าไหมแพรวาลวดลายวิจิตร รวมถึงการจำลองวิถีชีวิตของชาวผู้ไทยในแง่มุมต่างๆ ให้ชมกันอย่างใกล้ชิดครับกาฬสินธุ์ 28 กาฬสินธุ์ 29

สาธิตการประดิษฐ์ขันหมากเบ็ง หรือที่คนไทยภาคกลางเรียกว่าพานบายศรีนั่นเอง โดยขันหมากเบงนี้ชาวบ้านจะใช้ในขบวนแห่ในงานประเพณี หรือนำไปถวายวัดเป็นพุทธบูชา
กาฬสินธุ์ 30

สาวน้อยน่ารักชาวผู้ไทย โปรยยิ้มหวานต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือน พร้อมกับการแต่งกายย้อนยุคอันมีเอกลักษณ์
กาฬสินธุ์ 31

สาธิตการทำเครื่องจักสาน อีกหนึ่งสาขางานประณีตศิลป์ที่ชาวผู้ไทยบ้านนาวีชำนาญกาฬสินธุ์ 32 กาฬสินธุ์ 33 กาฬสินธุ์ 34

ข้าวแดกงา ขนมพื้นบ้านของชาวผู้ไทยบ้านนาวี เป็นการนำข้าวเหนียวและงาที่เพิ่งเก็บเกี่ยวใหม่ๆ มาตำรวมกันอย่างง่ายๆ จนได้แผ่นแป้งที่เห็น แล้วนำถั่วลิสงกับถั่วแดงใส่เป็นไส้ จากนั้นม้วนเป็นแท่งกลม กินเป็นขนมทานเล่นได้อร่อยดี เพราะเป็นของธรรมชาติล้วนๆ ทว่าขนมแดกงาจะมีให้ชิมเฉพาะช่วงฤดูหนาวเท่านั้น ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวบ้านเพิ่งเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จใหม่ๆ ข้าวและงาที่ได้จึงหอมหวลเป็นพิเศษกาฬสินธุ์ 35

แม่ใหญ่ชาวผู้ไทย ยิ้มหวานอย่างภาคภูมิในชุดประจำชนเผ่าของตน หวังว่าวัฒนธรรมการแต่งกายอันงดงาม มีเอกลักษณ์เช่นนี้ จะมีให้เราเห็นต่อไปอีกนานๆ นะครับ
กาฬสินธุ์ 36

ขบวนแห่รอบวิหารวัดวังคำ จัดเต็มมากันในชุดผู้ไทยสวยสุดๆ พร้อมด้วยขันหมากเบ็ง ต้นดอกไม้ และเครื่องพุทธบูชานานาชนิด
กาฬสินธุ์ 37

แห่ต้นดอกไม้ รอบวิหารวัดวังคำ 3 รอบ ก่อนนำต้นดอกไม้เข้าไปถวายสักการะหน้าพระประธานในวิหารกาฬสินธุ์ 38 กาฬสินธุ์ 39 กาฬสินธุ์ 40 กาฬสินธุ์ 41 กาฬสินธุ์ 42

แม่ใหญ่แห่งบ้านนาวี ยังคงมีรอยยิ้มเปื้อนหน้า เมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามาชื่นชมวัฒนธรรมอันดีงามของตนกาฬสินธุ์ 43

หลังจากพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว เหล่านักท่องเที่ยวก็ยังไม่หนีหายไปไหน แต่มารวมตัวกันทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ โดยหมอขวัญผู้ไทยแห่งบ้านนาวี เป็นพิธีที่สะท้อนความโอบอ้อมอารี ความห่วงใย และความรักที่มีต่อกันกาฬสินธุ์ 44

ตอนผูกข้อไม้ข้อมือ เราต้องถือไข่ต้มไว้ด้วย 1 ฟอง เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคดีและความสมบูรณ์พูนสุขกาฬสินธุ์ 45

เสร็จจากพิธีบายศรีสู่ขวัญ ก็ได้เวลาที่นักท่องเที่ยวทุกคนรอคอย คือการนั่งล้อมวงกินพาแลง (อาหารเย็น) ด้วยกัน แน่นอนว่าอาหารมื้อนี้ล้วนเป็นเมนูพื้นบ้านแสนอร่อยของชาวผู้ไทย ป้าดดดด! น้ำลายไหล!กาฬสินธุ์ 46เราคือแขกผู้เข้าไปเยือนชุมชนชาวผู้ไทย แห่งบ้านนาวี อำเภอเขาวง เราได้ประจักษ์แล้วถึงความน่ารัก ความโดดเด่น และความเข้มแข็งของชุมชน ที่ยังคงใส่ใจสืบสานภูมิปัญญาจากปู่ย่าตาทวด นี่คืออีกหนึ่งชุมชนน่ารัก แห่งดินแดนอีสานอันแสนกว้างใหญ่ ซึ่งเรามิอาจปฏิเสธได้เลยว่า พวกเขาคือทูตแห่งวัฒนธรรม ผู้เก็บรักษาสมบัติล้ำค่าจากอดีต ให้ข้ามผ่านกาลเวลาไปสู่อนาคตได้อย่างแท้จริง
กาฬสินธุ์ 47

logo123-300x300Special Thanks : ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคอีสาน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานขอนแก่น ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-4322-7714-5

ปราสาทรวงข้าว ปราสาทแห่งศรัทธากาฬสินธุ์

ปราสาทรวงข้าว 2“หลงรักอีสาน” นี่คือความรู้สึกของฉันเมื่อได้ไปเยือนแผ่นดินอันมีเสน่ห์นี้ เพราะอีสานเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้ม ความโอบอ้อมอารี และวัฒนธรรมอันรุ่มรวย หยั่งรากลึกสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน แม้วันนี้โลกจะเปลี่ยนไป วัฒนธรรมเก่าแก่หลายอย่างเริ่มเลือนหาย ทว่าคนอีสานก็ยังรักบ้านเกิด พากันสืบสานภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ

เช่นเดียวกับเมื่อสายลมหนาวมาเยือนต่อกับต้นฤดูร้อน ผืนนาอีสานถึงกาลเก็บเกี่ยวเสร็จเรียบร้อย ลอมฟางถูกกองทับสูงส่งกลิ่นหอม วัวควายได้เวลาพักจากการหว่านไถ ทว่าชาวบ้านต้อน ตำบลเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ กลับยังไม่ได้พักผ่อน ต่างมารวมตัวกันที่วัดเศวตวันวนาราม ร่วมแรงร่วมใจกันจัดงาน “บุญบายศรีสู่ขวัญข้าวคูนลาน” เพื่อรำลึกบุญคุณพระแม่โพสพผู้ให้ชีวิต อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่พวกเขาร่วมแรงร่วมมือกันจัดสร้าง “ปราสาทรวงข้าว” ขึ้นเป็นตัวแทนแห่งศรัทธา ปรากฏเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งขวัญข้าว เพียงแห่งเดียวบนผืนดินสยาม!ปราสาทรวงข้าว 3

ปราสาทรวงข้าว คืองานศิลป์แห่งวิถีศรัทธาสามัคคีของชาวบ้านกาฬสินธุ์ ในการประกอบพิธีบุญบายศรีสู่ขวัญข้าวคูนลาน หรือบุญคูนลานตามวิถีฮีตสิบสองของชาวอีสาน ซึ่งจะประกอบพิธีหลังฤดูเก็บเกี่ยว เพื่อระลึกถึงคุณพระแม่โพสพ อีกทั้งยังเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูต่อแผ่นดินที่ให้ผลผลิตเพื่อการยังชีพ ให้เกิดสิริมงคลแก่ชีวิต และการเพาะปลูก ตลอดจนเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้คงอยู่สืบไปปราสาทรวงข้าว 4

ด้วยรวงข้าวน้อยที่งอกงามขึ้นจากผืนดินอีสานกาฬสินธุ์ คือตัวแทนแห่งความอุดมของธรรมชาติ ที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คน บัดนี้ได้รับการนำมาเนรมิตเป็นงานศิลป์ประจำท้องถิ่นในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี เพื่อสร้างเป็น ปราสาทรวงข้าว
ปราสาทรวงข้าว 5

ชาวบ้านและพระสงฆ์จะช่วยกันนำรวงข้าวมามัดเป็นกำๆ แล้วนำไปผูกติดกับโครงไม้ไผ่ที่ขึ้นรูปไว้เป็นปราสาทรวงข้าวปราสาทรวงข้าว 6

ปราสาทรวงข้าว ในประเพณีบุญบายศรีสู่ขวัญข้าวคูนลาน มีจุดเริ่มต้นสร้างครั้งแรกเมื่อ ปี พ.ศ. 2537 โดยในขณะนั้น เมื่อถึงช่วงเวลาประกอบพิธีบุญคูนลาน แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังนวดข้าวไม่เสร็จ จึงนำมัดข้าวที่ยังไม่ได้แยกเมล็ดข้าวออกจากฟางมาถวายวัด จนเกิดแนวคิดการนำมามัดรวมสร้างเป็นปราสาทรวงข้าวขึ้น จนมีการพัฒนารูปแบบให้งดงาม น่าศรัทธา ดังเช่นปัจจุบัน โดยระยะเวลาในการสร้างปราสาทรวงข้าวแต่ละครั้ง ใช้เวลาถึง 2 เดือนทีเดียว
ปราสาทรวงข้าว 7

สวยสง่า เปี่ยมด้วยพลังแห่งศรัทธาในทุกอณู สะท้อนถึงความผูกพันของผู้คน ธรรมชาติ และพระพุทธศาสนาปราสาทรวงข้าว 8 ปราสาทรวงข้าว 9 ปราสาทรวงข้าว 10 ปราสาทรวงข้าว 11 ปราสาทรวงข้าว 12.1 ปราสาทรวงข้าว 12

ชาวบ้านในละแวกวัดเศวตวันวนาราม นำกับข้าวมาเตรียมตักบาตรในยามเช้าตรู่ปราสาทรวงข้าว 13

ตามปกติแล้ว งานบุญบายศรีสู่ขวัญข้าวคูนลาน จะจัดกันไม่ต่ำกว่า 4 วัน โดยวันแรก ชาวบ้านจะนำข้าวเปลือกมากองรวมกันที่วัดในปราสาทรวงข้าว แล้วรับบริจาคจตุปัจจัยตลอดวัน มีพิธีทำบุญตักบาตร 108 และบูชาข้าวเปลือกมงคลคูนลาน พร้อมด้วยขบวนแห่พานบายศรี แห่ปราสาทรวงข้าวจำลอง และแห่เครื่องบูชาพระแม่โพสพ ปิดท้ายด้วยการแสดงบวงสรวงบูชาพระแม่โพสพสมโภชกันอย่างสนุกสนานชื่นบาน

ปราสาทรวงข้าว 14

ในวันถัดไป ก็จะมีการทำบุญตักบาตร, บายศรีสู่ขวัญข้าวคูนลาน รวมถึงการแข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ บริเวณหนองสาหร่าย ซึ่งอยู่ติดกับวัดเศวตวันวนาราม นั่นเอง
ปราสาทรวงข้าว 15

หนุ่มสาวหน้าใสในชุดพื้นเมืองโบราณกาฬสินธุ์ มาร่วมทำบุญตักบาตรกันอย่างชื่นบานปราสาทรวงข้าว 16 ปราสาทรวงข้าว 17

ร่วมทำบุญตักบาตรสืบสานพลังแห่งศรัทธา ณ วัดเศวตวันวนาราม ในงานบุญคูนลาน ปราสาทรวงข้าว 18 ปราสาทรวงข้าว 19 ปราสาทรวงข้าว 20

ตักบาตรเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาฟังเทศน์ฟังธรรม รับศีลรับพร ให้ชีวิตมีแต่มงคลตลอดไปนะจ๊ะปราสาทรวงข้าว 21.1 ปราสาทรวงข้าว 21

จากนั้นก็ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ หน้าตาอาหารพื้นบ้านแท้ๆ เห็นแล้วน่าทานไปซะทุกสิ่งอย่าง อุดมด้วยพืชผักพื้นบ้านที่ส่วนใหญ่ปลอดสารพิษทั้งนั้นเลยล่ะปราสาทรวงข้าว 22 ปราสาทรวงข้าว 23 ปราสาทรวงข้าว 24

สาวงามหนุ่มหล่อ ก็ต้องมาถ่ายภาพคู่กับปราสาทรวงข้าวไว้เป็นที่ระลึก
ปราสาทรวงข้าว 25

การได้มาร่วมงานบุญคูนลาน และเห็นปราสาทรวงข้าวอันงดงามตั้งอยู่ตรงหน้า ทำให้เราสำนึกในทันทีว่า แท้จริงแล้วข้าวมิใช่เป็นเพียงแค่อาหาร หรือเป็นข้าวในกระสอบที่ใช้เงินทองแลกเปลี่ยนซื้อขายกันเท่านั้น! ข้าวคือแม่ คือผลผลิตแห่งพระแม่ธรณีที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตผองเราชาวไทยมาหลายชั่วอายุคน และปราสาทรวงข้าว ก็คือตัวแทนแห่งความนอบน้อม ความขอบคุณ ต่อพระคุณของเมล็ดข้าว แม้เพียงเมล็ดเดียวก็สูงค่ายิ่งแล้ว
ปราสาทรวงข้าว 26

คำว่า “หลงรักอีสาน” คือคำที่จะตรึงอยู่ในใจฉันไปอีกนาน เพราะวันนี้ ฉันมีความสุขเหลือเกินที่ได้มาเยือน ปราสาทรวงข้าว แห่งกาฬสินธุ์ ถิ่นคนงามน้ำใจดี บ้ายบาย.logo123-300x300Special Thanks : ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคอีสาน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานขอนแก่น ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-4322-7714-5

ผ้าไหมแพรวา ราชินีแห่งแพรพรรณไทย

ผ้าแพรวา 1

เมื่อพูดถึงเรื่องการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อไปชื่นชมความงามของผืนผ้าแพรพรรณในเมืองไทยเรา ก็ต้องยอมรับว่าเป็นสวรรค์ของคนรักผ้า รักงานศิลป์อย่างแท้จริง เพราะในแทบทุกจังหวัด แทบทุกภูมิภาค ล้วนมีผ้าทอเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของตนเองด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะในดินแดนภาคอีสาน ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว มิใช่ดินแดนแห้งแล้งอย่างที่หลายคนเข้าใจ ทว่าอีสานคือดินแดนอันรุ่มรวยด้วยวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตผู้คนหลายเผ่าหลากพันธุ์

ในทริปนี้ เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับ “ราชินีแห่งผ้าไหมไทย ผ้าไหมแพรวา” แห่งอำเพอบ้านโพน จังหวัดกาฬนสินธุ์ผ้าแพรวา 2

ผ้าไหมแพรวา ได้รับการยกย่องให้เป็นราชินีแห่งไหมไทย! เพราะเป็นผ้าไหมที่มีลวดลายวิจิตพิสดาร ประณีต สวยงาม อย่างที่ใครเห็นก็ไม่กล้าปฏิเสธ! ทั้งในส่วนของสีสันอันเตะตา ซึ่งแต่เดิมใช้สีหลักเป็นสีแดงจากตัวครั่ง รวมถึงลวดลายทรงเรขาคณิตแบ่งจังหวะลวดลายบนผืนผ้าอย่างลงตัว ผืนผ้ามีความแวววาว สูงค่าน่าสวมใส่ ทำให้ผ้าไหมแพรวาเป็นที่ต้องการของทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ อย่างที่ผลิตกันแทบไม่ทันในปัจจุบัน!ผ้าแพรวา 3

แต่ก่อนจะไปลงลึกถึงเรื่องผ้าแพรวากันมากกว่านี้ เราคงต้องมาทำความรู้จักกับ “ชาวผู้ไทย” หรือ “ภูไท” กันสักเล็กน้อยก่อน เพราะว่าชาวผู้ไทยนี้เอง คือเจ้าของผ้าไหมแพรวาอันเลื่องชื่อ โดยแต่เดิมในอดีตนั้น ชาวผู้ไทยอาศัยอยู่ในแคว้นสิบสองจุไทย (ดินแดนตอนเหนือของลาวและเวียดนาม ซึ่งต่อกับจีนตอนใต้) จากนั้นในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ก็ถูกภัยสงคราม กวาดต้อนเข้ามาสู่แผ่นดินสยามหลายระลอก โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งชาวผู้ไทยได้ถูกกวาดต้อนเข้ามาสู่แถบจังหวัดกาฬสินธุ์ สกลนคร และนครพนม (เทือกเขาภูพาน) มากที่สุด ทว่าชาวผู้ไทยในแต่ละจังหวัดก็แต่งกายต่างกัน อย่างเช่นผู้ไทย อำเภอบ้านโพน กาฬสินธุ์ก็จะแต่งกายด้วยผ้าพื้นสีดำเป็นหลัก ส่วนผู้ไทยอำเภอเรณูนคร นครพนม ก็จะแต่งกายด้วยสีฟ้าครามเป็นหลัก เป็นต้น

ชาวผู้ไทยจากลาวที่เข้ามาตั้งรกรากใหม่อยู่บนผืนดินอีสาน จริงๆ แล้วถือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีจำนวนมากที่สุด รองจากคนลาวเลยก็ว่าได้ ลักษณะของชาวผู้ไทยคือเป็นชนเผ่าที่มีอารยธรรมค่อนข้างสูง นิสัยรักสงบ ยิ้มแย้ม หน้าตาดี ผิวพรรณดี โอบอ้อมอารี และมีฝีมือทางด้านงานถักทอผ้าแพรวา นำติดตัวเข้ามาสืบสานจนถึงปัจจุบันผ้าแพรวา 4

ผ้าไหมแพรวาของชาวผู้ไทยจะใช้เทคนิคการจกและขิดผสมกัน โดยแต่เดิมผืนผ้านั้นมีความยาวเพียง 1 วา หรือ 1 ช่วงแขน ใช้สำหรับคลุมไหล่หรือห่มสไบเฉียง เรียกว่า “ผ้าเบี่ยง” ใช้พาดบ่าไปวัดไปวาในโอกาสงานเทศกาลบุญประเพณี หรือเทศกาลงานสำคัญ กระทั่งถึงปี พ.ศ. 2520 ครั้งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยี่ยมราษฎรผู้ไทย บ้านโพน กาฬสินธุ์ ทรงเห็นสาวชาวบ้านห่มผ้าเบี่ยงมารอรับเสด็จ จึงทรงสนพระทัยมาก จากนั้นจึงมีการส่งเสริมให้มีการทอเพิ่มหน้ากว้างและเพิ่มความยาวของผ้าแพรวา เพื่อนำไปตัดชุด ทำประโยชน์ได้หลากหลายมากขึ้น ให้สอดรับวิถีชีวิตและการใช้งานยุคปัจจุบัน ผ้าแพรวาจึงได้ประกาศความยิ่งใหญ่ในวงการผ้าไทย มาถึงทุกวันนี้
ผ้าแพรวา 5

ลายหลักของผ้าไหมแพรวา เป็นทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน สลับด้วยลายคั่นเป็นเส้นทางยาว ไล่ไปจนถึงลายเชิงหรือปลายสุดของผ้าผ้าแพรวา 6

ลวดลายบนผืนผ้าแพรวา เกิดจากการใช้เทคนิคการจกและขิด ในอดีตใช้สีธรรมชาติ แต่ปัจจุบันมีการเปลี่ยนมาใช้สีเคมีบ้างตามความนิยมของยุคสมัย จากที่เคยนิยมทอแต่สีแดง เหลือง ขาว ดำ ทุกวันนี้มีให้เลือกทุกสีแล้วล่ะผ้าแพรวา 7.1

กลุ่มสตรีทอผ้าไหมแพรวาบ้านโพน สหกรณ์ศูนย์ศิลปาชีพทอผ้า ผ้าไหมแพรวาบ้านโพน ตั้งอยู่เลขที่ 173 หมู่ 5 ตำบลบ้านโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ โทร. 0-4385-6204, 08-3338-3956ผ้าแพรวา 7

กลุ่มทอผ้าไหมแพรวาบ้านโพน เขาผลิตกันเองในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ปลูกต้นหม่อน เลี้ยงไหม สาวไหม ไปจนถึงการทอ และทำการตลาดขายกันอย่างเป็นระบบ นักท่องเที่ยวสามารถเข้าเยี่ยมชมขั้นตอนเหล่านี้ได้ตลอดปีเลยจ้าผ้าแพรวา 8

เส้นไหมดิบจะมีสีเหลืองทองอร่ามอย่างนี้เอง ว้าว!
ผ้าแพรวา 9

ตัวหนอนไหม กำลังกินใบหม่อนอย่างเอร็ดอร่อย เพื่อสะสมพลังงานและสารอาหารไว้ ก่อนที่มันจะเข้าสู่ระยะดักแด้ ที่มีการสร้างรังไหมสีทองห่อหุ้มตัวไว้ โดยในระยะนั้นนั่นล่ะ ที่เราจะได้เส้นไหมจากรังดักแด้ของมัน นำมาทอผ้า
ผ้าแพรวา 10

นำรังไหมมาต้ม แล้วสาวไหมออกมาทีละเส้น ปั่นรวมกันเป็นเส้นไหม พร้อมใช้ทอผ้าต่อไปผ้าแพรวา 11 ผ้าแพรวา 12.1

ต้มรังไหมให้ร้อนได้ที่ ค่อยๆ สาวเส้นไหมออกไปปั่นรวมกัน
ผ้าแพรวา 12

ปั่นเส้นไหมเข้ากระสวย เตรียมนำไปใช้งานผ้าแพรวา 13 ผ้าแพรวา 14

บางครั้งก็ต้องมีการย้อมสีเส้นไหม หรือเส้นฝ้าย ก่อนนำไปทอเป็นผืน เพื่อให้เกิดความหลากหลายของสีสันมากขึ้น
ผ้าแพรวา 15 ผ้าแพรวา 16

เส้นไหมที่ผ่านกระบวนการย้อมมาเรียบร้อยแล้ว มีหลายสิบสี อีกไม่นานเมื่อผ่านมือช่างทอผ้าแพรวาผู้ชำนาญการ ก็จะกลายมาเป็นผืนผ้าอันสูงค่า มีราคาตั้งแต่หลักพันบาท ไปจนถึงหมื่นบาท และแสนบาท! ตามความยากของการทอ โดยลวดลายในปัจจุบัน ยังมีการอนุรักษ์ลายโบราณไว้นับร้อยลายผ้าแพรวา 17 ผ้าแพรวา 18

หนึ่งในเสน่ห์การทอผ้าแพรวาที่ไม่มีใครเหมือน ก็คือการใช้ปลายนิ้วก้อยเกี่ยวเส้นยืนของเส้นไหมบนกี่ขึ้นมา แล้วสอดเส้นไหมอีกแนวหนึ่งเข้าไป ผูกให้เกิดลายตามต้องการ โดยลายเหล่านี้จริงๆ แล้วแต่ละครอบครัว แต่ละคน ก็มีลายเฉพาะของตนเอง ที่แม่จะสอนต่อให้ลูกสาวสืบกันมาเป็นรุ่นๆ ในภาษาอีสานเรียกว่า “พ่อแม่พาทำ”ผ้าแพรวา 19

การผูกลายอันสลับซับซ้อนของผ้าแพรวา ต้องใช้เวลาเรียนรู้กันนานหลายปี จึงต้องใช้ช่างทอที่มีใจรักในงานศิลป์อย่างแท้จริง โชคดีที่มีโครงการศิลปาชีพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เข้ามาโอบอุ้ม ทำให้ผ้าแพรวาไม่สูญหายไปจากผืนดินสยาม
ผ้าแพรวา 20 ผ้าแพรวา 21 ผ้าแพรวา 22

ผ้าไหมแพรวาลายจกผ้าแพรวา 23

ผ้าไหมแพรวาลายจกผ้าแพรวา 24

ผ้าไหมแพรวาลายจกผ้าแพรวา 25

เมื่อทอเสร็จแล้ว ก็จะได้ผ้าไหมแพรวาอันเลอค่า นิยมสวมใส่กันตั้งแต่ประชาชนทั่วไป จนถึงเจ้านายในวังหลวง รวมถึงสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็ทรงโปรดผ้าไหมแพรวาอย่างมาก
ผ้าแพรวา 26

สาวผู้ไทยบ้านโพน ในชุดการแต่งกายแบบดั้งเดิม เสื้อทรงกระบอกสีดำเข้ารูป และมีผ้าแพรวาหน้าแคบพาดบ่า พร้อมกับยิ้มอันจริงใจ คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคนผ้าแพรวา 27

ที่บ้านโพนมีผ้าไหมแพรวาให้เลือกชมเลือกซื้อกันอย่างจุใจ ราคาอาจจะสูงหน่อย แต่ขอร้องว่าอย่าต่อเลยนะ เพราะกว่าจะได้มาสักผืน ต้องใช้ความอุตสาหะอย่างมาก นับเป็นงานศิลป์ที่ควรค่าแก่การซื้อมาใช้และสะสมไว้ประดับตัวผ้าแพรวา 28

เห็นแล้วก็น้ำลายไหล อยากซื้อทุกผืนเลย!!!ผ้าแพรวา 29

ผ้าไหมแพรวา เคยประกาศศักดาความงามในงานกาล่าดินเนอร์ที่จังหวัดกาฬสินธุ์จัดขึ้น เป็นการนำผ้าแพรวามาดีไซน์ใหม่ให้ดู Modern จนต้องตะลึง!!!
ผ้าแพรวา 30 ผ้าแพรวา 31 ผ้าแพรวา 32 ผ้าแพรวา 33 ผ้าแพรวา 34 ผ้าแพรวา 35 ผ้าแพรวา 36 ผ้าแพรวา 37

ในตัวอำเภอบ้านโพน มีร้านจำหน่ายผ้าแพรวาอยู่หลายร้าน เมื่อเยี่ยมชมศูนย์การผลิตของชาวบ้านแล้ว ก็ลองแวะเลือกชมเลือกซื้อกันได้ตามอัธยาศัยนะครับ
ผ้าแพรวา 38 ผ้าแพรวา 39 ผ้าแพรวา 40 ผ้าแพรวา 41 ผ้าแพรวา 42logo123-300x300Special Thanks : ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคอีสาน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานขอนแก่น ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-4322-7714-5

ดูซากุระภูลมโล อลังการหุบเขาสีชมพู

ภูลมโล 2

กลับมาอีกครั้ง สำหรับฤดูกาลเที่ยวชมป่าซากุระบานที่ ภูลมโล ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย แม้ว่าปีนี้ลมหนาวจะมาช้า แต่เมื่อความหนาวมาเยือนจริงๆ ก็สะท้านจนรีบหยิบเสื้อกันหนาวออกจากตู้แทบไม่ทัน เช่นเดียวกับดอกนางพญาเสือโคร่ง (ซากุระเมืองไทย) ที่ชอบความหนาว พากันผลิดอกสะพรั่งไปทั่วทั้งหุบเขา นับเป็นภาพงดงามอลังการ ที่เรา Go Travel Photo อยากชวนแฟนๆ ไปเห็นกับตาให้ได้สักครั้งภูลมโล 3

ในอดีต พื้นที่ป่าซากุระภูลมโลปัจจุบัน เคยเป็นป่าเสื่อมโทรมที่ถูกชาวบ้านบุกรุกแผ้วถางจนโล่งเตียน มักเกิดไฟป่าทุกปี ต่อมาอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จึงร่วมมือกับชาวบ้านเข้ามาฟื้นฟูสภาพพื้นที่ นำต้นนางพญาเสือโคร่งมาปลูก ประมาณ 5,000 ต้น ในบริเวณ 1,200 ไร่ จนกระทั่งปัจจุบันหลายปีผ่านไป มีต้นนางพญาเสือโคร่งเพิ่มเป็น 100,000 ต้น! ยามเบ่งบานจึงยิ่งใหญ่อลังการที่สุดในเมืองไทย ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ!ภูลมโล 4 ภูลมโล 5 ภูลมโล 6 ภูลมโล 7

ภาพป่าซากุระภูลมโลในปีแรกที่เปิดให้ท่องเที่ยว งดงามบริสุทธิ์มาก ทว่าดอกซากุระยังมีขนาดเล็กอยู่ภูลมโล 8

ดอกนางพญาเสือโคร่ง (ชื่อวิทยาศาสตร์ Prunus ceracoides) หรือ Yunnan Cherry แท้จริงแล้วเป็นพรรณไม้ในวงศ์กุหลาบ (Rosaceae) นางพญาเสือโคร่งจัดอยู่ในสกุล Prunus เช่นเดียวกับต้นเชอร์รี่, แอปปริคอต, ท้อ, สาลี่, พลัม และแอปเปิล โดยจะพบนางพญาเสือโคร่งได้บนความสูงเกิน 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลขึ้นไป ภูลมโลจึงเป็นพื้นที่เหมาะมากสำหรับราชินีแห่งดอกไม้ชนิดนี้ เพราะภูลมโลสูงถึง 1,680 เมตรจากระดับน้ำทะเลภูลมโล 9 ภูลมโล 10 ภูลมโล 11

ตื่นตั้งแต่ก่อนสว่าง เพื่อนั่งรถกระบะฝ่าความหนาวเหน็บขึ้นไปบนภูลมโล แล้วเดินป่าขึ้นสู่ยอดภูลมโล ก็จะได้ยลภาพพระอาทิตย์ขึ้น บนป่ารอยต่อ 3 จังหวัด เลย เพรชบูรณ์ พิษณูโลก อย่างนี้ล่ะ คุ้มค่าจริงๆ
ภูลมโล 12

จากจุดชมวิวที่จอดรถ เดินป่าขึ้นยอดภูลมโล ใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที ก็จะได้เห็นภาพวิวพาโนรามา ของป่ารอยต่อ 3 จังหวัดแล้ว (จ.เลย เพชรบูรณ์ พิษณุโลก)
ภูลมโล 13

บนยอดภูลมโล มีหน้าผาหิน หรือแง่งหิน ยื่นออกไปเป็นจุดชมวิวถ่ายภาพได้สวยงาม น่าตื่นเต้น 2-3 แห่ง
ภูลมโล 14

บนยอดภูลมโลมีสภาพเป็นป่าดิบเขาย่อส่วน ต้นไม้ใหญ่มีพืชพวกมอส เฟิน กล้วยไม้ ไลเคน ปกคลุมหนาแน่น บ่งบอกว่าสภาพอากาศยังสะอาดสมบูรณ์ บางช่วงของปีจะมีกล้วยไม้สกุลหวายสีขาวเบ่งบานให้ชมด้วย แต่ขอเตือนว่า ดูแต่ตา มืออย่าต้อง ของจะเสีย!ภูลมโล 15

ระหว่างนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อ 4WD ระยะทาง 16 กิโลเมตร มองเห็นยอดภูลมโลตั้งเด่นอยู่ลิบๆ ไม่ไกลแล้วล่ะภูลมโล 16

บนภูลมโลมีแท่งหินแกรนิตรูปทรงประหลาดๆ ซึ่งผ่านการสึกกร่อนของกาลเวลา สายลม สายน้ำ มาเนิ่นนานเป็นล้านปี ถ้าใครเคยไปเที่ยวที่ภูหินร่องกล้า (ซึ่งอยู่ใกล้กับภูลมโล) บริเวณนั้นจะมีลานหินปุ่ม ลานหินแตก ผาชูธง และหินรูปเกล็ดงู Sun Crack อยู่ด้วย เหล่านี้ล้วนอยู่ในแนวหินเดียวกัน สึกกร่อนโดยกระบวนการลมและน้ำคล้ายๆ กันภูลมโล 17

ความงามอันเร้นลับ ของป่าซากุระภูลมโลในยามเช้าตรู่ ซึ่งมีหมอกขาวห่มคลุม ทว่าแสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องลงมาสร้างความอบอุ่นแก่ผืนโลกอีกครั้งภูลมโล 18

ป่าซากุระภูลมโลในม่านหมอกยามเช้าตรู่ภูลมโล 19

ความงามราวของป่าซากุระ ไม่ต่างจากภาพศิลปะในธรรมชาติเลยแม้แต่น้อยภูลมโล 20

รถที่เหมาะสมจะขึ้นไปเที่ยวบนภูลมโลที่สุด คือรถกระบะ หรือรถขับเคลื่อนสี่ล้อ เพราะตลอดหนทาง 16 กิโลเมตร จากบ้านกกสะทอนขึ้นถึงจุดชมวิวภูลมโลนั้น เป็นเส้นทางดินลำลอง ขรุขระ สูงชันและคดเคี้ยว เข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ถ้าขับรถเก๋งขึ้นไปเอง รับรองหนาวแน่!

แนะนำว่า ควรจอดรถส่วนตัวไว้ แล้วเหมารถของ อบต. กกสะทอน ขึ้นไปเที่ยวบนภูลมโลจะคุ้มกว่า ค่าเช่ารถ 1 คัน นั่งได้ 6 คน ราคา 1,500 บาท แต่ถ้านั่งเกิน 6 คน ราคา 2,000 บาท (สอบถาม คุณนิยม โทร. 08-4490-3169)ภูลมโล 21

สนุกสนานเฮฮากับป่าหินรูปทรงแปลกตา บนภูลมโลภูลมโล 22

ก่อนจะลงไปชมป่าซากุระบานอลังการสุดสายตา ก็มาถ่ายภาพกับป้ายภูลมโลไว้เป็นที่ระลึกก่อนนะจ๊ะภูลมโล 23ภูลมโล 24

ลานหินทรงประหลาดบนภูลมโลภูลมโล 25

จากจุดชมวิวและลานหินบนภูลมโล เราค่อยๆ นั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อลงดอยคดเคี้ยวสูงชันมาอย่างช้าๆ จนในที่สุดก็ได้เห็นป่าซากุระในหุบเขาสีชมพู พร้อมกับม่านหมอกขาวถูกลมตีตวัดขึ้นมาจากร่องผา งามราวกับสวรรค์!ภูลมโล 26

นี่ล่ะ หุบเขาสีชมพูแห่งซากุระเมืองเลยที่เรากำลังตามหา ได้มาเห็นกับตาแล้ว ดีใจๆ เดี๋ยวต้องบอกให้พี่พลขับพาลงไปชมความงามใกล้ๆภูลมโล 27ภูลมโล 28

เมื่อดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือซากุระเมืองไทย เบ่งบาน ใครๆ ก็อยากไปเชยชมใกล้ๆ แต่ขอให้เราเก็บมาเฉพาะภาพถ่ายกับความทรงจำ และทิ้งไว้เพียงรอยเท้าเท่านั้น ความงามนี้จะได้อยู่คู่เมืองเลยและเมืองไทย ไปอีกนานๆภูลมโล 29

ป่าซากุระที่ภูลมโลมีอยู่หลายแปลง โดยแต่ละแปลงจะบานไม่พร้อมกันในแต่ละปี ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศว่าจะหนาวนาน หนาวคงที่ ไม่มีฝนรึเปล่า เราจึงต้องหมั่นโทรสอบถามไปที่ อบต. กกสะทอน เพื่อจะได้ไปเห็นป่าซากุระสุดอลังการที่ภูลมโล ได้ถูกที่ ถูกเวลา จ้าภูลมโล 30ภูลมโล 31

ปี 2016 แม้ว่าอากาศเมืองไทยจะผันผวน แต่เมื่อถึงเวลาลมหนาวมาเยือน ก็หนาวจัดไม่ใช่เล่น ซากุระที่ภูลมโลจึงสะพรั่งบานน่าชม ดอกใหญ่ สีชมพูเข้มจัด นี่คือภาพความงามอันอ่อนหวาน ซาบซึ้งตรึงใจ อย่างที่ใครหลายคนฝันอยากเห็น บางคนลงทุนบินไปดูซากุระที่ญี่ปุ่น แต่ถ้ามาเที่ยวถูกที่ ถูกเวลา ที่จังหวัดเลยก็มีให้ชมเหมือนกันจ้าภูลมโล 32ภูลมโล 33

ซากุระภูลมโล จะบานมากที่สุดตั้งแต่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ภูลมโล 34ภูลมโล 35ภูลมโล 36ภูลมโล 37 ภูลมโล 38ภูลมโล 39

ในยามเช้าตรู่ ขณะที่ม่านหมอกหนาวยังไม่จางคลาย ป่าซากุระภูลมโลก็ยังคงซุกซ่อนความงามที่แท้จริง ไว้ภายใต้ม่านหมอกขาวนั้นเอง

ภูลมโล 40

ป่าซากุระ สายหมอก และสาวๆ ดูจะเป็นของคู่กันอย่างลงตัวซะจริงๆ ฮาฮาฮาภูลมโล 41

ไปดูซากุระภูลมโล สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ เสื้อกันหนาวหนาๆ กล้องถ่ายรูปดีๆ และหัวใจที่พร้อมเปิดรับสรรพเสียงจากธรรมชาติจ้า
ภูลมโล 43

ในยามสาย ขณะที่แดดเริ่มแรงขึ้น สีชมพูเข้มของดอกซากุระก็ยิ่งปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเต็มตาภูลมโล 44ภูลมโล 45ภูลมโล 46

ดูกันใกล้ๆ ชมกันเต็มตา ดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือ Yunnan Cherry ราชินีแห่งดอกไม้เมืองหนาวอันแสนอ่อนหวาน งามไม้แพ้ดอกซากุระที่แดนอาทิตย์อุทัยเลยแม้แต่น้อยภูลมโล 47

ว้าว! สวยจัง เที่ยวเมืองไทยเหมือนไปเมืองนอกแท้ๆ เมืองไทยก็มีซากุระนะจ๊ะ
ภูลมโล 48

ราชินีแห่งพรรณไม้เมืองหนาวอันหวานซึ้ง ซากุระภูลมโลภูลมโล 49ภูลมโล 50ภูลมโล 51

ความงามหวานซึ้งของซากุระภูลมโล ยิ่งเพ่งพินิจใกล้ๆ ก็ยิ่งหลงรักภูลมโล 52ภูลมโล 53

ภูลมโล Guide

ปัจจุบันเส้นทางขึ้นไปชมซากุระภูลมโล มี 2 เส้นทาง เลือกกันได้ตามสะดวกจ้า

เส้นทางที่ 1 จากที่ทำการตำบลกกสะทอน ผ่านบ้านตูบค้อ-ยอดภูลมโล ระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร (ค่าเช่ารถกระบะพาขึ้นไปชมซากุระ 1,500-2,000 บาท)

เส้นทางที่ 2 จากบ้านใหม่ ภูหินร่องกล้า-ยอดภูลมโล ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร (ค่าเช่ารถกระบะพาขึ้นไปชมซากุระ 800-1,200 บาท)

สอบถามเพิ่มเติมที่ อบต. กกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย โทร. 0-4203-9867 www.koksathon.go.thlogo123-300x300

Special Thanks : ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคอีสาน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานจังหวัดเลย สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-4281-2812,  0-4281-1405equinox logo Png ong phulomloSpecial Thanks : บริษัท Outdoor Innovation Co., Ltd. สนับสนุนเสื้อกันหนาวและเสื้อผ้าสำหรับชีวิตแบบ Outdoor

ปั่นสองล้อเที่ยวนครพนม ชมเมืองน่ารัก

นครพนม 51นครพนม 1

ปี 2015 เทรนการปั้นจักรยานเที่ยวกำลังมาแรง ใครที่ไม่เคยมีจักรยานก็หาซื้อกันใหญ่ ส่วนคนที่ยังไม่มีก็รีบหาซื้อมาปั่น กลัวอายเพื่อน จะว่าไปแล้วการปั่นจักรยานเป็นการเดินทางแบบ Slow Travel ที่ไม่ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เลย ทำให้นอกจากสุขภาพเราจะดีแล้ว สิ่งแวดล้อมยังสะอาดอีกด้วยนะ เป็น Low Carbon Travel ที่น่าสนับสนุนจริงๆ
นครพนม 2

วันนี้จังหวัดนครพนมได้กลายเป็น “เมืองแห่งจักรยาน” หรือ The Cycling City อย่างแท้จริงแล้ว เพราะด้วยสภาพของตัวเมืองเลียบลำน้ำโขง บรรยากาศเย็นสบาย มีจุดชมวิว และมีเลนจักรยานให้ปั่นต่อเนื่องยาวหลายกิโลเมตร อีกทั้งคนนครพนมยังนิยมปั่นจักรยานกันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว จักรยานจึงเป็นพาหนะที่ยังอยู่ในวิถีของคนที่นี่จริงๆ

นครพนม 3

เส้นทางปั่นจักรยานเที่ยวในนครพนม ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ มีอยู่ 4 เส้นทางด้วยกัน คือ 1.เส้นทางชมเมืองเก่าไชยบุรี 2. เส้นทางบ้านดอนนางหงส์ 3.เส้นทางเมืองโบราณบ้านหนองจันทร์ และ 4. เส้นทางเลียบโขงตัวเมืองนครพนม

นครพนม 4

เส้นทางเมืองเก่าไชยบุรี เป็นเส้นทางปั่นเลียบลำน้ำโขงยาวประมาณ 2 กิโลเมตร ผ่านชุมชนน่ารักๆ ที่ยังคงความเงียบสงบ มีร้านกาแฟเล็กๆ ให้นั่งพัก ใครไม่มีจักรยานไปเอง เขาก็มีบริการให้เช่าหลายสิบคันในราคาไม่กี่สิบบาท ปั่นกันเข้าไปให้น่องโป่งได้ทั้งวัน โดยเส้นทางจะผ่านวัดโบราณริมโขง 4 แห่ง ซึ่งรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรศรีโคตรบูร ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่คนยังไม่ค่อยรู้จัก ขอบอกว่าวิวริมโขงที่นี่สวยงามโปร่งโล่งสบายมากๆ จ้านครพนม 5 นครพนม 6ใกล้ๆ กับเมืองเก่าไชยบุรี บริเวณพระธาตุท่าอุเทน พระธาตุประจำคนเกิดวันศุกร์ แถบนี้เป็นถิ่นที่อยู่ของชุมชนชาวไทญ้อซึ่งมีการแต่งกาย ภาษา อาหาร และวัฒนธรรมเด่นเป็นของตนเอง และแน่นอนว่าเขาก็มีเส้นทางปั่นจักรยานเที่ยวที่น่าสนใจมากทีเดียว

นครพนม 7

พระธาตุท่าอุเทนในฤดูฝน มองจากทุ่งนาเขียวขจี แลสดชื่นเย็นตาเย็นใจจริงๆนครพนม 8

เส้นทางปั่นจักรยานเที่ยวท่าอุเทน เริ่มต้นขึ้นที่พระธาตุท่าอุเทน ซึ่งปัจจุบันบริเวณด้านหลังองค์พระธาตุ ชุมชนได้รวมตัวกันสร้างศูนย์ข้อมูลย่านชุมชนเก่าท่าอุเทนขึ้น ในชื่อ “ภูมิ-มูนมัง ชุมชนท่าอุเทน” โดยเราสามารถเรียนรู้ประวัติของชุมชน รวมถึงรับแผ่นพับแผนที่เส้นทางการปั่นจักรยานเที่ยว ว่าบ้านแต่ละหลังเขามีอะไรให้ชมบ้างนครพนม 9

ในบริเวณชุมชนท่าอุเทน ยังมีเรือนไม้เก่าแบบไทญ้อแท้ๆ ให้ชมหลายหลัง และบางหลังสามารถเข้าไปเยี่ยมชม พูดคุยกับท่าเจ้าของบ้านได้ด้วยล่ะ หรือถ้ามาเป็นหมู่คณะใหญ่ ติดต่อมาก่อน เขาก็จะมีพิธีต้อนรับ มีอาหารไทญ้อให้ชิมด้วยนครพนม 10

บอกแล้วว่านครพนมเป็นเมืองจักรยานจริงๆ ที่ท่าอุเทนเลยมีก๊วนจักรยานของเด็กๆ ปั่นเที่ยวเล่นกันไปมา เราปั่นจักรยานผ่าน “ร้านศรีอุเทน” ซึ่งปัจจุบันเป็นร้านเช่าหนังสือการ์ตูน อาคารหลังนี้โดดเด่นด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมโคโลเนียล อันเป็นยุคที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดลาวและริมโขงแถบนี้เป็นอาณานิคมนั่นเองนครพนม 11 นครพนม 12

บ้านเก่าบางหลังในท่าอุเทน พร้อมต้อนรับผู้มาเยือน เพื่อเข้าไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน ในลักษณะของ Living Museum หรือพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ไปมาลาไหว้ อย่าลืมสวัสดีคุณยายด้วยล่ะจ้า
นครพนม 13

นอกจากชุมชนน่ารักแล้ว บริเวณริมโขงท่าอุเทนยังมีวัดเล็กๆ อันเป็นที่ประดิษฐานพระบางจำลองอีกด้วย

นครพนม 14

ปั่นจักรยานกางร่มแบบนี้ ถ้าไม่บอกนึกว่าเป็นสาวเชียงใหม่เจ้า แต่เธอนางนี้เป็นสาวไทญ้อท่าอุเทนแท้ๆ เลยนะ

นครพนม 15

ริมโขงท่าอุเทน เป็นจุดที่มีวิวเปิดโล่งโปร่งสบาย มองเห็นวิวฝั่งลาวได้แบบสุดสายตาพาโนรามา อากาศก็เย็นสบายหายใจได้เต็มปอด การปั่นจัรกยานเที่ยวแถวนี้จึงเป็นความสุขเล็กๆ แบบ Low Carbon Happiness จริงๆ อ่ะจ้านครพนม 16

ห่างจากอำเภอท่าอุเทน 21 กิโลเมตร ถ้าเราปั่นจักรยานไปตามทางหลวงสาย 212 (ท่าอุเทน-บ้านแพง) ตรงช่วง กม.27 ก็จะถึง “แหล่งเรียนรู้ไดโนเสาร์ท่าอุเทน” Amazing Unseen ที่คนทั่วไปยังไม่ค่อยรู้ ว่านครพนมก็มีไดโนเสาร์ด้วยหรือ?นครพนม 17

แหล่งเรียนรู้ไดโนเสาร์ท่าอุเทน ตั้งอยู่ที่ตำบลพนอม อำเภอท่าอุเทน อยู่ภายใต้การดูแลของกรมทรัพยากรธรณี ได้รับการค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2544 โดยบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่มาระเบิดหินบริเวณนี้ เป็นจุดที่ค้นพบรอยเท้าของ ไดโนเสาร์ นกกระจอกเทศ แล อีกัวดอน รวมทั้งรอยเท้าจระเข้ขนาดเล็ก อีก 1 ชนิด รวมแล้วกว่า 300 รอย ถือว่ามีรอยเท้าไดโนเสาร์รวมกันอยู่ในจุดเดียวเยอะที่สุดในเมืองไทยล่ะครับ!!!

นครพนม 18

โฉมหน้าไดโนเสาร์นกกระจอกเทศนครพนม 19

วันนี้ปั่นจักรยานเที่ยวนครพนมกันมาทั้งวัน ตอนเย็นย่ำเลยขอพักแบบชิลชิล เข้าเมืองมารอชมแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์อัสดงลงริมโขง เหมือนโชคเข้าข้าง วันนี้เกิดอุกาฟ้าเหลือง! ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก แถมเรายังโชคดีได้ขึ้นชมวิวจากมุมสูงพิเศษ มองเห็นย่านชุมชนเก่า เคียงคู่กับหอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์ Landmark สำคัญของนครพนมนครพนม 20นครพนม 21

คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธแน่นอน ว่านครพนมเป็นเมืองริมโขงที่มีวิวสวยที่สุดแห่งหนึ่ง ดูสิ มองไปเห็นเทือกเขาหินปูนฝั่งแขวงคำม่วนในลาว ทอดยาวเป็นปราการธรรมชาติยิ่งใหญ่อลังการเหลือเกิน แสงสีแต่ละวันจึงช่วยให้วิวมหัศจรรย์นี้งามไม่ซ้ำกันเลยสักวันเดียว หลงรักนครพนมแล้วล่ะ!นครพนม 22

พอพระอาทิตย์หายหน้าไป ไม่นานก็เกิดแสงแบบ Twilight หรือโพล้เพล้ คือในขณะที่ท้องฟ้ายังไม่มืดสนิท ถ่ายภาพออกมาจะได้เป็นสีฟ้าคราม ตัดกับแสงไฟถนนและรถยนต์ที่แล่นไปมา ช่วยให้หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์โดดเด่นมากนครพนม 23

เช้าวันใหม่สดใสยิ่งกว่าเก่า แสงแรกของตะวันริมลำน้ำโขงที่หน้าโรงแรม The River นครพนม ช่างน่าอัศจรรย์ งามเกินคำบรรยาย!นครพนม 24

สายหมอกขาวลอยคลอเคลียเทือกเขาหินปูนตะปุ่มตะป่ำในฝั่งเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน ของลาว วิวน่ะเป็นของลาว แต่เวลาจะชมต้องมาดูจากฝั่งไทยนะจ๊ะ! น่าอิจฉาคนนครพนมจริงๆ ได้เห็นวิวสวยแบบนี้ทุกวันเลย

นครพนม 26

นครพนมเพิ่งมีการจัดทำเลนจักรยานใหม่เอี่ยมเสร็จเรียบร้อย เป็น Green Lane ที่อาจจะพูดได้ว่าวิวสวยที่สุดในประเทศ! นอกจากจะมองเห็นลำน้ำโขงและเทือกเขาหินปูนฝั่งลาวอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว ยังมีต้นไม้เขียวสดเย็นตา ปั่นกันเพลินๆ สบายใจ ไม่ต้องห่วงว่ารถจะเฉี่ยวชน เพราะเป็นเลนจักรยานโดยเฉพาะที่ปลอดภัยสุดๆ จริงๆ ครับ

นครพนม 27

เช้าๆ เย็นๆ อากาศแจ่มใส ชวนกันไปปั่นจักรยานเล่นกินลมชมวิวที่นครพนมดีกว่านะจ๊ะ

นครพนม 28

สุดยอดเส้นทางปั่นจักรยานนครพนมจ้า

นครพนม 29

ปั่นจักรยานผ่านตัวเมืองเก่าริมโขง ยังมีจุดแวะพักให้ถ่ายภาพเก๋ๆ กันอย่างสนุกสนานด้วยนครพนม 30

ปั่นจักรยานอยู่บน Green Lane อย่างปลอดภัย เน้นทำตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัดครับนครพนม 31นครพนม 32

เฮฮาร่าเริง กับการปั่นจักรยานเที่ยวบนเส้นทางชมตัวเมืองเก่าริมโขง นครพนม The Cycling City

นครพนม 33

ยิ้มหวานๆ กับจักรยานคู่ใจนครพนม 34นครพนม 35

ออกจากตัวเมืองนครพนม วันนี้เราไปเปลี่ยนบรรยากาศ หาที่เที่ยวใหม่ๆ แบบธรรมชาติที่คนไม่ค่อยรู้จักบ้าง ขอบอกว่าฟังชื่อครั้งแรก “อุทยานแห่งชาติภูลังกา” นึกว่าอยู่ภาคเหนือ แต่แท้ที่จริงอยู่ในอำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม ต่อเนื่องกับอำเภอเซกา จังหวัดหนองคาย ป่าผืนนี้อุดมสมบูรณ์มาก จนเป็นต้นกำเนิดของน้ำตกใหญ่ 2 แห่ง คือ น้ำตกตาดขาม และน้ำตกตาดโพธิ์ รวมถึงมีเส้นทางเดินป่า 2 วัน 1 คืน ขึ้นสู่เจดีย์กองข้าวศรีบุญเนาว์ ด้วย
นครพนม 36

นครพนม 37

น้ำตกตาดโพธิ์ งามอย่างอ่อนโยน น้ำไหลลดหลั่นลงมาเป็นขั้นๆ ผ่านผาหินทราย แวดล้อมด้วยแมกไม้เขียวขจี มีวังน้ำใหญ่ด้านหน้าให้ลงอาบแช่เล่นด้วยนครพนม 38

บ้านดอนนางหงส์ อำเภอธาตุพนม เป็นอีกหนึ่งเส้นทางปั่นจักรยานเที่ยว สัมผัสวิถีชีวิตชุมชนแสนน่ารัก ซึ่งยังผูกพันอยู่กับนาไร่ สวนลิ้นจี่ และวิถี Slow Life ที่ใกล้ชิดพระพุทธศาสนา

นครพนม 39

หนุ่มน้อยแห่งบ้านดอนนางหงส์ มาในชุดปั่นจักรยานแบบจัดเต็ม! ดูหน่วยก้านแล้วโตขึ้นคงหนีไม่พ้นทีมชาติ!นครพนม 40

เส้นทางปั่นจักรยานเที่ยวบ้านดอนนางหงส์ มีไฮไลท์อยู่ที่ พระธาตุมรุกขนคร พระธาตุประจำคนเกิดวันพุธกลางคืน ลักษณะคล้ายพระธาตุพนมย่อส่วน โดยองค์พระธาตุนั้นสูงถึง 50.9 เมตร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2536นครพนม 41

เราสามารถปั่นจักรยานจากพระธาตุมรุกขนคร ไปยัง วัดดอนนางหงส์ อันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุเจดีย์ กว. วัดนี้เก่าแก่มาก สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2300 ในสมัยอาณาจักรศรีโคตรบูร สมัยพระบรมราชากู่แก้ว
นครพนม 42

บ้านดอนนางหงส์ มีชื่อเสียงเรื่องงานฝีมือที่กำลังจะสูญหายอย่างหนึ่ง คือการสลักแผ่นทองเหลือง ส่วนมากนิยมสลักเป็นรูปองค์พระธาตุหรือพุทธประวัติต่างๆ เพื่อนำไปถวายวัด หรือประดับบ้านเรือนให้เป็นสิริมงคล แต่งานประณีตศิลป์แขนงนี้ต้องอาศัยทักษะความชำนาญ และความอดทนสูงมาก จึงหาผู้สืบทอดได้ยากนครพนม 43นครพนม 44

บ้านดอนนางหงส์ยังลือเลื่องชื่อเสียงในเรื่องของ งานฝีมือใบตอง ประดิษฐ์เป็นพานพุ่มขันหมากเบ็ง หรือพานบายศรี ได้งดงามในระดับจังหวัด นักท่องเที่ยวที่มาเยือนชุมชน หรือมาปั่นจักรยานสามารถแวะเรียนรู้ ทดลองทำได้ กิจกรรมนี้เองจะช่วยสืบทอดมิให้ประณีติศิลป์แห่งบ้านดอนนางหงส์สูญหาย และอยู่เป็นเอกลักษณ์คู่นครพนมตลอดไป
นครพนม 45

แหล่งท่องเที่ยวใหม่ของจังหวัดนครพนม ซึ่งเราจะขับรถขึ้นไป หรือปั่นจัรกยานเสือภูเขาทดสอบความฟิตขึ้นไปก็ได้ คือ “ลานดานสาวคอย” ในตำบลนาแก อำเภอนาแก ลักษณะเป็นลานหินทรายราบเรียบ มีต้นไม้แบบเต็งรังและเบญจพรรณขึ้นอยู่ประปราย โดยบริเวณลานดานสาวคอยนี้เป็นจุดชมวิวที่มองเห็นจังหวัดสกลนครได้ แถมยังมองเห็นองค์พระธาตุพนมอยู่ลิบๆ ด้วย นับเป็น Photo Point ที่สุดยอดไปเลย

เหตุที่ลานหินแห่งนี้ได้ชื่อว่า “ลานดานสาวคอย” เพราะมีตำนานเล่าขานว่า อดีตมีสาวงามนัดพบกับคนรักหนุ่ม ณ ที่แห่งนี้ แต่ชายหนุ่มถูกพ่อของสาวงามฆ่าตายเสียก่อน วิญญาณของสาวงามนั้นจึงมาวนเวีนยอยู่ที่นี่เพื่อรอคนรัก!

นครพนม 46

ถ้าเดินสำรวจดูดีๆ ใกล้ๆ กับลานดานสาวคอย จะมี หินทรายรูปดอกเห็ด ผุดอยู่ทั่วไป เกิดจากการัดเซาะของลม น้ำฝน และความร้อน แต่หินเหล่านี้ก็มีขนาดไม่ใหญ่โตนัก จึงมักถูกมองข้ามไปนครพนม 47

ลานดานสาวคอยตั้งอยู่บนเทือกเขาภูพาน ปัจจุบันมี วัดภูพานอุดมธรรม อยู่ มีการสร้างองค์พระธาตุประจำวันเกิดจำลอง กระจายอู่บนลานหิน ให้ผู้มีจิตศรัทธาเดินไปสักการะ เพราะบางคนมีเวลาไม่พอ ไม่สามารถเดินทางไปสักการะพระธาตุประจำวันเกิดองค์จริงได้ครบทุกที่ มาที่นี่ที่เดียวครบเลยนครพนม 48

พระพุทธมหามงคลบพิตรจัตุรทิศประทานพร ได้รับการนำมาประดิษฐานไว้เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2528 เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการยุติการสู้รบระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับลัทธิคอมมิวนิสต์บนเทือกเขาภูพาน จากนี้ไปจะมีแต่สันตินะจ๊ะ
นครพนม 49

เราขอจบทริปปั่นจักรยานเที่ยวนครพนม ชมเมืองน่ารัก กันที่องค์พระธาตุพนมในยามเย็น ไปกราบขอพรพระธาตุพนม ประจำคนเกิดวันอาทิตย์และปีวอก มาที่นี่ทีไรแล้วรู้สึกร่มเย็น ใจสงบ แม้ว่าโลกภายนอกจะสับสนวุ่นวายปายใดก็ตามนครพนม 50Special Thanks : ขอขอบคุณ ผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ

คุณสมชาย วิทย์ดำรงค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม

คุณเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดนครพนม

คุณวสุมน เนตรกิจเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท Win Win Smile และโครงการ Self Drive Isan

คุณสิทธิพร ศิริวรเดชกุล (เปี๊ยก เสียงทิพย์) ประธานบริษัท เสียงทิพย์ไฮเทค จำกัด

คุณสมภพ ตั้งศิริ กรรมการผู้จัดการโรงแรม The River นครพนม

ขอขอบคุณ พี่ๆ เพื่อนๆ ชาว ททท. สำนักงานนครพนม ทุกคน ที่ช่วยเป็นกำลังใจให้อย่างเต็มที่

และ บริษัท Nikon Sales (Thailand) สนับสนุนอุปกรณ์ถ่ายภาพระดับมืออาชีพNIKON 18 copy copy

20 ที่เที่ยวเติมความสุขสุดใจ @นครพนม

นครพนม เมืองเนิบช้าที่สุขสุดๆ ริมแม่น้ำโขง เมืองแห่งอาณาจักรศรีโคตรบูรอันรุ่งเรืองในอดีต ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็น Gateway to ASEAN ของอีสาน ด้วยสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 ทอดข้ามโขง นำเราเที่ยวเชื่อมโยงไปได้ถึงลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้ เลยล่ะ วันนี้ลองมาทำความรู้จักกับนครพนมให้ลึกซึ้ง กับ 20 ที่เที่ยวเติมความสุขให้คุณ” ซึ่งเรา คัดสรรมาอย่างดี จากการ Review ของกลุ่มคนชอบเที่ยว Media & Blogger 8 ซึ่งเป็นนักเดินทางมืออาชีพ ร่วมกับ Go Travel Photo ภายใต้การสนับสนุนจากผู้ใหญ่ใจดี ททท. สำนักงานนครพนม  บริษัท Win Win Smile และ The River Hotel นครพนม

นครพนม เป็นเมืองที่เที่ยวได้ง้ายง่าย! เพราะสามารถบินไป-บินกลับ ขับรถเที่ยวได้สบายแฮ… จะเลือกเที่ยวด้วยตัวเอง หรือให้บริษัททัวร์ที่เชี่ยวชาญดูแลอำนวยความสะดวก ออกแบบเส้นทางเที่ยวให้ได้ไม่ยาก แถมนครพนมวันนี้มีรถให้เช่าขับเที่ยวทำนอง Self Drive ได้สบายมาก ขับรถเที่ยวอีสานกันวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินฝันอีกต่อไปแล้วล่ะ อย่างบริษัท Win Win Smile เขาก็มีรถยนต์ไว้บริการนักท่องเที่ยวพร้อมสรรพ

พร้อมแล้วก็รีบไปแอ่ว “นครพนม” เมืองออนซอนริมโขงได้เลยจ้า…

1. พระธาตุพนม (พระธาตุประจำคนเกิดวันอาทิตย์) 

เป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิส่วนพระอุรังคธาตุ หรือกระดูกส่วนหน้าอก ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระธาตุสูงถึง 53.60 เมตร แลสง่างามมาก กล่าวกันว่าแค่ได้ไปสักการะพระธาตุพนมเพียง 1 ครั้ง ก็เป็นสิริมงคลยิ่งแล้ว แต่ถ้าได้ไปสักการะครบ 7 ครั้ง ก็จะกลายเป็น “ลูกพระธาตุ” ชีวิตมีแต่ความรุ่งเรือง นอกจากนี้ยังเป็นพระธาตุประจำคนเกิดปีวอกอีกด้วย และหากเราได้ไปเที่ยวพระธาตุพนม ตรงกับวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 3 ถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 3 ก็จะได้ชมงานบูชาพระธาตุพนมอันยิ่งใหญ่อลังการอีกด้วย

พระธาตุพนม 1 พระธาตุพนม 2

2. พระธาตุเรณู (พระธาตุประจำคนเกิดวันจันทร์)

อำเภอเรณูนคร เป็นถิ่นที่อยู่ของชาผู้ไท 1 ใน 8 เผ่าของนครพนม ซึ่งพวกเขายังคงรักษาขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของตน ไว้อย่างเข้มแข็งมาก ศูนย์กลางชุมชนนี้อยู่ที่องค์พระธาตุเรณูอันสวยงามตระการตา สูงกว่า 35 เมตร สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2461 โดยประดับลวดลายปูนปั้นไว้รอบๆ อย่างวิจิตรตระการตามากเลยทีเดียว เพราะได้จำลองแบบมาจากพระธาตุพนมองค์เดิม (ก่อนที่พระธาตุพนมจะพังถล่มลงมา) นั่นเอง

พระธาตุเรณู 1 พระธาตุเรณู 2.1 พระธาตุเรณู 2 พระธาตุเรณู 3

3. พระธาตุศรีคุณ (พระธาตุประจำคนเกิดวันอังคาร)

แม้ว่าจะอยู่ห่างจากตัวเมืองนครพนมถึง 78 กิโลเมตร แต่การได้มาเยือนพระธาตุศรีคุณสักครั้ง ก็ถือว่าคุ้ม! เพราะมีลักษณะเหมือนพระธาตุพนมย่อส่วน ได้กราบแล้วอานิสงส์คือส่งให้เกิดยศศักดิ์ศรี โชคลาภทวีคูณ!

พระธาตุศรีคุณ 1 พระธาตุศรีคุณ 2 พระธาตุศรีคุณ 3

4. พระธาตุมหาชัย (พระธาตุประจำคนเกิดวันพุธกลางวัน)

พระธาตุมหาชัยอยู่ที่อำเภอปลาปาก องค์พระธาตุสูงถึง 37 เมตร ตั้งอยู่บนฐานสูง แลสง่าน่าเลื่อมใส เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุสำคัญ อานิสงส์ของการได้มากราบนมัสการคือ จะมีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง ทำให้ชีวิตมีแต่ความรุ่งโรจน์

พระธาตุมหาชัย 1 พระธาตุมหาชัย 2 พระธาตุมหาชัย 3

5. พระธาตุมรุกขนคร (พระธาตุประจำคนเกิดวันพุธกลางคืน)

วันพุธเป็นเพียงวันเดียวที่มีพระธาตุประจำวันเกิด 2 องค์ คือ กลางวัน และกลางคืน ในส่วนของกลางคืนมีพระธาตุมรุกขนครเป็นพระธาตุประจำวัน เนื่องจากมีเรื่องเล่าว่าครั้งพุทธกาล มีอยู่คืนหนึ่งเป็นคืนวันพุทธ ภิกษุสงฆ์ได้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้น พระพุทธองค์จึงเสด็จหนีออกไปจากวัดที่ทรงจำพรรษาอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีพระธาตุประจำวันพุธกลางคืน โดยองค์พระธาตุมรุกขนครนั้นคล้ายพระธาตุพนมย่อส่วน สูง 50.9 เมตร สร้างขึ้นในพระวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 50 ปี โดยความสูงเศษ จุด 9 เมตร ก็หมายถึง รัชกาลที่ 9 นั่นเอง

พระธาตุมรุกขนคร 1 พระธาตุมรุกขนคร 2

6. พระธาตุประสิทธิ์ (พระธาตุประจำคนเกิดวันพฤหัสบดี)

พระธาตุประสิทธิ์อยู่ห่างจากตัวเมืองนครพนม 93 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางไปประมาณ 1.30 ชั่วโมง กระทั่งถึงอำเภอนาหว้า ก็จะได้สักการะองค์พระธาตุที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้า อานิสงส์ของการได้มานมัสการคือ ทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในความก้าวหน้าดังประสงค์ ในบริเวณวัดยังเป็นที่ตั้งของศูนย์หัตถกรรมบ้านท่าเรือ ซึ่งเป็นศูนย์ศิลปาชีพแห่งแรกของไทย เมื่อปี พ.ศ. 2520 สินค้าโดดเด่นคือผ้าไหมมัดหมี่อันประณีตงดงาม

พระธาตุประสิทธิ์ 1 พระธาตุประสิทธิ์ 2 พระธาตุประสิทธิ์ 3

7. พระธาตุท่าอุเทน (พระธาตุประจำคนเกิดวันศุกร์)

ณ อำเภอท่าอุเทน ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงไหลเย็นชื่นใจ คือที่ตั้งขององค์พระธาตุสูงใหญ่ โดดเด่นนาม พระธาตุท่าอุเทน โดยสร้างให้คล้ายคลึงกับพระธาตุพนม สร้างเป็น 3 ชั้น ทรงสี่เหลี่ยม สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2454 โดยพระอาจารย์ศรีทัตถ์ เพื่อบรรจุพระอรหันตธาตุสำคัญ เชื่อว่าใครได้มาสักการะแล้วจะช่วยให้ชีวิตรุ่งโรจน์ เปรียบเสมือนพระอาทิตย์ขึ้นยามอรุณรุ่ง

พระธาตุ ท่าอุเทน 1 พระธาตุ ท่าอุเทน 2

8. พระธาตุนคร (พระธาตุประจำคนเกิดวันเสาร์)

เป็นอีกหนึ่งพระธาตุของนครพนมที่ตั้งอยู่ใกล้ริมล้ำน้ำโขง ในบริเวณตัวเมืองนครพนมนั่นเอง เป็นองค์พระธาตุขนาดกลาง สูง 24 เมตร ทว่างดงามด้วยรูปลักษณ์และลวดลาย ไม่ย่ิงหย่อนไปกว่าพระธาตุองค์ใด ได้มากราบสักการะแล้วเชื่อว่าอานิสงส์จะช่วยเสริมบารมี ทำให้มีอำนาจวาสนาเป็นเจ้าคนนายคน

พระธาตุนคร 1 พระธาตุนคร 2 พระธาตุนคร 3

9. พระธาตุจำปา อำเภอโพนสวรรค์

แม้จะมิใช่พระธาตุประจำวันเกิดทั้ง 7 วัน แต่พระธาตุจำปาก็เป็นโบราณสถานสำคัญที่ซุกซ่อนอยู่ในอำเภอโพนสวรรค์ ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2253 ดั้งเดิมเป็นสถาปัตยกรรมอีสาน แต่ได้รับการบูรณะเพิ่มเติมด้วยศิลปะรัตนโกสินทร์ จนเกิดการผสมผสานอันงดงาม โดยองค์พระธาตุสูงประมาณ 20 เมตร ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2548

พระธาตุจำปา 1 พระธาตุจำปา 2

10. วัดโอกาส ศรีบัวบาน อำเภอเมืองนครพนม

เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองนครพนมมาแต่โบราณ ตั้งอยู่บนถนสุนทรวิจิตร ตรงข้ามด่านท่าเรือนครพนม-คำม่วน (ลาว) สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1994 ในสมัยอาณาจักรศรีโคตรบูรรุ่งเรือง ความโดดเด่นอยู่ที่หอประดิษฐานพระติ้วและพระเทียม “พระติ้ว” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ทำด้วยไม้ติ้วบุทองคำ หน้าตักกว้าง 30 เซนติเมตร สูง 2 ฟุต สร้างโดยเจ้าผู้ครองนครศรีโคตรบูร เมื่อ พ.ศ. 1328 ส่วน “พระเทียม” สร้างให้เหมือนพระติ้ว เพื่อใช้ประดิษฐานไว้ข้างๆ เพื่อเทียม หรือแทนกัน

วัดโอกาส 1 วัดโอกาส 2 วัดโอกาส 3 วัดโอกาส 4

11. วัดศรีเทพประดิษฐาราม อำเภอเมืองนครพนม

เดิมชื่อ วัดศรีคุณเมือง สร้างเมื่อ พ.ศ. 2402 แต่ก่อนเป็นวัดร้าง กระทั่งหลวงปู่จันทร์ เขมิโย ได้เข้ามาบูรณะเมื่อปี พ.ศ. 2449 ภายในพระอุโบสถวัดนี้มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง 108 ภาพ อันงดงามมาก และยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ คือ พระแสง ซึ่งตำนานเล่าขานว่าสร้างขึ้นพร้อมกับพระสุก พระเสริม และหลวงพระพ่อพระใส (จังหวัดหนองคาย) ควรหาโอกาสไปกราบเพื่อเสริมมงคลชีวิต

วัดศรีเทพ 1 วัดศรีเทพ 2 วัดศรีเทพ 3 วัดศรีเทพ 4

12. โบสถ์นักบุญอันนา หนองแสง อำเภอเมืองนครพนม

ตัวเมืองนครพนมปัจจุบัน มีพี่น้องชาวไทยคริสต์จากเวียดนามที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่จำนวนมาก จึงปรากฏโบสถ์คริสต์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในภาคอีสานขึ้น! ในนาม “โบสถ์นักบุญอันนา” ที่สร้างขึ้นโดยคุณพ่อเอทัวร์ นำลาภ เมื่อปี ค.ศ. 1926 โดยโบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่ริมลำน้ำโขง กล่าวกันว่าเป็นโบสถ์แบบโกธิคที่สวยที่สุด 1 ใน 3 แห่งของไทย!

วัดนักบุญอันนา 1 วัดนักบุญอันนา 2 วัดนักบุญอันนา 3 วัดนักบุญอันนา 4 วัดนักบุญอันนา 5

13. พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าราชการ (หลังเก่า) อำเภอเมืองนครพนม

ตั้งอยู่ที่ถนนสุนทรวิจิตร ใกล้ริมแม่น้ำโขง สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลในยุคที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดครองดินแดนแถบลุ่มน้ำโขง อาคารหลังนี้เคยใช้เป็นที่พำนักของผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมในอดีต ทว่าปัจจุบันได้พลิกบทบาทมาเป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าเรื่องราวหลากหลายของนครพนม ผ่านภาพถ่ายเก่า โมเดล ภาพยนตร์สั้น ฯลฯ อีกทั้งยังเคยเป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ครั้งเสด็จเยือนนครพนมด้วย โดยในครั้งนั้น แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ อายุ 102 ปี ได้มาถือดอกบัวรอรับเสด็จ จนกลายเป็นภาพแสนซึ้งตรึงใจ ที่เราชาวไทยแทบทุกคนคุ้นเคยกันดี

จวนผู้ว่าหลังเก่า 1 จวนผู้ว่าหลังเก่า 2 จวนผู้ว่าหลังเก่า 3 จวนผู้ว่าหลังเก่า 4 จวนผู้ว่าหลังเก่า 5 จวนผู้ว่าหลังเก่า 6 จวนผู้ว่าหลังเก่า 7 จวนผู้ว่าหลังเก่า 8

14. ย่านหอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์ อำเภอเมืองนครพนม

ชวนกันไปเดินเล่นชิลล์ๆ พักผ่อนหย่อนใจ ชมวิถีชุมชนเก่าอันเนิบช้าริมลำน้ำโขงกลางเมืองนครพนม ไปชม ชิม ช็อป แชะ แชร์ กับภาพประทับใจมากมายในย่านหอนาฬิกาเก่า ซึ่งปัจจุบันมีร้านอาหารน่านั่งสำหรับวัยรุ่นเปิดกันเพียบ อีกทั้งในคืนวันศุกร์และเสาร์ ตั้งแต่เวลา 17.00-20.00 น. ยังมีถนนคนเดิน เปิดให้เดินช็อปกันยาวกว่า 800 เมตรด้วยนะ

หอนาฬิกา 1 หอนาฬิกา 2 หอนาฬิกา 3 หอนาฬิกา 4 หอนาฬิกา 5 หอนาฬิกา 6 หอนาฬิกา 7

15. นั่งรถพ่วงชมเมืองนครพนม สัมผัสชีวิตอันเนิบช้า

ไปสนุกสนานกับการนั่งรถพ่วงชมเมืองนครพนม เติมความสุขให้กับการมาสัมผัสเมืองริมโขงนี้อย่างไม่ต้องเร่งร้อน เป็น City Tour ที่ชิลล์มากอีกวิธีหนึ่ง โดยเส้นทางรถรางจะเริ่มตั้งแต่โรงแรม The River ไปสิ้นสุดที่พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าหลังเก่า แวะไปตามจุดต่างๆ เป็นสิบแห่ง ใช้เวลารวมแล้ว 2-3 ชั่วโมง ค่าใช้จ่ายก็ถูกมาก แค่คนละ 50 บาทเอง นับเป็นการทำความรู้จักกับนครพนมได้อย่างลึกซึ้ง และง่ายดาย อย่างไม่ต้องเหนื่อยเลย

รถพ่วง 1 รถพ่วง 2 รถพ่วง 3 รถพ่วง 4 รถพ่วง 5

16. ล่องเรือสำราญชมวิว อลังการเบิกบานริมน้ำโขง

ไปเต็มอิ่มกับวิวสองฝั่งโขง ชื่นชมบรรยากาศความงามของภูมิทัศน์ธรรมชาติ เทือกเขาหินปูนกุ้ยหลินเมืองลาว ลงเรือท่องเที่ยวล่องชมวิวอย่างสุขใจ งามเป็นพิเศษในยามเช้ายามเย็น มีทั้งเรือของเทศบาลนครพนม (โทร. 0-4251-1535), เรือแม่โขง พาราไดซ์ครุยส์ (โทร. 0-4251-2551) และเรือริเวอร์ครุซ (โทร. 09-8015-0026-7)

ล่องเรือ 1 ล่องเรือ 2 ล่องเรือ 3 ล่องเรือ 4 ล่องเรือ 5

17. หอเฉลิมพระเกียรติพระราชวงศ์จักรี อำเภอเมืองนครพนม

ตั้งอยู่ที่อำเภอหนองญาติ ห่างจากตัวเมืองนครพนม 7 กิโลเมตร เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เพิ่งเปิดใหม่ ใช้จัดแสดงนิทรรศการความเป็นมาของอาณาจักรศรีโคตรบูรและเมืองนครพนม รวมถึงราชวงศ์จักรี และพระราชกรณรียกิจสำคัญ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน อาคาร 2 ชั้นนี้แบ่งเป็นโซนต่างๆ อย่างดี พร้อมด้วยห้องชมภาพยนตร์ และห้องนิทรรศการ 8 เผ่า 2 เชื้อชาติ นครพนม น่าสนใจมากๆ (โทร. 0-4251-3973)

หอเฉลิมพระเกียรติ 1 หอเฉลิมพระเกียรติ 2 หอเฉลิมพระเกียรติ 3 หอเฉลิมพระเกียรติ 4 หอเฉลิมพระเกียรติ 5

18. บ้านลุงโฮจิมินห์ หมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียนาม บ้านนาจอก

ไปร่วมกันย้อนประวัติศาสตร์การกู้เอกราชของชาวเวียดนามกับ ลุงโฮ หรือท่านโฮจิมินห์ ประธานาธิบดีคนแรกของเวียดนาม ผู้อุทิศทั้งชีวิตเพื่อต่อสู้และกอบกู้เอกราชคืนจนสำเร็จ โดยก่อนหน้านั้นท่านได้เข้ามาหลบซ่อนจากฝรั่งเศส เพื่อซุ่มวางแผนและหาทุนสนับสนุน อยู่ที่บ้านนาจอก จังหวัดนครพนม นี่เอง ในระหว่างปี พ.ศ. 2467-2474 แม้ปัจจุบันบ้านหลังเดิมจริงๆ ที่ลุงโฮเคยพำนักจะพังไปหมดแล้ว แต่ก็ได้มีการบูรณะขึ้นใหม่ในบริเวณเดิม ด้วยรูปแบบเดิม เพื่อเป็นอนุสรณ์สถาน ซึ่งมีทั้งชาวไทยและชาวเวียดนามเดินทางมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมากตลอดปี (โทร. 08-9713-0261 คุณสมจิตร อรรถวรวินิจ)

บ้านลุงโฮ 1 บ้านลุงโฮ 2 บ้านลุงโฮ 3 บ้านลุงโฮ 4 บ้านลุงโฮ 5

19. จุดชมวิวสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 อำเภอเมืองนครพนม

วันที่ 11 เดือน 11 ค.ศ. 2011 เวลา 11 โมง 11 นาที คือฤกษ์งามยามดี ที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 ได้เปิดใช้อย่างเป็นทางการ ทำหน้าที่เชื่อมโยงจังหวัดนครพนม เข้าสู่เมืองท่าแขก แขวงคำม่วนของลาว ซึ่งสามารถเดินทางต่อไปยังเมืองดงเหยของเวียดนามได้ ภายในเวลาแค่ 1 วัน ด้วยระยะทางเพียง 140 กิโลเมตรเท่านั้น! สะพานยักษ์ข้ามโขงแห่งนี้จึงเป็นเสมือน Gateway to ASEAN ของอีสานอย่างแท้จริง โดยมีจุดชมวิวอยู่ที่เชิงสะพานฝั่งไทย

1 สะพานมิตรภาพ 3 2 สะพานมิตรภาพ 3 3 สะพานมิตรภาพ 3

20. ปากแม่น้ำสองสี และเมืองเก่าไชยบุรี อำเภอท่าอุเทน

ห่างจากตัวเมืองนครพนมไปเพียง 47 กิโลเมตร ในอำเภอท่าอุเทน คือถิ่นที่ตั้งของจุดบรรจบแห่ง “แม่น้ำสองสี” คือแม่น้ำสงครามสีเขียวมรกต ได้ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขงสีน้ำตาลแดง เกิดเป็นปากแม่น้ำที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ ฝูงปลาชุกชุม ชาวบ้านได้ออกเรือไปหาปลามาทำอาหารหลากหลาย โดยเฉพาะปลาส้มแสนอร่อยแห่งไชยบุรี เมืองริมโขงแสนน่ารักที่มีความเก่าแก่กว่า 200 ปีแล้ว! ตลอดริมฝั่งโขงมีวัดโบราณอันทรงคุณค่าอยู่ไม่น้อยกว่า 7-10 แห่ง พร้อมด้วยบ่อน้ำโบราณ ซากเจดีย์เก่า ชุมชนแสนน่ารัก พร้อมด้วยเส้นทางปั่นจักรยานริมน้ำชิลล์ๆ และแน่นอนว่าต้องมีจุดชมวิวแม่น้ำสองสีที่น่าชมอย่างยิ่ง

ไชยบุรี 1 ไชยบุรี 2 ไชยบุรี 3 ไชยบุรี 4 ไชยบุรี 5 ไชยบุรี 6 ไชยบุรี 7 ไชยบุรี 8 ไชยบุรี 9

 Special Thanks ผู้สนับสนุนการเดินทางอย่างเป็นทางการ

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานนครพนม โทร. 0-425103490-1

บริษัท Win Win Smile Co., Ltd. คุณวสุมน เนตรกิจเจริญ โทร. 0-4250-3503-4, 0-2153-8119-20, 09-2258-6848-9

The River Hotel นครพนม โทร. 08-3669-2999,  0-4252-2999 http://therivernakhonphanom.com