ดำน้ำตามหาปลาการ์ตูน ปลาน่ารักแห่งเกาะผี จ.ตราด
ทะเลเป็นของปลา ฟ้าเป็นของนก แต่ทริปนี้เราจะพาคนชื่อ “หมอนก” ไปดำน้ำดูปลาการ์ตูนในทะเลกันที่เกาะผี ฮาฮาฮา
เกาะผี เป็นเกาะเล็กๆ คล้ายกองหินโผล่พ้นน้ำ รอบเกาะไม่มีหาดทราย มีแต่โขดหินขรุขระที่มีหอยนางรมเกาะอยู่นับไม่ถ้วน มองเผินๆ เหมือนจะไม่มีอะไร แต่โลกใต้น้ำรอบเกาะผีนั้นสุดยอดจริงๆทริปดำน้ำเที่ยวเกาะผีในวันนี้ จริงๆ แล้วเป็นส่วนหนึ่งของ โครงการ Castaway @Low Carbon Island 2016 ของ อพท. หรือ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) เพื่อนำเรามาลั้นลาสัมผัสเกาะหมาก และหมู่เกาะใกล้เคียง ให้เห็นทั้งในด้านความงาม ความอุดมสมบูรณ์ และวิถีชีวิตคนบนเกาะ ที่ยังคงผูกพันกับทะเล กินอยู่เรียบง่าย ภายใต้แนวคิด “ปลดปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศโลกให้น้อยที่สุด”
การจะไปดำน้ำที่เกาะผี ใกล้สุดต้องลงเรือที่อ่าวพระ ทางชายฝั่งด้านทิศเหนือของเกาะหมาก
คนบนเกาะหมากเล่าให้ฟังว่า สำหรับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ เวลามาเที่ยวเกาะหมากแล้วซื้อแพ็กเกจดำน้ำแบบ One Day Trip ก็จะได้ไปแค่หมู่เกาะรัง ไม่ค่อยมีใครได้มาเกาะผี คนที่มีโอกาสไปเที่ยวเกาะผี จึงเป็นเพื่อนสนิทของคนบนเกาะหมากเท่านั้น วันนี้เราจึงโชคดีมากๆ
เรือมุ่งหน้าออกจากอ่าวพระ ตรงดิ่งสู่เกาะผี คุณลุงหมายคนขับเรือบอกว่าไม่เกิน 20 นาที เดี๋ยวก็ถึง
หลังจากดำน้ำดูปะการังกันที่อ่าวผ่องของเกาะหมาก ในช่วงเช้าแล้ว บ่ายวันนี้คุณไมเคิล ซึ่งมีรีสอร์ทเล็กๆ อยู่ที่อ่าวผ่อง ก็มาร่วมแจมทริปด้วย ทำให้ Project Castaway สำรวจเกาะผีในบ่ายนี้ของเรา น่าสนุกยิ่งขึ้น
ก่อนถึงเกาะผี มองไปทางซ้ายมือคือ อ่าวลอม หนึ่งในอ่าวอันเงียบสงบของเกาะหมาก ทว่าไม่มีทางรถยนต์เข้าถึง ต้องใช้เรือเท่านั้น โลกใต้น้ำของอ่าวลอมจึงยังสมบูรณ์มาก
อ่าวลอม มีหาดทรายขาวทอดยาวเคียงคู่ทิวมะพร้าวโอนเอน เป็นธรรมชาติสุดๆ เพราะไม่มีที่พักหรือรีสอร์ทอะไรเลย แถมใต้น้ำยังมีปะการังแข็งอยู่ดาษดื่น
เรือวิ่งเลยอ่าวลอมมานิดเดียว ก็ถึง เกาะผี เกาะเล็กๆ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกองหินขนาดใหญ่โผล่ขึ้นเหนือน้ำ บางส่วนของเกาะเป็นกองหินยอดแหลมๆ ที่มีหอยนางรมเกาะอยู่นับไม่ถ้วน สมัยก่อนคนที่เกาะหมากจะล่องเรือออกมาเกาะผี พร้อมกับเตรียมเหล็กปลายแหลมเรียกว่า สับปะนก มาเพื่อแงะหอยนางรมกินกันสดๆ แกล้มกับยอดกฐินอ่อน และมะนาว แหม.. เขาว่าแซ่บหลายเด้อ!
ถึงเกาะผีแล้วจะรีรออยู่ใย วันนี้อากาศดี แดดไม่ร้อน คลื่นลมสงบ น้ำใส ทัศนวิสัยการมองเห็นได้น้ำกว้างไกล หมอนกสาวสวยโดดลงน้ำเป็นคนแรก
น้ำรอบเกาะผีไม่ลึก ตื้นแค่ 3-5 เมตร ทำให้ดำน้ำดูปะการังง่ายมาก ส่วนใหญ่เป็นปะการังแข็งหลากชนิดหลากสี ราวกับป่าใต้น้ำอันลึกลับ เป็นที่อยู่อาศัย หลบภัย หากิน แพร่พันธุ์ ของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน
คุณไมเคิล เอากล้องถ่ายภาพใต้น้ำตัวใหญ่คู่ใจ ดำดิ่งลงไปช่วยเก็บภาพโลกใต้น้ำของเกาะผี มาให้เราชมกัน
แค่โดดลงน้ำไปไม่นาน ก็มี ปลาผีเสื้อปากยาว (Beak Butterflyfish) หลายตัว ว่ายน้ำมาทักทายเราแล้ว น่ารักมากๆ
โลกใต้น้ำของเกาะผี เต็มไปด้วยความหลากหลายของปะการังแข็งหลากชนิด โดยเฉพาะปะการังโขด (Mountain Coral หรือ Finger Coral) นับว่าโดดเด่นมีจำนวนมากที่สุด พวกมันดึงแคลเซียมคาร์บอเนตมาจากทะเล เพื่อสร้างโครงสร้างแข็งให้ตัวเองอยู่รอด บ้างเป็นสีเหลือง สีน้ำตาล และสีชมพูอ่อน ราวกับเขาวงกตใต้น้ำอย่างไรอย่างนั้น!
ในปะการังโขดบางกอ มีหอยสองฝาไปแอบฝังตัวอยู่อาศัยร่วมกันด้วย
โลกใต้น้ำของเกาะผียังอุดมสมบูรณ์มาก สังเกตได้จาก หอยมือเสือ (Giant Clam) ที่มีอยู่มากมาย นอกจากพวกมันจะสวยงามแล้ว ยังมีคุณค่าต่อระบบนิเวศน์แนวปะการังมาก เพราะหอยมือเสือช่วยฟอกน้ำให้สะอาด แถมในเนื้อของมัน ยังมีสาหร่ายซูแซนเทลลีเข้าไปอาศัยอยู่ด้วย มันจึงช่วยสังเคราะห์แสง สร้างออกซิเจนเพิ่มให้น้ำทะเล
หอยมือเสือฝังตัวลงไปในกอปะการังรังผึ้งจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน!
โลกใต้น้ำอันน่าตื่นตาของเกาะผี แม้จะมีหอยเม่นหนามยาวอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้เป็นอันตราย เพราะเราสามารถว่ายน้ำหลบหลีกไปได้ เพื่อชื่นชมปะการังแข็งรูปทรงและสีแปลกๆ
ปะการังแข็งสีเหลืองกับหนอนท่อ อาศัยอยู่ร่วมกัน ช่วยต่อเติมห่วงโซ่อาหารแห่งแนวปะการังให้สมดุลย์
ใต้น้ำของเกาะผีมี หอยเม่นหนามดำ (Sea Urchin : ชื่อวิทยาศาสตร์ Diadema setosum) อยู่อย่างหนาแน่น การดำน้ำเที่ยวชมปะการังจึงต้องระมัดระวังด้วย พยายามลอยตัวในแนวราบขนานกับผิวน้ำไว้ตลอด อย่าเข้าไปใกล้พวกมัน และอย่าให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายไปสัมผัสโดนเด็ดขาด เพราะหนามของมันจะหักติดอยู่ในเนื้อเรา ปวดมาก!!!!
ปะการังโขดกอใหญ่ เติบโตแผ่ขยายอาณาเขตออกไปใต้น้ำ เพื่อให้สิ่งมีชีวิตต่างๆ ได้มาพึ่งพิง
ใต้น้ำรอบเกาะผี มี ปะการังดอกเห็ด (Mushroom Coral) อันสวยงาม กระจายอยู่ทั่วไป ริ้วลายเส้นสายของปะการังชนิดนี้ ชวนให้พิศวงในความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่สร้างสรรค์สรรพชีวิตนับไม่ถ้วนขึ้นปะดับท้องทะเล
ปะการังดอกเห็นบางอัน ก็มีรูปทรงแทบจะกลมดิกเลยล่ะ
ปะการับดอกเห็ด เติบโตขึ้นบนกอปะการังโขดอันอุดมสมบูรณ์ปะการังดอกเห็ด เกาะผี
ฟองน้ำครกขนาดใหญ่มาก แลคล้ายปากปล่องภูเขาไฟใต้น้ำ! ฮาฮาฮา
เห็นเป็นพุ่มพลิ้วไหวไปมาตามกระแสน้ำ แถมสีสวยขนาดนี้ อย่านึกเชียวนะว่าเป็นดอกไม้ทะเล จริงๆ เขาคือ หนอนท่อ (Tube Worm) ชื่อวิทยาศาสตร์ Sabellastarte sp. เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง อาศัยอยู่ในท่อหรือโพรงหินปูนและปะการัง เวลามีภัยมันจะผลุบเข้าไปในโพรงทั้งตัวจนไม่เห็นเลย แต่เมื่อเวลาหาอาหาร มันก็จะโผล่ออกมาสยายกิ่งก้านลักษณะคล้ายซี่กรองอาหารและแพลงก์ตอนเล็กๆ กินจากน้ำทะเล
หนอนท่อ (Tube Worm) ที่เกาะผีมีหลากสีหลายชนิด กระจายอยู่ในเขตน้ำตื้นใสสะอาด คอยกรองกินแพลงก์ตอนเป็นอาหาร แต่น่าแปลกที่ในบริเวณนี้ไม่พบหนอนฉัตร (Christmas-tree Worm) เลย
ดำน้ำวนเวียนดูปะการังแข็งอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเราก็มาพบกับสิ่งที่ตามหา นั่นคือเจ้าปลาแสนน่ารักแห่งท้องทะเลไทย ปลาการ์ตูนอินเดียนแดง (Pink Anemonefish) ชื่อวิทยาศาสตร์ Amphiprion perideraion เป็นปลาการ์ตูนที่พบเห็นได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน ตัวมันยาวแค่ 3-5 เซนติเมตรเท่านั้น ดีใจนะ ที่ได้พบกันวันนี้
ด้วยระดับน้ำที่ลึกแค่ 3-5 เมตร รอบๆ เกาะผี อีกทั้งคลื่นลมไม่ค่อยแรง และน้ำค่อนข้างใส ทำให้ ดอกไม้ทะเล (Sea Anemone) เติบโตได้ดี เชื่อหรือไม่ว่าจริงๆ แล้วดอกไม้ทะเลที่แลพลิ้วไหวอ่อนนุ่ม จริงๆ แล้วเป็นสัตว์อยู่ในตระกูลเดียวกับปะการังแข็ง เพียงแต่ดอกไม้ทะเลไม่สร้างโครงหินปูนขึ้นห่อหุ้มลำตัวเท่านั้นเอง
ดอกไม้ทะเลและปลาการ์ตูนอาศัยอยู่ร่วมกัน แบบพึ่งพากัน โดยปลาการ์ตูนใช้กอดอกไม้ทะเลเป็นบ้าน เป็นที่อาศัยหลบภัย เพราะดอกไม้ทะเลมีเข็มพิษไว้ป้องกันตัว แต่ปลาการ์ตูนไม่เป็นอันตราย เพราะตัวมันมีเมือกพิเศษใช้ป้องกันเข็มพิษดอกไม้ทะเลได้ ส่วนดอกไม้ทะเลได้ประโยชน์จากปลาการ์ตูนคือ ดอกไม้ทะเลให้ปลาการ์ตูนเป็นเหยื่อล่อปลาอื่น
ดอกไม้ทะเลพลิ้วไหวไปมาตามกระแสคลื่นใต้น้ำ งดงามราวกับทุ่งหญ้าต้องลม
ปลาการ์ตูนมีนิสัยอยู่เป็นที่เป็นทาง (ประจำถิ่น) ไม่ย้ายบ้านไปไหน เมื่อมันตัดสินใจอยู่ที่ดอกไม้ทะเลกอใด มันก็จะอยู่ไปตลอดชีวิต จับคู่ ผสมพันธุ์ เลี้ยงลูก กันอยู่ตรงนี้ เราจึงต้องช่วยกันปกป้องอาณาจักรปลาการ์ตูนแห่งเกาะผีไว้ดีๆ
พอดำน้ำลงไปดูใกล้ๆ เจ้าปลาการ์ตูนอินเดียนแดงตกใจ รีบมุดเข้าไปแอบในกอดอกไม้ทะเล ไม่ต้องกลัวหรอกจ้า แค่มาทักทายกันเฉยๆ นะ
สิ่งมีชีวิตโดดเด่นอีกอย่างที่เกาะผี คือ ฟองน้ำครก (Marine Sponges) จริงๆ แล้วมันเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังโบราณ ที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อกว่า 600 ล้านปีก่อน เคยครอบครองความเป็นใหญ่ในอาณาจักรใต้ทะเลยุคเปอร์เมียน หรือเมื่อ 290-248 ล้านปีก่อน ทว่าหลังจากนั้นปะการังก็เพิ่มจำนวนขึ้นแทน
น้ำใสแจ๋ว แถมไม่ลึกมาก ปะการังจึงอยู่ใกล้เราแค่นิดเดียว แต่อย่าไปจับล่ะ เพราะมันอาจมีพิษระคายเคืองผิวหนังได้!
ปะการังโต๊ะ (Table Coral) ขนาดใหญ่ คือแหล่งอาศัยหลบภัยอย่างดีของสิ่งมีชีวิตนานาชนิด
ปะการังแผ่นขนาดใหญ่ งอกงามอยู่บนกอปะการังโขด โดยมีหนอนท่อขอไปพักพิงอิงอาศัย เหมือนอาณาจักรเล็กๆ ใต้น้ำ บางครั้งก็มี ปลาเขียวพระอินทร์ (Moon Wrasse) ว่ายผ่านไปผ่านมา เติมเต็มความอุดมสมบูรณ์
ปะการังรังผึ้ง (Honey Comb Coral) ขึ้นปะปนอยู่กับปะการังแข็งชนิดอื่น
คนเรือที่เกาะหมากเคยเล่าให้ฟังสนุกๆ ว่า ที่เกาะผีมีปล่องภูเขาไฟอยู่ด้วยนะ! เราก็เชื่อสนิท ตื่นเต้นใหญ่ พอดำน้ำลงไปดูจริงๆ มันก็คือฟองน้ำครกขนาดใหญ่ ที่มีทรงอ้วนๆ ตรงกลางกลวงคล้ายปากปล่องภูเขาไฟ! แต่ไม่ใช่ เพราะฟองน้ำแท้จริงคือสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่อาศัยอยู่ใต้น้ำนั่นเอง
ปากปล่องฟองน้ำครก น้ำทะเลจะไหลเข้าทางนี้ เพื่อกรองกินสารอินทรีย์และแพลงก์ตอนเป็นอาหาร
หนอนท่ออันสวยงาม ยามไม่ถูกรบกวน มันจะโผล่ขึ้นมาจากโพรงหินปูน แล้วสยายกิ่งก้านดักจับ กรองอาหารกินจากน้ำทะเลรอบๆ ตัว
หนอนท่อสีสันแปลกตา เพิ่มชีวิตชีวากับแนวปะการังเกาะผี
หนอนท่อกับปะการังแผ่น อยู่ร่วมกันได้เหมือนเพื่อนเนอะ
วันนั้น แม้จะใช้เวลาดำน้ำเล่นกันอยู่ที่เกาะผีแค่ 2-3 ชั่วโมง แต่ก็ประทับใจมาก เพราะได้ตื่นตากับความหลากหลายของปะการังแข็ง ฝูงปลา และอาณาจักรปลาการ์ตูนอินเดียนแดง ที่ยังคงสามารถใช้ชีวิตหากินอยู่อย่างเสรี และปลอดภัย ต้องขอบคุณคนเกาะหมาก และหมู่เกาะโดยรอบแห่งทะเลตะวันออก ที่เห็นคุณค่าของทรัพยากรทางทะเลนี้ แล้วช่วยกันปกป้องไว้ไม่ให้สูญหาย
เพราะสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ถ้าเสื่อมสูญไปวันใด ก็ยากจะสร้างทดแทนกลับคืน! ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง เราสามารถร่วมแรงร่วมใจกันคนละไม้คนละมือ ไปเที่ยวชม ศึกษาเรียนรู้ให้ซึ้งถึงคุณค่า แล้วนำภาพอันงดงามนั้นมาบอกต่อ เพื่อสร้างการท่องเที่ยวแนวใหม่ที่ยั่งยืน ปลดปล่อยคาร์บอนต่ำ
เพื่อให้ท้องทะเลตะวันออก ยังคงเป็นสวรรค์ของพวกเราตลอดไป นะจ๊ะขอขอบคุณ : อพท. หรือ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) และพี่น้องชาวเกาะหมากที่น่ารักทุกท่าน ที่ร่วมมือ ร่วแรงร่วมใจสร้างสรรค์กิจกรรมดีๆ นี้ขึ้น สอบถามโทร. 0-2357-3580-402
Special Thanks : บริษัท Nikon Sales (Thailand) Co., Ltd. สนับสนุนกล้องถ่ายภาพระดับมืออาชีพ D4 และกล้องถ่ายภาพใต้น้ำ AW130 เพื่อการเก็บภาพสวยๆ เหล่านี้มาฝากเพื่อนๆ ทุกคน สนใจสอบถาม โทร. 0-2633-5100
#LowcarbonAtkohmak #CastawayAtkohmak #ติดเกาะโลว์คาร์บอน
Taiwan 6 : อู่หลิงฟาร์ม หุบเขาแห่งซากุระบาน
อู่หลิงฟาร์ม (Wuling Farm) เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตทางภาคเหนือของไต้หวัน โดยตั้งอยู่บนภูเขาสูง ในแนวเทือกเขาแกนกลางของประเทศ เขตตำบล Heping จังหวัด Taichung (จังหวัดนี้ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของไต้หวัน รองจาก New Taipei City และ Kaohsiung) ฟาร์มแห่งนี้มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ.1963 แล้ว โดยมีชื่อเสียงเรื่องพืชผลการเกษตร โดยเฉพาะแอปเปิล ลูกท้อ และลูกแพร์ ปัจจุบันยังเป็นจุดชมซากุระบานอันโด่งดังอีกด้วย ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม จึงมีนักท่องเที่ยวนับแสนคนหลั่งไหลไปสัมผัสความงามของป่าซากุระบานกัน
แม้แต่ที่ลานจอดรถด้านหน้าของ Wuling Farm ก็ยังมีซากุระพื้นเมืองสีชมพูเข้ม เบ่งบานหนาตาขนาดนี้ ใครเห็นก็พากันตื่นเต้น จอดรถถ่ายภาพกันจนเพลินเลยล่ะ
นอกจาก Wuling Farm จะเป็นแหล่งปลูกพืชพักผลไม้เมืองหนาว ทำนองแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรบนที่สูง หรือ Highland Agro-Tourism อันมีชื่อเสียงของไต้หวันแล้ว ยังมีสภาพธรรมชาติอุดมสมบูรณ์มาก ทั้งพืช สัตว์ นก ผีเสื้อ ดอกไม้นานาพันธุ์ คนรักธรรมชาติชวนกันมาแค้มปิ้งได้มีความสุขทั้งครอบครัว
ป้ายตรงทางเข้าด้านหน้า Wuling Farm
จากลานจอดรถและร้านอาหารด้านหน้าฟาร์ม ถ้าขับรถขึ้นเขามาเรื่อยๆ ไม่ไกล ในที่สุดเราก็จะถึง ส่วนบ้านพัก และจุดกางเต็นท์ หรือ Camp Site ที่มองออกไปรอบด้านเห็นภูเขาสูงตระหง่านโอบล้อม ช่างเป็นวิวที่ตระการตาจริงๆ ส่วนบ้านพักเป็นหลังๆ ในลักษณะ log cabin นั้น ก็ต้องจองล่วงหน้านะครับ เพราะคิวค่อนข้างยาว
จากจุดกางเต็นท์ ขับรถเที่ยวเล่นเย็นใจลึกเข้ามาในพื้นที่ของ Wuling Farm ก็จะเริ่มมีผู้คนบางตา แลเห็นป่าเขา รวมถึงแปลงเกษตรที่จะมีพืชผลหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนให้ชม ให้ชิม ให้ซื้อ ตามฤดูกาล
จากระเบียงด้านหน้าบ้านพักหลังน้อย มองออกไปจะเห็นหุบเขาและเทือกเขาขนาดใหญ่เป็นวิวสวย ทักทายเราอยู่เบื้องหน้า อากาศเย็นฉ่ำ รับรองนอนไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศเลยจ้า
ใครที่ไม่นิยมนอนบ้านเป็นหลังๆ Wuling Farm เขาก็จัดพื้นที่กางเต็นท์อย่างดีไว้บริการด้วยจ้า พื้นที่ก็ไม่ใช่เล็กๆ ในแต่ละล็อค มีพื้นที่กางเต็นท์และลานจอดรถของเราไว้ให้คู่กันเลย สะดวกสบายมาก
เต็นท์ขนาดต่างๆ ถูกางเรียงราย พร้อมด้วยเครื่องครัวและเครื่องนอน ที่แต่ละคนตระเตรียมกันมา นี่คือความสุขของคนรักธรรมชาติ รักการใช้ชีวิตกลางแจ้ง ณ Wuling Farm
ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่กันมานาน ตอนนี้ก็ได้เวลาปล่อยกายใจให้เพลิดเพลินกับท้องทุ่ง ป่าเขา ดอกซากุระ และอากาศเย็นสบาย วันเวลาแห่งความสุขที่ Wuling Farm สร้างความประทับใจให้เราได้เสมอ
นอกจาก Wuling Farm จะมีป่าซากุระและธรรมชาติงดงามจนได้รับฉายาว่า “จิ่วจ้ายโกวแห่งไต้หวัน” แล้ว ลำธารในป่าเขาแถบนี้ ยังเป็นที่อยู่ของปลาหายากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก! คือ “แซลมอนไต้หวัน” (ชื่อวิทยาศาสตร์ Oncorhynchus masou formosanus / ชื่อสามัญภาษาอังกฤษ Formosan Landlocked Salmon) เป็นแซลมอนที่ไม่ได้ว่ายน้ำออกไปหากินในทะเล แล้วกลับมาวางไข่ในแหล่งน้ำจืดแบบปลาแซลมอนชนิดอื่น มันจึงเป็น Landlock Salmon ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี
ริมลำธารบางจุดใน Wuling Farm มีการจัดทำที่ยืนไว้ให้ชม Formosan Landlocked Salmon
ลำธารน้ำใสแจ๋ว อุณหภูมิเย็นเฉียบ ที่ Formosan Landlocked Salmon ชอบอาศัยอยู่
ในจุดที่ใกล้ๆ กับแก่งหิน น้ำไหลแรง ฝูงปลา Formosan Landlocked Salmon ก็มักจะไปรวมตัวกันอยู่เพื่อหากิน
มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีชมพูแต่งแต้มอยู่ทั่วไปหมด นี่คือแดนสวรรคืหรือโลกมนุษย์กันแน่นะ?
ป่าซากุระบานแล้วที่ Wuling Farm
ความงามอ่อนหวานของซากุระที่ Wuling Farm
ดอกซากุระสายพันธุ์ไต้หวัน (ชื่อวิทยาศาสตร์ Prunus campanulata) นิยมเรียกกันด้วยชื่อสามัญภาษาอังกฤษว่า Taiwan Cherry หรือ Formosan Cherry หรือ Bellflower Cherry สีเข้มกว่าซากุระญี่ปุ่น
ดอกซากุระสายพันธุ์ไต้หวันแท้ จะมีสีชมพูเข้มจี๊ดจ๊าด โดดเด่นกว่าดอกซากุระสีชมพูหวานทั่วไป อย่างชัดเจน
ดอกซากุระเบ่งบานทั่วหุบเขาของ Wuling Farm ปีหนึ่งมีครั้งเดียว คือในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม
ดอกซากุระญี่ปุ่น ที่ Wuling Farm
ดอกท้อเบ่งบานแข่งกับดอกซากุระในช่วงเวลาเดียวกัน
ดอกไม้ประจำชาติไต้หวัน คือ ดอก Meihua ก็มีให้ชมใน Wuling Farm ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ดอกไม้ชนิดนี้อยู่ในตระกูลเดียวกับพวกเชอร์รี่ ท้อ และพลัมนั่นเอง
ดอกกุหลาบพันปี หรือโรโดเดนดรอนสีชมพูอมม่วงสดใส พบได้เฉพาะบนเขาสูงอากาศหนาวเย็น อย่าง Wuling FarmSpecial Thanks : บริษัท Magic on Tour ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวไต้หวัน สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจ โทร. 02-444-3173, 08-9219-0822
Taiwan 5 : สวนซากุระเมืองหลี่ซาน
ไต้หวันในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ผมว่างามราวสวนสวรรค์ อันนี้ไม่ได้โม้! เพราะเป็นห้วงเวลาที่ดอกไม้นานาชนิด รวมถึงดอกซากุระสายพันธุ์ต่างๆ พากันสะพรั่งบานแต่งแต้มหุบเขา ป่าไม้ และสวนสวยทั่วไต้หวัน หลายมุมถ่ายภาพมาถ้าไม่บอก ก็นึกว่าเป็นญี่ปุ่นชัดๆ! แต่ดูเหมือนว่าสวนซากุระของไต้หวันจะยังไม่ได้รับการโปรโมทมากนัก คนในประเทศเขาเลยเก็บไว้เที่ยวกันเองซะส่วนใหญ่
สวนซากุระเมืองหลี่ซาน (Li Shan Cherry Blossom Garden) ในจังหวัดไทจง (Taichung) ทางตอนเหนือของไต้หวัน เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนจำนวนมาก เพราะมีซากุระหลายพันต้นเบ่งบานพร้อมกัน จนแลไปเหมือนผืนพรมสีชมพู สดชื่น แถมโรแมนติกไม่น้อย
เส้นทางนี้สามารถขับรถเที่ยวเชื่อมโยง จากไทเป-สถานีรถไฟโบราณเมืองเชอเฉิน-ฟาร์มแกชิงจิ้ง-สวนซากุระหลี่ซาน ชมธรรมชาติภูเขาตระการตา และผืนป่าบริสุทธิ์ของไต้หวันได้งามจับใจ
สวนซากุระเมืองหลี่ซาน ไม่เสียค่าเข้าชม เปิดตลอดเวลา ในสวนนี้เด่นด้วยซากุระสีชมพูหวานซึ้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในพรรณพื้นเมืองของไต้หวัน มีการจัดเส้นทางปูนให้เดินชมได้สะดวก พร้อมด้วยจุดนั่งพักท่ามกลางป่าซากุระ
เส้นทางเดินชมซากุระท่ามกลางขุนเขาโอบล้อมรอบด้าน บรรยกาศของ เมืองหลี่ซาน (Li Shan) ช่างน่าอภิรมย์ซะจริงๆ เมืองนี้ยังได้รับฉายาว่าเป็น “หุบเขาแห่งลูกแพร์” อีกด้วยนะจ๊ะ ไปเที่ยวแล้วอย่าลืมชิมล่ะ
บรรยากาศหวานจ๋อย โรแมนติกซะขนาดนี้ เหมาะจะชวนคนรักของเราไปทำซึ้งกันที่สุดแล้วล่ะ
ถ่ายภาพ Pre-Wedding ที่สวนซากุระเมืองหลี่ซาน รับรองภาพออกมางดงามอลังการล้านแปด!
วิธีชมดอกซากุระให้ถูกต้อง คือ ดูแต่ตา มืออย่าต้อง ปล่อยให้ความงามนั้นอยู่คู่ธรรมชาติต่อไป อย่าเด็ด อย่าทำลาย เพื่อให้คนอื่นได้ชื่นชมบ้าง
ในสวนซากุระหลี่ซาน มีซากุระสายพันธุ์ไต้หวันแท้ ที่มีสีชมพูเข้มปรี๊ด ให้ชมกันด้วย โดยแต่ละต้นจะมีขนาดดอกและสีสันเข้มอ่อนต่างกันไปตามความสมบูรณ์ ก็คงเหมือนคนเรานั่นล่ะ ที่มีหน้าตาผิวพรรณผิดแผกกันไป
เพ่งพินิจกันใกล้ๆ ให้เห็น detail รายละเอียดของดอกซากุระอันบอบบาง แต่ละดอกมี 5 กลีบ พร้อมด้วยช่อเกสรตัวผู้เป็นพุ่มฟูขึ้นมาจากกลางดอก ตรงปลายมีติ่งละอองเกสรที่พร้อมจะผสมพันธุ์ โดยใช้แมลงต่างๆ มาช่วยตามธรรมชาติ
Special Thanks : บริษัท Magic on Tour ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวไต้หวัน สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจ โทร. 02-444-3173, 08-9219-0822
Taiwan 4 : สถานีรถไฟโบราณเมืองเชอเฉิน
ไปเที่ยวไต้หวัน ใช่ว่าจะมีแต่อาหารอร่อย แหล่งช้อปปิ้งละลานตา และเมืองใหญ่ที่สุดแสนจะ Modern ทันสมัยเท่านั้นนะประเทศนี้เขาผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก จึงมีร่องรอยของยุคอดีตให้สัมผัสเยอะอยู่ โดยเฉพาะยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และยุคที่เพิ่งเริ่มพัฒนาประเทศ
สำหรับคนที่ชอบเที่ยวแบบย้อนยุค โหยหากลิ่นอายอดีต เราขอแนะนำ “สถานีรถไฟโบราณ เมืองเชอเฉิน” (Old Train Station of Checheng) ตั้งอยู่ในจังหวัดหนานโถว (Nantou) บนภูเขาสูงสลับซับซ้อนใจกลางประเทศไต้หวัน และเป็นเขตที่ไม่มีทางออกทะเลซะด้วยครับ แต่ขอบอกว่าไปเที่ยวไม่ยาก ถ้าเช่ารถขับเองจากสนามบินไทเป ประมาณ 5 ชั่วโมงก็ถึงแล้วครับ
สถานีรถไฟเชอเฉิน ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับอุตสาหกรรมสัมปทานทำไม้ซุง ช่วงปี ค.ศ.1919 โดยเฉพาะการตัดไม้ส่งไปขายญี่ปุ่น สถานีรถไฟแห่งนี้จึงเป็นจุดรวมไม้ซุงเพื่อส่งไปยังท่าเรือที่อยู่ไกลออกไป โดยถือเป็นสถานีแรกของทางรถไฟสาย Jiji Railway สถานีรถไฟที่สร้างด้วยไม้ซุงแห่งนี้ จึงมีชื่อว่า Jiji Train Station
ตัวสถานีรถไฟเชอเฉินเต็มไปด้วยกลิ่นอายอดีตและความน่ารัก ไม้ซุงจากบนเขาจะถูกนำมารวมไว้ในเมือง ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟ โดยนำไปแช่น้ำไว้ในทะเลสาบเล็กๆ เพื่อให้ต้นไม้ปล่อยยางไม้ออกมา นัยว่าเพื่อให้เนื้อไม้แกร่งขึ้น ก่อนใช้เครนยักษ์ 3 ตัว ขนขึ้นรถไฟไปยังท่าเรือ
เมื่ออุตสาหกรรมสัมปทานทำไม้ซุงถูกสั่งห้ามโดยรัฐบาลไต้หวัน ในปี ค.ศ.1986 สถานีรถไฟเล็กๆ แห่งนี้ก็ซบเซาลง จนถึงปี ค.ศ.1999 เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในไต้หวัน ตัวสถานีถูกทำลายพังพินาศ แต่ก็ได้รับการบูรณะขึ้นอย่างรวดเร็ว ให้คล้ายของเดิมมากที่สุด จนกระทั่งพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดน่ารักในปัจจุบัน
ย่ิงถ้าได้ไปเที่ยวในฤดูซากุระบาน ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม บรรยากาศจะเหมือนอยู่ญี่ปุ่นยังไงยังงั้นเลยล่ะ
ฤดูซากุระบาน รอบๆ สถานีรถไฟเชอเฉินจะงดงามจนน่าตื่นตะลึง เพราะมีสีชมพูของซากุระแต่งแต้มไปทั่ว แม้แต่นกน้อยก็ยังแวะเวียนมาดูดกินน้ำหวานจากซากุระอย่างสำราญบานใจ แต่สำหรับหนุ่มสาวหลายคู่ ที่นี่ก็เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายภาพ Pre-Wedding สุดเจ๋งล่ะครับ
ทะเลสาบกลางเมือง ช่างเย็นตาเย็นใจ เหมาะจะชวนกันไปเดินเล่นรอบๆ ถ่ายภาพ หรือดูนกยางหลายชนิดที่พากันมาจับปลากินเป็นอาหาร ที่นี่คือเมืองเล็กๆ Slow town อันเงียบสงบ เหมาะมาพักผ่อนจริงๆ
ด้านข้างสถานีรถไฟ ใต้ร่มไม้ใหญ่ ในช่วงกลางวันมีการแสดงสนุกๆ ให้ชมด้วยนะครับ ดูเสร็จแล้วก็อย่าลืมบริจาคเงินให้เป็นกำลังใจกับพี่เขาด้วยนะ จะได้อยู่สร้างสีสันกับสถานีรถไฟเชอเฉินไปอีกนานๆ
ช่วงหัวค่ำ มีรถไฟขบวนน่ารักวิ่งเข้ามาเทียบชานชาลาสถานี เหมือนรถไฟการ์ตูนที่เราเคยเห็นในหนังสมัยเด็กๆ เลย
สถานีรถไฟที่สร้างด้วยไม้แบบโบราณช่างมีเสน่ห์ในทุกแง่มุม เหมือนกับการพาตัวเองย้อนกลับไปสู่อดีต หรือทำให้เราหวนคิดถึงวันวานสมัยยังเด็กได้ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความสนุกสนานจึวอวลอยู่ทั่วไปที่เชอเฉิน
สวยตั้งแต่เช้าจรดเย็น สถานีรถไฟโบราณเชอเฉินเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายภาพ Pre-Wedding หวานๆ จี๊ดๆ
ด้านหลังสถานีรถไฟ คือตัวเมืองเก่าเชอเฉิน ที่สร้างไล่เรียงขึ้นไปบนเนินเขาเตี้ยๆ ตัวเมืองเล็กมาก จนใช้เวลาเดินเที่ยวไม่ถึงชั่วโมงก็ทั่ว ลองชวนกันไปเดินลัดเลาะตามตรอกซอกซอย ชมภาพวาดน่ารักๆ บนผนังบ้านเก่า เล่าเรื่องอดีต
มาถึงเชอเฉินแล้ว อาหารอร่อยที่ถือเป็น Signature ของเมืองนี้ นักท่องเที่ยวทุกคนต้องลิ้มลอง ก็คือ ข้าวเบนโตะในถังไม้แสนน่ารัก! แถมด้วยน้ำชาหอมๆ อีก 1 แก้ว แต่ถ้าใครจะซื้อน้ำแอปเปิลกับน้ำมะเน็ต (น้ำมะนาว) มาดื่มเพิ่มก็ยิ่งดี
ข้าวในถังไม้กินได้หนึ่งอิ่มพอดีสำหรับผู้ใหญ่หนึ่งคน ราคาก็ไม่แพง แค่ถังละสองร้อยกว่าบาท เลือกหน้าได้ มีทั้งหน้าหมูซีอิ๊ว หน้าไก่ และอื่นๆ พอกินเสร็จไม่ต้องคืนถังไม้นะครับ เพราะเขาให้เรากลับบ้านเป็นที่ระลึกเลยจ้าSpecial Thanks : บริษัท Magic on Tour ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวไต้หวัน สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจ โทร. 02-444-3173, 08-9219-0822
Taiwan 3 : อุทยานแห่งชาติอาลีซาน เมื่อสวรรค์จุมพิตพื้นโลก!
ในบรรดาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ TOP 5 ของประเทศไต้หวัน ดูเหมือนว่า “อุทยานแห่งชาติอาลีซาน” (Alishan National Park) จะเป็นอุทยทานแห่งชาติที่โด่งดังที่สุด สวยงามที่สุด และมีนักท่องเที่ยวไปเยือนมากที่สุด! แม้แต่คนจีนแผ่นดินใหญ่เองก็ยังกล่าวว่า ในชีวิตหนึ่งต้องมาเที่ยวอาลีซานให้ได้! โดยเฉพาะในช่วงดอกไม้บาน ประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม และช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ราวๆ เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน
ในช่วงที่อากาศอบอุ่น ประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ดอกซากุระนับไม่ถ้วนจะพร้อมใจกันเบ่งบาน ประดับพงไพรบนภูเขาสูงเกือบ 3,000 เมตร ของอาลีซาน นั่งท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศหลั่งไหลไปชมความงาม ซึ่งจะปรากฏต่อสายตาเพียงปีละครั้งเท่านั้น!
อาลีซานจึงได้รับการเปรียบเปรยให้เหมือน “สวรรค์บนพื้นพิภพ” ที่คนทั่วไปอย่างเราๆ เข้าไปสัมผัสได้จริง
ผืนป่าอาลีซาน บนความสูงกว่า 2,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นที่รู้จักมาตั้งยุคปี ค.ศ.1900 เมื่อญี่ปุ่นซึ่งปกครองไต้หวันอยู่ในขณะนั้น ได้สร้างทางรถไฟสาย Alishan Forest Railway สำเร็จในปี ค.ศ.1912 เพื่อใช้เป็นเส้นทางขนส่งไม้ซุงจากอุตสาหกรรมทำไม้ เพราะในป่าเขาสลับซับซ้อนแถบนี้ เป็นแหล่งใหญ่ที่สุดของไม้สนซีด้า และไม้สนไซเปรส ต้นใหญ่มหึมา อายุหลายพันปี! อันเป็นไม้ล้ำค่าที่ญี่ปุ่นต้องการอย่างยิ่ง
กระทั่งถึงยุคปี ค.ศ.1970 อุตสาหกรรมทำไม้ซุงในไต้หวันถูกรัฐบาลสั่งยกเลิก ผืนป่าอาลีซานจึงได้รับการอนุรักษ์ และพัฒนามาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันน่าตื่นตาตื่นใจ
ในช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ามาตัดไม้สนซีดา และสนไซเปรส ในป่าอาลีซาน ต้นไม้ยักษ์นับไม่ถ้วนถูกโค่นลง แต่ก็ดูเหมือนว่าธรรมชาติพยายามเยียวยาตัวเอง มีต้นใหม่งอกขึ้นมาจากตอของต้นแม่เดิมอย่างน่าอัศจรรย์!
การท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติอาลีซานของเรา เร่ิมขึ้นในเช้ามืดอันหนาวเย็นกว่า 12 องศาเซลเซียส ของวันหนึ่งในเดือนมีนาคม ทริปวันนี้ต้องตื่นเช้าเป็นพิเศษเพื่อรีบมาซื้อตั๋วขึ้นรถไฟโบราณ ไปยังจุดชมวิว Jhushan ซึ่งจะมองเห็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน และยอดเขาสูงที่สุดของไต้หวันได้ด้วย
เข้าคิวซื้อตั๋วรถไฟโบราณอย่างเป็นระเบียบตามนิสัยคนไต้หวัน เช้านี้นักท่องเที่ยวเยอะ เขาเลยจัดรถไฟไว้ 2 ขบวน แต่ถ้าวันไหนคนน้อย ก็อาจเหลือ 1 ขบวนเท่านั้น (สำหรับไปชมพระอาทิตย์ขึ้น) ส่วนใครที่ไม่ชอบตื่นเช้า ก็ยังมีขบวนรถไฟวิ่งขึ้นเขาตลอดวัน ทำนองว่าไปชมวิวแบบชิลๆ ไม่ต้องการแสงแรกก็ได้น่ะ
รถไฟขบวนแรกออกไปแล้ว เราจึงได้ขึ้นรถไฟขบวนที่ 2 แต่ก็ยังถือว่าเช้ามาก เพราะนี่ยังไม่ 6 โมงเลยนะพวกเรา
เมื่อถึงชานชาลา ก็ต้องเข้าคิวอย่างเป็นระเบียบอีกครั้งเพื่อตรวจตั๋ว
สถานีรถไฟนี้ยังอนุรักษ์บรรยากาศแบบโบราณเอาไว้ คือสร้างด้วยไม้สน แลคลาสสิกไม่เบา ส่วนการยืนเข้าคิวรอรถไฟก็ไม่ให้ยืนมั่วซั่วสะเปะสะปะ แต่มีเป็นช่องเป็นแถว เพื่อให้ผู้โดยสารขึ้นไปยังตู้โบกี้รถไฟที่กำหนดเอาไว้เลย จะได้ไม่ต้องแย่งกันให้วุ่นวาย
ตีห้าครึ่ง รถไฟขบวนที่สองก็เข้าเทียบชานชาลา วันนี้ไม่ใช่หัวรถจักรไอน้ำอย่างที่เราตั้งใจ แต่ก็ไม่เป็นไร
หัวจักรรถไฟโบราณของอาลีซาน ในอดีตเคยใช้ขนไม้ซุง ทว่าปัจจุบันเปลี่ยนหน้าที่มาขนส่งนักท่องเที่ยวแล้วจ้า
รถไฟใช้เวลาประมาณ 30 นาที วิ่งฝ่าความหนาวเย็นผ่านป่าสนมืดสลัวขึ้นไปอย่างเชื่องช้า หลายคนขอใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์ในการเล่นเกมส์ซ่อนตาดำ พักเอาแรงก่อนถึงยอดเขา ฮาฮาฮา
ในที่สุด เราก็ได้มาชมแสงแรกของอรุณเบิกฟ้า ณ จุดชมวิว Jhushan มองออกไปเห็น ยอดเขา Datashan สูง 2,663 เมตร และ ยอดเขา Yushan สูง 3,952 เมตร ซึ่งเป็นยอดเขาสูงที่สุดของไต้หวัน อาบแสงยามเช้าอย่างชัดเจน จุดนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักถ่ายภาพ ทั้งมืออาชีพและสมัครเล่น ที่จะได้ภาพอัศจรรย์ของแสงสี ที่ต่างกันทุกวันเลยล่ะ
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แสงสีบนท้องฟ้าจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวหลายร้อยคนที่ขึ้นรถไฟมายังยอดเขาในเช้านี้ ก็สลายตัวไปในเกือบจะทันทีเช่นกัน คงเพราะอีกไม่เกิน 10 นาที รถไฟลงเขาขบวนแรกจะออกแล้วนั่นเอง แต่ถ้าไม่รีบ ก็อยู่กินชาร้อน หรือบะหมี่ร้อนๆ สักถ้วนก่อนก็ยังได้
ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ในช่วงลงเขา หากมีโอกาสลงที่สถานีระหว่างทาง แล้วรอรถไฟขบวนต่อไปวิ่งลงมา เราก็จะได้เห็นหัวรถไฟโบราณแล่นผ่านดงต้นซากุระสีขาวแบบญี่ปุ่น ช่างน่าประทับใจเหลือเกิน มุมนี้ขอมอบใจให้ไปเลย หลงรักอาลีซานเข้าเต็มเปา!พอดูระไฟโบราณวิ่งผ่านดงซากุระเสร็จแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลาออกแรง ชวนกันเดินป่าตามเส้นทาง Giant Trees Trail เพื่อไปชมป่าสนซีด้า และสนไซเปรส อายุหลายพันปี! ระหว่างทางผ่านสะพานและมุมสวยๆ ให้เก็บภาพกันอย่างไม่รู้เบื่อ
มุมสวยๆ แจ่มๆ แบบนี้ ใช่ว่าจะมาสัมผัสกันง่ายๆ ของใช้เวลาไม่เร่งรีบ เก็บเกี่ยวความสุข ณ เวลานี้ให้เต็มที่ใน Alishan Forest Park สวนป่าที่มีซากุระเบ่งบานนับพันต้น!
ซากุระสายพันธุ์ไต้หวันแท้ มีดอกขนาดเล็ก ออกเป็นช่อละหลายดอก แต่ละดอกสีชมพูเข้มจี๊ดจ๊าด!
ใน Giant Trees Trail มีการจัดทำเส้นทางเดินเล็กๆ ลัดเลาะเข้าไปในป่าสนแน่นทึบ โดยสนที่เห็น ส่วนหนึ่งเกิดใหม่ตามธรรมชาติ ผสมกับที่ปลูกเพิ่ม ขนาดลำต้นจึงไม่ใหญ่โตมากนัก เพราะต้นสนดั้งเดิมที่มีอายุนับพันๆ ปี ได้ถูกตัดส่งไปขายให้ญี่ปุ่นหมดแล้วในอดีต ป่าสนแห่งอาลีซานจึงค่อยๆ ฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้ง
ต้นสนยักษ์ของป่าอาลีซาน คือ ต้นสนไซเปรส (Cypress) ชนิด Chamaecyparis formosensis (ชื่อสามัญภาษาอังกฤษ Formosan Cypress หรือ Taiwan Cypress) เป็นชนิดที่พบได้บนเกาะไต้หวันเท่านั้น มันชอบเติบโตอยู่บนภูเขาสูง 1,000-2,900 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อากาศชุ่มชื้นเย็นฉ่ำตลอดปี ต้นที่โตเต็มที่สูงได้ถึง 55-60 เมตร! เส้นรอบวงยาวกว่า 7 เมตร! จึงถือเป็นต้นสนยักษ์ผู้ครองความเป็นใหญ่แห่งป่าอาลีซานมาช้านาน
ร่องรอยจากการตัดไม้สนไซเปรสเพื่อส่งออกในอดีตยังปรากฏอยู่ทั่วไปตลอดทางเดินป่านี้ พบรากและโคนสนไซเปรสขนาดยักษ์ ชวนให้จินตนาการได้เลยว่า ต้นของมันต้องมหึมาเพียงใด!?
โคนสนไซเปรสบางต้น มีขนาดใหญ่จนเป็นโพรงคล้ายถ้ำที่คนมุดเข้าไปข้างในได้เลย! แต่ใช่ว่าพอถูกตัดแล้วต้นแม่จะตาย ด้านบนตอไม้ยังมีต้นสนใหม่ถือกำเนิดขึ้นทดแทนต้นเก่าตามธรรมชาติด้วย สู้ๆ นะต้นสนไซเปรส!
พ้นออกจากป่าสนช่วงแรก เราก็ถึงบ่อน้ำเล็กๆ แห่งหนึ่ง ชื่อ “บ่อน้องสาว” (Sister Pond) ซึ่งมีตำนานเล่าว่า พี่น้องคู่หนึ่งดันไปรักชายหนุ่มคนเดียวกัน ทั้งสองเลยมากระโดดน้ำตาย น้องสาวโดดบ่อนี้ ส่วนพี่สาวไปโดดบ่อใหญ่ ซึ่งเราจะเดินต่อไปเจอในทางข้างหน้า
นอกจากป่าสนสวยๆ แล้ว บางจุดยังมีทางเดินแยกไปวัดด้วย โดยวัดเหล่านี้บางแห่ง ญี่ปุ่นเป็นคนมาสร้างไว้ตั้งแต่ยุคสัมปทานทำไม้ซุงโน่นเลย
ถึงแล้ว “บ่อพี่สาว” คล้ายทะเลสาบสีมรกตในโอบล้อมของป่าสนและหุบเขาโดยรอบ จากฝั่งมีสะพานทอดยาวเข้าสู่ศาลากลางน้ำให้นั่งเล่นด้วย
เมื่อพ้นสระน้ำทั้งสองมาแล้ว ทางเดินในป่าสนจะค่อยๆ ลาดลงไปตามไหล่เขา กลับลงสู่ที่ราบเบื้องล่าง
ระหว่างทาง มี ดอกแม็กโนเลีย (Manolia) สีชมพูอมม่วง และสีขาว เบ่งบานอยู่สองข้างทาง ดอกไม้ตระกูลนี้หายากในเมืองไทย เพราะเป็นดอกไม้ของเมืองหนาว คนไต้หวันและคนจีนเรียกดอกไม้ชนิดนี้ว่า “มู่หลาน”
ผ่านป่าสนและดงดอกแมกโนเลียออกมา เราก็พบกับวัดขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ชื่อ “วัด Shoujhen” เป็นวัดขนาดใหญ่ที่สุดในเขตอุทยานแห่งชาติอาลีซาน แถมยังเป็นวัดบนพื้นที่สูงที่สุดของไต้หวันอีกด้วย คืออยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,150 เมตรเลยทีเดียว!
ตั้งแต่ได้รับการบูรณะเมื่อปี ค.ศ.1969 วัดนี้ก็เนืองแน่นไปด้วยเหล่าผู้ศรัทธา ต่างเดินทางมากราบไหว้ขอพร จากเทพต่างๆ โดยเฉพาะเทพเจ้าแห่งความยุติธรรม (Syuantian Emperor), เทพเจ้าแห่งการค้าขาย (Fude God), เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ (Jhusheng Goddess) และอื่นๆ
สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขี้น ณ วัด Shoujhen ก็คือ ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม ตามปฏิทินจันทรคติของทุกปี ซึ่งตรงกับงานฉลองวันเกิดของเทพแห่งความยุติธรรม (Syuantian Emperor) จะมีผีเสื้อกลางคืนขนาดใหญ่จำนวนนับพันๆ หมื่นๆ ตัว แต่ละตัวมีปีกกว้างกว่า 15 เซนติเมตร (เรียกว่า Alishan kuciouluowun Moths) บินมาเกาะอยู่ที่รูปปั้นของเหล่าเทพเจ้า เป็นเวลานานถึง 15 วัน! โดยพวกมันไม่กินอะไรเลย
สันนิษฐานกันว่า ช่วงดังกล่าวตรงกับเวลาผสมพันธุ์ของผีเสื้อกลางคืนพวกนี้ อีกทั้งมันยังถูกดึงดูดด้วยกลิ่นธูป และแสงไฟจากวัดด้วย แต่ก็ไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัด ยังเป็นความลับของธรรมชาติต่อไป!
ด้านข้าง วัด Shoujhen มีร้านค้าเรียงราย ใครหิวก็แวะเติมพลังก่อนได้นะ เพราะจากจุดนี้ยังต้องเดินเที่ยวป่าต่ออีก แนะนำชาร้อนๆ กับขนมต่างๆ เพิ่มน้ำตาลให้กระแสเลือดนิดนึง ฮาฮาฮา
เนื่องจากพื้นที่ป่าอาลีซานมีน้ำและอากาศบริสุทธิ์มาก จึงสามารถปลูกวาซาบิได้ดีไม่แพ้ญี่ปุ่น มีขายทั้งแบบหัวสด และบดเป็นผงไปผสมน้ำกิน คนที่ชอบหม่ำปลาดิบ ลองซื้อไปไม่ผิดหวังครับ
จาก วัด Shoujhen ใครที่ไม่อยากเดินต่อ เขาก็มีบริการรถบัสรับส่งไปยังปากทางเข้าอุทยานด้วย
ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว ขอเที่ยวให้ครบให้ทั่วกันเลย จะได้ไม่คาใจ จาก วัด Shoujhen พวกเราเดินป่าต่อไปยังจุดที่เป็นไฮไลท์ของ Trail เส้นนี้ เพื่อชมต้นสนไซเปรสยักษ์อายุนับพันปี บางต้นส่วนตอไม้ที่ตายแล้วมีลักษณะคล้ายใบหน้าของช้าง มีครบทั้งตาสองข้าง และงวง แปลกพิลึกดี!
โคนสนไซเปรสบางต้น มีรูปร่างคล้ายหัวหมู เอ้อ… เหมือนจริงๆ ด้วย โอว! แม่เจ้าโว้ย!
โคนสนบางต้น ก็เปิดออกเป็นโพรงขนาดใหญ่คล้ายถ้ำลอด
ส่วนสนไซเปรสบางต้นที่เคยถูกตัดต้นดั้งเดิมไปแล้ว แต่มันกลับไม่ตาย พยายามต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอด โดยเกิดสนรุ่นใหม่งอกขึ้นมาบนตอเดิม อย่างต้นนี้ มีสนงอกขึ้นมาใหม่ถึง 2 ชั่วรุ่น รวมต้นแม่เดิมก็เป็น 3 รุ่น Amazing มากๆ!
ในที่สุดเราก็มาถึงต้นสนไซเปรสยักษ์อายุมากที่สุดต้นหนึ่งของอาลีซาน! ด้วยอายุกว่า 2,000-2,500 ปี ยืนตระหง่านท้าแดดลมมาเนิ่นนาน แต่ว่ากันว่าในป่าบริเวณนี้ยังมีสนอีกต้นอายุถึง 3,000 ปี ชื่อ Alishan Sacred Tree ถือเป็น 1 ใน 10 ต้นไม้อายุมากที่สุดของโลกด้วยล่ะ!
สนยักษ์แห่งอาลีซาน ต้องแหงนมองคอตั้งบ่าเลยล่ะกว่าจะเห็นส่วนยอด การถ่ายภาพก็ต้องใช้เลนส์มุมกว้างพิเศษ จึงจะเก็บภาพได้หมดทั้งต้น!
พ้นจากจุดชมต้นสนยักษ์ ไม่ไกลก็ถึงจุดสุดท้ายของเส้นทางเดินป่า เป็นสวนซากุระส่งท้ายให้ชื่นใจหายเหนื่อย
วันนี้ตั้งแต่ตีสี่จนถึงเที่ยง เราใช้เวลาชื่นชมธรรมชาติในป่าอาลีซานกันจนเต็มอิ่ม ถึงเวลาเติมพลังให้อิ่มกายกันบ้าง กับอาหารเที่ยงมื้อใหญ่เป็นการฉลอง จากนั้นต่อด้วยการไปชิมชาเลื่องชื่อของไต้หวัน จะมีอะไรสุขกว่านี้อีกนะ ฮาฮาฮา
Special Thanks : บริษัท Magic on Tour ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวไต้หวัน สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจ โทร. 02-444-3173, 08-9219-0822
Taiwan 2 : ฟาร์มแกะชิงจิ้ง
บนทางหลวงสาย 14A (Central Cross-Island Highway) ของไต้หวัน ที่ตัดขวางข้ามจากชายฝั่งตะวันตก-ตะวันออก ผ่านไปยังภูเขาสูงสลับซับซ้อนกว่า 1,750 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล คือที่ตั้งของแหล่งท่องเที่ยวสุดฮิต สุดฮอต และรีสอร์ทบ้านพักสไตล์ Swiss Old House อันมีชื่อเสียง
ใครอยากไปยกมือขึ้น! เราจะพาไปเที่ยว “ฟาร์มแกะชิงจิ้ง” (Cingjing Farm) จ้า
ฟาร์มแกะชิงจิ้ง ตั้งอยู่ในเขตหมู่บ้าน Datong Village จังหวัดหนานโถว (Nantou) บนภูเขาสูง อากาศเย็นสบายตลอดปี อุณหภูมิเฉลี่ย 15-23 องศาเซลเซียส ถือว่าเย็นสบายกำลังดี แถมวิวแถวนี้ก็สวยมากด้วย
ทว่าจริงๆ แล้วยุคของการพัฒนาฟาร์มชิงจิ้ง เริ่มต้นอย่างจริงจังเมื่อปี ค.ศ.1961 เมื่อนายทหารที่ไปรบจากสงครามคอมมิวนิสต์ ในแถบชายแดนไทย-พม่า-ยูนนาน กลับคืนสู่ไต้หวัน แล้วเริ่มพลิกฟื้นผืนดินตรงนี้ให้เป็นฟาร์ม
ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ดอกซากุระของฟาร์มแกะชิงจิ้งจะเบ่งบานพร้อมกัน เห็นแล้วสดชื่นๆ
ในแถบฟาร์มชิงจิ้ง เต็มไปด้วยบ้านเรือนแบบ Swiss Old House ที่มองแล้วนึกว่าอยู่ในแถบเทือกเขา Swiss Alp ของยุโรปซะอีก ฮาฮาฮา
บ้านเรือนสีสดใส ในแถบฟาร์มชิงจิ้ง
บริเวณทางเข้าด้านหน้าของฟาร์มแกะชิงจิ้ง สร้างจำลองปราสาทยุคกลางของยุโรปย่อส่วน
ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ฟาร์มแกะชิงจิ้งจะสดชื่นสดใสเป็นพิเศษ ด้วยดอกซากุระสีชมพูเบ่งบานเพิ่มความงาม
จากฟาร์มแกะชิงจิ้ง มองออกไปรอบด้าน เห็นแนวเทือกเขาสลับซับซ้อน ในหุบเขาเบื้องล่างนั่นล่ะ ที่มีแปลงพืชผักผลไม้เมืองหนาวอยู่อย่างอุดม ทั้งแอปเปิล, ลูกพีช, ลูกแพร์, พลัม และกีวีแสนอร่อย
ฟาร์มแกะชิงจิ้ง มีจุดถ่ายภาพเก๋ๆ หวานๆ โรแมนติก ให้ชักภาพกันได้ไม่เบื่อทั้งวัน
บรรยากาศในฟาร์มแกะชิงจิ้ง ถ้าไม่บอกนึกว่าอยู่ในยุโรปนะฮะ
กังหันลมใหญ่แบบฮอลแลนด์ และแนวต้นซากุระ คือหนึ่งใน Landmark จุดถ่ายภาพยอดฮิต
ไม่ได้มีน้องแกะกับต้นซากุระให้ชมเท่านั้น ยังมีไอศกรีมอร่อยๆ จากนมแกะให้หม่ำกันอย่างจุใจ รสชาติหอมหวานกำลังดี ดูซิ หม่ำแล้วหน้าใส แก้วแดงเป็นสีชมพูเลยนะจ๊ะ อิอิ
จากจุดถ่ายภาพและดงซากุระด้านบนเขา มีทางเดินผ่านลาดเนินเขาลงมายังจุดโชว์การแสดงตัดขนแกะ แถมยังมีม้าตัวใหญ่, ม้าแคระ (Pony) ให้ขี่เล่นไปมา ใครจะซื้ออาหารมาป้อนน้องแกะแสนน่ารักก็ได้นะจ๊ะดูเอาละกัน ว่าแกะที่ฟาร์มชิงจิ้งอิสระและมีความสุขขนาดไหน เวลาหิวน้ำยังเดินมากินในก๊อกน้ำเดียวกับนักท่องเที่ยว!
แม้แต่เด็กยังขี่ม้าเดินเล่นได้ เพราะเขามีเจ้าของม้าเดินจูงให้จ้า ไม่ต้องกลัว
หรือจะไม่ขี่ม้า แต่ขึ้นไป post ท่าถ่ายภาพอย่างเดียว เขาก็ไม่ว่าจ้า
Pony หรือม้าแคระแสนน่ารัก ตัวเตี้ยม่อต้อ เหมาะสำหรับเด็กๆ ขี่เล่นเท่านั้นจ้า ผู้ใหญ่อย่าเลย สงสารน้องม้าจ้า
ฝูงแกะเดินหากินอย่างเสรีในทุ่งหญ้าบนเนินเขาของฟาร์มชิงจิ้ง
Special Thanks : บริษัท Magic on Tour ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวไต้หวัน สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจ โทร. 02-444-3173, 08-9219-0822