แอ่วลำพูนม๋วนใจ๋ ในเมือง Slow Town
ในขณะที่โลกเราทุกวันนี้หมุนไปอย่างรวดเร็ว จนบางครั้งเราเองก็ตามไม่ทัน เคยไหมที่อยากหาสถานที่ใดสักแห่งเพื่อพักผ่อนกายใจ เป็นสถานที่เงียบสงบ น่ารัก ได้ไปเยือนแล้วทำให้ใจเย็น เย็นใจ คล้ายได้ช๊าตแบตเตอร์รี่ชีวิต
คำตอบมีอยู่จริง ณ ดินแดนล้านนาภาคเหนือของสยามที่เรียกขานกันว่า “ลำพูน” หรือ “เมืองหริภุญไชย” นั่นเอง ลำพูนเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดของภาคเหนือ มีอายุกว่า 1,300 ปี ลือเลื่องในเรื่องพระรอด 1 ในเบญจภาคีอันล้ำค่า อีกทั้งยังเป็นดินแดนต้นกำเนิดลำไยรสชาติดีที่สุดของสยาม โดยมีพื้นที่ปลูกลำไยอยู่กว่า 600,000 ไร่! จนมีคำพูดติดตลกกันเล่นๆ ว่า “ลำพูนคือลำไย ลำไยคือลำพูน” ฮาฮาฮา
มาถึงลำพูนแล้ว สถานที่แรกซึ่งควรไปกราบสักการะ คือ วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร ตั้งอยู่กลางใจเมือง ห่างจากศาลากลางแค่ไม่กี่ร้อยเมตร เป็นพระบรมธาตุเก่าแก่ สร้างมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 17 โดยสร้างเป็นทรงปราสาทสีทองอร่าม ภายในบรรจุธาตุกระหม่อม ธาตุกระดูกอก ธาตุกระดูกนิ้วมือ และธาตุย่อยอีกเต็มบาตรหนึ่ง
ภายในวิหารหลวง ด้านข้างองค์พระบรมธาตุ ประดิษฐานพระพุทธปฏิมาขนาดใหญ่ 3 องค์ ก่ออิฐถือปูนปิดทองเหลืองอร่าม พุทธลักษณะผุดผ่อง เปี่ยมเมตตา น่าเคารพสักการะอย่างยิ่ง
หากใครมาเที่ยวลำพูน แล้วไม่มีรถยนต์ส่วนตัว หรือไม่รู้จะเที่ยวยังไงไม่ให้พลาดสถานที่สำคัญ เราแนะนำให้ไปนั่งรถพ่วงเที่ยว เขาจอดอยู่ที่วัดพระธาตุหริภุญชัยฯ นั่นเอง โดยมีบริการเป็นรอบๆ เสียค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย พร้อมด้วยไกด์สาวสวยเสียงหวาน คอยบรรยายให้ความรู้ต่างๆ อย่างน่ารักเชียว
สถานที่แรก ซึ่งรถพ่วงจะหยุดแวะให้เราเที่ยวชม คือ “อนุสาวรีย์พระนางจามเทวี” องค์ปฐมกษัตรีแห่งนครหริภุญไชยโดยมีประวัติเล่าว่า เมื่อ พ.ศ. 1200 ครั้นฤาษีวาสุเทพได้เกณฑ์พวกเมงคบุตรเชื้อสายมอญ มาสร้างเมืองใหม่ระหว่างแม่น้ำปิงและแม่น้ำกวง เสร็จแล้ว ก็ได้ไปอัญเชิญพระธิดากษัตริย์กรุงละโว้ (ลพบุรีในปัจจุบัน) คือ พระนางจามเทวี มาปกครองเมือง ด้วยว่าพระนางมีพระปรีชาสามารถ และมีพระสิริโฉมงดงามยิ่ง
การได้มากราบสักการะท่านสักครั้ง จึงเป็นมงคลแก่ชีวิตเราแล้ว
จุดที่สอง ซึ่งรถพ่วงนำเที่ยวจะแวะ คือ “วัดจามเทวี” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “วัดกู่กุด” เป็นหนึ่งในสถานที่ห้ามพลาดเมื่อมาเยือนลำพูน เพราะมีพระเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยม บรรจุพระอัฐิของพระนางจามเทวี ปฐมบรมกษัตรีแห่งนครหริภุญไชย สร้างขึ้นโดยพระราชโอรสของพระนาง เมื่อปี พ.ศ. 1298
ความโดดเด่นไม่เหมือนใครของกู่กุดก็คือ โดยรอบทั้งสี่ทิศมีพระพุทธรูปปูนปั้นหลายสิบองค์ประดิษฐานอยู่ ศิลปะที่ใช้ปั้นนั้นก็เป็นสกุลช่างลำพูนแท้ๆ สังเกตได้จากพระพักตร์ คือ คิ้วต่อกันเหมือนคันศร, ตาโปน, พระพักตร์เหลี่ยม และขอบปากทั้งสองข้าง จะมีเส้นโค้งงอนขึ้นคล้ายหนวด
วัดจามเทวี มิใช่สถานที่บรรจุพระบรมอัฐิของพระนางจามเทวีเพียงอย่างเดียว ทว่ายังเป็นสถานท่ีบรรจุอัฐิธาตุของตนบุญแห่งล้านนา “ครูบาศรีวิชัย” พระอริยสงฆ์องค์สำคัญที่สุดแห่งล้านนาในอดีตด้วย จริงๆ แล้วท่านเกิดที่อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน และก็ได้กลับมามรณภาพที่บ้านเกิดของท่าน เมื่อปี พ.ศ. 2481 นั่นเอง
จุดที่สาม ซึ่งรถพ่วงนำเที่ยวจอดแวะก็คือ “วัดมหาวัน” ต้นกำเนิดพระรอด 1 ในเบญจภาคีแห่งสยาม โดยพระรอดหลวง (พระรอดลำพูน) องค์ดั้งเดิมนี้มีอายุมากถึง 1,400 ปี สร้างมาตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวีครองนครหริภุญไชย จึงได้รับการนำไปเป็นแบบพิมพ์พระเครื่องเลื่องชื่อในนาม “พระรอดมหาวัน” ที่นักเลงพระอยากครอบครอง
จุดที่สี่ ซึ่งรถพ่วงแวะชม คือ “กู่ช้าง กู่ม้า” เป็นโบราณสถานในชุมชนวัดไก่แก้ว ห่างจากใจกลางเมืองลำพูนประมาณ 1 กิโลเมตร กู่ช้างจริงๆ แล้วก็คือสถูปที่ใช้บรรจุอัฐิของช้างทรงคู่บารมีของพระนางจามเทวี ที่ใช้ทรงออกศึก ชื่อว่า “ภูก่ำงาเขียว” เป็นช้างคชลักษณะพิเศษผิวสีคล้ำ งาสีเขียว ทำให้มีพลัง อานุภาพ และอิทธิฤทธิ์มากในสงคราม
กู่ม้า เป็นสถูปองค์ระฆังคว่ำ เชื่อว่าเป็นสุสานม้าทรงของพระโอรสพระนางจามเทวี
จุดที่ห้า ของการนั่งรถพ่วงเที่ยวก็คือ “วัดพระยืน” ที่บ้านพระยืน ตำบลเวียงยอง เป็นวัดเก่าแก่และสำคัญมาก เพราะเป็นวัดประจำ 1 ใน 4 ทิศของลำพูนมาแต่อดีต สร้างโดยพระเจ้าธรรมมิกราช กษัตริย์หริภุญไชย เมื่อ พ.ศ.1606-1611
จุดเด่นของวัดพระยืน คือพระเจดีย์ทรงมณฑป ที่มองครั้งแรกก็ชวนให้นึกถึงเจดีย์ที่เมืองพุกาม ประเทศเมียนมาร์ ซะจริงๆ และยิ่งได้ไปค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมก็พบว่า ผู้สร้างตั้งใจให้มีความคล้ายคลึงกับอานันเจดีย์เมืองพุกามจริงๆ และยังมีอีกแห่งที่สร้างคล้ายกัน คือพระเจดีย์วัดป่าสัก จังหวัดเชียงราย
ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงมณฑป มีพระพุทธรูปยืนสีทองอร่ามประจำทั้งสี่ทิศ ส่วนบนเป็นเจดีย์ห้ายอด โดยมีเจดีย์ทรงระฆังและเจดีย์ทรงกลมขนาดเล็กเป็นประธาน
ภาพจิตรกรรมฝาผนัง พระนางจามเทวีเสด็จวัดพระยืน
จุดที่หก เป็นจุดสุดท้ายของการนั่งรถพ่วงแอ่วลำพูนแบบชิลชิลในวันนี้ คือ “สถาบันผ้าทอมือหริภุญชัย” อำเภอเมืองฯ เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของคนรักผ้าแพรพรรณโบราณ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมสวมใส่กันอย่างมากในปัจจุบัน เหมือนการปลุกผ้าทอพื้นเมืองอันทรงคุณค่าให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยเฉพาะ “ผ้าไหมยกดอกลำพูน”
คุณนิชาดา สุริยะเจริญ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน หญิงเก่งผู้มากความสามารถ ได้เล่าประวัติผ้ายกดอกลำพูนให้เราฟังว่า จริงๆ แล้วคำว่า “ยกดอก” เป็นเทคนิคการทอผ้าแบบหนึ่ง ต้นกำเนิดอยู่ที่ประเทศอินเดีย แล้วค่อยๆ ถ่ายทอดมาสู่มลายู จนกระทั่งเจ้าดารารัศมีแห่งเชียงใหม่ ได้ไปเป็นพระชายาของพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 ขณะอยู่ในวังที่บางกอก เจ้าดารารัศมีได้ทรงเรียนรู้เทคนิคการทอผ้ายกดอก แล้วกลับมาถ่ายทอดให้กับช่างทอผ้าของล้านนาในเวลาต่อมา ทว่าผ้ายกดอกลำพูน ได้พัฒนาเทคนิคลวดลายใหม่ๆ เพิ่มขึ้น จนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ผ้าไหมยกดอกลำพูน ปัจจุบันเป็นที่นิยมมาก มีตั้งแต่ราคาหลักพันบาทไปจนถึงแสนบาท ใช้เวลาทอนานแรมเดือน ขายหมดเกลี้ยง ทุกวันนี้แทบไม่มีสต็อกผ้าเลย นับเป็นกระแสความนิยมผ้าไทยอันมีลวดลายวิจิตรมหัศจรรย์ สร้างรายได้ให้แม่บ้านในจังหวัดลำพูนอย่างน่าชื่นใจ
ร้านจำหน่ายผ้าไหมยกดอกอันล้ำค่าน่าสวมใส่ ที่สถาบันผ้าทอมือหริภุญชัย
สวมใส่แล้วงามอย่างกับนางฟ้าแต้ๆ ล่ะเจ้า
ลวดลายผ้าทอยกดอกลำพูน มีมากกว่า 80 ลาย นิยมสวมใส่กันตั้งแต่คนธรรมดา ดารา นักร้อง นักแสดง ไปจนถึงเจ้านายในรั้วในวัง อาทิ ลายปักษาสวรรค์, ลายลีลาวดี, ลายพิกุลก้านแหย่ง, ลายกุหลาบพันปี, ลายดอกพวงแก้วโบราณ, ลายบัวสวรรค์, ลายโคมโพธิ์แก้ว และลายมงกุฎเพชร เป็นต้น
นอกเหนือจากลวดลายผ้าทอยกดอกลำพูนที่ถือเป็นหนึ่งในสุดยอดผ้าพื้นเมืองสยามแล้ว ผ้ายกดอกลำพูนยังได้สร้างมิติใหม่ให้วงการทอผ้าอีกด้วย คือการได้รับมาตรฐาน GI หรือ Geographical Indications โดยใช้ผ้านี้เป็นเครื่องบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ว่าผ้ายกดอกลำพูน เป็นของเมืองลำพูนแห่งสยามเท่านั้น ปัจจุบันมีการไปจดลิขสิทธิ์ไว้ในหลายประเทศแล้ว อาทิ อินโดนีเซีย อินเดีย และฝรั่งเศส เพื่อมิให้เกิดการลอกเลียนแบบได้
ยิ่งกว่านั้น ผ้าทอยกดอกลำพูนทุกผืนยังมีเครื่องหมาย QR Code ที่เราสามารถใช้โทรศัพท์มือถือไป Scan ก็จะมีข้อมูลรายละเอียดของผ้าผืนนั้นขึ้นมาให้อ่านอย่างละเอียด ตั้งแต่วัสดุที่ใช้ทอ, สี, ชื่อช่างทอ, วันที่ทอ ฯลฯ นับเป็นมาตรฐานการตรวจสอบย้อนหลัง ทำให้ผู้ซื้อมีความมั่นใจในผืนผ้า ว่าเป็นผ้ายกดอกลำพูนแท้ๆ ทุกวันนี้จึงมีออร์เดอร์สั่งเข้ามาอย่างมากมาย จนทอกันแทบไม่ทัน!
ผ้ายกดอกลำพูน ช่างทอต้องนั่งต่อไหมทีละเส้น นับเป็นพันๆ หมื่นๆ เส้น! ดังนั้นถ้าราคาแพงก็ไม่ควรต่อ เพราะแต่ละผืนต้องใช้ความประณี ฝีมือ ความอุตสาหะ และความรักในงานนี้จริงๆ
ภาพสาวชาวลำพูน นุ่งซิ่นในอดีต ท่อนบนสวมเสื้อออกแนวไทยใหญ่
นอกจากส่วนสาธิตการทอ และร้านจำหน่ายผ้ายกดอกลำพูนแล้ว สถาบันผ้าทอมือหริภุญชัย ยังมีพิพิธภัณฑ์เล็กๆ จัดแสดงวิถีคนกับผืนผ้าล้านนา ให้เราเข้าใจพอสังเขป
มาเที่ยวลำพูนคราวนี้ได้พบเห็นมุมมองใหม่แปลกออกไป ทำให้รู้ว่าลำพูนไม่ได้มีแต่ลำไย ทว่าลำพูนวันนี้ได้ก้าวเข้าสู่โลกของการท่องเที่ยวยุคใหม่แล้วจริงๆ ในตอนต่อไป เราจะไปเยี่ยมเยือนแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ของลำพูนกันบ้าง โปรดติดตาม ตอน 2 ของ Go Travel Photo แอ่วลำพูนนะเจ้าSpecial Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจสอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-5324-8604-5
ที่พักสุดโรแมนติก Veranda Resort Pattaya
พัทยา ทะเลใกล้กรุง ทะเลที่ใครหลายคนหลงรัก แต่ยังอาจจะยังไม่ค้นพบมุมที่ชอบ มุมที่ใช่ ทว่าวันนี้ Go Travel Photo ได้ไปค้นหาหนึ่งในมุมสุดคลาสสิก โรแมนติก มาฝากแฟนๆ แล้ว ที่ Veranda Resort Pattaya ซอยนาจอมเทียน 4 อยู่ใกล้กรุงเทพฯ แค่นิดเดียว
บนชั้นดาดฟ้าของ Veranda Resort Pattaya คือจุดอาทิตย์อัสดงที่เราคิดว่า สวยงามน่าประทับใจ เหมาะจะเป็นมุมนั่งชิล หรือขอแต่งงานกันได้เลยทีเดียว ฮาฮาฮา จุดนั้นคือ I Sea Sky Bar ครับ
อาทิตย์อัสดงลงทะเลที่ I Sea Sky Bar
I Sea Sky Bar วิวแบบนี้ไม่ใช่จะหากันได้ง่ายๆ แล้วนะทุกวันนี้
มุมแสนโรแมนติก ริมสระว่ายน้ำยามเย็น
สระว่ายน้ำของ Veranda หันหน้าออกทะเล เต็มไปด้วย Design
ทางเดินออกทะเลซิกแซกมี Design ทะเลอยู่ใกล้แค่เอื้อม
วันฟ้าใสๆ ทะเลสวยๆ ชวนกันไปนอนชมทะเลที่พัทยาดีกว่าเนอะ
Veranda Resort Pattaya เงียบสงบ เป็นส่วนตัว เหมาะมากสำหรับการมาฮันนีมูน ฮาฮาฮา
มองจากห้อง Ocean Front ลงไปเห็นพระอาทิตย์ตกได้เต็มตา Panorama เลยล่ะ
ที่ชั้น 4 ของ Veranda Resort Pattaya มีร้านอาหารวิวดีให้ไปชิม และนั่งชิลกันได้นานๆ นับเป็นหนึ่งในมุมพิเศษ ราวกับรางวัลของชีวิตที่อยู่ใกล้กรุงแค่นิดเดียว
ร้านอาหารสไตล์ Food Truck ในชื่อ Burgler เปิดตอนค่ำๆ ตรงริมหาด
ห้องอาหาร The Deck ที่ชั้นล่างสุดของโรงแรม
Set Menu อาหารเช้า น่าหม่ำมากๆ
อาหาร Signature Menu ที่ลองสั่งมาชิมได้
ห้องอาหาร The Deck ที่ชั้นล่างของโรงแรม มีทั้งอาหารไทย ตะวันตก และฟิวชั่น ให้ลองชิม
Contact : Veranda Resort Pattaya ซอยนาจอมเทียน 4 พัทยา โทร. 0-3811-1899 / www.verandaresort.com
10 สุดยอดที่เที่ยว ASEAN
1. มุยเน่ Vietnam ทะเลทรายแห่งเดียวของอาเซียน เป็นทะเลทรายเวิ้งว้างสีส้มอมแดง และสีขาว ให้ความรู้สึกเวิ้งว่างว่างเปล่า ราวกับอยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่น!
2. ทะเลสาบอินเล Manmar พระแม่ธาราแห่งชีวิต ถิ่นอาศัยของชนเผ่าอินทา สถานที่เพียงแห่งเดียวในโลก ซึ่งเราจะพบการพายเรือด้วยขา! ถามว่าทำไม? พวกเขาตอบว่า มันถนัดและประหยัดแรงดี! เออ แปลก
3. ภูเขาไฟอีเจน เกาะชวา Indonesia ปล่องภูเขาไฟยักษ์ที่มีทะเลสาบสีมรกตอยู่ภายใน พร้อมด้วยเหมืองกำมะถันใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สถานที่ชม Blue Flame ได้ในยามค่ำคืน หนึ่งในไม่กี่แห่งบนพื้นพิภพนี้!
4. เนินเขา Chocolate Hill เกาะโบฮอล Philippines เนินเขานับร้อยทรงพีระมิด อันเกิดจากการกัดเซาะของลมและน้ำเป็นเวลาหลายล้านปี ร่วมกับการยกตัวของเปลือกโลก ดูเผินๆ คล้ายจอมปลวกยักษ์ก็ไม่ปาน!
5. กลุ่มน้ำตกแห่งลาวใต้ Lao เกิดจากความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าและธรรมชาติ บนที่ราบสูงโบโลเวน ให้กำเนิดน้ำตกใหญ่หลายสิบแห่ง ตั้งแต่แขวงจำปาสัก สาละวัน เซกอง อัตตะปือ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกคอนพะเพ็ง (ไนแองการ่าแห่งเอเชีย), น้ำตกตาดเยือง, น้ำตกตาดฟาน, น้ำตกตาดผาส้วม, น้ำตกตาดไฟไหม้, น้ำตกตาดหัวคน, น้ำตกเซกะตาม ฯลฯ
6. Fraser’s Hill รัฐปะหัง Malaysia สุดยอดแหล่งดูนกภูเขาในป่าเมฆของมาเลเซีย อุดมด้วยนกนับร้อยชนิด มีเส้นทางเดินดูนกยอดฮิตที่นักดูนกตัวยงต้องรู้จักคือ Telekom Loop อากาศเย็นสบาย ผืนป่าก็แน่นทึบราวกับป่าดึกดำบรรพ์
7. สุดยอดแหล่งท่องเที่ยวแบบ Man-Made Destination , Singapore ไม่ว่าจะเป็นอาคารต่างๆ ริมอ่าวมาริน่า, โรงละครหนามทุเรียน, ต้นไม้ยักษ์เรืองแสงได้ใน Garden by the Bay, สวนนกจูร่ง, สวนสัตว์ Night Safari, พิพิธภัณฑ์สัตว์ทะเลที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก รวมถึงสนามแข่งรถ Formular 1 และอื่นๆ อีกเพียบ
8. ทางเดินศึกษาธรรมชาติบนยอดไม้ Canopy Walkway อุทยานแห่งชาติอูลูเทมบูรง Brunei สะพานเดินบนยอดไม้ที่สูงที่สุดในอาเซียน สร้างด้วยโครงเหล็กไร้สนิม คล้ายหอคอยสูงกว่า 50-60 เมตรเหนือพื้นดิน! เชื่อมต่อกันด้วยสะพานเดินมั่นคงแข็งแรง ทำให้เราชมหลังคาของป่าดงดิบได้จากมุมมองของนกเลยทีเดียว!
9. โตนเลสาบ เสียมเรียบ Cambodia ทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ขนาดใหญ่กว่ากรุงเทพฯ หลายเท่า! ช่วยหล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของผู้คนมาช้านาน โดยเฉพาะด้านประมง และกิจกรรมท่องเที่ยว ที่มักมีเด็กนำงูเหลือมมาพันตัว นั่งเรือมาให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปคู่ด้วย แปลก ไม่มีที่ใดเหมือนแน่นอน!
10. สามพันโบก จ.อุบลราชธานี ฉายา Grand Canyond เมืองไทย อาณาจักรหินลึกลับใต้ลำน้ำโขง ที่จะโผล่ขึ้นมาให้ชมเฉพาะในฤดูแล้งเท่านั้น ภูมิประเทศของสามพันโบก ส่วนใหญ่เป็นหลุมกุมภลักณษ์ หรือหลุมกลม ขนาด รูปทรงต่างๆ อันเกิดจากเม็ดกรวดทรายถูกสายน้ำโขงพัดมาขัดสีกับหินจนเว้าลึกลงไป ดูไปดูมา คล้ายหลุกอุกาบาตเหมือนกันนะ!
10 สุดยอด ที่เที่ยว Taiwan!
1. ตึกไทเป 101 ความมหัศจรรย์ทางวิศวกรรมของคนไต้หวันเขาล่ะ เคยเป็นตึกสูงที่สุดในโลก แต่ปัจจุบันกลายเป็นตึกสูงอันดับ 6 ของโลก ตั้งอยู่ในกรุงไทเป เมืองหลวงของไต้หวัน ด้วยรูปลักษณ์ได้แรงบันดาลใจมาจากไม้ไผ่ 8 ปล้อง สัญลักษณ์แห่งความเจริญงอกงาม ด้านบนมีลูกตุ้มยักษ์คอยถ่วงน้ำหนักให้ตึกสมดุลย์ยามแผ่นดินไหว สุดยอด!
2. อุทยานหินเหย่าหลิ่ว เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก! ด้วยความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ แหลมหินยื่นยาวออกไปในทะเล เป็นส่วนของเปลือกโลกที่ยกตัวขึ้น แล้วถูกคลื่นและลมกัดเซาะอยู่นับล้านปี ทิ้งไว้เพียงร่องรอยของหินทรงประหลาดนับพันๆ ก้อน โดยเฉพาะหินเศรียราชินี หินเสือดาว หินรูปดอกเห็ด หินรูปเทียน รูปเต้าหู้ ฯลฯ สุดแล้วแต่จินตนาการ นับว่ามีภูมิทัศน์ธรรมชาติงดงามยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือจริงๆ
3. ทะเลสาบสุริยันจันทรา เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไต้หวัน เกิดจากการรวมตัวกันของทะเลสาบ (อ่างเก็บน้ำ) สองแห่ง จนกลายเป็นทะเลสาบมหึมา รูปจันทร์เสี้ยว Sun Moon Lake ที่งามราวกับภาพวาด ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน เราสามารถล่องเรือยนต์ไปยังอีกฝั่งของทะเลสาบ เพื่อเดินขึ้นไปสักการะวัดพระถังซำจั๋ง พระภิกษุนามกระเดื่องผู้เคยจาริกมายังอารามแห่งนี้ อีกทั้งยังมีเกาะขนาดเล็กที่สุดในโลกให้ชมด้วย!
4. อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ก ท่านเจียงไคเช็ก คือบิดาแห่งไต้หวัน ผู้สร้างชาติให้เจริญรุ่งเรืองมาจนทุกวันนี้ ตั้งแต่ยุคปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งท่านได้นำชาวจีนจากแผ่นดินใหญ่ กว่า 1.5 ล้านคน มาตั้งรกรากบนเกาะแห่งนี้ จนปัจจุบันไต้หวันมีประชากรถึง 23 ล้านคน และกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างแท้จริง เราสามารถไปสัมผัสเรื่องราวเหล่านี้ได้ที่อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ก อันเป็นที่บอกเล่าประวัติ และเก็บรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ของท่านให้ชมด้วย
5. วัดจงไถ่ฉานซื่อ เป็นวัดที่ได้รับการกล่าวขวัญว่า คือศาสนสถานใหญ่อันดับ 3 ของโลก! รองจากนครรัฐวาติกัน ในอิตาลี และวัดพุทธนิกายวัชรยานในทิเบต วัดนี้ภายนอกดูแล้วเหมือนตึก Modern สุดๆ หลังหนึ่ง เพราะได้รับการออกแบบโดยวิศวกรคนเดียวกับที่ออกแบบตึกไทเป 101 นั่นเอง จึงมีความยิ่งใหญ่อลังการและโอ่โถงมาก สิ่งก่อสร้างแต่ละอย่างในนี้มีขนาดมหึมา จนทำให้เรารู้สึกตัวเล็กกระจ้อยไปเลยทีเดียว แต่มีกฎว่าพอเข้าชมในวัดแล้ว ห้ามพูดกันเด็ดขาด! เพื่อรักษาความสงบของวัดครับ
6. วัดเหวินอู่ วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนเชิงเราริมทะเลสาบสุริยันจันทราอันงดงาม จากตัววัดมองลงไปเห็นเวิ้งทะเลสาบสีครามเข้มได้อย่างชัดเจนเต็มตา โดยวัดนี้เป็นที่ประดิษฐานของรูปปั้นเทพเจ้าแห่งปัญญา และเทพเจ้ากวนอู เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ รวมถึงสิงโตหินอ่อนสีแดงขนาดยักษ์ 2 ตัวหน้าวัด ซึ่งมีขนาดใหญ่มหึมา แต่ละตัวมีมูลค่าถึง 1 ล้านเหรียญไต้หวัน! ว้าว!
7. ถนนเก่าจิ่วเฟิ่น ตั้งอยู่ที่เมืองจี่หลง อันเป็นเขตภูเขาสูงสลับซับซ้อนริมทะเล ซึ่งทหารญี่ปุ่นได้ใช้ที่นี่เป็นเหมืองทอง สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทว่าเมื่อสงครามยุติลง ก็ได้พลิกโฉมมาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ในลักษณะ Walking Street แบบย้อนยุค มีทั้งอาหาร ขนม ของกิ๊ปเก๋ ที่จะชวนให้เรานึกถึงอดีตวันวานสมัยยังเด็ก โดยเฉพาะร้านของกินอร่อยๆ อย่างขนมโมจิ บัวลอยน้ำขิง หมูแผ่น เค้กสับปะรด เห็ดย่าง ลูกชิ้น และร้านชิมชาอู่หลงกลิ่นหอมหวล
8. ตลาดซีเหมินติง ย่านช้อปปิ้งใหญ่สุดแห่งหนึ่งในไทเป เป็นถนนคนเดินที่จะคึกคักสุดยามราตรี คล้ายสยามสแคว์กรุงเทพฯ บ้านเรา จึงเห็นคนแต่งตัวแฟชั่นล้ำสมัยเดินมาอวดโฉมกัน สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านของกิน เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง ฯลฯ ในราคาถูกกว่าไปช้อปที่ญี่ปุ่น เกาหลี และหลายอย่างถูกกว่าบ้านเรา จนต้องเหมากันมาเลยทีเดียว!
9. ตลาดฟงเจี้ย Night Market เป็นตลาดนัดกลางคืนที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองไทจง เร่ิมคึกคักตั้งแต่ประมาณ 19.00 น. ไปจนถึง 23.00 น. ถนนช้อปปิ้งเส้นนี้ยาวเหยียด ร้านรวงเรียงรายไปตามสองฟากถนน โดยเฉพาะเสื้อผ้าแฟชั่นนำสมัย และรองเท้ากีฬายี่ห้อดัง อย่าง Onisuka Tiger, New Balance, Nike, Addidas ฯลฯ ล้วนถูกอย่างเหลือเชื่อ จนน่าตกใจ! แถมยังเป็นของแท้ มีกล่อง มีใบรับประกันให้ ราคาถูกกว่าซื้อที่เมืองไทยครึ่งๆ ส่วนใหญ่เหมากันไปคนละสองสามคู่!
10. ศูนย์ปะการังแดง ที่นี่เป็นศูนย์ปะการังแดงที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดแสดงและจำหน่ายให้ผู้สนใจ เพราะปะการังแดงถือเป็นอัญมณีล้ำค่าแห่งท้องทะเลลึก ในโลกพบเพียง 4 แห่ง คือ ไต้หวัน, เกาะโอกนาวา ญี่ปุ่น, ชายฝั่งตอนเหนือของอิตาลี และที่ประเทศโครเอเชีย อยู่ใต้น้ำระดับความลึกถึง 1,800 เมตร เร่ิมมีการนำมาทำเครื่องประดับในสมัยราชวงศ์ชิง แต่ใช้ได้เฉพาะกับขุนนางชั้นสูง เชื่อกันว่าเป็นปะการังที่พลังพิเศษ สวมใส่แล้วช่วยปรับสมดุลย์กายใจ ขอบอกว่าราคาสูงลิ่ว เริ่มตั้งแต่หลักหมื่นบาท ไปจนถึงหลายสิบล้าน!!!
ททท. พาเที่ยว น่าน สนุกสนาน เมืองต้องห้ามพลาด PLUS แพร่
เป็นที่ทราบกันดีว่า หลังจากแคมเปญ 12 เมืองต้องห้ามพลาด ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมในปี 2558 ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวของคนไทยภายในประเทศได้เป็นอย่างมาก มาวันนี้ ททท. เขามีแคมเปญใหม่เอี่ยมสำหรับปี 2559 ที่กำลังจะมาถึง 12 เมืองต้องห้ามพลาด PLUS ขยายขอบเขตการท่องเที่ยว ขอบเขตแห่งความสุขเพิ่มออกไปเป็น 24 เมืองต้องห้ามพลาดแล้ว!
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานแพร่ ได้จัดงานแถลงข่าว “น่านเมืองต้องห้าม…พลาด PLUS แพร่” ณ คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ อำเภอเมืองฯ จังหวัดแพร่ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2558 โดยมีการจัด Mini Caravan ร่วมกับบริษัท Win Win Smile เยือนดินแดนล้านนาตะวันออก น่าน-แพร่-อุตรดิตถ์ ขับรถแอ๋วเหนือม่วนใจ๋ พร้อมด้วยสื่อมวลชนจากหลายสำนัก ร่วมเดินทางสัมผัสเสน่ห์เมืองเหนือในครั้งนี้
Mini Caravan ของเราเร่ิมปล่อยตัวกันที่หน้าสถานที่สำคัญของน่าน คือ วัดภูมินทร์ สุดยอดวิหารศิลปะไทลื้อ ซึ่งมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสุดคลาสสิก ปู่ม่าน ย่าม่าน อยู่ภายในด้วย โดย Mini Caravan ครั้งนี้จะเที่ยวในเส้นทาง น่าน-แพร่-อุตรดิตถ์ ท่ามกลางฟ้าใส และอากาศที่แสนเย็นสบายในต้นฤดูหนาว
จุดแรกที่เราได้ไปเยือน คือ ดอยเสมอดาว ในเขตอุทยานแห่งชาติศรีน่าน จุดชมทะเลหมอกยามเช้าสุดเจ๋ง ซึ่งสามารถมองลงไปเห็นลำน้ำน่านไหลลดคดโค้งอยู่เบื้องล่าง ท่ามกลางป่าเขียวสด
ตอนนี้ที่ดอยเสมอดาว มีเต็นท์ของอุทยานแห่งชาติศรีน่านมากางไว้รอรับนักท่องเที่ยวสำหรับฤดูหนาวนี้ อย่างเป็นระเบียบ แต่ด้วยเนื้อที่บนเขาอันจำกัด ใครไปช้าอาจจะอดนะจ๊ะ
จากตรงจุดชมวิวดอยเสมอดาว มองไปทางซ้ายจะเห็น “ผาหัวสิงห์” เป็นผาหินขนาดมหึมา รูปร่างเหมือนหัวสิงโตเลยล่ะ
แม้เราจะไปถึงดอยเสมอดาวกันสายโด่ง ไม่ได้ยลทะเลหมอก แต่ทุกคนใน Mini Caravan ก็มีความสุขสนุกสนาน
ลงจากดอยเสมอดาว จังหวัดน่าน เรานั่งรถยาวไปจนเข้าเขตจังหวัดแพร่ เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการทำไม้สัก เคียงคู่กับจังหวัดลำปางมาแต่อดีต เมืองแพร่อาบอิ่มด้วยธรรมชาติ ขุนเขาลำเนาไพร และมีแหล่งธรรมชาติชวนพิศวงอยู่แห่งหนึ่ง คือ “แพะเมืองผี” ธรณีวิทยาอันเกิดจากการกัดเซาะของลมและน้ำเป็นเวลาหลายล้านปี! จนเราแอบตั้งฉายาให้เล่นๆ ว่าเป็น “สโตนเฮนจ์เมืองไทย” ฮาฮาฮา
ทุกวันนี้แพะเมืองผีได้รับการอนุรักษ์สภาพไว้ในรูปแบบของ วนอุทยานแพะเมืองผี มีเนื้อที่กว่า 500 ไร่ โดยมีการจัดทำเส้นทางเดินเข้าไปชมความมหัศจรรย์ได้อย่างใกล้ชิด
หลังจากเดินวนเวียนชมแพะเมืองผีจากด้านล่างกันจนหนำใจแล้ว เขายังมีจุดชมวิวจากมุมสูงด้วยนะ
วันแรกของการเดินทาง ยังไม่สิ้นสุดลง เพราะในตอนเย็นย่ำ ขบวนคาราวานของเราก็เข้าสู่ใจกลางเมืองแพร่ ณ คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ ซึ่งเป็นคุ้มหรือที่ประทับของเจ้าเมืององค์สุดท้ายแห่งเมืองแพร่ คือ เจ้าหลวงพิริยชัยเทพวงศ์ (พระยาพิริยวิไชย) ซึ่งประทับอยู่ที่นี่พร้อมกับพระอัครชายา คือ แม่เจ้าบัวไหล ผู้มีความสามารถในงานเย็บปักถักร้อยขั้นสูง โดยแม่เจ้าบัวไหลได้ปักผ้าทองคำแท้สำหรับคลุมรถเบนซ์ ถวายรัชกาลที่ 5 ถือเป็นผ้าคลุมรถทองคำผืนแรกของสยาม!
ปัจจุบันคุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่เปลี่ยนโฉมเป็นพิพิธภัณฑ์ ตัวบ้านงามด้วยสถาปัตยกรรมขนมปังขิงแบบยุโรป
คุณธนภร พูลเพิ่ม (เสื้อขาว คนที่ 3 จากซ้ายในภาพ) ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานแพร่ พร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติในเมืองแพร่ เดินทางมาร่วมงานแถลงข่าว “น่านเมืองต้องห้าม…พลาด PLUS แพร่” ณ คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่อย่างอบอุ่น
ขวนแห่ตุงอันยิ่งใหญ่อลังการ ณ คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ ต้อนรับโครงการ น่านเมืองต้องห้าม…พลาด PLUS แพร่
การฟ้อนตัวอ่อน เป็นนาฎศิลป์พื้นถิ่นแพร่ และน่าน บ้านพี่เมืองน้องอันใกล้ชิดมาแต่โบราณ
ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ พร้อมด้วยท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน และแขกผู้มีเกียรติจาก ททท. ร่วมกันแถลงข่าว “น่านเมืองต้องห้าม…พลาด PLUS แพร่” เพื่อช่วยกันส่งเสริมการท่องเที่ยวจากเมืองหลัก ที่อาจมีความคับคั่ง เมืองรองจึงมีบทบาทเพิ่มขึ้น โดยจังหวัดแพร่และน่าน ต่างก็มีแหล่งท่องเที่ยว วิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี คล้ายคลึงเชื่อมโยงกันได้อย่างผสมกลมกลืน
ททท. สำนักงานแพร่ ได้จัดแคมเปญ “เส้นทางรักแท้” ภายใต้ธีม “รักแท้ รักนาน เที่ยวน่าน แพร่” เพื่อเชิญชวนให้ครอบครัว เพื่อนรัก และคู่รัก เดินทางมาสัมผัสเสน่ห์ของทั้งสองเมืองคู่แฝดนี้ “รักแท้ เที่ยว แพร่” เชิญเรามาสัมผัสรักนิรันดร์ของตำนานรักพระลอ อนุสรณ์สถานแห่งความเสียสละเพื่อรัก พร้อมมาถวายเทียนคู่ที่วัดพระธาตุช่อแฮ และกราบพระธาตุพันปีเพื่อเสริมสร้างบุญบารมี
เช่นเดียวกับ “รักนาน เที่ยว น่าน” เชิญมาถวายเทียนคู่ที่วัดพระธาตุแช่แห้ง แล้วมาสัญญากระซิบรักต่อหน้าภาพเขียนสีปู่ม่าน ย่าม่าน ที่วัดภูมินทร์ ให้รักกันยืนยาวจนแก่เฒ่า จากนั้นก็ไปบอกรักกันต่อในอุทยานแห่งรักแสนโรแมนติก ณ ดอยเสมอดาว อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ทั้งหมดนี้คือเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงที่เต็มไปด้วยมนต์ขลังของแดนดินถิ่นล้านนาตะวันออก อย่างแท้จริง
การฟ้อนเทียนอันสวยสดงดงาม อ่อนช้อย ของสาวเมืองแพร่ ณ คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่
เสน่ห์สาวงามเมืองแพร่ งามไม่เป็นสองรองใครจริงๆ เลย
หลังจากงานแถลงข่าว “น่านเมืองต้องห้าม…พลาด PLUS แพร่” แล้ว แขกผู้มีเกียรติพร้อมด้วยคณะ Mini Caravan ม๋วนใจล้านนาตะวันออก ก็ร่วมกันรับประทานขันโตก อาหารแบบชาวเหนือ ที่ทั้งอร่อย และประทับใจไปกับบรรยากาศย้อนยุค ของเสียงสะล้อ ซอ ซึง และการฟ้อนงามๆ ของสาวแพร่
เช้าวันถัดมาของการเดินทาง ยามเช้าในเมืองแพร่อากาศเย็นสบาย ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการเร่ิมต้นวันนี้ด้วยการไปเยือนกำแพงเมืองแพร่ และตักบาตรทำบุญให้สุขใจ
ชาวแพร่เขามีการตักบาตรทำบุญยามเช้าเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เพราะเขามี “การตักบาตรบนสะพานเมฆ” ซึ่งอันที่จริงแล้ว ไม่ใช่ทะเลเมฆทะเลหมอกอย่างที่ใครหลายคนคิด ทว่าเป็นการตักบาตรบนกำแพงเมืองโบราณ อยู่ติดกับตลาดเทศบาลแพร่ เราตื่นมาตอนเช้า ไปซื้ออาหารคาวหวานและดอกไม้จากตลาดมาตักบาตรได้เลย โดยพระท่านจะเดินมารับบาตรประมาณ 7 โมงเช้าทุกวัน
ได้เวลาคณะ Mini Caravan ออกตระเวนซอกแซกเที่ยวต่อ เช้านี้เราจะเดินทางย้อนเวลาหาอดีต กลับไปสัมผัสส่วนเสี้ยวหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 2 ณ “สถานีรถไฟบ้านปิน” อำเภอลอง เป็นสถานีรถไฟไม้สักที่ถือว่าสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของสยามเลยทีเดียว ว้าว! สถานีรถไฟแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยสไตล์บาวาเรียนเยอรมันเป็นแห่งแรกของไทย มี 2 ชั้น งดงามด้วยลวดลายไม้และซุ้มประตูหน้าต่างโค้ง ฉลุฉลายสวยงามมาก อีกทั้งยังสร้างหลังคาแบบปั้นหยา ซึ่งเป็นไสตล์ที่นิยมกันมากในช่วงรัชกาลที่ 5-6 อันเป็นยุคที่สถานีรถไฟบ้านปินถือกำเนิดขึ้น
เมื่อเที่ยวชมสถานีรถไฟบ้านปินเสร็จแล้ว ก็ต้องไปซด กาแฟแห่ระเบิดเมืองแพร่ ซึ่งสมเด็จพระเทพฯ ท่านเคยเสด็จมาเสวยด้วย ร้านนี้อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟบ้านปิน ถามใครๆ ในอำเภอลองรู้จักแน่นอน โดยร้านนี้ตั้งอยู่ริมถนน มี Landmark เด่นเป็นลูกระเบิดสีทองขนาดใหญ่แขวนอยู่ให้สังเกตได้ ภายในร้านที่สร้างด้วยไม้ให้ความรู้สึกอบอุ่น จัดเป็น Art Gallery เล็กๆ น่านั่งชิลนานๆ ลองสั่งกาแฟมาซด เปิดอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม ปล่อยตัวและหัวใจไปพร้อมกับตำนานกาแฟแห่ระเบิดเมืองแพร่
หนึ่งในวัดสำคัญที่สุดของเมืองแพร่ปัจจุบัน คือ “วัดพระศรีดอนคำ” (หรือวัดห้วยอ้อ) อำเภอลอง ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองแพร่ไป 45 กิโลเมตร ที่ว่าสำคัญเพราะเก่าแก่นับพันปี สร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 1078 สมัยพระนางจามเทวีเสด็จจากเมืองละโว้ไปเมืองหริภุญชัย ที่ว่าเป็นวัดสำคัญเพราะมีพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนหน้าอกของพระพุทธองค์แท้ๆ ให้สักการะ พร้อมด้วยระฆังระเบิด 1 ใน 2 ลูกของเมืองแพร่ เป็นระเบิดที่ทิ้งลงมาทำลายสะพานรถไฟข้ามห้วยแม่ต้า ช่ววปี พ.ศ. 2485-2488
ดูกันชัดๆ เลยจ้า นี่คือระฆังระเบิด 1 ใน 2 ลูกของเมืองแพร่ ที่มาของตำนาน คนแพร่แห่ระเบิด! (ก็คือแห่มาถวายวัด)
อำเภอลอง จังหวัดแพร่ แม้ดูเผินๆ จะเป็นอำเภอเล็กๆ แต่เชื่อไหมว่ามีความเป็นมายาวนานนับพันปี ตั้งแต่ยุคที่พระนางจามเทวีเสด็จโดยทางเรือขึ้นภาคเหนือ เมื่อผ่านบริเวณนี้เห็นว่าชัยภูมิดีเยี่ยม จึงตรัสว่าไหนลองขึ้นไปชมดูหน่อยซิ บริเวณนี้จึงได้ชื่อว่า “อำเภอลอง” มาจนปัจจุบัน
พิพิธภัณฑ์วัดสะแล่ง อำเภอลอง จังหวัดแพร่
อำเภอลองช่างมีเรื่องราวน่าสนใจให้ค้นหาไม่สิ้นสุดจริงๆ จากวัดวาอาราม เราเปลี่ยนบรรยากาศมาชื่นชมศิลปวัฒนธรรมและหัตถกรรมล้ำค่าของคนแพร่กันบ้าง ณ โกมลผ้าทอโบราณ เป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ของท้องถิ่น ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อกว่า 50 ปีก่อนโดย คุณโกมล พานิชพันธ์ ช่างภาพอำเภอลอง ที่เดินทางเก็บภาพวัดวาอารามและประเพณีต่างๆ ของคนแพร่มาจัดแสดงไว้
ดาบเหล็กอำเภอลองอันโด่งดังในอดีต เป็นเหล็กกล้าไร้สนิม คมกริบ และสามารถม้วนพันไว้รอบเอวได้!
ซิ่นทองคำอายุหลายร้อยปี อันประเมินค่ามิได้
ซิ่นของคนแพร่มีเอกลักษณ์ด้วยการใช้สีแดง เหลือง ขาว เป็นหลัก โดยส่วนหัว (เอว) จะเป็นสีขาว ส่วนตัวซิ่นเป็นลายขวางสีเหลือง แดง เขียว ดำ สลับกัน และส่วนตีนซิ่นมีลวดลายวิจิตพิสดาร พร้อมด้วยปลายตีนสีแดงสด การใช้ลายขวางบนตัวซิ่นมิได้ทำให้ผู้สวมใส่ดูตัวเตี้ยลงแต่อย่างใด เพราะช่างทอโบราณมีการใช้ทฤษฎีสีต่างๆ เข้ามาแซมสลับ ทำให้เกิดความสวยงาม มีทัศนมิติที่ช่วยเสริมบุคลิกของผู้ใส่ได้อย่างวิเศษ นอกจากนี้ซิ่นโบราณอำเภอลองทุกผืน ยังมีการทอลายจำเพาะกำหนดไว้ที่ตีนซิ่น เปรียบเสมือลายเซ็นต์ หรือ Bar Code โบราณ ไม่มีผิดเลย
ก่อนโบกมืออำลาแพร่ เราแวะไปกราบพระกันที่ “วัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรี” ที่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2520 บนถนนสายแพร่-ลำปาง ช่วงอำเภอเด่นชัย เป็นวัดใหญ่ที่งดงามด้วยสถาปัตยกรรมอันน่าตื่นตา เพราะมีการนำสถาปัตยกรรมหลายสไตล์มาผสมผสานกัน ทั้งล้านนา ไทยใหญ่ ลาว พม่า และจีน โดยเฉพาะเจดีย์ใหญ่ 30 องค์ ผู้ที่ควบคุมการก่อสร้างคือ ครูบาน้อย (หรือหลวงพ่อมนตรี) ซึ่งท่านได้รวบรวมสุดยอดช่างฝีมือล้านนา ที่เรียกว่า “สล่า” มาก่อสร้างวัดนี้
สุดยอดของศิลปะล้านนา 11 แห่ง ที่นำมาประยุกต์สร้างโบสถ์วิหารภายในวัดพระธาตุสุโทน ได้แก่
• ซุ้มประตูด้านหน้าโบสถ์ จากวัดพระธาตุลำปางหลวง ลำปาง
• ซุ้มประตูด้านตะวันออก จากวัดพระธาตุดอยสุเทพ เชียงใหม่
• ซุ้มประตูด้านตะวันตก จากวัดพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว
• ฐานพระอุโบสถรูปซิกแซก จากวังประทับพระยามังราย เชียงราย
• ประตูและหน้าต่างลวดลายแกะสลัก จากวิหารลายคำวัดพระสิงห์ เชียงใหม่
• ปั้นลมลวดลายเก่าศิลปะทางเหนือ จากวัดต้นเกวน อำเภอสเมิง เชียงใหม่
• นาค 7 เศียร แบบขอมและนางอัปสรปูนปั้น จากวัดเจ็ดยอด เชียงใหม่
• หอไตร จากวัดพระสิงห์ เชียงใหม่
• หอระฆัง จากวัดพระธาตุหริภูญชัย ลำพูน
• กุฏิหลังใหญ่สร้างด้วยไม้สักทองจากบ้านไทยสิบสองปันนา ประเทศจีน
• พระบรมธาตุ 30 ทัส ศิลปะเชียงแสน จากวัดพระธาตุนอ (หน่อ) ของพระชนกพระเจ้าเม็งรายมหาราช จากแคว้นสิบสองปันนา ประเทศจีน
จากจังหวัดแพร่ ได้เวลาเดินทางมากล่าวทักทาย เมืองอุตรดิตถ์ เมืองเหล็กน้ำพี้ลือเลื่อง เมืองลางสาดหวาน บ้านพระยาพิชัยดาบหัก และถิ่นสักใหญ่ที่สุดของโลก
พิพิธภัณฑ์เมืองลับแล อุตรดิตถ์
ภายในพิพิธภัณฑ์เมืองลับแล ถือเป็นแหล่งเรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ความเชื่อ ภาษา อาหาร และประเพณีวัฒนธรรมของชาวลับแลอุตรดิตถ์ไว้อย่างสมบูรณ์แบบ
สาวงามเมืองลับแลฟ้อนขันดอกให้เราชมอย่างน่าประทับใจใกล้ๆ กับพิพิธภัณฑ์เมืองลับแล มี ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่พร้อมให้ทั้งข้อมูล มีจักรยานให้เช่าขี่เล่น และเป็นจุดขึ้นลงรถพ่วงชมรอบเมือง วนเวียนไปตามสถานที่สำคัญต่างๆ อย่างเรือนไม้เก่าร้อยปี, พิพิธภัณฑ์ผ้าคุณโจ รวมถึงร้านของกินอร่อยนานาชนิด เช่น ขนมจีนทอด และของทอดร้านป้าณี ลับแล ฯลฯ
เรือนไม้เก่าร้อยปี ทั้งสวยงาม คลาสสิก เต็มไปด้วยมนต์ขลัง และเรื่องราวเก่าๆ ในทุกย่างก้าว ที่นี่เปิดเป็น Homestay ด้วย แค่คืนละ 300 บาทต่อคนเท่านั้น
พิพิธภัณฑ์ผ้าคุณโจ นอกจากจะเป็นแหล่งรวบรวมซิ่นตีนจกลับแล ทั้งโบราณและสมัยใหม่แล้ว ยังสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้ชาวบ้านโดยรอบเป็นกอบเป็นกำ เพราะผ้าเหล่านี้ถือเป็นงานประณีตศิลป์ล้ำค่าราคาสูง ผืนหนึ่งสนนราคาตั้งแต่หลักหมื่นถึงแสนบาท ปัจจุบันมียอดสั่งจองยาวเหยียด และจำหน่ายหมดอย่างรวดเร็ว!
การทอซิ่นตีนจกลับแล จะใช้เทคนิคคล้ายคลึงกับการจกผ้าที่หาดเสี้ยว สุโขทัย ทว่าลายสองด้านของลับแลจะละเอียดเรียบร้อยงามตากว่า งานแขนงนี้จึงเป็นการสืบสานภูมิปัญญาของท้องถิ่น ของชาติ ให้คงอยู่สืบไป
ของทอดร้านป้าณี ลับแล ใครมาก็ต้องแวะชิม โดยเฉพาะ “กระบองทอด” ทำจากหน่อไม้ใส่หมูชุบแป้งทอด อร่อยมากๆ
วันสุดท้ายของการเดินทางที่ทั้งยาวไกลและสนุกสนาน Mini Caravan ของเราไปแวะหม่ำอาหารเที่ยงแสนอร่อยสไตล์ Western Fusion กันที่ “ไร่องุ่น คานาอัน” อำเภอทองแสนขัน อุตรดิตถ์ บรรยากาศของไร่นี้ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่ในอิตาลี หรือในฝรั่งเศสตอนใต้ ไม่มีผิดเลย ฮาฮาฮา
เดินชมไร่องุ่นแดงที่กำลังผลิผลสะพรั่ง มีทั้งองุ่นกินผลสด และองุ่นทำไวน์แดง
อากาศยามบ่ายอาจจะร้อนอบอ้าวนิดนึง แต่เมื่อได้ดื่มน้ำองุ่นสดเย็นชื่นใจ ก็ทำให้โลกสดชื่นขึ้นอีกครั้งเนอะ
ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา ในที่สุดเราก็มาถึงแหล่งท่องเที่ยวสุดท้ายของทริปนี้กันแล้ว กับ “บ่อเหล็กน้ำพี้” อำเภอทองแสนขัน อุตรดิตถ์ ดินแดนแห่งตำนานดาบเหล็กน้ำพี้อันลือลั่น
เหล็กน้ำพี้ แท้จริงแล้วคือแร่เหล็กชนิดหนึ่งที่มีคุณภาพดีเยี่ยม สามารถนำมาถลุงตีเป็นอาวุธนานาชนิด มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แสดงให้เห็นว่าบรรพบุรุษไทยท่านได้นำเหล็กน้ำพี้มาใช้เป็นอาวุธ ต่อสู้รักษาผืนดินไทยไว้ให้ลูกหลานมาจนปัจจุบัน กล่าวกันว่าเหล็กน้ำพี้เป็นโลหะมหัศจรรย์และมีพลังเร้นลับ ผู้ที่ครอบครองสามารถป้องกันภูตผีปีศาจ มนต์ดำ เกิดเมตตามหานิยม และคงกระพันชาตรี สุดยอดจริงๆ!
หลังจากชมพิพิธภัณฑ์เหล็กน้ำพี้ และกราบสักการะเจ้าพ่อเหล็กน้ำพี้แล้ว ก็ได้เวลาสนุก ตกเหล็กน้ำพี้ ใครโชคดีอาจจะได้ก้อนใหญ่กลับบ้านไปบูชาด้วย
เหล็กน้ำพี้หน้าตาเป็นอย่างนี้เองนะ
การเดินทางอันยาวไกล บนเส้นทาง “น่าน เมืองต้องห้าม…พลาด PLUS แพร่” ของเราสิ้นสุดลงแล้ว แต่ภาพประทับใจและประสบการณ์ดีๆ ครั้งนี้ จะได้รับการบอกต่อไปไม่สิ้นสุด หน้าหนาวนี้ถ้าคุณยังไม่รู้จะไปเที่ยวไหนดี ขอบอกเลยว่า เส้นทางจาก น่าน-แพร่-อุตรดิตถ์ นั้น สวยงาม หลากหลาย เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ล้านนาตะวันออกจริงๆ จ้า
Special Thanks : ททท. สำนักงานแพร่ เลขที่ 2 ถนนบ้านใหม่ ตำบลในเวียง อำเภอเมืองฯ จังหวัดแพร่ 54000 โทร. 0-5452-1127 โทรสาร 0-5452-1110 www.tourismthailand.org/phrae , www.easternlanna.org , tatphrae@tat.or.th
ล่องไพรมหัศจรรย์ ฝันที่เป็นจริง ชุมพร ระนอง!
สมัยผมเป็นเด็ก พ่อเคยเอานิยายเรื่อง “ล่องไพร” มาให้อ่าน พอจำเรื่องเลาๆ ได้ว่า เมื่อสัก 50-100 ปีที่แล้ว สมัยที่เมืองไทยยังปกคลุมด้วยป่าทั้งประเทศ ยุคนั้นเต็มไปด้วยสิงห์สาราสัตว์ ต้นไม้แปลกๆ เรื่องเล่าผีๆ สางๆ และการผจญไพรในป่าลึกอันน่าตื่นเต้น ไม่มีที่สิ้นสุด
แต่พอพ้นยุคปี พ.ศ. 2500 มาแล้ว ป่าไม้เมืองไทยก็หดหายลงมาเหลือแค่ 30 เปอร์เซนต์ บ้านเราจึงเกิดภัยธรรมชาติน้ำท่วมสลับฝนแล้ง ฤดูกาลผิดเพี้ยน นี่คือผลจาการตัดไม้ทำลายป่าอย่างหนักมาหลายชั่วอายุคน!
ในผืนป่าปักษ์ใต้ แถบชุมพร ระนอง ซึ่งต่อเนื่องลงไปถึงป่าของพังงาและสุราษฎร์ธานี ถือเป็นกลุ่มป่าที่มีขนาดใหญ่สุด ซึ่งยังหลงเหลือของภาคใต้ในปัจจุบัน ทริปนี้ เราจะร่วมเดินทางไปสัมผัสส่วนเสี้ยวของป่าต้นน้ำเมืองใต้ ที่ยังมอบความชุ่มฉ่ำให้แก่สรรพชีวิตเสมอมา
เริ่มต้นการผจญไพรกันที่ “อำเภอพะโต๊ะ” จังหวัดชุมพร อำเภอแสนน่ารักที่มีคำขวัญชวนให้เที่ยวว่า “พะโต๊ะ ดินแดนแห่งภูเขาเขียว เที่ยวล่องแพ แลหมอกปก น้ำตกงาม ลือนามผลไม้” เพราะนอกจากจะเป็นอำเภอใต้สุดของชุมพร ซึ่งไม่มีทางออกทะเลแล้ว เกือบร้อยเปอร์เซนต์ของพะโต๊ะคือพื้นที่ภูเขาสลับซับซ้อน และผืนพรมของป่าไม้เขียวขจี ต้นน้ำลำธารสำคัญของภาคใต้ตอนบนเลยล่ะครับ โดยผืนป่าเหล่านี้ จะทอดตัวสลับกับสวนผลไม้ของชาวบ้าน ทั้งสวนกาแฟ สวนทุเรียน และสวนมังคุด
กิจกรรมที่สร้างชื่อให้กับอำเภอพะโต๊ะมานานหลายสิบปี และทำให้คนในภาคอื่นได้รู้จักอำเภอพะโต๊ะก็คือ “การล่องแพพะโต๊ะ” ซึ่งในอดีตเป็นการใช้แพไม้ไผ่ ทว่าต่อมามีการรณรงค์อนุรักษ์ธรรมชาติ ผู้ประกอบการจึงเปลี่ยนมาใช้แพท่อเอสล่อนขนาดใหญ่แทน ซึ่งเป็นวัสดุที่ทนทาน ยังคงรักษารูปแบบความสนุกของการล่องแพพะโต๊ะไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยม เนื่องจากลำคลองพะโต๊ะมีสายน้ำไม่เชี่ยวกราก แก่งต่างๆ ก็มีความยากแค่ระดับ 1-2 ถือว่า ชิลชิล นั่งชมวิวกันได้สบาย
การล่องแพพะโต๊ะ ถือเป็นกิจกรรม Slow-Travel แบบเที่ยวเนิบช้า และเป็น Low-Carbon Tourism ที่ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศโลกในปริมาณต่ำๆๆๆๆๆๆ จริงๆ เพราะแพของเราจะใช้วิธีการถ่อเท่านั้น ไม่ใช้เครื่องยนต์เสียงดัง ระหว่างทางเราจึงมีโอกาสเห็นนก ลิง หรือนกเงือก ในป่าสองฟากฝั่งได้!
การล่องแพพะโต๊ะ เป็นการล่องแพไปตามน้ำ โดยผู้ประกอบการแต่ละเจ้า ก็จะมีจุดขึ้นลงแพเป็นของตนเอง ส่วนใหญ่จะเป็น แพ็กเกจครึ่งวัน เหมารวมอาหารเที่ยง 1 มื้อด้วย คุ้มค่ามากๆ
เพื่อความปลอดภัย ก็ต้องใส่เสื้อชูชีพกันทุกคนนะครับ ยกเว้นคนที่มีไซต์พิเศษ! อาจต้องใช้เสื้อชูชีพไซต์ BIG กว่าปกติ
บางช่วงของลำคลองพะโต๊ะ น้ำไม่ลึกและไม่เชี่ยว เราจึงโดดน้ำเล่นกันได้อย่างสนุกสนาน
ปล่อยตัวและหัวใจให้หลุดเข้าสู่อ้อมกอดของธรรมชาติ ป่าเขียว สายน้ำใสอยู่ใกล้แค่เอื้อม
ระยะทางในการล่องแพพะโต๊ะ จะอยู่ที่ประมาณ 6-10 กิโลเมตร แล้วแต่ผู้ประกอบการแต่ละราย
พี่โรจน์ พี่ชายใจดีแห่งเหวโหลม Homestay ที่พาเรามาล่องแพพะโต๊ะในครั้งนี้ พี่เขาลงทุนถ่อแพให้เองเลย เจ๋งอ่ะ
ในบางช่วง ลำน้ำพะโต๊ะจะขยายกว้างออก เปิดโอกาสให้เราได้เห็นทัศนียภาพสองฟากฝั่งน้ำ และทิวเขาเบื้องหน้า ที่มีป่าดิบปกคลุมแน่นทึบอุดมสมบูรณ์ นี่คือป่าต้นน้ำที่แท้จริงของปักษ์ใต้บ้านเรา
เมื่อการล่องแพจบลง ยังมีบรรยากาศควันหลงของการโหนเชือกโดดน้ำเล่นกันตูมตาม นับเป็นโมงยามแห่งความสุข ของการท่องเที่ยวอำเภอพะโต๊ะ ที่มีมาแล้วหลายสิบปี และจะยังคงดำเนินเช่นนี้ต่อไปได้อย่างยั่งยืน ตราบใดที่คนพะโต๊ะยังคงรักษาป่าต้นน้ำของพวกเขาไว้
พี่โรจน์ มาเผาข้าวหลามเตรียมไว้ให้เรากินหลังจากล่องแพเสร็จแล้ว กินกันแบบง่ายๆ ลูกทุ่งๆ อย่างนี้เราชอบ
หน้าตาของข้าวหลามที่สุกพร้อมกินแล้ว ข้าวนิ่ม กลิ่นหอมฉุย เพราะห่อด้วยใบตอง ผสานกับกลิ่นของกระบอกไม้ไผ่ และกลิ่นฟืน เป็นข้าวหลามธรรมชาติที่กินกันได้ไม่อั้น มื้อนั้นผมเลยซัดเข้าไป 4 ห่อ ทั้งจุก ทั้งอร่อย ฮาฮาฮา แต่พี่โรจน์เขาบอกว่ามีสถิติ คนกินสูงสุดได้ 7 ห่อ!
กับข้าวพื้นบ้านแสนอร่อย เติมพลังหลังจากล่องแพกันมาหลายชั่วโมง มีทั้งปลาทูทอด, น้ำพริกกะปิใส่กุ้งสด ผักเหนาะ, ข้าวหลาม, ใบเหรียงผัดไข่, ผักกูดราดกะทิ, แกงส้มหยวกกล้วย, ต้มตำลึง และไข่เจียวมหัศจรรย์ ฮาฮาฮา หรอยจังหู! (ภาษาใต้แปลว่า อร่อยมากเลยครับ)
นอกจากการล่องแพสุดมันส์แล้ว อำเภอพะโต๊ะยังเป็นดินแดนที่มีน้ำตกน้อยใหญ่อยู่นับสิบแห่ง โดยเฉพาะพระเอกของที่นี่คือ “น้ำตกเหวโหลม” (ชื่อเดิม น้ำตกเหวถล่ม) เป็นน้ำตกสวยกลางป่าดิบรกทึบ สายน้ำถาโถมลงมาจากหน้าผาหินแกรนิตสูงกว่า 40 เมตร กว้างกว่า 25 เมตร โดยเฉพาะในฤดูฝน สายน้ำจะไหลรุนแรงดังกึงก้อง ละอองน้ำปลิวว่อนไปทั่ว ด้านหน้ามีแอ่งน้ำสีมรกตให้ลงเล่นกันด้วย และถ้าไปเที่ยวในตอนเช้าตรู่ ก็อาจได้เห็นสายรุ้งพาดอยู่หน้าน้ำตกอย่างงดงาม น่าประทับใจ
สายรุ้งพาดอยู่หน้าน้ำตกเหวโหลมในยามเช้าตรู่
หน้าน้ำตกเหวโหลม มีวังน้ำใหญ่และสายน้ำไหลเย็น ให้ลงว่ายเล่นกันได้ แต่ถ้าใครว่ายน้ำไม่แข็ง ก็พยายามอย่าลงไปในจุดที่ล้ำลึกเกินเท้าหยั่งถึงละกันนะครับ ปลอดภัยไว้ก่อนดีที่สุด
การเข้าถึงนำ้ตกเหวโหลมนั้นไม่ยากเลย จากลานจอดรถ เดินป่าเข้าไปตามทางเลียบธารน้ำ ประมาณ 200 เมตรเท่านั้น โดยลักษณะเป็นทางปูน ที่มีขั้นบันไดและราวจับอย่างดี แต่ก็มีลื่นบ้างในบางจุด เพราะป่าดิบภาคใต้นั้นขึ้นชื่อเรื่องความชื้นฉ่ำ
ไม่ไกลจากน้ำตกเหวโหลม พี่โรจน์แห่งเหวโหลม Homestay ได้พาเราไปผจญไพรกันต่อในป่าต้นน้ำแท้ๆ ของ หน่วยอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำพะโต๊ะ ตำบลปากทรง ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานราชการที่เข้ามาช่วยดูแลพื้นที่ อนุรักษ์ป่าต้นน้ำผืนนี้ไว้ ควบคู่กับการทำความเข้าใจกับชาวบ้านรอบป่า ให้เห็นถึงความสำคัญในการคงอยู่ของป่า
วันนี้เส้นทางเดินป่าของเราไม่ธรรมดา! เพราะเป็นการบุกป่าฝ่าดงไปตามหา ดอกไม้ขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทย! นั่นคือ ดอกบัวผุด หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Rafflesia kerrii เรียกง่ายๆ ว่า รัฟฟลีเซีย แต่ชาวบ้านในท้องถิ่นรู้จักบัวผุดในชื่อ ดอกบัวตูม ตั้งแต่สมัยโบราณมานิยมเก็บหัวของบัวผุดที่ยังไม่บาน เป็นหัวอวบอ้วนคล้ายกะหล่ำ ไปทำยา โดยเฉพาะการชงกับน้ำร้อน ดื่มเป็นชาที่เชื่อว่าช่วยบำรุงสุขภาพ!
ทว่าจริงๆ แล้วบัวผุดเป็นพืชหายากของโลก การถูกรบกวน หรือเก็บออกไปจากธรรมชาติ ก็จะทำให้มันลดจำนวน จนอาจสูญพันธุ์ไปได้ในอนาคต!!!!!
เส้นทางเดินป่าของเราในวันนี้ ผ่านเข้าไปในใจกลางป่าดิบชื้นแท้ๆ ระหว่างทางมีแต่ต้นไม้ใหญ่สูงหลายสิบเมตร โคนต้นใหญ่หลายคนโอบ บางต้นมีพูพอนขนาดใหญ่แผ่ออกไปด้านข้าง เพื่อช่วยพยุงคำ้ยันลำต้นไว้
เส้นทางบางช่วง จะต้องเดินเลียบไปตามธารน้ำเล็กๆ กลางป่าดิบ เราจึงได้พบเฟินขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ปกคลุมเขียวครึ้ม จนเราสัมผัสได้ถึงความเย็นฉ่ำของอากาศในบริเวณนั้น
ดอกไม้เล็กๆ ในตระกูลเร่วและกระวาน หนึ่งในสมาชิกของพืชวงศ์ขิงข่า (Zingiberaceae) ซึ่งเป็นพืชพื้นล่างของป่า ช่วยปกคลุมดินรักษาความชุ่มชื้นไว้ แถมพืชในตระกูลนี้ยังใช้เป็นอาหารและยารักษาโรคได้หลากหลายมาก
เห็ดป่านานาชนิด งอกงามขึ้นจากซากต้นไม้กิ่งไม้ผุบนพื้นป่า นับเป็นกระบวนการย่อยสลายตามธรรมชาติ ให้สารอาหารต่างๆ กลับคืนสู่ระบบนิเวศอีกครั้ง
เห็ดขอน (บางคนเรียก เห็ดหลินจือป่า) ขนาดใหญ่ ขึ้นอยู่บนซากต้นไม้ที่ล้มพังพาบลงมาอยู่บนพื้น
ระหว่างเส้นทางล่องไพร เราพบ ดอกค้างคาวดำ (Tacca chantrieri) เบ่งบานอยู่เป็นจำนวนมาก พืชชนิดนี้นอกจากจะมีรูปทรงประหลาดแล้ว ชาวบ้านยังนิยมเก็บใบและยอดอ่อน ไปลวกกินเป็นผักแกล้ม หรือใช้หัวใต้ดินมาหั่นเป็นแว่น ดองกับเหล้า กินเป็นยาบำรุงกำลัง โดยในปัจจุบันนิยมนำมาปลูกเลี้ยงเป็นไม้ประดับสวนกันได้แล้วด้วย
ผ่านความยากลำบากของเส้นทางเดินป่าอันยาวไกล รกทึบ ขึ้นๆ ลงๆ ไปตามสันเขา ประมาณ 2 ชั่วโมงผ่านไป ในที่สุดเราก็มาถึงจุดที่ดอกบัวผุดขึ้นอยู่! พื้นที่เป็นสันเขาค่อนข้างลาดชัน โดยรอบเต็มไปด้วยเถาวัลย์ป่าชนิดหนึ่งชื่อ ย่านไก่ต้ม ซึ่งจริงๆ แล้วคือต้นกำเนิดของดอกบัวผุดนั่นเอง!
เพราะดอกบัวผุดมีชีวิตเป็น “พืชเบียน” หรือ Parasitic Plant ที่มีลักษณะเป็นเส้นใยรา อาศัยดูดกินน้ำเลี้ยงอยู่ในเถาย่านไก่ต้ม เมื่อบัวผุดต้องการสืบพันธุ์ จึงค่อยๆ มีหัวตูมผุดขึ้นมา โดยหัวบัวผุด (ชาวบ้านเรียก บัวตูม) จะมีลักษณะคล้ายหัวกะหล่ำสีส้มอมแดงเต่งอยู่ 9 เดือน แล้วบานออกเพียง 7 วัน เท่านั้นในรอบปี จุดที่เคยมีดอกบานออกมาจากย่านไก่ต้มแล้ว ก็จะไม่มีดอกซ้ำ แต่ดอกจะไปผุดขึ้นจากจุดอื่นแทน อัศจรรย์จริงๆ
วันที่เราไปถึง ดอกบัวผุดยังไม่บาน แต่ก็ถือว่ากำลังเต่งเต็มที่แล้ว
หลังจากนั้นอีกเพียง 2 วัน ดอกบัวผุดก็บานเต็มที่! มีเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบ 100 เซนติเมตร หรือ 1 เมตร! เป็นราชาของดอกไม้ยักษ์กลางป่าดิบที่ไม่มีพืชชนิดใดเทียบได้ แม้ว่าผมจะเคยเดินป่าไปดูบัวผุดที่อุทยานแห่งชาติเขาสก จ.สุราษฎร์ธานี มาแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่า บัวผุดพะโต๊ะสุดยอดไม่แพ้กัน แถมยังมีปริมาณเยอะมากๆๆ
บัวผุดเป็นพืชที่มีดอกตัวผู้ และดอกตัวเมีย อยู่แยกกันคนละที่ มันจึงต้องผลิตกลิ่นคล้ายเนื้อเน่าอ่อนๆ เพื่อล่อแมลงให้มาช่วยผสมพันธุ์ให้ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่า เมล็ดที่ได้รับการผสมแล้ว กลับลงไปอยู่ในเถาย่านไก่ต้มได้อย่างไร? ยังเป็นปริศนาที่รอการไขต่อไป! หรือว่ามันกลับคืนสภาพเป็นลักษณะเส้นใยรา กลับลงไปอยู่ในย่านไก่ต้มดังเดิม ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ?ทริปล่องป่าผจญไพรของเรายังไม่สิ้นสุด แต่ยังมี Surprise! อีกที่ ตำบลบางสน อำเภอปะทิว ชุมพร กับการเที่ยว “ถ้ำนางทอง” ถ้ำขนาดใหญ่ที่ยังไม่เปิดอย่างเป็นทางการ จึงมีรอยเท้าของมนุษย์เพียงไม่กี่คน เคยเข้าไปสำรวจถ้ำแห่งนี้!
การผจญภัยเที่ยวถ้ำนางทอง คงจะต้องมีร่างกายแข็งแรงสักหน่อย เพราะทางช่วงแรกต้องปีนเขาโหนเชือกขึ้นไป แล้วเดินป่าสู่ปากถ้ำที่มีปล่องแคบนิดเดียว เพื่อปีนบันไดชันลงสู่โถงยักษ์ภายในถ้ำ การเดินป่าทุกครั้งจำเป็นต้องมีไกด์ท้องถิ่น คราวนี้เราได้ พี่แตน พี่สาวใจดีแห่ง Homestay บ้านธรรมชาติ พาน้องๆ พลพรรคตัวจิ๋วไปเที่ยวถ้ำกัน
สิ่งสำคัญคือ ทุกคนต้องมีไฟฉายประจำกาย รวมถึงมีเทียนและไม้ขีดเอาไว้สำรองด้วย เพราะในถ้ำไม่มีไฟฟ้านะครับ
ปากถ้ำนางทอง มีรูแคบพอให้คนแค่ 1-2 คนมุดลงมาได้ จากนั้นก็ต้องไต่บันไดชันลงไปอย่างระมัดระวัง ข้าวของที่จะนำลงไปได้ จึงต้องเป็นอะไรที่จำเป็นจริงๆ ไม่งั้นคงพะรุงพะรังแย่
โถงแรกของถ้ำนางทอง มีความสูงและกว้างมากๆ โดยบนเพดานบนสุดมีปล่องทะลุออกสู่ป่าภายนอก ปล่อยให้แสงอาทิตย์ลอดเข้ามาได้บ้าง ตามผนังถ้ำมีเสาหินขนาดยักษ์ รวมถึงม่านหินย้อย และหลืบโพรงอีกนับไม่ถ้วน ในโถงแรกนี้อากาศถ่ายเทดี มีลมอ่อนๆ ไม่อึดอัด แถมไม่มีกลิ่นขี้ค้างคาวให้รำคาญใจด้วย
เมื่อเดินลึกเข้ามาในถ้ำ ก็ยังพบประติมากรรมธรรมชาติอีกหลายลักษณะ ซึ่งหลายคนจินตนาการไปเป็นรูปต่างๆ นาๆ โดยเฉพาะสาหินปูน หรือ Limestone Pillar นั้น แต่ละต้นน่าจะมีอายุเป็นแสนปี! เพราะกว่าหินงอกและหินย้อยจะเติบโตมารวมกันกันเป็นเสาหินได้ ต้องใช้เวลาหลายชั่วอายุคน!
กระบวนการเกิดถ้ำหินปูน จริงๆ แล้วเกิดจากน้ำฝนที่รวมตัวกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ เกิดเป็นกรดคาร์บอนิกอ่อนๆ ค่อยๆ กัดกร่อนเขาหินปูน จนทะลุเข้าไปเป็นโพรงถ้ำ แล้วขยายขนาดออกเรื่อยๆ ชาวบ้านเล่าว่า ถ้ำนางทองในฤดูฝนจะมีน้ำไหลลงมาหลายจุด เราจึงพบขั้นบันไดหินปูน ที่มีร่องรอยของแอ่งน้ำขัง
ความสวยงามมหัศจรรย์แห่งถ้ำนางทอง
เมื่อเดินเข้ามาถึงโถงใหญ่ในสุดของถ้ำนางทอง ก็ต้องตกตะลึงอีกรอบ เพราะมันมีขนาดใหญ่โตมโหฬารมาก เพดานบนสุดมีช่องโพรงทะลุประมาณ 3 โพรง ปล่อยให้แสงแดดจากภายนอกลอดเข้ามาได้ ถ้ำแห่งนี้จึงมีอากาศถ่ายเทตลอด ไม่ร้อนอบอ้าว หรือมีกลิ่นเหม็นใดๆ หินงอกหินย้อยและรากไม้ใหญ่ที่ชอนไชหินปูนลงมาในถ้ำ สร้างบรรยากาศสวยงาม ลึกลับ น่าขนลุก แต่ก็น่าค้นหาในเวลาเดียวกัน
ใช้เวลาอยู่ในถ้ำนางทองกันกว่า 2 ชั่วโมง ออกมาได้ น้องๆ ผู้นำเที่ยวท้องถิ่น ลูกๆ หลานๆ พี่แตน Homestay บ้านธรรมชาติ ก็เอามะพร้าวน้ำหอมมาเฉาะให้เราดื่มกันสดๆ ชื่นใจดีจริงๆ ครับ ต้องขอบคุณทุกคนมากสำหรับวันนี้
ในส่วนของจังหวัดชุมพร ถ้าใครมีเวลาเหลือ ต้องไม่พลาดการไปเที่ยวที่ เขตอนุรักษ์สัตว์ป่าถ้ำเขาพลู (วัดถ้ำเขาพลู) อำเภอปะทิว เพื่อชมความน่ารักของ “ค่างแว่นถิ่นใต้” (Dusky Langur) สัตว์ในตระกูลลิงอันซุกซน ที่จะใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตอยู่บนยอดไม้ เก็บกินใบไม้ผลไม้เป็นอาหารไปตามเรื่องตามราว พอดีช่วงนี้แม่ค่างแว่นมีลูกน้อยด้วย เราจึงได้เห็นลูกน้อยขนสีทองซุกอยู่กับอกแม่ หรือปีนป่ายโหนกิ่งไม้เล่นไปมาอย่างน่าชม
ทริปนี้ยอมรับว่าเหนื่อย แต่ก็คุ้มและสนุกมาก เพราะได้สัมผัสป่าต้นน้ำของชุมพรกันจนเต็มอิ่ม ก่อนกลับบ้าน พี่ปูแห่ง ททท. สำนักงานชุมพร-ระนอง เลยพาเราไปพักผ่อนแบบชิลชิล กันที่ “Farmstay บ้านไร่ ไออรุณ” ของคุณเบส สถาปนิกหนุ่มผู้จบการศึกษาจากเมืองกรุง แต่เดินตามฝันของตัวเอง กลับไปพัฒนาบ้านสวนของพ่อแม่ จนกลายเป็น Farmstay ที่ดู Modern กลมกลืนกับบรรยากาศสวนผลไม้แบบสมรมของอำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง ได้ดีเยี่ยม
ขอบอกว่า Farmsaty บ้านไร่ ไออรุณ เขาไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน เพราะมีความพิเศษหลายอย่าง ตั้งแต่การสร้างสะพานทางเดินยกระดับ เชื่อมโยงบ้านพักแต่ละหลังเข้าหากัน โดยทางเดินนี้ แท้จริงแล้วใช้เป็นเส้นทางชม “ดอกพลับพลึงธาร” หรือ “ดอกหอมน้ำ” ซึ่งเป็นพืชหายากของโลก! ตามธรรมชาติพบเฉพาะในลำธารน้ำใสกลางป่าดงดิบชื้น ของจังหวัดระนองเท่าน้ัน แต่เดิมเคยพบในคลองนาคา ทว่าได้สูญพันธุ์ไปแล้ว บ้านไร่ ไออรุณ จึงนำพันธุ์มาเพาะเลี้ยงจนสำเร็จ! น่าชื่นชมจริงๆ ครับ
ดูกันชัดๆ ครับ กับหน้าตาแสนน่ารักของ ดอกพลับพลึงธาร พืชหายากของโลก! ซึ่งตามธรรมชาติเธอชอบขึ้นอยู่ในลำธารเล็กๆ กลางป่าดงดิบชื้น เงียบสงบ ต้องเป็นลำธารที่สะอาด น้ำใสมาก ไม่ค่อยมีตะกอน น้ำไม่ไหลเชี่ยว และท้องลำธารต้องเป็นดินปนทราย ตามธรรมชาติหายากแล้วครับ มาชมที่บ้านไร่ ไออรุณ ก็ได้ ง่ายและชิลดี
ต้นอ่อนของพลับพลึงธาร ที่บ้านไร่ ไออรุณ พยายามหาวิธีฟูมฟักจนสำเร็จ ขอปรบมือให้ดังๆ เลยครับ
ความพิเศษมากๆ อีกอย่างของบ้านไร่ ไออรุณ คือเขามีที่พักให้ด้วย คนที่มาพักจะสัมผัสได้ตลอดเวลา ถึงกลิ่นอายของคำว่า ART & Design เพราะคุณเบส เจ้าของ Farmstay แห่งนี้ เป็นคนที่มีไอเดียสร้างสรรค์ ด้วยความรู้ที่รำ่เรียนมาด้านสถาปนิก จึงสรรค์สร้างที่พัก ห้องครัว ร้านอาหาร รวมถึงการจัด Lansdcape ให้ดู Modern มากๆ ถึงขนาดเคยขึ้นปกหนังสือชื่อดัง My Home มาแล้ว!
นี่ถ้าไม่บอกว่าอยู่ระนอง ผมคงนึกว่าต้องเป็นบ้านไร่แถวยุโรปแน่ๆ เลย
เราจบทริปผจญไพรในป่าใต้ ชุมพร ระนอง กันที่เก้าอี้และหมอนอิงนิ่มๆ ของบ้านไร่ ไออรุณ พร้อมกับภาพประทับใจ ในประสบกาณ์ดีๆ มากมาย ที่ทำให้เรารู้สึกรู้ซึ้งว่า จริงๆ แล้วเมืองไทยของเราช่างกว้างใหญ่นัก และยังมีแหล่งท่องเที่ยวอีกนับไม่ถ้วนให้เราไปสัมผัส คงจะดีไม่น้อยเลย ถ้าเราได้หยุดเวลาไว้ตรงนี้ ตลอดไป
More info
- ล่องแพพะโต๊ะ สอบถาม ที่ว่าการอำเภอพะโต๊ะ ชุมพร โทร. 0-77 53-9040, มาลินล่องแพ โทร. 08-9592-8376
- เดินป่าดูบัวผุด อำเภอพะโต๊ะ ชุมพร ติดต่อ เหวโหลม Homestay โทร. 08-1968-3893 (คุณโรจน์)
- ชมรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศป่าต้นน้ำพะโต๊ะ โทร. 0-7752-0075, 08-4926-7007
- ถ้ำนางทอง ตำบลบางสน อำเภอปะทิว ชุมพระ ติดต่อ Homestay บ้านธรรมชาติ โทร. 08-9873-8535, 08-1273-0127 (คุณแตน)
- พลับพลึงธาร Farmstay บ้านไร่ ไออรุณ อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง โทร. 08-3051-1654 (คุณ Best)