เที่ยวสุขใจ ซาลามัตชายแดนใต้ @เบตง จ.ยะลา
“เมืองในหมอก ดอกไม้งาม ใต้สุดสยามเมืองงามชายแดน” คือนิยามเก๋ไก๋ของอำเภอเบตง จังหวัดยะลา ที่ผมไปเที่ยวมาแล้วเกิดหลงรักหมดจิตหมดใจ
ก็เพราะเบตงมีสิ่งสวยๆ งามๆ แปลกใหม่แบบคิดไม่ถึง ให้เราได้เที่ยวชมกันอย่างตื่นตาตื่นใจมากมายเลยนะสิ Shutter Explorer ขอบคุณ “โครงการซาลามัตชายแดนใต้” ของ ททท. ที่นำเราลงไปสู่เบตงในทริปนี้เบตงเป็นเมืองน่ารัก บรรยากาศสุดชิล เพราะตัวเมืองมีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไปในการเที่ยวชม อีกทั้งตัวเมืองยังโอบล้อมรอบไว้ด้วยภูเขาเขียวๆ อากาศเย็นสบาย แทบทุกเช้าตรู่จะมีสายหมอกโรยตัวลงห่มคลุม จนเบตงกลายเป็นเมืองในหมอกไม่แพ้ภาคเหนือของไทย นอกจากนี้เบตงยังเป็นเมืองพหุวัฒนธรรม คือมีทั้งพี่น้องชาวมุสลิม ไทยพุทธ และคนจีน อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์มาช้านานแล้ว
ใครหลายคนอยากมาพักผ่อนตากอากาศ เนื่องจากเบตงเป็นเมืองในอ้อมกอดของเทือกเขาสันกาลาคีรีกั้นพรมแดนไทย-มาเลเซีย สูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1,590 เมตร อากาศของเบตงจึงเย็นสบายตลอดปี หน้าร้อนไม่ร้อนอบอ้าว ส่วนหน้าหนาวเย็นเจี๊ยบจับใจไม่แพ้ภาคเหนือ แถมยังมีทะเลหมอกสวยที่สุดในภาคใต้ให้ชมกันด้วย 1. อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ ‘อุโมงค์รถยนต์ลอดภูเขาแห่งแรกของไทย’
อยู่ที่ถนนอมฤทธิ์ตัดกับถนนภักดีดำรง ผ่านสวนสาธารณะออกสู่ถนน บริเวณหน้าสวนนกเชื่อมต่อกับถนนมงคลประจักษ์ ทะลุไปสู่ชุมชนเมืองใหม่หมู่บ้านแกรนด์วิว และเชื่อมต่อกับถนนอัยเยอร์เบอร์จัง ไปสู่ชุมชนธารน้ำทิพย์อีกทอดหนึ่ง เป็นอุโมงค์รถยนต์ลอดภูเขาแห่งแรกของไทย ที่ขุดทอดโค้งให้รถวิ่งไปมา สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดี ยาว 268 เมตร กว้าง 9 เมตร สูง 7 เมตร ผิวจราจรคู่ กว้าง 7 เมตร ทางเท้าเดินกว้างข้างละ 1 เมตร ความเร็วรถวิ่งได้ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ เปิดใช้เป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2544ในยามค่ำคืนจะมีการเปิดโคมไฟประดับประดาอย่างน่าตื่นตา ให้นักท่องเที่ยวได้ชักภาพเก็บไว้อย่างสนุกสนาน แต่เวลาถ่ายภาพอย่าลงไปบนผิวจราจรล่ะ ต้องคอยระวังรถยนต์ที่แล่นไปมาด้วยจ้า2. วงเวียนหอนาฬิกาเบตง
เป็นสิ่งก่อสร้างอันเก่าแก่อยู่เคียงคู่กับเมืองเบตงมาช้านาน เปรียบเสมือนสัญลักษณ์จุดศูนย์กลางเมือง สร้างด้วยหินอ่อนอย่างสวยงาม ในยามเย็นจะเห็นฝูงนกนางแอ่นนับหมื่นตัวบินมาเกาะหลับอยู่บนสายไฟรอบๆ หอนาฬิกา จนกลายเป็นสัญลักษณ์คู่กันไปแล้วโดยปริยาย คนเบตงเขามีอารมณ์ขัน บอกว่าถ้าใครมาเที่ยวเบตงแล้วถูกนกนางแอ่นอุจจาระใส่หัว จะต้องกลับมาเที่ยวที่นี่อีก! จะจริงหรือเปล่า คงต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง ฮาฮาฮา
3. ตู้ไปรษณีย์ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย
มีประวัติว่า นายสงวน จิรจินดา นายกเทศมนตรีเทศบาลเบตงคนแรก และเป็นอดีตนายไปรษณีย์โทรเลข เห็นว่าอำเภอเบตงอยู่ห่างไกล จะติดต่อสื่อสารโดยช่องทางอื่นกับโลกภายนอกไม่ได้เลย ยกเว้นทางจดหมาย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเบตงท่านจึงได้สร้างตู้ไปรษณีย์ยักษ์นี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2467 โดยสร้างขึ้นที่บริเวณสี่แยกหอนาฬิกาใจกลางเมืองเบตง
ปัจจุบันมีการสร้างตู้ใบใหม่ที่มีขนาดใหญ่เป็น 3.5 เท่าอยู่ริมถนนหน้าศาลาประชาคม ถือเป็นตู้ไปรษณีย์ที่มีขนาดใหญ่ที่ของไทยในปัจจุบัน ตู้ทั้งสองใบสามารถใช้ส่งจดหมายได้จริงซะด้วย เท่ห์ไหมล่ะ? นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่อยากทำเก๋ ก็นิยมเขียนโปสการ์ดหรือจดหมาย ส่งกลับไปหาตัวเองหรือญาติมิตรที่บ้าน เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกไงล่ะครับ ว่าครั้งหนึ่งเราเคยมาเยือนเมืองใต้สุดแดนสยามแล้ว ว้าว 4. WOW! Street Art เบตง
เบตงวันนี้ไม่ใช่เมืองชายแดนธรรมดาๆ อีกต่อไป แต่มีการนำศิลปะเข้าไปเติมแต่งจนมีชีวิตชีวาน่าเที่ยวชม ทั้งตึกรามบ้านช่องร้านค้าที่พร้อมใจกันทาสีสดใส พร้อมทั้งมี ภาพ Street Art หรือภาพเพนท์บนผนังอาคารตามตรอกซอกซอยต่างๆ อย่างน่ารักน่าชัง เขาบอกว่าเริ่มมีมาตั้งแต่ตอนเมืองเบตงครบ 111 ปี (เมื่อ พ.ศ. 2560) จึงเชิญศิลปินและนักเรียนศิลปะมาช่วยกันเพนท์ภาพ Street Art เหล่านี้ไว้ ภาพ Street Art เบตง สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตและของดีของเด่นของคนที่นี่ มีด้วยกันหลายสิบภาพแบ่งเป็นโซนๆ คือถ้าภาพอยู่ตรงโซนไหน ก็จะเกี่ยวเนื่องกับคนแถวนั้น เช่น ตรงตลาดสดก็จะมีภาพพืชผักผลไม้ต่างๆ และพอเดินเลยไปถึงโซนร้านน้ำชาติ่มซำ ก็จะมีภาพชุดม้านั่งที่มีคนกำลังนั่งจิบชาเปิดสภากาแฟกันอยู่ครับ น่ารักมาก ภาพ Street Art เบตง ที่เป็นไฮไลท์มีด้วยกันหลายโซน เช่น เริ่มต้นเดินจากหน้าร้านติ่มซำไทซีอี้ (ข้างวงเวียนหอนาฬิกา และตู้ไปรษณีย์ใหญ่ที่สุดของไทย) ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้าม เดินเข้าตรอกเล็กๆ ตรงไป ก็จะมีภาพ Street Art มากมายอยู่สองฟากฝั่ง จนไปทะลุถนนอีกเส้น ข้ามถนนเข้าสู่ตรอกถัดไป เป็นตลาดสดที่มีแผงพืชผักผลไม้นานาชนิด ก็มีภาพ Street Art เช่นกัน หรืออีกโซนที่หน้าสนใจ คือข้ามถนนจากหน้าร้านอาหารต้าเหยิน ในตรอกฝั่งตรงข้ามมี Street Art สุดน่ารัก
แต่เราไม่เฉลยว่าเป็นภาพอะไร ให้ทุกท่านไปชมกันเองดีกว่าจ้า
5. ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง “รับอรุณก่อนใคร ที่ทะเลหมอกใต้สุดแดนสยาม”
ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง อยู่ที่ตำบลอัยเยอร์เวง บนถนนหมายเลข 410 ตรงช่วง กม. 33 เป็นทะเลหมอกที่ Amazing มาก เพราะเที่ยวได้เกือบตลอดปี โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ยิ่งถ้าเป็นวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ ก็มักจะมีทะเลหมอกสีขาวหนาแน่นราวกับปุยนุ่น ลอยอ้อยอิ่งอาบแสงอาทิตย์ยามเช้าให้เราได้ตื่นตะลึงง! ขอ Confirm เลยว่า นี่คือธรรมชาติ Unseen ที่สวยสู้ทะเลหมอกทางภาคเหนือได้สบาย
แม้ว่าปัจจุบันที่เบตงจะเปิดจุดชมทะเลหมอกใหม่ๆ อีกหลายแห่ง เช่น ทะเลหมอกไต้ต๋ง และทะเลหมอกกูนุง ซีรีปัต แต่ว่าทะเลหมอกอัยเยอร์เวงก็ยังไม่เคยเสื่อมความนิยมไปจากใจของนักท่องเที่ยว อีกทั้งในปี 2563 นี้ ยังจะมีการเปิด Sky Walk ชมทะเลหมอกที่อัยเยอร์เวงเพิ่มด้วย เขาว่าจะเป็น Sky Walk ยาวที่สุดในเอเชีย คือมีสะพานที่ยื่นออกไปกว่า 50 เมตร!
6. บ่อน้ำร้อนเบตง “สปาธรรมชาติเพื่อสุขภาพ”
อยู่ที่บ้านจะเราะปะไร ตำบลเนาะแม (ห่างจากตัวเมืองเบตง 5 กิโลเมตร บนถนนสาย 410) บ่อน้ำร้อนธรรมชาติแห่งนี้มีควันฉุยตลอดเวลา น้ำอุ่นกำลังดี ต้มไข่สุกได้ใน 7 นาที นักท่องเที่ยวนิยมลงมาอาบแช่แก้เมื่อย รักษาสุขภาพ บ้างก็แก้หนาว ปัจจุบันมีการสร้างรีสอร์ทเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้นอนพักค้างคืนกันด้วย ชิลมากๆ
7. สวนดอกไม้เมืองหนาว “อลังการพรรณไม้งามในหุบเขาหนาวเย็น”
อยู่ที่หมู่บ้านปิยะมิตร 2 เป็นโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นสวนดอกไม้นานาพันธุ์ตั้งอยู่บนเขา อากาศเย็นสบาย พาคนพิเศษของเราไปทำโรแมนติก ชวนกันถ่ายรูปกับดอกกุหลาบ ดอกฮอลีฮ้อค ดอกแอสเตอร์ สีสันสวยงามไม่แพ้ภาคเหนือ เสร็จแล้วจะนอนค้างในรีสอร์ทสวยได้สบาย ไม่น่าเชื่อเลยว่าสุดชายแดนใต้ของเราจะมีดอกไม้เมืองหนาวให้ชมกันด้วย Amazing! 8. ด่านพรมแดนเบตง “มาเลเซียเที่ยวง่าย ใกล้แค่นี้เอง”
เที่ยวเบตงแล้วถ้ายังไม่หนำใจ จะเที่ยวต่อเข้าไปในในมาเลเซียก็ได้นะ ด่านพรมแดนเบตงแห่งนี้ทำหน้าที่เหมือนประตูบ้านเชื่อมโยงสองประเทศเข้าหากัน จุดเด่นคือมีป้ายใต้สุดแดนสยามและหลักเขตแดนให้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก หรือจะเลยเข้าไปในมาเลเซียนิดนึง ช้อปปิ้งที่ร้าน Duty Free ปลอดภาษี ซื้อขนมนมเนย หรือกระเป๋า รองเท้า นาฬิกาดีๆ กลับมาด้วยก็ได้ ด่านพรมแดนเบตงนี้ อยู่ติดกับประเทศมาเลเซียด้านกิ่งอำเภอปึงกาลันฮูลู รัฐเปรัค 9. พิพิธภัณฑ์เมืองเบตง “แหล่งเรียนรู้ประวัติวิถีเบตงที่ครบครัน”
พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง ตัวอาคารสร้างด้วยสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ มีสองชั้น แต่ละชั้นจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้โบราณๆ หาชมได้ยาก และประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันน่าสนใจของเบตงไว้ครบถ้วน โดยเฉพาะชั้นล่างมีการจัดแสดงกบภูเขา สัตว์หายากมากของเขตเทือกเขาสันกาลาคีรีให้ชมด้วย จากชั้นสองของพิพิธภัณฑ์ฯ เดินต่อขึ้นไปบนหอคอยชมวิวสูง มองเห็นตัวเมืองเบตงได้ทั่วถึง เต็มอิ่ม เต็มตา แบบพาโนรามาเลยล่ะ
10. มัสยิดกลางเบตง “ศาสนสถานแห่งศรัทธา”
เปรียบเสมือนศูนย์รวมใจของพี่น้องชาวมุสลิมเบตง สร้างด้วยสถาปัตยกรรมอิสลาม ทาสีฟ้าขาวเย็นตาเย็นใจ ส่วนบนสุดสร้างเป็นโดมทรงหัวหอม มีรูปจันทร์เสี้ยวและดาวห้าแฉกเป็นสัญลักษณ์ นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ แต่ต้องแต่งกายให้เรียบร้อย สุภาพ ไม่ส่งเสียงดัง ถ่ายภาพห้ามใช้แฟลช และผู้หญิงควรหาผ้ามาคลุมศีรษะด้วย นักท่องเที่ยวนิยมเข้ามาชมการประกอบพิธีวันละ 5 ครั้ง ภายในมัสยิด
11. วัดพุทธาธิวาส “พระพุทธศาสนาปลายด้ามขวานทอง”
เป็นวัดสำคัญตั้งเด่นอยู่บนเนินเขา มีพระประธานในอุโบสถเหมือนหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดเท่าองค์จริง ผู้คนมาสักการะกันไม่ได้ขาด ส่วนภายนอกมี พระมหาธาตุเจดีย์พระพุทธธรรมประกาศ สีทองอร่ามงามเด่น กับพระพุทธรูปปางสมาธิขนาดยักษ์ตั้งอยู่กลางแจ้ง ชื่อ พระพุทธธรรมกายมงคลประยุรเกศานนท์สุพพิธาน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ให้กราบไหว้กันด้วย 12. อุโมงคปิยะมิตร “โลกใต้ดินที่ไม่สิ้นเรื่องเล่าประวัติศาสตร์”
อุโมงค์ปิยะมิตร อยู่ที่หมู่บ้านปิยะมิตร 1 ต.ตะเนาะแมเราะ ใช้เส้นทางเดียวกับที่จะไปบ่อน้ำร้อนเบตง (เลยบ่อน้ำร้อนไป 4 กิโลเมตร) ปัจจุบันบริเวณนี้เป็นที่อยู่ของพี่น้องชาวจีนผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ซึ่งเดิมในอดีตเคยเป็นฐานที่มั่นของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา (เขต 2) เขาเหล่านั้นต้องขุดอุโมงค์ใต้ดินยาวกว่า 1 กิโลเมตร กว้าง 50-60 ฟุต เพื่อใช้อยู่อาศัยหลบซ่อนจากการตรวจจับของทางการ โดยสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2519 ทุกวันนี้เหตุการณ์สงบแล้ว อุโมงค์ปิยะมิตรกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้เราเข้าชมได้อย่างปลอดภัย ภายในปรับปรุงเป็นทางเดินเรียบและมีไฟฟ้าส่องสว่างอย่างดี ด้านในมีห้องหลบภัยห้องสะสมเสบียง เมื่อเดินทะลุกอีกฝั่งก็จะถึงทางออกในป่าทึบในบริเวณเดียวกันยังมี พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนิสต์มลายา พร้อมด้วยตู้จัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ พร้อมด้วย ต้นไม้ยักษ์ สูงหลายสิบเมตรที่ต้องเดินป่าเข้าไปชมอย่างสนุกสนาน13.ไก่เบตง “กรอบนอก นุ่มใน ละลายในปาก”
ไก่เบตงคืออาหารรสเลิศเลื่องชื่อไปทั่วประเทศ ของแท้ต้องมาชิมที่อำเภอเบตงเท่านั้น เนื้อไก่ของเขาเหนียวนุ่ม มันน้อย หวานในปาก เคี้ยวง่าย ส่วนหนังไก่เป็นสีเหลืองทอง กรอบ ไม่มีชั้นไขมันหนาอยู่ใต้ผิวหนังเหมือนไก่เลี้ยงสายพันธุ์อื่น เพราะไก่เบตงเวลาเลี้ยงต้องปล่อยให้วิ่งเล่นไปมาอย่างอิสระ ว่ากันว่าเมื่อร้อยกว่าปีก่อน มีชาวจีนนำพันธุ์ไก่เบตงเข้ามาจากจีนตอนใต้ จนเลี้ยงกันแพร่หลาย ทว่ากว่าจะจับขายได้แต่ละตัว ต้องรอถึง 6 เดือน หรือ 1 ปี จำนวนผู้เลี้ยงจึงลดลง ปัจจุบันเหลือเลี้ยงอยู่จริงไม่กี่เจ้า ถึงบอกไงล่ะ ว่าไก่เบตงของแท้หาชิมยากสุดๆ
14. ร้านต้าเหยิน “สุดยอดร้านอาหารจีนแดนใต้”
ตั้งอยู่เลขที่ 253 ถนนสุขยางค์ อ.เบตง จ.ยะลา โทร. 0-7323-0461, 0-7324-5189, 08-1599-4654
ต้าเหยิน ชื่อนี้คือตำนานความอร่อยสะท้านยุทธจักรการกิน ที่นักชิมทั้งมืออาชีพและมือใหม่ต่างยกนิ้วโป้งให้ เพราะเป็นร้านอาหารจีนชื่อดังที่สุดในเบตง เปิดมาไม่ต่ำกว่า 30-40 ปีแล้ว คนแน่นทุกวัน อย่าลืมโทรจอง
นอกจากจะหาชิมไก่เบตงของแท้ได้ที่ร้านต้าเหยินแล้ว เขายังมีสุดยอดเมนูที่ต้องสั่งต้องชิมอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นกบภูเขาทอดกระเทียม, ปลาจีนนึ่งซีอิ๊ว, ซี่โครงสวรรค์, เคาหยก (หมูสามชั้นอบเผือก), ถั่วเจี๋ยน, ซุปปู, ผัดหมี่เบตง, ผักน้ำเบตงผัดน้ำมันหอย และอื่นๆ อีกมากมาย 15. ติ่มซำยามเช้าที่เบตง “เริ่มต้นวันใหม่อย่างราชา”
ขอบอกว่าอาหารจีนยามเช้าในเมืองเบตงนั้นอลังการไม่ใช่เล่น เพราะที่นี่มีคนจีนอาศัยอยู่มาก ป็นชาวจีนกวางไสจากกว่างซีจ้วง และชาวจีนฮกเกี้ยน วัฒนธรรมการกินของพวกเขาจึงสืบทอดกันมา อย่างติ่มซำยามเช้าที่มีให้เลือกนับร้อยอย่าง ในเบตงมีหลายร้าน ที่มีชื่อเสียง เช่น ร้านไทซีอี้ และร้านเซ้งติ่มซำ Location อยู่แถวๆ หอนาฬิกาและตู้ไปรษณีย์ยักษ์ มองไปเห็นได้ชัดเลย
จะกินติ่มซำเมืองนี้ต้องขยันตื่นเช้าหน่อย และต้องกินร้อนๆ จึงจะอร่อยครบรส และอย่าลืมสั่งบักกุ๊ดเต๋มาซดน้ำซุปยาจีนให้คล่องคอด้วยล่ะ 16.วุ้นดำเบตง”เจ้าสุดท้ายความอร่อยต้นตำรับ”วุ้นดำเบตง หรือ เฉาก๊วย กม.4 เจ้าแรก (โทร. 0-7323-0413)มาถึงเบตงแล้วถ้าไม่ได้ชิม ‘วุ้นดำเบตง’ สักหน่อย ก็ถือว่าทริปเที่ยวครั้งนี้คงไม่สมบูรณ์ เพราะเป็นขนมพื้นบ้านที่ใช้ภูมิปัญญาล้วนๆ รังสรรค์ขึ้นมา
วุ้นดำเบตง ทำจากหญ้าชนิดหนึ่งที่ปลูกในประเทศจีน (และอินโดนีเซีย) เจ้าแรกนี้บรรพบุรุษอพยพมาจากเมืองจีน เมื่อกว่า 30 กว่าปีมาแล้ว เป็นร้านสุดท้ายที่ยังทำด้วยกรรมวิธีโบราณ คือใช้เตาไม้ฟืน เวลากินจึงได้กลิ่นหอมของไม้ด้วย แต่เพราะกรรมวิธีที่ยุ่งยาก ใช้เวลานาน เจ้าอื่นจึงเปลี่ยนไปใช้เตาแก๊สกันหมด กรรมวิธีคร่าวๆ คือ เขาจะนำหญ้าเฉาก๊วยมาต้มกับส่วนผสมแล้วกรองเอาเฉพาะน้ำ เพื่อแยกหญ้าวุ้นดำออกจากกัน จากนั้นนำแป้งมันสำปะหลังผสมกับน้ำที่ได้จากการกรองในขณะร้อนๆ คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้จนกว่าจะเย็นกลายเป็นวุ้น นิยมรับประทานกับน้ำเชื่อมแล้วเติมน้ำแข็ง มีสรรพคุณช่วยแก้ร้อนในดีนักแล
17. ผักน้ำเบตง “ผัก Signature กลางขุนเขา”
มาถึงเบตงแล้วต้องชิม ผักน้ำ หรือ Watercress กันสักหน่อย ผักชนิดนี้ถือเป็นผักดีต่อสุขภาพ เนื่องจากการปลูกโดยไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ต้องปลูกในธรรมชาติตามลำธารบนขุนเขา ที่น้ำใสสะอาดและเย็นเจี๊ยบเท่านั้น
ว่ากันว่าผักน้ำมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ต่อมามีการนำมาปลูกที่จีนและมาเลเซีย คนจีนจึงนำเข้ามาปลูกในภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะที่อำเภอเบตง ซึ่งตอนแรกคนจีนปลูกกินกันในครัวเรือน ไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ต่อมาทางราชการจึงส่งเสริมให้ปลูกกันแพร่หลาย เพราะเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ปัจจุบันสวนผักน้ำเบตงจึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปโดยปริยายธรรมชาติของผักน้ำชอบอากาศหนาวเย็น และน้ำที่ใสสอาดจากภูเขาไหลผ่านตลอดเวลา แปลงปลูกผักน้ำจึงทำเป็นขั้นบันไดลดหลั่นลงมา ยิ่งถ้าเป็นน้ำที่ไหลจากที่สูงใสเย็น และเป็นดินปนทรายด้วยจะทำให้ผักน้ำยิ่งเจริญเติบโตดี ต้นจะอวบน้ำ ก้านยาว ใบสีเขียวจัด เมื่อเลี้ยงไป 45-60 วัน ก็เก็บขายได้แล้ว ราคาขายกิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 80 บาทเลยทีเดียวส่วนใหญ่จะนำผักน้ำมาแกงจืด หรือต้มกับกระดูกหมูหรือไก่ นอกจากนี้ยังสามารถทำผักน้ำทรงเครื่อง, ผักน้ำมันหอย, ลวกจิ้มและสลัดผัก สรรพคุณช่วยคลายร้อน แก้ร้อนใน และลดความดันโลหิตสูงได้
18. ปลาจีนเบตง “ปลายักษ์แห่งลำธารบนขุนเขาสูง”
ติดต่อ สวนยายสวย (นางปานจิตร สายสวาท) โทร. 06-5682-4879
อีกหนึ่งความพิเศษของเมนูอาหารเมืองเบตงที่ขึ้นชื่อลือชาก็คือ ปลาจีน หรือ ปลาเฉาฮี้อ ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่มีต้นกำเนิดมาจากลุ่มน้ำแยงซีเกียงในประเทศจีน
ปลาจีน มีลำตัวทรงกระบอกสีขาวอมเขียว เกล็ดใหญ่ และเมื่อโตเต็มที่หนักได้หลายสิบกิโลกรัม แต่ที่ร้านอาหารจะรับซื้อไปทำอาหารจริงๆ ตัวจะไม่ใหญ่เกินไป แหล่งเพาะเลี้ยงที่ดีต้องอยู่ในลำธารบนขุนเขาที่อุดมสมบูรณ์ เงียบสงบปราศจากการรบกวน และที่สำคัญคือน้ำต้องเย็นและใสสะอาดมากด้วย ธรรมชาติป่าเขาของอำเภอเบตงจึงเหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเลี้ยงปลาชนิดนี้
เมนูอาหารที่นิยมนำปลาจีนมาทำ เช่น ปลาจีนนึ่งบ๊วย, ปลาจีนนึ่งซีอิ้ว, ปลาจีนนึ่งขิง, และปลาจีนแดดเดียว แหล่งเพาะเลี้ยงปลาจีนในเบตงบางแห่ง ยังทำสวนผลไม้อย่างทุเรียนหมอนทองปลูกควบคู่กันไปด้วย สนใจจะชิมต้องไปเที่ยวในเดือนสิงหาคมนะจ๊ะ
SPECIAL THANKS โครการ ‘ซาลามัตชายแดนใต้’ จ.นราธิวาส-ยะลา-ปัตตานี
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ททท สำนักงานนราธิวาส-ยะลา-ปัตตานี โทร. 0-7352-2411 , 0-7354-2345