Arrigoni & Trappolini Wine Dinner @Ventisi Bangkok 2023

ในโลกของคนรักไวน์ การมีโอกาสชิมไวน์แปลกใหม่ในบรรยากาศดีๆ มีเพื่อนฝูงที่รู้ใจร่วมโต๊ะด้วย คือความสุขที่ยากจะอธิบาย วันนี้เป็นอีกครั้งที่เราได้มาพบปะสังสรรค์กัน โดยมี Cafe’ Buongiorno บริษัทนำเข้า Boutique Wine ชั้นเลิศจากอิตาลี ร่วมกับ ห้องอาหารอิตาเลียน Ventisi ชั้น 24 โรงแรม Centara Grand Central World จัดค่ำคืน Dinner สุดพิเศษ เสิร์ฟ Premium Italian Wine จาก 2 ไวเนอร์รี่ระดับตำนาน คือ Arrigoni และ Trappolini นับเป็นซีรี่ส์ที่ 18 ของห้องอาหาร Ventisi แล้ว ที่นำไวน์จากแคว้นต่างๆ ของอิตาลีมาให้เราได้ลิ้มลองไวน์ 4 Labels ในคืนนี้ : 2 ตัวแรกเป็น Sparkling Wine (Prosecco) และ White Wine จากภาคเหนือของอิตาลี  ซึ่งมีอากาศเย็น ในแคว้นเวเนโต (Veneto) และแคว้นเวเนเซีย (Venezia) เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเริ่มต้นมื้ออาหาร จากนั้น Red Wine 2 ตัว มาจากภาคกลางของอิตาลี ในแคว้นลาซิโอ (Lazio) ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุงโรม และแคว้นอุมเบรีย (Umbria) ที่มีภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนอันอบอุ่น และมีแร่ธาตุดินภูเขาไฟอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีแหล่งมรดกโลก UNESCO World Heritage Site จำนวนมากอีกด้วย
ยินดีต้อนรับสู่ห้องอาหาร Ventisi (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)
บรรยากาศเปี่ยมความสุข พร้อมบริการระดับห้าดาว ที่ห้องอาหาร Ventisi (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)Cooking Corner ของห้องอาหาร Ventisi (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)มอบความสุขให้ตัวเอง ด้วยไวน์อิตาเลียนชั้นเลิศ และวิวพาโนรามากรุงเทพฯ ยามเย็น (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)วิวหลักล้าน ดูพระอาทิตย์ตกใจกลางกรุง จากห้องอาหาร Ventisi ชั้น 24 Centara Grand Central World
มุมดินเนอร์สุดโรแมนติก ที่ Ventisi (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)Chef Andrea Montella ชาวอิตาเลียน ผู้มากประสบการณ์ พร้อมทีมงานห้องอาหาร Ventisi มารังสรรค์อาหารอิตาเลียนแท้ให้ชิมในค่ำคืนนี้เมนูวันนี้มี 4 คอร์ส พร้อมด้วยไวน์ระดับพรีเมี่ยม จากภาคเหนือและภาคกลางของอิตาลีเริ่มต้นเรียกน้ำย่อยด้วย ขนมปังฟอคคาเซีย” (Focaccia) เนื้อนุ่มหนึบ กลิ่นหอมแป้งสาลีผสมน้ำมันมะกอก เป็นขนมปังคู่บ้านคนอิตาเลียน ที่กินเมื่อไหร่ก็อร่อย มีเครื่องเคียงเป็นซอสถั่ว และมะเขือเทศคลุกน้ำมันมะกอก กินคู่กับ Sparkling Wine ชั้นเลิศจากทางภาคเหนือของอิตาลี Otello Prosecco DOC ของ Arrigoni Vineyard ซึ่งเป็น Wine Producer ที่เก่าแก่และมีชื่อเสียง นับอายุย้อนไปได้ถึงปี ค.ศ. 1913 การจะเรียกไวน์ตัวใดว่าเป็น “โปรเซคโก้” (Prosecco Wine) ได้อย่างแท้จริง ต้องผลิตมาจากเขตโปรเซคโก้ ที่ปลูกอยู่ในแคว้นเวเนโต (Veneto) หรือ แคว้นฟริอูลิ เวเนเซีย จูเลีย (Friuli Venezia Giulia) เท่านั้น ซึ่ง Prosecco เป็นชื่อหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในแคว้นนี้ และนิยมใช้องุ่นพันธุ์ เกลียร่า (Glera) ในการทำมากที่สุด

โปรเซคโก้จากเมืองเทรวิโซ่ (Treviso) ตัวนี้ มีความ Balance ของรสชาติเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเสิร์ฟเย็นเจี๊ยบราวๆ 8-10 องศาเซลเซียส เนื้อไวน์ละมุนสีเหลืองฟางอ่อน (Pale Straw) แอลกอฮอล์ต่ำ 11 เปอร์เซนต์ Body นุ่มลึก มีความ Extra Dry (หวานกลางๆ) เด่นด้วยกลิ่นดอกไม้ป่า อัลมอนต์ และแอปเปิลเขียวชัดเจน จิบแล้วทิ้งความหอมหวานไว้ทั่วปาก และทิ้งรสขมนิดๆ ไว้ที่โคนลิ้น เหมาะกินคู่กับ Starters และกุ้งหอยปูปลานานาชนิด ถือเป็นไวน์ที่ Body ไม่ Waxy เกินไป พรายฟอง (Bubbles) เล็กๆ เบาๆ ซู่ซ่ากำลังดี จิบเพลิน Arrigoni Vineyard  เป็น Wine Producer ที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่กว่า 110 ปีแล้ว ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1913 ผลิตไวน์ต่อเนื่องกันมา 4 ชั่วอายุคน โดยเริ่มในแคว้นลิกูเรีย (Liguria) และทัสคานี (Tuscany) ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกองุ่นในแคว้นเวเนโต (Veneto) ด้วย ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับไวน์ขาวชั้นเลิศ เพราะอากาศเย็น อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำ พื้นที่เป็นภูเขา เนินเขา สลับทุ่งหญ้า กลางวันแดดเจิดจ้า กลางคืนหนาว ช่วงเช้ามีหมอก นี่คือยูโทเปียในอุดมคติของการปลูกองุ่น (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1913 ครอบครัว Arrigoni ใช้ความหลงใหลในการทำไวน์ สร้าง Vineyard ขึ้นในดินแดนภาคเหนือของอิตาลี  ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสร์ ธรรมชาติ และมีแหล่ง UNESCO World Heritage Site มากมาย อาทิ Botanical Garden (Orto Botanico), City of Verona, City of Vicenza, Venice และ Padua’s Fresco Cycle เป็นต้น (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)ดินและหินของแคว้น Veneto อุดมด้วยแร่ธาตุที่เหมาะต่อการเจริญงอกงามขององุ่น อีกทั้งช่วยให้ไวน์มีรสชาติพิเศษตามแบบฉบับภาคเหนือ (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)นอกจาก Prosecco และ White Wine ชั้นเลิศแล้ว Arrigoni Vineyard ยังมีไวน์อีกหลาย Categoriesให้เลือกชิม เช่น Vermentino Colli di Luni, Chianti Colli Senesi, Cinqueterre e Cinqueterre Sciacchetrà, Vernaccia di San Gimignano, Brunello di Montalcino, Morellino di Scansano, Vinsanto del Chianti เป็นต้น (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)Starter Menu แสนอร่อยสไตล์อุมเบรีย (Umbria) ทางภาคกลางของอิตาลี ประกอบด้วยซุปถั่ว Lentil เนื้อข้น เสิร์ฟแบบร้อนในแก้วช๊อต กินคู่กับแป้งทอดไส้ชีส / มะเขือยาวผัดกับมะเขือเทศ ในสไตล์คล้ายราตาตูย (Ratatouille) วางทับบนขนมปัง / ซาลามี่เกรดพรีเมี่ยมนำเข้าจากอิตาลี หั่นบางๆ กินคู่กับแตงกวาดอง รสเค็มกำลังดี / หอยแมลงภู่ดำ (Black Mussel) จากอิตาลี ผัดซอสรสเปรี้ยวนิดๆ ทั้งหมดกินคู่กับไวน์ขาวชั้นเลิศ Manon Friuli DOC ปี 2021Arrigoni Manon Friuli DOC ปี 2021 แอลกอฮอล์ 12.5 เปอร์เซนต์ เป็นไวน์ขาวชั้นสูง ที่ผลิตโดยควบคุมคุณภาพเข้มงวด ในพื้นที่เฉพาะ และใช้องุ่นพันธุ์ท้องถิ่นของอิตาลีเท่านั้น คือพันธุ์ “ปินอต กริจิโอ้” (Pinot Grigio) ซึ่งเป็นการกลายพันธุ์ย่อยขององุ่น Pinot Noir นั่นเอง และในบางพื้นที่ก็เรียกว่า Pinot Gris ด้วย องุ่นปินอต กริจิโอ้ ได้ชื่อภาษาอิตาเลียนมาจากคำว่า “กรวยสีเทา” เพราะผลออกเป็นพวงรูปกรวยสีเทา หรือม่วงอมเทาเข้มห้อยระย้า

องุ่นพันธุ์ Pinot Grigio ปรากฏชื่อครั้งแรกเมื่อศตวรรษที่ 13 ในแคว้นเบอร์กันดี (Burgundy) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส จากนั้นค่อยๆ แพร่เข้าสู่เยอรมนี ฮังการี สวิตเซอร์แลนด์ และทางภาคเหนือของอิตาลี ตัวที่เราได้ชิมในคืนนี้ผลิตจาก เมืองฟริอูลี” (Friuli) ซึ่งถือเป็นปิโนต์ กริโจ้ ที่ดีที่สุดของอิตาลีเลยทีเดียว ไวน์ขาวตัวนี้เป็นสีฟางอ่อน (Pale Straw) แต่มีความวาวสะท้อนแสงเป็นสีทอง จิบแล้วให้กลิ่นผลไม้เข้มข้น หอมหวนติดจมูก เนื้อไวน์ Full Body รสชาติซับซ้อนนุ่มลึก มีสมดุลระหว่างความหวานน้อยนิด (Low Sweetness) กับความเปรี้ยวน้อย (Low Acidity) ที่ยอดเยี่ยม เสิร์ฟอุณหภูมิ 10-12 องศาเซลเซียส เหมาะกินคู่กับ Straters Set นี้ที่สุดเรียกน้ำย่อยด้วย มะเขือยาวผัดกับมะเขือเทศ ในสไตล์คล้ายราตาตูย (Ratatouille) วางทับบนขนมปัง / ซาลามี่เกรดพรีเมี่ยมนำเข้าจากอิตาลี หั่นบางๆ กินคู่กับแตงกวาดอง รสเค็มกำลังดี ซุปถั่ว Lentil เนื้อข้น เสิร์ฟแบบร้อนในแก้วช๊อต กินคู่กับแป้งทอดไส้ชีส เรียกน้ำย่อยได้ดีจังหอยแมลงภู่ดำ (Black Mussel) จากอิตาลี ผัดซอสรสเปรี้ยวนิดๆ จิบไวน์ขาวตาม เสริมรสชาติกันได้ยอดเยี่ยมเชฟใส่ใจทุกรายละเอียดของการปรุง และตกแต่ง ก่อนยกมาเสิร์ฟจานแรกวันนี้คือ Pasta Strozzapreti ผัดกับไส้กรอกอิตาเลียน และเห็ด Black Truffle ความพิเศษคือเส้น Homemade Italian Pasta ในสไตล์ เส้นฟูซิลลี่ (Fusilli Pasta) บิดเกลียว และมีความยาวมากกว่าปกติ ชิมแล้วรสชาติลงตัว ไม่เค็มจัดเกินไป ยิ่งได้จิบไวน์แดงตาม ก็ยิ่งชูรสพาสต้าให้อร่อยล้ำขึ้นอีกหลายเท่า

เส้น Fusilli Homemade Pasta ที่ยาวและบิดเกลียวสวยเป็นพิเศษ ยิ่งทำให้หน้าตาจานนี้น่ากินขึ้นมาก เนื้อไส้กรอกบดก็เคี้ยวง่าย โรยหน้าด้วยพาร์เมซานชีสอย่างดีตามสไตล์อิตาเลียนแท้ไวน์แดงชั้นเลิศที่เหมาะกินคู่กับ Pasta จานนี้คือ Trappolini IL Piccolo IGP ปี 2016 ผลิตที่แคว้นอุมเบรีย (Umbria) ฉายา “The Green Heart of Italy” เพราะอยู่ตอนกลางของอิตาลีพอดี แถบนี้ไม่มีทางออกทะเลในลักษณะ Land Lock จึงเต็มไปด้วยภูเขาสลับลาดเนิน ดินภูเขาไฟอุดมแร่ธาตุ และอยู่ใกล้ภูเขาพีเกลีย (Peglia Mountain) ด้วย จึงมีภูมิอากาศที่จำเพาะเป็นของตัวเอง (Micro-Climate) ในหุบเขาต่างๆ ซึ่งต้นองุ่นชอบมาก

Red Wine ตัวนี้ผลิตขึ้นจากองุ่นพันธุ์ “ชีราส” (Shiraz) หรือจะอ่านว่า “ซีราห์” (Syrah) ก็ได้ องุ่นพันธุ์นี้เก่าแก่ย้อนไปได้ถึงยุคกรีกโรมัน ต้นกำเนิดจากแคว้นโรน (Rhone) ของฝรั่งเศส เป็นการผสมกันของ 2 พันธุ์องุ่นโบราณ คือ Dureza สีแดงเข้ม เเละ Mondeuse Blanche สีขาว ผลที่ได้คือองุ่นแดงที่ให้น้ำไวน์สีทับทิมเข้มข้น รส กลิ่น มีเครื่องเทศจัดจ้าน แทนนินฝาดชัดเจน และค่อนข้างจะเปรี้ยวมาก ข้อดีคือเหมาะจะเก็บไว้นานๆ (Ageing) นอกจากนี้ยังเหมาะกินกับเนื้อสัตว์สีแดง และไวน์ก็ช่วยลดความเลี่ยนของชีสและพาสต้าได้ดีมากRed Wine ตัวนี้เป็น Single Syrah 100% ให้สีทับทิมเข้มงดงามน่าหลงใหล (Deep Ruby) กลิ่นหอมไม้โอ๊คจากการบ่มหมัก มีกลิ่นดินนิดๆ (Earthy) รวมถึงได้กลิ่นผลไม้รสหวานเข้มข้น เมื่อจิบแล้วไม่บาดคอ มีความสมดุล ลุ่มลึก เนื้อสัมผัส Full Body ดีมาก เป็น Old World Syrah ที่แทนนิน Smooth นุ่มลื่น ความเปรี้ยว (Acidity) ต่ำ และกลิ่นรสเครื่องเทศไม่จัด จิบเพลิน ต่างกับ New World Syrah ที่รสค่อนข้างแรง บาดคอ และมีกลิ่นเครื่องเทศจัดจ้านร้อนแรง ไวน์ตัวนี้เสิร์ฟที่ประมาณ 18 องศาเซลเซียส กลิ่นรสจะ Peak มาก
IL Piccolo IGP ผลิตขึ้นโดยตระกูล Trappolini ซึ่งทำไวน์ติดต่อกันมา 3 ชั่วอายุคนแล้ว พวกเขาสร้าง Vineyard ชื่อเดียวกันขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1961 นอกจากไวน์แดงชั้นเลิศ ยังผลิตไวน์ขาวชั้นยอดได้ด้วย ไร่องุ่นอยู่ในแคว้นอุมเบรีย (Umbria) และแคว้นลาซิโอ (Lazio) มีดินภูเขาไฟอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำไทเบอร์ (Tiber River) และเทือกเขาแอเพนไนน์ (Apennines) เรียกว่าธรรมชาติให้ทรัพยากรมาดี ก็ใช้ผลิตไวน์ได้ชื่อเสียงโด่งดัง (Thank you for picture from www.trappolini.com)จิบไวน์ให้อารมณ์ดี พูดคุยสรวนเสเฮฮากัน (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)เชฟช่วยกันรังสรรค์ Main Course อย่างตั้งอกตั้งใจMain Course พระเอกในวันนี้คือ Traditional Lamb Abbacchio Roman Style หรือเนื้อลูกแกะ ปรุงตามแบบฉบับดั้งเดิมของกรุงโรม เข้ากันได้ดีกับไวน์แดงจากภูมิภาคเดียวกัน

จานนี้ใช้ Baby Lamb ของฝรั่งเศส เฉพาะส่วนขา ตุ๋นเล็กน้อย แล้วนำไปซูวี (Sous Vide – การทำให้อาหารสุกช้าๆในน้ำที่อุณหภูมิไม่ถึงจุดเดือด เพื่อไม่ทำให้วัตถุดิบแข็งหรือเหนียวเกินไป ส่วนใหญ่ใช้อุณหภูมิ 50-70 องศาเซลเซียส) เสร็จแล้วใส่เตาอบ เพื่อให้รสและเนื้อสัมผัสมีความ balance ยิ่งขึ้น จากนั้นเลาะกระดูกออก หั่นเอาเฉพาะส่วนเนื้อล้วนให้สวย เนื้อลูกแกะที่เสิร์ฟในหนึ่งจาน จะมีทั้งส่วนเนื้อต้นขาและปลายขา จึงมีทั้งชิ้นใหญ่และเล็กอย่างพิถีพิถัน ราดซอสเกรวี่ Red Wine เคี่ยวกับน้ำสต็อก โดยนำเนื้อทั้งหมดมาตุ๋นแบบ Long Cooking ให้เนื้อเปื่อย และซึมซับความหอมของหัวหอม โรสแมรี่ เซเลอรี่ คั้นเอาเฉพาะน้ำอย่างเดียวไปเคี่ยวกับ Red Wine จนได้ซอสที่ Unique มาก!

Baby Lamb เนื้อนุ่มๆ กินคู่กับมันฝรั่งสูตรพิเศษ โดยหั่นมันฝรั่งเป็นแผ่นบางๆ นำมาซ้อนกันเป็นชั้นๆ กดให้แน่น แช่เย็นไว้ จากนั้นนำออกมาเซียร์ (Searing – การทำให้ผิวอาหารด้านนอกสุกโดยใช้ไฟแรง จนผิวค่อนข้างแข็ง เป็นสีน้ำตาล แต่เนื้อด้านในยังนุ่มละมุนลิ้น) โรยเกลือ พริกไทย เมื่อลองเคี้ยวจะสัมผัสได้ถึงความหอมของมันฝรั่ง ที่ผสมกลมกลืนกับเครื่องเทศได้อย่างลงตัว

Red Wine ของ Trappolini ที่เหมาะกินคู่กับ Baby Lamb ต้องยกให้ ROSSO Acadia Crogneto IGT ปี 2020 จากแคว้นลาซิโอ (Lazio) แอลกอฮอล์ดุดัน 15 เปอร์เซนต์ จึงถือเป็นพี่ใหญ่ของคืนนี้ เป็นการ Blend องุ่นชั้นเลิศ 2 สายพันธุ์ คือ “ซานโจเวเซ่” (Sangiovese) และ “มอนเตพูลชิอาโน่” (Montepulciano) ซึ่งทั้งสองถือเป็นระดับเรือธงสุดคลาสสิกของอิตาลี สำหรับองุ่น Sangiovese ได้นิกเนมว่า “โลหิตแห่งพระเจ้า” เพราะสีแดงข้น รสจัดจ้าน เนื้อแน่นเข้ม มี Acidity ค่อนข้างสูง และมีกลิ่น Tannin นิดๆ เหมาะดื่มคู่กับอาหารอิตาเลียนแท้ๆ

ส่วนองุ่น Montepulciano ชอบอากาศร้อน จึงปลูกมากในอิตาลีภาคกลางและภาคใต้ ให้น้ำไวน์ที่มีเนื้อสัมผัส กลิ่น และรสยอดเยี่ยม สีแดงราวกับผลเชอร์รี่ แต่ใสมาก กลิ่นอบอวลด้วยผลไม้สีแดงและสีดำนานาชนิด ทั้ง Black Berry, Black Current, Raspberry, Dark Chocolate, วานิลลา, เชอร์รี่ และใบยาสูบ เมื่อนำทั้ง 2 สายพันธุ์มา Blended กัน จึงได้ไวน์แดงที่ซับซ้อนเย้ายวน มีเสน่ห์น่าค้นหามากคำว่า “ROSSO” ในภาษาอิตาเลียนหมายถึง “สีแดง” บ่งบอกได้ดีว่าไวน์ ROSSO Acadia Crogneto มีสีแดงทับทิมเข้มข้นและใสเหลือเชื่อ กลิ่นมี Tannin หอมหวานชื่นใจ แกว่งแก้วไปมาดูขาไวน์ถี่ยิบ เป็นเส้นสวยมากเหมือนผมนางฟ้า เพราะมีแอลกอฮอล์สูงถึง 15 เปอร์เซนต์ ลองจิบแล้วรู้สึกว่า Body และรสชาติ Smooth นุ่มลื่นมาก มีกลิ่นลูกพลัมและเครื่องเทศอ่อนๆ ขึ้นจมูก แบบ Fruit Based Wine ถือเป็นไวน์ที่ห้ามพลาดเลยล่ะ และคนอิตาเลียนบอกว่าเป็นไวน์ที่กินกับอะไรก็อร่อยไปหมดทุกอย่าง

ส่วนตัว ผมถือว่าเป็น Elegant Wine ที่มีความ Balance ของ Body, Alcohol, Tannin, Sweetness และ Acidity สุดยอดตัวหนึ่ง เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 18 องศาเซลเซียส จะได้ความ Peak สุดยอดครับ กินขนมหวานล้างปากก่อนกลับบ้าน ด้วยโดนัทอิตาเลียน “เซปโปลา” (Zeppola หรือ Zeppole) เป็นขนมท้องถิ่นของแถบกรุงโรม (Rome) และเมืองเนเปิลส์ (Naples) เนื้อนุ่มมาก ข้างในสอดไส้ครีมหวานๆ กินคู่กับน้ำเลมอนต์ Homemade Limoncello Trolley ช่วยล้างรสอาหารคาวออกจากปาก และให้ความรู้สึกสดชื่นจี๊ดจ๊าดChef Andrea Montella ออกมาทักทาย และกล่าวถึงความพิเศษของอาหารอิตาเลียนคืนนี้ ที่ Paring กับไวน์ได้ยอดเยี่ยม สร้างความประทับใจให้ทุกคนความสุขในหมู่เพื่อนฝูง ที่มีไวน์จาก Cafe’ Buongiorno เชื่อมโยงเราไว้ด้วยกัน วันนี้ผมได้ตกหลุมรัก Boutique Wine สี่ตัวจากอิตาลีเข้าแล้ว หวังว่าอีกไม่นานเราจะได้พบกันใหม่ See You Soon My Friends.สนใจชิมไวน์ทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี และสั่งซื้อไวน์อิตาเลียนหายาก ติดต่อ Cafe’ Buongiorno Tel. 06-2494-1649 (คุณพิม) Booking โต๊ะรับประทานอาหาร และชิม Italian Wine อย่างดีได้ที่ โทร. 02-100-6255

Aonang Princess 9 ล่องเรือยอร์ชสุดหรูดู Sunset ทะเลกระบี่

บริษัท Aonang Travel & Tour จำกัด เปิดตัวเรือเจ้าหญิงองค์ใหม่แห่งท้องทะเลอันดามัน เชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยง กระบี่-ภูเก็ต-พังงา-สตูล ในนามเรือ “Aonang Princess 9” ที่มีความทันสมัย เน้นการให้บริการ เสริมด้วยแนวคิดรักษ์โลก Low Carbon และ Wellness Toutism
เสน่ห์ของทะเลกระบี่ คือน้ำทะเลใสและเกาะแก่งหินปูนรูปทรงแปลกตา มีชื่อเสียงระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นทะเลแหวก, เกาะปอดะ, เกาะพีพีเล เกาะพีพีดอน, เกาะห้อง, เกาะไหง, เกาะลันตา, อ่าวมาหยา ฯลฯ เที่ยวชมได้สวยงามที่สุดช่วงเดือนพฤศจิกายน-พฤษภาคม

การล่องเรือยอร์ช Aonang Princess 9 เปิดมิติมุมมองใหม่ของการท่องเที่ยวทะเลกระบี่ให้มีสีสันคึกคักมากขึ้น
ด้วยความจุผู้โดยสารกว่า 350 คนต่อเที่ยว เรือ Aonang Princess 9 แล่นออกจากท่าหาดนพรัตน์ธารา อำเภอเมืองกระบี่ เวลาประมาณ 16.00 น. พาไปชมหลายจุด ทั้งอ่าวนาง หาดไร่เลย์ ทะเลแหวก เกาะไก่ เกาะหม้อ เกาะทับ ลอยลำดูอาทิตย์อัสดงลงทะเลน่าประทับใจ ครั้งหนึ่งในชีวิต ได้ดูพระอาทิตย์ตกแสนโรแมนติกกลางทะเล บนเรือยอร์ชสุดหรู Aonang Princess 9เรือ Aonang Princess 9 จอดรอรับนักท่องเที่ยวที่ท่าเรือหาดนพรัตน์ธารา อำเภอเมืองกระบี่ ผู้โดยสารทุกท่านต้อง Booking และชำระค่าโดยสารมาล่วงหน้าเท่านั้น เพื่อจะได้จัดเตรียมความพร้อมให้เรียบร้อยห้องโดยสารมีหลายชั้น ติดแอร์เย็นฉ่ำ พร้อมด้วยที่นั่งนุ่มสบาย ปรับเอนได้ แบบที่นั่งเครื่องบิน

เรือ Aonang Princess 9 ให้บริการผู้โดยสารได้ 350 คนต่อเที่ยว พนักงาน 22 คน จัดอยู่ในประเภทเรือกลเดินทะเลเฉพาะเขต ความยาวตลอดลำ 48 เมตร ใช้เครื่องยนต์ Boudouin 1,500 แรงม้า 2 เครื่อง กินน้ำลึก 3.25 เมตร มีห้องโดยสารปรับอากาศทั้ง 3 ชั้น เก้าอี้นั่งปรับระดับได้เหมือนบนเครื่องบิน พร้อมที่นั่งเบาะหนังเกรดพรีเมี่ยม (เฉพาะชั้น VIP) และช่องเก็บสัมภาระ (เฉพาะชั้น 2 ขึ้นไป) นอกจากนี้ยังมี จอทีวีขนาดใหญ่ทุกชั้น WIFI มินิบาร์ มีห้องน้ำแยกชาย/หญิง 6 ห้อง (ชั้นละ 2 ห้อง แบบถังบำบัด EM) และแทงค์น้ำจืด 8,000 ลิตร

อุปกรณ์นิรภัย บนเรือ Aonang Princess 9 มีพร้อมสรรพ ทั้งกล้องวงจรปิดครอบคลุมทั้งเรือ, หัวน้ำดับเพลิง, เซนเซอร์ตรวจจับควันไฟ, เสื้อชูชีพทุกที่นั่ง, ถังดับเพลิง, แพชูชีพ 8 ลำ, อุปกรณ์ความปลอดภัยนำร่อง, เรดาร์ตรวจจับสภาพอากาศ, พายุฝน และการเคลื่อนไหวของวัตถุต่างๆ, ระบบนำทาง GPS ผ่านดาวเทียม, ซาวเดอร์ ตรวจความลึกใต้น้ำ และวิทยุสื่อสาร ระบบ VHF/UHF CB

คุณอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวอ่าวนาง และกรรมการบริหาร บริษัท อ่าวนาง แทรเวล แอนด์ ทัวร์ จำกัด กล่าวว่าเส้นทางการให้บริการของเรือ Aonang Princess 9 คือ ภูเก็ต-อ่าวนาง, อ่าวนาง-เกาะพีพี, เกาะพีพี-เกาะลันตา และในอนาคตมีแผนจะเพิ่มเส้นทาง เกาะลันตา-เกาะไหง, เกาะไหง-เกาะหลีเป๊ะ ด้วย

บริการพร้อมรอยยิ้ม ตลอดการเดินทางล่องทะเลกับ เรือ Aonang Princess 9
ท่าเรือหาดนพรัตน์ธารา เป็นหนึ่งในท่าเรือหลักของการออกเที่ยวทะเลกระบี่ มีเรือหลากหลายประเภทและขนาดของบริษัทต่างๆ จอดอยู่
เรือหัวโทง หรือ เรือหางยาวแบบปักษ์ใต้ เป็นหนึ่งในพาหนะหลักพานักท่องเที่ยวออกไปสัมผัสหมู่เกาะทะเลกระบี่เรือหัวโทงทยอยแล่นกลับเข้าสู่ท่าเรือหาดนพรัตน์ธาราท่าเรือหาดนพรัตน์ธาราในยามเย็น
ยืนเหม่อมองรับลมทะเลอย่างมีความสุข บนดาดฟ้าชั้นบนสุดของ เรือ Aonang Princess 9 แสงอาทิตย์ยามเย็นก็อุ่นสบายกำลังดีส่วนดาดฟ้าหัวเรือ เป็นจุดชมวิวทะเลกว้างได้เกิน 180 องศา แบบพาโนรามารอยยิ้มแห่งความสุข บน เรือ Aonang Princess 9 หลังเรือแล่นออกจากท่าหาดนพรัตน์ธาราได้ประมาณ 40 นาที ก็ได้ชมเกาะและภูมิทัศน์ชายฝั่ง เป็นภูเขาและหน้าผาหินปูนรูปทรงแปลกตา เก็บภาพประทับใจไว้อวดเพื่อนๆ พร้อมรับลมทะเลแสนสดชื่นบนดาดฟ้า วงดนตรีแบบ Live Music บนดาดฟ้า ขับกล่อมตลอดการเดินทาง เติมเต็มความสุข ให้วิวทะเลสวยๆ ดูชิลและฟินขึ้นอีกล้านเท่า เมื่อเรือ Aonang Princess 9 แล่นมาถึงทะเลแหวก และได้เวลาพระอาทิตย์ตก ก็ได้เวลาเสิร์ฟอาหารเย็นบนดาดฟ้า มีทั้งอาหารหนัก ของหวาน และอาหารทานเล่น ข้าวผัดทะเล, ปอเปี๊ยะทอด, ไก่สะเต๊ะ, ลูกชิ้นปลาลวกจิ้ม, ผลไม้, เค้กช็อกโกแลต, เค้มกล้วยหอม ฯลฯ เสิร์ฟแบบไลน์บุฟเฟ่ กินไป ชมวิวไป ฟังเพลงไป นี่คือสวรรค์กลางท้องทะเลกระบี่ที่เราสัมผัสได้
วินาทีที่เรารอคอย อาทิตย์อัสดงลงที่ทะเลแหวก วิวหลักล้านกับความงามสุดโรแมนติก พระอาทิตย์ตกลงทะเลที่ทะเลแหวก จ.กระบี่
พระอาทิตย์ตกที่เกาะไก่ (ภาพนี้ผม Retouch ไว้ให้ดูกันเล่นๆ ครับ เพราะของจริงพระอาทิตย์ตกอีกด้านของเกาะไก่ เรือแล่นไปไม่ถึง ผมเลยใช้จินตนาการสร้างภาพเสมือนจริงขึ้นมาสนุกๆ นะครับ อย่าซีเรียส)แม้ดวงอาทิตย์จะตกลงทะเลลับเส้นขอบฟ้าไปแล้ว ทว่าอีก 30 นาทีต่อจากนั้น ผืนฟ้าก็ยังมีแสงสีสวยงามยิ่งใหญ่อลังการ น่าตื่นตาตื่นใจเกือบ 20.00 น. เรือ Aonang Princess 9 ค่อยๆ แล่นฝ่าความมืดกลับสู่ท่าเรือหาดนพรัตน์ธารา พร้อมความประทับใจของทุกคน

สนใจล่องเรือ Aonang Princess 9 จ.กระบี่

จองตั๋ว Online ได้ทาง www.aonangtravel.co.th  บริษัท Aonang Travel & Tour จำกัด

ทร. 0-7563-7152, 0-7563-7153 (สำนักงานกระบี่) / 0-7635-3211-2 , 08-3389-7770 (สำนักงานภูเก็ต)

Anyavee Krabi Beach Resort ความทรงจำดีๆ ที่หาดคลองม่วง

ไปเที่ยวจังหวัดกระบี่ทีไร อดไม่ได้ที่ต้องหารีสอร์ทเก๋ๆ ริมทะเลนอนฟังเสียงคลื่น เหม่อมองทะเลดูพระอาทิตย์ตก และชิม Seafood อร่อยๆ สดใหม่จากทะเล ดูเหมือนสิ่งที่เราต้องการจะมีครบครันที่ “Anyavee Krabi Beach Resort” หาดคลองม่วง ซึ่งอยู่ห่างจากอ่าวนางเพียงประมาณ 14 กิโลเมตรเท่านั้น ถ้ารู้สึกต้องการแสงสีเมื่อไหร่ก็ขับรถไปแป๊ปเดียวถึง เสน่ห์ของหาดคลองม่วงคือความ Cozy & Peaceful เงียบสงบเป็นส่วนตัว หาดทรายกว้างทอดยาว และมีรีสอร์ทดีๆ ให้อิงกายพักผ่อน

Anyavee Krabi Beach Resort จึงเป็นคำตอบสุดลงตัวสำหรับเรา เพราะอยู่ติดทะเล จะวิ่งลงไปเล่นน้ำเมื่อไหร่ก็ได้
รีสอร์ทริมหาดคลองม่วงในเครือ Anyavee Resort Group เน้นความเป็นธรรมชาติ ด้วยห้องพักรวม 56 ห้อง แบ่งเป็น Bamboo Cottage 28 หลัง ทั้ง Beach Front, Garden View และ Family เป็นที่นิยมและชื่นชอบมากสำหรับชาวยุโรป รวมถึงมีห้องพักในตัวอาคารอีก 28 ห้อง กว้างขวาง สะดวกสบาย เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัวมองจากหาดทรายเข้าไปเห็น Anyavee Krabi Beach Resort สร้างกลมกลืนอยู่กับธรรมชาติ แมกไม้ร่มรื่น และต้นมะพร้าวสูงลิ่วจะเล่นน้ำสระก็ได้ หรือจะเล่นน้ำทะเล ก็ใกล้แค่เดินไม่กี่ก้าว (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Beach Front Cottage Beach Front Cottage Beach Front Cottage Beach Front Cottage      Standard Cottage Standard CottageGarden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Garden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Garden Cottage Garden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Garden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Garden Cottage Garden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Garden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Garden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Garden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Modern Building Room

ห้องพักในตัวอาคารมี 28 ห้อง ขนาด 65 ตารางเมตร กว้างขวาง เหมาะกับคนที่ต้องการความสะดวกสบาย ทั้งห้อง Deluxe Pool Access, Deluxe Family สำหรับครอบครัว 4-5 คน และ Deluxe Seaview สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เน้นความเรียบง่าย กับคอนเซปท์ที่คงความเป็นธรรมชาติ แต่มีความเก๋ในตัวเองDelux Pool Access Delux Pool Access Delux Family RoomDelux Family RoomDelux Family RoomDelux Room เรียบง่ายแต่ดูดีในสไตล์ MinimalDelux Room Delux RoomSwimming Pool สระว่ายน้ำสุดชิว มองเห็นวิวทะเลสวยๆ ได้ตลอดเวลา (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Swimming Pool กล้ๆ สระว่ายน้ำ มีห้องอาหารที่เปิดบริการ ตั้งแต่เช้าจนถึงสี่ทุ่ม (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Swimming Pool (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Swimming Pool (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Beach Front Restaurant ห้องอาหารสร้างด้วยไม้ไผ่ดีไซน์เก๋ กลมกลืนกับธรรมชาติ ให้ความรู้สึก Friendly มากๆ (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Beach Front RestaurantBeach Front Restaurant เหมาะพาคนรู้ใจไปนั่งทำซึ้ง (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Set อาหารเมนูใหม่ ต้อนรับปี 2023 อิ่มอร่อยกับ Seafood สดอร่อยรสเลิศจากทะเลกระบี่ ราคาเพียง 700 บาท สำหรับ 2 ท่าน

ประกอบด้วย ปูนิ่มทอดกระเทียม, แกงปูใบชะพลู, ปลากะพงทอด ซอสยำมะม่วง, หมึกย่าง, กุ้งซอสมะขาม พร้อมด้วยข้าวสวยและน้ำดื่ม

สำรองห้องพักได้ที่ Anyavee Krabi Beach Resort

หาดคลองม่วง ต.หนองทะเล อ.เมือง จ.กระบี่ โทร. 06-3879-2642, 0-7581-7256 / anyaveekrabi.com

เปิดตัวยิ่งใหญ่ SME นครปฐม Festival ครั้งที่ 1 วันที่ 1-7 พฤษภาคม 2566

สมาพันธ์ SME ไทยจังหวัดนครปฐม จัดงาน “SME นครปฐมเฟสติวัล ครั้งที่ 1”  ชมขบวนแห่แฟนตาซีสุดอลังการของ 7  อำเภอ วงโย แตรวง มังกรทองนำขบวน ตามด้วยรถบุปผาชาติ กลองยาว สาวไทยทรงดำ สาวงามสามพราน สิงโตทอง สิงโตเงิน อเมริกันจากเท็กซัส ฟรีมินิคอนเสิร์ตของศิลปินชื่อดัง นวัตกรรมหุ่นยนต์แมงมุม จับสลาก เฮฮามหาสนุก เต็มอิ่มกับร้านค้า ร้านอาหารชื่อดังมากมาย ตั้งแต่วันที่ 1-7 พฤษภาคม 2566 ณ องค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม         นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธานเปิดงาน SME นครปฐมเฟสติวัล ครั้งที่ 1 พร้อมด้วย นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์ SME ไทย, นายสมศักดิ์ ธีรภาพสุกลวงศ์ ประธานสมาพันธ์ SME ไทย จังหวัดนครปฐม และ นายปยุต มารยาทร์ ประธานสมาพันธ์ SME อำเภอเมืองนครปฐม ชาว SME  ทั้ง 7 อำเภอ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน ร่วมเปิดงานคับคั่ง
นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม กล่าวว่า “ต้องขอแสดงความชื่นชมยินดีกับ สมาพันธ์ SME ไทยจังหวัดนครปฐม ที่ริเริ่มจัดงาน SME นครปฐมเฟสติวัล ครั้งที่ 1 ขึ้นมา เป็นความร่วมมือจากทุกหน่วยงานระหว่างเอกชนกับภาครัฐ มีการสนับสนุนแหล่งเงินทุน ให้องค์ความรู้ สร้างงาน สร้างอาชีพ การผลิต และนวัตกรรม ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ เพื่อให้ SME ทั้ง 7 อำเภอ ได้มีพื้นที่นำผลิตภัณฑ์ของดีแต่ละอำเภอ ทั้งของกินของใช้มาจำหน่าย คนได้ชิม ชม ช้อป หน่วยงานราชก็มีหน้าที่สนับสนุนด้านนโยบาย ส่วนการขับเคลื่อนก็เป็นหน้าที่ของเอกชน”
นายสมศักดิ์ ธีรภาพสุกลวงศ์ ประธานสมาพันธ์ SME ไทย จังหวัดนครปฐม กล่าวว่า “การจัดงานครั้งนี้เป็นความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน ผู้ที่เข้าชมงานจะได้ ชมขบวนแห่แฟนตาซีสุดอลังการ 7 อำเภอ 7 วัน แบ่งออกเป็น 3 ภาค โดย ภาคอดีต มีมังกรทอง สิงโตทองสิงโตเงินนำขบวน ตามด้วยรถบุปผาชาติ มีภาพหลวงพ่อเต๋คงทอง และกลุ่มชาติพันธุ์ 4 กลุ่ม ไทยพื้นถิ่น ไทยทรงดำ ไทยจีน ลาวครั่ง นางไหฟ้อนแคน ขบวนฟ้อนรวมญาติชาติพันธุ์ดอนตูม และการแสดงวิถีชีวิตเกษตรกรดอนตูม
ภาคปัจจุบัน งามล้ำวัฒนธรรมไทยจีน ประกอบด้วยระบำนางฟ้า สาวงามถือโคมไฟ จำลองวิถีคนจีนจากโพ้นทะเลสู่สยามตามด้วยรถดนตรีจีน

ภาคอนาคต กลุ่ม SME ดอนตูมแต่งกายด้วยเสื้อสีประจำอำเภอคือสีเขียว ปิดท้ายด้วยขบวนนักศึกษามาชุดแฟชั่นทำจากขยะรีไซเคิล
นอกจากนี้ยังมีการชมฟรี มินิคอนเสิร์ตของศิลปินชื่อดัง นวัตกรรมหุ่นยนต์แมงมุม จับสลาก เฮฮามหาสนุก เต็มอิ่มกับร้านค้า ร้านอาหารชื่อดังมากมาย งานเริ่มตั้งแต่วันที่ 1-7 พฤษภาคม 2566 ณ บริเวณองค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม”

การออกบูธของ 7 อำเภอในจังหวัดนครปฐม อำเภอบางเลน ไม่น้อยหน้า มีไข่เป็ดและขนมเปี๊ยะรสเด็ดSME อำเภอพุทธมณฑล นำกระเป๋าและหมวกสานสุดเก๋มาจำหน่าย
SME อำเภอกำแพงแสน นำดอกไม้ดินปั้นประดิษฐ์อันงดงามมาโชว์และจำหน่าย บ้านคลองสวนโฮมสเตย์ อำเอสามพราน ที่พักบูติกสไตล์บ้านเรือนไทยย้อนยุคกว่า 200 ปี สนใจโทร. 08-1255-3121 SME ของดีของเด่นอำเภอนครชัยศรี เครื่องหนังแท้ตัดเย็บเป็นกระเป่าคุณภาพดี ใช้ได้ทนนาน ดีไซน์เก๋ไก๋ บูธ SME อำเภอดอนตูม ชูประเด็นด้านชาติพันธุ์น่าสนใจในพื้นที่นอกจากบูธของ 7 อำเอนครปฐมแล้ว ยังมีร้านค้านับร้อย มาออกร้านจำหน่ายอาหารที่ห้ามพลาดของนครปฐมให้ชิม เช่น เป็ดร้านโกแท้, หมี่คลุกดุ๊กดิ๊ก เต็กกอ, ข้าวมันไก่, ข้าวหมูแดงรสเลิศ ฯลฯ
ชาวอำเภอสามพราน มาร่วมงานกันอย่างคับคั่งอบอุ่นสาวงามนครปฐม นอกจากจะงดงามด้วยหน้าตาและการแต่งกายอันมีเอกลักษณ์แล้ว ยังสื่อถึงชาติพันธุ์อันหลากหลาย ทั้งไทยทรงดำ (ลาวโซ่ง) มอญ ลาว จีน และไทยแท้ ในเวลา 16.30 น. ขบวนแห่ 7 อำเภออันยิ่งใหญ่ ได้เคลื่อนไปรอบสี่ทิศขององค์พระปฐมเจดีย์ ปิดท้ายขบวนแห่แบบโดดเด่นไม่เหมือนใคร ด้วยขบวนคาวบอยและม้าจาก อำเภอนครชัยศรี ในช่วงเย็นมีการแสดงโขนกลางแปลง ฉากการสู้รบระหว่างพระรามและทศกัณฐ์1-7 พฤษภาคม 2566 นี้ อย่าลืมไปเที่ยวนครปฐมกันนะครับ นอกจากจะใกล้กรุงเทพฯ เดินทางสะดวกแล้ว ยังมีความหลากหลายในด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ อาหารอร่อยเด็ด แถมยังเป็นเมืองหลวงของคาเฟ่ที่มีอยู่กว่า 300 แห่ง ให้สัมผัสอีกด้วย

เกาะกระดาน หาดสวยที่สุดในโลก มหัศจรรย์แห่งอันดามัน

ในบรรดาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีอยู่ดาษดื่นในเมืองไทยเรา “ท้องทะเลอันดามัน” ถือว่ามีความพิเศษน่าสนใจ และให้ภาพที่สวยงาม โรแมนติก น่าประทับใจเสมอ

โดยเฉพาะ “หมู่เกาะทะเลตรัง” ซึ่งมีเกาะน้อยใหญ่กระจายกันอยู่กว่า 54 เกาะ เสน่ห์ของทะเลตรังที่ยากจะหาที่ใดเทียบ คือความพิสุทธิ์ของธรรมชาติ น้ำทะเลสีเขียวมรกตใสแจ๋วราวกับแก้วคริสตัล รวมถึงสรรพปะการังและหมู่ปลานานาชนิด แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ก็ยังคงสวยงามดึงดูดให้นักแรมทางคนแล้วคนเล่า ลงเรือออกไปชื่นชมอย่างไม่เบื่อ

ความสวยงามดังกล่าว ไม่ได้กล่าวขานกันเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยวไทยเท่านั้น ทว่าในปี 2566 นี้เอง “เกาะกระดาน” แห่งทะเลตรัง ได้คว้าตำแหน่งชายหาดที่ดีที่สุดในโลก จัดอันดับโดย World Beach Guide 2023 สำรวจความคิดเห็นและลงคะแนนจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกจำนวนมาก นับเป็นความภาคภูมิใจของไทยเรา สะท้อนได้อย่างยอดเยี่ยมว่าเกาะกระดานมีหาดทราย สายลม เกลียวคลื่น แนวปะการัง และบรรยากาศยามเย็นเห็นอาทิตย์อัสดงน่าตื่นตะลึงแนวหาดทรายบนเกาะกระดานเกิดจากการสลายตัวของแนวปะการัง รวมถึงปลานกแก้วที่กินปะการัง แล้วถ่ายออกมาเป็นเม็ดทรายพัดพาขึ้นมารวมตัวเป็นชายหาด ปลานกแก้วเต็มวัยหนึ่งตัวจะผลิตทรายได้มากถึงปีละ 100 กิโลกรัมเลยทีเดียว นอกจากนี้แนวปะการังหน้าหาดเกาะกระดาน ยังช่วยกันคลื่นทำให้น้ำนิ่ง ก่อตัวเป็นหาดทรายสวยได้ตลอดปี

หมู่เกาะทะเลตรังที่ว่ามีอยู่มากถึง 54 เกาะนั้น มีตำนานพื้นบ้านเล่าขานกันว่า เกิดจากการค้าทางทะเลของนายลิบงได้แต่งงานกับนางมุก ภายหลังเกิดเรือสำเภาล่ม สิ่งของกระจัดกระจายกลายเป็นเกาะที่เห็นทุกวันนี้

นอกจากเกาะกระดานแล้ว ยังมีเกาะอื่นๆ อีกเพียบ ทั้ง เกาะลิบง แหล่งหญ้าทะเลอุดมสมบูรณ์ เป็นบ้านของพะยูนฝูงสุดท้ายของไทย เกาะรอกนอก-เกาะรอกใน ซึ่งมีน้ำตกลงทะเล เกาะมุก ที่ตั้งของถ้ำมรกต เกาะสุกร มีนาข้าวและการปลูกแตงโมริมทะเล ฯลฯ การเที่ยวทะเลตรังมักเป็นแบบเที่ยววันเดียว หรือ One Day Trip 5 เกาะ โดยเรือจะออกจากท่าเรือปากเมงช่วงเช้า พาไปเกาะมุก (ถ้ำมรกต) เกาะกระดาน เกาะเชือก เกาะม้า และเกาะแหวน มีทั้งเรือสปีทโบ๊ท เรือหัวโทง และเรือประมงดัดแปลงสองชั้น จุได้ไม่ต่ำกว่า 50 คน แต่จะเหมาเรือส่วนตัวตรงดิ่งไปเกาะกระดานเลยก็ได้

ยามเช้าที่ฟ้าเปิดแดดเจิดจ้า คลื่นลมสงบ เรือประมงดัดแปลงสองชั้นค่อยๆ แล่นออกจากท่าเรือปากเมง ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 40 นาที ก็ถึง “เกาะกระดาน” สวรรค์แห่งท้องทะเลอันดามันที่เราค้นหา ช่วงตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคม ถือว่าเป็นไฮท์ซีซันของเกาะกระดาน ทะเลจะสวยสุดๆ คลื่นลมสงบ ฟ้าเปิดโปร่งโล่งเป็นสีฟ้าครามสะอาดตา เคียงคู่น้ำทะเลสีเขียวมรกตไล่โทนเข้มอ่อนรอบๆ สะกดทุกสายตาให้หยุดมอง บริเวณหน้าหาดซันเซ็ท จะแลเห็นทิวสนทะเลสีเขียวเป็นพุ่มแน่นขนัดเรียงราย ถัดลงมาเป็นหาดทรายสีขาวและสีเหลืองอ่อนนวลตา ทอดตัวยาวเกือบ 3 กิโลเมตร คลื่นน้อยค่อยๆ ทยอยกันสาดซัดเข้าคลอเคลียเม็ดทรายละเอียดเนียนนุ่ม แผ่นน้ำสีเขียวมรกตนั้นมีความใสไม่ต่างจากกระจก มองลงไปเห็นริ้วทรายเบื้องล่าง รวมถึงแนวปะการังแข็ง และฝูงปลาเล็กๆ ที่ว่ายเข้ามาทักทายพวกเราเกาะกระดานมีลักษณะผอมยาว ทอดตัวในแนวทิศเหนือ-ใต้ พื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นของชาวบ้านและรีสอร์ทเอกชน ซึ่งเข้ามาอยู่อาศัยก่อนประกาศเขตเป็นอุทยานแห่งชาติ ทุกวันนี้จึงมีรีสอร์ทอย่างดีให้พักค้างคืนได้ พื้นที่อีกส่วนอยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ส่วนหาดอื่นๆ ที่ห้ามพลาดชม คือ หาดอ่าวเนียง ยาวกว่า 800 เมตร เป็นจุดดำน้ำชมปะการังแข็งที่น่าตื่นตา มองเห็นเกาะลิบงได้ ถัดมาคือ หาดอ่าวไผ่ ไม่มีปะการัง ทว่ามีหาดทรายขาวสะอาดทอดยาวประมาณ 200 เมตร มองเห็นเกาะเชือก เกาะแหวน และเกาะมุก สุดท้ายคือ หาดอ่าวช่องลม ยาวราวๆ 800 เมตร สามารถเดินขึ้นสู่จุดชมวิวมุมสูงบนเนินเขา จะมองเห็นเกาะรอก และพระอาทิตย์ตกได้ชัดเจนมากที่มาของชื่อเกาะกระดาน อย่างแรกสันนิษฐานว่ามาจากตำนานนายลิบงและนางมุก ซึ่งเรือสำเภาแตก ไม้แผ่นกระดานได้ลอยมาติดอยู่บริเวณนี้จนกลายเป็นเกาะกระดาน ส่วนอีกที่มาสันนิษฐานว่ามาจากภูมิประเทศของเกาะ ลักษณะค่อนข้างแบนเหมือนแผ่นกระดานหาดที่นิยมสุดคือหาดซันเซ็ท (หาดเกาะกระดาน) นั่นเอง เพราะเป็นหาดด้านตะวันตก ที่เรือทัวร์ทุกคณะจะเข้ามาจอดเทียบท่าทอดสมอ หาดทรายทอดยาวเกือบ 3 กิโลเมตร เนื้อทรายละเอียดนุ่มเท้าสีน้ำตาลอ่อนนวลตา เวลาน้ำลดจะเห็นแนวหาดทรายทอดยาวออกไปในทะเล โดยมีทิวสน ต้นหูกวาง ต้นโพธิ์ทะเล แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาส่วนตัว บางจุดมีกิ่งไม้หักผูกชิงช้าอยู่ริมหาด กลายเป็นจุดถ่ายภาพเช็คอินที่ห้ามพลาดเด็ดขาดน้ำที่เกาะกระดานใสแจ๋วราวกับแก้วคริสตัลเจียระไน ใสจนแลเห็นพื้นทรายใต้น้ำ และฝูงปลาแหวกว่ายไปมาอย่างเสรีเดินเล่นริมหาดเงียบสงบ ปล่อยตัวและหัวใจไปกับความงามของท้องทะเล และหาดทรายสวยที่สุดในโลกบรรยากาศแห่งความสุขล่องลอยอยู่ในทุกอณูของเกาะกระดาน

นอกจากการเล่นน้ำทะเลใสๆ พายเรือคายัค นอนอาบแดด เดินถ่ายภาพริมหาด ยังมีการดำน้ำตื้น ดำน้ำลึกที่ “อ่าวเนียง” ซึ่งน้ำลึกไม่เกิน 5 เมตร อุดมด้วยแนวปะการังแข็งสวยงาม ทั้งปะการังเขากวาง ปะการังโขด ปะการังสมอง น้ำใสแจ๋วทำให้เห็นปลาต่างๆ แหวกว่ายอยู่รอบตัวเรา เหมือนกับอะควาเรียมธรรมชาติ ทั้งปลาโนรีครีบยาว ปลานกแก้ว ปลาวัว ปลาเสือ ปลากสาก และลูกปลาเล็กๆ ฝูงใหญ่นับไม่ถ้วน แหวกว่ายอย่างอิสระเสรี ต่อเติมระบบนิเวศใต้น้ำให้สมบูรณ์

แดดเจิดจ้าฟ้าใสสีคราม น่าลงเล่นน้ำซะจริงๆ นะ
หาดซันเซ็ทเกาะกระดาน มีหาดทรายทอดยาวเกือบ 3 กิโลเมตร เคียงคู่น้ำทะเลใสแจ๋วสีมรกตปัจจุบันหน้าหาดซันเซ็ท มีการทำทุ่นลอยต่อเป็นสะพานทางเดินจากเรือใหญ่ ให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าสู่หาดได้เลยบนเกาะกระดานมีที่พักให้เลือก ทั้งบ้านพักหรือลานกางเต็นท์ของอุทยานฯ และรีสอร์ทเอกชน เช่น The Sevenseas Resort โทร. 08-2490-2552, 08-2490-2442 / Kalume Eco Boutique Resort โทร. 06-2009-6620 ฯลฯท่าเรือปากเมง อำเภอสิเกา คือจุดลงเรือสู่เกาะกระดานที่ใกล้ที่สุดประตูสู่อันดามันของจังหวัดตรัง ท่าเรือปากเมงท่าเรือปากเมงวันนี้ มีการปรับปรุงสร้างใหม่อย่างดีเรือพร้อมออกทะเลสู่เกาะกระดานแล้ว

สนใจซื้อแพ็กเกจทัวร์เที่ยวเกาะกระดาน จ.ตรัง ติดต่อ บริษัท เมืองไทย ครีเอทีฟ แอนด์ ทัวร์ จำกัด

โทร. 081-251-2207, 085-065-8144, 064-232-2878

นั่งรถไฟ KIHA183 กระตุ้นเที่ยวฉะเชิงเทราคึกคัก ล้อ-เรือ-ราง

สนใจเดินทางท่องเที่ยว One Day Trip กับรถไฟขบวนพิเศษ​ Kiha 183 โทร. 1690 / www.railway.co.th (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)
สนใจเดินทางท่องเที่ยว One Day Trip กับรถไฟขบวนพิเศษ​ Kiha 183 โทร. 1690 / www.railway.co.th

Liguria Wine Unforgettable Experiences @Ventisi Italian Restaurant, BKK

โอกาสพิเศษมาถึงอีกครั้ง เมื่อห้องอาหาร Ventisi ชั้น 24 โรงแรม Centara Grand Central World ซึ่งมีความโดดเด่นในการนำไวน์ชั้นเลิศจากแคว้นต่างๆ ของอิตาลี มาให้เราได้ชิม จับมือกับบริษัท Importer Italian Wine รายใหญ่ Cafe’ Buongiorno คัดสรรเฉพาะไวน์จากพื้นที่ UNESCO World Heritage Sites ของอิตาลีเท่านั้น Dinner สุดพิเศษ ที่มีไวน์จาก แคว้นลิกูเรีย (Liguria) จับคู่กับอาหารอิตาเลียนโดยเชฟชื่อดัง จึงเกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2023
Italy เป็นประเทศที่คอไวน์ทั่วโลกให้การยอมรับ ว่าเป็นหนึ่งในเจ้าแห่งการผลิตไวน์ชั้นเลิศมานานหลายชั่วอายุคน  ทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี มีองุ่นพันธุ์ท้องถิ่นอยู่มากกว่า 300 ชนิด อันเกิดจากภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ที่ร้อนจัดในฤดูร้อน และมีฝนตกมากในฤดูหนาว ผสานกับดิน หิน แร่ธาตุ และวิธีการบ่มหมักไวน์อันมีเอกลักษณ์เฉพาะ ทำให้โลกของ Italian Wine เต็มไปด้วยเสน่ห์ น่าค้นหา เปรียบเหมือนการผจญภัยไม่สิ้นสุดสำหรับนักดื่ม โดยเฉพาะไวน์ทางภาคเหนือของอิตาลีที่ แคว้นลิกูเรีย (Liguria) นั้น ถือเป็นอาณาจักรของไวน์ขาว ที่ปลูกอยู่ตามเชิงเขาแอลป์ กั้นพรมแดนแคว้นโปรวองซ์ในฝรั่งเศสด้วย

Liguria เป็นแคว้นที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี  ได้ชื่อว่า “Italian Riviera” เพราะเป็นเมืองตากอากาศชายทะเล ที่มีภูมิทัศน์สวยที่สุดทางภาคเหนือ มีแดดมากถึง 300 วันต่อปี เราจะเห็นภาพชายฝั่งทะเลยาวเหยียด ชายหาด ร่ม คนนอนอาบแดด ผาหิน และหมู่บ้านชาวประมง ซึ่งด้านหลังเป็นไร่องุ่นปลูกอยู่บนเชิงผาหินปูนลาดชัน ในแบบ Cliff Vineyard หรือ Terrace Vineyard ทำให้มีความยากในการปลูก ดูแล และเก็บเกี่ยวด้วยมือล้วนๆ Liguria Wine จึงได้ฉายาว่าเป็น “Heroic Wine” (ไวน์ของผู้กล้า) เลยทีเดียว

แคว้น Liguria ทอดตัวเป็นแนวยาวตะวันออก-ตะวันตก ต่อเนื่องเข้าสู่ French Riviera ของฝรั่งเศส  ตัวแคว้น Liguria แบ่งออกเป็น 4 จังหวัด ไล่จากตะวันออกไปตะวันตก คือ ลา สเปเซีย (La Spezia), เจนัว (Genoa), ซาโวนา (Savona) และอิมพีเรีย (Imperia) โดยมีเจนัวเป็นเมืองหลวง หากจะแบ่งโซนไวน์คร่าวๆ โดยใช้เจนัวเป็นจุดกึ่งกลาง ทางทิศตะวันออก คือ La Spezia และ Genoa จะเด่นเรื่องไวน์ขาว ส่วนทางทิศตะวันตกที่ Savona และ Imperia จะเด่นเรื่องไวน์แดง โดยไวน์ขาว Signature ของ Liguria คือพันธุ์ Vermentino, Bosco และ Albarola ส่วนไวน์แดงตัว Top คือ Rossese และ Dolcetto (หรือ Ormeasco)

แต่ด้วยความที่ Liguria เป็นดินแดนที่ถูกห้อมล้อมด้วยแคว้นมากมายโดยรอบ องุ่นหลายสายพันธุ์จึงมีกระจายปลูกออกไป และเรียกชื่อต่างกันแม้จะเป็นพันธุ์เดียวกัน เช่น พันธุ์ Vermentino จริงๆ แล้วใน Liguria เรียกว่า “Pigato” ในฝรั่งเศสเรียก “Rolle” ในแคว้น Piedmont ทางตอนเหนือของ Liguria เรียก “Favorita” และที่เกาะ Sardinia เรียกว่า “Vermentino” เป็นต้น

Character ของไวน์ขาวในแคว้น Liguria จะมีความเปรี้ยวซ่ามากแบบจี๊ดจ๊าด ดื่มแล้วให้ความรู้สึกสดชื่นและสนุกสนาน สีมักเป็นสีเหลืองฟางอ่อนๆ (Pale Straw Yellow) ไปจนถึงสีเหลืองทอง (Gold Yellow) มีกลิ่นหอมของผลไม้และดอกไม้ป่าชัดเจน ร่วมกับกลิ่นมะนาว (Lime) และแอปเปิลเขียว (Green Apple) รสชาติมักติดขมนิดๆ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ บางคนบอกว่ามีสีและรสชาติคล้าย Sauvignon Blanc (โซวีญง บล็อง) แต่จัดจ้านกว่ามาก

มาตรฐานไวน์ของ Liguria มีทั้ง DOCG, DOC, IGT, VDT แต่ที่มีมากสุดน่าจะเป็นกลุ่ม DOC เพราะใช้สายพันธุ์องุ่นท้องถิ่น ปลูกในพื้นที่เฉพาะ จึงได้ไวน์ชั้นเลิศที่มีจำนวนผลิตครั้งละไม่มาก หายาก ราคาสูง และรสชาติไม่เหมือนใคร เช่น Cinque Terre DOC ผลิตอยู่เฉพาะใน 5 หมู่บ้านริมทะเลของจังหวัด La Spezia เท่านั้น และต้องบ่มหมักอย่างน้อย 2 ปี ถึงจะนำออกจำหน่ายได้ แต่ถ้าเก็บไว้ถึง 4 ปี เขาว่ารสชาติจะ peak ดีมาก / Colli di Luni DOC เป็นไวน์ขาวและไวน์แดงชั้นเลิศ มีเฉพาะในแคว้น Tuscany และ Liguria เท่านั้น / Rossese di Dolceacqua DOC ผลิตอยู่เฉพาะในพื้นที่เล็กๆ ทางตะวันตกสุดของ Liguria ติดพรมแดนฝรั่งเศส เป็นต้น ส่วนไวน์หวาน (Dessert Wine) คน Liguria ก็ชื่นชอบ มักผลิตโดยใช้องุ่น 3 สายพันธุ์ blend กัน ทั้ง Pigato, Bosco และ Albarola

Chef Andrea Montella ชาวอิตาเลียน ผู้มากประสบการณ์ พร้อมทีมงานห้องอาหาร Ventisi มารังสรรค์อาหารอิตาเลียนสไตล์ Liguria เข้าคู่กับ Liguria Wine ได้ลงตัววิวหลักล้าน ดูพระอาทิตย์ตกใจกลางกรุงเทพฯ จากห้องอาหาร Ventisi ชั้น 24 โรงแรม Centara Grand Central World
บรรยากาศโรแมนติก นั่งจิบไวน์อิตาเลียนเคล้าวิวพระอาทิตย์ตก ชิมอาหารอิตาเลียนแท้ ที่ห้องอาหาร Ventisi (ขอบคุณภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)ห้องอาหารอิตาเลียน Ventisi ในบรรยากาศหรูหรา มีชีวิตชีวา เหมาะมาพบปะสังสรรค์กัน (ขอบคุณภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com) ความโอ่โถง ตกแต่งอย่างมีเอกลักษณ์ที่ ห้องอาหาร Ventisi (ขอบคุณภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com) Cooking Corner ของเชฟและผู้ช่วย เปิดโอกาสให้เราเห็นขั้นตอนการเตรียมอาหารได้ใกล้ชิดที่ Ventisi (ขอบคุณภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)เมนูค่ำคืนนี้มี 4 คอร์ส  คอร์สเรียกน้ำย่อยเน้น Seafood เพื่อสะท้อนภูมิประเทศติดทะเลของ Liguria / คอร์สถัดมาเป็น Homemade Pasta / Main Course เสิร์ฟโรลเนื้อลูกวัว / ปิดท้ายด้วยขนมหวาน Genoa Cake ซึ่งแต่ละคอร์สมี Liguria Wine จับคู่ไว้อย่างพิถีพิถันเริ่มเรียกน้ำย่อยกับขนมปังโฮลวีทเนื้อนุ่ม กินคู่กับ Sparkling Wine ชั้นดีอย่าง Blanche Arrigoni Millesimato PAS DOSE’  เมนูเรียกน้ำย่อยหลากหลายดี  มีหมึกยักษ์คลุกน้ำมันมะกอกและสมุนไพร, แผ่นมันฝรั่งทอด, ซุปถั่วลูกไก่ (Chickpea & Bean Soup), แป้งฟอคคาเซียทอด ไส้ Stracchino Cheese และเนื้อลูกปลาชุบแป้งทอด

กินคู่กับไวน์ Blanche Arrigoni Millesimato PAS DOSE’ ปี 2018 Sparkling Wine แอลกอฮอล์นุ่ม 12.5% Body บางเบา ไวน์ตัวนี้จัดอยู่ในมาตรฐานสูงระดับ Colli di Luni DOC  ผลิตเฉพาะในแคว้น Liguria และ Tuscany เท่านั้น ใช้องุ่นพันธุ์ Pigato (หรือ Vermentino)ให้สีเหลืองฟางอ่อนๆ (Pale Straw Yellow) รสชาติต้องบอกเลยว่าเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด ให้ความรู้สึกซาบซ่า และมีความ Dry (หวานน้อย) เมื่อกลืนหมดแล้วจะทิ้งความหอมหวานไว้ในปาก แถมยังมีความขม (Bitter) นิดๆ ติดอยู่ที่โคนลิ้นด้วย แปลกดี นี่คือเอกลักษณ์ของ Liguria Wine ส่วนกลิ่นก็มีความผสมผสานของมะนาว (Lime) แอปเปิลเขียว (Green Aplle) และกลิ่นหินปูนแห้งๆ (Dry Limestone) ชัดเจนมาก เป็นคุณลักษณะเฉพาะ เสิร์ฟที่อุณหภูมิไม่เกิน 10-12 องศาเซลเซียส ดื่มสดชื่น ช่วยเสริมรสชาติ Seafood เรียกน้ำย่อยดีมาก

จานถัดมาก็เน้นแป้งตามสไตล์คน Liguria “เส้นพาสต้า Homemade” ปั้นเป็นเส้นผอมๆ ยาวๆ เนื้อแน่นนุ่มหนึบสู้ปาก ราดเพสโต้ซอส (Pesto Sauce) หรือ Green Sauce ตามแบบฉบับ Liguria แท้ๆ เพราะใช้ใบโหระพาฝรั่ง (Basil) เป็นหลัก ตามที่เขาเคลมว่า Liguria มีใบโหระพาฝรั่งอร่อยที่สุดในโลก! (ต้องลองชิมกันเองนะครับ) ส่วนผสมของ Pesto ตัวนี้จะไม่มีเนื้อสัตว์อยู่เลย คนที่กิน vegetarian จึงกินได้ ประกอบด้วย ใบโหระพาฝรั่ง เกลือ กระเทียม น้ำมันมะกอก ถั่วบด คลุกเคล้าให้เข้ากัน เวลากินก็โรยหน้าด้วยพาร์เมซานชีส (Parmesan Cheese) ฝอยๆ เพิ่มความอร่อยได้หลายเท่า ข้อดีของเมนูนี้คือซอส Pesto ไม่มันเกินไป อีกทั้งเสิร์ฟมาปริมาณกำลังดี เหลือท้องไว้สำหรับ Main Cause ที่กำลังตามมา

ไวน์ขาวที่ช่วยเสริมรสชาติพาสต้า หรือตัดเลี่ยนได้ยอดเยี่ยม คือไวน์ขาวมาตรฐานสูง Colli di Luni DOC ปี 2021 ของผู้ผลิตที่มีประวัติยาวนานในไร่องุ่น Rosadimaggio ไวน์ขาวตัวนี้ชื่อ Vermentino Superiore แอลกอฮอล์ 13.5% เหมาะในการเริ่มต้นมื้ออาหาร กินดื่มสังสรรค์ ดื่มแล้วสดชื่น ไม่มึนเร็ว ผลิตโดยใช้องุ่นพันธุ์ Vermentino (หรือ Pigato) 100% น้ำไวน์สีเหลืองทอง (Gold Yellow) กลิ่นหอมผลไม้และดอกไม้ป่าชัดเจน ผสานกลิ่นมะนาว (Lime) แอปเปิลเขียว (Green Apple) อัลมอนด์ (Almond) และส้มตระกูลเกรปฟรุต (Grapefruit) จิบแล้วเปรี้ยวกลางๆ รู้สึกถึง Body ที่นุ่มเบา แต่มีความ Waxy นิดๆ อีกทั้งยังให้รสและกลิ่นพริกไทย (Pepper) อ่อนๆ ทิ้งไว้ในปากอย่างชัดเจน ผมชอบมากในความนุ่ม และ Balance ของกลิ่นรสที่รังสรรค์ได้ลงตัวจริงๆ
Main Course วันนี้ คือ “เนื้อลูกวัวย่าง” โดยแล่เป็นแผ่นบางแล้วนำมาม้วนกับสมุนไพรอิตาเลียน เห็ด และถั่วไพน์ จากนั้นทำให้สุกแบบ Slow Cook ราดซอสซึ่งใช้เนื้อและกระดูกวัวตุ๋นนานมาก ให้ texture นุ่ม ออกมาเป็นน้ำเกรวี่รสเค็ม กินคู่กับมันฝรั่งทอด Homemade หั่นเป็นแท่งสี่เหลี่ยมยาว Deep Fried โรยด้วยพาร์เมซานชีส พริกไทย และออริกาโน่นิดหน่อย ช่วยเพิ่มรสชาติ ถ้าใครที่ชอบกินเนื้อนุ่มๆ ละเอียด แบบไม่ต้องออกแรงเคี้ยวมาก ก็คงจะชอบเมนูนี้ แต่ผมว่ารสชาติของซอสอาจจะเค็มโด่งไปหน่อยครับแน่นอนว่าเมื่อมี Main Course เป็นเนื้อลูกวัว ก็ต้องจับคู่กับไวน์แดงอย่าง O di Giotto, Liguria di Levante มาตรฐาน IGP เป็น Rosso Wine ปี 2020 ผลิตโดย Arrigoni ไร่องุ่นที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1913 ตัวนี้จัดเป็น Rosso Young Wine (ไวน์ใหม่) ซึ่งจับคู่กับอาหารได้หลากหลาย คนที่คุ้นลิ้นกับ Italian Wine จากภาคกลางและภาคใต้ อย่าง Sangiovege และ Cabernet Sauvignon  ของแคว้น Tuscany หรือ Primitivo ของแคว้น Puglia ก็อาจจะรู้สึกแปลกๆ เมื่อดื่มไวน์แดงตัวนี้ครั้งแรก จึงอยากจะขอให้เปิดใจ เพื่อเข้าใจ character ของไวน์แดงภาคเหนือดูนะครับ น้ำไวน์ขวดนี้สีแดงทับทิมเข้ม (Deep Ruby) แอลกอฮอล์กลางๆ 13.5% Body นุ่มลึก ไม่หนักเกินไป กลิ่นซับซ้อนอบอวลผลไม้ตระกูล Black Berry เจือกลิ่นรส Tannin ที่ balance ดี ยิ่งถ้าได้เปิดทิ้งไว้ก่อนเสิร์ฟสัก 1 ชั่วโมง (Decanting) กลิ่นรสจะนุ่มขึ้นอีก ไวน์ตัวนี้หวานน้อย (Dry) ดื่มได้เรื่อยๆ เข้าคู่กับเนื้อลูกวัวดีเลยของหวานปิดท้ายน่าประทับใจ เป็นเค้กผลไม้สไตล์ Liguria เรียกว่า “แพนโดลเช” (Pandolce) หรือ “เจนัวเค้ก” (Genoa Cake) เนื้อเค้กอัดตัวกันแน่น แต่ก็มีความซุยอยู่ด้านใน รสหวานอ่อนๆ มีผลไม้แห้งหลายชนิดผสมเพิ่มรสชาติและ texture ทั้งลูกเกด อัลมอนด์ เชอร์รี่ เปลือกส้ม กินคู่กับไอศกรีมวานิลลา ยิ้มได้ทุกคำที่ตักใส่ปาก

ไวน์หวาน (Dessert Wine) ที่กินคู่กับ Genoa Cake คือ Sciacchetra Cinque Terre ไวน์ชั้นเยี่ยมหายากจากปี 2006 ผลิตโดย Rosadimaggio ไร่องุ่นที่ผลิตไวน์มานานเกิน 100 ปี ในจังหวัด La Spezia ทางตะวันออกของ Liguria จัดเป็นไวน์ตัวแรกๆ ซึ่งได้รับมาตรฐาน DOC ของเขต La Spezia ผลิตโดย blend องุ่น 3 สายพันธุ์เข้าด้วยกันตามธรรมเนียม คือ Pigato, Albarola และ Bosco ถือเป็นไวน์ที่ค่อนข้างมีจำนวนจำกัด (Limited) เพราะปลูก ดูแล เก็บเกี่ยวด้วยมือล้วนๆ อีกทั้งปลูกอยู่บนผาชันริมทะเลแบบ Cliff  Vineyard ด้วย

การผลิตใช้เวลายาวนานพิเศษ โดยคัดองุ่นคุณภาพดีมาผึ่งให้แห้งอย่างช้าๆ ในที่ร่ม ไม่ใช่ผึ่งแดดจัดให้แห้งเร็ว ข้อดีของการผึ่งให้แห้งช้า คือน้ำตาลในผลองุ่นจะรวมตัวกันแน่นเข้มข้นกว่าปกติ เมื่อนำมาบ่มหมักจึงได้น้ำไวน์สีเหลืองอำพันใส (Amber Yellow) บ้างก็ว่าสีเหมือนน้ำหวานของดอกไม้ (Nectar Yellow) ส่วนกลิ่นก็มีความเฉพาะตัว มีกลิ่นน้ำผึ้งและแอปปริคอต บวกกับความหวานระดับกำลังดี กลิ่นแอลกอฮอล์ไม่ฉุนขึ้นแสบจมูก เพราะมีแอลกอฮอล์เพียง 14% จิบแล้ว รสชาตินุ่มดี Body มีความ Waxy ทิ้งความหอมหวานไว้ในปากยาวนาน  เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 18-20 องศาเซลเซียส จะอร่อยที่สุดSPECIAL THANKS
สนใจชิมไวน์ทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี และสั่งซื้อไวน์อิตาเลียนหายาก ติดต่อ Cafe’ Buongiorno Tel. 06-2494-1649 (คุณพิม)

Booking โต๊ะรับประทานอาหาร และชิม Italian Wine อย่างดีได้ที่ โทร. 02-100-6255