Once in a Life Time, ล่องเรือ Hokkaido-Ibaraki Japan (Episode 3)
การเดินทางอันยาวนานกว่า 10 วัน ด้วยการเที่ยวเชื่อมโยงจากตอนเหนือของญี่ปุ่น จากฮอกไกโด (Hokkaido) ลงมายังภาคกลางที่จังหวัดอิบารากิ (Ibaraki) ของเรา เข้ามาสู่โค้งสุดท้ายแล้ว คราวนี้เป็นคิวของเมืองมรดกโลกอันเก่าแก่ ที่มีธรรมชาติและศิลปะวัฒนธรรมยิ่งใหญ่ งดงาม อลังการ นั่นคือ ‘นิกโก’ (Nikko) ในจังหวัดโทชิงิ ซึ่งอยู่ห่างจากโตเกียวขึ้นมาทางเหนือเพียง 140 กิโลเมตรเท่านั้น
ในหนึ่งวันที่นิกโก้ เหมาะจะชวนกันไป Walking Tour ตามวัดและศาลเจ้าสำคัญต่างๆ ตั้งแต่ ศาลเจ้าโทโชกุ (สุสานของโชกุนโตกุกาวะ อิเอยาสุ ผู้ยิ่งใหญ่), ศาลเจ้าฟุตะระซัง (หรือศาลเจ้าผูกดวง) และ ศาลเจ้ารินโนจิ ซึ่งมีความใหญ่โตอลังการ งดงามด้วยพุทธศิลป์ขั้นเอกอุเลยก็ว่าได้ โดยศาลเจ้าทั้ง 3 นี้ สามารถเดินเชื่อมต่อถึงกันได้อย่างง่ายดาย
พระพุทธรูปสำคัญ 3 องค์ ในศาลเจ้ารินโนจิ
ทวารบาลตรงปากทางเข้าศาลเจ้า หน้าตาดุดันเคร่งขรึม!
ชาวญี่ปุ่นนิยมเขียนคำอธิษฐานของตน ใส่แผ่นไม้ฝากไว้ที่ศาลเจ้า (ส่วนใหญ่เป็นศาลเจ้าในลัทธิชินโต)
ก่อนเข้าศาลเจ้าต่างๆ อย่าลืม ล้างมือ ล้างหน้า ล้างปาก ให้สะอาด ด้วยน้ำใสบริสุทธิ์ที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์
สะพานชินเคียว(Shinkyo Bridge) หรือสะพานศักดิ์สิทธิ์ ตั้งอยู่ตรงประตูทางเข้าศาลเจ้าและวัดในเมืองนิกโก เป็น 1 ใน 3 สะพานสวยที่สุดของปุ่น โครงสร้างสะพานที่เห็นในปัจจุบันสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1636 กระทั่งปี ค.ศ. 1973 จึงเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม โดยมีการซ่อมแซมมาเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ว่ากันว่าสะพานแห่งนี้จะสวยสุดในฤดูใบไม้ร่วง ที่ราวป่าโดยรอบผลัดใบเป็นสีเหลืองแดงสุดอลังการ!
เมื่อเดินเที่ยวศาลเจ้ามรดกโลกที่ยิ่งใหญ่งดงามในเมืองนิกโกกันมาตลอดวันแล้ว ก็ต้องไปเติมพลังเติมความสดชื่นกันที่ ร้าน Nikko Coffee ที่มีทั้งเครื่องดื่มและเค้กอร่อยๆ ให้ลองลิ้มชิมรสกันทุกวัน
กาแฟร้าน Nikko Coffee ใช้น้ำสะอาดจากธรรมชาติของเมืองนิกโกมาชงให้เราดื่มกันเลยนะครับ
ในวันถัดมา เราจัดให้เป็นคิวของการเที่ยวธรรมชาติ เข้าไปชื่นชมความงามของแมกไม้สายธารในอุทยานแห่งชาตินิกโก ชมน้ำตกสูงที่สุดติดอันดับ 1 ใน 3 แห่งของญี่ปุ่น คือ ‘น้ำตกคะงน’ (Kegon Falls) โดยน้ำตกแห่งนี้ไหลลงมาจากหน้าผาลาวาที่แตกตัวออก แยกเป็นน้ำตกน้อยใหญ่ 12 สายอย่างน่าชม
น้ำตกคะงน ในจุดสูงที่สุดนั้น สูงถึง 97 เมตร
น้ำตกคะงน เคยได้รับการโหวตให้เป็น 1 ใน 8 ทิวทัศน์ที่แสดงถึงความเป็นประเทศญี่ปุ่นและวัฒนธรรมยุคโชวะที่ดีที่สุด
อีกหนึ่งน้ำตกแสนสวยสุดซึ้งในเมืองนิกโก คือ น้ำตกหัวมังกร หรือ น้ำตกริวซู (Ryuzu Waterfalls) ซึ่งเขาบอกว่าจะสวยสุดในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีตอนฤดูใบไม้ร่วงเช่นกัน ราวๆ ปลายเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน
ความงามหยดย้อย ของน้ำตกริวซู ที่เมืองนิกโก
ในโซนรอบทะเลสาบซูเซนจิ (Lake Chuzenji) ของนิกโก ที่ไม่ห่างจากน้ำตกต่างๆ มากนัก ยังมีสถานที่น่าสนใจตั้งอยู่ริมทะเลสาบให้เข้าชม คือ ‘สวนอนุรักษ์สถานทูตอังกฤษ’ โดยจุดนี้คือบ้านพักเก่าของทูตอังกฤษ ที่เคยมาพำนักอยู่ในญี่ปุ่นสมัยเปิดประเทศใหม่ๆ ปัจจุบันภายในจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมและการตกแต่ง ที่มีการผสมผสานแนวตะวันตกกับญี่ปุ่นเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
ภายในพิพิธภัณฑ์บ้านทูตอังกฤษ มองออกไปเห็นวิวทะเลสาบซูเซนจิ
นั่งเหม่อมองวิวทะเลสาบซูเซนจิในวันครึ้มๆ ก็สวยไปอีกแบบเนอะ
โบกมือลาเมืองนิกโก มุ่งหน้าสู่ เมืองอาชิคากะ (Ashikaga) พากันไปเที่ยวชมแหล่งประวัติศาสตร์สำคัญ คือมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่น เรียกว่า ‘Ashikaga Gakko’ เป็นมหาวิทยาลัยที่สอนตามแนวคิดลัทธิขงจื้อของจีน จริงๆ แล้วไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อใด เพียงแต่สันนิษฐานกันว่า สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 แล้ว และมีการบูรณะอย่างจริงจังเมื่อปี ค.ศ. 1432
อาคารเก่าของมหาวิทยาลัยท่านขงจื้อ แม้จะสร้างแบบญี่ปุ่น แต่ก็มีกลิ่นอายจีนเจือปนอยู่มิใช่น้อย
ภายในมหาวิทยาลัยท่านขงจื้อ มีวัตถุโบราณจำนวนมาก ที่สื่อถึงการเรียนการสอนเหล่าสานุศิษย์ในอดีต
มหาวิทยาลัยขงจื้อ
นั่งเล่นเพลินๆ ในมหาวิทยาลัยขงจื้อ
จากมหาวิทยาลัยขงจื้อ เราใช้เวลาช่วงสุดท้ายของวันก่อนแสงอาทิตย์จะลาลับไปกันที่สวนดอกไม้ ‘Ashikaga Flower Park’ เป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมตลอดปี โดยตลอดระยะเวลา 12 เดือน จะมีดอกไม้นับร้อยชนิดผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันให้ชมอย่างตื่นตาตื่นใจ แต่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ดอกวิสทีเรีย (Wisteria)
สาวงามกับดอก Amethyst Sage สีม่วงสดใส ในช่วงเดือนตุลาคมที่อากาศเริ่มเยือกเย็นลงเรื่อยๆ
ดอกไม้สวย ก็ย่อมมีหมู่แมลงมาไต่ตอมดอมดม ดูดกินน้ำหวาน และช่วยผสมพันธุ์ดอกไม้ไปในตัวครับ
ร้านขายดอกไม้พันธุ์ไม้ที่ Ashikaga Flower Park
ชิมซอฟท์ครีม กลิ่น Amethyst Sage สุดยอด!
จังหวัดสุดท้ายในภาคกลางของญี่ปุ่น ที่เราได้ไปเยี่ยมเยือนในทริปนี้คือ จังหวัดกุนมะ (Gunma) เป็นจังหวัดที่มีผืนดินและน้ำท่าอุดม ธรรมชาติพิสุทธิ์ จึงปลูกพืชผลการเกษตรได้อย่างบริบูรณ์
ระหว่างทางที่ เมืองนูมาตะ (Numata) เราแวะพักรถพักคนกันที่ Denenplaza เป็นจุดแวะพักขนาดใหญ่ มีร้านอาหาร และร้านค้าสหกรณ์พืชผลการเกษตรนานาชนิดของแถบนี้ นำมาจำหน่ายกันในราคาไม่แพง
ได้ข่าวว่า ‘ข้าว’ ของเมืองนูมาตะมีความพิเศษ อร่อย เลยถือโอกาสลงไปเดินเล่นกันตามคันนา เก็บภาพน่ารักๆ ในยามฝนพรำไว้เป็นที่ระลึกสุดประทับใจ
นั่งรถจาก Deneplaza ไปไม่ไกล ก็ถึงหมุดหมายที่เราตั้งใจมาในวันนี้ คือ Harada Farm เป็นสวนผลไม้มีชื่อเสียง โดยเฉพาะในเรื่องแอปเปิลนับสิบสายพันธุ์ กับองุ่นไร้เมล็ด ที่ปลอดสารพิษ สามารถเก็บกินจากต้นได้เลย
ที่ Harada Farm มีกิจกรรมนั่งรถชมสวน และเปิดโอกาสให้เราลงไปเก็บแอปเปิลมาปอกกินกันได้ตามอัธยาศัย ส่วนใครจะเก็บกลับบ้าน เขาก็มีตะกร้าให้พร้อม ค่าใช้จ่ายก็ไม่แพงเลย
องุ่นไร้เมล็ดของ Harada Farm รสชาติหวานเจี๊ยบ เม็ดอวบอ้วน ฉ่ำน้ำ เปลือกบาง เนื้อหนานุ่ม เวลาเคี้ยวจะรู้สึกถึงความหวานหอมที่กลั้นอยู่ในปากได้ทันที!
อีกหนึ่งสถานที่ในเมืองนูมาตะซึ่งไม่ควรพลาดชมอย่างเด็ดขาด คือ ‘น้ำตกฟุคิวาเระ’ (Fukiware Falls) สุดยอดน้ำตกที่ได้รับฉายาว่า ‘ไนแองการ่าแห่งญี่ปุ่น’ (Niagara of Japan) เพราะมีรูปลักษณ์หน้าตาคล้ายกัน โดยน้ำตกแห่งนี้ กว้างกว่า 30 เมตร สูง 7 เมตร สายน้ำขนาดใหญ่ทิ้งตัวลงในหุบหินโค้งเว้าคล้ายแอ่ง เสียงดังสนั่นน้ำไหลแรงตลอดปี น่าตื่นตาตื่นใจมาก การเที่ยวชมทำได้วิธีเดียว คือเดินเลียบริมธารน้ำเข้าไป ต้องจอดรถยนต์ไว้ด้านนอก แต่ทางเดินก็สะดวกสบาย ไม่มีทางชันแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องระวังลื่นเท่านั้นเอง!
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ราวๆ ปลายเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน รอบๆ น้ำตกฟุคิวาเระยังเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีได้สวยงามมากอีกด้วย
จากเมืองนูมาตะ เราบึ่งรถไปนอนพักค้างคืนกันใน Onsen Hotel สุดหรูที่ เมืองอิคาโฮะ (Ikaho) โดยน้ำแร่ร้อนธรรมชาติในแถบนี้มีธาตุเหล็กสูง ยุคอดีตเหล่าซามูไรที่บาดเจ็บจากการต่อสู้ มีบาดแผล เมื่อลงแช่น้ำแร่ร้อนออนเซนที่นี่บ่อยๆ แผลก็จะสมานหายดีอย่างรวดเร็ว ซึ่งออนเซนแถบนี้มีประวัติย้อนไปได้ไม่ต่ำกว่า 1,400-1,600 ปี!
ในย่านดาวทาวน์ของเมืองอิคาโฮะ มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญซึ่งนักท่องเที่ยวไม่พลาดชมและเก็บภาพ คือ ‘สะพานหินอิคาโฮะ’ (Ikaho Stone Steps) ด้วยบันไดมากถึง 365 ขั้น ยาวกว่า 300 เมตร ขึ้นไปตามเนินเขาเตี้ยๆ สองฝั่งเป็นบ้านเรือนและร้านค้าน่าช้อปปิ้ง ด้านข้างบันไดหินมีท่อส่งน้ำแร่ร้อนธรรมชาติลงมาจากบนเขา ผันเข้าสู่ Onsen Hotel ต่างๆ อีกทั้งตามขั้นบันไดยังสลักคำกลอนเอาไว้ด้วย แหม ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ นะประเทศนี้!
ยามเช้าตรู่ในเมืองอิคาโฮะ แค่เปิดหน้าต่างห้องออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์เย็นฉ่ำ ก็เห็นวิวทะเลหมอกและขุนเขาสลับซับซ้อนแบบนี้แล้ว อิจฉาตัวเองซะจริงๆ ฮาฮาฮา
จากเมืองอิคาโฮะ นั่งรถไปแค่ชั่วโมงเดียว สู่ เมืองทาคาซากิ (Takasaki) เมืองสุดท้ายก่อนโบกมืออำลาแดนอาทิตย์อุทัย วันนี้โชคดีตื่นเช้า เลยมาถึง ‘ศาลเจ้าฮารุนะ’ (Haruna Shrine) ยังไม่เก้าโมงเช้า เขาบอกว่าต้องใช้เวลาที่นี่อย่างต่ำ 2 ชั่วโมง ทีแรกงงๆ พอมาเห็นของจริงถึงรู้ว่า ต้องเดินขึ้นเขาไป 1 กิโลเมตร แต่ก็ไม่ลำบากยากเย็นอะไร เพราะสองข้างทางเป็นป่าใหญ่ร่มรื่นงดงาม อีกทั้งทางก็ไม่ได้ชันอะไรเลย
ทางเดินไปศาลเจ้าฮารุนะ สงบเงียบ เป็นธรรมชาติสุดๆ แค่นี้กายใจก็สงบแล้ว
ระหว่างทางเดินไปศาลเจ้า ริมสองข้างทางเราจะพบ รูปปั้น 7 เซียน ซึ่งแต่ละองค์ก็เชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ในด้านต่างๆ กัน เช่น ด้านความรัก, การแสดงและงานศิลปะ, ความอุดมสมบูรณ์, ความเจริญรุ่งเรือง, การชนะอุปสรรค์ทั้งปวง ฯลฯ ซึ่งจริงๆ แล้วเซียนเหล่านี้น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากความเชื่อแบบจีนในสมัยโบราณ
ระหว่างทางเดินไปศาลเจ้าฮารุนะ มีหอคอยโบราณลักษณะคล้ายเก๋งจีน และรูปปันเซียน (เทพ) ที่คนญี่ปุ่นเคารพนับถือ
ศาลเจ้าฮารุนะ มีความเก่าแก่กว่า 1,400 ปี มีคนมาเคารพสักการะมิได้ขาด
เหนือตัวศาลเจ้าฮารุนะขึ้นไป มีภูเขาหินลักษณะคล้ายพระพุทธรูปยืน ซึ่งสึกกร่อนไปตามกาลเวลา
ช่วงปลายเดือนตุลาคม ใบเมเปิลที่ศาลเจ้าฮารุนะเร่ิมผลัดใบเปลี่ยนสีแล้วจ้า
แสงเงางดงามยามเช้า ที่ศาลเจ้าฮารุนะ
การเขียนพู่กันแบบโบราณ ที่ศาลเจ้าฮารุนะ
เดินขึ้นเขาไปไหว้เจ้ากันจนหมดแรง เห็นทีต้องหาอูด้งขึ้นชื่อของเมือง Takasaki หม่ำซะแล้ว เขาบอกว่าร้าน Udon Chaya Mizusawa เป็นหนึ่งไม่เป็นรองใคร
กิจกรรมสุดท้ายในทริปนี้ ที่ถือว่าสร้างความสนุกและประทับใจ ได้ของฝากฝีมือตัวเองติดไม้ติดมือกลับบ้านด้วยก็คือ ‘การเพ้นท์สีตุ๊กตาไม้โคเคชิ’ ที่ Usaburo Kokeshi โรงงานผลิตตุ๊กตาไม้โคเคชิอันเก่าแก่ มีชื่อเสียง และผลิตส่งไปขายยังเมืองสำคัญๆ ทั่วญี่ปุ่น ไม่เว้นแม้แต่เกียวโตเมืองมรดกโลก
กิจกรรม DIY Art Therapy สุดสนุก เพ้นท์สีตุ๊กตาไม้โคเคชิตามจินตนาการของเราเอง ที่โรงงาน Usaburo Kokeshi
ได้เวลากลับบ้านแล้ว การเดินทางอันยาวนาน 10 วันจากฮอกไกโดลงมาถึงอิบารากิในทริปนี้ มอบประสบการณ์แปลกใหม่สุดพิเศษให้เรามากมาย มันมีแต่ช่วงเวลาน่าจดจำ กับเรื่องราวดีๆ ที่ผมอยากนำมาบอกเล่าต่อ
และหวังว่าสักวันหนึ่ง คุณคงจะได้ไปสัมผัสเส้นทางท่องเที่ยวสุดพิเศษนี้ ด้วยตัวคุณเองนะครับ บ้ายบาย…
Special Thanks : บริษัท Nikon Sales (Thailand) Co., Ltd. สนับสนุนกล้อง Nikon D5 และสุดยอดอุปกรณ์ถ่ายภาพระดับมืออาชีพ
สนใจติดต่อ 195 อาคาร Empire Tower ชั้น 45 ถนน สาทรใต้ แขวง ยานนาวา เขต สาทร กรุงเทพมหานคร 10120 โทร. 0-2633-5100 / www.nikon.co.th
Once in a Life Time, ล่องเรือ Hokkaido-Ibaraki Japan (Episode 2)
ทริปล่องเรือเที่ยวเชื่อมโยงภาคเหนือของญี่ปุ่นลงมาสู่ภาคกลาง ตั้งแต่ เกาะฮอกไกโด (Hokkaid0) จนถึง จังหวัดอิบารากิ (Ibaraki) ของเรา ช่างเร็วเหมือนโกหก! เพราะกินเวลาแค่ 1 คืน กับอีกครึ่งวันเท่านั้น
ราวๆ บ่าย 2 โมง เราก็มาถึง ท่าเรือโอเอไร (Oarai) อิบารากิ และเมื่อขึ้นบกมาแล้วมองกลับไป จึงทำให้เราได้เห็นเรือ Sunflower Ferry ที่เราโดยสารมาอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก
ท่าเรือโอเอไร จังหวัดอิบารากิ
นั่งรถบัสจากท่าเรือโอเอไรมาแค่ไม่ถึง 10 นาที เราก็ถึงที่เที่ยวยอดฮิตแห่งแรกของเมืองนี้ คือ Mentai Park ซึ่งจริงๆ เจ้าเมนไตก็คือ ‘ไข่ปลาเฮอร์ริ่ง’ ที่มีอยู่ดาษดื่นในน่านน้ำเย็นแถบนี้นั่นเอง และชาวญี่ปุ่นก็ชื่นชอบการกินไข่ปลาเหล่านี้ซะเหลือเกิน โดยเฉพาะการเอาไปดองเกลือแล้วกินสดๆ กับข้าวสวยร้อนๆ
ภายใน Mentai Park นอกจากมีส่วนที่เป็น Museum เล็กๆ ให้ความรู้เกี่ยวกับปลาเฮอร์ริ่งแล้ว ที่ขาดไม่ได้คือ Super Market ขนาดใหญ่ ให้ลูกค้าได้ช้อปปิ้งซื้อไข่ปลากลับบ้านกันอย่างจุใจ
ก่อนกลับอย่าลืมชิม ซอฟท์ครีมไข่ปลาเฮอร์ริ่ง ที่ไม่คาวเลยสักนิด ในเนื้อซอฟท์ครีมหอมหวานกำลังดี จะมีเม็ดไข่ปลาเล็กๆ เจือปนอยู่ ใช้ลิ้นปี้ในปากรู้สึกกรุบๆ อร่อยเป็นบ้าเลย!
จากโอเอไร นั่งรถยนต์ต่อไปอีกพักเดียว ก็ถึงที่เที่ยวสุดฮิตซึ่งทั้งคนญี่ปุ่นและคนไทยรู้จักกันดี โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนต้องไม่พลาด นั่นคือ ‘สวน Hitachi Seaside Park’ ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าใครพักอยู่ในโตเกียว จะมาเที่ยวที่นี่แบบ One Day Trip ก็ยังได้ และไฮไลท์ของสวนนี้ก็คือ ทุ่งดอกโคเคีย (Kochia) สีแดง ทอดไกลออกไปเป็นวิวสุด Amazing!
Hitachi Seaside Park
Hitachi Seaside Park
Hitachi Seaside Park
ถัดจากนั้น สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ไม่ควรพลาดชมด้วยประการทั้งปวง คือ ‘น้ำตก Fukuroda Waterfall’ ณ เมืองไดโกะ (Daigo) น้ำตกขนาดใหญ่ 4 ชั้น ซึ่งมีความงามต่างกันไป ถือเป็น 1 ใน 4 น้ำตก ที่สวยที่สุดของญี่ปุ่นเลยทีเดียว การเดินทางเข้าไปนั้น ช่วงแรกต้องเดินผ่านอุโมงค์ที่เจาะภูเขาไว้ จนไปทะลุถึงจุดชมวิวของน้ำตกแต่ละชั้นได้ งดงามมาก ดูเหมือนว่าแสงอ่อนโยนยามเช้าจะช่วยทำให้ถ่ายภาพได้แจ่มที่สุดแล้วล่ะ
Fukuroda Waterfall
จากเมืองไดโกะ เราเดินทางต่อไปยัง เมืองมิโตะ (Mito) เที่ยวชมสวนไคราคุดเอน (Kairakuen) สวนดอกบ๊วยนับพันต้นที่จะออกดอกพร้อมกันในฤดูร้อน ยามย่างเข้าฤดูหนาวเช่นนี้ สวนไคราคุเอนจึงมีสีเขียวเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งนอกจากตัวสวนอันงดงามแล้ว ยังมีคฤหาสถ์ขนาดใหญ่สร้างแบบญี่ปุ่นโบราณ ให้เราเข้าไปชมด้วย
ไม่ห่างจากสวนไคราคุเอน เป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตเหล้าสาเกชั้นเยี่ยมของเมืองมิโตะ จังหวัดอิบารากิ ชื่อ ‘โรงงาน Meirishurui’ ที่เปิดมาไม่ต่ำกว่าสามชั่วอายุคนแล้ว โรงงานแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก ผลิตเหล้าสาเกส่งขายทั่วญี่ปุ่น โดยใช้พันธุ์ข้าวท้องถิ่นชนิดพิเศษมาทำ มีเหล้าสาเกให้เลือกหลายดีกรีความแรงตามชอบใจลูกค้า รวมถึงวอดก้าด้วย
โรงงาน Meirishurui
โรงงาน Meirishurui
จากเมืองมิโตะเรานั่งรถไกลนิดนึงจนไปถึง เมืองสึคุบะ (Tsukuba) เพื่อขึ้นไปเที่ยวท่องธรรมชาติภูเขาสูงบน ภูเขาสึคุบะ แต่ไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพราะจากลานจอดรถ ช่วงแรกเดินขึ้นเขาไปชิลชิลนิดเดียว จนถึงศาลเจ้าใหญ่ที่คนนิยมไปบนบานศาลกล่าวเรื่องความรัก สาวๆ หนุ่มๆ เลยตั้งใจขอกันยกใหญ่!
ศาลเจ้าอายุประมาณ 400 ปี บนภูเขาสึคุบะ
จากศาลเจ้าเดินขึ้นเขาต่อไปอีกแค่ราวๆ 10 นาที ก็ถึงจุดขึ้นรถเคเบิลคาร์ (จริงๆ มี Ropeway ให้เลือกด้วย) โดยรถขาขึ้นจะเป็นสีเขียว และรถขาลงจะเป็นสีแดง เพื่อสื่อถึงฤดูกาลที่ต่างกันบนภูเขานี้
จุดชมวิวบนยอดเขาสึคุบะ
จุดชมวิวบนยอดเขาสึคุบะ
จุดชมวิวบนยอดเขาสึคุบะ
จุดชมวิวบนยอดเขาสึคุบะ
จากจุดชมวิวยอดเขาสึคุบะ ถ้าเดินเข้าไปในแนวป่าเพียงไม่ถึง 50 เมตร เราก็จะพบกับ ‘ต้นไม้โบราณ’ หรือ Ancient Tree ที่มีอายุหลายร้อยปี ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าต้นสนยักษ์นี้คือ จุดรวมพลัง หรือ Power Spot ที่สำคัญบนยอดเขาสึคุบะ จึงมีผู้คนมาสัมผัสเพื่อขอพลังกันตลอดปี
เปลี่ยนบรรยากาศจากการเที่ยวป่าเที่ยวเขา มาไหว้พระกันบ้าง แต่ขอบอกว่าไม่ใช่พระธรรมดา แต่เป็นพระพุทธรูปปางยืนสูงอันดับ 3 ของโลก คือ พระใหญ่อุชิคุ ไดบุทสึ (Ushiku Daibutsu) แห่งเมืองอุชิคุ นั่นเอง
พระใหญ่อุชิคุไดบุทสึ (Ushiku Daibutsu) ได้รับการบันทึกจากกินเนสบุ๊คเมื่อปี ค.ศ. 1995 ว่า เป็นพระพุทธรูปปางยืนหล่อจากทองสัมฤทธิ์ที่สูงที่สุดในโลก สูง 120 เมตร (ส่วนของรูปปั้นสูง 100 เมตร ส่วนฐานสูง 20 เมตร) พระพุทธรูปปางยืนองค์นี้สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก ถ้าเทียบระดับความยิ่งใหญ่กับพระพุทธรูปไดบุทสึที่จังหวัดนารา (สูง 14.98 เมตร) ก็จะมีขนาดเพียงฝ่ามือของพระใหญ่อุชิคุไดบุทสึเท่านั้น!
พระใหญ่อุชิคุไดบุทสึ (Ushiku Daibutsu) ในเงาสะท้อนกระจกสุดคลาสสิก
สวนดอกไม้แสนงามตามฤดูกาล ที่พระใหญ่อุชิคุไดบุทสึ (Ushiku Daibutsu)
นั่งรถจากจังหวัดอิบารากิไปทางตะวันตกไม่ไกล ในที่สุดเราก็ล่วงเข้าเขตจังหวัดน่าเที่ยวอีกแห่ง คือ จังหวัดโตชิกิ (Toshiki : บางคนออกเสียง ‘โทชิงิ’) โดยเราแวะพักเที่ยวกันที่ ‘สวนสัตว์ Nasu Oukoku’ อันแสนน่ารัก เปิดมากว่า 20 ปีแล้ว บางคนได้ยินคำว่าสวนสัตว์นึกไปถึงสัตว์ถูกขังกรง! แต่ขอบอกว่าไม่ใช่เลย เพราะมีสัตว์ส่วนหนึ่งออกเดินอย่างอิสระ และบางส่วนก็ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีในสภาพแวดล้อมเหมาะสม
พระเอกของที่นี่คือ ‘ตัวคาปิบาร่า’ (Capybara) หรือ ‘หมูน้ำ’ จากทวีปอเมริกาใต้ แต่บางคนดูแล้วบอกว่าหน้าตามันเหมือน ‘หนูยักษ์’ มากกว่า ฮาฮาฮา
ตัวอัลปาก้ารับแขก กับหนูน้อยหน้าตาบ้องแบ๊ว ที่สวนสัตว์ Nasu Oukoku
โชว์แมวเหมียวโดดลอดห่วง ที่สวนสัตว์ Nasu Oukoku
น้องกระต่ายสุดน่ารัก ที่สวนสัตว์ Nasu Oukoku
ป่าดิบชื้นจำลอง พร้อมด้วยนกนานาชนิด ลิง มามัวเซท งูเหลือม ปลาปิรันย่า เต่า และอีกสารพัดสัตว์เมืองร้อนซึ่งญี่ปุ่นเขาไม่มี แต่สรรหาจากทั่วโลกมาให้เด็กๆ ได้ชมที่ สวนสัตว์ Nasu Oukoku
นกมาคอว์จากทวีปอเมริกาใต้ ที่ สวนสัตว์ Nasu Oukoku
ลิงมาร์โมเซท (Marmoset) หรือ ลิงจิ๋ว จากป่าดิบชื้นแถบอเมริกาใต้ ก็มีโชว์ตัวอยู่ที่ สวนสัตว์ Nasu Oukoku เป็นฝูงใหญ่เลย
การเดินทางทริปนี้ยังไม่จบนะครับ ยังมี ตอน 3 ให้ติดตามกันต่อไป แล้วพบกันใหม่คร้าบ
Special Thanks : บริษัท Nikon Sales (Thailand) Co., Ltd. สนับสนุนกล้อง Nikon D5 และสุดยอดอุปกรณ์ถ่ายภาพระดับมืออาชีพ
สนใจติดต่อ 195 อาคาร Empire Tower ชั้น 45 ถนน สาทรใต้ แขวง ยานนาวา เขต สาทร กรุงเทพมหานคร 10120 โทร. 0-2633-5100 / www.nikon.co.th
Once in a Life Time, ล่องเรือ Hokkaido-Ibaraki Japan (Episode 1)
ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่เราคนไทยชื่นชอบเป็นพิเศษ เพราะเป็นดินแดนอันหลากหลาย เปี่ยมเสน่ห์ อาหารอร่อย ช้อปปิ้งสนุก วิวก็สวย แถมยังเดินทางเองได้ง่ายด้วย ทว่าสำหรับคนที่ไปญี่ปุ่นจนปรุแล้ว กำลังค้นหาประสกบการณ์ใหม่ให้ชีวิต ทริปนี้เราขอแนะนำเรื่องยาว 3 ตอน กับการเที่ยวเชื่อมโยงภาคเหนือลงสู่ภาคกลางของแดนปลาดิบ เริ่มต้นที่ เมืองโทมาโกะไม (Tomakomai) บนเกาะฮอกไกโด (Hokkaido) จากนั้นล่องเรือสำราญ 1 คืน ลงไปสู่ เมืองโอเอไร (Oarai) ในจังหวัดอิบารากิ (Ibaraki) แล้วเที่ยวต่อไปในหลากหลายเมือง หลากรสชาติ ขอบอกเลยว่าทริปนี้มีอย่างต่ำ 10 วัน
Hakonebokujo Farm
จากไทยเราบินตรงไปลงที่สนามบิน New Chitose International Airport บนเกาะฮอกไกโด เกาะที่อยู่ตอนเหนือสุดของญี่ปุ่น เกาะที่มีรูปร่างคล้ายกระเบนราหูกำลังเริงร่าว่ายน้ำกางครีบอย่างสง่างาม ช่วงที่เราไปถึง เป็นต้นฤดูใบไม้ร่วงพอดี อากาศจึงเริ่มเย็นสบาย และใบไม้บางส่วนเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว โดยสถานที่แรกในการลั้นลาพาเที่ยวครั้งนี้คือ Hakonebokujo Farm เมือง Chitose มีกิจกรรมรีดนมวัว, นั่งรถชมฟาร์ม, ทำคาราเมล และอื่นๆ อีกเพียบ
Hakonebokujo Farm
Hakonebokujo Farm
Hakonebokujo Farm
Hakonebokujo Farm
รีดนมวัวกันเสร็จแล้ว ก็ไปพายเรือแคนนูระยะทางชิลๆ 2.1 กิโลเมตร ใน แม่น้ำบิบิ (Bibi River) ที่มีธรรมชาติสองฝั่งเป็นป่าไม้เขียวสดเย็นตา แถมยังมีนกน้ำหลายสิบชนิดออกมาโชว์ตัวให้ดูด้วย
นกกระสานวล ที่ Bibi River, Hokkaido
ที่ฮอกไกโด เราต้องนอนค้างคืนที่ เมืองโทมาโกะไม (Tomakomai) เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตกระดาษและกระดาษทิชชู โดยมีโรงงานขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมทะเล และเมืองนี้นี่เอง คือจุดเริ่มต้นของการลงเรือสำราญ ชื่อ Sunflower Ferry ลงไปสู่ภาคกลางของแดนปลาดิบต่อไป
ใครชอบช้อปปิ้ง เมืองโทมาโกะไม มีห้างใหญ่คือ Mega Donkey (หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่า ดองกี้ หรือ ดอนกิโยเต้) มันคือห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เวลาเดินอย่างน้อยก็ 3-4 ชั่งโมง อย่างสนุกสนาน และสำหรับคนไทย สิ่งที่นิยมซื้อนอกจากเครื่องสำอางแล้ว ขนมญี่ปุ่นรสวาซาบิต่างๆ ก็เป็นที่ชื่นชอบซะเหลือเกิน!
แนะนำว่า ที่โทมาโกะไม ให้ตื่นเช้าๆ ไปที่ท่าเรือ Sea Station Market เขามีร้านอาหารข้าวหน้าทะเลไคเซนด้งสดๆ จากทะเล รอให้ไปชิม ร้านนี้ชื่อ Marutoma Cafeteria เป็นร้านเล็กๆ ที่คนดังทั่วญี่ปุ่นต้องการชิม! โดยเฉพาะเมนู หอยปีกนก ซึ่งถือเป็น Signature Menu ของร้านล่ะครับ
เมนูหอยปีกนก ร้าน Marutoma Caferteria
ข้าวไคเซนด้งหน้าทะเลรวม ร้าน Marutama Cafeteria น่าหม่ำจริงๆ เนอะ
จากร้าน Marutoma Cafeterai เดินข้ามถนนมานิดเดียว ก็ถึง Seafood Market ที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก เพราะมีท่าเรืออยู่ใกล้ๆ นี่เอง จึงมีของทะเลสดๆ ให้ชิมกันทุกวัน ตลาดนี้ชื่อ Umi no Eki Furatto Minato (หรือ Sea Station Plat Seaport Market) โดยที่นี่ก็ยังมีส่วนของร้านอาหารให้นั่งชิม และมีแผงขายผลไม้นานาชนิดด้วย
ท่าเรือใกล้ร้าน Marutoma Cafeteria
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจในเมืองโทมาโกะไมก็คือ จุดชมวิวสวน Midorikaoka ซึ่งเขามีหอชมวิวให้ขึ้นลิฟท์ไปดูวิวได้จากมุมสูงปรี๊ด จะมองเห็นสวน ผืนป่า ทิวเขา บ้านเรือน และท่าเรือได้อย่างชัดเจน
จุดชมวิวสวน Midorikaoka
ด้านข้างจุดชมวิว สวน Midorikaoka มีกวางธรรมชาติเดินดุ่มๆ หากินไปมาอยู่อย่างไม่กลัวคน เพราะไม่มีใครคิดจะไปทำร้ายมัน เป็นธรรมชาติสุดๆ!
นอกจากการเที่ยวชมธรรมชาติแล้ว ในเมืองโทมาโกะไมยังมีพิพิธภัณฑ์น่าสนใจ (แบบที่หาไม่ได้ในเมืองไทย) ให้ชมกันอีกหลายแห่ง อาทิ Tomakomai City Museum จัดแสดงเรื่องราวของธรรมชาติวิทยา รวมถึงชนเผ่าไอนุ ที่เป็นชนเผ่าดั้งเดิมผู้อาศัยอยู่บนเกาะฮอกไกโดแห่งนี้ และเหลือเชื่อว่า ที่ฮอกไกโดเมื่อหลายล้านปีก่อน ก็มีช้างแมมมอธอาศัยอยู่ด้วย!
Tomakomai City Museum
Tomakomai City Museum
Tomakomai City Museum
Tomakomai City Museum
อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่ห้ามพลาดชมเด็ดขาดคือ Tomakomai Science Center ซึ่งมีการนำเอาโมดุลส่วนหนึ่งสถานีอวกาศเมียร์ ของสหภาพโซเวียต มาจัดแสดงไว้เพื่อให้ความรู้ และสร้างแรงบันดาลใจกับผู้คน อีกทั้งบอกเล่าเรื่องราวของนักบินอวกาศญี่ปุ่น 14 คน ที่เคยขึ้นไปท่องอวกาศ ถ้าคุณอยากรู้ว่าส้วมของนักบินอวกาศเป็นอย่างไร? ต้องมาที่นี่ครับ ฮาฮาฮา
สำหรับคนที่ต้องการมาเที่ยวแบบชิลๆ พักผ่อนสบายๆ ไม่ต้องการมีกิจกรรมหนักๆ อะไรมากมายในเมืองโทมาโกะไม ขอแนะนำให้ไปที่ Northern Horse Park รับรองคุณจะยิ้มจนแก้มตุ่ย และอยู่ที่นี่ได้เป็นวันๆ
Northern Horse Park
Northern Horse Park
Northern Horse Park
Northern Horse Park
Northern Horse Park
ศูนย์คุ้มครองสัตว์ป่าทะเลสาบอูโตไน (Utonai) เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ บ้านของนกน้ำนับร้อยชนิด ทั้งนกประจำถิ่นและนกอพยพ จนได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่แรมซาร์ไซต์ (Ramsar Site) หรือพื้นที่ชุ่มน้ำซึ่งมีความสำคัญระดับโลก ใครชอบดูนก ถ่ายภาพนก มาเที่ยวที่นี่ไม่ผิดหวังครับ โดยเฉพาะในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน จะมีนกอพยพมาเพิ่มเติมอีกเพียบ นอกจากนี้ เขายังเป็นศูนย์พักรักษานกป่วย นกบาดเจ็บด้วย
ศูนย์คุ้มครองสัตว์ป่าทะเลสาบอูโตไน (Utonai)
ศูนย์คุ้มครองสัตว์ป่าทะเลสาบอูโตไน (Utonai)
ศูนย์คุ้มครองสัตว์ป่าทะเลสาบอูโตไน (Utonai)
ศูนย์คุ้มครองสัตว์ป่าทะเลสาบอูโตไน (Utonai)
ศูนย์คุ้มครองสัตว์ป่าทะเลสาบอูโตไน (Utonai)
และแล้ว เมื่อตระเวนเที่ยวเมือง Chitose กับ Tomakomai บนเกาะฮอกไกโดกันมาจนอิ่มหนำสำราญใจแล้ว ในเวลาเย็นย่ำ เราก็รีบบึ่งรถมาที่ท่าเรือ Tomakomai เพื่อลงเรือสำราญ Sunflower Ferry มุ่งหน้าลงใต้สู่ท่าเรือเมืองโอเอไร (Oarai) ในจังหวัดอิบารากิ (Ibaraki) ที่ถือเป็นการเดินทางแนวใหม่ กับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายบนเรือเดินสมุทรสุดเจ๋งลำนี้
ก่อนขึ้นเรือก็ต้องมีการ Scan บัตรโดยสารกันก่อนตามระเบียบ
ภายในเรือ Sunflower Ferry ตกแต่งอย่างหรูเรียบตามสไตล์ Minimal แบบญี่ปุ่น ทว่าสะดวกสบาย และดูโอโถงเอาการใช่ได้เลย
ห้องอาหารบนเรือ Sunflower Ferry ทุกมื้อเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ โดยเราจะกินอาหารบนเรือ 3 มื้อด้วยกัน คือมื้อเย็นวันแรกตอนลงเรือ, มื้อเช้า และมื้อเที่ยงก่อนถึงท่าเรือเมืองโอเอไร
ห้องนอนอันแสนสุขสบายและกว้างขวางบนเรือ Sunflower Ferry ถ้าเปิดประตูออกไปด้านนอก จะมีระเบียงชมวิวพร้อมเก้าอี้ให้นอนเอกเขนก 2 ตัว เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการชวนคนรักไปพบประสบการณ์พิเศษร่วมกัน
มุมสนุกๆ บนเรือ Sunflower Ferry
กิจกรรมสุดฮิตอย่างหนึ่งบนเรือ Sunflower Ferry คือ การตื่นเช้ามาชมพระอาทิตย์ขึ้นกลางมหาสมุทร รับรองว่าวันนี้ คุณจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครในโลกจริงๆ เพราะว่ากันว่า ญี่ปุ่นคือประเทศแรกในโลกที่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น จนได้ฉายาว่า ‘ลูกพระอาทิตย์’ ไงล่ะครับ
เมื่อใกล้เมืองโอเอไรเข้าไป ก็จะเริ่มเห็นนกนางนวลตัวใหญ่บินฉวัดเฉวียนเล่นลมเข้ามาใกล้เรือเฟอร์รี่ของเรา
ถามว่าอยู่บนเรือ Sunflower Ferry มีกิจกรรมอะไรให้ทำบ้าง? ขอบอกว่าจริงๆ แล้วการเที่ยวล่องเรือแบบนี้เป็นการมาพักผ่อนช๊าตแบตให้ร่างกาย เขาจึงไม่ได้จัดกิจกรรมอะไรไว้ให้เยอะนัก ที่ถือว่าเจ๋งสุด คือการแต่งชุดญี่ปุ่นมานั่งเพนท์ตุ๊กตาดารูมะ โดยวาดตาไว้แค่ข้างเดียวก่อน แล้วอธิษฐานสิ่งที่เราอยากได้หรืออยากให้เป็น จากนั้นถ้าคำอธิษฐานเป็นจริง ค่อยเติมตาอีกข้าง
เรือของเราแล่นใกล้เข้าเทียบท่าเมืองโอเอไรแล้ว โปรดติดตามตอน 2 ต่อไปนะครับ รับรองมีสถานที่ท่องเที่ยวแปลกใหม่ในจังหวัด Ibaraki ให้ชมอีกเพียบเลย
Special Thanks : บริษัท Nikon Sales (Thailand) Co., Ltd. สนับสนุนกล้อง Nikon D5 และสุดยอดอุปกรณ์ถ่ายภาพระดับมืออาชีพ
สนใจติดต่อ 195 อาคาร Empire Tower ชั้น 45 ถนน สาทรใต้ แขวง ยานนาวา เขต สาทร กรุงเทพมหานคร 10120 โทร. 0-2633-5100 / www.nikon.co.th
Top Thai Wellnees เที่ยวสุขภาพดีทั่วไทย ไปกับเถอะ!
1. อำเภอคลองท่อม Spa Town จ.กระบี่ ชวนกันไปแช่น้ำพุธรรมชาติ ในแหล่ง Big 3 ประกอบด้วย สระมรกต (ตำบลคลองท่อมเหนือ), น้ำตกร้อน (ตำบลคลองท่อมเหนือ) และ น้ำพุร้อนเค็ม (ตำบลห้วยนำ้ขาว) โดยสระมรกตนั้นเป็นแหล่งน้ำพุเย็นใสแจ๋ว อยู่ในพื้นที่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางคราม แหล่งอาศัยเดียวบนโลกนี้ของนกแต้วแล้วท้องดำ ส่วนน้ำตกร้อน (หรือนำ้ตกร้อนสะพานยูง) จริงๆ เป็นน้ำตกที่กำลังอุ่นสบาย อุณหภูมิน้ำอยู่ระหว่าง 35-40 องศาเซลเซียส แวดล้อมด้วยป่าไม้ร่มรื่น อาบแช่แล้วสดชื่นผ่อนคลายดีจริง และสุดท้ายคือ น้ำพุร้อนเค็ม เป็นนำ้พุร้อนธรรมชาติสุดพิเศษ เพราะเป็นน้ำเกลือร้อน ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้ผิวพรรณผุดผ่อง รักษาโรคผิวหนัง โรคไขข้อ อัมพฤกษ์อัมพาตได้ด้วย
2. เกาะพะงัน กับฉายา ‘Best Yoka Island in Thailand’ เติบโตจากเกาะที่มีแต่วิถีประมงพื้นบ้านและความน่ารักของผู้คน จนกลายเป็นเกาะชื่อกระฉ่อนโลกเรื่อง Full Moon Party ที่หาดริ้น จนวันนี้พะงันได้เดินมาสู่อีกบทบาทหนึ่งในแง่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ กับการมีสถานสอนโยคะ และโยคะบำบัดนับสิบแห่ง จึงมีคนจากทั่วโลกและทั่วไปไทยไปอยู่ไปเรียนกันแบบ Long Stay เลยล่ะ
3. นอนห่มทราย ฟังเสียงคลื่นและสายลม ที่หาดไม้ขาว เกาะภูเก็ต ขอบอกเลยว่าภูเก็ตไม่ได้เป็นเพียงเกาะที่มีแต่หาดทรายให้ฝรั่งไปนอนอาบแดดกันเท่านั้นนะจ๊ะ วันนี้ที่หาดไม้ขาวเขามีกิจกรรมน่ารัก คือ ‘การนอนห่มทราย’ เพื่อรักษาสุขภาพ เป็นทรายธรรมชาติจริงๆ เลยล่ะ ขุดหลุมตื้นๆ ลงไปนอนแช่ตัวราวๆ 10-20 นาที ให้ความอุ่นของทราย และน้ำเกลือในทราย แทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย ถือเป็นธรรมชาติบำบัดที่ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย และช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่องอีกด้วยจ้า
4. สุดยอดสปาเกลืออีสาน กุญณภัทรสปา อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี ไม่น่าเชื่อเลยว่าใต้ผืนดินลึกลงไปของอีสาน จะมีชั้นเกลือและน้ำเกลืออยู่ด้วย บ่งชี้ว่าในครั้งบรรพกาล พื้นที่แถบนี้เคยจมอยู่ใต้ทะเลมาก่อน ปัจจุบันที่อุดรธานีจึงมีการทำนาเหลือสินเธาว์กันมาก เขาเลยเกิดหัวคิด นำเกล็ดเกลือคุณภาพเยี่ยมนั้นมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สปานานาชนิด รวมทั้งมีกิจกรรมอาบน้ำเกลือ, แช่เท้าด้วยนำ้เกลือ, ขัดหน้า ขัดตัว สปาเกลือ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการสวยใสด้วยธรรมชาติล่ะจ้า
5. นวดตอกเส้นล้านนา ภูมิปัญญาจากอดีตสู่ปัจจุบัน จ.เชียงใหม่ ถ้าวัดโพธิ์ที่กรุงเทพฯ คือสุดยอดการนวดแผนไทยแบบภาคกลาง ขอบอกเลยว่า ‘การนวดตอกเส้น’ ของล้านนา ก็เป็นภูมิปัญญากว่า 200 ปี ที่เขาสืบทอดกันไว้ได้ เหมาะสำหรับคนขี้เมื่อย ที่มักจะเมื่อยในบริเวณซึ่งเส้นอาจอยู่ลึก ใช้วิธีนวดมือไม่หาย เขาจึงใช้งาช้างหรือไม้ มาทำเป็นลิ่มเล็กๆ ตอกลงไปเบาๆ ตามจุดตามเส้นที่หมอร่ำเรียนมา สุดยอด!
6. วัดโพธิ์ สุดยอดการนวดไทยภาคกลาง กรุงเทพฯ นอกจากวัดโพธิ์จะเป็นที่ประดิษฐานของพระนอนขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ แล้ว ยังถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของสยามอีกด้วย เพราะในยุคต้นรัตนโกสินทร์ ได้มีการรวบรวมตำรานวดเส้นกดจุดต่างๆ มาจารึกไว้บนแผ่นศิลาติดไว้ตามฝาระเบียงคตรอบพระอุโบสถ ให้คนทั่วไปได้ศึกษาอย่างอิสระ สืบทอดมาถึงทุกวันนี้ วัดโพธิ์ยังเป็นโรงเรียนนวด และมีสถาบำบัด ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปนอนนวดผ่อนคลาย หรือแก้อาการเส้นจม ปวดเมื่อยกันด้วย ค่าใช้จ่ายก็ถูกมากอีกด้วยนะ
7. บ่อน้ำพุร้อนเทพพนม อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เที่ยวภาคเหนือครั้งต่อไป ถ้าคุณกำลังเดินทางอยู่บนถนนสายเชียงใหม่-แม่แจ่ม เมื่อเลยออบหลวงมานิดนึง อย่าลืมมองทางซ้าย จะพบ ‘บ่อน้ำพุร้อนเทพหนม’ แหล่งนำ้พุร้อนธรรมชาติ ที่มีอุณหภูมิสูงจนต้มไข่ได้สุก! แนะนำให้จอดรถเข้าไปพักผ่อน เขามีห้องส่วนตัวแยกหญิงชายให้อาบแช่ผ่อนคลาย โดยปรับลดอุณหภูมิน้ำจนเหมาะสม ไม่ร้อนเกินไป หรือจะเดินไปดูตรงบ่อต้นกำเนิดที่ผุดขึ้นมาจากใต้ดิน ก็จะได้กลิ่นกำมะถันอ่อนๆ นั่นล่ะ เปรียบเสมือนของขวัญจากธรรมชาติ
8. บ่อนำ้พุร้อนแจ้ซ้อน อ.เมืองปาน จ.ลำปาง ชวนกันไปเที่ยวหนึ่งในบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติสุดชิลที่สุดของภาคเหนือ กับบ่อน้ำพุร้อนขนาดใหญ่หลายบ่อ ผุดขึ้นจากใต้พิภพ พร้อมควันกรุ่นอยู่ตลอดเวลา เห็นได้ชัดเจนที่สุดยามเช้าตรู่เมื่อไอร้อนลอยขึ้นมาปะทะกับอากาศเย็นฉ่ำ ที่นี่เขามีบ่อกลางแจ้ง และห้องหับเป็นส่วนตัวแยกหญิงชายอย่างดี พร้อมมีชุดมีผ้าให้ผลัดอาบ ถือเป็นการลงแช่น้ำแร่ร้อนที่ทำให้สุขภาพกายใจดีเยี่ยม ท่ามกลางธรรมชาติพิสุทธิ์ ของอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน
9. สปามะพร้าว เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เกาะสมุยมิได้เป็นเพียงเกาะที่มีต้นมะพร้าวเยอะที่สุดในเมืองไทย และมีเจ้าจ๋อ (ลิงกัง) ที่เขาฝึกให้ปีนเก็บลูกมะพร้าวได้อย่างช่ำชองเชี่ยวชาญเท่านั้น ทว่ายังเป็นเกาะที่มี Package สุดพิเศษ กับ ‘Spa มะพร้าว’ ทั้งการใช้มะพร้าวขูดและน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น นวดไล้ไปมาตามร่างกาย ซึ่งคุณสมบัติของมะพร้าวนอกจากจะทำให้ผิวพรรณสดใสไม่แห้งกร้านแล้ว ยังช่วยชะลอวัย ขับสารพิษ เหมือนการให้อาหารกับเซลล์ร่างกายได้อย่างยอดเยี่ยม!
10. สุดยอด Fish Spa ภาคใต้ สวนตาสรรค์ อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช แน่ใจว่าในช่วง 5-10 ปีผ่านมา เราคงจะคุ้นตากันบ้าง กับสปาปลาที่เปิดบริการกันทั่วไทย โดยเฉพาะตามหัวเมืองใหญ่ๆ ที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนกันเยอะๆ แต่ส่วนมากที่เห็นจะเป็นฝูงปลาในตู้กระจก ซึ่งหลายคนปฏิเสธไม่ยอมใช้บริการ เพราะไม่แน่ใจในเรื่องความสะอาด มาวันนี้เราจึงขอแนะนำ ‘สวนตาสรรค์’ แห่งอำเภอขนอน จ.นครศรีธรรมราช แหล่งสปาปลาในธรรมชาติที่ Perfect และเรียบง่ายที่สุด ทว่าทำให้เราพักผ่อนกายใจได้เกินร้อย เพราะตั้งอยู่ในลำคลองธรมชาติ ที่มีฝูงปลาขี้ขมแหวกว่ายในน้ำใสแจ๋วสีมรกตเย็นฉ่ำ มาช่วยตอดเท้า ช่วยผลัดเซลล์เก่าของเรา ให้เกิดเซลล์ใหม่ จนหลายคนบอกว่า ทำสปาปลาเสร็จแล้ว เท้าใสกว่าหน้าซะอีก ฮาฮาฮา!
11. ภูโคลน จ.แม่ฮ่องสอน แหล่งโคลนสุขภาพ หรือ Clay Spa ที่พบเพียงไม่กี่แห่งในโลก มีคุณสมบัติพิเศษช่วยดูดสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่องเต่งตึง ที่นี่เขามีบ่อแช่เท้าในน้ำแร่ธรรมชาติ รวมถึงบริการพอกโคลนทั้งตัว พอกหน้า รวมถึงบริการนวดครบสูตร
12. ระนองเมืองน้ำพุร้อน ต้นตำรับ Hot Spring ปักษ์ใต้ ชวนกันไปเที่ยวเมืองฝนแปดแดดสี่ระนอง ที่ ‘บ่อน้ำพุร้อนรักษะวารินทร์’ ชมบ่อพ่อ บ่อแม่ บ่อลูก พร้อมบ่อแช่เท้า สระว่ายน้ำ รวมถึงบริการสปาระดับมาตรฐานที่โด่งดังไปทั่วประเทศ จากนั้นไปต่อกันที่ ‘บ่อน้ำพุร้อนพรรั้ง’ ซึ่งอยู่ใกล้กัน ลักษณะเป็นบ่อน้ำพุร้อนตั้งอยู่ในป่าธรรมชาติ อาบแช่แล้วรู้สึกสดชื่นมากจริงๆ
Top of World Wellness เที่ยวสนุก สุขภาพดี ในต่างแดน
1. Pamukkale, Turkey ภูเขาหินปูนขนาดยักษ์ สูง 200 เมตร ยาวเกือบ 2 กิโลเมตร มีแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติผุดขึ้นให้อาบแช่กันมาตั้งแต่สมัยโรมันโบราณ เพื่อพักผ่อนและรักษาสุขภาพ ปัจจุบันกลายเป็นมรดกโลกของ UNESCO แถมโดยรอบยังมีเมืองโบราณเฮียราโพลิส เป็นเมืองตากอากาศของโรมันในอดีตให้ชมอีกด้วย
2. Bali Spa, Indonesia บาหลี เกาะแห่งธรรมชาติ วัฒนธรรม และต้นกำเนิดสปาที่คนไทยใช้เป็นต้นแบบ มีสปาหลากหลายที่ช่วยบำบัดทั้งกาย-ใจ รีสอร์ทสปาบางแห่งตั้งอยู่ริมทะเล หาดทรายดำภูเขาไฟ หรือบางแห่งตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขาและป่าไม้ร่มรื่น ช่วยผ่อนคลายได้สุดๆ
3. Cat Cafe, South Korea คาเฟ่ต์แมว เป็นร้านน่ารักที่เราจะได้สัมผัสเจ้าเหมียวอย่างใกล้ชิด ได้ลูบคลำ ได้เล่นกับมัน ถือเป็นวิธีการใช้ ‘สัตว์บำบัด’ ที่ทำให้ความดันเลือดเราลดลง ใจสบายขึ้น ความเครียดก็ลดลงด้วย ลองไปเที่ยวแถวถนนเมียงดง ในโซล เกาหลีใต้ มีคาเฟ่ต์แมวอยู่หลายแห่งเลยล่ะ
4. Art Therapy, Okinawa Island, Japan ศิลปะบำบัดกำลังเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก เพราะช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย หรือบางครั้งยังได้ปลดปล่อยจินตนาการของเรา อีกทั้งยังช่วยทำให้มีสมาธิเพิ่มขึ้นได้ ถ้าไปเที่ยวที่เกาะโอกินาวา หมู่เกาะใต้สุดของญี่ปุ่น ถือเป็นแหล่งศิลปะตัวแม่ เพราะเป็นเมืองแห่งการเป่าแก้วริวกิวแบบพิเศษ เราสามารถไปทดลองทำได้ อีกทั้งมีหมู่บ้านวัฒนธรรมริวกิว เป็นการย้อนยุคแบบน่ารักมาก
5. Misty Bathing ทะเลหมอกโซอุนเคียว เกาะ Hokkaido, Japan อาบหมอกเย็นชื่นฉ่ำใจในยามอรุณรุ่ง ณ จุดชมทะเลหมอกโซอุนเคียว ตื่นตากับเทือกเขาสลับซับซ้อนที่มีทะเลหมอกขาวโพลน ลอยอ้อยอิ่งคลอเคลียอย่างอ่อนโยน สูดโอโซน รับแสงตะวันสังเคราะห์วิตามิน K ให้ร่างกาย แถมยังได้รับความชุ่มชื้นในอากาศจากสายหมอกอีกด้วย
6. Forest Bathing อาบป่าสุขใจ ที่ป่าไผ่ Kyoto, Japan พาตัวและหัวใจเดินเข้าสู่ป่าไผ่ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในแดนอาทิตย์อุทัย ให้ความสงบเงียบของบรรยากาศ สีเขียวของแมกไม้ เสียงนก และเสียงใบไผ่ปลิ้วไหวแกว่งไกวไปมาตามกระแสลม ช่วยเยียวยาจิตใจที่อ่อนล้า จากการทำงานในเมืองใหญ่ ให้กลับฟื้นคืนพลังอีกครั้ง เรียกว่าเป็นการไปรับพลังบวกจากธรรมชาติพิสุทธิ์แบบเต็มๆ
7. Hot Sand Bath, Beppu, Japan ชวนกันไปเที่ยวเชิงสุขภาพสุขใจ ที่เมืองเบปปุ จังหวัดโออิตะ บนเกาะคิวชู ของเมืองปลาดิบ นอนห่มทรายร้อนสัก 15-20 นาที ด้วยทรายธรรมชาติ เป็นทรายภูเขาไฟสีดำริมหาดทราย ให้คุณค่าของแร่ธาตุแทรกซึมผ่านผิวหนังเข้าไป ในขณะเดียวกันสิ่งตกค้างในร่างกายก็จะถูกขับออกมาพร้อมเหงื่อ ช่วยให้ผิวพรรรผุดผ่อง หน้าสวยใสจ้า
8. สุดยอดเมืองอายุรเวทแดนภารตะ รัฐเคราล่า (Kerala), India ไปเที่ยวเพื่อสุขภาพแบบ Long Stay กับเมืองแห่งศูนย์กลางการบำบัดสุขภาพด้วยแนวทางอายุรเวท ที่ใช้หลักการดูแลกาย-ใจ-จิต ในองค์รวม ทั้งการนวด นั่งสมาธิ ฝึกโยคะ กินอาหารธรรมชาติ เหมาะสำหรับคนที่ไม่ป่วย แต่ต้องการไปดูแลสุขภาพให้ดี หรือใครที่ไม่สบาย เขาก็มีหมออายุรเวทคอยดูแลให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด ตลอดเวลาที่อยู่ในเคราล่า
Special Thanks : บริษัท Nikon Sales (Thailand) Co., Ltd. สนับสนุนอุปกรณ์ถ่ายภาพระดับมืออาชีพ
สนใจติดต่อ 195 อาคาร Empire Tower ชั้น 45 ถนน สาทรใต้ แขวง ยานนาวา เขต สาทร กรุงเทพมหานคร 10120 โทร. 0-2633-5100 / www.nikon.co.th
TEATA CSR บ้านหนองปลาไหล ชลบุรี
เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย หรือ TEATA ร่วมกับ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. จับมือกันทำกิจกรรมเพื่อสังคมเปี่ยมคุณค่าและน่ารัก นำนักท่องเที่ยวและสื่อมวลชน เดินทางสู่ ‘ชุมชนบ้านหนองปลาไหล’ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิถีไทยในแบบ ‘การท่องเที่ยวโดยชุมชน’ หรือ CBT (Community Base Tourism) ที่กำลังเป็นเทรนด์มาแรงในยุคนี้
งานนี้นำทีมโดย คุณนีรชา วงศ์มาศา นายกสมาคม TEATA และเจ้าหน้าที่จาก อพท.3 พื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง บ้านหนองปลาไหล อำเภอบางละมุง จังหวัดขลบุรี เป็นชุมชนที่ตั้งรกรากกันอยู่ที่นี่มาหลายชั่วอายุคนแล้ว ด้วยพื้นที่ซึ่งอุดมสมบูรณ์ เป็นพื้นที่ลุ่มชุ่มน้ำ ผืนดินเหมาะสมต่อการเกษตร ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงปลูกข้าว ทำสวนผสม สั่งสมองค์ความรู้พร้อมถ่ายทอดให้ลูกหลาน และนักท่องเที่ยวคุณภาพที่เดินทางเข้าไปเยี่ยมเยือน
รอยยิ้มหวานๆ กับ Welcome Drink น้ำอัญชัญธรรมชาติ สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกไปถึงชุมชน
ช่วงเช้าๆ อากาศแจ่มใส เราจูงมือกันเดินชมผลหมากรากไม้นานาชนิดในสวนของชาวบ้าน โดยมีผู้นำชุมชนเดินอธิบายให้ความรู้อย่างใกล้ชิด ทำให้รู้ซึ้งว่า ชาวบ้านหนองปลาไหลมี Supermarket ธรรมชาติอยู่ข้างบ้าน เก็บกินได้สบาย แถมยังปลอดจากยาฆ่าแมลงด้วย
กอไผ่สีสุกขนาดใหญ่ในสวนของชาวบ้าน สร้างร่มเงาแถมยังใช้ประโยชน์ได้นานาประการ
เดินศึกษาพืชพรรณต่างๆ ในสวนของชาวบ้านกันอย่างเพลิดเพลิน
ลูกมะม่วงหาวมะนาวโห่ เป็นพืชสมุนไพรที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ชะลอวัยชะลอความแก่ แถมยังช่วยย่อยอาหารดีมากด้วย
พืชผักรอบบ้านเป็นทั้งอาหารและยาสมุนไพร ใครมีองค์ความรู้ก็เก็บไปกินเก็บไปใช้ได้ไม่รู้จักหมดล่ะครับ
เดินชมสวนเสร็จแล้ว ก็ได้เวลามาช่วยกันทำอาหารพื้นบ้านสไตล์หนองปลาไหลแท้ ในเชิงกิจกรรมการท่องเที่ยวอย่างสร้างสรรค์ผ่านวัฒนธรรมอาหารพื้นบ้าน วันนี้ป้าแหลมเจ้าบ้านใจดีมาสาธิตทำ ‘ห่อหมกปลาอินทรีย์สด’ ให้เราได้ทาน แต่ก่อนอื่นต้องช่วยกันทำด้วย จะได้ชิมฝีมือตัวเองไงล่ะ
รอยยิ้มเปื้อนหน้า กับกิจกรรมที่ทุกคนได้มีส่วนร่วมและแบ่งปันความสุขกัน
ปลาอินทรีย์สด กะทิสด เครื่องแกง และเครื่องปรุงต่างๆ ถูกนำมาคลุกเคล้าให้เข้ากันอย่างช้าๆ ตามแบบฉบับ Slow Food ชาวหนองปลาไหล
เมื่อกวนจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันจนเหนียวข้นได้ที่ดีแล้ว ก็นำมาหยอดใส่ใบตอง ห่อเป็นกระทงเล็กๆ น่ารัก แล้วนำไปนึ่งให้สุกหอมฉุย
เสร็จแล้วจ้า ห่อหมกปลาอินทรีย์สดบ้านหนองปลาไหล กลิ่นหอมหวน รสชาตินี่มนวล เด็กทานได้ผู้ใหญ่ทานดี กินกับข้าวสวยร้อนๆ ต้อขอเบิ้ลคนละหลายๆ กระทงเชียว
วันแห่งการสร้างสรรค์กิจกรรมดีๆ ร่วมกัน TEATA และ อพท. CSR DAY
นอกจากนักท่องเที่ยวจะได้เรียนทำห่อหมกจากป้าแหลมแล้ว นักเรียนบ้านหนองปลาไหลยังมาร่วมเรียนรู้ภูมิปัญญาจากคนรุ่นปู่ย่าของตนด้วย
เที่ยงพอดี กับข้าวทุกอย่างพร้อมเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ ได้เวลามานั่งกินข้าวร่วมกันในบรรยากาศสบายๆ ใต้ต้นไม้ร่มรื่น
อาหารเด่นวันนี้ มีทั้งห่อหมกปลาอินทรีย์สด, แกงกล้วยรอไก่, ต้มหมูใบชะมวง, ไข่เจียวร้อนๆ และตบท้ายด้วยขนมกล้วยสูตรบ้านหนองปลาไหล ที่ทุกคนช่วยกันทำเอง
ถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึก กับความประทับใจในครึ่งวันเช้า
อิ่มหนำกับอาหารเที่ยงแล้ว ช่วงบ่ายได้เวลาไปทำกิจกรรมสนุกๆ ‘ยิงหนังสติ๊ก เติมปุ๋ยอินทรีย์ให้นาข้าว’ ว้าว! ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน
พี่หุย นายกสมาคม TEATA มาจองลูกกระสุนปุ๋ยอินทรีย์ เตรียมยิงแข่งกับเด็กนักเรียนที่มารออยู่แล้ว
ซ้อมยิงหนังสติ๊ก ใครยิงโดนกระป๋องพลาสติกที่แขวนไว้บนราวไม้ไผ่ก่อน คนนั้นชนะ!
ได้เวลาแข่งขันโดยแบ่งเป็นคู่ๆ ระหว่างนักท่องเที่ยวกับเด็กนักเรียน ยิงกระสุนปุ๋ยอินทรีย์กันคนละ 5 เม็ด ใครเข้าเป้ามากกว่า คนนั้นรับของรางวัลไปเลย
ความน่ารักของกิจกรรม Creative Tourism ที่สร้างความสนุกสนาน และความผูกพันระหว่างชุมชนกับแขกผู้มาเยือน
รับรางวัลกันไปคนละชิ้นสองชิ้นอย่างชื่นมื่น
จากนั้นเราเดินทางสู่ ‘วัดหนองเกตุใหญ่’ วัดโบราณที่มีพระอุโบสถหลังเก่าสร้างมาสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ปัจจุบันได้รับการอนุรักษ์เป็นโบราณสถานของชาติ ทว่าน่าเสียดายตรงที่ เมื่อมีพระอุโบสถหลังใหม่ พระอุโบสถหลังเก่าก็ถูกปล่อยปละละเลยจนทรุดโทรม และขาดการจัดระเบียบจนลดทอนคุณค่าความสำคัญลงจนน่าใจหาย
นักท่องเที่ยว, สมาชิกสมาคม TEATA และเจ้าหน้าที่จาก อพท. ช่วยกันจัดเตรียมข้าวของ ทำกิจกรรม CSR กับเด็กๆ ในช่วงบ่าย
เยาวชนนักสื่อความหมายท้องถิ่นบ้านหนองปลาไหล กล่าวเปิดงานและเล่าประวัติชุมชนให้นักท่องเที่ยวฟัง
เด็กน้อยน่ารักจากโรงเรียนอนุบาลบ้านหนองปลาไหล เตรียมตัวมารับของแจกที่เราเตรียมมาด้วยใจในวันนี้
การแบ่งปันความสุขกับเด็กๆ ด้วยการให้ นับเป็นเรื่องไม่ยากที่เราทุกคนทำได้ด้วยสองมือและหนึ่งใจ
ก่อนกลับบ้านวันนั้น คณะของเราเดินทางไปเยี่ยมชม ‘วิหารเซียน’ หรือ อเนกกุศลศาลา ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยิ่งใหญ่ สุด Amazing ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเสด็จมาเปิดด้วยพระองค์เอง เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2536
ภายในวิหารเซียน คือที่ประทับของรูปปั้น รูปหล่อโลหะสำริด และสมบัติมีค่าจากแดนมังกร นับหมื่นๆ องค์
ห้องประทับของในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ครั้งเสด็จมาเปิดวิหารเซียน เมื่อ พ.ศ.2536
ความยิ่งใหญ่อลังการของวิหารเซียน โด่งดังไม่เฉพาะกับชาวไทย แต่ยังรู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวจีนด้วย จึงมีคนมาเยี่ยมชมไม่ขาดสายตลอดปี
ภาพวาดที่ใช้สีพิเศษ คือใช้อัญมณีมีค่าต่างๆ มาบดผสมสี วาดเป็นเหล่านางฟ้าเทวดา ประดับอยู่บนฝาผนังภายในวิหารเซียน
แดดร่มลมตกแล้ว ก่อนกลับบ้าน เราแวะเข้าไปที่ ‘ตลาดโบราณบ้านชากแง้ว’ อำเภอบางละมุง สัมผัสชุมชนจีนเก่าที่เคยรุ่งเรือง เกิดขึ้นก่อนที่จะมีพัทยาเสียด้วยซ้ำ ทว่าชุมชนนี้ได้ซบเซาไปหลายสิบปี เพิ่งกับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่โดยการพัฒนาให้แนวคิดจาก อพท. ประกอบกับชาวบ้านชากแง้วที่กระตือรือล้น เปิดถนนคนเดินทุกวันเสาร์ นำลูกหลานที่ไปไกลบ้าน กลับมาช่วยสร้างสีสันให้ชุมชนในวันนี้
ตลาดโบราณบ้านชากแง้ว โดดเด่นด้วยเรือนไม้แบบห้องแถวร้านตลาดของชาวจีนโบราณ ผสานกับของกินอร่อยๆ นับร้อยเมนู อบอวลด้วยกลิ่นอายวัฒนธรรมจีนบนแผ่นดินสยาม
ยิ้มหวานของลูกหลานบ้านชากแง้ว
ทริปเดินทางสั้นๆ เพียงวันเดีวของเราจบลงแล้ว ทว่าสิ่งที่ได้จากวันนี้มีมากยิ่งกว่าความประทับใจ เพราะเราได้ทำกิจกรรม CSR ดีๆ มอบความสุขกับสังคม แถมยังได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคนท้องถิ่น นี่คือหัวใจของ ‘การท่องเที่ยวโดยชุมชน’ หรือ CBT ที่ สมาคม TEATA และ อพท. ตั้งใจสร้างให้เข้มแข็ง เพราะชุมชนที่เข้มแข็งคือรากฐานที่มั่นคงสำหรับการท่องเที่ยว และการพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืนตลอดไปครับผม
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) โทร. 08-3250-9343 (คุณน้ำ สิริยุพิน คำแดง) , อพท. www.dasta.or.th/th/ , ชุมชนบ้านหนองปลาไหล อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โทร. 08-6827-0768 (คุณจอย)