20 ที่เที่ยวห้ามพลาด อรุณาจัล-อัสสัม (Episode 2)

(11) วัด Tawang Monastery เมืองตาวัง

ที่สุดของการเดินทางไปเที่ยวรัฐอรุณาจัลประเทศ ต้องยกให้ ตาวัง” (Tawang) เมืองแห่งกลิ่นอายทิเบตและขุนเขาสูงกว่า 3,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งในอดีตคือส่วนหนึ่งของอาณาจักรทิเบต ทว่าได้ผนวกรวมเข้ากับอินเดียเมื่อปี ค.ศ.​1951 (หลังอินเดียได้รับเอกจากอังกฤษ) ในขณะที่จีนก็ยังอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนนี้ ตาวังจึงกลายเป็นเขตควบคุมพิเศษ ซึ่งนักท่องเที่ยวไปเยือนได้ แต่ต้องทำเรื่องขออนุญาตล่วงหน้าเข้าไปในรูปแบบ Tourist Permit

เมืองตาวัง ตั้งอยู่ทางปลายสุดตะวันตกของรัฐอรุณาจัลประเทศ การเดินทางมีเพียงรถยนต์เข้าถึง ด้วยทางหลวงสาย NH13 (Trans Arunachal Highway) อยู่ห่างชายแดนจีน (ทิเบต) เพียง 16 กิโลเมตร ห่างจากเมืองน้ำทราย (Namsai) 718 กิโลเมตร จากเมืองกูวาฮาติ (Guwahati) 555 กิโลเมตร และจากอิฎานคร (Itanagar) เมืองหลวงของรัฐอรุณราจัลประเทศ 448 กิโลเมตร ถนนสู่ตาวังจึงต้องผ่านทะเลภูเขา ถนนซิกแซกไปมาหลายพันโค้ง เป็นการผจญภัยอย่างแท้จริง

ไฮไลท์ของที่นี่คือ “วัดตาวัง” (Tawang Monastery) อารามใหญ่อันดับ 2 ของโลก วัดพุทธวัชรยานทิเบตนิกายหมวกเหลือง (เกลุกปะ : Gelukpa) ตัวอารามมหึมาตระหง่านอยู่บนยอดเขาสูง โอบด้วยขุนเขาราวปราการธรรมชาติ ชัยภูมิดีเลิศ คล้ายป้อมปราการแห่งพุทธศาสนาอายุกว่า 400 ปี สร้างขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 16 โดย เมรัค ลามะ ลอเดร กยัตโซ (Merak Lama Lodre Gyatso) ศิษย์ของดาไลลามะองค์ที่ 5 ได้ออกเดินทางค้นหาที่สร้างวัดใหม่ ตำนานเล่าว่าม้าของลามะหายไป ท่านจึงออกตามหา จนมาพบม้ายืนกินหญ้าอยู่บนยอดเขานี้ วัดตาวางจึงได้สร้างขึ้น โดยคำว่า “ตา” (Ta) หมายถึง “ม้า” และ “วาง” (Wang) หมายถึง “เลือก” รวมความหมายถึง “ม้าเลือกที่นี่” แต่ถ้าเรียกชื่อตามภาษาทิเบตคือ “ตาวัง กัลเดน นัมกเย ลัตเซ” (Tawang Galdan Namgye Lhatse) จะหมายถึง “ที่เลือกสรรโดยอาชา ดังสวรรค์แห่งชัยชนะอันสมบูรณ์

วัดตาวังมีพระลามะอยู่กว่า 500 รูป คล้ายเมืองย่อมๆ แบ่งเป็น 3 ชั้น ล้อมด้วยกำแพงสีขาวยาวเกือบ 300 เมตร มีห้องสวดมนต์น้อยใหญ่ ห้องเก็บคัมภีร์โบราณ หอสมุด โรงเรียนสอนธรรมะ โรงอาหาร และกุฎิพระลามะ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่แรกซึ่งดาไลลามะองค์ที่ 14 เสด็จมาประทับครั้งลี้ภัยจากทิเบต หนีการรุกรานของจีนเมื่อปี ค.ศ.1959 หลังจากนั้นอีก 50 ปี พระองค์ก็ได้เสด็จกลับไปเยือนวัดตาวังอีกครั้ง และทรงบูรณะหอสมุดของวัดใหม่อีกด้วย

(12) วัดภิกษุณี Gyangong Ani Gompa เมืองตาวัง

เมืองตาวังมีวัดภิกษุณีหลายแห่ง เพราะหญิงที่นี่สามารถบวชเป็นภิกษุณีได้อย่างเสรี อาทิ วัดบรามาดุง ชุก อนี กอมปะ (Bramadung Chung Ani Gompa) วัดภิกษุณีเก่าแก่ที่สุดของเมืองตาวัง สร้างเมื่อศตวรรษที่ 16 และวัดซิงเซอร์ อนี กอมปะ (Singsur Ani Gompa) ซึ่งอยู่ห่างตัวเมืองออกไป 28 กิโลเมตร ฯลฯ

ทริปนี้เราได้ไปเยือนวัดภิกษุณี “กยันกอง อนี กอมปะ” (Gyangong Ani Gompa) ที่อยู่ห่างตัวเมืองตาวังไป 5-6 กิโลเมตรเท่านั้น รถยนต์ถึงง่าย เป็นวัดเล็กๆ มีภิกษุณีอยู่ประมาณ 45 รูป ตัววัดตั้งอยู่บนเชิงเขาสูง ล้อมด้วยป่าสน และป่ากุหลาบพันปีสีแดง รวมถึงดอกไม้ป่าเบ่งบานในฤดูร้อนและใบไม้ผลิ ถนนไต่ขึ้นสู่วัดผ่านทุ่งเลี้ยงจามรี มองออกไปเห็นตัวเมือง มีภูเขาตระหว่าน และเจดีย์ทิเบต (ชอร์เตน : Chorten) ผูกธงมนต์เป็นสายสะบัดพลิ้วไปกับสายลมภูเขา หวีดหวิวเยือกเย็น

วัดกยันกอง อนี กอมปะ อยู่ในความดูแลของวัดตาวัง สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 16 โดยเมรัค ลามะ ลอเดร กยัตโซ (Merak Lama Lodre Gyatso) ให้น้องสาวที่เป็นภิกษุณี เพราะวินัยสงฆ์ห้ามภิกษุณีอยู่ที่วัดตาวัง ตอนแรกท่านเมรัค ลามะฯ สร้างเป็นแค่ถ้ำเล็กๆ ให้น้องสาวทำสมาธิ ต่อมาก็ขยายกลายเป็นวัด มีอารามหลักเป็นห้องสวดมนต์กลางที่ตกแต่งแบบทิเบตอย่างขรึมขลัง ประดับผ้าทังก้าโบราณ (ผ้าพระบฏ) รูปพระแม่ตารา ธรรมบาลปัลเดน ลาโม พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระศรีอริยเมตไตรย พระวัชรปาณี พระไภษัชยคุรุ ท่านคุรุรินโปเช รวมถึงรูปดาไลลามะองค์ที่ 14 ให้สักการะ ฯลฯ

(13) วัด Urgelling Gompa เมืองตาวัง

ชาวทิเบตที่นับถือศาสนาพุทธนิกายวัชรยาน เชื่อในเรื่อง การอวตารกลับชาติมาเกิด (Reincarnation) ของดาไลลามะ (คนทิเบตเรียกว่า เชนเรซิก) ตามคติที่ว่าพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทรงกลับชาติมาเกิดในร่างดาไลลามะ เพื่อช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากวัฏสงสาร ถึงปัจจุบันนี้มีดาไลลามาะรวม 14 องค์ สืบทอดตำแหน่งโดยกระบวนการค้นหาเด็กชายผู้มีบุญญาธิการและคุณลักษณะครบ เมื่อดาไลลามะองค์เก่าสิ้นพระชนม์ กระบวนการสรรหาจึงดำเนินไปทั่วทิเบต และที่ วัดอูร์เกลลิง กอมปะ” (Urgelling Gompa) เมืองตาวังนี้เอง ดาไลลามะองค์ที่ 6 ได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.​1683

ชังยัง กยัตโช (Tsangyang Gyatso) คือพระนามของดาไลลามะองค์ที่ 6 ผู้ครองตำแหน่งอยู่ไม่นานนัก ในราวปี ค.ศ. 1706 เพราะข่าวการสิ้นพระชนม์ของดาไลลามะองค์ที่ 5 ถูกปกปิดไว้นานถึง 9 ปี กว่าจะพบตัวเด็กชายผู้สืบทอดตำแหน่ง เขาก็มีอายุถึง 13 ขวบแล้ว ทำให้การอบรมบ่มนิสัยและปลูกฝังประเพณีอันดีงามไม่เข้มงวด เมื่อขึ้นรับตำแหน่งพระองค์ก็ยังใช้ชีวิตสนุกสนาน ฟังดนตรี แต่งกลอนรัก ดื่มสุรา สั่งให้มีการฟ้อนรำ แถมยังแอบออกไปเที่ยวพบหญิงสาวในยามค่ำคืน กระทั่งจักรพรรดิจีนและมองโกลทนดูไม่ได้ ส่งทหารไปลอบสังหารดาไลลามะองค์ที่ 6 ในที่สุด

วัดอูร์เกลลิง กอมปะ สถานที่ประสูติซึ่งดาไลลามะองค์ที่ 6 เคยประทับอยู่กับมารดา ปัจจุบันเรายังสัมผัสได้ถึงเรื่องราวเหล่านั้น ตัวอารามสีขาวเล็กๆ สงบสงัด มีธงมนต์ วงล้อมนตรา เจดีย์ชอร์เตน อ่างน้ำมนต์ ภาพของดาไลลามะครบทุกพระองค์ และรอยเท้าของดาไลลามะองค์ที่ 6 ฯลฯ สร้างบรรยากาศขรึมขลังชวนให้นึกถึงภาพในศตวรรษที่ 15 เมื่อวัดนี้สร้างขึ้นโดย ลามะ อูร์เกน ซังโป (Urgen Sangpo) ท่านลามะได้ไม้เท้าปักลงบริเวณผืนดินใกล้ทางเข้าวัด ซึ่งความอัศจรรย์ใดไม่ทราบได้ ไม้เท้าได้เจริญงอกงามกลายเป็นต้นโอ๊กยักษ์ดังที่เห็นในปัจจุบัน

วัดอูร์เกลลิง กอมปะ อยู่ห่างจากตัวเมืองตาวังออกไปเพียง 3 กิโลเมตร รถยนต์เข้าถึงได้สะดวกมาก

(14) Giant Buddha Statute เมืองตาวังหากใครเคยไปเที่ยวประเทศภูฏานมาแล้ว ก็คงเคยเห็นพระพุทธรูปมหึมาบนยอดเขาชื่อ Buddha Dordenma Statue ส่วนที่เมืองตาวัง รัฐอรุณาจัลประเทศ ก็มีคล้ายกัน คือ พระใหญ่ตาวัง หรือ Giant Buddha Statute

พระใหญ่ตาวัง เป็นพระพุทธรูปหล่อทองสำริดขนาดใหญ่ พุทธลักษณะแบบทิเบตในท่านั่งขัดสมาธิ พระพักตร์อิ่มเอิบเมตตา องค์พระรวมส่วนฐานสองชั้นสูงเกือบ 10 เมตร ประดับลวดลายมงคลแปดประการสไตล์ทิเบต และมีรูปสิงโตหิมะเทินฐานองค์พระไว้ นอกจากนี้ยังมีเจดีย์ชอร์เตนสีทองเล็กๆ ล้อมรอบนับสิบองค์ ด้านหน้ามีบันไดขึ้นสองทาง สู่ภายในฐานที่ประดิษฐานพระประธาน เป็นรูปปั้นท่านคุรุรินโปเช (คุรุปัทมะสัมภวะ) ผู้เดินทางจากอินเดียเข้าไปเผยแผ่ศาสนาพุทธนิกายวัชรยานในทิเบต เมื่อศตวรรษที่ 8-9 รวมถึงรูปดาไลลามะองค์ที่ 14 ประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ธรรมมาสน์ รูปธรรมบาล พระแม่ตารา และมิลาเรปะ (Milarepa) โยคีคนสำคัญของทิเบตในครั้งอดีตกาล

พระใหญ่ตาวัง ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง องค์พระหันพระพักตร์ลงไปสู่เมืองตาวังในหุบเขาเบื้องล่าง เหมือนคอยให้พร ถือเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวมุมสูงอันน่าตื่นตา บนเส้นทางระหว่างตัวเมืองขึ้นไปสู่วัดตาวัง

(15) Sela Pass & Sela Lake

บนเส้นทางจากเมืองบอมดิลา (Bomdila) ไปเมืองตาวัง (Tawang) ทางตะวันตกสุดของรัฐอรุณาจัลประเทศ ถนนจะคดโค้งไต่ความสูงขึ้นไปถึงจุดสูงสุด 4,170 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล (13,700 ฟุต) ที่ เซลา พาส” (Sela Pass) คำว่า “Pass” หมายถึง ช่องเขาสำคัญ สำหรับใช้สัญจรบนภูเขาสูง บนความสูงระดับนี้อากาศเบาบาง หนาวเย็น ชื้นแฉะ มีม่านหมอก ละอองไอฝน ป่าสน และป่าดอกกุหลาบพันปีหลากสีในฤดูร้อน ส่วนฤดูหนาวก็ขาวโพลนด้วยหิมะหนา นับเป็นจุดแวะถ่ายรูปและพักของนักเดินทาง ดื่มชาร้อนๆ กินซุปบะหมี่เติมพลัง แล้วนั่งรถลัดเลาะเหวน่าหวาดเสียวต่อไป เซลา พาส อยู่ในตำบลคาเมงตะวันตก (West Kameng District) ห่างจากอนุสรณ์สงคราม Jaswant Garh War Memorial 37 กิโลเมตร

เซลา พาส เป็นหนึ่งในถนนสูงที่สุดของโลก สาย NH13 (Trans Arunachal Highway) จากเมือง Bomdila-Dirang-Tawang สุดที่บุมลา พาส (Bumla Pass สูง 4,600 เมตร) ตรงชายแดนอินเดีย (ตาวัง)-จีน ชาวทิเบตเชื่อว่ารอบๆ เซลา พาส มีทะเลสาบน้อยใหญ่กระจายอยู่ 101 แห่ง โดยมี ทะเลสาบเซลา” (Sela Lake) ที่รับน้ำมาจากยอดเขาหิมะละลายรอบๆ เป็นทะเลสาบใหญ่สุด น้ำในทะเลสาบจะจับตัวเป็นแผ่นน้ำแข็งหนาช่วงฤดูหนาว แต่จะกลายเป็นผืนน้ำสีฟ้าสดหรือสีเทอร์ควอยต์ในฤดูร้อน แล้วไหลลงสู่แม่น้ำนูรานัง (Nuranang River) และแม่น้ำตาวัง (Tawang River) หล่อเลี้ยงสรรพชีวิตนับล้าน (16) Jaswant Garh War Memorial

อรุสรณ์สงครามจัสวัน การ์ ตั้งอยู่ก่อนถึงเซลา พาส (Sela Pass) ประมาณ 37 กิโลเมตร บนภูเขาสูงชัยภูมิดีเลิศ ซึ่งเคยมีเรื่องราวสมรภูมิเดือดระหว่างอินเดีย-จีน เรียกว่า ยุทธภูมินูรานัง” (Battle of Nuranang) ในระหว่างสงคราม China-Indian War ช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ค.ศ. 1962

ที่นี่มีวีกรรมหาญกล้าของทหารอินเดีย หน่วยแม่นปืนที่ 4 กองพัน 4 เมื่อกองทัพจีนรุกรานมาถึง พลแม่นปืน 3 นาย นำโดย จัสวัน ซิงห์ ราวัต (Jaswant Singh Rawat) ร่วมกับ ทริล็อค ซิงห์ เนกี (Trilok Singh Negi) และโกปัล ซิงห์ กูเซน (Gopal Singh Gusain) อาสาไปต้านทัพจีน ทว่าทหารจีนสังเกตเห็นจุดที่ทั้งสามซุ่มอยู่ จึงระดมยิงปืนกลและขว้างระเบิดใส่ จนทริล็อค ซิงห์ เนกี และโกปัล ซิงห์ กูเซน สิ้นชีพ ส่วนจัสวัน ซิงห์ บาดเจ็บ ผลคือทหารจีนตาย 300 อินเดียตาย 2 บาดเจ็บ 8 นาย

จัสวัน ซิงห์ ที่บาดเจ็บไม่ได้ถอยร่น แต่ยังสู้กับทหารจีนต่อไป ด้วยความช่วยเหลือของชาวมอนปะ (Monpa) ท้องถิ่น 2 คน คือ เซลา (Sela) และนูรา (Nura หรือ Noora) น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ในที่สุดเซลาก็ถูกฆ่า และนูราถูกจับ จัสวัน ซิงห์ ต้านทัพจีนอยู่นานถึง 72 ชั่วโมง กระทั่งทหารจีนสืบรู้ว่าจริงๆ แล้วที่รุกคืบต่อไปไม่ได้ เพราะพลแม่นปืนอินเดียแค่คนเดียว! จึงระดมยิงใส่จัสวัน ซิงห์ อย่างหนักจนสิ้นชีพ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเขาตายอย่างไร บ้างว่าเขาปลิดชีพตัวเองด้วยกระสุนนัดสุดท้าย บ้างก็ว่าเขาถูกจีนจับเป็นเชลยจนตาย อณุสรณ์สงครามจัสวัน การ์ รวมถึงชื่อช่องเขาเซลา พาส (Sela Pass) ทะเลสาบเซลา (Sela Lake) และน้ำตกนูรานัง (Nuranang Falls) จึงตั้งชื่อขึ้นเพื่อรำลึกถึงวีกรรมนี้

อรุสรณ์สงครามจัสวัน การ์ ตั้งอยู่ท่ามกลางบังเกอร์หลุมสนามเพลาะที่เคยใช้สู้รบจริง มีรูปเคารพของจัสวัน ซิงห์ รวมถึงพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ให้ข้อมูลเรื่องราวประวัติวีรกรรมหาญกล้า ถือเป็นจุดหนึ่งที่ห้ามพลาดชมเลยล่ะ

(17) Nuranang Falls เขตตาวัง

40 กิโลเมตร จากเมืองตาวัง (Tawang) หรือ 40 กิโลเมตรจากเซลา พาส (Sela Pass) คือที่ตั้งของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันน่าตื่นตาตื่นใจ และมีชื่อเสียงมากของเขตตาวัง น้ำตกนูรานัง” (Nuranang Falls) น้ำตกใหญ่สูงกว่า 100 เมตร ทิ้งตัวลงมาจากหน้าผาหินสีดำตั้งชัน โดยน้ำตกช่วงบนไหลลงจากขอบผาสูง ลงไปกระแทกโขดหินบริเวณกลางสายน้ำตก แตกเป็นละอองไอฟุ้งในอากาศ แล้วสายน้ำสีขาวส่วนที่เหลือก็โถมลงสู่แอ่งเบื้องล่าง กระสานซ่านเซ็นสร้างความชุ่มฉ่ำไปทั่วบริเวณ บวกกับภาพผืนป่าเขียวขจีและทิวเขาโดยรอบ ยิ่งเสริมเสน่ห์ให้น้ำตกนูรานังงดงามน่าประทับใจสุดๆ

น้ำตกนูรานัง อยู่ห่างเพียง 2 กิโลเมตร จากตัวเมืองจัง (Jang Town) ชุมชนสำคัญบนเส้นทางไต่เขาสูงสาย NH13 (Trans Arunachal Highway) น้ำตกนี้มีชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นอีก 2 ชื่อ ถ้าได้ยินก็ไม่ต้องงง คือ น้ำตกจัง” (Jang Falls) และ น้ำตกบองบอง” (Bong Bong Falls) น้ำที่เราเห็นหลากไหลมาจากลาดไหล่เขาด้านทิศเหนือของเซลา พาส (Sela Pass) กลายเป็นน้ำตกนูรานัง แล้วไหลต่อไปรวมกับแม่น้ำตาวังในที่สุด โดยที่ส่วนล่างของน้ำตกมีกังหันปั่นกระแสไฟฟ้าพลังน้ำ ส่งไฟฟ้าไปเลี้ยงเมืองจังและพื้นที่ใกล้เคียงด้วย

ชื่อ น้ำตกนูรานัง ตั้งขึ้นตามชื่อของชาวมอนปะ (Monpa) ผู้กล้าหาญ ที่สร้างวรีกรรมช่วยเหลือ จัสวัน ซิงห์ ราวัต (Jaswant Singh Rawat) พลแม่นปืน ต่อสู้กับทหารจีนที่รุกรานมาถึงเซลา พาส (Sela Pass) ในระหว่างสงคราม China-Indian War ปี ค.ศ.​1962 ซึ่งนูรา (Nura หรือ Noora) ชาวมอนปะถูกทหารจีนจับกุมตัว และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

(18) Sessa Waterfall

ระห่างการเดินทางด้วยรถยนต์ฝ่าทะเลภูเขาสูงสลับซับซ้อนและคดเคี้ยวไม่รู้จบ จากเมืองบาลิพาร่า (Balipara) ไปเมืองบอมดิลา (Bomdila) และเมืองดิรัง (Dirang) ควรหาเวลาแวะพักชื่นชมธรรมชาติริมทางที่ น้ำตกเซสซา” (Sessa Waterfall) น้ำตกเล็กๆ ทิ้งตัวลงจากหน้าผาหินตั้งชันบริเวณริมถนน โดยมีแมกไม้ร่มรื่นแผ่กิ่งใบคล้ายสวนธรรมชาติ บริเวณนี้มีความสูงเกือบ 3,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล อากาศจึงเย็นชื้นตลอดปี เต็มไปด้วยเมฆหมอก พงไพรรกชัฏจนมีเขตอนุรักษ์ธรรมชาติหลายแห่ง และก่อกำเนิดสายน้ำบริสุทธิ์ไหลเย็นให้ชื่นชม ดังเช่นน้ำตกเซสซา การเที่ยวชมต้องจอดรถหลบไว้ริมถนนให้ดี เพราะเป็นช่วงถนนสองเลนสวนกันบนภูเขา นับเป็นจุดแวะพักชมธรรมชาติแบบสั้นๆ ที่ไม่ควรพลาด(19) Wild Mahseer Eastern Himalayan Botanic Ark เมือง Balipara รัฐอัสสัม

“Wild Masheer” คือชื่อเกมส์แข่งตกปลาอันน่าตื่นเต้นที่สุดรายการหนึ่ง จัดขึ้นในอดีตเมื่อปี ค.ศ. 1864 โดยบริษัทชา British Assam Tea Company เพื่อจับ “ปลาเวียนยักษ์หิมาลัย” (Himalayan Giant Masheer Fish : ตัวโตเต็มที่ยาวได้ถึง 2.4 เมตร) ในแม่น้ำโบโรลี (Bhoroli River หรือ Kameng River) หนึ่งในสาขาของแม่น้ำพรหมบุตรของรัฐอัสสัม กระทั่งปัจจุบัน ชื่อ Wild Masheer ได้กลายมาเป็น “Wild Mahseer The Eastern Himalaya Botanic Ark” หรือ สวนพฤกษชาติหิมาลัยตะวันออก ไวด์ มาเชียร์ซึ่งมีที่พักหรู Luxury Nature Homestay และกิจกรรม Eco-Tourism ศึกษาธรรมชาติหลากรูปแบบ

ภายในพื้นที่เกือบ 60 ไร่ ครึ้มเขียวด้วยป่าไม้ไพรพฤกษ์แน่นทึบ ทั้งป่าดิบชื้น ป่าเฟิร์น และป่าไผ่ พร้อมบังกะโลที่พักหรูโคโลเนียลยุควิคตอเรีย และห้องอาหาร คนที่มาพักส่วนใหญ่เป็นกลุ่มรักธรรมชาติ เดินป่า ชอบผจญภัย และดูนก เพราะที่นี่มีนกป่าสวยงามอยู่มากกว่า 50-60 ชนิด กิจกรรมศึกษาธรรมชาติมีทั้งเดิน Nature Trail ชมพันธุ์พืชต่างๆ อาทิ ต้นไผ่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (Dendrocalamus giganteus) ซึ่งสูงได้ถึง 42 เมตร จนเราต้องมองคอตั้งบ่ายังมีกิจกรรมขี่ช้างหรือนั่งรถจี๊ปซาฟารี ล่องเรือดูปลาโลมาน้ำจืด ดูผีเสื้อ ล่องแก่ง ปั่นจักรยาน ตีกอล์ฟ เล่นเทนนิส เรียนทำอาหารท้องถิ่น ฯลฯ ยิ่งกว่านั้นยังมี ไร่ชากว้างสุดลูกหูลูกตา ให้เดินเที่ยวชมการปลูกชาแบบอัสสัมที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เราจะได้ชิมชาดำ (Black Tea) ที่เป็นซิกเนเจอร์ของรัฐอัสสัม สัมผัสไร่ชา Organic Tea อายุไม่น้อยกว่า 150 ปีแล้วที่นี่ยังมีบังกะโลเก่าแก่ที่สุดในรัฐอัสสัมให้ชมด้วย เป็นบังกะโลยุคอาณานิคมอังกฤษ อายุกว่า 160 ปี สร้างขึ้นโดยบริษัทผลิตและส่งออกชา British Assam Tea Company ภายในมี 3 ห้องนอน พร้อมห้องรับแขกและห้องอาหารอย่างหรูหราโอ่โถง

(20) Damu’s Heritage Dine เมือง Shergaon

รัฐอรุณาจัลประเทศมีชนพื้นเมืองอยู่มากถึง 26 เผ่าหลัก และอีกนับร้อยเผ่าย่อย การมีโอกาสสัมผัสพวกเขาในบางส่วนเสี้ยว อาจทำให้เราเข้าใจวิถีของพวกเขามากขึ้น ลองเดินทางไปเที่ยว เมืองเชอร์กอน (Sherhaon) ตำบลคาเมงตะวันตก (West Kameng District) นั่งรถชมธรรมชาติขุนเขาเข้าสู่หมู่บ้าน ชาวมอนปะ (Monpa Tribe) ท่ามกลางทุ่งหญ้า ป่าไม้ และลำธาร ของหุบเขาชุก (Chug Valley) อันสงบงามด้วยจังหวะชีวิตแบบชนบทสุดเรียบง่าย

วันนี้เราจะมากินอาหารเที่ยงฟิวชั่นกันในหมู่บ้านชาวมอนปะแท้ๆ อดีตชาวมอนปะอพยพจากทิเบตเข้ามาตั้งรกรากที่นี่ กระทั่งโอกาสเปิด นักท่องเที่ยวเริ่มต้องการสัมผัสลึกซึ้งถึงความเป็นชุมชนท้องถิ่น หญิง 8 คนในหมู่บ้านนี้จึงรวมตัวกันจัดโปรแกรมท่องเที่ยวเก๋ไก๋ “Damu’s Heritage Dine” จัดเซ็ทอาหารกลางวันในแบบที่คนเมืองจะไม่เคยชิมแน่นอน คำว่า ดามู” (Damu) ในภาษาดูฮุมบิ (Duhumbi Language) แปลว่า ลูกสาว พวกเธอจึงเป็นเสมือนตัวแทนของชุมชนนั่นเอง

เราเดินลัดเลาะผ่านหมู่บ้านเข้าไปไม่ไกล ก็ถึงบ้านหลังหนึ่งเปิดประตูต้อนรับ หลังบ้านมีระเบียงกว้างที่มองออกไปเห็นทุ่งนาและทิวเขาทอดยาว โต๊ะยาวพร้อมม้านั่งไม่หรูหราทว่าสวยงามชาวบ้านเริ่มทยอยเสิร์ฟอาหารกว่า 12 เมนู ให้เราชิมจนอิ่มแปล้ โดยมีการจัดจานอย่างสวยงาม อาทิ น้ำมันต้นรักอุ่นๆ เสิร์ฟมาบนเตาถ่านร้อนๆ ช่วยบำรุงร่างกาย, ก๋วยเตี๋ยวที่ทำจากเส้นบักวีต, สลัดผักออร์แกนิคและผลไม้ตามฤดูกาล, โมโม่ (เกี๊ยวทิเบต) ไส้ต่างๆ, ซุป, ทาโก้ไก่, ข้าวกล้อง, แกงไก่ต้มขิง, ผัดผักกูด ฯลฯ ปิดท้ายด้วยเหล้าหมักดีกรีสูงแบบชาวบ้าน นับเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ ว้าวมาก!

— SPECIAL THANKS TO ALL OF MY SPONSORS —

ขอบคุณ บริษัท Nikon Sales Thailand สนับสนุนกล้อง Nikon Z8 ระดับ Professional สำหรับ Photo Trip ครั้งนี้

— For more informations about Arunachal Pradesh, India Trip, please contact —

ขอบคุณเป็นพิเศษ : บริษัท RINNAYA TOUR (ริณนาญาทัวร์)

Tel. 092-895-6245 / Line : @rinnayatour

Email : sales.rinnaya@gmail.com

Website : http://www.RinnayaTour.com/

20 ที่เที่ยวห้ามพลาด อรุณาจัล-อัสสัม (Episode 1)

(1) Golden Pagoda เมืองน้ำทราย

    เจดีย์ทองคำ” (Golden Pagoda) เมืองน้ำทราย (Namsai) หรือ กองมูคำ” (Kongmu Kham) คือแลนด์มาร์คสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในรัฐอรุณาจัลประเทศของอินเดีย เป็นเจดีย์สีทองอร่ามศิลปะพม่า ศูนย์รวมศรัทธา ชาวไทคำตี้ (Tai Khamti) ในเมืองน้ำทราย เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ที่สุดในภาคอีสานของอินเดีย มีโรงเรียนสอนพระไตรปิฎกและเขตสังฆาวาสในพื้นที่กว่า 125 ไร่ โดยมีเจดีย์ทองคำเป็นศูนย์กลาง องค์เจดีย์ประธานสูงเกือบ 20 เมตร มีเจดีย์รายอีก 12 องค์ เป็นเจดีย์พม่าทรงปราสาทที่สามารถเข้าไปในฐาน เพื่อสักการะพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ภายในความงามนี้คงจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มี ท่านเจ้านา เมน (Chowna Mein) Deputy Chief Minister แห่งรัฐอรุณาจัลประเทศ เป็นผู้สนับสนุนเงินส่วนตัวกว่า 30 ล้านรูปี เมื่อ พ.ศ. ​2553 เพื่อสร้างเจดีย์อุทิศให้เจ้ากือนาซึ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ จนทุกวันนี้กลายเป็นศูนย์รวมใจของผู้คนไปแล้ว

(2) งานมหาซังเกนไทคำตี้ เมืองน้ำทรายเทศกาลสงกรานต์ ของ “ชาวไทคำตี้” (Tai Khamti) ที่อพยพจากพม่าตอนเหนือเข้าสู่รัฐอรุณาจัลประเทศของอินเดีย เมื่อพุทธศตวรรษที่ 22-23 เป็นงานฉลองขึ้นปีใหม่ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-16 เมษายนทุกปี เรียกในภาษาถิ่นว่า ซังเกน” (Sangken) ทว่าในปี 2025 ชาวไทคำตี้เมืองน้ำทราย (Namsai) ได้จัดยิ่งใหญ่จนกลายเป็น เทศกาลมหาซังเกนนานาชาติ” (Maha Sangken International Festival) ที่วัดเจดีย์ทองคำ มีการทำบุญเลี้ยงพระ ฟังเทศน์ ขบวนแห่สีสันตระการตาของนางรำนับร้อย การสรงน้ำพระ สรงน้ำพระธาตุ รดน้ำต้นโพธิ์ และไฮไลท์คือเล่นสาดน้ำกันชุ่มฉ่ำ โดยใส่ชุดพื้นเมือง และใช้น้ำสะอาดสาดรดกันสนุกสนาน ในช่วงเย็นพากันลอยกระทงประทีป และลอยโคมเป็นพุทธบูชาด้วย สวยสุดๆ

(3) ไร่ชา The Postcard in the Durrung Tea Estate รัฐอัสสัมการไปเที่ยวรัฐอรุณาจัลประเทศและอัสสัม คงจะสมบูรณ์ไม่ได้ หากเราไม่ได้แวะสัมผัสไร่ชาที่มีชื่อเสียงก้องโลก บนพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำพรหมบุตรอากาศร้อนชื้น ตลอดสองข้างทางจะเห็นไร่ชาเขียวขจีที่มี ต้นนีม (Neem Tree : ต้นสะเดา) กระจายอยู่ทั่วไปให้ร่มเงา ไร่ชานับแสนๆ ไร่แถบนี้จึงมีภูมิทัศน์ต่างจากไร่ชาบนภูเขาสูงอากาศเย็นแถบดาร์จิลิ่ง (Darjeeling) หนึ่งในไร่ชามีชื่อเสียงและเก่าแก่ที่สุดของรัฐอัสสัม อายุกว่า 150 ปี คือ ไร่ชาดูรรุง” (Durrung Tea Estate)ไร่ชาดูรรุง ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.​1875 โดยบริษัท บริติช อีส อินเดีย ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกชากว่า 2,500 ไร่ มีคนงานกว่า 1,000 คน โดยมีสวัสดิการให้อย่างดี ทั้งที่พัก การรักษาพยาบาล และการศึกษา ทั่วโลกรู้จัก ชาดำ” (Black Tea) ระดับพรีมเมียมของดูรรุง เพราะมีเอกลักษณ์รสชาติเข้มข้น สีเหลืองทองอำพัน นุ่มลื่น กลมกล่อม เป็นชาป่าพันธุ์อัสสัม (Camellia sinensis) ซึ่งได้รับรองมาตรฐาน TRUSTEA ของอินเดีย เขายังมีที่พักหรูสไตล์โคโลเนียลกลางไร่ชาให้เช็คอินชื่อ “The Postcard” ได้ชื่นชมไร่ชาเขียวชอุ่มกว้างสุดลูกหูลูกตา ดูการเก็บชา จิบชาพรีเมี่ยม และซื้อกลับบ้าน ทั้ง Assam CTC, Assam Orthodox, Himalayan Green, Pu-erh Tea ฯลฯ

(4) Aohali Village, เผ่า Idu

  “Zero Hunting Village” “หมู่บ้านนี้ไม่มีการล่าสัตว์เด็ดขาด คือปณิธานแน่วแน่ที่ หมู่บ้านเอาฮาลี (Aohali Village) ในตำบลเซียงตะวันออก (East Siang District) ของรัฐอรุณาจัลประเทศประกาศต่อชาวโลก ที่นี่คือบ้านป่าบนภูเขาสลับซับซ้อน อุดมด้วยพืชพรรณและสัตว์ป่า โดยมีชนเผ่าอีดู (Idu Tribe) 1 ใน 26 เผ่าของรัฐอรุณาจัลประเทศอาศัยอยู่มานับร้อยปี เมื่อป่าสมบูรณ์หดหายและสัตว์ป่าลดจำนวนลงจนเห็นชัด ชุมชนจึงร่วมตั้งปฏิญญาว่าจะเข้าสู่วิถีอนุรักษ์แทน โดยใช้การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและผจญภัยเป็นจุดขาย เอาฮาลีจึงมีชื่อเสียงในฐานะ หมู่บ้านแรกของรัฐอรุณาจัลประเทศที่หยุดล่าสัตว์ 100 เปอร์เซ็นต์ เอาฮาลี ช้เสน่ห์ดั้งเดิมของภาษา การแต่งกาย หัตถกรรม และดนตรีในแบบอีดู ดึงดูดผู้มาเยือน ชนเผ่าอีดูเป็น 1 ใน 4 เผ่าย่อยของชาวมิชมี่ (Mishmi) เรียกว่า อีดูมิชมี่ ซึ่งบรรพบุรุษอพยพมาจากทิเบต ความน่าสนใจแรกที่ดึงดูดสายตาได้ คือชุดที่พวกอีดูสวมใส่ มีหมวกแหลมสานด้วยไม้ไผ่และหวาย ชุดผ้าทอมือ สร้อยลูกปัดเขี้ยวสัตว์ ผ้าคลุมขนสัตว์ รวมถึงมีดดาบยาว ส่วนหญิงชาวอีดูก็เก่งมากเรื่องจักสานและทอผ้ากี่เอว หมู่บ้านเอาฮาลีอยู่บนเส้นทางระหว่างไปเมืองดิรัง (Dirang) โดยออกจากเมืองน้ำทราย (Namsai) ไม่ไกลก็ถึง

(5) Silluk Village, เผ่า Monpa

ไม่ไกลจากหมู่บ้านเอาฮาลี (Aohali Village) ถนนสองเลนคดโค้งผ่านไปตามป่าเขาลำเนาไพรเขียวครึ้ม เมื่อระดับความสูงเพิ่มขึ้น ไม่นานก็ถึง หมู่บ้านซิลลุค” (Silluk Village) ในตำบลเซียงตะวันออก (East Siang District) หมู่บ้านสะอาดที่สุดในรัฐอรุณาจัลประเทศ ซึ่งรัฐบาลท้องถิ่นให้การรับรอง แม้มองเผินๆ จะเป็นเพียงหมู่บ้านชนบท ที่บ้านสร้างด้วยไม้หลังคามุงจาก ทว่าสิ่งที่ทุกคนสัมผัสได้คือ ซิลลุคสะอาดมาก สิ่งต่างๆ ดูเป็นระเบียบ มีไม้ดอกไม้ใบหลากสีสวยงามประดับ คนซิลลุคเป็นชาวมอนปะ (Monpa Tribe) ที่บรรพบุรุษอพยพมาจากทิเบตเขตพื้นที่ต่ำ พวกเขามีนิสัยรักสะอาด หมู่บ้านแบ่งเป็น 6 หมู่ ส่งตัวแทนออกมาช่วยกันเก็บขยะทำความสะอาดหมู่บ้านทุกเช้า (ยกเว้นช่วงฤดูเกษตร) รวมถึงมีการทำ Big Cleaning หนึ่งวันทุกต้นเดือนด้วย เสียงตามสายทุกเช้าในหมู่บ้านดังย้ำเตือนเรื่องจิตสำนัก และการมีส่วนร่วมเรื่องความสะอาดสุขอนามัยในชุมชน ปัจจุบันมีการห้ามล่าสัตว์และจับปลา แยกขยะพลาสติก โดยถังขยะที่ใช้สานด้วยไม้ไผ่จากฝีมือผู้สูงอายุในหมู่บ้าน วิถีชีวิตของคนที่นี่จึงกลมกลืนกับป่าเขาลำเนาไพร เป็นต้นแบบให้ชุมชนอื่นได้ยอดเยี่ยม

(6) Dirang Monastery เมืองดิรัง

  ถนนสองเลนซิกแซกผ่านไปบนภูเขาน้อยใหญ่เหมือนไม่รู้จบ สาย NH15 ระยะทางกว่า 580 กิโลเมตร จากเมืองน้ำทราย (Namsai) ในที่สุดเราก็มาถึงเมืองบนภูเขาสูงกว่า 1,500 เมตร เมืองดิรัง” (Dirang) ที่ทอดตัวอยู่ทางด้านทิศใต้ของเทือกเขาหิมาลัย ทัศนียภาพเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนช่างน่าตื่นตา ดินแดนแถบนี้ในอดีตคือส่วนหนึ่งของอาณาจักรทิเบต ทว่าหลังจากถูกจีนรุกราน จึงผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของอินเดียเมื่อปี ค.ศ.​1959 ชาวทิเบตจำนวนมากจึงอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานจุดที่ห้ามพลาดคือ “วัดดิรัง” (Dirang Monastery) หรือภาษาทิเบตเรียกว่า “ทุบซัง ดาร์กเย ลิง” (Thupsung Dhargye Ling) ชื่อนี้ดาไลลาะมองค์ที่ 14 ประมุขศาสนาพุทธนิกายวัชรยานตั้งให้ แปลว่า “ดินแดนซึ่งพระวัจนะของพุทธองค์เฟื่องฟู” วัดตั้งอยู่บนเชิงเขามองลงไปเห็นหุบเขาดิรังทอดตัวอยู่เบื้องหน้า อารามไล่จากชั้นล่างผ่านบันไดขึ้นสู่ชั้นบนสุดอันเป็นที่ตั้งอารามหลัก ภายในมีห้องสวดมนต์ใหญ่สไตล์ทิเบต มีพระประธานเป็นพระศรีอริยเมไตรย และคุรุรินโปเช (คุรุปัทมสัมภวะ) วัชราจารจากอินเดียผู้เข้าสู่ทิเบตเมื่อศตวรรษที่ 8-9 เผยแผ่ศาสนาพุทธนิกายวัชรยานจนทิเบตเปลี่ยนจากนับถือจิตวิญญาณมาเป็นพุทธ ในห้องโถงยังมีบัลลังก์ธรรมาสน์ที่มีรูปดาไลลามะองค์ที่ 14 ขนาดเท่าองค์จริงประดิษฐานอยู่ด้วย

(7) Dirang Dzong, เผ่า Monpa เมืองดิรัง

 สำหรับนักท่องเที่ยว ในเมืองดิรังมีจุดที่น่าสนใจให้ชมมากมาย หนึ่งในนั้นคือแหล่งประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต คละเคล้าวัฒนธรรมชาวมอนปะ (Monpa Tribe) ซึ่งอพยพจากเขตที่ต่ำในทิเบตเข้าสู่อินเดียเมื่อครั้งอดีต นั่นคือ ดิรังซอง” (Dirang Dzong) เรียกง่ายๆ ว่า ป้อมดิรัง ก็ได้ เพราะเป็นป้อมโบราณสมัยศตวรรษที่ 9 สร้างอยู่บนภูเขาสูง มีรั้วรอบขอบชิด เคยเป็นศูนย์กลางบริหารราชการท้องถิ่นและชุมชนที่มีบ้านสไตล์ทิเบตอยู่นับร้อยหลัง การสร้างป้อมดิรังด้วยหินมีรั้วแน่นหนา ก็เพราะในอดีตยังมีการรุกรานจากชนชาติอื่นอยู่เนืองๆ นั่นเอง ทั้งนี้ชาวมอนปะแบ่งได้เป็น 6 เผ่าย่อย (ตามเขตที่อาศัย) คือ Tawang Monpa, Dirang Monpa, Lish Monpa, Bhut Monpa, Kalaktang Monpa และ Panchen Monpa   ดิรังซอง ตั้งอยู่บนเส้นทาง Bomdila-Dirang-Tawang โดยอยู่ถัดออกมาจากตัวเมืองเล็กน้อย จอดรถไว้ริมถนน แล้วเดินขึ้นบันไดไปตามตรอกแคบๆ ลอดผ่านซุ้มประตูโบราณ เข้าสู่ชุมชนมอนปะที่พาเราย้อนกลับสู่ศตวรรษที่ 9 ในทุกย่างก้าวที่เดินผ่าน ทางแคบๆ คดเคี้ยวราวเขาวงกตลัดเลาะเข้าไปในหมู่บ้าน เห็นสถาปัตยกรรมเรือนอาศัยแบบทิเบต ที่ใช้หินและไม้สร้างผสมผสาน มีวงล้อมนต์ (Prayer Wheel) บ่งบอกถึงศรัทธาในศาสนาพุทธนิกายวัชรยาน รวมถึงรอยยิ้มของผู้คนที่มีให้ตลอด

(8) Dirang Market เมืองดิรังเปลี่ยนบรรยากาศจากเที่ยวชมวัดสไตล์ทิเบต ป้อมโบราณ และหมู่บ้านชนพื้นเมือง มาเป็นเดินเล่นช้อปปิ้งใน ตลาดดิรัง” (Dirang Market หรือ Dirang Bazaar) กันบ้าง ตลาดนี้ตั้งอยู่ใจกลางย่านดาวน์ทาวน์ของดิรัง มีถนนผ่านกลางย่านธุรกิจ และมีอาคารร้านรวงทอดยาวไปสองฟากฝั่งถนน รวมถึงเลี้ยวเข้าไปตามตรอกซอกซอย ก็ดูคึกคักคับคั่งจอแจ เต็มไปด้วยภาพการซื้อขายจับจ่ายและผู้คน มีทั้งร้านอาหารท้องถิ่น ร้านขายเสื้อผ้าพื้นเมือง กระเป๋า รองเท้า พรม เครื่องสำอาง ยาสมุนไพรต่างๆ มีร้านแลกเงิน ร้านขายข้าวของจิปาถะ รวมถึงพืชผักผลไม้สด เนื้อสัตว์ ขนม ชีสนมจามรี ฯลฯ เปิดกั้นตั้งแต่เช้าตรู่จนดึกดื่น ใครขาดเหลืออะไรระหว่างเดินทางท่องเที่ยว ก็แวะซื้อกันที่นี่ได้นะ

(9) Dirang Hot Spring เมืองดิรังนั่งรถยนต์ชิลๆ ออกจากเมืองดิรังไปแค่ 10 กิโลเมตร ก็ถึง บ่อน้ำพุร้อนดิรัง” (Dirang Hot Spring) ที่คนท้องถิ่นชาวมอนปะและทิเบตใช้เป็นสถานที่พักผ่อนเชิงสุขภาพมาเนิ่นนาน เป็นบ่อน้ำพุร้อนเล็กๆ 2 บ่อ ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ริมฝั่งแม่น้ำดิรัง บริหารจัดการโดยชุมชนชาวมอนปะท้องถิ่น บรรยากาศเงียบสงบ ร่มรื่นเป็นธรรมชาติ มองออกไปเห็นภูเขา ป่าไม้ และแม่น้ำอยู่เบื้องล่าง อุณหภูมิน้ำไม่ร้อนมาก แช่สบายตัวพอได้ผ่อนคลาย น้ำที่นี่อุดมด้วยแร่ซัลเฟอร์ ลงอาบแช่แล้วช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย เลือดลมดี ช่วยรักษาโรคผิวหนังและอาการไขข้อบางชนิดได้ เหมือนสปาธรรมชาติที่น่าจะแวะไปทดลองดู

บ่อน้ำพุร้อนดิรัง เปิดให้ใช้บริการฟรี ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นถึงเย็น ช่วงเวลาอากาศดีสุดคือเดือนตุลาคม-เมษายน และที่นี่ไม่มีห้องเปลี่ยนชุดให้ ต้องเตรียมผ้าเช็ดตัวกับชุดไปเปลี่ยนเองนะ

(10) Tippi Orchid Research Centre

รัฐอรุณาจัลประเทศมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์และกว้างขวางที่สุดในอินเดีย จึงมีกล้วยไม้ป่าอยู่มากถึง 678 ชนิด โดย 32 ชนิดเป็นพันธุ์เฉพาะถิ่น (Endemic Species) พบเฉพาะที่นี่เท่านั้น หากใครสนใจลองไปเที่ยวที่ ศูนย์วิจัยกล้วยไม้ทิปปิ” (Tippi Orchid Research Centre) หมู่บ้านทิปปิ ตำบลคาเมงตะวันตก (West Kameng District) ห่างจากเมืองเตซปูร์ (Tezpur) ของรัฐอัสสัม เพียง 65 กิโลเมตรเท่านั้น ศูนย์วิจัยกล้วยไม้ทิปปิ ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขารกชัฏสลับซับซ้อน เป็นป่าฝนเขตร้อนเขียวชอุ่มชุ่มชื้นตลอดปี พื้นที่ 62.5 ไร่ มีโรงเรือนปลูกเลี้ยงกล้วยไม้กว่า 1,000 ชนิด ทั้งพันธุ์ท้องถิ่น พันธุ์หายาก และพันธุ์ลูกผสมสวยงาม มีห้องแล็บศึกษาวิจัย สวนกลางแจ้ง แล็บผสมกล้วยไม้แบบ Tissue Culture และพิพิธภัณฑ์พืช (Herbarium) เก็บรวบรวมข้อมูลกล้วยไม้นับพันชนิดไว้อย่างเป็นระบบ ไฮไลท์อยู่ที่โรงเรือนเลี้ยงกล้วยไม้น้อยใหญ่หลากสี เบ่งบานอวดผู้มาเยือน ทั้งกล้วยไม้รองเท้านารี เพชรหึง เอื้องม้าวิ่ง กล้วยไม้สกุลหวาย แวนด้า แคทลียา ซิมบิเดียม ฯลฯ เห็นแล้วสดชื่นมาก นอกจากนี้ยังมี เส้นทาง Green Walk ให้ชมธรรมชาติในป่าเฟิร์นด้วย

— SPECIAL THANKS TO ALL OF MY SPONSORS —

ขอบคุณ บริษัท Nikon Sales Thailand สนับสนุนกล้อง Nikon Z8 ระดับ Professional สำหรับ Photo Trip ครั้งนี้

— For more informations about Arunachal Pradesh, India Trip, please contact —

ขอบคุณเป็นพิเศษ : บริษัท RINNAYA TOUR (ริณนาญาทัวร์)

Tel. 092-895-6245 / Line : @rinnayatour

Email : sales.rinnaya@gmail.com

Website : http://www.RinnayaTour.com/

มหาสงกรานต์ไทคำตี้ อัญมณีล้ำค่า ณ ปลายเทือกหิมาลัย

สงกรานต์ คือช่วงเวลาแห่งความสุข ความชุ่มฉ่ำ และการเปลี่ยนผ่านจากปีเก่าเข้าสู่ปีใหม่ของคนไทย ทว่าจริงๆ แล้ว สงกรานต์ คือวัฒนธรรมร่วมของผู้คนนับล้านในภูมิภาคอุษาคเนย์ ทั้งไทย พม่า ลาว กัมพูชา รวมถึงคนเผ่าไต (ไท) ในจีนตอนใต้ ไล่ไปจนถึงคนไทกลุ่มหนึ่งในแคว้นอัสสัมและอรุณาจัลประเทศของอินเดียด้วย พวกเขาคือ ไทคำตี้ (Tai Khamti) ญาติสนิทของพวกเรา ที่มีประเพณีฉลองสงกรานต์ยิ่งใหญ่ และนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทไม่ต่างจากเราเลย

            นี่คือเรื่องราวการเดินทางยาวไกลสู่ แคว้นอรุณาจัลประเทศ (Arunachal Pradesh) เลียบเชิงเขาหิมาลัยตะวันออก สัมผัสบรรยากาศไร่ชา ที่ราบลุ่มแม่น้ำพรหมบุตร และร่วมมีความสุขกับงาน มหาสงกรานต์ไทคำตี้ ที่เราอาจไม่เคยรู้

ท่ามกลางอากาศร้อนใกล้ 40 องศาเซลเซียส ของกลางเดือนเมษายน 2025 เราบินลัดฟ้าจากไทยไปยัง เมืองกัลกัตตา (Kolkata) ของอินเดีย แล้วเปลี่ยนเครื่องบินภายในประเทศสู่ เมืองดิบรูกาห์ (Dibrugarh) แคว้นอัสสัม จากนั้นต่อรถยนต์อีกไม่ไกลก็ถึง น้ำทราย (Namsai) เมืองสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในแคว้นอรุณาจัลประเทศของอินเดีย นี่คือจุดหมายที่เราแรมทางมาเพื่อพิสูจน์คำเล่าลือ ในความงามทางวัฒนธรรมที่ถูกแช่แข็งไว้ในกาลเวลา เพราะน้ำทรายคือบ้านของชนเผ่าไทคำตี้ ที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายคนไทย ผสมพม่า มอญ ไทยใหญ่ รวมถึงจีน เพราะเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 22-23 บรรพบุรุษของพวกเขาอพยพจากลุ่มแม่น้ำชินด์วิน (Chindwin River) อันเป็นสาขาหนึ่งของแม่น้ำอิราวดีทางเหนือของพม่า ผ่านช่องเขาปาดไก่เข้าสู่อินเดีย

ทรัพยากรธรรมชาติ สายน้ำ และดินอุดมของอรุณาจัลประเทศ เกื้อหนุนให้ชาวไทคำตี้อยู่กันอย่างสุขสงบด้วยวิถีเกษตร ไร่ชา และศาสนาพุทธ ก่อเกิดความรุ่งเรือง ณ เมืองน้ำทราย แห่งนี้ ทุกปีในช่วงกลางเดือนเมษายน เมื่อจักรราศีเปลี่ยนผ่านจากมีนเข้าสู่เมษ ชาวไทคำตี้ก็จะร่วมกันจัดงานเทศกาล “ซังเกน” (Sangken ในภาษาถิ่นไทคำตี้เรียกว่า “Peo Mon Sangken”) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ “สงกรานต์” นั่นเอง ถือเป็นเทศกาลแห่งความสุขล้น เพราะเป็นการขึ้นปีใหม่

มีการทำบุญเลี้ยงพระ ฟังเทศน์ฟังธรรม สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวญาติผู้ใหญ่ และเล่นสาดน้ำคลายร้อนกันอย่างสนุกสนานชื่นมื่น รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ เปื้อนอยู่บนใบหน้าของผู้คน ทว่าปี 2025 งานซังเกนไทคำตี้ดูจะจัดยิ่งใหญ่กว่าที่เคยมีมา กลายเป็น “เทศกาลมหาซังเกนนานาชาติ” (Maha Sangken International Festival) ที่มีสื่อมวลชนและแขกผู้มีเกียรติจากหลายประเทศเข้าร่วม โดยมี ท่านเจ้านา เมน (Chowna Mein) Deputy Chief Minister แห่งรัฐอรุณาจัลประเทศ ให้การสนับสนุนหลักผลักดันเต็มที่ จนงานมหาซังเกนไทคำตี้ครั้งนี้มีสีสันและมีชีวิตชีวากว่าครั้งไหนๆ

งานเทศกาลมหาซังเกนนานาชาติ 2025 ปีนี้ นอกจากจะจัดอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชาวไทคำตี้ให้คงอยู่ ผู้คนร่วมกันแต่งกายในชุดพื้นเมืองสวยงามทั้งหญิงชาย ออกมาร่วมฉลองและสาดน้ำสะอาดกันที่วัด ซึ่งเป็นเสมือนศูนย์กลางชุมชน เรายังได้เชิญสื่อมวลชนและแขกผู้มีเกียรติจากหลายประเทศเข้าร่วม อาทิ อิตาลี อเมริกา ไทย อินเดีย ฯลฯ เพื่อเผยแพร่งานเทศกาลนี้ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในระดับนานาชาติ อันจะเป็นผลดีต่อการท่องเที่ยว รวมถึงช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐอรุณาจัลประเทศด้วย ท่านเจ้านา เมน Deputy Chief Minister แห่งรัฐอรุณาจัลประเทศ กล่าว

การเชิญสื่อมวลชนและบริษัททัวร์จากนานาชาติเข้าร่วมชมงานมหาซังเกนในปีนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงประเพณีที่ดีงามและมีความสำคัญ สามารถสร้างความประทับใจและน่าจดจำได้ในระดับโลก นับเป็นความพยายามของเราที่จะประชาสัมพันธ์ให้เห็นถึงประเพณีที่มีความพิเศษ เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเรามีแผนจะทำการเผยแพร่ในแพลทฟอร์มที่หลากหลาย กว้างขวางขึ้นต่อไป”  Mr.Oken Tayen สมาชิกสภาที่ปรึกษาด้านการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวอินเดีย และเป็นหนึ่งในแกนนำจัดงานมหาซังเกนนานาชาติไทคำตี้ปีนี้ กล่าวเสริม งานมหาซังเกนนานาชาติไทคำตี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-16 เมษายน 2025 โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ “วัดเจดีย์ทองคำ” (Golden Pagoda) ซึ่งในภาษาถิ่นเรียกว่า “วัดกองมูคำ” (Kongmu Kham) ศาสนาสถานสำคัญ เพราะเป็นเจดีย์ในศาสนาพุทธที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภาคอีสานของอินเดีย นอกจากจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชื่อเสียงแล้ว ยังถือเป็นศูนย์รวมใจของชาวไทคำตี้ด้วย ใจกลางวัดคือที่ตั้งมหาเจดีย์สีทองอร่ามสร้างด้วยสถาปัตยกรรมพม่า องค์เจดีย์ประธานสูงเกือบ 20 เมตร ล้อมด้วยเจดีย์ราย 12 องค์ เป็นเจดีย์ทรงปราสาทซึ่งส่วนฐานสามารถเดินเข้าไปกราบสักการะพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ภายใน รอบเจดีย์ทองคำเป็นลานปูนและสนามหญ้ากว้าง มีต้นโพธิ์และแมกไม้ใหญ่ร่มรื่น ใกล้ๆ กันมีโบสถ์แบบไทยศิลปะรัตนโกสินทร์ ซึ่งผู้มีจิตศรัทธาชาวไทยสร้างไว้ เบื้องหน้ามีสระน้ำใหญ่ พร้อมรูปปั้นพญานาคแผ่แม่เบี้ยอยู่เบื้องหลังองค์พระพุทธเจ้าเพื่อคอยปกป้องวัดเจดีย์ทองคำ เป็นสถานที่ใช้จัดงานสำคัญๆ ของชุมชนไทคำตี้เมืองน้ำทราย รวมถึงงานมหาซังเกนด้วย

งานมหาซังเกนในวันแรกเริ่มขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะที่เมืองน้ำทรายสว่างเร็วมาก อรุณเบิกฟ้าตั้งแต่ตีห้า จาก Golden Pagoda Eco Resort ที่พักของเรา มีประตูเดินเข้าด้านหลังวัด สามารถเดินตรงไปยังองค์พระเจดีย์ทองคำได้เลยอย่างง่ายดาย ผู้คนหลายร้อยตื่นเช้ากว่าเรา ต่างมาตั้งแถวรออยู่ในชุดไทคำตี้ที่สวยงามมีเอกลักษณ์ชุดพื้นเมืองไทคำตี้ เล่นสงกรานต์กันด้วยชุดนี้ทำให้บรรยากาศยิ่งดูพิเศษขึ้นอีกหลายเท่า

ชุดพื้นเมืองชาวไทคำตี้ หญิงนุ่งซิ่นหลากสี โดยเฉพาะซิ่นพื้นสีดำมีลายทางเป็นเส้นยาวลงไปจรดตีนซิ่น (คล้ายซิ่นลายแตงโมของไททรงดำในไทย) ลวดลายเน้นพิเศษตรงตีนซิ่นด้วยลายดอกดาวและดอกไม้ทรงเรขาคณิตหลากสี ส่วนท่อนบนใส่เสื้อแขนยาวมีผ้าพาดบ่าเฉวียงไหล่ บางคนก็ใส่หมวกสีสด และบางคนสะพายย่ามสีฉูดฉาดบาดตา น่ารักมาก ผู้ชายจะแต่งกายคล้ายพม่าหรือไทยใหญ่ คือถ้าไม่สวมกางเกงขาก๊วยยาว ก็นิยมนุ่งผ้าโสร่ง เสื้อแขนสั้นหรือยาวก็ได้ และอาจโพกผ้ารอบหัวด้วยถ้าต้องการให้ดูหล่อเหลา หรือเป็นทางการมากๆ

ท่านเจ้าอาวาสวัดเจดีย์ทองคำ พร้อมด้วยพระภิกษุและเณรน้อยหลายสิบรูป พากันเดินแถวเข้าไปที่ศาลาการเปรียญ ทำพิธีสวดอัญเชิญพระพุทธรูปหยกขาวและพระพุทธรูปสำคัญจำนวนมาก เดินแห่ตรงไปยังเจดีย์กลางสนามหญ้าใกล้ๆ เจดีย์ทองคำ โดยมี เจ้านา เมน เป็นประธานเดินนำไปเป็นท่านแรก

เจ้านา เมน เป็นประธานอัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ไปไว้ให้ประชาชนได้สรงน้ำเสริมสิริมงคล ในช่วงเทศกาลมหาซังเกน
องค์พระพุทธรูปทั้งหมดได้ประดิษฐานอยู่ภายในฐานพระเจดีย์แล้วปิดประตู ให้ผู้มาร่วมฉลองสงกรานต์สรงน้ำผ่านรางพญานาคเพื่อความเป็นสิริมงคล แต่ละคนจะมีถังน้ำพลาสติกเล็กๆ ของตัวเอง ใส่น้ำสะอาดและดอกไม้กลิ่นหอม นำมาเทลงในรางพญานาค จุดธูปหอมอธิษฐาน เสร็จแล้วเดินไปที่สนามหญ้าด้านหลังพระเจดีย์ รดน้ำต้นโพธิ์ใหญ่ให้เกิดความร่มเย็นกับชีวิต จากนั้นใครจะสาดน้ำใครให้ชุ่มฉ่ำก็เริ่มได้เลยอย่างอิสระเสรี โดยทางวัดมีก๊อกน้ำและรถบรรทุกน้ำ ให้ประชาชนมาเติมน้ำกันได้ฟรีแบบไม่อั้นตลอดวันเจ้านา เมน Deputy Chief Minister แห่งรัฐอรุณาจัลประเทศ พร้อมด้วย ท่านทูตอิตาลีประจำอินเดีย Antonio Enrico Bartoli และแขกผู้มีเกียรติในงาน ร่วมสรงน้ำพระพุทธรูปผ่านรางน้ำตรงเข้าสู่ภายในพระเจดีย์ บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุขและเบิกบานการสรงน้ำพระพุทธรูปเพื่อความเป็นสิริมงคลในวันมหาซังเกน ตามคติความเชื่อของชาวไทคำตี้งานมหาซังเกนในช่วงเช้างดงามด้วยรูปแบบพิธีการ และจิตวิญญาณของเทศกาลสงกรานต์แท้จริงอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งกลิ่นอายความศรัทธาพุทธศาสนา ชุดพื้นเมืองมีอัตลักษณ์ น้ำสะอาดและดอกไม้ที่ใช้ประกอบพิธีกรรม ไม่มีเสียงเพลงอึกทึก ไม่มีชุดโป้เปลือย ไม่มีความรุนแรงในการสาดน้ำ ไม่มีวัตถุแปลกปลอมเจืออยู่ในน้ำที่นำมาสาดรดกัน น่าชื่นชมมากๆ หลังจากสรงน้ำพระพุทธรูปแล้ว ก็ได้เวลารถน้ำต้นโพธิ์เป็นพุทธบูชา รวมถึงเชื่อว่าให้ชีวิตร่มเย็น มั่นคง ตลอดปี สายน้ำบริสุทธิ์แห่งความสุขและศรัทธา ศรัทธา ธรรมชาติ และผู้คน มาบรรจบกัน ณ วัดเจดีย์ทองคำใน วันมหาซังเกนไทคำตี้
ผูกเครื่องพุทธบูชาประดับไว้รอบๆ พระเจดีย์

งานช่วงเช้ายังไม่จบเพียงเท่านั้น ยังมีขบวนแห่ที่งดงามตระการตาด้วย ผู้คนเริ่มหนาตาขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นหลักพัน ส่วนอีกด้านหนึ่งชาวไทยคำตี้ต่อแถวกันสรงน้ำพระสงฆ์และน้องเณรที่นั่งเก้าอี้เรียงแถวอยู่ สายน้ำคือชีวิต สายน้ำคือความบริสุทธิ์ฉ่ำเย็น เชื่อมศรัทธาสาธุชนไปยังสงฆ์ตัวแทนแห่งพระพุทธศาสนา

ขบวนแห่เปิดงานมหาซังเกนนานาชาติ 2025 อันมีสีสัน เริ่มจากประตูหน้าวัดเจดีย์ทองคำ ตรงเข้าสู่ปรัมพิธี
สายน้ำ รอยยิ้ม และความสุข พบเห็นอยู่ทั่วไปในวันมหาซังเกนไทคำตี้ สีสันวัฒนธรรมประเพณีซังเกน งดงามไม่แพ้แม่หญิงชาวไทคำตี้เลยแม้แต่น้อยขบวนแห่ที่ดูสวยงามแปลกตาเมื่อการเปิดงานอย่างเป็นทางการโดย ท่านเจ้านา เมน เสร็จเรียบร้อยแล้ว ความคึกคักบวกความสนุกที่แท้จริงก็เริ่มต้นขึ้น เจ้านา เมน เป็นประธานปล่อยลูกโป่ง กล่าวเปิดงานเทศกาลมหาซังเกนนานาชาติ 2025 อย่างเป็นทางการ
ทางวัดเจดีย์ทองคำมีก๊อกน้ำให้ผู้คนมาเติมน้ำกันได้อย่างไม่อั้นทุกคนในงานพากันสาดน้ำใส่กันสุดเหวี่ยง แต่ปราศจากความรุนแรงใดๆ หญิง ชาย ผู้สูงอายุ สื่อมวลชน แขกในงาน ต่างร่วมวงสาดน้ำกันอย่างชุ่มฉ่ำเปียกปอนสุดๆ แข่งกับอุณหภูมิแดดที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เด็กๆ และน้องเณรก็ร่วมวงสาดน้ำอย่างสนุกสนาน รอบตัวมีแต่ละอองน้ำกระจายว่อนไปทั่ว ราดรดตัวและหัวใจ เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม ความสุข ล่องลอยอยู่ในทุกอณูอากาศ

การเล่นน้ำสงกรานต์ที่วัดเจดีย์ทองคำของชาวไทคำตี้ ดำเนินไปตลอดวันจนเย็นย่ำ ยิ่งช่วงบ่าย ประมาณด้วยสายตาน่าจะมีคนเนืองแน่นแออัดเล่นสาดน้ำกันอยู่ในวัดนับหมื่น เสียงผู้คน เสียงสาดน้ำ อื้ออึง ตื่นตาตื่นใจสมเป็นงานใหญ่ประจำปี

งานมหาซังเกนไทคำตี้ไม่ได้จัดกันเฉพาะที่วัดเจดีย์ทองคำเท่านั้น ทว่าตามหมู่บ้านหรือชุมชนใหญ่ๆ ก็ยังมีการจัดงานด้วย โดยใช้วัดสำคัญของชุมชนเป็นศูนย์กลาง บรรยากาศแต่ละแห่งงดงามด้วยสีสันทางวัฒนธรรม ภาพวิถีชีวิต ความเชื่อ ความศรัทธา ที่ยังแนบแน่นในพุทธศาสนา คละเคล้าการฉลองปีใหม่ ครอบครัว คู่รัก ญาติมิตร เดินจูงมือกันเข้าวัดเล่นสาดน้ำ ร่วมร้องเพลง ฟ้อนรำ สรงน้ำพระ รถน้ำต้นโพธิ์ สร้างความประทับใจให้เราผู้เดินทางมาจากแดนไกลอย่างมาก

รวมฟ้อนรำอย่างสนุกสนานต้อนรับปีใหม่ ในงานเทศกาลมหาซังเกนนานาชาติ ไทคำตี้ 2025วงโปงลางและนางรำจากฝั่งไทย ก็ไปร่วมสนุกในงานเทศกาลมหาซังเกนนานาชาติ 2025 ด้วยเจ้านา เมน Deputy Chief Minister แห่งรัฐอรุณาจัลประเทศ ร่วมฟ้อนรำและเล่นน้ำ ในงานเทศกาลมหาซังเกนนานาชาติ 2025จุดธูปหอมอธิษฐานขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก่อนไปสรงน้ำพระและต้นโพธิ์สรงน้ำพระพร้อมรอยยิ้มแห่งความสุขสรงน้ำพระเจดีย์ในวันมหาซังเกน ตามคติความเชื่อชาวไทคำตี้สนุกสนานกันไปตลอดวัน กับเทศกาลมหาซังเกนนานาชาติไทคำตี้ 2025 สิ่งที่เราไม่เคยรู้อีกอย่างเกี่ยวกับงานเทศกาลมหาซังเกนไทคำตี้ในอินเดีย คือที่ หมู่บ้านเทมบัง (Thembang Village : เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่สุดในรัฐอรุณาจัลประเทศ) ในเมืองน้ำทรายแห่งนี้ นอกจากจะมีการเล่นน้ำสงกรานต์แล้ว ช่วงเย็นย่ำโพล้เพล้ยังมีการลอยประทีป คล้ายการลอยกระทงในเมืองไทย (แต่ไม่มีการตัดผมและเล็บใส่ลงไปในกระทงเหมือนที่เมืองไทย) แถมยังมีการลอยโคมขึ้นสู่อากาศเพื่อเป็นพุทธบูชาอีกด้วย แสงไฟวับวามมลังเมลืองหลากสีจากทั้งกระทงประทีปและโคมลอย ปลุกให้สายน้ำและท้องฟ้าของเทมบังมีชีวิต แม้อาทิตย์จะลาลับไปนานแล้ว หนุ่มสาวไทคำตี้ที่นี่ก็ยังเล่นสาดน้ำกันไม่หยุด นัยว่าเป็นการพบปะสานสัมพันธ์อย่างเต็มที่ปีละครั้ง ลอยประทีปสู่พระแม่คงคงาในวันมหาซังเกนแม้ค่ำมืดแล้ว การเล่นสาดน้ำและสรงน้ำพระพุทธรูป สรงน้ำพระเจดีย์ ก็ยังคงดำเนินต่อไปด้วยแรงศรัทธา

หลายวันแห่งการได้มาร่วมงานเทศกาลมหาซังเกนนานาชาติ ไทคำตี้ 2025 ที่เมืองน้ำทราย ทำให้เราเข้าใจนิยามของการเฉลิมฉลองสงกรานต์ที่แท้จริง มันมิใช่เพียงการสาดน้ำให้เปียกปอนคลายร้อน หรือการขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินท้องถิ่นเท่านั้น ทว่าเราได้เห็นความศรัทธาแรงกล้าของผู้คนที่มีต่อพระพุทธศาสนา เชื่อในสิ่งที่บรรพบุรุษส่งต่อ ชาวไทคำตี้วันนี้จึงร่วมสืบสาน และอาจสะกิดเตือนให้อีกหลายประเทศที่มีงานสงกรานต์เช่นกันหันกลับมามอง ว่าแก่นแท้ของ สงกรานต์ คืออะไร จัดกันอย่างไร มันสะท้อนความงามลุ่มลึกของชุมชนไทคำตี้แห่งรัฐอรุณาจัลประเทศ อินเดียที่ไม่เหมือนอินเดีย อินเดียที่ทำให้เราผู้มาเยือนรู้สึกอุ่นใจเหมือนอยู่บ้าน

ไม่รู้เหมือนกันว่าปีหน้าจะได้กลับไปเล่นสงกรานต์ที่เมืองน้ำทรายอีกรึเปล่า แต่บอกได้เลยว่า รักมากๆ ไทคำตี้

— SPECIAL THANKS TO ALL OF MY SPONSORS —

ขอบคุณ บริษัท Nikon Sales Thailand สนับสนุนกล้อง Nikon Z8 ระดับ Professional สำหรับ Photo Trip ครั้งนี้— For more informations about Arunachal Pradesh, India Trip, please contact —

ขอบคุณเป็นพิเศษ : บริษัท RINNAYA TOUR (ริณนาญาทัวร์)

Tel. 092-895-6245 / Line : @rinnayatour

Email : sales.rinnaya@gmail.com

Website : http://www.RinnayaTour.com/

ศูนย์สุขภาพเชตวัน ศาลายา นวดไทยต้นตำรับวัดโพธิ์

การนวดไทย เป็นศาสตร์โบราณที่ลือเลื่องไปทั่วโลก เพราะช่วยบรรเทาและรักษาให้ผู้มีความปวดเมื่อยทางร่างกายรู้สึกผ่อนคลายสบายตัวขึ้น ยิ่งกว่านั้นการนวดไทยยังช่วยรักษาอาการป่วยบางอย่างให้หายได้อย่างน่าอัศจรรย์ และหากจะกล่าวถึงต้นตำรับการนวดไทยซึ่งถือเป็นตำนานแท้จริง ก็คงต้องยกให้ “วัดโพธิ์” (วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามฯ) และ “ศูนย์สุขภาพเชตวัน” อำเภอศาลายา จังหวัดนครปฐมศูนย์สุขภาพเชตวัน อำเภอศาลายา จังหวัดนครปฐมเชตวัน ถือเป็นผู้ริเริ่มศาสตร์การนวดแผนไทยตำรับวัดโพธิ์ให้แพร่หลาย โรงเรียนเริ่มเปิดสอนวิชานวดแผนโบราณขึ้นครั้งแรกเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2505 โดย คุณปรีดา ตั้งตรงจิตร รวบรวมองค์ความรู้จากตำรา จารึกและครูนวด รวมถึงจัดระบบการเรียนการสอน จนได้ท่านวดที่เป็นแบบแผนสืบทอดต่อกันมา ปัจจุบันนี้โรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพนฯ นับเป็นโรงเรียนแห่งแรกที่เปิดสอนวิชาแพทย์แผนไทยครบทั้ง 4 สาขาตามแบบฉบับดั้งเดิม ศูนย์สุขภาพ เชตวันฯ เปิดสอนและบริการ 12 หลักสูตร ทั้งนวดแผนโบราณ หัตถบำบัด นวดทารกและเด็ก นวดสตรี นวดน้ำมันและน้ำมันหอมระเหย นวดเท้า เภสัชกรรมและเวชกรรมไทย วิชาชีพนวดไทยชั้นต้น ชั้นกลาง และนวดไทยสำหรับชาวต่างชาติ สปาเพื่อสุขภาพ และท่าบริหารร่างกาย ฤาษีดัดตน เป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์ให้มรดกไทยเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในระดับโลกขยายฐานการทำงานสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยววัดโพธิ์ (วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม) แหล่งรวบรวมศาสตร์การนวดไทยโบราณ และท่าฤาษีดัดตน

พระนอนวัดโพธิ์ ความวิจิตรแห่งพุทธศิลป์ของสยาม

พระพุทธรูปปางต่างๆ ในศาลารายวัดโพธิ์การแพทย์แผนไทยและการนวดแผนโบราณ มีประวัติความเป็นมาคู่กับชาติไทยมาแต่โบราณ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา กรมแพทย์และกรมหมอนวดนั้น ถือได้ว่าเป็นกรมใหญ่ซึ่งต้องรับใช้เบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิด ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (กรุงศรีอยุธยาตอนปลาย) มีการรวบรวมตำรับยาต่างๆ ขึ้นเป็นครั้งแรก เรียกว่า “ตำราพระโอสถพระนารายณ์” การแพทย์แผนไทยยังได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง มีการเปิดร้านจัดยาและขายยาสมุนไพรตามใบสั่งอยู่ทั่วไป ทั้งภายในและภายนอกกำแพงพระนคร ซึ่งแม้ในขณะนั้นมิชชั่นนารีชาวฝรั่งเศสได้นำการแพทย์แผนตะวันตกเข้ามาเผย แพร่ในสยาม ก็ไม่ได้รับความนิยมเท่าแพทย์แผนไทย

รูปปั้นฤาษีดัดตน 80 ท่า แห่งวัดโพธิ์

ในสมัยโบราณความรู้เรื่องการแพทย์และการนวดไทยจะสั่งสอนสืบต่อกันเป็นทอดๆ โดยครูจะรับตัวศิษย์ไว้แล้วค่อยสั่งค่อยสอนให้จดจำความรู้ต่างๆ ความรู้ที่สืบทอดกันมานั้น อาจเพิ่มพูน สูญหาย หรือเพี้ยนไปบ้างตามความสามารถของครูและศิษย์เป็นสำคัญ จวบจนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1) ได้โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์ “วัดโพธาราม” หรือ “วัดโพธิ์” พระอารามหลวง ทรงให้รวบรวมตำรายา ฤาษีดัดตน จวบจนตำราการนวด แล้วให้จารึกไว้ตามศาลาราย เพื่อให้ประชาชนได้ศึกษาโดยทั่วกัน ใน พ.ศ. 2375 ครั้งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) โปรดเกล้าฯให้ บูรณะวัดโพธิ์ใหม่ ทรงให้หล่อรูปฤษีดัดตนเป็นโลหะ และรวบรวมตำราการนวดและตำราการแพทย์จารึกในวัดโพธิ์ เพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปศึกษา และนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ จนถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของสยามเลยทีเดียว ใน พ.ศ. 2499 พระบาทสมเด็จพระปิยะมหาราช (รัชกาลที่ 5) ทรงโปรดเกล้าฯให้แพทย์หลวงสังคายนาและแปลตำราแพทย์จากภาษาบาลีและสันสกฤตเป็นภาษาไทย เรียกว่า “ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ (ฉบับหลวง)” ซึ่งตำรานี้ได้แยกการนวดเป็นภาควิชาหัตถศาสตร์ เรียกว่า “ตำราแบบนวดฉบับหลวง” โดยจารึกวัดโพธิ์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก จำนวน 1,440 แผ่น ปัจจุบัน ศูนย์สุขภาพเชตวัน ศาลายา นครปฐม มีแผนกนวดเพื่อบำบัดแก้อาการของผู้ป่วยด้วย ไม่ได้มีแต่การนวดเพื่อผ่อนคลายอย่างเดียวคุณเสรัชย์ ตั้งตรงจิตร ทายาทรุ่นที่ 3 ผู้บริหารศูนย์สุขภาพเชตวัน ศาลายา นครปฐม ในปัจจุบัน
ห้องนวดเท้าเพื่อผ่อนคลาย ศูนย์สุขภาพเชตวัน ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแยกชายหญิง ศูนย์สุขภาพเชตวัน เปลี่ยนเสื้อผาเสร็จแล้ว ก็มานั่งล้างเท้าด้วยน้ำสะอาดในอ่างไม้ตามแบบโบราณ นวดเพื่อผ่อนคลายและแก้อาการ ตามตำรับนวดไทยโบราณวัดโพธิ์ ที่ศูนย์สุขภาพเชตวัน บรรยายให้ความรู้เรื่องศาสตร์นวดไทยเบื้องต้น กับคณะที่เข้ามาศึกษาดูงาน พร้อมสอนท่านวดตนเองเบื้องต้น ให้สามารถกลับไปใช้ได้เองในชีวิตประจำวันศูนย์สุขภาพเชตวัน มีโรงเรียนในเครือจำนวน 4 แห่ง คือ โรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์), โรงเรียนนวดแผนโบราณ เชตวัน แจ้งวัฒนะ, โรงเรียนนวดแผนโบราณ เชตวัน เชียงใหม่, โรงเรียนสุขภาพ เชตวัน และคลีนิกแพทย์แผนโบราณ โพธิ์ชัยศรี ศาลายา จังหวัดนครปฐม ใครสนใจเรียนเขาก็มีทั้งหลักสูตแบบระยะสั้นและระยะยาวให้เลือก นับว่าเป็นอีกหนึ่งอาชีพแบบไทยๆ ที่น่าสนใจและมีประโยชน์น่าศึกษาไม่น้อย ศูนย์สุขภาพเชตวัน มีผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อสุขภาพมากมายให้เลือกใช้ ทั้งยาหม่อง ยาดมตามธาตุ น้ำมันนวด น้ำมันอโรมา ลูกประคบ ครีมนวดเท้า ฯลฯ รวมถึงผลิตภัณฑ์สปาอีกมากมาย
ยาดมตามธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ นอกจากบริการนวดแผนไทยแล้ว ศูนย์สุขภาพเชตวัน ยังมีห้องพักมากกว่า 15 ห้อง สำหรับให้ผู้สนใจหรือนักเรียนที่มาเรียนนวดตามคอร์สได้เข้าพัก พร้อมอาหารบริการ
มาใช้บริการนวดแผนไทยที่ศูนย์สุขภาพเชตวันแล้ว อย่าลืมไปสัมผัสขนมและเครื่องดื่มสุขภาพที่ ร้าน Chetawan Cafe & Bistro รับแอร์เย็นฉ่ำ จิบเครื่องดื่มที่ชอบ ในบรรยากาศ relax สบายๆ ครับ

  (ขอบคุณภาพ : จากคุณสุเทพ ช่วยปัญญา / www.thewaynews.com)
คุณบี (ณิชมน ตั้งตรงจิตร) คนรุ่นใหม่ไฟแรง เจ้าของ ร้าน Chetawan Cafe & Bistro ซึ่งมีแนวคิดสร้างสรรค์ขนมและเครื่องดื่มสุขภาพให้ได้ชิมกัน โดยคุณบีบินไปเรียนด้านอาหารที่ สถาบัน Le Cordon Bleu ปารีส ฝรั่งเศส นานถึง 7 เดือน

คุณบียังเป็นเจ้าของร้านอาหารวีแกนเพียงเจ้าเดียวในย่านท่าเตียน กทม. อีกด้วย นั่นคือ “ร้าน Began Vegan” (โทร. 08-0226-5770 / เปิดทุกวัน เวลา 10.30-18.00 น.) ตอนนี้มีเครื่องดื่มใหม่ล่าสุดให้ชิม “น้ำใบบัวบกผสมนมข้าวโอ๊ต” แบรนด์ณิมน ซึ่งคุณบีคิดค้นขึ้นมาด้วยตัวเอง โดยความเก๋คือด้านหลังขวดมีบทกลอนบรรยายสรรพคุณอันมีประโยชน์ของน้ำใบบัวบกไว้ด้วยอย่างน่ารักน้ำมะพร้าวปลูกเองในสวนของศูนย์สุขภาพเชตวัน ดื่มแล้วชื่นใจมากนอกจากนี้ ร้าน Chetawan Cafe & Bistro ยังมีเครื่องดื่มสุขภาพอีกมากมายให้เลือกชิมได้ทุกวัน
ขนมละลานตาน่าลิ้มลองที่ ร้าน Chetawan Cafe & Bistro บรรจงรังสรรค์ขึ้นเพื่อทุกคน

  (ขอบคุณภาพ : จากคุณสุเทพ ช่วยปัญญา / www.thewaynews.com)

www.watpomassage.com

จองนวด ทัวกรุ๊ปทัวร์โรงเรียน ไกด์ทัวร์นวด โทร. 08-6317-5562

รับนักเรียน เวลาทำการ 08.00-17.00 น. โทร. 0-2622-3533, 08-6368-3841 watpo.ttm@gmail.com.

บริการนวดท่าเตียน เวลาทำการ 08.00-20.00 น. โทร. 08-4206-3774

สำนักงาน เวลาทำการ 08.00-17.00 น. โทร.02-622-3551

เสน่ห์นครพนมเมืองรอง ไม่ลองไปไม่รู้!

วันนี้มาเที่ยวในโครงการ Go Local Enjoy Local เที่ยวเมืองรอง ที่ไม่เป็นรองใคร โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มาที่ ‘จังหวัดนครพนม’ ดินแดนแห่งความสงบงามริมลำน้ำโขง และวัฒนธรรมหลากชนเผ่า อีกทั้งยังเป็นเพียงจังหวัดเดียวในเมืองไทยที่มีพระธาตุประจำวันเกิดครบ 7 วัน แม้ว่านครพนมจะได้รับการจัดให้เป็น ‘เมืองรอง’ ด้านการท่องเที่ยว ทว่าเมื่อได้ไปสัมผัสบรรยากาศจริงแล้ว ขอบอกเลยว่า ไม่เป็นสองรองใคร

#GoLocalEnjoyLocal #เที่ยวเมืองรองที่ไม่เป็นรองใคร #AmazingThailandGoLocal #เที่ยวท้องถิ่นไทยชุมชนเติบใหญ่เมืองไทยเติบโต #เที่ยวเมืองรอง #การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย #ททท #เที่ยวเมืองรองกับททท#TatXBlogger #TatXMediaAndBloggerclub

นครพนม เมืองเนิบช้าที่สุขสุดๆ ริมแม่น้ำโขง เมืองแห่งอาณาจักรศรีโคตรบูรอันรุ่งเรืองในอดีต ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็น Gateway to ASEAN ของอีสาน ด้วยสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 ทอดข้ามโขง นำเราเที่ยวเชื่อมโยงไปได้ถึงลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้ เลยล่ะ จากตัวเมืองนครพนมมองข้ามไปอีกฝั่งของลำโขง จะเห็นเทือกเขาหินปูนทอดยาวในฝั่งเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน ของลาว สามารถล่องเรือข้ามไปเที่ยว หรือล่องเรือชมบรรยากาศอาทิตย์อัสดงยามเย็นได้งามจับใจจริงๆวันนี้จังหวัดนครพนมได้กลายเป็น “เมืองแห่งจักรยาน” หรือ The Cycling City อย่างแท้จริงแล้ว เพราะด้วยสภาพของตัวเมืองเลียบลำน้ำโขง บรรยากาศเย็นสบาย มีจุดชมวิว และมีเลนจักรยานให้ปั่นต่อเนื่องยาวหลายกิโลเมตร อีกทั้งคนนครพนมยังนิยมปั่นจักรยานกันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว จักรยานจึงเป็นพาหนะที่ยังอยู่ในวิถีของคนที่นี่จริงๆ

เส้นทางปั่นจักรยานเที่ยวในนครพนม ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ มีอยู่ 4 เส้นทาง คือ 1.เส้นทางชมเมืองเก่าไชยบุรี 2. เส้นทางบ้านดอนนางหงส์ 3.เส้นทางเมืองโบราณบ้านหนองจันทร์ และ 4. เส้นทางเลียบโขงตัวเมืองนครพนม
ชวนกันไปเดินเล่นชิลล์ๆ ในย่าน ‘หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์’ พักผ่อนหย่อนใจ ชมวิถีชุมชนเก่าอันเนิบช้าริมลำน้ำโขงกลางเมืองนครพนม ไปชม ชิม ช็อป แชะ แชร์ กับภาพประทับใจมากมายในย่านหอนาฬิกาเก่า ซึ่งปัจจุบันมีร้านอาหารน่านั่งสำหรับวัยรุ่นเปิดกันเพียบ อีกทั้งในคืนวันศุกร์และเสาร์ ตั้งแต่เวลา 17.00-20.00 น. ยังมีถนนคนเดิน เปิดให้เดินช็อปกันยาวกว่า 800 เมตรด้วยนะบ้านเรือนเก่าริมลำโขงในเมืองนครพนม เต็มไปด้วยเสน่ห์ของรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานสีสันลานคนเมืองนครพนมมีจุดถ่ายภาพเก๋ๆ ตรงริมโขงด้วยถนนคนเดินนครพนมในย่านเมืองเก่า มีทุกวันศุกร์-เสาร์ เก๋ไก๋ น่ารักจริงๆ เลยพิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าราชการ (หลังเก่า) อำเภอเมืองนครพนม ตั้งอยู่ที่ถนนสุนทรวิจิตร ใกล้ริมแม่น้ำโขง สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลในยุคที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดครองดินแดนแถบลุ่มน้ำโขง อาคารหลังนี้เคยใช้เป็นที่พำนักของผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมในอดีต ทว่าปัจจุบันได้พลิกบทบาทมาเป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าเรื่องราวหลากหลายของนครพนม ผ่านภาพถ่ายเก่า โมเดล ภาพยนตร์สั้น ฯลฯ อีกทั้งยังเคยเป็นที่ประทับแรมของในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ครั้งเสด็จเยือนนครพนมด้วย โดยในครั้งนั้น แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ อายุ 102 ปี ได้มาถือดอกบัวรอรับเสด็จ จนกลายเป็นภาพแสนซึ้งตรึงใจที่ไม่เคยลืม

ตัวเมืองนครพนมปัจจุบัน มีพี่น้องชาวไทยคริสต์จากเวียดนามที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่จำนวนมาก จึงปรากฏโบสถ์คริสต์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในภาคอีสานขึ้น ในนาม “โบสถ์นักบุญอันนา” บ้านหนองแสง สร้างขึ้นโดยคุณพ่อเอทัวร์ นำลาภ เมื่อปี ค.ศ. 1926 โบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่ริมลำน้ำโขง กล่าวกันว่าเป็นโบสถ์แบบโกธิคที่สวยที่สุด 1 ใน 3 แห่งของไทย!

ในบริเวณริมโขงยังมี ‘วัดโอกาสศรีบัวบาน’ เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองนครพนมมาแต่โบราณ ตั้งอยู่บนถนสุนทรวิจิตร ตรงข้ามด่านท่าเรือนครพนม-คำม่วน สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1994 ในสมัยอาณาจักรศรีโคตรบูรรุ่งเรือง ความโดดเด่นอยู่ที่หอประดิษฐานพระติ้วและพระเทียม “พระติ้ว” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ทำด้วยไม้ติ้วบุทองคำ หน้าตักกว้าง 30 เซนติเมตร สูง 2 ฟุต สร้างโดยเจ้าผู้ครองนครศรีโคตรบูร เมื่อ พ.ศ. 1328 ส่วน “พระเทียม” สร้างให้เหมือนพระติ้ว เพื่อใช้ประดิษฐานไว้ข้างๆ เพื่อเทียม หรือแทนกันนั่นเอง

พระติ้ว พระเทียม อันศักดิ์สิทธิ์ใครตื่นแต่เช้า ก็จะได้ไปตักบาตรริมโขงที่หน้าวัดพระธาตุนคร ต้อนรรับวันใหม่อันสดใสเสน่ห์ยามเย็นของแสงสีบนฟากฟ้าเหนือลำน้ำโขงหน้าเมืองนครพนม สามารถล่องเรือชมได้ทุกวันเสน่ห์แสงยามเช้าในช่วงฤดูหนาวหน้าเมืองนครพนม มองไปยังฝั่งเมืองท่าแขก แขวงคำม่วนของลาว ฤดูหนาวน้ำโขงลดระดับ เผยให้เห็น ‘หาดทรายทองศรีโคตรบูร’ อันงดงามน่าชมเสน่ห์อันเป็นที่สุดอีกอย่างหนึ่งของนครพนมคือ ‘เทศกาลไหลเรือไฟ’ ซึ่งจะจัดขึ้นทุกปีในช่วงออกพรรษา ประมาณปลายเดือนตุลาคม ไฮไลท์ของงานคือขบวนเรือไฟใหญ่ ที่ประกวดประชันกันสร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ แต่ละลำสูงเท่าตึก 2-4 ชั้น ประดับไฟประทีปนับหมื่นดวง และลงทุนนับล้านบาท พร้อมด้วยการจุดพลุสร้างเพิ่มความสว่างไสวแก่ลำน้ำโขงอย่างยิ่งใหญ่อลังการสุดๆ

หลังจากเที่ยวตัวเมืองนครพนมในแถบริมโขงกันจนอิ่มใจแล้ว ก็ได้เวลาออกไปตระเวนเที่ยวรอบนอกกันบ้าง โดยเริ่มที่การสักการะ 7 พระธาตุประจำวันเกิดเลยดีกว่า

พระธาตุพนม (พระธาตุประจำคนเกิดวันอาทิตย์) เป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิส่วนพระอุรังคธาตุ หรือกระดูกส่วนหน้าอก ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระธาตุสูงถึง 53.60 เมตร สง่างามมาก กล่าวกันว่าแค่ได้ไปสักการะพระธาตุพนมเพียง 1 ครั้ง ก็เป็นสิริมงคลยิ่งแล้ว แต่ถ้าได้ไปสักการะครบ 7 ครั้ง ก็จะกลายเป็น “ลูกพระธาตุ” ชีวิตมีแต่ความรุ่งเรือง นอกจากนี้ยังเป็นพระธาตุประจำคนเกิดปีวอกอีกด้วย

พระธาตุเรณู (พระธาตุประจำคนเกิดวันจันทร์) อำเภอเรณูนคร เป็นถิ่นที่อยู่ของชาวผู้ไท 1 ใน 8 เผ่าของนครพนม ซึ่งพวกเขายังคงรักษาขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของตน ไว้อย่างเข้มแข็งมาก ศูนย์กลางชุมชนนี้อยู่ที่องค์พระธาตุเรณูอันตระการตา สูงกว่า 35 เมตร สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2461 โดยประดับลวดลายปูนปั้นไว้รอบๆ อย่างวิจิตร เพราะได้จำลองแบบมาจากพระธาตุพนมองค์เดิม (ก่อนที่พระธาตุพนมจะพังถล่มลงมา) นั่นเอง

พระธาตุศรีคุณ (พระธาตุประจำคนเกิดวันอังคาร) แม้ว่าจะอยู่ห่างจากตัวเมืองนครพนมถึง 78 กิโลเมตร แต่การได้ไปสักการะพระธาตุศรีคุณสักครั้ง ก็ถือว่าคุ้ม เพราะมีลักษณะเหมือนพระธาตุพนมย่อส่วน ได้กราบแล้วอานิสงส์คือส่งให้เกิดยศศักดิ์ศรี โชคลาภทวีคูณ!

พระธาตุมหาชัย (พระธาตุประจำคนเกิดวันพุธกลางวัน) อำเภอปลาปาก องค์พระธาตุสูงถึง 37 เมตร ตั้งอยู่บนฐานสูง แลสง่าน่าเลื่อมใส เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุสำคัญ อานิสงส์ของการได้มานมัสการคือ จะมีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง ทำให้ชีวิตมีแต่ความรุ่งโรจน์

พระธาตุมรุกขนคร (พระธาตุประจำคนเกิดวันพุธกลางคืน) วันพุธเป็นเพียงวันเดียวที่มีพระธาตุประจำวันเกิด 2 องค์ คือ กลางวัน และกลางคืน ในส่วนของกลางคืนมีพระธาตุมรุกขนครเป็นพระธาตุประจำวัน เนื่องจากมีเรื่องเล่าว่าครั้งพุทธกาล มีอยู่คืนหนึ่งเป็นคืนวันพุทธ ภิกษุสงฆ์ได้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้น พระพุทธองค์จึงเสด็จหนีออกไปจากวัดที่ทรงจำพรรษาอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีพระธาตุประจำวันพุธกลางคืน พระธาตุมรุกขนครนั้นคล้ายพระธาตุพนมย่อส่วน สูง 50.9 เมตร สร้างขึ้นในพระวโรกาสที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์ครบ 50 ปี โดยความสูงเศษ จุด 9 เมตร ก็หมายถึง รัชกาลที่ 9 นั่นเอง

พระธาตุประสิทธิ์ (พระธาตุประจำคนเกิดวันพฤหัสบดี) อยู่ห่างจากตัวเมืองนครพนม 93 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง กระทั่งถึงอำเภอนาหว้า ก็จะได้สักการะองค์พระธาตุที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้า อานิสงส์ของการได้มานมัสการคือ ทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในความก้าวหน้าดังประสงค์ ในบริเวณวัดยังเป็นที่ตั้งของศูนย์หัตถกรรมบ้านท่าเรือ ซึ่งเป็นศูนย์ศิลปาชีพแห่งแรกของไทย เมื่อปี พ.ศ. 2520 สินค้าโดดเด่นคือผ้าไหมมัดหมี่อันประณีตงดงาม

พระธาตุท่าอุเทน (พระธาตุประจำคนเกิดวันศุกร์) อำเภอท่าอุเทน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงไหลเย็นชื่นใจ เป็นองค์พระธาตุสูงใหญ่ โดดเด่น สร้างให้คล้ายคลึงกับพระธาตุพนม สร้างเป็น 3 ชั้น ทรงสี่เหลี่ยม สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2454 โดยพระอาจารย์ศรีทัตถ์ เพื่อบรรจุพระอรหันตธาตุสำคัญ เชื่อว่าใครได้มาสักการะแล้วจะช่วยให้ชีวิตรุ่งโรจน์ เปรียบเสมือนพระอาทิตย์ขึ้นยามอรุณรุ่ง

พระธาตุนคร (พระธาตุประจำคนเกิดวันเสาร์) เป็นอีกหนึ่งพระธาตุของนครพนมที่ตั้งอยู่ใกล้ริมล้ำน้ำโขง ในบริเวณตัวเมืองนครพนม องค์พระธาตุ สูง 24 เมตร งดงามด้วยรูปลักษณ์และลวดลาย ไม่ย่ิงหย่อนไปกว่าพระธาตุองค์ใด ได้มากราบสักการะแล้วเชื่อว่าอานิสงส์จะช่วยเสริมบารมี ทำให้มีอำนาจวาสนาเป็นเจ้าคนนายคน

ห่างจากตัวเมืองนครพนมไปเพียง 47 กิโลเมตร ในอำเภอท่าอุเทน คือที่ตั้งของจุดบรรจบ “แม่น้ำสองสี” คือแม่น้ำสงครามสีเขียวมรกต ได้ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขงสีน้ำตาลแดง เกิดเป็นปากแม่น้ำที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ ฝูงปลาชุกชุม ชาวบ้านได้ออกเรือไปหาปลามาทำอาหารหลากหลาย โดยเฉพาะปลาส้มแสนอร่อยแห่งไชยบุรี เมืองริมโขงแสนน่ารักที่มีความเก่าแก่กว่า 200 ปี ตลอดริมฝั่งโขงมีวัดโบราณอันทรงคุณค่าอยู่ไม่น้อยกว่า 7-10 แห่ง พร้อมด้วยบ่อน้ำโบราณ ซากเจดีย์เก่า ชุมชนแสนน่ารัก พร้อมด้วยเส้นทางปั่นจักรยานริมน้ำชิลชิล และแน่นอนว่าต้องมีจุดชมวิวแม่น้ำสองสีที่น่าชมอย่างยิ่งปลาส้มปากน้ำไชยบุรี เมนูอร่อยล้ำต้องลองรับรองจะติดใจ!ซากเมืองเก่าไชยบุรี อำเภอท่าอุเทน คือประจักษ์พยานของอาณาจักรศรีโครบูรที่เคยรุ่งเรืองอยู่ ณ จุดนี้ เมื่อประมาณ พ.ศ. 1000-1500วัดเก่าแห่งไชยบุรี ได้รับการบูรณะสมัยฝรั่งเศสยึดครอง โดยนำศิลปะแบบโคโลเนียลเข้าไปประยุกต์ใช้ได้อย่างลงตัวซากเจดีย์เก่าของอาณาจักรศรีโคตรบูร แม้จะผุพังไปตามกาลเวลา ทว่ายังเปี่ยมด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์
เมืองเก่าท่าอุเทน เต็มไปด้วยบ้านเรือนโบราณที่เปี่ยมด้วยสถาปัตยกรรมโคโลเนียลอันสวยงาม โดยเฉพาะบ้านศรีอุเทน ที่เป็นตึกปูนสองชั้น ตั้งอยู่กลางชุมชน สามารถปั่นจักรยานจากพระธาตุท่าอุเทนมาถึงได้สบายมาก‘แหล่งเรียนรู้ไดเสาร์ท่าอุเทน’ คืออีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยว Unseen ที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะเราจะได้ชมรอยเท้าไดโนเสาร์นกกระจอกเทศ และอีกัวดอน รวมถึงรอยเท้าจระเข้ขนาดเล็ก จำนวนร้อยๆ รอย อายุกว่า 100 ล้านปี ค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2544 นักธรณีวิทยาสันนิษฐานว่าในช่วงเวลานั้น (ยุคครีเตเชียสตอนต้น) บริเวณนี้น่าจะเป็นริมฝั่งน้ำที่ไดโนเสาร์ต่างๆ มาหากิน โดยเฉพาะไดโนเสาร์นกกระจอกเทศที่อยู่กันเป็นฝูงไชยบุรี ท่าอุเทน นครพนม มีอะไรให้ค้นหามากมายจริงๆ เที่ยวกันจนเหนื่อยล่ะ แวะดื่มน้ำเย็นๆ ก่อนดีกว่าเนอะปิดท้ายทริปเมืองรองนครพนมอันแสนประทับใจ ด้วยการเติมพลังไข่กระทะ กับขนมปังบาแกตต์ ให้มีแรงเที่ยวต่อแล้วก็แน่นอนว่า ต้องลิ้มลองอาหารพื้นบ้านอย่างข้าวปุ้นน้ำนัว ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว หมูยอ รวมถึงอาหารอีสานครบชุดใหญ่ เป็นการสั่งลานครพนมอย่างประทับใจ

บอกแล้วว่า นครพนมเป็นเมืองมีเสน่ห์จริงๆ ในทุกด้าน ใครมาก็ต้องหลงรักเมืองรองแห่งนี้แน่นอนจ้า

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ ททท. สำนักงานนครพนม โทร. 0-4251-3490-1 / tatphnom@tat.or.th

TEATA พาเที่ยวปีใหม่ รวมใจไปตลาดน้อย

TEATA 1สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย หรือ TEATA ชื่อนี้หลายคนคงคุ้นหูอยู่บ้าง เพราะเป็นหนึ่งในสมาคมสำคัญของวงการท่องเที่ยวไทย ที่มีผลงานชั้นแนวหน้าด้านวิชาการ และทำงานเจาะลึกทั้งเรื่องชุมชน ธรรมชาติ ผจญภัย และเชิงวัฒนธรรมมานานจนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากมาย

ในโอกาสต้อนรับปีใหม่ เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2018 สมาคม TEATA จึงได้จัดงานพบปะสังสรรค์ระหว่างสมาชิก แต่จะธรรมดาได้ไง เพราะชาว TEATA เจอกันทีไร ก็ต้องทั้งสนุก เฮฮา และได้ความรู้ไปพร้อมๆ กัน ด้วยการจัดทริปเดินเที่ยวย้อนรอยอดีตย่านการค้าโบราณแห่งสยามริมน้ำเจ้าพระยา บริเวณเขตสัมพันธวงศ์ แถวๆ ตลาดน้อย แล้วนั่งเรือข้ามไปเขตคลองสานฝั่งธนบุรีด้วยล่ะIMG_9698 TEATA 2ชาว TEATA นัดรวมพลกันที่โรงแรม River City ริมแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมฟังบรรยายสรุปจากวิทยากรผู้ทรงภูมิปัญญาอย่างยิ่ง
โบสถ์กาลหว่า 1จุดแรกที่ได้สัมผัสคือ โบสถ์กาลหว่าร์ หรือ วัดแม่พระลูกประคำ (Holy Rosary Church) เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ทรงโกธิค ตั้งอยู่ที่ซอยวานิช 2 แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กทม. โบสถ์แห่งนี้ไม่ใช่โบสถ์หลังแรก หากแต่เป็นโบสถ์หลังที่สาม ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อทดแทนโบสถ์หลังเดิมที่ถูกทิ้งร้างภายหลังเพลิงไหม้ใหญ่ใน พ.ศ. 2470 โบสถ์ในปัจจุบันสร้างขึ้นโดยคุณพ่อแดซาลส์ ชาวฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. 2434 ปัจจุบันโบสถ์มีอายุ 126 ปี ถือเป็นโบสถ์เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์โบสถ์กาลหว่า 2ชาวสมาชิก TEATA ชักภาพพร้อมหน้าพร้อมตาด้านหน้าโบสถ์กาลหว่าร์ (โบสถ์กาลวาริโอ้)โบสถ์กาลหว่า 3 โบสถ์กาลหว่า 4ธนาคารไทยพาณิชย์ 1ถัดมาเราก็มาถึง ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย หรือชื่อเดิม แบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด ‘บุคคลัภย์’ (Book Club) เป็นสถาบันการเงินแห่งแรกของประเทศไทย ก่อตั้งโดย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2447 หลังจากการขยายตัวของบุคคลัภย์ ‘บริษัท แบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด’ ได้กำเนิดขึ้นจากพระบรมราชานุญาตของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ให้ดำเนินการเป็นธุรกิจธนาคารพาณิชย์แห่งแรกของสยามอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2449 จวบจนทุกวันนี้ธนาคารไทยพาณิชย์ 2จากที่ตั้งเดิมของบุคคลัภย์ ที่ตำบลบ้านหม้อ อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร ได้ใช้เป็นที่ทำการชั่วคราวของแบงค์สยามกัมมาจล’ เมื่อกิจการขยายตัวทำให้ต้องมีการขยายออฟฟิศ จึงย้ายธนาคารไปอยู่ที่ ตลาดน้อย’ เพราะทำเลดี เนื่องจากติดแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่ใกล้แหล่งค้าขายใหญ่อย่างเยาวราชและสำเพ็ง อีกทั้งยังมีคนไทยและจีนอาศัยอยู่บริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก โดยอาคารหลังใหม่นี้เป็นสถาปัตยกรรมตะวันตก ออกแบบโดยนายช่าง Anibale Rigotti และ Mario Tamagno ชาวอิตาเลียน ใช้ทุนสร้างประมาณ 300,000 บาท จนเสร็จสมบูรณ์ แล้วย้ายมาเมื่อ พ.ศ. 2451ตลาดน้อย 1ได้เวลาเดินลัดเลาะตรอกซอกซอยเข้าสู่ ‘ชุมชนตลาดน้อย’ หนึ่งในชุมชนเก่าแก่ที่สุดริมแม่น้ำเจ้าพระยา กำเนิดมาตั้งแต่ก่อนสมัยรัชกาลที่ 1 เลยด้วยซ้ำ ทุกวันนี้จึงมีวิถีชีวิตของชาวจีนเก่าๆ ให้เราได้สัมผัสตลาดน้อย 2 ตลาดน้อย 3 ตลาดน้อย 4 ตลาดน้อย 5 ตลาดน้อย 6บางตรอกซอกซอยของตลาดน้อยยังคมีสถาปัตยกรรมแบบจีนผสมฝรั่งให้ชม โดยจุดนี้เคยเป็นตรอกโรงฝิ่นเมื่อครั้งอดีตตลาดน้อย 7‘บ้านโซวเฮงไถ่’ (หรือ บ้านดวงตะวัน) เป็นหนึ่งในคฤหาสน์ของคหบดีเก่าแก่ อายุกว่า 220 ปี ซึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมในปัจจุบัน คฤหาสน์นี้สร้างตามสถาปัตยกรรมแบบฮกเกี้ยนแต้จิ๋ว วางผังบ้านแบบคหบดีที่มั่งคั่งในสมัยนั้น ที่เรียกว่า 4 เรือนล้อมลาน ด้านหน้าประตูทางเข้ามีศิลปกรรมฝาผนังแบบจีนให้ชมอย่างวิจิตรงดงามมาก
ตลาดน้อย 8 ตลาดน้อย 9 ตลาดน้อย 10 ตลาดน้อย 11 ตลาดน้อย 12 ตลาดน้อย 13ในชุมชนตลาดน้อย ยังมีบ้านทำหมอนจีนโบราณ หลังสุดท้าย ที่ผลิตหมอนทุกใบด้วยมืออย่างประณีตงดงาม โดยหมอนเหล่านี้จะนำไปใช้ในพิธีมงคลต่างๆ ล้วนสะท้อนความเชื่อ ความศรัทธาของชาวจีนโพ้นทะเล ที่อพยพมาตั้งรกรากพึ่งพระบรมโพธิสมภารบนแผ่นดินสยาม หมอนทุกใบเป็นงาน Handmade ล้วนๆ ต้องช่วยกันอุดหนุนแล้วล่ะ
ตลาดน้อย 14 ตลาดน้อย 15ศาลเจ้าพ่อโจวซือกง เป็นศาลเจ้าใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชุมชนตลาดน้อย ในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจจะมีผู้คนนับหลายหมื่นหลั่งไหลเข้ามาสักการะ อีกทั้งมีการแสดงงิ้วที่ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองไทย เป็นประจำทุกปีตลาดน้อย 16 ตลาดน้อย 17ชาวสมาชิก TEATA ชักภาพร่วมกันหน้าศาลเจ้าโจวซือกง ก่อนเข้าไปกราบสักการะขอพรตลาดน้อย 18 ตลาดน้อย 19มุมสุดคลาสิกในชุมชนตลาดน้อย เหมือนได้เดินย้อนอดีตเลยจริงๆคลองสาน 1

จากตลาดน้อยเราเดินทะลุไปถึงชุมชนใน เขตสัมพันธวงศ์ ซึ่งมีชาวจีนอาศัยอยู่มาตั้งแต่ตอนแรกเริ่มกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว โดยผู้คนได้ย้ายมาจากเขตพระนครในปัจจุบัน มีถนนวานิช 1 หรือ ‘ถนนสำเพ็ง’ เป็นศูนย์กลางของชุมชนชาวจีน จวบจนสร้างถนนเยาวราชเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อ พ.ศ. 2435 เยาวราชจึงกลายเป็นศูนย์กลางชาวจีนมาแทนจนถึงปัจจุบัน สันนิษฐานกันว่าเขตสัมพันธวงศ์คงตั้งชื่อตามวัดที่ตั้งนั่นเอง (วัดสัมพันธวงศาราม)

คลองสาน 2เดินเตร็จเตร่เข้าไปในชุมชนเขตสัมพันธวงศ์ (ถนนที่จะไปถึงหน้าวัดสัมพันธวงศาราม) ด้านขวามือจะผ่านอาคารพาณิชย์สูง 4 ชั้น ของ บริษัท เจียไต๋ จำกัด ต้นกำเนิดเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ CP ในปัจจุบัน จากถนนเล็กๆ เส้นนี้ถ้าเดินผ่านหน้าวัดสัมพันธวงศาราม ก็จะไปทะลุถึงถนนเยาวราชได้ใกล้นิดเดียว นับเป็นทำเลทองที่มีฮวงจุ้ยดีเลิศ ทำการค้าขายได้ร่ำรวยจากอดีตมาถึงปัจจุบันคลองสาน 3ตึกฝรั่งในเขตวัดสัมพันธวงศารามวัดสัมพันธวงศาราม 1

วัดสัมพันธวงศาราม (หรือ วัดสัมพันธวงศ์) เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก เขตสัมพันธวงศ์ จังหวัดพระนคร เดิมเป็นวัดราษฎร์ มีนามว่า ‘วัดเกาะ’ ไม่ปรากฎว่าผู้ใดเป็นผู้สร้าง ทราบแต่ว่าเป็นวัดโบราณ มีมาตั้งแต่สมัยพระนครศรีอยุธยาก่อนสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานี ในอดีตวัดสัมพันธวงศ์เป็นวัดที่มีน้ำล้อมรอบบริเวณที่ตั้งวัด จึงเรียกว่า ‘วัดเกาะ’

วัดสัมพันธวงศาราม 2ในสมัยรัชกาลที่ 3 ด้านหน้าวัดเกาะมีโรงพิมพ์ของบุคคลผู้มีชื่อเสียงมากจนถึงทุกวันนี้ คือ หมอบรัดเลย์ (แดเนียล บีช แบรดลีย์) ซึ่งชาวสยามในยุคนั้นเรียกทับศัพท์ว่า ‘หมอปลัดเล’ เป็นนายแพทย์ชาวอเมริกันที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในสยาม และยังเป็นผู้เริ่มต้นการพิมพ์อักษรไทยในสยามเป็นครั้งแรก และทำการผ่าตัดในสยามเป็นครั้งแรกด้วย ท่านจึงเป็นบุคคลที่มีคุณูปการต่อสยามอย่างยิ่ง แม้ว่าการพิมพ์ครั้งแรกนั้นจะเป็นเอกสารเกี่ยวกับการเผยแพร่คริสตศาสนาก็ตามที วัดสัมพันธวงศาราม 3วัดปทุมคงคา 1ใกล้เที่ยงแล้ว แต่สมาชิก TEATA ก็ยังไม่หมดแรง พากันไปเที่ยวชม ‘วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร’ พระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งพระนคร ถนนทรงวาด ติดต่อกับถนนสำเพ็ง แขวงสัมพันธวงศ์ เดิมชื่อ ‘วัดสำเพ็ง’ ตามชื่อถนนหน้าวัด ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 พระราชทานนามใหม่ว่า ‘วัดปทุมคงคา’

วัดนี้มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา รัชกาลที่ 1 เมื่อครั้งแรกสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดเกล้าฯ ให้พระยาธรรมาธิกรณ์ (บุญรอด บุณยรัตพันธ์) กับพระวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมช่างและไพร่ไปกะที่สร้างพระนครใหม่ ณ ฝั่งตะวันออก โปรดเกล้าฯ ให้พระยาราชาเศรษฐี และคนจีนย้ายไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่สวน ตั้งแต่คลองวัดสามปลื้ม (วัดจักรวรรดิราชาวาส) ไปจนถึงคลองวัดสำเพ็ง (วัดปทุมคงคา) และเห็นว่าเป็นวัดโบราณที่ทรุดโทรมมาก สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมใหม่ทั้งวัด จากนั้นรัชกาลที่ 1 จึงพระราชทานนามใหม่ว่า ‘วัดปทุมคงคา’วัดปทุมคงคา 2ภายในวัดปทุมคงคา มีเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองสีขาวสะอาดนับสิบองค์เรียงรายอยู่โดยรอบ กล่าวกันว่าในเขตเกาะรัตนโกสินทร์มีเพียงไม่กี่วัดที่มีลักษณะนี้ เพราะต้องเป็นวัดที่สำคัญจริงๆ เท่านั้นวัดปทุมคงคา 3ภายในพระอุโบสถวัดปทุมคงคา ประดับประดาด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังยุคต้นรัตนโกสินทร์ สังเกตได้จากภาพเทพชุมนุมบนฝาผนังสองด้าน อันเป็นลักษณะจำเพาะของช่วงรัชกาลที่ 1-3วัดปทุมคงคา 4 วัดปทุมคงคา 5 วัดปทุมคงคา 6ระเบียงคดสี่ด้านรอบโบสถ์วัดปทุมคงคา มีพระพุทธรูปปางต่างๆ นับร้อยองค์ประดิษฐานไว้ให้สักการะวัดปทุมคงคา 7ถ้าสังเกตให้ดี จะพบช่องบรรจุอัฐิของ ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และภริยา อยู่ที่ช่องเก็บในระเบียงคดวัดปทุมคงคานี้เอง ใครที่อยากรำลึกและแสดงความเคารพในคุณงามความดีของท่าน ก็ขอเชิญมาได้นะวัดปทุมคงคา 8หินประหาร คือหินก้อนใหญ่ที่นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานกันว่า น่าจะใ้ช้เป็นหินสำเร็จโทษเจ้านายที่กระทำความผิดร้ายแรงในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยเป็นเจ้านายพระองค์สุดท้ายของสยามที่ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทร์TEATA งานเลี้ยงปีใหม่ 1เดินเที่ยวกันมากว่าครึ่งวัน ตอนนี้ก็เริ่มหมดแรงแล้ว ได้เวลาเข้าห้องแอร์เย็นฉ่ำ กินเลี้ยงปีใหม่ในสไตล์ TEATA นอกจากสมาชิกของสมาคมเองแล้ว ยังมีพันธมิตรที่ดีจาก สกว. , CBTI , KTC , สื่อมวลชน และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้บรรยากาศการรรับประทานอาหารเที่ยงในวันนั้น เป็นไปอย่างอบอุ่นอย่างยิ่ง โดยมี คุณนีรชา วงศ์มาศา นายกสมาคม TEATA กล่าวต้อนรับเพื่อนพ้องน้องพี่ทุกคนTEATA งานเลี้ยงปีใหม่ 2 TEATA งานเลี้ยงปีใหม่ 3 TEATA งานเลี้ยงปีใหม่ 4ระหว่างรับประทานอาหาร ยังมีการจับแจกลุ้นโชคของรางวัลรับปีใหม่ 2018 อย่างสนุกสนานTEATA งานเลี้ยงปีใหม่ 5 TEATA งานเลี้ยงปีใหม่ 6วัดทองธรรมชาติ 1อิ่มหนำกันถ้วนหน้าจากอาหารเที่ยงแสนอร่อยที่ถนนเยาวราช เราก็เดินย้อนมาลงเรือข้ามฟาก ข้ามจากฝั่งกรุงเทพฯ ไปยังเขตคลองสาน ฝั่งธนบุรีวัดทองธรรมชาติ 2เราข้ามเรือมาสู่ วัดทองธรรมชาติวรวิหาร (ชาวบ้านเรียกกันสั้นๆ ว่า ‘วัดทองธรรมชาติ’) ถนนสมเด็จเจ้าพระยา แขวงวัดทองนพคุณ เขตคลองสาน กรุงเทพฯ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาเยื้องฝั่งลำน้ำกับวัดปทุมคงคา วัดนี้เป็นวัดโบราณไม่ปรากฏว่าสร้างมาแต่สมัยใดและใครเป็นผู้สร้าง แต่เรียกกันว่า ‘วัดทองบน’ เนื่องจากมีวัดทองตั้งอยู่ใกล้กัน 2 วัดวัดทองธรรมชาติ 3 วัดทองธรรมชาติ 4

สันนิษฐานว่า วัดทองธรรมชาติ อาจสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ประมาณ พ.ศ. 2330 พระองค์เจ้าหญิงกุ (ต่อมา คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนรินทรเทวี) ซึ่งคนทั้งหลายขานพระนามว่า ‘เจ้าครอกวัดโพธิ์’ พระขนิษฐาในรัชกาลที่ 1 พร้อมด้วยกรมหมื่นนรินทรพิทักษ์พระภัสดา ทรงมีพระศรัทธาบูรณปฏิสังขรณ์และสร้างอุโบสถ วิหาร และเสนาสนะวัดทองบนขึ้นใหม่ทั้งวัด กรมหมื่นนรินทรพิทักษ์ทรงวางผังสร้างอุโบสถใหม่โดยขยายให้กว้างขึ้นและย้ายสถานที่ตั้งใหม่ให้เหมาะสม
ในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประธานปางมารวิชัย ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานนามแก่พระประธานองค์นี้ว่า ‘พระพุทธชินชาติมาศธรรมคุณ’

วัดทองธรรมชาติ 5สิ่งที่ห้ามพลาดชมด้วยประการทั้งปวงในวัดทองธรรมชาติ คือภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างชั้นครู ที่ถือว่าเป็น 1 ใน 10 ภาพจิตรกรรมฝาผนังของยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่ยังสมบูรณ์ที่สุด โดยส่วนใหญ่วาดเป็นภาพพุทธประวัติในตอนต่างๆ นับเป็นสมบัติล้ำค่าของชาติที่เราต้องช่วยกันหวงแหนวัดทองธรรมชาติ 6 วัดทองธรรมชาติ 7 วัดทองธรรมชาติ 8ผ้าพระบฎอายุนับร้อยปีใส่ไว้ในกรอบทองประดับเหนือประตูหน้าต่างทุกบาน ของพระอุโบสถวัดทองธรรมชาติ คืออีกหนึ่งมรดกแห่งแผ่นดินที่เราต้องช่วยกันรักษาล้ง 1

ทริปแสนสนุกในวันนี้ของ TEATA จบลงอย่าง Happy ที่ ‘ล้ง 1919’ โกดังสินค้าเก่าที่ได้รับการปรับโฉมใหม่ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เปรียบเสมือนท่าเรือประวัติศาสตร์ศิลป์ไทย-จีน ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เขตคลองสาน ฝั่งธนบุรี นี่คือจุดเชื่อมความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกว่า 167 ปีแล้ว

ล้ง 2 ล้ง 3 ล้ง 4 ล้ง 5 ล้ง 6.1 ล้ง 6 ล้ง 7 ล้ง 8 ล้ง 9 ล้ง 10แม้วันนี้ทริปจะจบลงและเราต้องจากกัน แต่แน่นอนว่า ความผูกพันอันเหนียวแน่นของพี่น้องชาว TEATA ยังคงอยู่ เราจะกลับมาพบกันใหม่ เพื่อสรรค์สร้างกิจการงานดีๆ แก่วงการท่องเท่ียวไทย และผืนดินไทย ผืนดินที่เราเรียกว่าบ้านอันเป็นที่รักของเราทุกคน Happy New Year 2018 จ้าIMG_9698สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ TEATA เลขที่ 608/10 ชั้น 1 อาคารบี คอนโดเอสเปซ ถนนอโศก-ดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10170 โทร. 0-2006-0770, 08-3250-9343

สายน้ำใสๆ หัวใจเนิบช้า TEATA พาเที่ยวตลาดน้ำเหล่าตั๊กลัก (ตอน 2)

ดำเนินสะดวก 67ความเดิมจากตอนที่แล้ว สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย หรือ TEATA (Thai Ecotourism and Adventure Travel Association) นำโดย คุณนีรชา วงศ์มาศา นายกสมาคม TEATA และสมาชิก ร่วมกับคณะสื่อมวลชน ได้ลงพื้นที่ตลาดเหล่าตั๊กลัก ‘ประชุมสัญจร ท่องเที่ยวดำเนิน…เพลิน…สุข’ เมื่อวันที่ 28-29 ตุลาคม 2560 ณ เรือนแม่สุภา

ชวนเที่ยวย้อนอดีต รำลึกตลาดน้ำแห่งแรกของสยาม ณ ‘ตลาดเก่าเหล่าตั๊กลัก’ ซึ่งมีทั้งวิถีชีวิตชาวคลอง ชาวสวน ผสมคลุกเคล้ากันลงตัวอย่างน่ารักน่าเที่ยวดำเนินสะดวก 68จากตลาดเหล่าตั๊กลัก ถ้าเรานั้่งรถสองแถวของชาวบ้านลัดเลาะเข้าไปตามถนนสายเล็กๆ อันร่มรื่น ได้เห็นบรรยากาศสวนแบบดั้งเดิมของชาวคลองดำเนินสะดวก ที่ยังมีท้องร่อง ลำราง ลำประโดง เชื่อมโยงผันน้ำเข้ามาหล่อเลี้ยงสวนมะพร้าว สวนผลไม้ มาจนถึงทุกวันนี้ดำเนินสะดวก 69การปอกมะพร้าวด้วยวิธีดั้งเดิม โดยใช้ปลายมีดแหลมตั้งขึ้นจากพื้นดิน อาจแลดูหวาดเสียว แต่พี่เขาชำนาญสุดๆ!ดำเนินสะดวก 70การปอกมะพร้าวด้วยวิธีดั้งเดิม ดำเนินสะดวก 71การปอกมะพร้าวด้วยวิธีดั้งเดิม ดำเนินสะดวก 72มะพร้าวกองโตรอการปอก วันหนึ่งๆ คนที่ชำนาญจะสามารถปอกมะพร้าวได้ไม่ต่ำกว่า 1,000-2,000 ลูก!
ดำเนินสะดวก 73น้ำตาลมะพร้าวแบบดั้งเดิมขนานแท้ (ไม่เติมน้ำตาลทรายลงไปจนหวานเกินพอดี) มีให้ชิมกันทุกวันที่ เรือนจั่นหวานดำเนินสะดวก 74ไม้กวาดทางมะพร้าวฝีมือคุณยายที่ เรือนจั่นหวาน
ดำเนินสะดวก 75 ดำเนินสะดวก 76สมาชิก TEATA ร่วมสัมผัสประสบการณ์ทำน้ำตาลมะพร้าวแบบดั้งเดิม ณ เรือนจั่นหวาน คลองดำเนินสะดวกดำเนินสะดวก 77ที่คลองดำเนินสะดวก มีวิสาหกิจชุมชนผลิตสินค้า OTOP ‘ข้าวทอดกระทงทอง กนกพร’ วันนี้สมาชิก TEATA บุกถึงก้นครัวเขาเลยล่ะดำเนินสะดวก 78ข้าวทอดกระทงทอง กนกพร ดำเนินสะดวก 79ข้าวทอดกระทงทอง กนกพร ดำเนินสะดวก 80นอกจากการเดินเลาะริมน้ำดำเนินสะดวก ตลาดเหล่าตั๊กลัก และนั่งรถสองแถวเที่ยวชมวิถีชาวสวนแล้ว ‘การปั่นจักรยาน’ หรือ Cycling Route ก็เป็นสิ่งที่น่าสนุก เพราะเป็นการเที่ยวแบบ Low Carbon เนิบช้า จะหยุดตรงไหนก็ได้ตามใจชอบ โดยเขาจัดเตรียมเส้นทางปั่นไว้ให้ทั้งใกล้ไกล ตั้งแต่ 1 กิโลเมตร / 15 กิโลเมตร / และมากกว่า 15 กิโลเมตรขึ้นไป โดยมีจักรยาน พร้อมหมวกนิรภัยให้เช่าในราคาประหยัดทุกวันดำเนินสะดวก 81ก่อนเร่ิมปั่นเที่ยว ก็ต้องมาฟังบรรยายสรุปเส้นทางกันก่อน วันนี้เราจะปั่น 15 กิโลเมตร ชมวิถีชาวสวนกันครับดำเนินสะดวก 82ปั่นได้สบายใจ บนถนนเข้าสวนที่แทบไม่มีรถยนต์วิ่งผ่านเลยสักคันดำเนินสะดวก 83รอยยิ้มเปื้อนหน้าสมาชิก TEATA ที่ได้มีโอกาสมาปั่นชมสวนวันนี้ดำเนินสะดวก 84พี่เล็ก สุภาวดี แห่งเรือนแม่สุภา ตลาดเหล่าตั๊กลัก นำขบวน TEATA ปั่นชมสวนเขียวๆ สดชื่นดำเนินสะดวก 85ทางเล็กๆ ปั่นซ๊อกแซ๊กเข้าสวนดำเนินสะดวก 86ไม่ต้องรีบ หยุดพักเหนื่อยแอ๊กท่าถ่ายภาพกันสักนิด (ท่าจะยังมีแรงเหลือ ฮาฮาฮา)ดำเนินสะดวก 87ปั่นมาได้ครึ่งทาง ก็ถึงจุดแวะดื่มน้ำมะพร้าวสดๆ ที่เพิ่งสอยลงมาจากต้น แค่ลูกละ 10 บาทเท่านั้น รสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ เป็นธรรมชาติดีมาก สดชื่นจังดำเนินสะดวก 88ดื่มน้ำมะพร้าวเติมพลัง จะได้มีแรงปั่นเที่ยวสวนต่อดำเนินสะดวก 89วันนี้โชคดี ได้มีโอกาสเห็นวิธีนำมะพร้าวออกมาจากสวนคราวละมากๆ พร้อมกันเป็นร้อยๆ ลูก ด้วยการผูกติดลากออกมาตามท้องร่องสวน แปลก ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยดำเนินสะดวก 90บางช่วงก็ชวนกันเข้าไปปั่นในสวนบ้าง วิวแบบนี้ในเมืองใหญ่ไม่มีแน่นอน ฮาฮาฮาดำเนินสะดวก 91ปั่นยังไงก็ไม่เหนื่อย เพราะไม่ได้ปั่นเร็ว แดดก็ไม่ร้อน ร่มรื่นด้วยสวนสูงสวนเตี้ยดำเนินสะดวก 92ความสนุกจากการปั่นจักรยานชมสวนในวันนี้ จะประทับใจเราไปอีกนาน
ดำเนินสะดวก 93จุดสิ้นสุดของการปั่นจักรยานชมสวนของเรา อยู่ที่ วัดเจริญสุขารามวรวิหาร วัดใหญ่ริมคลองดำเนินสะดวก ที่อยู่ติดกับประตูน้ำบางนกแขวกนั่นเองดำเนินสะดวก 94ประตูน้ำบางนกแขวก เป็นประตูควบคุมระดับน้ำและการสัญจร เชื่อมต่อคลองดำเนินสะดวกกับลำน้ำแม่กลอง จ.ราชบุรีดำเนินสะดวก 95ประตูน้ำบางนกแขวกดำเนินสะดวก 96สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นเดินทัพผ่านไทย ใช้คลองดำเนินสะดวกและลำน้ำแม่กลองเป็นเส้นทางลำเลียงยุทธปัจจัย อเมริกาและฝ่ายสัมพันธมิตรจึงทิ้งระเบิดลงมาเป็นจำนวนมาก แต่ก็มีหลายลูกไม่ระเบิด จึงมีการนำมาจัดแสดงไว้ด้านข้างประตูน้ำบางนกแขวกให้ชมกันดำเนินสะดวก 97ตลาดน้ำบางนกแขวก (หรือ ตลาดบน) ริมน้ำหน้าวัดเจริญสุขารามวรวิหารดำเนินสะดวก 98เหนื่อยจากการปั่นจักรยานมา 15 กิโลเมตรแล้ว ขากลับไปตลาดเหล่าตั๊กลัก เราเลยใช้วิธีล่องเรือหางยาวชมคลองดำเนินสะดวก ให้เรือแล่นไปช้าๆ รับลมเย็นๆ ตามแบบ Slow Life Slow Boatดำเนินสะดวก 99บ้านเรือนริมคลองดำเนินสะดวกดำเนินสะดวก 100เรือนไทยริมคลองดำเนินสะดวก
ดำเนินสะดวก 101บรรยากาศคลองดำเนินสะดวกในปัจจุบันดำเนินสะดวก 102เที่ยวกันมาทั้งวันแล้ว ถ้าใครไม่รีบกลับบ้าน และอยากใช้เวลาค้างคืนต่อที่ดำเนินสะดวก เขาก็มีที่พักหลายรูปแบบไว้ให้เลือกนะจ๊ะ อย่างเช่น The Peace Hostel (โทร. 09-8280-5165)ดำเนินสะดวก 103วิวจาก The Peace Hostel มองเห็นเรือกสวนธรรมชาติได้ใกล้แค่เอื้อม
ดำเนินสะดวก 104ห้องนอนรวมแบบ Hostel ในราคาแสนประหยัด ที่ The Peace Hostelดำเนินสะดวก 105หรือถ้าชอบความเป็นส่วนตัวมากขึ้น และต้องการนอนริมน้ำจริงๆ ก็มี Homestay ที่ตลาดเหล่าตั๊กลัก (ติดต่อ คุณเล็ก สุภาวดี โทร. 09-9226-6146)
ดำเนินสะดวก 106ไม้แก้วดำเนินรีสอร์ท เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี เพราะมีที่พักเป็นหลังๆ ทั้งแบบโมเดิร์นและเรือนไทยย้อนยุคให้เลือก (โทร. 0-2883-3495)ดำเนินสะดวก 107ไม้แก้วดำเนินรีสอร์ท ดำเนินสะดวก 108ไม้แก้วดำเนินรีสอร์ท ดำเนินสะดวก 109เสน่ห์สายน้ำเงียบสงบยามเช้า สืบสานวิถีพุทธกับการตักบาตรทางน้ำ
ดำเนินสะดวก 110วิถีชีวิตแบบนี้ยังมีให้เห็นแถบดำเนินสะดวก อัมพวา บางน้อย บางคนที บนรอยต่อจังหวัดราชบุรีและสมุทรสงครามดำเนินสะดวก 112โบกมือลาสายน้ำ ขอฝากหัวใจไว้ที่นี่ แล้วเราจะกลับมาพบกันใหม่แน่นอนดำเนินสะดวก 1111การเดินทางของเราจบลงแล้ว แต่การทำงานด้านพัฒนาศักยภาพและความเข้มแข็งของชุมชนโดย TEATA ยังคงดำเนินต่อไป เราหวังว่าอีกไม่นาน ‘ตลาดเก่าเหล่าตั๊กลัก’ ตลาดน้ำแห่งแรกบนแผ่นดินสยาม จะกลับมาฟื้นขึ้นใหม่ได้อย่างสดใสแข็งแรง เช่นเดียวกับอีกหลายชุมชนเก่าอันทรงคุณค่า ที่ยังรอการเจียระไนพลิกฟื้นอยู่เช่นกันIMG_9698

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ TEATA เลขที่ 608/10 ชั้น 1 อาคารบี คอนโดเอสเปซ ถนนอโศก-ดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10170 โทร. 0-2006-0770, 08-3250-9343

หรือติดต่อ คุณเล็ก สุภาวดี โทร. 09-9226-6146 แห่งเรือนแม่สุภา ตลาดน้ำเหล่าตั๊กลัก คลองดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี

สายน้ำใสๆ หัวใจเนิบช้า TEATA พาเที่ยวตลาดน้ำเหล่าตั๊กลัก (ตอน 1)

ดำเนินสะดวก 1เรือแจวน้อยลำนั้นค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปพร้อมสายน้ำที่ยังคงไม่หยุดไหลแม้สักวินาที จะมีใครรู้บ้างว่า ที่นี่คือ ‘ตลาดน้ำเหล่าตั๊กลัก’ ตลาดน้ำแห่งแรกของสยาม อันเป็นต้นกำเนิดตลาดน้ำคลองดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ที่ผู้คนทั่วโลกพากันมาชม ทว่าตลาดน้ำเหล่าตั๊กลักในวันนี้อาจจะดูเงียบเหงา เก็บงำเรื่องราวในอดีตไว้อย่างเงียบเชียบ รอคนรุ่นใหม่ให้เดินทางเข้าไปพูดคุยกับคนรุ่นเก่า รับฟังเรื่องราวของอดีต ที่มาบรรจบ ณ ปัจจุบัน
ดำเนินสะดวก 2ตลาดน้ำเหล่าตั๊กลั๊ก ตั้งอยู่ริม ‘คลองดำเนินสะดวก’ ซึ่งเป็นคลองขุดด้วยแรงงานคนในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้ชื่อว่าเป็นคลองขุดที่ยาวและตรงที่สุดของไทยในปัจจุบัน คือยาวถึง 32 กิโลเมตร ด้วยฝีมือแรงงานชาวจีนแต้จิ๋วและจีนไหหลำ โดยใช้เวลาขุดอยู่นาน 2 ปีกว่า (พ.ศ.2409-2411) เพื่อใช้เป็นคลองลัด เชื่อมต่อแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำแม่กลองเข้าด้วยกัน โดยน้ำจากคลองดำเนินสะดวกได้ช่วยหล่อเลี้ยงวิถีเกษตรสองฟากฝั่ง ชาวบ้านมีชีวิตความเป็นอยู่เจริญเป็นอย่างมาก จนชาวบ้านได้พายเรือนำพืชผลนานาชนิดมาค้าขายแลกเปลี่ยนกัน เกิดเป็นตลาดน้ำเหล่าตั๊กลักขึ้นในที่สุด
ดำเนินสะดวก 3กระทั่งเมื่อ พ.ศ. 2510 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้นำภาพของตลาดน้ำอันแสนน่ารักนี้เผยแพร่ออกสู่สายตาชาวโลก จนเป็นที่โด่งดังมาถึงปัจจุบัน ทว่าต่อมาเมื่อมีการตัดถนนผ่าน ตลาดน้ำได้ย้ายจากเหล่าตั๊กลัก ไปอยู่ ณ จุดที่ตั้งปัจจุบัน ทำให้ตลาดน้ำเหล่าตั๊กลักซบเซาเงียบเหงาลง แล้วถูกลืมไปในที่สุด แต่ในความเป็นจริง ลูกหลานเหล่าตั๊กลักก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในบ้านริมน้ำคลองดำเนินสะดวกสืบมาดำเนินสะดวก 4แม้ภาพวิถีเก่าๆ ที่น้ำท่วมทุกปีในช่วงเดือนสิบเอ็ดเดือนสิบสองน้ำนองเต็มตลิ่ง จะไม่มีให้เห็นอีกแล้ว (เพราะมีการสร้างเขื่อนเจ้าพระยา) ทว่าวิถีชาวน้ำแห่งเหล่าตั๊กลักก็ยังคงมีลมหายใจตราบทุกวันนี้ดำเนินสะดวก 5ทุกวันนี้เร่ิมมีการฟื้นฟู ตลาดเหล่าตั๊กลัก (เป็นภาษาจีนแปลว่า ตลาดเก่า) ร้านรวงกว่า 50 เปอร์เซนต์ เริ่มกลับมาเปิดตัวอีกครั้ง ในบรรยากาศเก่าๆ ดั้งเดิมขนานแท้ สามารถเดินเที่ยวชมได้แบบชิลชิล ไม่แออัดดำเนินสะดวก 6ในขณะที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวกในปัจจุบันเนืองแน่นแออัดไปด้วยนักท่องเที่ยววันละเป็นหมื่นคน (โดยเฉพาะเสาร์-อาทิตย์) เพียงเดินข้ามสะพานข้ามคลองดำเนินสะดวกมาอีกฝั่งที่ ตลาดเก่าเหล่าตั๊กลัก บรรยากาศที่พบก็จะเป็นคนละโลกกันเลย ในความเนิบช้า น่ารัก และสงบเงียบ สามารถเดินพูดคุยกับชาวบ้านริมคลองได้แบบไม่ต้องเร่งร้อนดำเนินสะดวก 7ร้านขายผ้าถุงตรงหัวมุม โดยคุณยายใจดีหน้าตายิ้มแย้มดำเนินสะดวก 8ร้านขายของชำแบบเก่าๆ เป็นมิตรสนิทกันเหมือนญาติ ด้วยอัธยาศัยไมตรีแบบชาวจีนเหล่าตั๊กลักแท้ๆดำเนินสะดวก 9สินค้าหลายอย่างชวนให้นึกถึงวัยเด็กเนอะดำเนินสะดวก 10งานฝีมือน่ารักๆ ที่สะท้อนความผูกพันระหว่างคนและสายน้ำคลองดำเนินสะดวก จ.ราชบุรีดำเนินสะดวก 11แม้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่คุณป้าก็เปิดหน้าบ้านที่หันออกริมน้ำ ขายหมวกขายพัดเล็กๆ น้อยๆ ให้นักท่องเที่ยวที่เดินมาเยือนเหล่าตั๊กลักดำเนินสะดวก 12ด้วยความน่ารัก มีคุณค่าเรื่องราวเรื่องเล่าย้อยไปได้กว่า 140 ปี ของตลาดเก่าเหล่าตั๊กลัก สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย หรือ TEATA (Thai Ecotourism and Adventure Travel Association) นำโดย คุณนีรชา วงศ์มาศา นายกสมาคม TEATA และสมาชิก ร่วมกับคณะสื่อมวลชน ได้ลงพื้นที่ตลาดเหล่าตั๊กลัก ‘ประชุมสัญจร ท่องเที่ยวดำเนิน…เพลิน…สุข’ เมื่อวันที่ 28-29 ตุลาคม 2560 ณ เรือนแม่สุภาดำเนินสะดวก 13นอกจากจะเป็นการประชุมสัญจรของสมาคม TEATA แล้ว ยังถือเป็นการลงมาสัมผัสชุมชนตลาดเก่าเหล่าตั๊กลักในเชิงลึก เพื่อช่วยให้คำแนะนำชุมชนพัฒนาศักยภาพเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ ในอนาคตอันใกล้นี้
ดำเนินสะดวก 14ผู้นำชุมชนตลาดเหล่าตั๊กลัก บรรยายสรุปประวัติความเป็นมาและความสำคัญ ของตลาดน้ำแห่งแรกในเมืองไทยให้สมาชิก TEATA ฟัง ณ เรือนแม่สุภา ซึ่งจริงๆ ในอดีตที่นี่เรียกว่า ‘ตลาดห้าห้อง’ หรือ ‘ตึกแดง’ ใช้เป็นที่พักแรงงานชาวจีนที่มาขุดคลองดำเนินสะดวกเมื่อ 140 ปีที่แล้วนั่นเองดำเนินสะดวก 15สภาพคลองดำเนินสะดวกในปัจจุบัน ยังคงมีบ้านเรือนปลูกชิดริมน้ำ และเรือประเภทต่างๆ ทั้งเรือของชาวบ้านและเรือท่องเที่ยว แล่นไปมาเติมจังหวะสีสันอยู่ทุกวันดำเนินสะดวก 16ไม่ได้มีแต่เรือหางยาวติดเครื่องยนต์นะจ๊ะ เรือพายขายผลไม้ก็ยังมีให้เห็นเหมือนกันดำเนินสะดวก 17ภาพชีวิตเนิบช้าและเงียบสงบ บริเวณคลองดำเนินสะดวก ตลาดน้ำเหล่าตั๊กลัก ในปัจจุบัน
ดำเนินสะดวก 18ใช้ชีวิตผูกพันอยู่กับสายน้ำทุกเช้าค่ำ ณ ตลาดเก่าเหล่าตั๊กลักดำเนินสะดวก 19คลองดำเนินสะดวกบริเวณตลาดเหล่าตั๊กลัก แม้เรือพายขายของจะย้ายไปอยู่ที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวกกันหมด แต่ ณ จุดนี้เอง คือต้นกำเนิดตลาดน้ำแห่งแรกของสยามดำเนินสะดวก 20เรือติดเครื่องยนต์คำรามแล่นตัดผิวน้ำคลองดำเนินสะดวก พานักท่องเที่ยวกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าไปยังตลาดน้ำดำเนินสะดวกอันคลาคล่ำ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีเรือพายที่อนุรักษ์วิถีเนิบช้าเอาไว้ดำเนินสะดวก 21เรือบางลำอาจจะแล่นเร็วและเสียงเครื่องยนต์ดังไปบ้าง ในอนาคตคงต้องมีมาตรการควบคุม ให้เที่ยวกันได้อย่างยั่งยืนตลอดไปนะจ๊ะดำเนินสะดวก 22ยามเช้าที่ตลาดเหล่าตั๊กลัก มีเรือพายขายของแบบ Super Market ลอยน้ำ พายผ่านไปที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวกดำเนินสะดวก 23กล้วยน้ำว้าน่าทานจากสวนใกล้ๆ ตลาดเหล่าตั๊กลัก อัดแน่นมาเต็มลำเรือแจวของคุณป้าดำเนินสะดวก 24แม่ลูกคู่นี้จะไปไหนกันจ๊ะ? น่าอิจฉาจังมีเรือส่วนตัวด้วย ชวนให้นึกถึงเมืองเวนิสที่อิตาลีเลยนะเนี่ยะ ฮาฮาฮาดำเนินสะดวก 25เรือพายขายไอศกรีมมะพร้าวผ่านหน้าตลาดเหล่าตั๊กลักทุกวันดำเนินสะดวก 26กิจกรรมน่าสนุกสำหรับการมาเยือนตลาดแห่งนี้ คือ Walking Tour ที่จะนำเราก้าวเดินกลับสู่อดีต ชื่นชมสถาปัตยกรรมเรือนไม้ตลาดจีนริมน้ำแบบเก่า อีกทั้งได้หยุดแวะพูดคุยกับเจ้าบ้านแสนน่ารักดำเนินสะดวก 27ใครที่ต้องการหามุมสงบๆ ไม่แออัดวุ่นวาย ตลาดเหล่าตั๊กลักอาจคือคำตอบสุดท้ายของคุณดำเนินสะดวก 28Walking Tour เดินเที่ยวชมร้านรวงของตลาดเก่าเหล่าตั๊กลัก น่ารัก และย้อนยุคดีเหลือเกินดำเนินสะดวก 29ศิลปินหลายคนที่มีสายเลือดเหล่าตั๊กลักแท้ๆ พากันมาฝังตัวสร้างสรรค์งานศิลป์ ที่สะท้อนถึงวิถีชีวิต ความทรงจำ และความผูกพันกับบ้านเกิดดำเนินสะดวก 30แถบนี้มีสวนมะพร้าวเยอะ ศิลปินแห่งตลาดเก่าเหล่าตั๊กลักจึงนำกะลามะพร้าวมาเนรมิตเป็น Souvenir สวยๆ น่าซื้อกลับบ้านดำเนินสะดวก 31บ้านเจ๊จึง เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชนเล็กๆ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเดินชมตลาดเหล่าตั๊กลัก เพราะจะได้รับฟังอดีตความเป็นมาของพื้นที่ตรงนี้
ดำเนินสะดวก 32บรรยากาศย้อนยุคที่ยังมีการใช้งานอยู่อาศัยจริง ของตลาดเหล่าตั๊กลัก
ดำเนินสะดวก 33รถเด็กเล่นปั่นได้จริง เก่าเก็บ แต่ทรงคุณค่าทางจิตใจสำหรับใครหลายๆ คนดำเนินสะดวก 34คุณแตง ศิลปินนักวาดภาพสายเลือดเหล่าตั๊กลักแท้ๆ พอเรียนจบแล้วก็กลับบ้าน คิดค้นการวาดภาพจากยางต้นกล้วย พร้อมเปิดที่พักและสอนศิลปะไปในตัว น่าชื่นชมจริงๆ (สนใจติดต่อ โทร. 08-9771-1023)ดำเนินสะดวก 35คุณแต่งแห่งเหล่าตั๊กลัก สาธิตการวาดภาพจากยางต้นกล้วยให้เราชมดำเนินสะดวก 36งาน Recycle ขยะพลาสติก มาสานเป็นกระเป๋าเก๋ไก๋ใบเล็กๆ ของคุณแตง ช่วยลดขยะให้โลก แถมยังได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์แนวใหม่แบบ Eco Productดำเนินสะดวก 37อาหารขึ้นชื่อของตลาดเหล่าตั๊กลักมีหลายอย่าง ที่โด่งดัง เช่น ก๋วยเตี๋ยวเจ๊หมวย เป็นก๋วยเตี๋ยวเรือต้มยำรสเด็ด ปรุงและคลุกเคล้ามาให้เสร็จ ไม่ต้องปรุงเพิ่ม ราคาก็แค่ 30-40 บาทเท่านั้นเอง แต่ความอร่อยเกินร้อย
ดำเนินสะดวก 38แวะชิม ก๋วยเตี๋ยวเจ๊หมวย ก่อนไหมจ๊ะ?ดำเนินสะดวก 39อาหารพิเศษตำรับชาววัง เป็นเมนูรับลมหนาวที่เรือนแม่สุภา ตลาดเหล่าตั๊กลัก เรียกว่า ‘ข้าวมัน ส้มตำ แกงไก่พริกขี้หนู หมูฝอย น้ำพริกมะขามเปียก’ รับรองว่าหาทานยากครับ
ดำเนินสะดวก 40ผัดไทยวุ้นเส้น สูตรเรือนแม่สุภา รสชาตินุ่มนวลชวนล้ิมลองมากๆดำเนินสะดวก 41แม้หน้าตาจะธรรมดา แต่ส้มตำของเรือนแม่สุภาพ รสชาติไม่เป็นรองใครเลยจริงๆ
ดำเนินสะดวก 42ข้าวเกรียบปากหม้อ ของเรือนแม่สุภาดำเนินสะดวก 43ขนมกล้วยแบบจีนแท้ๆ ที่เรือนแม่สุภาดำเนินสะดวก 44เส้นทางเดินเที่ยวตลาดเก่าเหล่าตั๊กลัก เลาะเลียบคลองดำเนินสะดวกไปเรื่อยๆ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร เป็น Walking Route ที่น่ารัก เที่ยวง่าย นำเราเข้าไปสัมผัสวิถีชาวคลองโดยแท้ดำเนินสะดวก 45เส้นทางเดินเที่ยวเลาะริมคลองดำเนินสะดวก สวยงาม มีสีสันทั้งจากดอกไม้และวิถีชีวิตผู้คนดำเนินสะดวก 46เดินเล่นเย็นใจในแบบ Slow Life ริมคลองดำเนินสะดวกดำเนินสะดวก 47น้ำยังสะอาดขนาดโดดเล่นได้อย่างไม่ต้องกังวล
ดำเนินสะดวก 48ว่างๆ ก็ลงไปแช่น้ำคลายร้อนซะเลย ฮาฮาฮาดำเนินสะดวก 49ถ้าน้ำไม่สะอาดจริง ปลาเสือตอตัวใหญ่อวบอ้วนขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเรา คงจะอยู่ไม่ได้แน่นอนดำเนินสะดวก 50เมื่อคนดูแลสายน้ำ สายน้ำก็เอื้ออาทรต่อผู้คนดำเนินสะดวก 51หน้าบ้านน่ามอง ณ ริมน้ำคลองดำเนินสะดวกดำเนินสะดวก 52สายน้ำช่วงตลาดเก่าเหล่าตั๊กลักในปัจจุบัน ยังคงสวยงาม สดใส เงียบสงบ เป็นวิถีชาวน้ำชาวคลองแห่งลุ่มภาคกลางอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครดำเนินสะดวก 53 วัดราษฎร์เจริญธรรม 1เส้นทางเดินเที่ยว Walking Tour ของเรา จากหน้าตลาดเหล่าตั๊กลัก ไปจบลงที่ วัดราษฎร์เจริญธรรม วัดใหญ่อันเก่าแก่ที่อยู่คู่คลองดำเนินสะดวกมาช้านานดำเนินสะดวก 54 วัดราษฎร์เจริญธรรม 2ภายในพระอุโบสถใหญ่วัดราษฎร์เจริญธรรม มีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือชั้นครู สะท้อนงานศิลป์ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ด้วยภาพเทพชุมนุมอันงามวิจิตรดำเนินสะดวก 55หลังจากเดินเที่ยวริมคลองดำเนินสะดวกกันจนชุ่มปอดแล้ว เราก็เปลี่ยนบรรยากาศมานั่งรถสองแถวท้องถิ่นเที่ยวชมวิถีบนบกกันบ้างดำเนินสะดวก 56จุดแรกที่ห้ามพลาดชมด้วยประการทั้งปวง คือโรงแจแห่งแรกของคลองดำเนินสะดวก มีอายุร้อยกว่าปีแล้ว ชื่อ ‘โรงเจฮะอี๊ตั๊ว’ ซึ่งในวันนี้กำลังมีเทศกาลกินเจอยู่พอดี ผู้คนจึงคึกคักมากดำเนินสะดวก 57โรงเจฮะอี๊ตั๊ว
ดำเนินสะดวก 58โรงเจฮะอี๊ตั๊ว ดำเนินสะดวก 59โรงเจฮะอี๊ตั๊ว ดำเนินสะดวก 60วันนี้ตรงกับเทศกาลกินเจ ของไหว้ในโรงเจจึงมีมากเป็นพิเศษดำเนินสะดวก 61โรงเจฮะอี๊ตั๊ว ดำเนินสะดวก 62จุดเด่นของ โรงเจฮะอี๊ตั๊ว คือมีภาพวาด 10 ขุมนรกของจีน ซึ่งนำมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ของแท้ นับเป็นศิลปะวัตถุโบราณล้ำค่าของชุมชนชาวคลองดำเนินสะดวกดำเนินสะดวก 63สถาปัตยกรรมจีนอันละเอียดอ่อนและเปี่ยมสีสันของ โรงเจฮะอี๊ตั๊วดำเนินสะดวก 64บรรยากาศในช่วงเทศกาลกินเจที่ โรงเจฮะอี๊ตั๊วดำเนินสะดวก 65พลังศรัทธาหลั่งไหลสู่ โรงเจฮะอี๊ตั๊วดำเนินสะดวก 66เรื่องราวความน่าสนใจแห่งคลองดำเนินสะดวก และการสำรวจพื้นที่ของสมาคม TEATA ยังมีอีกมาก โปรดติดตามในตอน 2 ต่อไปนะครับIMG_9698สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ TEATA เลขที่ 608/10 ชั้น 1 อาคารบี คอนโดเอสเปซ ถนนอโศก-ดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10170 โทร. 0-2006-0770, 08-3250-9343

หรือติดต่อ คุณเล็ก สุภาวดี โทร. 09-9226-6146 แห่งเรือนแม่สุภา ตลาดน้ำเหล่าตั๊กลัก คลองดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี

10 มหัศจรรย์ ประจวบคีรีขันธ์

L21

(1) ทะเลบัวเขาสามร้อยยอด ล่องเรือชมความบริสุทธิ์ของธรรมชาติในอ้อมกอดเขาหินปูนสุดอลังการริมอ่าวไทย เป็นทะเลบัวหลวงผืนใหญ่ในบึงน้ำชุ่มฉ่ำ ให้ความรู้สึกสดชื่นจริงๆL23 L25PRJ_2543(2) ชายฝั่งเขาแดง บนรอยต่อประจวบคีรัขันธ์-ชุมพร ประติมากรรมธรรมชาติบนรอยต่อของบกและทะเล หนึ่งเดียวในเมืองไทยPRJ_2530 PRJ_2554 PRJ_2561_DSC0552 (3) เกาะทะลุ อำเภอบางสะพานน้อย เกาะส่วนตัวแสนโรแมนติก ที่เป็นเหมือนสวรรค์กลางอ่าวไทย
_DSC0579 _DSC0637 _DSC0643 _DSC0793 _DSC0816 01 08 021_ONG2662(4) ชายหาดบ้านกรูด ชายหาดเงียบสงบแห่งความโรแมนติก เงียบสงบเป็นส่วนตัว สะท้อนมนต์เสน่ห์ทะเลประจวบฯ อย่างแท้จริงPRJ_2583ขี่ม้า สวนสน 2(5) ชายหาดสวนสน อำเภอหัวหิน หาดแห่งการพักผ่อนภายใต้ทิวสนทะเลเรียงราย ไปนอนฟังเสียงสนลู่ลมกระซิบรักกับเกลียวคลื่นขี่ม้า สวนสน ชายหาด สวนสนPRJ_2512

(6) ป่าชายเลนสิรินาถราชินี แห่งปรากน้ำปราณบุรี อาณาจักรแห่งสรรพชีวิต ที่กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ระบบนิเวศน์ป่าชายเลนสำหรับทุกคน_DSC7287Mangrove Forest 2 PRJ_2445 PRJ_2463 PRJ_2489 ปล่อยปู_DSC7243(7) คลองเขาแดง ตัวแทนความอุดมสมบูรณ์ของเขาสามร้อยยอด ล่องเรือชมลำคลองชุ่มฉ่ำ สัมผัสวิถีประมงพื้นบ้าน และดูนกที่อาศัยป่าชายเลนเป็นบ้านอันสงบ_DSC7266_DSC7171 _DSC7198 _DSC7226 _DSC7235PRJ_2735(8) ช้างป่าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ชมช้างป่าราชาแห่งป่าดิบเทือกเขาตะนาวศรี สัตว์ใหญ่สัญลักษณ์แห่งชาติไทย ที่ช่วยต่อเติมระบบนิเวศน์ให้สมบูรณ์
PRJ_2738PRJ_2596(9) เขาธงชัย กราบพระมหาเจดีย์ภักดีประกาศ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระพุทธกิตติสิริชัย ศิลปะอินเดียอันงดงาม จากนั้นชมวิวหาดบ้านกรูดจากมุมสูงได้แบบกว้างไกลสุดสายตาPRJ_2603 PRJ_2619 PRJ_2629 PRJ_2638_ONG1885(10) ศูนย์สตรีทอผ้าหมู่บ้านเขาเต่า อำเภอหัวหิน พระราชทานไว้โดยพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เพื่อจัดเป็นอาชีพทางเลือกให้กับชาวบ้าน และชาวประมงในพื้นที่_ONG1904 _ONG1928 PRJ_2434 PRJ_2438

เที่ยววิถีข้าววิถีไทย อิ่มทั้งใจ อิ่มทั้งท้อง

tigerland-farm-%e0%b9%80%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a2-1(1) Tigerland Farm จ.เชียงราย
tigerland-farm-%e0%b9%80%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a2-2 tigerland-farm-%e0%b9%80%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a2-3 tigerland-farm-%e0%b9%80%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a2-4%e0%b9%80%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a2-%e0%b9%84%e0%b8%a3%e0%b9%88%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%a2%e0%b9%8c-1

(2) ไร่รื่นรมย์ จ.เชียงราย%e0%b9%80%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a2-%e0%b9%84%e0%b8%a3%e0%b9%88%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%a2%e0%b9%8c-2 %e0%b9%80%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a2-%e0%b9%84%e0%b8%a3%e0%b9%88%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%a2%e0%b9%8c-3 %e0%b9%80%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a2-%e0%b9%84%e0%b8%a3%e0%b9%88%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%a2%e0%b9%8c-4 %e0%b9%80%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b9%88-%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a7-green-valley-1

(3) พร้าว Green Valley อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
%e0%b9%80%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b9%88-%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a7-green-valley-2 %e0%b9%80%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b9%88-%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a7-green-valley-3 %e0%b9%80%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b9%88-%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a7-green-valley-4 %e0%b9%80%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b9%88-%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a7-green-valley-5 %e0%b9%80%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b9%88-%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a7-green-valley-6%e0%b8%a2%e0%b9%82%e0%b8%aa%e0%b8%98%e0%b8%a3-%e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%a7%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%87-%e0%b8%97%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a2%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2

(4) บ้านกว้าง ท่าเยี่ยม อ.เมือง จ.ยโสธร
%e0%b8%a2%e0%b9%82%e0%b8%aa%e0%b8%98%e0%b8%a3-%e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%a7%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%87-%e0%b8%97%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a2%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2 %e0%b8%a2%e0%b9%82%e0%b8%aa%e0%b8%98%e0%b8%a3-%e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%a7%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%87-%e0%b8%97%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a2%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2 %e0%b8%a2%e0%b9%82%e0%b8%aa%e0%b8%98%e0%b8%a3-%e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%a7%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%87-%e0%b8%97%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a2%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2 %e0%b8%a2%e0%b9%82%e0%b8%aa%e0%b8%98%e0%b8%a3-%e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%a7%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%87-%e0%b8%97%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a2%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2 %e0%b8%a2%e0%b9%82%e0%b8%aa%e0%b8%98%e0%b8%a3-%e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%a7%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%87-%e0%b8%97%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a2%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%ac%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%98%e0%b8%b8%e0%b9%8c-%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%87-dr-jame-1

(5) ข้าวเขาวง จ.กาฬสินธุ์
%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%ac%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%98%e0%b8%b8%e0%b9%8c-%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%87-dr-jame-2 %e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%ac%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%98%e0%b8%b8%e0%b9%8c-%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%87-dr-jame-3 %e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%ac%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%98%e0%b8%b8%e0%b9%8c-%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%87-dr-jame-4 %e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%ac%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%98%e0%b8%b8%e0%b9%8c-%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%87-dr-jame-5 %e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%ac%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%98%e0%b8%b8%e0%b9%8c-%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%87-dr-jame-6 %e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%ac%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%98%e0%b8%b8%e0%b9%8c-%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%87-dr-jame-7 %e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%ac%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%98%e0%b8%b8%e0%b9%8c-%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%87-dr-jame-8%e0%b8%ad%e0%b8%b3%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%88%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%8d-%e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%ad%e0%b8%a1%e0%b9%89%e0%b8%b2

(6) บ้านนาหมอม้า จ.อำนาจเจริญ
%e0%b8%ad%e0%b8%b3%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%88%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%8d-%e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%ad%e0%b8%a1%e0%b9%89%e0%b8%b2 %e0%b8%ad%e0%b8%b3%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%88%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%8d-%e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%ad%e0%b8%a1%e0%b9%89%e0%b8%b2 %e0%b8%ad%e0%b8%b3%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%88%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%8d-%e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%ad%e0%b8%a1%e0%b9%89%e0%b8%b2 %e0%b8%ad%e0%b8%b3%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%88%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%8d-%e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%ad%e0%b8%a1%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%8a%e0%b8%b1%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%97-%e0%b8%9a%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%94%e0%b8%b2-1

(7) บ้านบ่าวปรีดา จ.ชัยนาท%e0%b8%8a%e0%b8%b1%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%97-%e0%b8%9a%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%94%e0%b8%b2-2 %e0%b8%8a%e0%b8%b1%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%97-%e0%b8%9a%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%94%e0%b8%b2-3 %e0%b8%8a%e0%b8%b1%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%97-%e0%b8%9a%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%94%e0%b8%b2-4%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%88%e0%b8%b5%e0%b8%99%e0%b8%9a%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%b5-buffalo-farm-1

(8) Buffalo Farm จ.ปราจีนบุรี%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%88%e0%b8%b5%e0%b8%99%e0%b8%9a%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%b5-buffalo-farm-2 %e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%88%e0%b8%b5%e0%b8%99%e0%b8%9a%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%b5-buffalo-farm-3 %e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%88%e0%b8%b5%e0%b8%99%e0%b8%9a%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%b5-buffalo-farm-4%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%81%e0%b8%81%e0%b9%89%e0%b8%a7-%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%a2%e0%b9%8c-1

(9) โรงเรียนกาสรกสิวิทย์ จ.สระแก้ว%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%81%e0%b8%81%e0%b9%89%e0%b8%a7-%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%a2%e0%b9%8c-2 %e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%81%e0%b8%81%e0%b9%89%e0%b8%a7-%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%a2%e0%b9%8c-3 %e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%81%e0%b8%81%e0%b9%89%e0%b8%a7-%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%a2%e0%b9%8c-4%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%97%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b8%87-%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%82%e0%b9%8c%e0%b8%ab%e0%b8%a2%e0%b8%94-1

(10) ข้าวสังข์หยด อ.ควนขนุน จ.พัทลุง%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%97%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b8%87-%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%82%e0%b9%8c%e0%b8%ab%e0%b8%a2%e0%b8%94-2 %e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%97%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b8%87-%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%82%e0%b9%8c%e0%b8%ab%e0%b8%a2%e0%b8%94-3 %e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%97%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b8%87-%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%82%e0%b9%8c%e0%b8%ab%e0%b8%a2%e0%b8%94-4 %e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%97%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b8%87-%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%82%e0%b9%8c%e0%b8%ab%e0%b8%a2%e0%b8%94-5 %e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%97%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b8%87-%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%82%e0%b9%8c%e0%b8%ab%e0%b8%a2%e0%b8%94-6 %e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%97%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b8%87-%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%82%e0%b9%8c%e0%b8%ab%e0%b8%a2%e0%b8%94-7%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%87%e0%b8%b2-%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%b0%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%a2-1

(11) เกาะยาวน้อย จ.พังงา%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%87%e0%b8%b2-%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%b0%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%a2-2 %e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%87%e0%b8%b2-%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%b0%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%a2-3 %e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%87%e0%b8%b2-%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%b0%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%a2-4