วันเดียวเที่ยวเกาะกำ ผจญภัยสุดสนุกที่ระนอง
ไปเที่ยวทะเลมาก็หลายที่ ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน ได้เห็นความงดงามของท้องทะเลไทย ซึ่งเปรียบเสมือนปราการด่านสุดท้ายของนักผจญภัยอย่างผม โลกใต้ทะเลยังมีอะไรลึกลับให้ค้นหาอีกอย่างไม่รู้จบ และทะเลระนองก็เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายการเดินทาง ที่ผมจะต้องเจาะลึกต่อไป
ทริปนี้เราเดินทางท่องเที่ยวร่วมกับ ททท. สำนักงานชุมพร ระนอง และททท. ภูมิภาคภาคใต้ ใจดีพาเรามาล่องเรือชมความงามของ “หมู่เกาะกำ” ซึ่งเป็นทริปล่องเรือเที่ยวแบบ One Day Trip 3 เกาะ คือ เกาะค้างคาว เกาะญี่ปุ่น และเกาะกำตก พร้อมแล้วก็เปลี่ยนชุดออกไปลงเรือหัวโทงกันเลยดีกว่าพวกเรา เย้…
การล่องเรือออกไปเที่ยวหมู่เกาะกำ เริ่มต้นขึ้นที่ท่าเรือของ อุทยทานแห่งชาติแหลมสน โดยมีเรือหัวโทง ซึ่งเป็นเรือหางยาวแบบปักษ์ใต้จอดเรียงรายรอนักท่องเที่ยว สำหรับการเช่าเหมาลำออกไปดำน้ำเป็นรายวันครับ วันนี้ฟ้าใสแจ๋ว น้ำกับฟ้าดูเหมือนจะจุมพิตกันเลยทีเดียว ฮาฮาฮา
ที่ท่าเรือเราได้เห็นวิถีชีวิตของพี่น้องชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในแถบนี้ จริงๆ เรือที่พานักท่องเที่ยวออกไปในทะเล ก็เป็นเรือของพวกเขานั่นล่ะ
เรือของพี่บังโอ๋ ค่อยๆ เร่งเครื่องฝ่าเกลียวคลื่นออกไปสู่เวิ้งทะเลเบื้องหน้า กะว่าราวๆ ไม่เกิน 45 นาที ก็น่าจะถึงเกาะค้างคาวและเกาะญี่ปึ่นล่ะ กฎข้อหนึ่งของการนั่งเรือเที่ยวให้ปลอดภัยคือ ทุกคนต้องสวมเสื้อชูชีพด้วยนะจ๊ะ
วิ่งมาได้กลางทาง ก็มองเห็นเกาะค้างคาว เกาะญี่ปุ่น และเกาะกำตกอยู่ลิบๆ ที่เส้นขอบฟ้าแล้ว
ลมเย็นสลับกับลมร้อน บวกกับละอองน้ำทะเลที่กระเซ็นซ่าขึ้นมาต้องผิวกายเรา ทำให้รู้สึกสดชื่นเมื่อได้มาใช้ชีวิตอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ หลังจากต้องเหนื่อยล้าตรากตรำอยู่กับงานหนักๆ ในเมืองหลวงมาซะนาน แค่ได้เห็นผืนน้ำกว้างๆ ท้องฟ้าสีครามโล่งๆ และอากาศบริสุทธิ์หายใจได้เต็มปอด เท่านี้ก็มีความสุขแล้วครับ
เหมือนโชคไม่เข้าข้าง ธรรมชาติไม่เป็นใจ พอเรือแล่นมาถึงจุดหมาย คือเกาะค้างคาว และเกาะญี่ปุ่น ท้องฟ้าก็เริ่มมืดสลัวลง เมฆฝนสีเทาเริ่มตั้งเค้า ประกอบกับระดับน้ำยังไม่อำนวย เราจึงต้องเบนหัวเรือไปขึ้นที่เกาะกำตกกันก่อน
มาถึงแล้ว เกาะกำตก (อยู่ห่างากฝั่งประมาณ 15 กิโลเมตร) อันเป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ เป็นหน่วยย่อยของอุทยานแห่งชาติแหลมสน แม้ไม่ใช่เกาะใหญ่ แต่เกาะกำตกก็มีชื่อเสียง เพราะด้านหน้ามีหาดทรายขาวทอดโค้งยาว เรียกว่า อ่าวเขาควาย อ่าวโค้งยาวกว่า 300 เมตร
บนเกาะกำตกมีทะเลแหวกเป็นสันทรายเชื่อมเกาะเล็กๆ เข้าหากัน ยามน้ำลดสามารถเดินเที่ยวบนสันทรายนี้ได้ด้วย
พอเรือเทียบท่าที่อ่าวเขาควาย เราก็ไม่รอช้า ให้เจ้าหน้าที่พาเดินป่าปีนเขาขึ้นไปยังจุดชมวิวแห่งใหม่ ซึ่งเพิ่งจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม เป็นจุดชมวิวมุมสูงที่มองลงมาเห็นอ่าวเขาควายได้อย่างเต็มตาพาโนรามาเลยล่ะ
แต่กว่าจะขึ้นถึงจุดชมวิวได้ก็ต้องออกแรงกันไม่ใช่น้อย! โดยเฉพาะมีช่วงที่ต้องปีนไต่โหนตัวขึ้นไปตามเชือกนำ ซึ่งเจ้าหน้าที่เขาผูกไว้ให้แล้ว ดังนั้นสัมภารก เอ้ย สัมภาระอะไรไม่จำเป็น ก็ไม่ต้องหิ้วขึ้นไปให้เมื่อยตุ้มนะครับ สองข้างทางเป็นป่าหวายหนาแน่น เป็นธรรมชาติสุดๆ
เห็นลีลาการปีนเชือกขึ้นเขาอย่างคล่องแคล่วแบบนี้ บอกได้คำเดียวว่าน้องเขานักเที่ยวมือโปรคร้าบบบ
ใช้เวลาปีนไต่เขาขึ้นไปไม่เกิน 20 นาที ในที่สุดเราก็มาถึงจุดชมวิวที่ตั้งใจไว้ ว้าว! บนนี้วิวเปิดโล่งมาก มองเห็นได้กว้างไกลไปจนถึงเกาะญี่ปุ่นเลยล่ะ นอกจากนี้ยังมองเห็นสันทรายทะเลแหวก และอ่าวเขาควายโค้งเว้าสวยงามสมชื่อ เสียดายอย่างเดียวที่วันนี้ฟ้าไม่ใสปิ๊งปั๊ง แถมมีฝนเม็ดบางๆ โปรยลงมาให้ชุ่มฉ่ำเล่นซะงั้น
จุดชมวิวมุมสูงบนเกาะกำตกอ่าวเขาควาย ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ที่ให้ภาพออกมาสวยงามน่าชม สามารถซึมซับความบริสุทธิ์ของธรรมชาติได้เต็มที่ และให้บรรยากาศการผจญภัยเล็กๆ ตอนปีนไต่ขึ้นมาอีกด้วย
นอกจากจุดชมวิวอ่าวเขาควายจะเป็นจุดท่องเที่ยวใหม่ล่าสุดแล้ว ยังเป็นเส้นทางหนีคลื่นยักษ์สึนามิด้วย เพราะเมื่อคราวเกิดคลื่นยักษ์ซัดถล่มอันดามัน เกาะกำตกอ่าวเขาควายก็โดนเต็มๆ เขาจึงมีการจัดทำเส้นทางอพยพฉุกเฉินขึ้นเขานี้ไว้ครับ โดยในปัจจุบัน บนเกาะกำตกห้ามไม่ให้มีการค้างแรม มาเที่ยวได้แบบเช้ามา เย็นกลับ จ้า
โดยปกติ เกาะกำตกจะเป็นจุดแวะกินข้าวเที่ยงของเรือทัวร์ หลังจากช่วงเช้าเรือพานักท่องเที่ยวไปดำน้ำเล่น ที่เกาะค้างคาว และเดินสำรวจเกาะญี่ปุ่นกันมาแล้ว บนเกาะมีป่าสนทะเลร่มรื่น บรรยากาศผ่อนคลาย ลมโชยพัดชื่นใจ ในยามที่ลมทะเลพัดแรง ยอดสนก็จะสีกันดังเกรียวกราว โบกพลิ้วไปมาอย่างอ่อนโยนน่ามอง
อาหารเที่ยงสำหรับเราวันนี้ มีทั้งหมึก ปู กุ้ง เปรมกันเลยทีเดียว ฮาฮาฮา
อิ่มข้าวแล้ว ฟ้ายิ่งมืดสลัวลง เป็นอันว่าวันนี้คงหมดโอกาสที่จะไปดำน้ำเล่นที่เกาะค้างคาวและเกาะญี่ปุ่นแล้วล่ะ เราเลยใช้เวลาอีกสองสามชั่วโมงที่เหลือก่อนกลับเข้าฝั่ง เดินถ่ายรูปเล่นบนอ่าวเขาควาย เดินต่อเนื่องไปบนสันทรายทะเลแหวก มีมุมแจ๋มๆ ให้ถ่ายรูปไม่น้อย
นั่งเหม่อมองชมทะเล ปล่อยกายใจให้ธรรมชาติโอบกอด ขณะที่ลมทะเลพัดโชยชื่นใจ หัวใจเราก็ล่องลอยไป ณ ที่ใดสักแห่ง ธรรมชาติสอนให้เราเป็นคนอ่อนโยน ละเอียด และใส่ใจกับสิ่งรอบข้าง โดยเฉพาะทะเล ที่ผมรักมากที่สุด
เมื่อสุดยังสันทรายทะเลแหวก เราจะพบกับป้ายสุสานหอย ซึ่งจริงๆ พื้นที่ตรงนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไร มีซากหอยทะเลตัวจิ๋วๆ ถูกคลื่นพัดขึ้นมากองรวมกันอยู่จำนวนหนึ่ง สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นโขดหินมากกว่า เดินตรงนี้แนะนำว่าอย่าถอดรองเท้านะครับ เพราะเปลือกหอยคมๆ อาจบาดเท้าได้ เป็นห่วงนะจ๊ะ
สำรวจระบบนิเวศน์หาดหินยามน้ำลด เกิดเป็นแอ่งน้ำขังเล็กๆ มีสิ่งมีชีวิตน่ารักๆ ทั้งหอย ปู ปลา ติดอยู่ในแอ่งนี้ รอเวลาน้ำขึ้นมันก็ว่ายกลับออกทะเลไปได้อีกครั้ง
จากหาดหินและสุสานหอย ด้านขวามือมีทางเดินขึ้นไปบนเนินเขาเตี้ยๆ นำไปสู่ผาด้านทิศตะวันตกของอ่าวเขาควาย บนยอดเนินนี้เต็มไปด้วยต้นเตยทะเลขนาดใหญ่ บ่งบอกถึงอายุของมันว่าหลายร้อยปีทีเดียว
บนยอดเนินเป็นผาหินเปิดโล่ง ถ้าวันไหนฟ้าโปร่งๆ ช่วงเย็นคงจะเห็นพระอาทิตย์ตกได้งดงามแน่นอน
บนผาตะวันตกมีต้นปรงเขา (Cycas pectinata) ขนาดใหญ่ขึ้นอยู่ด้วย พรรณไม้พวกนี้เป็นพืชทนแล้ง พบได้ทั่วไปบนเกาะกลางทะเล ชอบขึ้นอยู่ตามโขดหิน หรือหน้าผาสูง
ต้นเตยทะเลที่ผาตะวันตกของอ่าวเขาควาย
ในที่สุด ราวๆ สี่โมงเย็น เราก็ล่องเรือฝ่าคลื่นลมแรงกลับเข้ามาที่ท่าเรืออุทยานแห่งชาติแหลมสน โดยปลอดภัย พร้อมกับพกพาความประทับใจ และภาพงามๆ ที่เต็มปรี่ Memory Card ในกล้องดิจิตอลหมดแล้ว
ขอขอบคุณธรรมชาติ ท้องทะเล ที่สร้างสรรค์เกาะงามๆ ให้เราไปเยือน และขอขอบคุณใครก็ตาม ที่ยังช่วยกันรักษาสมบัติทางธรรมชาตินี้ไว้ให้เราได้พบเห็น
หวังว่า หมู่เกาะกำแห่งทะเลระนอง จะยังคงความสวยงามเช่นนี้ไปอีกนานเท่านาน ตราบใดที่ทุกคนยังท่องเที่ยวกันอย่างมีจิตสำนึก ด้วยวิถียั่งยืน Sustainable Tourism ที่จะทำให้กิจกรรมการท่องเที่ยว และการอนุรักษ์ สามารถดำเนินไปอย่างควบคู่และกลมกลืน ครับผม บ้ายบายSpecial Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคใต้ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานชุมพร ระนอง โทร. 0-7750-2775-6, 0-7750-1831 สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี
สอบถามเพิ่มเติม : อุทยานแห่งชาติแหลมสน จังหวัดระนอง โทร. 0-7786-1431, 0-7786-1442, 0-7786-1432
ปั่นท่องเที่ยว CSR ตามหาพลับพลึงธาร จ.ชุมพร-ระนอง
พลับพลึงธาร หลายคนคงเคยได้ยินชื่อนี้มาบ้างแล้ว แต่อาจเป็นชื่อใหม่สำหรับใครหลายคน พลับพลึงธารได้รับฉายาว่าเป็น “ราชินีแห่งไม้น้ำในป่าปักษ์ใต้” เพราะเธอคือพรรณไม้สุดพิเศษ ตามธรรมชาติดั้งเดิมพบเพียงแห่งเดียวในโลกที่ คลองนาคา จังหวัดระนอง เท่านั้น
เธอจึงเป็นพรรณไม้อันแสนเปราะบาง ขึ้นอยู่ในลำธารน้ำใสกลางป่าดิบ ที่ปราศจากการรบกวนของมนุษย์ โดยลำธารที่เธอชอบขึ้นอยู่นั้น มักจะเป็นพื้นทรายปนกรวด น้ำไหลตลอด และคุณภาพน้ำใสสะอาดดีเยี่ยม
ทว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผลกระทบจากการรุกล้ำของมนุษย์ ทำให้พลับพลึงธารตามธรรมชาติลดลงอย่างน่าใจหาย จนเป็นที่หวั่นเกรงกันว่ามันจะสูญพันธุ์ไปจากเมืองไทย และจากโลก!
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานชุมพร ระนอง จึงจับมือร่วมกับภาครัฐและเอกชน ที่เห็นความสำคัญของพรรณไม้หายากของโลกอย่างพลับพลึงธาร ร่วมกันจัดงานสำคัญ “ปั่นท่องเที่ยวและ CSR ตามหา…พลับพลึงธาร” ขึ้นเมื่อวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์ 2559 นำนักปั่นที่มีจิตสำนึกรักสิ่งแวดล้อม สู่เส้นทางสีเขียวชุมพร-ระนอง
งาน CSR สุดเจ๋งในครั้งนี้ มีพิธีปล่อยตัวจักรยานตามหาพลับพลึงธารกันที่ ด้านหน้าที่ว่าการอำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร โดยมี ท่านเลิศพรไชย ไชยฤทธิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงาน ปล่อยตัวจักรยานกว่า 300 คันออกไปตามเส้นทาง สู่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา จังหวัดระนอง ซึ่งผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้ไปนอนแค้มปิ้งกลางป่ากัน 1 คืน ก่อนจะได้ร่วมกันปลูกพลับพลึงธารกันในวันรุ่งขึ้น
พันธมิตรที่ร่วมกันจัดงานยิ่งใหญ่ขึ้นในครั้งนี้ ได้แก่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานชุมพร ระนอง, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา, อำเภอพะโต๊ะ, สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดระนอง, ศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดระนอง, สายการบินนกแอร์ (สถานีชุมพรและระนอง) และธนาคารกรุงเทพ จำกัด
เพื่อนนักปั่นน่องเหล็ก มาตั้งแถวรอปล่อยตัว บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอพะโต๊ะ
รอยยิ้มแห่งความสุขที่ได้ทำความดีร่วมกัน ปั่นจักรยานไปปลูกพลับพลึงธาร ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา แต่ละคนมาในชุดจัดเต็มทั้งนั้นเลยนะ
พร้อมค่ะ งานดีๆ แบบนี้นานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้ง จะพลาดได้ไงนะ
ได้เวลาปล่อยตัว จักรยาน CSR ตามหา…พลับพลึงธาร โดยท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร
ท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ร่วมถ่ายภาพกับคณะเยาวชนนักปั่น รวมถึงท่านผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานชุมพร ระนอง, ตัวแทนจากนกแอร์, ธนาคารกรุงเทพ และมิตรสหายใจดีจากจังหวัดระนอง ชุมพร ที่ช่วยกันสร้างสรรค์ให้งาน CSR อันมีคุณค่านี้เป็นจริง
ได้เวลาที่รอคอย ปั่นจักรยานไปตามหาพลับพลึงธาร ราชินีแห่งไม้น้ำ กันดีกว่านะพวกเรา
เส้นทางปั่นจักรยานจากจังหวัดชุมพร-ระนอง เป็นทางคดเคี้ยวขึ้นลงเขา ผ่านป่าดิบอันอุดมสมบูรณ์ สวยงาม อากาศบริสุทธิ์สดชื่น ไหล่ทางกว้าง ปริมาณรถน้อย จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการปั่นจักรยานเพื่อสุขภาพ และตามหาพลับพลึงธารในครั้งนี้
จุดแรกที่นักปั่น CSR ตามหา…พลับพลึงธาร ได้หยุดพัก คือ บ้านดิน กลุ่มโฮมสเตย์เศรษฐกิจพอเพียงตำบลปากทรง อำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร (โทร. 08-7287-2745, 09-1854-0074)
หมู่บ้านดินแห่งนี้ไม่ธรรมดา เพราะเป็นรีสอร์ทเล็กๆ แนวเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์เรียนรู้ครบวงจร จึงมีนักท่องเที่ยว (โดยเฉพาะชาวต่างชาติ) มาพักแบบ Long Stay เป็นจำนวนมากตลอดปี ที่นี่เขามีกิจกรรมเดินป่า, ล่องแพ, ศึกษาพรรณไม้, ปลูกผักกินเอง, กินอาหารพื้นบ้าน, เรียนรู้เรื่องสมุนไพร, เรียนรู้วิถีพอเพียง Sustainable Living และที่ขาดไม่ได้คือ มี Workshop สอนทำบ้านดินด้วย
ท่านผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานชุมพร ระนอง พร้อมตัวแทนจากหน่วยงานพันธมิตร มอบของที่ระลึกให้แก่บ้านดิน ที่นักปั่น CSR ตามหา…พลับพลึงธาร เข้าเยี่ยมชม เรียนรู้กิจกรรมวิถีพอเพียง
เข้าเยี่ยมชมบ้านดิน และถือเป็นการพักเหนื่อยจากการปั่นจักรยานช่วงแรกด้วย
เจ้าของบ้านดิน รับเงินสมทบจากผู้เข้าร่วมกิจกรรม CSR ตามหา…พลับพลึงธาร
ในวันที่ 2 ของกิจกรรม หลังจากเมื่อคืนวาน นักปั่นกว่า 300 ชีวิต ได้ร่วมกันค้างแรมที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคาแล้ว ก็ได้เวลาเดินป่าเข้าไปยังลำธารกลางป่า เพื่อปลูกพลับพลึงธาร กลับคืนสู่ถิ่นเดิมตามธรรมชาติ
แต่เดิมการปลูกพลับพลึงธารคือสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย! เพราะเธอเป็นพรรณไม้น้ำที่บอบบางมาก จนกระทั่งมีการคิดค้นเทคนิควิธีการปลูกพลับพลึงธารให้รอดได้สำเร็จ คือการนำหัวพลับพลึงธาร ซึ่งมีรูปทรงคล้ายหัวหอมนน้ำขนาดใหญ่ ไปเพาะเลี้ยงในตระกร้าหรือชะลอมสานใบเล็กๆ เมื่อโตได้ที่ ก็นำไปขุดหลุมตื้นๆ วางไว้ในลำธารน้ำใสกลางป่า
ปีนี้ถือเป็นกิจกรรมปลูกพลับพลึงธารอย่างเป็นทางการ ครั้งแรกของโลก! โดยมีการปลูกจำนวน 200 ตะกร้า ตะกร้าละ 3-4 หัว และจะมีการดูแลประเมินผลหลังจากวันปลูกอย่างใกล้ชิด
ร่วมแรงร่วมใจ ฟื้นฟูพลับพลึงธารกลับคืนสู่คลองนาคา ให้เธอยิ่งใหญ่เป็นราชนินีแห่งไม้น้ำในป่าดิบปักษ์ใต้เหมือนเดิมนะจ๊ะช่วยกันคนะลไม้คนละมือ มีรอยยิ้มเปื้อนหน้า เพราะวันนี้เราได้มาร่วมกันทำสิ่งดีๆ
เมื่อวางตะกร้าพลับพลึงธารลงในหลุมกลางลำธารแล้ว ก็ต้องโกยหินกรวดเข้ามาล้อมไว้ให้แน่น เพื่อไม่ให้น้ำซัดตะกร้าหลุดลอยเสียหาย
น้องๆ เยาวชนนักปั่นจักรยาน ไม่กลัวความลำบากแม้แต่น้อย เดินป่าเข้ามาปลูกพลับพลึงธารกันถึงที่เลย
หวังว่าอีกไม่นาน ราชินีแห่งไม้น้ำ “พลับพลึงธาร” จะกลับมาเบ่งบานทั่วคลองนาคาอีกครั้ง เพื่อต่อเติมระบบนิเวศน์ป่าให้สมบูรณ์ เพื่อเติมเต็มความมั่งคั่งของความหลากหลายทางชีวภาพเมืองไทย จนกลายเป็นสมบัติล้ำค่าของลูกหลานพวกเรา ไปอีกนานแสนนาน
Special Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคใต้ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานชุมพร ระนอง โทร. 0-7750-2775-6, 0-7750-1831 สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี
เที่ยวสนุกหลากสไตล์ ในเมืองแร่นอง
“โอ่โอ ปักษ์ใต้บ้านเรา มีน้ำภูเขาทะเลกว้างไกล จะไปไหน ปักษ์ใต้บ้านเรา…” บทเพลงอมตะของวงดนตรี Hammer ยังคงก้องอยู่ในโสตของผมทุกครั้ง ยามเมื่อได้ล่องใต้ไปเยือน 14 จังหวัดด้ามขวานทองของไทย โดยเฉพาะจังหวัดระนอง เมืองที่ได้ฉายาว่า ฝน 8 แดด 4 เมืองมีเสน่ห์ครบเครื่องทั้งป่าเขา ท้องทะเล และผู้คน
ทริปนี้เลยอยากพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวลั้นลา กิน ช็อป แช๊ะ ด้วยกันเพลินๆ ล่ะคร้าบ
1. ภูเขาหญ้า สัญลักษณ์สำคัญของระนอง ที่ใครๆ ก็กล่าวขวัญถึง ตั้งอยู่ตรงข้ามคนละฝั่งถนนกับอุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว ภูเขาหญ้ามีลักษณะเป็นเนินเขาเตี้ยๆ ซึ่งแทบจะไม่มีไม้ใหญ่ขึ้นอยู่เลย ส่วนมากปกคลุมด้วยต้นหญ้าเตี้ยๆ ยามฤดูฝนจะเขียวสดงดงาม ส่วนฤดูร้อนหญ้าจะกลายเป็นสีทองอร่าม เขาบอกว่าการไปชมภูเขาหญ้าให้งามสุดๆ ต้องตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน เพราะแสงสีทองจะอาบยอดหญ้ามลังเมลือง! ทว่าภูเขาหญ้าไม่ได้งามอย่างเดียว ยังเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ และที่ออกกำลังกายของคนระนองเขาด้วยนะจ๊ะ
2. บ่อน้ำพุร้อนรักษะวารินทร์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตมาเนิ่นนานหลายสิบปี จนทำให้ระนองได้ฉายาว่าเป็น เมืองแร่นอง หรือเมืองสปาธรรมชาติ มีน้ำแร่ร้อนผุดขึ้นมาหลายบ่อ ทั้งบ่อพ่อ บ่อแม่ บ่อลูก มีการต่อท่อออกมาให้นั่งแช่เท้า ลงไปว่ายน้ำเล่น เช่นเดียวกับมีการนำไปให้อาบเพื่อสุขภาพ รักษาโรคได้ต่างๆ นาๆ เพราะในน้ำแร่ร้อนเหล่านี้มีแร่ธาตุอันเป็นประโยชน์จากใต้พิภพเจือปนอยู่มากมาย ไม่ต้องไปไกลถึงออนเซนญี่ปุ่นแล้วล่ะ ฮาฮาฮา ยิ่งกว่านั้นยังมีการนำมาทำเป็นเสปร์น้ำแร่พ่นใบหน้า เพื่อให้สดชื่น บำรุงผิวพรรณดีแท้
3. พระราชวังรัตนรังสรรค์ (จำลอง) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองระนอง บริเวณเชิงเขานิเวศน์คีรี ใกล้ศาลากลางจังหวัดหลังเก่า สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกการเสด็จประพาส และประทับแรมของรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2433) รัชกาลที่ 6 (พ.ศ. 2452) และรัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2471) ตัวพระราชวังสร้างด้วยไม้ตะเคียนทอง ภายในมี 3 ชั้น แบ่งเป็นห้องต่างๆ ทั้งห้องท้องพระโรง ห้องบรรทมพระราชินี และห้องบรรทมของพระเจ้าอยู่หัวบนชั้น 3 ปกติถ้าเดินเข้าไปเที่ยวเฉยๆ ก็เที่ยวชมได้แค่ด้านนอก แต่ถ้าอยากชมด้านในด้วยต้องติดต่อล่วงหน้าครับ โทร. 0-7781-1422, 0-7781-1161, 08-9645-2101
4. วัดบางนอน หรือวัดวารีบรรพต อยู่ในอำเภอเมืองระนอง เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากในปัจจุบัน เพราะเป็นวัดสไตล์พม่า ที่ได้รับความเคารพสักการะ ทั้งจากคนไทย และคนพม่าในเมียนมาร์เดินทางมากราบไหว้ ส่งลูกหลานมาบวชเรียน ภายในวัดมีไฮไลท์ที่ห้ามพลาดชม คือ พระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่, หลวงปู่ทวดจำลอง, รอยพระพุทธบาท (มีงานฉลองประจำปี ทุกวันที่ 11 เมษายน) รวมถึงยังมีเจดีย์ชเวดากองจำลององค์ใหญ่ สีทองอร่าม และสุดยอดไฮไลท์คือ ต้องเข้าไปกราบสักการะสังขารที่ไม่ไหม้ไฟของหลวงพ่อด่วน ถามวโร พระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่ละสังขารไปแล้ว ได้สร้างปาฏิหาริย์ “สังขารไม่ไหม้ไฟ!”
5. ตลาดพม่า ตั้งอยู่ใจกลางเมืองระนอง ในย่านชุมชนตลาดเก่า ถือเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่ให้บรรยากาศเหมือนกับยกเมียนมาร์มาอยู่บนแผ่นดินไทยยังไงยังงั้น! เพราะแม่ค้าแต่ละร้านล้วนเป็นคนพม่าจริงๆ สินค้าส่วนใหญ่เน้นไปทางเสื้อผ้า และของกินที่คนพม่านิยม โดยเฉพาะแป้งทานาคา ที่ใช้ทาหน้าให้ผิวผ่องแจ่มกระจ่าง รวมทั้งยังมีหมากพม่า และชาพม่า ให้เลือกซื้อกันอย่างจุใจด้วย จากปากทางเข้าด้านหน้าเมื่อเดินไปสุดแล้ว ก็จะมีตลาดปลาเล็กๆ อยู่ด้านหลัง ซึ่งตอนเช้าๆ จะคึกคักมาก ปลาดสดๆ ตัวใหญ่ๆ ราคาไม่แพงเลยล่ะ
6. ถนนคนเดินระนอง จัดกันบริเวณถนนเรืองราษฎร์ ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ เป็นถนนคนเดินสายสั้นๆ เล็กๆ น่ารัก เหมาะกับขนาดของเมือง และอารมณ์ความเป็น Slow Town ที่เงียบสงบ ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส สินค้าส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ของกินพื้นเมือง และของที่ระลึกเก๋ไก๋ เหมาะชวนกันไปเดินเล่นย่อยอาหารยามค่ำ เพราะเขาจัดกันตั้งแต่ประมาณ 18.00-22.30 น. และเมื่อเดินช็อปกันเหนื่อยแล้ว อยากเติมพลัง ลองแวะเข้าไปที่ ร้านดอกไม้ แต่ไม่ได้ขายดอกไม้ ฮาฮาฮา เขาขายน้ำเต้าหู้ น้ำขิง รสเด็ด ชื่อดังจ้า
7. ตลาดปลาระนอง (ท่าเทียบเรือองค์การสะพานปลาระนอง) เป็นจุดที่มีเรือประมงพม่าและไทยเข้ามาเทียบมากที่สุด จึงมีสัตว์น้ำนานาชนิดนำขึ้นมาคัดแยก เตรียมส่งขายไปยังร้านอาหารต่างๆ ใครไม่เคยเห็น ก็นับว่าเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจดี เพราะจะมีสัตว์ทะเลหน้าตาแปลกๆ ให้ชมเพียบ รวมถึงสัตว์ทะเลอนุรักษ์และหายากที่อาจติดอวนขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจด้วย เวลาที่ควรไปชมคือ ประมาณ 05.00-06.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่เรือจะเข้าเทียบท่ามากที่สุด แต่ต้องเที่ยวแบบระวังอย่าไปเกะกะการทำงานของคนที่นั่นล่ะ
8. ชวนชิมอาหารระนอง เสน่ห์ปักษ์ใต้ที่ใครๆ ไม่กล้าปฏิเสธ เพราะระนองเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง ทั้งป่าเขาและท้องทะเล จึงมีอาหารให้กินบริบูรณ์ตลอดปี แน่นนอนว่า Seafood สดๆ ราคาไม่แพง คือตัวเลือกแรกที่เราต้องลิ้มลอง
แกงส้มปลากะพง ใส่ยอดมะพร้าว, อ้อดิบ (บอน), หัวมันขี้หนู รสจัดจ้าน กินคู่กับปลาเค็ม ข้าวสวยร้อนๆ หรอยจังหู! ไปกินแต่ละร้านรสชาติน้ำแกงจะต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเครื่องแกงโขลกเอง แต่หลักๆ ที่เหมือนกันทุกร้านคือต้องมีขมิ้น เป็นส่วนผสมหลักที่ทำให้น้ำมีสีเหลือง บางร้านเผ็ดจัด บางร้านเผ็ดอ่อนๆ
ปูนิ่ม ถือเป็นอาหาร Signature ของจังหวัดระนองเลยก็ว่าได้ เพราะมีให้ชิมตลอดปี ส่วนใหญ่ทำแบบทอดกระเทียมมา บางร้านเลือกปูไซต์พอดีคำ บางร้านเลือกใช้ปูตัวใหญ่ เคี้ยวได้ทันที Amazing จริงๆ
ใบเหรียงผัดไข่ (บางจังหวัดเรียก ใบเหมียง) ถือเป็นพืชผักธรรมชาติที่ขึ้นอยู่ตามป่าเขาของระนองมาแต่เดิม ในตลาดสดมีขายเป็นกำๆ กำละ 5 บาทบ้าง 10 บาทบ้าง นำมาปรุงได้หลายอย่าง ทั้งใบเหรียงผัดไข่, ใบเหรียงต้มกะทิ, ใบเหรียงลวกกินกับน้ำพริกกุ้งสด น้ำพริกกะปิ หรือจะสับเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ในไข่เจียวก็อร่อยดี รสชาติไม่ขม ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียว จึงเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมมาก ปลาทรายทอดขมิ้น หนึ่งอาหารจานเด็ดของระนอง ที่กินง่าย อร่อย ราคาไม่แพง สร้างความประทับใจให้ได้ทุกครั้งที่ลิ้มลอง หลังจากนำปลาทรายสดมาคลุกเคล้าเครื่องแกงที่มีขมิ้นเป็นส่วนผสมหลักแล้ว เขาจะนำลงทอดในน้ำมันร้อนฉ่า บางร้านทอดแบบกรอบ เคี้ยวกร๊วบ! แต่บางร้านก็ทอดมาแบบเนื้อยังนิ่ม กินง่าย มีให้ชิมตลอดปีจ้า
ปูผัดฉ่า และปูผัดผงกะหรี่ เป็นเมนูขึ้นชื่อของระนอง เพราะเป็นเมืองแห่งท้องทะเลอันดามันอันอุดมสมบูรณ์ มีปูจากน่านน้ำไทยและอันดามันให้ชิมเพียบ โดยเฉพาะปูม้าและปูทะเล (ปูดำ) ราคาต่างกันไปตามขนาดปู แหม พูดแล้วก็น้ำลายสอขึ้นมาทันที! ฮาฮาฮา
หอยตลับ เป็นเมนูที่คนระนองนิยมกินกันมาก เพราะยังหาได้ดาษดื่น ตัวก็ใหญ่ นำมาปรุงได้หลายแบบ ทั้งต้มซุป, ผัดน้ำพริกเผา, ผัดฉ่า และนึ่งกับใบโหระพา จิ้มน้ำจิ้มซีฟู๊ดรสเด็ด ถ้าหอยสดจริง เนื้อจะแน่นหนึบสู้ปาก ต้องเคี้ยวกันนานพอดู แหม ดูซิ ขนาดสิ้นชีพแล้วยังไม่ยอมให้เรากินง่ายๆ เลยนะ ฮาฮาฮา
กุ้งผัดซอสมะขาม เป็นเมนูอาหารปักษ์ใต้ที่ไม่ได้พบเฉพาะในระนอง แต่มีให้ชิมทั่วไปในปัจจุบัน ทว่าที่ระนองได้เปรียบ เพราะมีวัตถุดิบคือกุ้งตัวใหญ่จากทะเลที่ใกล้แค่เอื้อม ความเจ๋งของเมนูนี้คือ น้ำซอสมะขามหวานอมเปรี้ยวปะแล่มๆ ซึ่งแต่ละร้านเขาจะมีสูตรเด็ด สูตรลับ สูตรเฉพาะของตัวเอง กินกับข้าวสวยร้อนๆ หยุดไม่ได้แน่นอน!
และสุดท้ายก่อนกลับบ้าน ถ้าคุณไม่ได้ชิม หรือซื้อ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ (คนใต้เรียกอีกหลายชื่อ เช่น เล็ดล่อ, กาหยู, ลูกหัวครก) คงจะเรียกว่ามาถึงระนองไม่ได้ เพราะนี่คือผลไม้ประจำจังหวัดครับ หาซื้อได้ทั่วไปในเมืองระนอง เขาแกะเปลือกคั่วมาเสร็จสรรพ จะกินเล่นกินจริงได้ทั้งนั้น เพราะมีความหวานมันอยู่ในตัวเอง
ทั้งหมดนี้คือบางส่วนของเสน่ห์เมืองระนองที่ผมหลงรัก เมืองฝน 8 แดด 4 ที่คุณต้องมาสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้งครับ
Special Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคใต้ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานชุมพร ระนอง โทร. 0-7750-2775-6, 0-7750-1831 สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี
เที่ยวสุดยอด Unssen กาฬสินธุ์ ถิ่นอีสาน (ตอน 2)
ต่อจากความเดิม ในการท่องเที่ยวถิ่นอีสานกาฬสินธุ์ ชมสถานที่ Unseen และชุมชนน่ารักๆ ของชาวผู้ไทยกันไปแล้ว ในตอน 2 นี้ เราก็ยังขอพาแฟนๆ ตามรอย Go Travel Photo ไปเยือนกาฬสินธุ์เมืองน่ารักกันต่อเลยจ้า
1. สิมวัดอุดมประชาราษฎร์ บ้านนาจารย์ ตำบลนาจารย์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ เป็นวัดที่เริ่มสร้างเมื่อ พ.ศ. 2448 จนเสร็จสมบูรณ์เมื่อ พ.ศ. 2476 โดยผู้นำคือ ญาคูบุปผา เจ้าอาวาสในสมัยนั้น ร่วมกับญวนสองพี่น้อง คือ นายทองคำ จันทร์เจริญ และนายคำมี จันทร์เจริญ โดยสร้างขึ้นตามลักษณะของสิม (โบสถ์อีสาน) ในอดีต คือมีขนาดเล็ก ก่ออิฐถือปูน มุงหลังคากระเบื้องหรือไม้เกล็ด ความพิเศษอยู่ตรงภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่วาดอยู่บนผนังด้านนอกสิมทุกด้าน รวมถึงภายในด้วย เกี่ยวกับพุทธประวัติ เรื่องชาดก และวิถีชีวิตของคนอีสานในอดีต เช่น การละเล่นหัวล้านชนกัน, งานศพ, ภาพตลกขบขัน ฯลฯ โดยมีอักษรธรรมเขียนกำกับไว้ ช่างผู้วาดภาพเหล่านี้คือ อาจารย์ผาย ชาวอำเภอสหัสขันธ์
รอบสิมเต็มไปด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังลายเส้นง่ายๆ ดูแล้วสนุก สะท้อนถึงความเชื่อ วิถีชีวิตแบบเก่า คาดว่าน่าจะใช้สีธรรมชาติมาระบายแต้ม สีสันจึงไม่ฉูดฉาด ทว่าติดทนนานมาก
บนผนังด้านนอกสิม มีการปั้นเป็นอาร์ค (Arch) คล้ายซุ้มโค้ง ที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนังอยู่ภายใน งดงามมาก
ภายในสิม ประดิษฐานพระประทานโบราณ หลังพระประธานเป็นฮูปแต้ม (ภาพจิตรกรรมฝาผนัง) ภาพมังกรกลางผนัง ล้อมรอบด้วยภาพพระเวสสันดรชาดก เทวดา และอื่นๆ นับเป็นความงามอย่างเรียบง่าย ที่ให้ความรู้สึกขรึมขลังดีแท้การเดินทางไปชมสิมวัดอุดมประชาราษฎร์ : จากตัวเมืองกาฬสินธุ์ ใช้ทางหลวงหมายเลข 213 (กาฬสินธุ์-สมเด็จ) จนถึงบ้านนาจารย์ เมื่อผ่านโรงเรียนชุมชนนาจารย์วิทยาแล้ว มีแยกขวาพร้อมป้ายบอกทางไปวัด ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้าน รวมระยะทางจากตัวเมือง เพียง 15 กิโลเมตร เท่านั้น
2. วัดป่ารังสีปาลิวัน ตำบลบ้านโพน อำเภอคำม่วง เป็นเจดีย์ในวัดป่าอันสงบ ร่มรื่น เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแด่ หลวงปู่เขียน ฐิตสีโล พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้มีวัตรปฏิบัติเคร่งครัด งดงาม ท่านเป็นสหายธรรมกับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) และพระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน) ตั้งแต่ครั้งสมัยที่ท่านทั้งสามยังมีอายุพรรษาไม่มากนัก
ปัจจุบันภายในเจดีย์วัดป่ารังสีปาลิวัน เป็นที่ประดิษฐานหุ่นขี้ผึ้งเหมือนจริง ของพระอริสงฆ์แห่งอีสานไว้หลายท่าน รวมถึงยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังปริศนาธรรม และพระบรมธาตุ อัฐิธาตุอันศักดิ์สิทธิ์มากมายให้กราบสักการะ
3. วิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่คนทั่วไปยังไม่ค่อยทราบ เหมาะสำหรับการเข้าเยี่ยมชมเป็นหมู่คณะ ใครรักชอบนาฏศิลป์ไทยถิ่นอีสาน เข้ามาดูการเรียนการสอน เพื่อสืบสานวัฒนธรรมการร่ายรำ ดนตรี ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ เร่ิมต้นด้วยการไปกราบสักการะพระพิฆเนตร เทพผู้ให้การปกปักรักษาและให้พรกับผู้ที่ทำงานด้านศิลปะ
วิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ เป็นวิทยาลัยนาฏศิลป์ 1 ใน 12 แห่งของไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2524 ในสังกัดกองศิลปศึกษา กรมศิลปากร เปิดรับนักเรียนที่มีความสนใจในศิลปการแสดงดั้งเดิมของอีสาน และของไทย เพื่อสืบสานให้คงอยู่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ ไม่ว่าจะเป็นละคร, โขน, การแสดงพื้นบ้าน, ปี่พาทย์ (ระนาด ฆ้องวง ปี่), เครื่องสาย (ซออู้ ซอด้วง จระเข้), คีตศิลป์ (ขับร้องเพลงไทย), ดนตรีสากล (เครื่องดนตรีสากลทุกชนิด) และที่ขาดไม่ได้แน่นอน คือ ดนตรีพื้นบ้าน (เครื่องดนตรีอีสานทุกประเภท โดยเฉพาะโปงลาง สัญลักษณ์สำคัญของกาฬสินธุ์)
อนุสาวรีย์ของท่าน ผอ. สำเริง จิตรจง อดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ ผู้มีคุณูปการเอนกอนันต์ต่อสถาบันแห่งนี้ แม้ว่าท่านจะได้อำลาโลกไปแล้ว ทว่าคุณงามความดีของท่านยังคงอยู่ ทุกปีจะมีการจัดงานรำลึกแด่ท่านด้วย
น้องๆ นักเรียนนาฏศิลป์ ตั้งใจฝึกซ้อมกันอย่างขยันขันแข็ง นับเป็นภาพอันน่าชื่นใจ ว่ายังมีเยาวชนอีกกลุ่มหนึ่งให้ความสำคัญต่อศิลปของชาติ เข้ามาเรียน เข้ามาฝึกฝนเต็มเวลา ไม่ปล่อยให้กระแสโลกาภิวัฒน์ของโลก พาพวกเขาไหลบ่าไปกับอารยธรรมตะวันตกจนหมด ขอปรบมือให้ดังๆ เลยครับ
โปงลาง เครื่องดนตรีสัญลักษณ์ของจังหวัดกาฬสินธุ์ แน่นอนว่าต้องมีการเรียนการสอนที่นี่ด้วย
ฝึกรำบ่อยๆ และดัดมือ จนมืออ่อนโค้งงอน สะท้อนความอ่อนช้อยของนาฏศิลป์ถิ่นไทยจ้า
สนใจเข้าชมวิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ : ติดต่อล่วงหน้า โทร. 0-4381-1317, 08-5455-1501
4. แหล่งขุดค้นไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว พิพิธภัณฑ์สิรินธร อำเภอสหัสขันธ์ อยู่บริเวณเชิงเขาภูกุ้มข้าว วัดสักกะวัน เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องไดโนเสาร์สัตว์โลกล้านปี ที่ไม่ได้มีชื่อเสียงเฉพาะในเมืองไทย หรือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เท่านั้น ทว่ายังมีชื่อเสียงในระดับโลก เพราะค้นพบโครงกระดูกไดโนเสาร์มากถึง 700 ชิ้นเป็นอย่างน้อย เป็นซากไดโนเสาร์ 7 ตัว อายุกว่า 130 ล้านปี ในยุคครีเตเชียสตอนต้น
อีกอย่างที่ทำให้ภูกุ้มข้าวโด่งดังมาก เพราะมีการค้นพบไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ของโลกเกือบ 10 ชนิด โดยเฉพาะไดโนเสาร์กินพืชตัวใหญ่ ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ ทำให้ทั่วโลกตื่นเต้น โดยซากโครงกระดูกจริงของมัน ยังไปชมได้ที่หลุมขุดค้น สภาพคล้ายมันนอนคว่ำม้วนหางเป็นวง
จำลองไดโนเสาร์ ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ ตั้งชื่อให้เป็นเกียรติตามพระนามของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
พิพิธภัณฑ์สิรินธร มิได้เป็นแหล่งเรียนรู้เฉพาะเรื่องไดโนเสาร์เท่านั้น ทว่ายังมีการจัดพิพิธภัณฑ์เป็น 8 โซน อย่างดี เล่าเรื่องราวของกำเนิดโลก, ธรณีวิทยา, ไดโนเสาร์, การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม, สัตว์ทะเลโบราณ และอื่นๆ อีกมากมาย ไปเที่ยวกันได้ตลอดปี ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จ้า
ขอแนะนำว่า พิพิธภัณฑ์สิรินธรมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ถ้าจะเดินชมแบบไม่รีบ ศึกษาหาความรู้ไปด้วย ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง อย่างในภาพนี้ คือห้องแรกๆ ที่จัดแสดงยุคทางธรณีวิทยาของโลก และตัวอย่างหินต่างๆ
หนึ่งในไฮไลท์ของการมาเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์สิรินธร คือการเดินเข้าสู่ห้องโถงกลาง ซึ่งจำลองโครงกระดูกทั้งตัว ของไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่ คล้ายฉากในหนังฮอลีวูดเรื่อง Jurassic Park น่าตื่นตาตื่นใจสุดๆ! แต่ไม่ได้น่าตื่นเต้นอย่างเดียว เขายังมีป้ายให้อ่านเพิ่มความรู้ใส่สมองอย่างละเอียดด้วยนะ
ซากฟอสซิลใหม่ล่าสุด ซึ่งพิพิธภัณฑ์สิรินธรได้นำมาจัดแสดงเพิ่มเติมจากพวกไดโนเสาร์ตัวใหญ่ก็คือ ซากฟอสซิลปลาโบราณจาก ภูน้ำจั้น บ้านดงเหนือ ตำบลเหล่าใหญ่ อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีการขุดพบซากฟอสซิลปลากินพืชที่สูญพันธุ์ไปพร้อมๆ กับยุคไดโนเสาร์เมื่อกว่า 65 ล้านปีก่อน สังเกตลักษณะเกล็ดปลาโบราณ จะเป็นสี่เหลี่ยม ไม่เป็นเกล็ดกลมมนเหมือนปลาปัจจุบัน ซากฟอสซิลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า อีสานคือผืนดินโบราณ ที่เคยมีสัตว์ดึกดำบรรพ์อยู่เต็มไปหมด!
ณ หลุมขุดค้นจริง เราจะได้ชมซากไดโนเสาร์ ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ ในจุดที่มันนอนตายอยู่จริงๆ น่าตื่นเต้นดี สนใจสอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-4387-1014, 0-4387-1394, 0-4387-1613
5. สวนไดโนเสาร์ อบจ. กาฬสินธุ์ ห่างจากพิพิธภัณฑ์สิรินธรเพียง 3 กิโลเมตร ริมทางหลวงหมายเลข 227 เป็นสวนสาธารณะที่ไม่เหมือนใคร เพราะนอกจากจะมีสนามหญ้า และไม้ดอกไม้ใบร่มรื่นให้ไปนั่งปิกนิกกันได้แล้ว ยังมีไดโนเสาร์จำลองขนาดยักษ์หลายสิบชนิด ยืนจังก้าคล้ายกับว่ามีชีวิต! ให้เราตื่นเต้นเล่นๆ ฮาฮาฮา ถ่ายภาพมาได้บรรยากาศเหมือนย้อนอดีตไปเมื่อ 65 ล้านปีก่อนเลยล่ะ!
6. ปาท่องโก๋ไดโสเสาร์ ตลาดโรงสี อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ใครที่ชอบตื่นเข้า ไปเที่ยวกาฬสินธุ์รับรองมีรางวัลให้ชีวิต เพราะหลังจากได้ไปชมไดโนเสาร์จำลองตัวเบ้อเริ่มกันมาแล้วที่พิพิธภัณฑ์สิรินธร อำเภอสหัสขันธ์ เช้าวันต่อมาเรายังได้ชิม “ปาท่องโก๋ไดโนเสาร์” ตัวจิ๋วน่ารัก เหมือนลูกไดโนเสาร์สีทองลองฟ่องอยู่ในน้ำมันร้อนฉ่า! สั่งมาหลายๆ ตัวกินกับน้ำเต้าหู้ร้อนๆ แค่ตัวละ 5 บาทเท่านั้น เป็นอาหารเช้าของคนหัวใส สร้างกิมมิคให้เข้าคู่กับเมืองแห่งไดโนเสาร์ กาฬสินธุ์ได้อย่างเยี่ยมยอด
7. หมูทุบบ้านนาจารย์ ตำบลนาจารย์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ เป็นของกินเล่นกินจริง ที่กำลังโด่งดังทำเงินทำทองให้คนบ้านนาจารย์อย่างเป็นล่ำเป็นสัน เพราะเนื้อหมูทุบของที่นี่รสชาติเป็นเลิศ เนื้อหนานุ่ม เคี้ยวมัน เคี้ยวเพลิน จะกินเล่น กินจริง หรือกินกับข้าวสวยร้อนๆ กินเป็นกับแกล้มได้ทั้งนั้น เหมาะจะซื้อเป็นของฝากกัน เพราะเก็บไว้ได้นาน สนใจติดต่อ คุณอัจฉรา เดชพรรณา ประธานกลุ่มแปรรูปเนื้อสัตว์บ้านนาจารย์ โทร. 08-7215-8459
นอกจากหมูทุบแสนอร่อยแล้ว บ้านนาจารย์ยังมีสุดยอดแจ่วบอง (และแจ่วบองแมงดา) ให้ลองชิมด้วย เห็นคนที่ชอบๆ เขาไม่ได้ซื้อกันกระปุกเดียว แต่ซื้อกันทีละครึ่งโหล! กลิ่นหอมหวนชวนรับประทานเป็นที่สุด!
8. ไส้กรอกปลากาฬสินธุ์ (ห้างหุ้นส่วนจำกัด กาฬสินธุ์ผลิตภัณฑ์อาหาร) ถนนผ้าขาว ตำบลกาฬสินธุ์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ โทร. 0-4381-5255, 08-7863-3344, 08-1261-6091
ทุกวันนี้ อาหารฝรั่งอย่างไส้กรอกกำลังได้รับความนิยมมาก แต่หลายคนกังวลว่าถ้ากินไส้กรอกหมูบ่อยๆ จะอ้วน เพราะมีไขมันเยอะ ความกังวลนี้คงจะหมดไปล่ะ ถ้าเราได้ลองชิม “ไส้กรอกปลากาฬสินธุ์” เป็นไส้กรอกปลาสุขภาพที่มีชื่อเสียง ได้รับการตรวจประเมินคุณภาพจากหลายสถาบันเรียบร้อยแล้ว จึงส่งขายทั้งในเมืองไทย และส่งออกต่างประเทศแข่งกับไส้กรอกหมูเยอรมันต้นตำรับได้สบาย ฮาฮาฮา
ไส้กรอกปลากาฬสินธุ์ เป็นไส้กรอกสไตล์เยอรมัน แฟรงเฟอเธอร์ แต่นำปลาน้ำจืดของบ้านเรามาดัดแปลง แทนหมู วัว และไก่ โดยใช้ไขมันปลาและไขมันพืชแทน ในอัตราส่วนไม่เกิน 15 เปอร์เซนต์ ไม่ผสมแป้ง ไม่ใส่สารกันเสีย และใช้ไส้สังเคราะห์จากคอลลาเจนในการบรรจุ ทำให้คนห่วงใยเรื่องอาหารสุขภาพมั่นใจได้เลยจ้าSpecial Thanks : ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคอีสาน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานขอนแก่น ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-4322-7714-5
เที่ยวสุดยอด Unseen กาฬสินธุ์ ถิ่นอีสาน (ตอน 1)
เมื่อเอ่ยถึงชื่อ “ทุ่งกุลาร้องไห้” หลายคนคงร้องอ๋อ เพราะจำได้ว่าสมัยเด็กๆ ครูเคยสอนว่าเป็นเขตแห้งแล้งของภาคอีสาน รวมกว้างๆ อยู่ในเขตจังหวัดสุรินทร์, มหาสารคาม, บุรีรัมย์, ศรีสะเกษ, ยโสธร, ร้อยเอ็ด และบางส่วนของกาฬสินธุ์ ความทรงจำจากหนังสือเรียนสมัยเด็ก ทำให้ใครหลายคนไม่อยากย่างกรายไปอีสาน ทว่านั่นคือความเข้าใจผิดมาก!
เพราะแท้จริงแล้วทุ่งกุลาร้องไห้ที่อาจจะดูเปลี่ยวเหงาในฤดูแล้ง เมื่อได้ไปเยือนในฤดูฝน ภาพอีกภาพหนึ่งจะปรากฏให้เห็น เป็นภาพแห่งความเขียวขจีในผืนนานับล้านไร่! เนื่องจากดินบริเวณนี้เหมาะเจาะอย่างยิ่งสำหรับการปลูกข้าวหอมมะลิพันธุ์ดีเกรด Premium ส่งขายไปทั่วไทยและทั่วโลก!
ทริปนี้เราได้มาเยือนส่วนเสี้ยวหนึ่งของทุ่งกุลาร้องไห้ “กาฬสินธุ์ ถิ่นไดโนเสาร์” และอดีตเมืองโบราณอาณาจักรฟ้าแดดสงยาง สถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองเฟื่องฟูที่สุดแห่งหนึ่งบนผืนดินอีสาน ลองมาชมกันซิว่า วันนี้กาฬสินธุ์ยังสบายดีอยู่ไหมจ๊ะ? ฮาฮาฮา1. พระธาตุยาคู หรือพระธาตุใหญ่ อำเภอกมลาไสย เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองโบราณอาณาจักรฟ้าแดดสงยาง (อายุประมาณ 2,200 ปี) ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงเหลี่ยมก่ออิฐ สร้างซ้อนทับบูรณะกันมาถึง 3 สมัย ชาวบ้านเชื่อว่าภายในบรรจุพระธาตุอัฐิของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่ชาวเมืองฟ้าแดดสงยางเคารพนับถือ สังเกตได้จากเหตุการณ์เมื่อเมืองเชียงโสมชนะสงคราม ได้ทำลายทุกอย่างในเมืองฟ้าแดดสงยาง แต่ไม่ทำลายพระธาตุยาคู ปัจจุบันจึงเป็นโบราณสถานที่ยังคงสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ โดยชาวบ้านจะจัดให้มีงานบุญบั้งไฟช่วงเดือนพฤษภาคมทุกปี เพื่อเป็นการขอฝนและความร่มเย็นแก่หมู่บ้าน
ส่วนคำว่า “ยาคู” แท้จริงมาจากคำในภาษาอีสานว่า “ญาคู” หมายถึง “พระสงฆ์ผู้ใหญ่ในวัด” นั่นเอง
ในบริเวณใกล้ๆ องค์พระธาตุยาคูมีพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก จัดแสดงใบเสมาหินทรายขนาดใหญ่ ที่ขุดค้นพบในบริเวณเมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง และรอบๆ พระธาตุยาคู โดยค้นพบมากถึง 130 แผ่น นับเป็นแหล่งที่ขุดพบมากที่สุดในเมืองไทยก็ว่าได้ บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา ความยิ่งใหญ่ของเมืองฟ้าแดดสงยาง และยังเผยให้เห็นถึงรูปแบบวิธีคิดของคนในอดีตอีกด้วย
2. ไม่ห่างจากพระธาตุยาคูมากนัก ณ ทางเข้าของเมืองฟ้าแดดสงยางโบราณ ปัจจุบันคือที่ตั้งของ “วัดโพธิ์ชัยเสมาราม” หรือ “วัดบ้านก้อม” เป็นวัดเก่าที่ชาวบ้านได้นำใบเสมาหินทรายที่ขุดพบในเขตเมืองฟ้าแดดสงยางมารวบรวมไว้ ลักษณะเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่น่าสนใจมาก ใบเสมาบางอันขนาดใหญ่กว่า 2 เมตร สูงท่วมหัวคน! จำหลักเป็นภาพนูนต่ำเรื่องราวพุทธประวัติตอนต่างๆ และเรื่องชาดก
อาทิ ตอนพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากกรุงกบิลพัสดุ์ พร้อมด้วยพระเจ้าสุทโธทนะ ภาพแสดงให้เห็นพระราหุลและพระนางยโสธราพิมพา เข้าเฝ้าสักการะด้วยการสยายพระเกศา (ผม) เช็ดพระบาทพระพุทธเจ้า เรียกว่า “เสมาหินพิมพาพิลาป” ซึ่งใบเสมาหลักจริงได้นำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่นแล้ว ใครที่รักชอบเรื่องโบราณคดี มาวัดบ้านก้อมไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
3. มาลัยไม้ไผ่ ประณีตศิลป์แห่งชนเผ่าผู้ไทย บ้านกุดหว้า อำเภอกุฉินารายณ์ ณ ที่นี้คือชุมชนเผ่าผู้ไทยอันมีอัตลักษณ์เฉพาะตน งดงาม น่าชื่นชม โดยเฉพาะเมื่อย่างเข้าเดือนเก้าและเดือนสิบ ในช่วงบุญข้าวประดับดินและบุญข้าวสาก ตามวิถีฮีต 12 ของชาวอีสาน ผู้ไทยบ้านกุดกว้าก็จะรวมตัวกันสืบสานงานประเพณี “มาลัยไม้ไผ่” ซึ่งถือเป็นวิจิตรศิลป์เพื่อพุทธบูชาแห่งชาวกุดหว้าทั้งมวล
นอกจากมาลัยไม้ไผ่ดอกเล็กๆ แล้ว ชาวกุดหว้ายังประดิษฐ์มาลัยวิจิตรศิลป์อันตระการตา ขึ้นมาประกวดประชันกันด้วย
เมื่อใกล้ถึงกำหนดวันงานบุญพวงมาลัย คณะกรรมการหมู่บ้านจะนำมาลัยไม้ไผ่ไปแจกจ่ายให้ชาวบ้าน ใช้เป็นเครื่องผูกร้อยพืชพรรณธัญญาหารตามฤดูกาล หรือสิ่งของอุปโภคบริโภค พร้อมด้วยดอกไม้ ธูป เทียน เป็นเครื่องไทยธรรม นำไปประกอบพิธีแห่มาลัยไม้ไผ่รอบโบสถ์ ก่อนจะนำมาแขวนรวมกันเป็นต้นกัลปพฤกษ์ถวายเป็นพุทธบูชา
ยิ้มง่ายๆ งามๆ แสนจริงใจ ของสาวผู้ไทยบ้านกุดหว้า
สาวผู้ไทยบ้านกุดหว้าในช่วงงานมาลัยไม้ไผ่ จะแต่งกายสวยสุดๆ โดยจะสวมเสื้อแขนกระบอกเข้ารูปสีดำหรือครามเข้ม พาดเฉวียงบ่าด้วยผ้าไหมแพรวาลายงามวิจิตร อีกทั้งยังตกแต่งเรือนกายด้วยดอกมาลัยไม้ไผ่ มีตั้งแต่เข็มกลัด, ต่างหู, ปิ่นปักผม ซึ่งล้วนสร้างสรรค์ขึ้นจากไม้ไผ่ไร่ในหมู่บ้าน นำมาจักสานอย่างประณีตบรรจง
ดอกมาลัยไม้ไผ่ ประดิษฐ์จากไม้ไผ่ไร่ซึ่งตัดทิ้งไว้ 15 วัน ให้แห้งสนิทดีซะก่อน จากนั้นนำมาตัดเป็นท่อนๆ ผ่าซีก เหลาให้บาง ความกว้างและยาวขึ้นอยู่กับขนาดดอก โดย 1 ดอก ใช้ไม้ไผ่ที่เหลาแล้ว 6 ชิ้น นำมาหักพับสลับฟันปลาแบ่งระยะความห่างช่องไฟให้พอดี สวยงาม เท่าๆ กัน พร้อมกับผ่าออกเป็นซี่เล็กๆ นำมาประกบเข้าคู่อย่างประณีต จนมีรูปร่างเป็นดอกไผ่ ใช้แขวนในพิธีทำบุญพวงมาลัยนั่นเอง
เมื่อพร้อมแล้ว ชาวบ้านก็จะนำขบวนมาลัยไม้ไผ่มาจัดขบวน เดินแห่แหนร่ายรำกันไปอย่างสนุกสนาน 3 รอบโบสถ์วัดกกต้องกุดกว้า ทั้งลูกเด็กเล็กแดง ผู้สาว แม่ใหญ่ ต่างมาร่วมงานกันอย่างชื่นมื่นอิ่มบุญ
ชาวบ้านกุดหว้า ออกมาร่วมงานมาลัยไม้ไผ่ พ่อเพลงหมอแคนต่างแสดงฝีมือกันเต็มที่ เพราะงานนี้มีปีละครั้งเดียว
4. วัดวังคำ บ้านนาวี ตำบลสงเปือย อำเภอเขาวง เป็นวัดสำคัญที่สุดของชาวผู้ไทยในเขตอำเภอเขาวง ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างขึ้นในเนื้อที่ 8 ไร่ เมื่อปี พ.ศ. 2539 สิ่งสำคัญที่สุดในวัดคือ นอกจากมีองค์พระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังมีวิหารที่จำลองแบบมาจากวัดเชียงทอง (มรดกโลก) ณ เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว หากได้ไปเยือนในยามค่ำคืน จะมีการเปิดไฟแสงสีประดับอย่างน่าตื่นตา อีกทั้งผนังด้านนอกส่วนหลังวิหาร มีการจำลองแบบต้นไม้แห่งชีวิต Tree of Life ประดับกระจกสี เฉกเช่นเดียวกับวัดเชียงทองอีกด้วย
ภายในวิหารวัดวังคำ งามอลังการดุจเทพนฤมิตร! เด่นด้วยสีแดงชาติและสีทองสุกปลั่งเหลืองอร่าม ทว่าภายในวิหารนี้ห้ามมิให้สตรีเข้าไปนะครับ เข้าได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น
ในการไปเยือนวัดวังคำ ศูนย์กลางชุมชนชาวผู้ไทยบ้านนาวี หากมีการติดต่อล่วงหน้า และเข้าเยี่ยมชมเป็นหมู่คณะ เขาก็จะมีการจัดงานต้อนรับอย่างเอิกเริก ทั้งในส่วนของชุดผู้ไทยที่มีการใช้ผ่าเบี่ยงพาดบ่า เป็นผ้าไหมแพรวาลวดลายวิจิตร รวมถึงการจำลองวิถีชีวิตของชาวผู้ไทยในแง่มุมต่างๆ ให้ชมกันอย่างใกล้ชิดครับ
สาธิตการประดิษฐ์ขันหมากเบ็ง หรือที่คนไทยภาคกลางเรียกว่าพานบายศรีนั่นเอง โดยขันหมากเบงนี้ชาวบ้านจะใช้ในขบวนแห่ในงานประเพณี หรือนำไปถวายวัดเป็นพุทธบูชา
สาวน้อยน่ารักชาวผู้ไทย โปรยยิ้มหวานต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือน พร้อมกับการแต่งกายย้อนยุคอันมีเอกลักษณ์
สาธิตการทำเครื่องจักสาน อีกหนึ่งสาขางานประณีตศิลป์ที่ชาวผู้ไทยบ้านนาวีชำนาญ
ข้าวแดกงา ขนมพื้นบ้านของชาวผู้ไทยบ้านนาวี เป็นการนำข้าวเหนียวและงาที่เพิ่งเก็บเกี่ยวใหม่ๆ มาตำรวมกันอย่างง่ายๆ จนได้แผ่นแป้งที่เห็น แล้วนำถั่วลิสงกับถั่วแดงใส่เป็นไส้ จากนั้นม้วนเป็นแท่งกลม กินเป็นขนมทานเล่นได้อร่อยดี เพราะเป็นของธรรมชาติล้วนๆ ทว่าขนมแดกงาจะมีให้ชิมเฉพาะช่วงฤดูหนาวเท่านั้น ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวบ้านเพิ่งเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จใหม่ๆ ข้าวและงาที่ได้จึงหอมหวลเป็นพิเศษ
แม่ใหญ่ชาวผู้ไทย ยิ้มหวานอย่างภาคภูมิในชุดประจำชนเผ่าของตน หวังว่าวัฒนธรรมการแต่งกายอันงดงาม มีเอกลักษณ์เช่นนี้ จะมีให้เราเห็นต่อไปอีกนานๆ นะครับ
ขบวนแห่รอบวิหารวัดวังคำ จัดเต็มมากันในชุดผู้ไทยสวยสุดๆ พร้อมด้วยขันหมากเบ็ง ต้นดอกไม้ และเครื่องพุทธบูชานานาชนิด
แห่ต้นดอกไม้ รอบวิหารวัดวังคำ 3 รอบ ก่อนนำต้นดอกไม้เข้าไปถวายสักการะหน้าพระประธานในวิหาร
แม่ใหญ่แห่งบ้านนาวี ยังคงมีรอยยิ้มเปื้อนหน้า เมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามาชื่นชมวัฒนธรรมอันดีงามของตน
หลังจากพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว เหล่านักท่องเที่ยวก็ยังไม่หนีหายไปไหน แต่มารวมตัวกันทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ โดยหมอขวัญผู้ไทยแห่งบ้านนาวี เป็นพิธีที่สะท้อนความโอบอ้อมอารี ความห่วงใย และความรักที่มีต่อกัน
ตอนผูกข้อไม้ข้อมือ เราต้องถือไข่ต้มไว้ด้วย 1 ฟอง เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคดีและความสมบูรณ์พูนสุข
เสร็จจากพิธีบายศรีสู่ขวัญ ก็ได้เวลาที่นักท่องเที่ยวทุกคนรอคอย คือการนั่งล้อมวงกินพาแลง (อาหารเย็น) ด้วยกัน แน่นอนว่าอาหารมื้อนี้ล้วนเป็นเมนูพื้นบ้านแสนอร่อยของชาวผู้ไทย ป้าดดดด! น้ำลายไหล!เราคือแขกผู้เข้าไปเยือนชุมชนชาวผู้ไทย แห่งบ้านนาวี อำเภอเขาวง เราได้ประจักษ์แล้วถึงความน่ารัก ความโดดเด่น และความเข้มแข็งของชุมชน ที่ยังคงใส่ใจสืบสานภูมิปัญญาจากปู่ย่าตาทวด นี่คืออีกหนึ่งชุมชนน่ารัก แห่งดินแดนอีสานอันแสนกว้างใหญ่ ซึ่งเรามิอาจปฏิเสธได้เลยว่า พวกเขาคือทูตแห่งวัฒนธรรม ผู้เก็บรักษาสมบัติล้ำค่าจากอดีต ให้ข้ามผ่านกาลเวลาไปสู่อนาคตได้อย่างแท้จริง
Special Thanks : ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคอีสาน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานขอนแก่น ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-4322-7714-5
ปราสาทรวงข้าว ปราสาทแห่งศรัทธากาฬสินธุ์
“หลงรักอีสาน” นี่คือความรู้สึกของฉันเมื่อได้ไปเยือนแผ่นดินอันมีเสน่ห์นี้ เพราะอีสานเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้ม ความโอบอ้อมอารี และวัฒนธรรมอันรุ่มรวย หยั่งรากลึกสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน แม้วันนี้โลกจะเปลี่ยนไป วัฒนธรรมเก่าแก่หลายอย่างเริ่มเลือนหาย ทว่าคนอีสานก็ยังรักบ้านเกิด พากันสืบสานภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ
เช่นเดียวกับเมื่อสายลมหนาวมาเยือนต่อกับต้นฤดูร้อน ผืนนาอีสานถึงกาลเก็บเกี่ยวเสร็จเรียบร้อย ลอมฟางถูกกองทับสูงส่งกลิ่นหอม วัวควายได้เวลาพักจากการหว่านไถ ทว่าชาวบ้านต้อน ตำบลเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ กลับยังไม่ได้พักผ่อน ต่างมารวมตัวกันที่วัดเศวตวันวนาราม ร่วมแรงร่วมใจกันจัดงาน “บุญบายศรีสู่ขวัญข้าวคูนลาน” เพื่อรำลึกบุญคุณพระแม่โพสพผู้ให้ชีวิต อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่พวกเขาร่วมแรงร่วมมือกันจัดสร้าง “ปราสาทรวงข้าว” ขึ้นเป็นตัวแทนแห่งศรัทธา ปรากฏเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งขวัญข้าว เพียงแห่งเดียวบนผืนดินสยาม!
ปราสาทรวงข้าว คืองานศิลป์แห่งวิถีศรัทธาสามัคคีของชาวบ้านกาฬสินธุ์ ในการประกอบพิธีบุญบายศรีสู่ขวัญข้าวคูนลาน หรือบุญคูนลานตามวิถีฮีตสิบสองของชาวอีสาน ซึ่งจะประกอบพิธีหลังฤดูเก็บเกี่ยว เพื่อระลึกถึงคุณพระแม่โพสพ อีกทั้งยังเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูต่อแผ่นดินที่ให้ผลผลิตเพื่อการยังชีพ ให้เกิดสิริมงคลแก่ชีวิต และการเพาะปลูก ตลอดจนเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้คงอยู่สืบไป
ด้วยรวงข้าวน้อยที่งอกงามขึ้นจากผืนดินอีสานกาฬสินธุ์ คือตัวแทนแห่งความอุดมของธรรมชาติ ที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คน บัดนี้ได้รับการนำมาเนรมิตเป็นงานศิลป์ประจำท้องถิ่นในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี เพื่อสร้างเป็น ปราสาทรวงข้าว
ชาวบ้านและพระสงฆ์จะช่วยกันนำรวงข้าวมามัดเป็นกำๆ แล้วนำไปผูกติดกับโครงไม้ไผ่ที่ขึ้นรูปไว้เป็นปราสาทรวงข้าว
ปราสาทรวงข้าว ในประเพณีบุญบายศรีสู่ขวัญข้าวคูนลาน มีจุดเริ่มต้นสร้างครั้งแรกเมื่อ ปี พ.ศ. 2537 โดยในขณะนั้น เมื่อถึงช่วงเวลาประกอบพิธีบุญคูนลาน แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังนวดข้าวไม่เสร็จ จึงนำมัดข้าวที่ยังไม่ได้แยกเมล็ดข้าวออกจากฟางมาถวายวัด จนเกิดแนวคิดการนำมามัดรวมสร้างเป็นปราสาทรวงข้าวขึ้น จนมีการพัฒนารูปแบบให้งดงาม น่าศรัทธา ดังเช่นปัจจุบัน โดยระยะเวลาในการสร้างปราสาทรวงข้าวแต่ละครั้ง ใช้เวลาถึง 2 เดือนทีเดียว
สวยสง่า เปี่ยมด้วยพลังแห่งศรัทธาในทุกอณู สะท้อนถึงความผูกพันของผู้คน ธรรมชาติ และพระพุทธศาสนา
ชาวบ้านในละแวกวัดเศวตวันวนาราม นำกับข้าวมาเตรียมตักบาตรในยามเช้าตรู่
ตามปกติแล้ว งานบุญบายศรีสู่ขวัญข้าวคูนลาน จะจัดกันไม่ต่ำกว่า 4 วัน โดยวันแรก ชาวบ้านจะนำข้าวเปลือกมากองรวมกันที่วัดในปราสาทรวงข้าว แล้วรับบริจาคจตุปัจจัยตลอดวัน มีพิธีทำบุญตักบาตร 108 และบูชาข้าวเปลือกมงคลคูนลาน พร้อมด้วยขบวนแห่พานบายศรี แห่ปราสาทรวงข้าวจำลอง และแห่เครื่องบูชาพระแม่โพสพ ปิดท้ายด้วยการแสดงบวงสรวงบูชาพระแม่โพสพสมโภชกันอย่างสนุกสนานชื่นบาน
ในวันถัดไป ก็จะมีการทำบุญตักบาตร, บายศรีสู่ขวัญข้าวคูนลาน รวมถึงการแข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ บริเวณหนองสาหร่าย ซึ่งอยู่ติดกับวัดเศวตวันวนาราม นั่นเอง
หนุ่มสาวหน้าใสในชุดพื้นเมืองโบราณกาฬสินธุ์ มาร่วมทำบุญตักบาตรกันอย่างชื่นบาน
ร่วมทำบุญตักบาตรสืบสานพลังแห่งศรัทธา ณ วัดเศวตวันวนาราม ในงานบุญคูนลาน
ตักบาตรเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาฟังเทศน์ฟังธรรม รับศีลรับพร ให้ชีวิตมีแต่มงคลตลอดไปนะจ๊ะ
จากนั้นก็ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ หน้าตาอาหารพื้นบ้านแท้ๆ เห็นแล้วน่าทานไปซะทุกสิ่งอย่าง อุดมด้วยพืชผักพื้นบ้านที่ส่วนใหญ่ปลอดสารพิษทั้งนั้นเลยล่ะ
สาวงามหนุ่มหล่อ ก็ต้องมาถ่ายภาพคู่กับปราสาทรวงข้าวไว้เป็นที่ระลึก
การได้มาร่วมงานบุญคูนลาน และเห็นปราสาทรวงข้าวอันงดงามตั้งอยู่ตรงหน้า ทำให้เราสำนึกในทันทีว่า แท้จริงแล้วข้าวมิใช่เป็นเพียงแค่อาหาร หรือเป็นข้าวในกระสอบที่ใช้เงินทองแลกเปลี่ยนซื้อขายกันเท่านั้น! ข้าวคือแม่ คือผลผลิตแห่งพระแม่ธรณีที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตผองเราชาวไทยมาหลายชั่วอายุคน และปราสาทรวงข้าว ก็คือตัวแทนแห่งความนอบน้อม ความขอบคุณ ต่อพระคุณของเมล็ดข้าว แม้เพียงเมล็ดเดียวก็สูงค่ายิ่งแล้ว
คำว่า “หลงรักอีสาน” คือคำที่จะตรึงอยู่ในใจฉันไปอีกนาน เพราะวันนี้ ฉันมีความสุขเหลือเกินที่ได้มาเยือน ปราสาทรวงข้าว แห่งกาฬสินธุ์ ถิ่นคนงามน้ำใจดี บ้ายบาย.Special Thanks : ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคอีสาน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานขอนแก่น ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-4322-7714-5