Taiwan 5 : สวนซากุระเมืองหลี่ซาน

สวนซากุระหลี่ซาน 2

ไต้หวันในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ผมว่างามราวสวนสวรรค์ อันนี้ไม่ได้โม้! เพราะเป็นห้วงเวลาที่ดอกไม้นานาชนิด รวมถึงดอกซากุระสายพันธุ์ต่างๆ พากันสะพรั่งบานแต่งแต้มหุบเขา ป่าไม้ และสวนสวยทั่วไต้หวัน หลายมุมถ่ายภาพมาถ้าไม่บอก ก็นึกว่าเป็นญี่ปุ่นชัดๆ! แต่ดูเหมือนว่าสวนซากุระของไต้หวันจะยังไม่ได้รับการโปรโมทมากนัก คนในประเทศเขาเลยเก็บไว้เที่ยวกันเองซะส่วนใหญ่
สวนซากุระหลี่ซาน 3

สวนซากุระเมืองหลี่ซาน (Li Shan Cherry Blossom Garden) ในจังหวัดไทจง (Taichung) ทางตอนเหนือของไต้หวัน เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนจำนวนมาก เพราะมีซากุระหลายพันต้นเบ่งบานพร้อมกัน จนแลไปเหมือนผืนพรมสีชมพู สดชื่น แถมโรแมนติกไม่น้อย

เส้นทางนี้สามารถขับรถเที่ยวเชื่อมโยง จากไทเป-สถานีรถไฟโบราณเมืองเชอเฉิน-ฟาร์มแกชิงจิ้ง-สวนซากุระหลี่ซาน ชมธรรมชาติภูเขาตระการตา และผืนป่าบริสุทธิ์ของไต้หวันได้งามจับใจสวนซากุระหลี่ซาน 4

สวนซากุระเมืองหลี่ซาน ไม่เสียค่าเข้าชม เปิดตลอดเวลา ในสวนนี้เด่นด้วยซากุระสีชมพูหวานซึ้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในพรรณพื้นเมืองของไต้หวัน มีการจัดเส้นทางปูนให้เดินชมได้สะดวก พร้อมด้วยจุดนั่งพักท่ามกลางป่าซากุระ
สวนซากุระหลี่ซาน 5

ซากุระอาบแสงยามเช้า น่ามอง
สวนซากุระหลี่ซาน 6 สวนซากุระหลี่ซาน 7

เส้นทางเดินชมซากุระท่ามกลางขุนเขาโอบล้อมรอบด้าน บรรยกาศของ เมืองหลี่ซาน (Li Shan) ช่างน่าอภิรมย์ซะจริงๆ เมืองนี้ยังได้รับฉายาว่าเป็น “หุบเขาแห่งลูกแพร์” อีกด้วยนะจ๊ะ ไปเที่ยวแล้วอย่าลืมชิมล่ะ
สวนซากุระหลี่ซาน 8

บรรยากาศหวานจ๋อย โรแมนติกซะขนาดนี้ เหมาะจะชวนคนรักของเราไปทำซึ้งกันที่สุดแล้วล่ะ
สวนซากุระหลี่ซาน 9.1

ถ่ายภาพ Pre-Wedding ที่สวนซากุระเมืองหลี่ซาน รับรองภาพออกมางดงามอลังการล้านแปด! สวนซากุระหลี่ซาน 9 สวนซากุระหลี่ซาน 10 สวนซากุระหลี่ซาน 11 สวนซากุระหลี่ซาน 12

วิธีชมดอกซากุระให้ถูกต้อง คือ ดูแต่ตา มืออย่าต้อง ปล่อยให้ความงามนั้นอยู่คู่ธรรมชาติต่อไป อย่าเด็ด อย่าทำลาย เพื่อให้คนอื่นได้ชื่นชมบ้างสวนซากุระหลี่ซาน 13

ในสวนซากุระหลี่ซาน มีซากุระสายพันธุ์ไต้หวันแท้ ที่มีสีชมพูเข้มปรี๊ด ให้ชมกันด้วย โดยแต่ละต้นจะมีขนาดดอกและสีสันเข้มอ่อนต่างกันไปตามความสมบูรณ์ ก็คงเหมือนคนเรานั่นล่ะ ที่มีหน้าตาผิวพรรณผิดแผกกันไปสวนซากุระหลี่ซาน 14 สวนซากุระหลี่ซาน 15

เพ่งพินิจกันใกล้ๆ ให้เห็น detail รายละเอียดของดอกซากุระอันบอบบาง แต่ละดอกมี 5 กลีบ พร้อมด้วยช่อเกสรตัวผู้เป็นพุ่มฟูขึ้นมาจากกลางดอก ตรงปลายมีติ่งละอองเกสรที่พร้อมจะผสมพันธุ์ โดยใช้แมลงต่างๆ มาช่วยตามธรรมชาติ
สวนซากุระหลี่ซาน 16 สวนซากุระหลี่ซาน 17Special Thanks : บริษัท Magic on Tour ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวไต้หวัน สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจ โทร. 02-444-3173, 08-9219-0822  

http://www.magic-ontours.com
logo_Magic_Final[createoutline]

Taiwan 4 : สถานีรถไฟโบราณเมืองเชอเฉิน

สถานีรถไฟ เชอเฉิน 2

ไปเที่ยวไต้หวัน ใช่ว่าจะมีแต่อาหารอร่อย แหล่งช้อปปิ้งละลานตา และเมืองใหญ่ที่สุดแสนจะ Modern ทันสมัยเท่านั้นนะประเทศนี้เขาผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก จึงมีร่องรอยของยุคอดีตให้สัมผัสเยอะอยู่ โดยเฉพาะยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และยุคที่เพิ่งเริ่มพัฒนาประเทศ

สำหรับคนที่ชอบเที่ยวแบบย้อนยุค โหยหากลิ่นอายอดีต เราขอแนะนำ “สถานีรถไฟโบราณ เมืองเชอเฉิน” (Old Train Station of Checheng) ตั้งอยู่ในจังหวัดหนานโถว (Nantou) บนภูเขาสูงสลับซับซ้อนใจกลางประเทศไต้หวัน และเป็นเขตที่ไม่มีทางออกทะเลซะด้วยครับ แต่ขอบอกว่าไปเที่ยวไม่ยาก ถ้าเช่ารถขับเองจากสนามบินไทเป ประมาณ 5 ชั่วโมงก็ถึงแล้วครับ
สถานีรถไฟ เชอเฉิน 3

สถานีรถไฟเชอเฉิน ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับอุตสาหกรรมสัมปทานทำไม้ซุง ช่วงปี ค.ศ.1919 โดยเฉพาะการตัดไม้ส่งไปขายญี่ปุ่น สถานีรถไฟแห่งนี้จึงเป็นจุดรวมไม้ซุงเพื่อส่งไปยังท่าเรือที่อยู่ไกลออกไป โดยถือเป็นสถานีแรกของทางรถไฟสาย Jiji Railway สถานีรถไฟที่สร้างด้วยไม้ซุงแห่งนี้ จึงมีชื่อว่า Jiji Train Station
สถานีรถไฟ เชอเฉิน 4ตัวสถานีรถไฟเชอเฉินเต็มไปด้วยกลิ่นอายอดีตและความน่ารัก ไม้ซุงจากบนเขาจะถูกนำมารวมไว้ในเมือง ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟ โดยนำไปแช่น้ำไว้ในทะเลสาบเล็กๆ เพื่อให้ต้นไม้ปล่อยยางไม้ออกมา นัยว่าเพื่อให้เนื้อไม้แกร่งขึ้น ก่อนใช้เครนยักษ์ 3 ตัว ขนขึ้นรถไฟไปยังท่าเรือ

สถานีรถไฟ เชอเฉิน 5

เมื่ออุตสาหกรรมสัมปทานทำไม้ซุงถูกสั่งห้ามโดยรัฐบาลไต้หวัน ในปี ค.ศ.1986 สถานีรถไฟเล็กๆ แห่งนี้ก็ซบเซาลง จนถึงปี ค.ศ.1999 เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในไต้หวัน ตัวสถานีถูกทำลายพังพินาศ แต่ก็ได้รับการบูรณะขึ้นอย่างรวดเร็ว ให้คล้ายของเดิมมากที่สุด จนกระทั่งพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดน่ารักในปัจจุบัน

ย่ิงถ้าได้ไปเที่ยวในฤดูซากุระบาน ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม บรรยากาศจะเหมือนอยู่ญี่ปุ่นยังไงยังงั้นเลยล่ะ
สถานีรถไฟ เชอเฉิน 6

ฤดูซากุระบาน รอบๆ สถานีรถไฟเชอเฉินจะงดงามจนน่าตื่นตะลึง เพราะมีสีชมพูของซากุระแต่งแต้มไปทั่ว แม้แต่นกน้อยก็ยังแวะเวียนมาดูดกินน้ำหวานจากซากุระอย่างสำราญบานใจ แต่สำหรับหนุ่มสาวหลายคู่ ที่นี่ก็เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายภาพ Pre-Wedding สุดเจ๋งล่ะครับ
สถานีรถไฟ เชอเฉิน 7

ทะเลสาบกลางเมือง ช่างเย็นตาเย็นใจ เหมาะจะชวนกันไปเดินเล่นรอบๆ ถ่ายภาพ หรือดูนกยางหลายชนิดที่พากันมาจับปลากินเป็นอาหาร ที่นี่คือเมืองเล็กๆ Slow town อันเงียบสงบ เหมาะมาพักผ่อนจริงๆ
สถานีรถไฟ เชอเฉิน 8

ด้านข้างสถานีรถไฟ ใต้ร่มไม้ใหญ่ ในช่วงกลางวันมีการแสดงสนุกๆ ให้ชมด้วยนะครับ ดูเสร็จแล้วก็อย่าลืมบริจาคเงินให้เป็นกำลังใจกับพี่เขาด้วยนะ จะได้อยู่สร้างสีสันกับสถานีรถไฟเชอเฉินไปอีกนานๆ
สถานีรถไฟ เชอเฉิน 9

ช่วงหัวค่ำ มีรถไฟขบวนน่ารักวิ่งเข้ามาเทียบชานชาลาสถานี เหมือนรถไฟการ์ตูนที่เราเคยเห็นในหนังสมัยเด็กๆ เลย
สถานีรถไฟ เชอเฉิน 10

สถานีรถไฟที่สร้างด้วยไม้แบบโบราณช่างมีเสน่ห์ในทุกแง่มุม เหมือนกับการพาตัวเองย้อนกลับไปสู่อดีต หรือทำให้เราหวนคิดถึงวันวานสมัยยังเด็กได้ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความสนุกสนานจึวอวลอยู่ทั่วไปที่เชอเฉิน
สถานีรถไฟ เชอเฉิน 11

สวยตั้งแต่เช้าจรดเย็น สถานีรถไฟโบราณเชอเฉินเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายภาพ Pre-Wedding หวานๆ จี๊ดๆสถานีรถไฟ เชอเฉิน 12 สถานีรถไฟ เชอเฉิน 13

ด้านหลังสถานีรถไฟ คือตัวเมืองเก่าเชอเฉิน ที่สร้างไล่เรียงขึ้นไปบนเนินเขาเตี้ยๆ ตัวเมืองเล็กมาก จนใช้เวลาเดินเที่ยวไม่ถึงชั่วโมงก็ทั่ว ลองชวนกันไปเดินลัดเลาะตามตรอกซอกซอย ชมภาพวาดน่ารักๆ บนผนังบ้านเก่า เล่าเรื่องอดีต
สถานีรถไฟ เชอเฉิน 14

มาถึงเชอเฉินแล้ว อาหารอร่อยที่ถือเป็น Signature ของเมืองนี้ นักท่องเที่ยวทุกคนต้องลิ้มลอง ก็คือ ข้าวเบนโตะในถังไม้แสนน่ารัก! แถมด้วยน้ำชาหอมๆ อีก 1 แก้ว แต่ถ้าใครจะซื้อน้ำแอปเปิลกับน้ำมะเน็ต (น้ำมะนาว) มาดื่มเพิ่มก็ยิ่งดี
สถานีรถไฟ เชอเฉิน 15

ข้าวในถังไม้กินได้หนึ่งอิ่มพอดีสำหรับผู้ใหญ่หนึ่งคน ราคาก็ไม่แพง แค่ถังละสองร้อยกว่าบาท เลือกหน้าได้ มีทั้งหน้าหมูซีอิ๊ว หน้าไก่ และอื่นๆ พอกินเสร็จไม่ต้องคืนถังไม้นะครับ เพราะเขาให้เรากลับบ้านเป็นที่ระลึกเลยจ้าสถานีรถไฟ เชอเฉิน 16Special Thanks : บริษัท Magic on Tour ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวไต้หวัน สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจ โทร. 02-444-3173, 08-9219-0822  

http://www.magic-ontours.com

logo_Magic_Final[createoutline]

Taiwan 3 : อุทยานแห่งชาติอาลีซาน เมื่อสวรรค์จุมพิตพื้นโลก!

อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 2.1ในบรรดาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ TOP 5 ของประเทศไต้หวัน ดูเหมือนว่า “อุทยานแห่งชาติอาลีซาน” (Alishan National Park) จะเป็นอุทยทานแห่งชาติที่โด่งดังที่สุด สวยงามที่สุด และมีนักท่องเที่ยวไปเยือนมากที่สุด! แม้แต่คนจีนแผ่นดินใหญ่เองก็ยังกล่าวว่า ในชีวิตหนึ่งต้องมาเที่ยวอาลีซานให้ได้! โดยเฉพาะในช่วงดอกไม้บาน ประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม และช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ราวๆ เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 2

ในช่วงที่อากาศอบอุ่น ประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ดอกซากุระนับไม่ถ้วนจะพร้อมใจกันเบ่งบาน ประดับพงไพรบนภูเขาสูงเกือบ 3,000 เมตร ของอาลีซาน นั่งท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศหลั่งไหลไปชมความงาม ซึ่งจะปรากฏต่อสายตาเพียงปีละครั้งเท่านั้น!อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 4

อาลีซานจึงได้รับการเปรียบเปรยให้เหมือน “สวรรค์บนพื้นพิภพ” ที่คนทั่วไปอย่างเราๆ เข้าไปสัมผัสได้จริงอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 5

ผืนป่าอาลีซาน บนความสูงกว่า 2,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นที่รู้จักมาตั้งยุคปี ค.ศ.1900 เมื่อญี่ปุ่นซึ่งปกครองไต้หวันอยู่ในขณะนั้น ได้สร้างทางรถไฟสาย Alishan Forest Railway สำเร็จในปี ค.ศ.1912 เพื่อใช้เป็นเส้นทางขนส่งไม้ซุงจากอุตสาหกรรมทำไม้ เพราะในป่าเขาสลับซับซ้อนแถบนี้ เป็นแหล่งใหญ่ที่สุดของไม้สนซีด้า และไม้สนไซเปรส ต้นใหญ่มหึมา อายุหลายพันปี! อันเป็นไม้ล้ำค่าที่ญี่ปุ่นต้องการอย่างยิ่ง
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 6

กระทั่งถึงยุคปี ค.ศ.1970 อุตสาหกรรมทำไม้ซุงในไต้หวันถูกรัฐบาลสั่งยกเลิก ผืนป่าอาลีซานจึงได้รับการอนุรักษ์ และพัฒนามาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันน่าตื่นตาตื่นใจ
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 7

ในช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ามาตัดไม้สนซีดา และสนไซเปรส ในป่าอาลีซาน ต้นไม้ยักษ์นับไม่ถ้วนถูกโค่นลง แต่ก็ดูเหมือนว่าธรรมชาติพยายามเยียวยาตัวเอง มีต้นใหม่งอกขึ้นมาจากตอของต้นแม่เดิมอย่างน่าอัศจรรย์!อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 8

การท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติอาลีซานของเรา เร่ิมขึ้นในเช้ามืดอันหนาวเย็นกว่า 12 องศาเซลเซียส ของวันหนึ่งในเดือนมีนาคม ทริปวันนี้ต้องตื่นเช้าเป็นพิเศษเพื่อรีบมาซื้อตั๋วขึ้นรถไฟโบราณ ไปยังจุดชมวิว Jhushan ซึ่งจะมองเห็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน และยอดเขาสูงที่สุดของไต้หวันได้ด้วยอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 9

เข้าคิวซื้อตั๋วรถไฟโบราณอย่างเป็นระเบียบตามนิสัยคนไต้หวัน เช้านี้นักท่องเที่ยวเยอะ เขาเลยจัดรถไฟไว้ 2 ขบวน แต่ถ้าวันไหนคนน้อย ก็อาจเหลือ 1 ขบวนเท่านั้น (สำหรับไปชมพระอาทิตย์ขึ้น) ส่วนใครที่ไม่ชอบตื่นเช้า ก็ยังมีขบวนรถไฟวิ่งขึ้นเขาตลอดวัน ทำนองว่าไปชมวิวแบบชิลๆ ไม่ต้องการแสงแรกก็ได้น่ะอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 10

รถไฟขบวนแรกออกไปแล้ว เราจึงได้ขึ้นรถไฟขบวนที่ 2 แต่ก็ยังถือว่าเช้ามาก เพราะนี่ยังไม่ 6 โมงเลยนะพวกเราอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 11

เมื่อถึงชานชาลา ก็ต้องเข้าคิวอย่างเป็นระเบียบอีกครั้งเพื่อตรวจตั๋ว
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 12

สถานีรถไฟนี้ยังอนุรักษ์บรรยากาศแบบโบราณเอาไว้ คือสร้างด้วยไม้สน แลคลาสสิกไม่เบา ส่วนการยืนเข้าคิวรอรถไฟก็ไม่ให้ยืนมั่วซั่วสะเปะสะปะ แต่มีเป็นช่องเป็นแถว เพื่อให้ผู้โดยสารขึ้นไปยังตู้โบกี้รถไฟที่กำหนดเอาไว้เลย จะได้ไม่ต้องแย่งกันให้วุ่นวาย
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 13

ตีห้าครึ่ง รถไฟขบวนที่สองก็เข้าเทียบชานชาลา วันนี้ไม่ใช่หัวรถจักรไอน้ำอย่างที่เราตั้งใจ แต่ก็ไม่เป็นไร อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 14

หัวจักรรถไฟโบราณของอาลีซาน ในอดีตเคยใช้ขนไม้ซุง ทว่าปัจจุบันเปลี่ยนหน้าที่มาขนส่งนักท่องเที่ยวแล้วจ้า
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 15

รถไฟใช้เวลาประมาณ 30 นาที วิ่งฝ่าความหนาวเย็นผ่านป่าสนมืดสลัวขึ้นไปอย่างเชื่องช้า หลายคนขอใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์ในการเล่นเกมส์ซ่อนตาดำ พักเอาแรงก่อนถึงยอดเขา ฮาฮาฮาอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 1

ในที่สุด เราก็ได้มาชมแสงแรกของอรุณเบิกฟ้า ณ จุดชมวิว Jhushan มองออกไปเห็น ยอดเขา Datashan สูง 2,663 เมตร และ ยอดเขา Yushan สูง 3,952 เมตร ซึ่งเป็นยอดเขาสูงที่สุดของไต้หวัน อาบแสงยามเช้าอย่างชัดเจน จุดนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักถ่ายภาพ ทั้งมืออาชีพและสมัครเล่น ที่จะได้ภาพอัศจรรย์ของแสงสี ที่ต่างกันทุกวันเลยล่ะ

อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 16

เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แสงสีบนท้องฟ้าจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวหลายร้อยคนที่ขึ้นรถไฟมายังยอดเขาในเช้านี้ ก็สลายตัวไปในเกือบจะทันทีเช่นกัน คงเพราะอีกไม่เกิน 10 นาที รถไฟลงเขาขบวนแรกจะออกแล้วนั่นเอง แต่ถ้าไม่รีบ ก็อยู่กินชาร้อน หรือบะหมี่ร้อนๆ สักถ้วนก่อนก็ยังได้
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 17

ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ในช่วงลงเขา หากมีโอกาสลงที่สถานีระหว่างทาง แล้วรอรถไฟขบวนต่อไปวิ่งลงมา เราก็จะได้เห็นหัวรถไฟโบราณแล่นผ่านดงต้นซากุระสีขาวแบบญี่ปุ่น ช่างน่าประทับใจเหลือเกิน มุมนี้ขอมอบใจให้ไปเลย หลงรักอาลีซานเข้าเต็มเปา!อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 18พอดูระไฟโบราณวิ่งผ่านดงซากุระเสร็จแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลาออกแรง ชวนกันเดินป่าตามเส้นทาง Giant Trees Trail เพื่อไปชมป่าสนซีด้า และสนไซเปรส อายุหลายพันปี! ระหว่างทางผ่านสะพานและมุมสวยๆ ให้เก็บภาพกันอย่างไม่รู้เบื่อ
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 19

มุมสวยๆ แจ่มๆ แบบนี้ ใช่ว่าจะมาสัมผัสกันง่ายๆ ของใช้เวลาไม่เร่งรีบ เก็บเกี่ยวความสุข ณ เวลานี้ให้เต็มที่ใน Alishan Forest Park สวนป่าที่มีซากุระเบ่งบานนับพันต้น!อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 20 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 21 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 22 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 23

ซากุระสายพันธุ์ไต้หวันแท้ มีดอกขนาดเล็ก ออกเป็นช่อละหลายดอก แต่ละดอกสีชมพูเข้มจี๊ดจ๊าด!อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 24

ซากุระสายพันธุ์ไต้หวันแท้
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 25

ใน Giant Trees Trail มีการจัดทำเส้นทางเดินเล็กๆ ลัดเลาะเข้าไปในป่าสนแน่นทึบ โดยสนที่เห็น ส่วนหนึ่งเกิดใหม่ตามธรรมชาติ ผสมกับที่ปลูกเพิ่ม ขนาดลำต้นจึงไม่ใหญ่โตมากนัก เพราะต้นสนดั้งเดิมที่มีอายุนับพันๆ ปี ได้ถูกตัดส่งไปขายให้ญี่ปุ่นหมดแล้วในอดีต ป่าสนแห่งอาลีซานจึงค่อยๆ ฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้งอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 26

ต้นสนยักษ์ของป่าอาลีซาน คือ ต้นสนไซเปรส (Cypress) ชนิด Chamaecyparis formosensis (ชื่อสามัญภาษาอังกฤษ Formosan Cypress หรือ Taiwan Cypress) เป็นชนิดที่พบได้บนเกาะไต้หวันเท่านั้น มันชอบเติบโตอยู่บนภูเขาสูง 1,000-2,900 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อากาศชุ่มชื้นเย็นฉ่ำตลอดปี ต้นที่โตเต็มที่สูงได้ถึง 55-60 เมตร! เส้นรอบวงยาวกว่า 7 เมตร! จึงถือเป็นต้นสนยักษ์ผู้ครองความเป็นใหญ่แห่งป่าอาลีซานมาช้านานอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 27

ร่องรอยจากการตัดไม้สนไซเปรสเพื่อส่งออกในอดีตยังปรากฏอยู่ทั่วไปตลอดทางเดินป่านี้ พบรากและโคนสนไซเปรสขนาดยักษ์ ชวนให้จินตนาการได้เลยว่า ต้นของมันต้องมหึมาเพียงใด!?
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 28

โคนสนไซเปรสบางต้น มีขนาดใหญ่จนเป็นโพรงคล้ายถ้ำที่คนมุดเข้าไปข้างในได้เลย! แต่ใช่ว่าพอถูกตัดแล้วต้นแม่จะตาย ด้านบนตอไม้ยังมีต้นสนใหม่ถือกำเนิดขึ้นทดแทนต้นเก่าตามธรรมชาติด้วย สู้ๆ นะต้นสนไซเปรส!
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 29

พ้นออกจากป่าสนช่วงแรก เราก็ถึงบ่อน้ำเล็กๆ แห่งหนึ่ง ชื่อ “บ่อน้องสาว” (Sister Pond) ซึ่งมีตำนานเล่าว่า พี่น้องคู่หนึ่งดันไปรักชายหนุ่มคนเดียวกัน ทั้งสองเลยมากระโดดน้ำตาย น้องสาวโดดบ่อนี้ ส่วนพี่สาวไปโดดบ่อใหญ่ ซึ่งเราจะเดินต่อไปเจอในทางข้างหน้าอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 30

นอกจากป่าสนสวยๆ แล้ว บางจุดยังมีทางเดินแยกไปวัดด้วย โดยวัดเหล่านี้บางแห่ง ญี่ปุ่นเป็นคนมาสร้างไว้ตั้งแต่ยุคสัมปทานทำไม้ซุงโน่นเลยอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 31

ถึงแล้ว “บ่อพี่สาว” คล้ายทะเลสาบสีมรกตในโอบล้อมของป่าสนและหุบเขาโดยรอบ จากฝั่งมีสะพานทอดยาวเข้าสู่ศาลากลางน้ำให้นั่งเล่นด้วยอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 32

เมื่อพ้นสระน้ำทั้งสองมาแล้ว ทางเดินในป่าสนจะค่อยๆ ลาดลงไปตามไหล่เขา กลับลงสู่ที่ราบเบื้องล่างอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 33.1

ระหว่างทาง มี ดอกแม็กโนเลีย (Manolia) สีชมพูอมม่วง และสีขาว เบ่งบานอยู่สองข้างทาง ดอกไม้ตระกูลนี้หายากในเมืองไทย เพราะเป็นดอกไม้ของเมืองหนาว คนไต้หวันและคนจีนเรียกดอกไม้ชนิดนี้ว่า “มู่หลาน”อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 33.2
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 33

ผ่านป่าสนและดงดอกแมกโนเลียออกมา เราก็พบกับวัดขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ชื่อ “วัด Shoujhen” เป็นวัดขนาดใหญ่ที่สุดในเขตอุทยานแห่งชาติอาลีซาน แถมยังเป็นวัดบนพื้นที่สูงที่สุดของไต้หวันอีกด้วย คืออยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,150 เมตรเลยทีเดียว! อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 34

ตั้งแต่ได้รับการบูรณะเมื่อปี ค.ศ.1969 วัดนี้ก็เนืองแน่นไปด้วยเหล่าผู้ศรัทธา ต่างเดินทางมากราบไหว้ขอพร จากเทพต่างๆ โดยเฉพาะเทพเจ้าแห่งความยุติธรรม (Syuantian Emperor), เทพเจ้าแห่งการค้าขาย (Fude God), เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ (Jhusheng Goddess) และอื่นๆ

อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 35 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 36.1 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 36.2

สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขี้น ณ วัด Shoujhen ก็คือ ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม ตามปฏิทินจันทรคติของทุกปี ซึ่งตรงกับงานฉลองวันเกิดของเทพแห่งความยุติธรรม (Syuantian Emperor) จะมีผีเสื้อกลางคืนขนาดใหญ่จำนวนนับพันๆ หมื่นๆ ตัว แต่ละตัวมีปีกกว้างกว่า 15 เซนติเมตร (เรียกว่า Alishan kuciouluowun Moths) บินมาเกาะอยู่ที่รูปปั้นของเหล่าเทพเจ้า เป็นเวลานานถึง 15 วัน! โดยพวกมันไม่กินอะไรเลย

สันนิษฐานกันว่า ช่วงดังกล่าวตรงกับเวลาผสมพันธุ์ของผีเสื้อกลางคืนพวกนี้ อีกทั้งมันยังถูกดึงดูดด้วยกลิ่นธูป และแสงไฟจากวัดด้วย แต่ก็ไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัด ยังเป็นความลับของธรรมชาติต่อไป!อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 36.3 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 36

ด้านข้าง วัด Shoujhen มีร้านค้าเรียงราย ใครหิวก็แวะเติมพลังก่อนได้นะ เพราะจากจุดนี้ยังต้องเดินเที่ยวป่าต่ออีก แนะนำชาร้อนๆ กับขนมต่างๆ เพิ่มน้ำตาลให้กระแสเลือดนิดนึง ฮาฮาฮาอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 37.1

เนื่องจากพื้นที่ป่าอาลีซานมีน้ำและอากาศบริสุทธิ์มาก จึงสามารถปลูกวาซาบิได้ดีไม่แพ้ญี่ปุ่น มีขายทั้งแบบหัวสด และบดเป็นผงไปผสมน้ำกิน คนที่ชอบหม่ำปลาดิบ ลองซื้อไปไม่ผิดหวังครับ
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 37

สระมรกตด้านข้าง วัด Shoujhenอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 38

จาก วัด Shoujhen ใครที่ไม่อยากเดินต่อ เขาก็มีบริการรถบัสรับส่งไปยังปากทางเข้าอุทยานด้วย
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 39

ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว ขอเที่ยวให้ครบให้ทั่วกันเลย จะได้ไม่คาใจ จาก วัด Shoujhen พวกเราเดินป่าต่อไปยังจุดที่เป็นไฮไลท์ของ Trail เส้นนี้ เพื่อชมต้นสนไซเปรสยักษ์อายุนับพันปี บางต้นส่วนตอไม้ที่ตายแล้วมีลักษณะคล้ายใบหน้าของช้าง มีครบทั้งตาสองข้าง และงวง แปลกพิลึกดี!อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 40

โคนสนไซเปรสบางต้น มีรูปร่างคล้ายหัวหมู เอ้อ… เหมือนจริงๆ ด้วย โอว! แม่เจ้าโว้ย!
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 41

โคนสนบางต้น ก็เปิดออกเป็นโพรงขนาดใหญ่คล้ายถ้ำลอด
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 42

ส่วนสนไซเปรสบางต้นที่เคยถูกตัดต้นดั้งเดิมไปแล้ว แต่มันกลับไม่ตาย พยายามต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอด โดยเกิดสนรุ่นใหม่งอกขึ้นมาบนตอเดิม อย่างต้นนี้ มีสนงอกขึ้นมาใหม่ถึง 2 ชั่วรุ่น รวมต้นแม่เดิมก็เป็น 3 รุ่น Amazing มากๆ!
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 43

ในที่สุดเราก็มาถึงต้นสนไซเปรสยักษ์อายุมากที่สุดต้นหนึ่งของอาลีซาน! ด้วยอายุกว่า 2,000-2,500 ปี ยืนตระหง่านท้าแดดลมมาเนิ่นนาน แต่ว่ากันว่าในป่าบริเวณนี้ยังมีสนอีกต้นอายุถึง 3,000 ปี ชื่อ Alishan Sacred Tree ถือเป็น 1 ใน 10 ต้นไม้อายุมากที่สุดของโลกด้วยล่ะ!
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 44

สนยักษ์แห่งอาลีซาน ต้องแหงนมองคอตั้งบ่าเลยล่ะกว่าจะเห็นส่วนยอด การถ่ายภาพก็ต้องใช้เลนส์มุมกว้างพิเศษ จึงจะเก็บภาพได้หมดทั้งต้น!อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 45 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 46

พ้นจากจุดชมต้นสนยักษ์ ไม่ไกลก็ถึงจุดสุดท้ายของเส้นทางเดินป่า เป็นสวนซากุระส่งท้ายให้ชื่นใจหายเหนื่อยอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 47 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 48 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 49 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 50.1 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 50 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 51 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 52วันนี้ตั้งแต่ตีสี่จนถึงเที่ยง เราใช้เวลาชื่นชมธรรมชาติในป่าอาลีซานกันจนเต็มอิ่ม ถึงเวลาเติมพลังให้อิ่มกายกันบ้าง กับอาหารเที่ยงมื้อใหญ่เป็นการฉลอง จากนั้นต่อด้วยการไปชิมชาเลื่องชื่อของไต้หวัน จะมีอะไรสุขกว่านี้อีกนะ ฮาฮาฮา
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 53Special Thanks บริษัท Magic on Tour ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวไต้หวัน สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจ โทร. 02-444-3173, 08-9219-0822  

http://www.magic-ontours.com

logo_Magic_Final[createoutline]

Taiwan 2 : ฟาร์มแกะชิงจิ้ง

ชิงจิ้ง ฟาร์ม 2บนทางหลวงสาย 14A (Central Cross-Island Highway) ของไต้หวัน ที่ตัดขวางข้ามจากชายฝั่งตะวันตก-ตะวันออก ผ่านไปยังภูเขาสูงสลับซับซ้อนกว่า 1,750 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล คือที่ตั้งของแหล่งท่องเที่ยวสุดฮิต สุดฮอต และรีสอร์ทบ้านพักสไตล์ Swiss Old House อันมีชื่อเสียง

ใครอยากไปยกมือขึ้น! เราจะพาไปเที่ยว “ฟาร์มแกะชิงจิ้ง” (Cingjing Farm) จ้า
ชิงจิ้ง ฟาร์ม 3

ฟาร์มแกะชิงจิ้ง ตั้งอยู่ในเขตหมู่บ้าน Datong Village จังหวัดหนานโถว (Nantou) บนภูเขาสูง อากาศเย็นสบายตลอดปี อุณหภูมิเฉลี่ย 15-23 องศาเซลเซียส ถือว่าเย็นสบายกำลังดี แถมวิวแถวนี้ก็สวยมากด้วย

ทว่าจริงๆ แล้วยุคของการพัฒนาฟาร์มชิงจิ้ง เริ่มต้นอย่างจริงจังเมื่อปี ค.ศ.1961 เมื่อนายทหารที่ไปรบจากสงครามคอมมิวนิสต์ ในแถบชายแดนไทย-พม่า-ยูนนาน กลับคืนสู่ไต้หวัน แล้วเริ่มพลิกฟื้นผืนดินตรงนี้ให้เป็นฟาร์ม
ชิงจิ้ง ฟาร์ม 4

ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ดอกซากุระของฟาร์มแกะชิงจิ้งจะเบ่งบานพร้อมกัน เห็นแล้วสดชื่นๆชิงจิ้ง ฟาร์ม 5.1 ชิงจิ้ง ฟาร์ม 5.2 ชิงจิ้ง ฟาร์ม 5.3

ในแถบฟาร์มชิงจิ้ง เต็มไปด้วยบ้านเรือนแบบ Swiss Old House ที่มองแล้วนึกว่าอยู่ในแถบเทือกเขา Swiss Alp ของยุโรปซะอีก ฮาฮาฮาชิงจิ้ง ฟาร์ม 5.4

บ้านเรือนสีสดใส ในแถบฟาร์มชิงจิ้งชิงจิ้ง ฟาร์ม 5

บริเวณทางเข้าด้านหน้าของฟาร์มแกะชิงจิ้ง สร้างจำลองปราสาทยุคกลางของยุโรปย่อส่วน
ชิงจิ้ง ฟาร์ม 6

ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ฟาร์มแกะชิงจิ้งจะสดชื่นสดใสเป็นพิเศษ ด้วยดอกซากุระสีชมพูเบ่งบานเพิ่มความงามชิงจิ้ง ฟาร์ม 7 ชิงจิ้ง ฟาร์ม 8

ว้าว! สวยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆชิงจิ้ง ฟาร์ม 9

จากฟาร์มแกะชิงจิ้ง มองออกไปรอบด้าน เห็นแนวเทือกเขาสลับซับซ้อน ในหุบเขาเบื้องล่างนั่นล่ะ ที่มีแปลงพืชผักผลไม้เมืองหนาวอยู่อย่างอุดม ทั้งแอปเปิล, ลูกพีช, ลูกแพร์, พลัม และกีวีแสนอร่อย

ชิงจิ้ง ฟาร์ม 10

ฟาร์มแกะชิงจิ้ง มีจุดถ่ายภาพเก๋ๆ หวานๆ โรแมนติก ให้ชักภาพกันได้ไม่เบื่อทั้งวัน
ชิงจิ้ง ฟาร์ม 11

บรรยากาศในฟาร์มแกะชิงจิ้ง ถ้าไม่บอกนึกว่าอยู่ในยุโรปนะฮะชิงจิ้ง ฟาร์ม 12

กังหันลมใหญ่แบบฮอลแลนด์ และแนวต้นซากุระ คือหนึ่งใน Landmark จุดถ่ายภาพยอดฮิตชิงจิ้ง ฟาร์ม 13 ชิงจิ้ง ฟาร์ม 14.1

ไม่ได้มีน้องแกะกับต้นซากุระให้ชมเท่านั้น ยังมีไอศกรีมอร่อยๆ จากนมแกะให้หม่ำกันอย่างจุใจ รสชาติหอมหวานกำลังดี ดูซิ หม่ำแล้วหน้าใส แก้วแดงเป็นสีชมพูเลยนะจ๊ะ อิอิชิงจิ้ง ฟาร์ม 14

จากจุดถ่ายภาพและดงซากุระด้านบนเขา มีทางเดินผ่านลาดเนินเขาลงมายังจุดโชว์การแสดงตัดขนแกะ แถมยังมีม้าตัวใหญ่, ม้าแคระ (Pony) ให้ขี่เล่นไปมา ใครจะซื้ออาหารมาป้อนน้องแกะแสนน่ารักก็ได้นะจ๊ะชิงจิ้ง ฟาร์ม 15ดูเอาละกัน ว่าแกะที่ฟาร์มชิงจิ้งอิสระและมีความสุขขนาดไหน เวลาหิวน้ำยังเดินมากินในก๊อกน้ำเดียวกับนักท่องเที่ยว!
ชิงจิ้ง ฟาร์ม 16

แม้แต่เด็กยังขี่ม้าเดินเล่นได้ เพราะเขามีเจ้าของม้าเดินจูงให้จ้า ไม่ต้องกลัว
ชิงจิ้ง ฟาร์ม 17

หรือจะไม่ขี่ม้า แต่ขึ้นไป post ท่าถ่ายภาพอย่างเดียว เขาก็ไม่ว่าจ้าชิงจิ้ง ฟาร์ม 18

Pony หรือม้าแคระแสนน่ารัก ตัวเตี้ยม่อต้อ เหมาะสำหรับเด็กๆ ขี่เล่นเท่านั้นจ้า ผู้ใหญ่อย่าเลย สงสารน้องม้าจ้าชิงจิ้ง ฟาร์ม 19

ความผูกพันของคนกับสัตว์ชิงจิ้ง ฟาร์ม 20

ฝูงแกะเดินหากินอย่างเสรีในทุ่งหญ้าบนเนินเขาของฟาร์มชิงจิ้ง
ชิงจิ้ง ฟาร์ม 21 ชิงจิ้ง ฟาร์ม 22 ชิงจิ้ง ฟาร์ม 23Special Thanks บริษัท Magic on Tour ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวไต้หวัน สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจ โทร. 02-444-3173, 08-9219-0822  

http://www.magic-ontours.com

logo_Magic_Final[createoutline]

Taiwan 1 : เที่ยวสวนดอกเผือก อุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน

สวนดอกเผือก 2

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ห่างจากเมืองหลวงของไต้หวัน คือเขต Taipei City ไม่ไกล จะมีพื้นที่ธรรมชาติอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งอุดมสมบูรณ์ถึงขั้นได้เป็นอุทยานแห่งชาติ คนไต้หวันและนักท่องเที่ยวต่างชาตินับแสนคนหลั่งไหลไปสัมผัสธรรมชาติกันทุกปี แน่นอน เรากำลังพูดถึง “อุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน” (Yangmingshan National Park) เป็นหนึ่งในอุทยานแห่งชาติเพียงไม่กี่แห่งของโลก ที่อยู่ใกล้เมืองหลวงมากที่สุด!

คนไต้หวันจึงตั้งชื่อเล่นนิกเนมให้หยางหมิงซานว่าเป็น “สวนหลังบ้านของไทเป” (Backyard of Taipei) ไปโดยปริยาย
สวนดอกเผือก 3

นอกจากจะเป็นเขตป่าเขาสวยงาม 4 ฤดู เที่ยวได้ทั้ง 12 เดือนแล้ว หยางหมิงซานยังมีดินอุดม จนกลายเป็นแหล่งใหญ่ของการปลูกไม้ตัดดอกส่งขาย โดยเฉพาะ “ดอกเผือก” (คนไต้หวันเรียกว่า ไฮ่ยี่) ถือเป็นไม้เศรษฐกิจของแถบนี้เลย ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างก็มีแปลงดอกเผือกของตัวเอง ส่วนหนึ่งตัดส่งขาย และอีกส่วนเปิดแปลงให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชม เก็บเงินนิดหน่อย ส่วนนักท่องเที่ยวก็สามารถเด็ดดอกเผือกกลับบ้านได้ด้วย เจ๋งไหมล่ะ?
สวนดอกเผือก 4

ดอกเผือกของหยางหมิงซาน จะบานตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม นักท่องเที่ยวเข้าไปเด็ดกลับบ้านได้ โดยจ่ายเพียงดอกละ 10 หยวนเท่านั้น เมื่อเก็บแล้ว ทางสวนจะห่อพลาสติกใสให้ถือกลับบ้านอย่างสะดวกเชียวสวนดอกเผือก 5

ก่อนเข้าชมสวน ก็ต้องดูแผนที่กันซะหน่อยสวนดอกเผือก 6

สวนดอกเผือกแต่ละแห่งมีเสน่ห์ต่างกัน แต่ที่เหมือนกันคือจะมีการปลูก 2 แบบ คือ ปลูกในน้ำ กับปลูกบนดิน เดินให้ดี อย่าเซตกลงไปในน้ำล่ะ ฮาฮาฮาสวนดอกเผือก 7

เริงร่ากับการชื่นชมและเก็บดอกเผือกกลับบ้าน เทคนิคการเด็ดคือ ต้องเด็ดตรงโคนที่ติดพื้นดินเลย จะได้ก้านยาวๆ ถือง่าย ปักแจกันง่ายครับสวนดอกเผือก 8

ดอกเผือกที่นักท่องเที่ยวเก็บเสร็จแล้ว ก็จะมี Package หน้าตาแบบนี้สวนดอกเผือก 9

สวนนี้ส่วนใหญ่ปลูกดอกเผือกในน้ำสวนดอกเผือก 10

เขตป่าเขาของอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน มีต้นซากุระกระจายอยู่ทั่วไป ทั้งแบบสีชมพูเข้ม สีชมพูอ่อน และสีขาวสะอาดตา ไม่ต้องไปญี่ปุ่นให้เสียเวลา มาเที่ยวไต้หวันได้ Feel เหมือนกันเลยครับสวนดอกเผือก 11 สวนดอกเผือก 12

แม้แต่ที่ลานจอดรถ ก่อนเข้าสวนดอกเผือก ก็ยังมีต้นซากุระให้ชมสวนดอกเผือก 13 สวนดอกเผือก 14

ดอกซากุระ มองใกล้ๆ น่ารักน่าชัง น่าถนุถนอมจังสวนดอกเผือก 15

ชมดอกเผือกแล้ว ได้กำไรอีกต่อ คือชมดอกซากุระที่เบ่งบานอยู่รอบๆ สวน ถ่ายภาพกันได้ไม่เบื่อสวนดอกเผือก 16 สวนดอกเผือก 17 สวนดอกเผือก 18 สวนดอกเผือก 19

นอกจากดอกเผือก และซากุระแล้ว ในแถบนี้ยังมีเกษตรกรปลูกดอกไม้สวยๆ ใส่กระถางขายให้นักท่องเที่ยวด้วย คนที่รักธรรมชาติ ชอบดอกไม้ พรรณไม้ ลองมาสัมผัสอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซานสักครั้ง แล้วคุณจะหลงรักที่นี่ครับ

Special Thanks : บริษัท Magic on Tour ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวไต้หวัน สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจ โทร. 02-444-3173, 08-9219-0822

http://www.magic-ontours.com

logo_Magic_Final[createoutline]

ปีนผาหามุมมองใหม่ แหลมตุ๊กตา

logo-castawayแหลมตุ๊กตา 2

การติดเกาะไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเสมอไป! เพราะถ้าเราได้ติดเกาะกับเพื่อนรู้ใจ ที่ชอบลุย ชอบผจญภัยในแนวเดียวกัน การติดเกาะก็คงสนุก มีสีสัน และได้รสชาติของชีวิตสุดๆ

เกิดมาไม่เคยติดเกาะสักที แต่คราวนี้ทาง อพท. หรือ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) ในโครงการ Castaway @Low Carbon Island 2016 เขาชวนมาติดเกาะหมาก จังหวัดตราด ทำกิจกรรมผจญภัย ทั้งพายเรือคายัค ดำน้ำดูปะการัง เดินป่าขึ้นเขา แถมยังมีภารกิจพิเศษให้ไปปีนผาหามุมมองใหม่ซะอีก ผมเลยต้องสืบเสาะดูว่า บนเกาะหมากแห่งนี้ยังมีซอกมุมไหนนะ ที่เป็น Unseen จริงๆ อยู่บ้าง!?
แหลมตุ๊กตา 3 แหลมตุ๊กตา 4

แหลมตุ๊กตา เป็นแหลมหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะหมาก จะว่าไปแล้วเป็นจุดที่อยู่ค่อนข้างโดดเดี่ยว ห่างไกลจากศูนย์กลางความเจริญของเกาะพอสมควร แหลมตุ๊กตาจึงเป็นบริเวณที่เงียบสงบ มีเพียงบังกะโลเล็กๆ ไม่กี่หลังตั้งเรียงรายอยู่ใต้ทิวมะพร้าวสูงลิ่ว
แหลมตุ๊กตา 5

ตรงส่วนด้านตะวันตกสุดของแหลมตุ๊กตา มีลักษณะเป็นหน้าผาหินขนาดใหญ่ ที่ดูๆ ไปก็สามารถปีนป่ายสำรวจหามุมมองใหม่ได้ คนซุกซนอย่างพวกเรา เลยชวนกันไปดูซิว่าจะมีอะไรซุ่มซ่อนอยู่บ้าง นอกจากวิวสวยๆ ที่สามารถมองออกไปเห็นเกาะระยั้งใน ระยั้งนอก ได้แล้วแหลมตุ๊กตา 6

จากบังกะโลที่พัก เราชวนกันเดินเลียบชายหาดเงียบสงบ เวิ้งว้าง ไปจนถึงแนวหน้าผาหิน หมอนกสาวนักเดินทางขาลุย เพื่อนร่วมทีมของเรา เป็นผู้นำการสำรวจในเช้าวันนี้ หน้าผาหินแหลมตุ๊กตาแม้จะลาดชัน แต่ก็มีซอกหลืบและแง่งหิน ให้ยึดจับสำหรับปีนป่ายได้ไม่ยาก เพียงแต่รองเท้าที่ใช้ต้องเป็นแบบหุ้มข้อ พื้นดอกยางใหญ่ และแต่งตัวให้ทะมัดทะแมง เหมาะสำหรับการปีนป่ายโดยไม่มีอะไรเกะกะ
แหลมตุ๊กตา 7

เห็นลีลาการปีนหน้าผาหินของหมอนกแล้วช่วยให้รู้สึกมั่นใจ ปีนตามไปได้อย่างไม่รู้สึกกลัวล่ะ จากด้านหน้าที่ติดทะเล เราค่อยๆ วางมือเท้าอย่างระวัง วกไปทางด้านขวา ผ่านดงต้นเตยทะเล เลาะไปจนเข้าสู่บริเวณที่เป็นร่องหลืบ ขนาบด้วยหน้าผาใหญ่สูงชันสองด้าน โดยมีร่องลึกคั่นกลาง ถ้าจะข้ามไปก็ต้องโดด หรือใครขายาวหน่อยก็อาจจะก้าวพ้น!
แหลมตุ๊กตา 8

พอปีนไต่มาสุดร่องหลืบผา เราก็ต้องตะลึง! เมื่อได้เห็นแท่งหินรูปหอคอยแหลมขนาดมหึมาตั้งตระหง่านอยู่ในทะเลตรงหน้า! มันคือประติมากรรมธรรมชาติ ที่ต้องใช้เวลานานไม่รู้เท่าไหร่ สลักเสลาด้วยคลื่นลม และแดดร้อนแรง จนผาหินสึกกร่อน ผุพัง เปลี่ยนรูปลักษณ์จนน่าอัศจรรย์ได้ขนาดนี้!
แหลมตุ๊กตา 9

เราค่อยๆ ปีนไต่ผาหินสูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ได้มุมถ่ายภาพที่กว้างและอลังการยิ่งขึ้น โดยใช้หอคอยหินยักษ์เป็นพระเอกแล้วใช้น้ำทะเลใสกับฟ้าสีครามเข้มในวันนี้ช่วยแต่งเติมองค์ประกอบให้ภาพดูมีเสน่ห์ ยามนี้เสียงน้ำทะเลที่สาดซัดเข้ามากระทบโขดหินดังซ่าๆ แล้วแตกเป็นฟองขาว ช่างมีพลัง! ทำให้มนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเราต้องยอมสยบ เพราะธรรมชาติมีพลังยิ่งใหญ่เสมอ และมีเรื่องราวให้ค้นหาไม่จบสิ้นจริงๆ
แหลมตุ๊กตา 10

การปีนไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ ตรงจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนตอนแรก! เพราะผาหินไม่ได้มั่นคงดังที่คิด หินที่เราจับหรือวางเท้าพร้อมจะแตกหรือร่วงหล่นออกมาได้ตลอดเวลา!!! เราจึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง เนื่องจากวันนี้เป็นการปีนสำรวจด้วยมือเปล่า ไม่มีอุปกรณ์พิเศษใดๆ ช่วยเลย! โดยเฉพาะก้อนหินที่จะใช้วางมือวางเท้านั้น เริ่มจะมีพื้นที่แคบลงทุกทีๆ!
แหลมตุ๊กตา 11

และแล้ว เมื่อเหงื่อพอซึมหลัง เราก็ปีนไต่ขึ้นมาจนถึงส่วนบนสุดของแหลมหินกลางทะเล ณ แหลมตุ๊กตา มองกลับไปทางด้านทิศตะวันออก เห็นแนวชายฝั่งเขียวครึ้มทอดยาวออกไป แต่ถ้ามองไปทิศอื่น ก็จะเห็นทะเล เกาะแก่ง และความงามของท้องทะเลสีคราม รวมถึงความเงียบสงบ ปราศจากสิ่งรบกวนของอารยธรรมยุคใหม่ ช่างเป็นมุมที่ให้ความรู้สึก โดดเดี่ยว เวิ้งว้าง แปลกแยก โบราณ และงดงามอย่างลึกลับ!แหลมตุ๊กตา 12

แต่ทันใดนั้น! เมื่อเราปีนต่อขึ้นไปอีกนิดเดียว บนส่วนยอดสุดของผาหินก็พบกับช่องทะลุ หรือโพรงถ้ำเล็กๆ ที่มองลอดผ่านได้สองด้าน มองออกไปเห็นเกาะระยั้งในตั้งอยู่ใกล้แค่เอื้อม นี่ถ้ามีเวลาพอ ได้กลับมาช่วงเย็นย่ำอัสดง ก็อาจจะได้เห็นพระอาทิตย์ตกลงในช่องนี้ก็เป็นได้แหลมตุ๊กตา 13 แหลมตุ๊กตา 14

หลังจากผ่านการปีนป่ายที่ค่อนข้างหวาดเสียวกันมาแล้ว ก็ได้เวลาพักผ่อน นั่งชมวิวสวยๆ แล้วแอบอิจฉาตัวเอง ที่ได้มาอยู่ในมุม Unseen แบบนี้ จะมีสักกี่คนนะที่ได้มาพบประติมากรรมธรรมชาติอันยิ่งใหญ่เหมือนเราตอนนี้?
แหลมตุ๊กตา 15

ค่อยๆ ปีนกลับลงมาจากผาหินสูง เพื่อเดินสำรวจตรงโขดหินของแหลมตุ๊กตา เราพบว่าที่นี่คืออาณาจักรใหญ่ของหอยนางรมธรรมชาติ นับหมื่นๆ ตัว เกาะฝังตัวติดอยู่กับโขดหินในระดับน้ำขึ้นน้ำลงท่วมถึง คนเกาะหมากเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนเวลาเขามาแงะหอยนางรมกิน ก็จะมีเหล็กแหลมหัวงอๆ อันหนึ่งเรียกว่า “สับปะนก” ใช้ทุบเปลือกหอย แล้วแงะเนื้อมันออกมากินสดๆ พร้อมกับยอดกฐินอ่อน บีบมะนาวลงไปนิด เขาว่าหวานอร่อย เนื้อหอยละลายในปาก ฮาฮาฮาแหลมตุ๊กตา 16 แหลมตุ๊กตา 17 แหลมตุ๊กตา 18

ในบริเวณเดียวกัน เรายังพบหอยนมสาว และหอยตาวัว เป็นจำนวนมาก เกาะอยู่กับโขดหิน ตัวใหญ่บ้างเล็กบ้าง แลน่ารักดี บ่งบอกว่าธรรมชาติของแหลมตุ๊กตายังอุดมสมบูรณ์ไม่ใช่น้อย
แหลมตุ๊กตา 19

เพลิดเพลินกับการปีนป่ายผจญภัยผาหินอยู่เกือบชั่วโมง แดดก็เริ่มร้อนจัด คงได้เวลากลับที่พักก่อนเนอะ หมอนกเลยนำเราปีนข้ามร่องน้ำ กลับเข้าไปยังแผ่นดินใหญ่ของเกาะหมากอีกครั้ง แต่อย่างที่บอกไว้แต่แรก คือต้องปีนอย่างช้าๆ ระมัดระวังมาก เพราะตอนนี้ดูเหมือนพื้นรองเท้าเราจะลื่นด้วยแหละ
แหลมตุ๊กตา 20

หมอนก สาวนักผจญภัยที่แม้หนุ่มๆ หลายคนยังต้องอายแหลมตุ๊กตา 21

ลาก่อนแหลมตุ๊กตา ความงามของเธอช่างมีเสน่ห์ตรึงใจเหลือเกิน ขอให้คนที่มาเยือนแหล่งธรรมชาติแสนบริสุทธิ์นี้ ช่วยกันปกปักรักษาสภาพดั้งเดิมไว้

“เราจะไม่ทิ้งอะไรไว้นอกจากรอยเท้า เราจะไม่เก็บอะไรไปนอกจากความทรงจำดีๆ และภาพถ่ายสวยๆ” 

บ้ายบาย…logo รวมขอขอบคุณ : อพท. หรือ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) และพี่น้องชาวเกาะหมากที่น่ารักทุกท่าน ที่ร่วมมือ ร่วแรงร่วมใจสร้างสรรค์กิจกรรมดีๆ นี้ขึ้น สอบถามโทร. 0-2357-3580-402Nikon logo 1Special Thanks : บริษัท Nikon Sales (Thailand) Co., Ltd. สนับสนุนกล้องถ่ายภาพระดับมืออาชีพ D4 และกล้องถ่ายภาพใต้น้ำ AW130 เพื่อการเก็บภาพสวยๆ เหล่านี้มาฝากเพื่อนๆ ทุกคน สนใจสอบถาม โทร. 0-2633-5100

https://goo.gl/GeqdbB

#LowcarbonAtkohmak #CastawayAtkohmak #ติดเกาะโลว์คาร์บอน

พิชิตเขาแผนที่ จุดสูงสุดเกาะหมาก!

เกาะหมาก 2เขาแผนที่ 2

คุณเชื่อหรือไม่ว่า จริงๆ แล้วธรรมชาตินั้นอยู่รอบๆ ตัวเรา ทว่าบางครั้งเรากลับไม่ได้สังเกต เพราะเรามัวแต่ไปสนใจกับสิ่งอื่นอยู่ และหลายครั้งที่เราทำตัวเหินห่างจากธรรมชาติเหลือเกิน จนถูกเทคโนโลยีความทันสมัย บดบังสายตา คล้ายกับว่าเราอยู่แยกออกจากธรรมชาติโดยสิ้นเชิง!

ผมเป็นคนหนึ่งที่เกิด โต และทำงานอยู่ในเมือง แต่โชคดีที่ได้ท่องเที่ยวพบเห็นธรรมชาติอยู่บ่อยครั้ง หากไม่ได้ไปสัมผัสธรรมชาติเลย ก็จะรู้สึกว่าชีวิตเหี่ยวเฉา ไม่มีสีสันเสียนี่กระไร!
เขาแผนที่ 3.1

โชคดี ได้มาเที่ยว “เกาะหมาก” จังหวัดตราด กับ อพท. หรือ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) ในโครงการ Castaway @Low Carbon Island 2016 นี่คือโอกาสสำคัญ ที่ผมจะได้สัมผัสเกาะหมากในแง่มุมที่คนทั่วไปไม่ค่อยได้รับรู้!

เพราะผมกำลังจะได้เดินป่าขึ้นไป พิชิตยอดเขาสูงสุดของเกาะหมาก ณ “เขาแผนที่” นั่นเอง
เขาแผนที่ 3

แต่ภารกิจเดินป่าพิชิตเขาแผนที่ (หรือที่ชาวบ้านเรียกกันอีกชื่อว่า เขาบ้านแหลม) ของผม จริงๆ แล้วเป็นมากกว่าการเดินป่าธรรมดา! เพราะคราวนี้เราจะเพิ่มคุณค่าให้กับการท่องธรรมชาติ โดยทีมของเราจะเดินขึ้นภูเขาไปช่วยกันทำแผนที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติอย่างคร่าวๆ เพื่อให้นักท่องไพรคนอื่นได้มาเดินตามรอย

ทริปนี้ไม่เปลี่ยวเหงาแน่นอน เพราะได้ คุณหมอนก นักเดินป่าขาลุย ผู้ไม่เคยกลัวความยากลำบาก จากเว็บไซต์เพื่อนนักสะพายเป้ มาเป็นเพื่อนร่วมทีม แถมยังมีน้องพริกผู้ช่วยประสานงาน และหนุ่มแบงค์ไกด์ในพื้นที่ มาช่วยนำทางด้วย ชักจะสนุกแล้วสิเขาแผนที่ 4

จุดเริ่มต้นเดินป่าขึ้นเขาแผนที่ อยู่ใกล้กับแหลมตุ๊กตา ทางด้านปลายตะวันตกสุดของเกาะหมาก จริงๆ แล้วจุดนี้ถือเป็นป่าบริสุทธิ์แบบดั้งเดิม หรือ Virgin Forest ผืนสุดท้ายของเกาะหมาก (เนื้อที่ประมาณ 500 ไร่ จากเนื้อที่เกาะหมากทั้งหมด 9,000 ไร่) บริเวณเชิงเขาเป็นป่าดิบแล้งร่มครึ้ม ปกคลุมด้วยไม้พุ่มและพืชคลุมดินหลายชนิด อย่างดอกโคลงเคลงสีชมพู ซึ่งออกดอกให้ชมกันตลอดปี
เขาแผนที่ 5.1

ทางเดินช่วงแรกของเขาแผนที่ค่อนข้างชัน พื้นทางเป็นหินก้อนใหญ่ๆ คล้ายเราเดินย้อนขึ้นไปตามร่องน้ำ จุดนี้จึงร่มครึ้มและมีความชื้นสูง เราพบ เฟินสามร้อยยอด (Lycopodium) ขึ้นอยู่เป็นดงใหญ่ พวกมันเป็นเฟินโบราณ ที่มีรูปร่างหน้าตาเปลี่ยนแปลงไปน้อยมากนับแต่อดีต และช่วยดูดซับความชุ่มชื้นไว้ให้ผืนป่าได้เป็นอย่างดี
เขาแผนที่ 5.2

ในบริเวณเดียวกับที่พบเฟินสามร้อยยอด เรายังจ๊ะเอ๋กับ เฟินก้างปลา ซึ่งมีแผ่นใบสวยงาม แตกออกเป็นหยักถี่ๆ เสมอกัน ไล่เรียงตั้งแต่ปลายไปจนถึงโคนใบอย่างมีระเบียบ นี่ก็เป็นพืชคลุมดินที่ช่วยเก็บความชื้นได้ยอดเยี่ยมเช่นกัน
เขาแผนที่ 5

ตรงตีนเขาแผนที่ในฤดูฝน จะมี ดอกพุดป่าสีขาว เป็นพุ่มบานอยู่จำนวนมาก ช่วยเพิ่มชีวิตชีวาให้ผืนป่า แม้จะเป็นดอกไม้ที่ไม่มีกลิ่นหอม แต่ก็เป็นหนึ่งในความหลากหลายของพรรณพืชที่ธรรมชาติมอบให้คนเกาะหมากเป็นของขวัญเขาแผนที่ 6.1

จากเชิงเขา เดินเลาะร่องน้ำขึ้นมาไม่นาน เราก็เลี้ยวซ้ายผ่านป่าร่มครึ้ม จนไต่สูงขึ้นทีละน้อยๆ สภาพป่าจึงโปร่งขึ้นต้นไม้มีขนาดเล็กลง และกระจายห่างกัน แสดงให้รู้ว่าชั้นดินบริเวณนี้ค่อนข้างตื้น มีธาตุอาหารน้อยลง และเริ่มมีหินโผล่บนผิวดินมากขึ้น เผยถึงลักษณะของป่าบนเกาะ ที่มักต้องทนร้อน แล้ง และลมแรงจากทะเล

พืชที่น่าสนใจชนิดแรกที่เราจัดให้เป็น จุดศึกษาธรรมชาติที่ 1 ก็คือ ต้นจิก (Barringtonia sp.) เขาแผนที่ 6.2

เดินถัดจากจุดแรกมาไม่ไกล ก็ถึง จุดศึกษาธรรมชาติที่ 2 คือ ต้นยมหิน (Chukrasia tabularis) พืชที่มักพบตามภูเขาหิน หรือป่าเกาะที่ค่อนข้างแห้งแล้ง
เขาแผนที่ 6.3

พืชที่น่าสนใจอีกชนิดในป่าตีนเขาก็คือ เฟินกระแตไต่ไม้ (Drynaria quercifolia) หรือ Oak-leaf Fern จัดเป็นเฟินอิงอาศัยขนาดใหญ่ ที่สามารถขึ้นอยู่บนต้นไม้หรือบนหินก็ได้ พวกมันมีชีวิตทรหดอดทน มีเหง้าหรือหัวกลมๆ พร้อมรากยึดเกาะตัวเองเข้ากับเจ้าบ้าน อาหารก็มีใบสังเคราะห์แสง รวมทั้งดูดซับไนโตรเจนจากอากาศ และดูดกินธาตุอาหารบางส่วนจากพืชเจ้าบ้าน เฟินกระแตไต่ไม้จะค่อยๆ เติบโตขยายขนาด และเพิ่มจำนวน คืบคลานขึ้นไปอย่างช้าๆ จนได้ฉายาว่า “กระแตไต่ไม้” ในที่สุด
เขาแผนที่ 6

เดินมาได้ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เราก็ถึง หน้าผาชมวิวแรกบนเขาแผนที่ เป็นหน้าผาหินโล่งๆ ขนาดใหญ่ หันหน้าออกไปทางทิศตะวันตก ขอบอกว่าตอนกลางวันจะร้อนจัด ถ้าให้ดีควรขึ้นมาเที่ยวตอนเช้าหรือบ่ายๆ แดดร่มลมตก จะดีที่สุด

เราขอนั่งพักชื่นชมวิวสวยๆ จากมุมสูงกันตรงนี้สักระยะ หายใจหายคอพอให้หายเหนื่อย มองออกไปเห็นเกาะระยั้งใน เกาะระยั้งนอก และแหลมตุ๊กตา ทอดตัวอยู่อย่างนิ่งสงบ ทำให้รู้สึกว่า ณ บัดนี้ มีตัวเรากับธรรมชาติเพียงลำพัง ความเจริญแบบเมืองๆ อื่นใด ไม่สามารถเข้ามากร้ำกรายเราได้อีกแล้ว ช่างหามุมสงบแบบนี้ยากจริงๆ
เขาแผนที่ 7

เขาแผนที่ช่างงามเหลือเกิน!เขาแผนที่ 8

ตรงหน้าผาชมวิวแรกบนเขาแผนที่ มีศาลศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ด้วย ชาวบ้านในบริเวณนี้ รวมถึงคนเรือที่ออกทะเล ก็มักจะส่งใจขึ้นมาสักการะท่าน ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย เราก็เช่นกัน วันนี้ได้ขึ้นมากราบไหว้ขอพรท่าน ให้ช่วยคุ้มครอง และให้งานทุกอย่างของเราสำเร็จด้วยดี ด้วยเถิด เจ้าประคุณ…
เขาแผนที่ 9

เนื่องจากวันนี้เราเดินขึ้นเขากันแต่เช้า จึงมีเวลาสำรวจพรรณไม้ค่อนข้างเยอะ บริเวณหน้าผาชมวิวแรก เราพบ ดอกช้างน้าว (Ochna integerrima) สีเหลืองสดใส เป็นพืชทนแล้งชนิดหนึ่งที่ต้องเข้าป่าเท่านั้นจึงจะได้เห็น เราจึงจัดให้ช้างน้าว เป็น จุดศึกษาธรรมชาติที่ 3เขาแผนที่ 10

ส่วน จุดศึกษาธรรมชาติท่ี 4 อยู่ตรงข้ามกับต้นช้างน้าวเลย กำลังผลิดอกสะพรั่งจำนวนมาก มันคือ ดอกเข็มป่าสีขาว (Ixora sp.) ซึ่งเรายังไม่ทราบชนิดแน่นอน คงต้องรอนักพฤกษศาสตร์ตัวจริงมาช่วยจำแนกชนิดต่อไป
เขาแผนที่ 11

นอกจากการ Plot จุดศึกษาธรรมชาติ จากเชิงเขาขึ้นสู่ยอดเขาของทีมเราแล้ว สิ่งที่เราตั้งใจทำอีกอย่างคือ การวัดระยะรวมของเส้นทางเดิน ว่ารวมแล้วยาวกี่เมตร? รวมถึงระยะห่างระหว่างจุดศึกษาธรรมชาติแต่ละจุดด้วย เพื่อจะได้ใช้ทำหนังสือคู่มือ แผ่นป้าย หรือโบรชัวร์ แจกคนที่สนใจศึกษาเส้นทางสายนี้ต่อไปในอนาคตครับ
เขาแผนที่ 12พักตรงหน้าผาชมวิวที่ 1 กันจนเรี่ยวแรงกลับมาอีกครั้ง ก็เริ่มเดินศึกษาธรรมชาติต่อ หนทางช่วงถัดไปยังชันอยู่ แต่น้อยกว่าช่วงแรก พื้นทางยังเป็นหินสลับกับดินขรุขระ เดินต้องคอยระวังสะดุดล้มอยู่ตลอดเวลา ป่าสองฝั่งค่อนข้างโปร่ง มีแต่ต้นไม้เตี้ย แคระแกรน บ่งบอกถึงสภาพอากาศร้อนแรงและธาตุอาหารในดินที่ไม่ค่อยบริบูรณ์นัก

จุดศึกษาธรรมชาติที่ 5 คือ กล้วยไม้อิงอาศัย (Epiphytic Orchid) หรือเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ กล้วยไม้ที่เกาะอยู่ตามต้นไม้นั่นล่ะครับ เจ้าพวกนี้ถือว่าเป็นพืชที่มีความอดทนสูง เพราะต้องดูดไนโตรเจนจากอากาศมาเป็นอาหาร ความชื้นก็ได้จากน้ำค้างหรือตามเปลือกไม้ แถมยังต้องสร้างรากยึดเกาะอันเหนียวแน่น รวมถึงใช้ความพยายามเลื้อยพันตัวเองเข้ากับลำต้นไม้ด้วย แต่ที่ยากกว่า คือกว่ามันจะเติบโตขึ้นได้ เมล็ดกล้วยไม้พวกนี้ต้องปลิวมาตามลม มาตกลงยังจุดที่มีปัจจัยเติบโตทุกอย่างลงตัว เหมาะเหม็งจริงๆ ไม่งั้นเมล็ดก็จะเหี่ยวเฉาตายไป
เขาแผนที่ 13

จุดศึกษาธรรมชาติที่ 6 เราพบพืชประหลาดที่เรียกว่า จุกโรหินี หรือโกฐพุงปลา (Dischidia major) ชื่อสามัญภาษาอังกฤษคือ Milkweed เพราะมันจะมีน้ำยางขาวอยู่ภายในนั่นเอง บางคนคิดว่าจุกโรหินีคือกล้วยไม้ที่เหี่ยวเฉาตายแล้ว ทว่านั่นคือความเข้าใจผิด เพราะจริงๆ แล้วจุกโรหินีคือพืชใกล้ชิดกับ Hoya (นมตำเลีย)

จุกโรหินี เป็นไม้เลื้อยอิงอาศัย มีน้ำยางขาวคล้ายน้ำนม ยาพื้นบ้านใช้ ทั้งต้น ต้มน้ำดื่ม แก้ปวดท้อง เนื่องจากโรคกระเพาะอาหารอักเสบ รากแก้ท้องเสีย แก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง แก้หอบหืดได้เขาแผนที่ 14

เดินขึ้นมาใกล้ถึงยอดเขาเต็มที ป่าโปร่งขึ้นเรื่อยๆ แดดก็ร้อนจัด แต่ทีมเราไม่หวั่น ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าต่อไป จุดศึกษาธรรมชาติที่ 7 คือ หัวร้อยรู (Hydnophytum formicarium) เป็นพืชอิงอาศัยที่ขึ้นอยู่บนคาคบไม้สูง เกาะอยู่บนต้นไม้อื่น เมื่อโตเต็มที่มันจะมีขนาดเท่าลูกมะพร้าวใหญ่ๆ เลยทีเดียว โดยเราจะพบมันได้ในป่าที่ค่อนข้างแห้งแล้งเขาแผนที่ 15

หัวร้อยรู จัดเป็นพืชที่อยู่ร่วมกับมด (Myrmecophyte) ชนิดหนึ่ง ถ้าผ่าออกดู มักมีมดดำอาศัยอยู่เต็มหัว โดยเนื้อภายในจะนิ่มๆ เป็นสีน้ำตาลไหม้ เมื่อจะนำมาใช้ทำยาสมุนไพร ต้องแช่น้ำทิ้งไว้จนกว่ามดจะออกไปหมดก่อน ความสัมพันธ์ของมดและหัวร้อยรู ที่อยู่ด้วยกันแบบพึ่งพา มีศัพท์เทคนิคทางวิชาการเรียกว่า Symbiosis หรือ Mutualism นั่นเองเขาแผนที่ 16

ในตำรายาไทย หัวร้อยรูอยู่ใน “พิกัดมหากาฬทั้ง 5” ใช้ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้พิษอักเสบ ช้ำบวม แก้พิษไข้ ไข้กาฬ ประดงผื่นคัน น้ำเหลืองเสีย ส่วนหัวของหัวร้อยรูเองมีฤทธิ์บำรุงหัวใจ ขับพยาธิ แก้พิษในข้อในกระดูก แก้พิษประดง แก้ข้อเข่าข้อเท้าบวม เขาแผนที่ 17

ระหว่างทางพบดอกไม้ป่าชนิดหนึ่งกำลังบานพอดี แต่เสียดายไม่รู้จักชื่อ คงจะต้องเก็บไว้เป็นการบ้านที่เราต้องค้นหาคำตอบต่อไป นี่ล่ะคือเสน่ห์อย่างหนึ่งของการล่องไพร มันจะตั้งคำถามใหม่ๆ ให้เราหาคำตอบอยู่ตลอดเวลา จึงสอนให้เราเป็นคนกระตือรือล้น ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคเล็กหรือใหญ่ที่ขวางอยู่เขาแผนที่ 18

จุดศึกษาธรรมชาติที่ 8 คือ มอสและไลเคน (Moss and Lichen) จุดนี้สอนเราให้รู้จักความสำคัญของพืชจิ๋วที่อยู่รอบข้าง เพื่อให้เราหยุด แล้วก้มมองลงไปยังก้อนหิน หรือเปลือกไม้รอบๆ ตัวบ้าง เพราะสิ่งที่อยู่ระหว่างการเดินทาง ย่อมน่าสนใจไม่แพ้จุดหมายปลายทางสุดท้ายนะครับ

ความสำคัญของพืชจิ๋วพวกมอสและไลเคน นอกจากจะเป็นพืชเล็กๆ ที่ช่วยดูดซับน้ำไว้สร้างความชุ่มชื้นให้ป่าแล้ว พวกมันยังเป็นดัชนีบ่งชี้คุณภาพอากาศได้ด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าเราพบมอสเขียวๆ ขึ้นปกคลุมก้อนหิน ก็แสดงว่าบริเวณนั้นชุ่มชื้นเย็นฉ่ำดี และถ้าบริเวณใดพบไลเคนมากๆ โดยเฉพาะไลเคนแบบใบและเส้น ก็แสดงว่าอากาศบริสุทธิ์มากเขาแผนที่ 19

ในบริเวณนี้ เรายังพบพืชชั้นต่ำที่ไม่มีท่อลำเลียงจำพวกหนึ่ง ขึ้นปะปนอยู่กับมอสและไลเคนด้วย คือ ลิเวอร์เวิร์ตแผ่นแบน (Thallose Liverwort) พืชพวกลิเวอร์เวิร์ตนี้ จริงๆ แล้วคือพืชจำพวกแรกๆ ของโลก ที่ปรับตัวขึ้นจากน้ำทะเลมาอยู่บนบกเมื่อประมาณ 400 ล้านปีก่อน โดยมันมีบรรพบุรุษร่วมกับสาหร่ายนั่นเองเขาแผนที่ 20

ไลเคนแบบแผ่น (หรือแบบด่างดวง) ขึ้นปกคลุมเปลือกไม้บนเขาแผนที่ จริงๆ แล้วไลเคน (Lichen) คือพืชมหัศจรรย์! มันคือการรวมตัวของสาหร่ายและเชื้อรา ที่มาอยู่ร่วมกัน โดยสาหร่ายช่วยสังเคราะห์แสงสร้างอาหาร ส่วนเชื้อราสามารถขยายตัวเพิ่มจำนวนได้รวดเร็ว นับเป็นการพึ่งพิงพึ่งพาได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายที่น่าเอาตัวอย่างจริงๆ นะครับเขาแผนที่ 21

คุณหมอนก เก็บภาพไลเคนบนเปลือกต้นไม้อย่างตั้งอกตั้งใจ
เขาแผนที่ 22

เมื่อเพ่งพินิจดูใกล้ๆ มอสที่เคยดูเหี่ยวเฉาในฤดูแล้ง เมื่อได้รับน้ำฝนก็จะกลับฟูขึ้น และดูสดใสเขียวสดอีกครั้ง เพราะจริงๆ แล้วมอสสามารถกักเก็บน้ำได้มากว่าน้ำหนักตัวเองหลายเท่า ถือเป็นพืชพื้นฐานที่ช่วยดูดซับน้ำไว้ให้ป่า แล้วสามารถทยอยปล่อยออกมารวมตัวกันเป็นห้วยธารได้อย่างน่าอัศจรรย์!
เขาแผนที่ 23ในบริเวณ จุดศึกษาธรรมชาติที่ 9 เส้นทางจะค่อนข้างคดโค้งจนใกล้ไปถึงยอดเขา ผ่านป่าร่มครึ้มอีกหย่อมหนึ่ง มันคือ “ป่ากะพ้อ” หรือ “ป่าต้นพ้อเขา” (Licuala sp.) พืชพวกนี้จัดอยู่ในตระกูลปาล์มจีบ แผ่นใบมีขนาดใหญ่ ปลายใบแตกเป็นแฉกซี่ย่อยๆ เรียงตัวกันเหมือนพัดกลมๆ โดยก้านใบของมันจะแตกขึ้นมาตั้งแต่โคนต้น และก้านใบมักมีความคมมากด้วย ต้องระวังอย่าไปจับต้องโดยไม่จำเป็น แถมบางชนิดก้านใบยังมีหนามแหลมอีกต่างหาก!
เขาแผนที่ 24

ใบของต้นพ้อเขา หรือกะพ้อเขาเขาแผนที่ 25.1

ในเมื่อใกล้จะถึงยอดเขาเต็มทน และอากาศยามบ่ายก็ร้อนสุดๆ เราเลยถือโอกาสพักเอาแรง ขนมและน้ำที่เตรียมมาช่วยเพิ่มน้ำตาลในกระแสเลือดอีกครั้ง ทั้งหมอนก, น้องพริก, นายแบงค์กับน้องสาวตัวน้อย ที่ขึ้นมาช่วยเรา ต่างก็มีความสุขแบบเรียบง่าย ยามใช้ชีวิตอยู่ติดดินกับธรรมชาติบนเขาแผนที่เขาแผนที่ 25

พ้นจากดงกะพ้อออกมา ทางเดินจะผ่านจอมปลวกใหญ่ อย่าไปทำร้ายเขานะ ให้เราเดินหลบไป เคารพธรรมชาติด้วย เพราะแท้จริงแล้ว จอมปลวกคือคอนโดมิเนียมขนาดยักษ์ใต้ดิน ของแมลงที่ช่วยย่อยสลายเศษซากอินทรีย์วัตถุในป่า ให้ธาตุอาหารกลับคืนสู่ระบบนิเวศน์อีกครั้งเขาแผนที่ 26

จุดศึกษาธรรมชาติที่ 10 ซึ่งถือเป็นจุดสุดท้ายของ Nature Trail เขาแผนที่ ที่ทีมของเราช่วยกันทำก็คือ “กล้วยไม้บนหิน” (Lithophytic Orchid) ลองมาเรียนรู้วิถีชีวิตของก้อนหินก้อนหนึ่ง ที่ถูกกล้วยไม้หลายชนิดขึ้นปกคลุมหนาแน่น ราวกับสวนหินแสนสวย นี่ถ้าได้มาพบตอนมันกำลังออกดอก คงวิเศษมากเลยนะเขาแผนที่ 27

กล้วยไม้บนหิน จริงๆ แล้วถือเป็นกล้วยไม้อิงอาศัยจำพวกหนึ่ง มันต้องปรับตัวเอาชีวิตรอดอยู่ในสภาพแวดล้อมอันขาดแคลน คือแทบจะไม่มีพื้นดิน ในภาพนี้จะเห็นว่ามันอาศัยอยู่บนกอของมอสที่พอกักเก็บความชื้นไว้ได้บ้าง แถมยังมีรากยึดเกาะเหนียวแน่น มีรากอากาศดูดไนโตรเจนจากอากาศ และต้องทนแล้ง ทนร้อน ทนไอเค็มจากทะเล และทนทานต่ออุณหภูมิของกลางวัน กลางคืน ที่ต่างกันหลายองศาเซลเซียส ทุกวันๆ ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน!
เขาแผนที่ 28.1ภารกิจเดินป่าทำเส้นทางศึกษาธรรมชาติของทีมเรา เสร็จสิ้นลงในยามบ่ายแก่ แต่ช่วงฤดูนี้แดดยังร้อนแรง เราเลยแยกย้ายกันนอนพักเอาแรง มุมใครมุมมัน ชีวิตติดดินแบบนี้ มีความสุขจริงๆ เลย เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม ฮาฮาฮา
เขาแผนที่ 28.2

หมดสภาพเมื่อเจออากาศร้อน! ขอพักนิดนึง เดี๋ยวตอนเย็นค่อยออกไปหามุมสวยๆ บนยอดเขาเก็บภาพพระอาทิตย์ตก
เขาแผนที่ 28

นี่ล่ะครับ หน้าตาของยอดเขาแผนที่ (เขาบ้านแหลม) เกาะหมาก จังหวัดตราด นี่คือจุดสูงที่สุดของเกาะหมาก ความสูงประมาณ 110 เมตร จากระดับน้ำทะเลเบื้องล่าง บนเขามีแต่ไม้พุ่มกับไม้ยืนต้นเตี้ยๆ พื้นเป็นหินระเกะระกะ

เขาแผนที่ 29.1

ทั้งอุปกรณ์ถ่ายภาพ อาหาร น้ำ และเครื่องนอน แบกขนกันขึ้นมาสำหรับค่ำคืนอันแสนพิเศษบนเขาแผนที่ คุณหมอนกเตรียมตัวถ่ายภาพแล้ว เอ… จะมีนกบินมาให้รัวชัตเตอร์บ้างไหมนะ?
เขาแผนที่ 29

หมอนกคนสวยสาวอึด เริ่มเก็บภาพธรรมชาติบนยอดเขาแผนที่เขาแผนที่ 30

มองจากไกลๆ นึกว่านกอินทรีย์หรือเหยี่ยว แต่พอใช้เลนส์ 600 มิลลิเมตรส่องดู มันก็คืออีกาดีๆ นี่เองครับเขาแผนที่ 32

จากยอดเขาแผนที่ มองลงมาเบื้องล่างจะเห็นเรือสปีตโบ๊ท และเรือประมงของชาวบ้าน แล่นผ่านไปมาเกือบตลอดวัน
เขาแผนที่ 33

เย็นย่ำใกล้ค่ำลงทุกที แสงอาทิตย์ที่เคยร้อนรุ่มมาตลอดวัน บัดนี้เริ่มอ่อนแรงลงทุกขณะ เปลี่ยนอุณหภูมิสีแสงให้กลายเป็นเฉดสีเหลือง ส้ม ชมพู และม่วง อย่างน่าประทับใจ ถือเป็นช่วงเวลาทองของช่างภาพ มุมใครมุมมันล่ะครับ!เขาแผนที่ 34 เขาแผนที่ 35 เขาแผนที่ 36 เขาแผนที่ 37 เขาแผนที่ 38

แสงสุดท้ายบนยอดเขาแผนที่ เราจะไม่มีวันลืมเลย
เขาแผนที่ 39

แคมป์แบบง่ายๆ ของเรา 3 คน ปูผ้าใบรองพื้น มีฟลายชีทขึงกันน้ำค้าง กินกันตรงนี้ นั่งคุยกันตรงนี้ และนอนกันตรงนี้ ใครหุงข้าวด้วยหม้อสนามเป็นมั่ง ยกมือด่วน!!!เขาแผนที่ 40

มื้อนี้กินกันแบบง่ายๆ เนอะเรา อาหารแบบป่าๆ กินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกินเนอะ ฮาฮาฮา
เขาแผนที่ 41 เขาแผนที่ 42

น้องพริก ขอแสดงฝีมือหุงข้าว ผลออกมาคืออร่อยจริงๆ ด้วย นุ่มหอมกำลังดี ไม่มีแฉะ ไม่มีไหม้เลย เก่งสุดๆ น้องพี่เขาแผนที่ 43

มืดแล้ว เสียงหรีดเรไรดังระงม ผสานกับเสียงนกตบยุง (Nightjar) ที่ร้องเป็นจังหวะดัง “จุ้ง จุ้ง จุ้ง…” อยู่ไม่ห่างแคมป์ของเรานี่เอง บรรยากาศคลาสสิกสุดๆ ยากจะบรรยายเป็นตัวอักษรได้!
เขาแผนที่ 44

ท้องร้องจ๊อกๆ หิวๆๆๆ เหนื่อยกันมาทั้งวัน ได้เวลาหม่ำข้าวเติมแรง ไข่ต้ม กุนเชียงทอด น้ำพริกเผา และหอยลายผัดเผ็ด กินกับข้าวสวยร้อนๆ ใครจะลืมอาหารมื้อนี้ลงล่ะจ๊ะ!เขาแผนที่ 45

อิ่มแล้วเอนกายนอนพักผ่อนกายา ชีวิตกลางป่ายามค่ำคืนดูเผินๆ อาจเหงา แต่ไม่ใช่ เพราะเรามีมิตรภาพของเพื่อนที่นอนอยู่เคียงข้าง มีเสียงแมลงและยุงร้องขับกล่อมเหมือนเพลงไพเราะ ผสานกับเสียงลมทะเลที่พัดตึงตอนหัวค่ำ จนผ้าใบตีผึบผับ ถ้ายังไม่หลับ แสงไฟดวงน้อยจะช่วยให้อุ่นใจ นอนพูดคุยกันไปอย่างสนุกเฮฮา
เขาแผนที่ 46

ดึกสงัด ลมนิ่งสนิท อากาศบนเขาเริ่มร้อนอบอ้าว ตามมาด้วยเสียงยุงร้องวี้ๆ อยู่รอบตัว! แถมยังมีค้างคาวแม่ไก่ตัวเบ้อเริ่ม บินผ่านไปมาอยู่เหนือหัว ชวนให้ขนลุกตลอดคืน

หนึ่งราตรีบนเขาแผนที่ท่ามกลางคืนพระจันทร์เต็มดวง เป็นค่ำคืนแห่งความพิเศษในหมู่มิตร ที่เราจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต ขอขอบคุณธรรมชาติ หรืออะไรก็ตามท่ีนำเรามาพบกัน
เขาแผนที่ 47 เขาแผนที่ 48

นี่คือแผนที่เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติเขาแผนที่ ระยะทาง 340 เมตร มีจุดแวะศึกษาธรรมชาติ รวม 10 จุด ซึ่งเราขอท้าให้คุณมาสัมผัสด้วยตัวเอง นี่คือหนึ่งในตัวแทนความอุดมของเกาะหมาก จังหวัดตราด เกาะเงียบสงบแสนงาม ที่ผมเดินทางมาเพื่อจะ “หลงรัก” และหวังว่าคุณก็จะหลงรักด้วยเช่นกัน
logo รวมขอขอบคุณ : อพท. หรือ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) และพี่น้องชาวเกาะหมากที่น่ารักทุกท่าน ที่ร่วมมือ ร่วแรงร่วมใจสร้างสรรค์กิจกรรมดีๆ นี้ขึ้น สอบถามโทร. 0-2357-3580-402
Nikon logo 1Special Thanks : บริษัท Nikon Sales (Thailand) Co., Ltd. สนับสนุนกล้องถ่ายภาพระดับมืออาชีพ D4 และกล้องถ่ายภาพใต้น้ำ AW130 เพื่อการเก็บภาพสวยๆ เหล่านี้มาฝากเพื่อนๆ ทุกคน สนใจสอบถาม โทร. 0-2633-5100

https://goo.gl/GeqdbB

#LowcarbonAtkohmak #CastawayAtkohmak #ติดเกาะโลว์คาร์บอน

ภารกิจตามหาหญ้าทะเล ฮาเฮ เกาะหมาก จ.ตราด

logo-castawayอ่าวผ่อง 2

เคยมีคนกล่าวไว้ว่า ตราดคือเมืองเกาะครึ่งร้อย และเป็นสวรรค์แห่งทะเลตะวันออก ที่อาบอิ่มด้วยคลื่นลมเห่กล่อม ผสานน้ำทะเลสีครามสดใส เคียงคู่หาดทรายขาวสะอาดตา วันนี้เราจะพาตัวเองล่องเรือโล้คลื่นสู่ เกาะหมาก หนึ่งในเกาะแสนงามแห่งเมืองตราด เพื่อดำดิ่งลงไปยังโลกใต้ทะเลอันสวยงาม น่าพิศวง และมีเรื่องราวให้ค้นหาไม่รู้จบ

ทริปนี้พิเศษกว่าทุกครั้ง เพราะ Go Travel Photo ได้รับเกียรติจาก อพท. หรือ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) ให้เข้าร่วมในโครงการ Castaway @Low Carbon Island 2016 ทำหน้าที่อาสารักษ์โลก สัมผัสธรรมชาติสงบงาม และวิถีชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมบนเกาะหมากแห่งนี้

อ่าวผ่อง 3

มาเที่ยวเกาะหมากคราวนี้ เรามีภารกิจพิเศษพกติดตัวมาด้วย เพราะเราได้ยินมาว่า ที่ “อ่าวผ่อง” ทางด้านทิศใต้ของเกาะหมาก ซึ่งอยู่ติดกับท่าเรืออ่าวนิด เป็นจุดดำน้ำตื้นชมปะการังที่น่างดงามมาก แถมยังมีแนวหญ้าทะเลอยู่ด้วย! โห ถ้าจริงก็ดีนะสิ เพราะหญ้าทะเลเหลืออยู่ไม่มากแล้วในเมืองไทย หวังว่าจะได้เห็นกับตาตัวเองสักครั้ง
อ่าวผ่อง 4

อ่าวผ่อง ที่เราเห็นในแว๊บแรก ทำให้หลงรักในทันที เพราะถึงแม้จะเป็นเวิ้งอ่าวเล็กๆ ยาวไม่กี่ร้อยเมตร ทว่าจุดเด่นคือความสงบ หาดทรายเป็นสีทอง เนื้อละเอียดเนียน เดินนุ่มเท้า วันนี้ฟ้าใสเป็นใจกับการดำน้ำตามหาหญ้าทะเลจริงๆ เลย
อ่าวผ่อง 5

พวกเราเป็นคนชอบกิจกรรมมันส์ๆ จะทำอะไรทีก็ต้องไม่ธรรมดา เลยขอเพิ่มดีกรีความสนุกก่อนจะไปดำน้ำที่อ่าวผ่อง ด้วยการพายเรือคายัคระยะทางสักครึ่งกิโลเมตร เริ่มต้นจากทะเล ไทม์ รีสอร์ท ไปอ่าวผ่อง โดยครั้งนี้ได้สาวสวยขาลุย “คุณหมอนก” จากเว็บไซต์เพื่อนนักสะพายเป้ มาเป็นเพื่อนร่วมทาง ก่อนพายเรือก็ต้องเตรียมความพร้อมกันหน่อยล่ะ
อ่าวผ่อง 6

แม้จะเป็นการพายเรือคายัคระยะทางสั้นๆ แต่มากางแผนที่ดูเส้นทาง และจุดหมาย กันไว้ก่อน ก็ดีเหมือนกัน
อ่าวผ่อง 7

น่าจะใช้เวลาพายเรือไม่เกิน 30 นาที ถ้าคลื่นลมไม่แรงเกินไป พร้อมแล้วก็ลุยกันเลยยยยยอ่าวผ่อง 8

การพายเรือคายัค เป็นหนึ่งในกิจกรรมการท่องเที่ยวทางน้ำที่ถือว่า “เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” เพราะไม่ได้ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อะไรเลยสู่ชั้นบรรยากาศโลก เสียงก็เงียบ พายเรือไปอย่างอิสระเสรี จะหยุดแวะชมธรรมชาติตรงไหนก็ได้ตามใจชอบ นับว่าเหมาะสุดๆ แล้ว สำหรับเกาะคาร์บอนต่ำอย่างเกาะหมากครับ

แต่วันนี้ดูเหมือนคลื่นลมจะค่อนข้างแรง เรือคายัคของผมกับหมอนกเลยโดนคลื่นซัดไปคนละทางสองทาง ฮาฮาฮา สุดท้ายก็ต้องใช้วิธีผูกเชือกโยงเรือเข้าไว้ด้วยกัน แล้วพายไปพร้อมๆ กันดีกว่าเนอะอ่าวผ่อง 9

ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ตามที่กะไว้ ในที่สุดเรือคายัคลำน้อยสองลำก็มาจอดเกยหาดอยู่ที่อ่าวผ่อง อย่างปลอดภัย โดยมี คุณไมเคิล ซึ่งเป็นชาวยุโรปที่มาทำธุรกิจรีสอร์ทเล็กๆ อยู่ที่อ่าวผ่อง แถมยังเป็นนักถ่ายภาพใต้น้ำฝีมือฉกาจ รวมทั้ง คุณเนม เจ้าของทะเล ไทม์ รีสอร์ท (อ่าวทองหลาง) ที่อยู่ติดกัน มายืนรอรับอยู่ด้วยความเป็นห่วง

ก่อนจะเปลี่ยนชุดลงไปดำน้ำ เราได้พูดคุยกันถึงความสมบูรณ์ของพื้นที่ คุณไมเคิลเล่าว่า แนวปะการังหน้าอ่าวผ่องเคยถูกภาวะปะการังฟอกขาว หรือ Coral Bleching จากน้ำทะเลที่ร้อนขึ้น (ผลจากภาวะโลกร้อน) ส่วนหนึ่งจึงตายไป แต่โชคดีที่ปัจจุบันบางส่วนเริ่มฟื้นตัวแล้ว จึงมีปลาเล็กปลาน้อย และปะการังเกิดใหม่ ค่อยๆ เติบโตขึ้น
อ่าวผ่อง 10.1

บริเวณหัวหาดด้านหนึ่งของอ่าวผ่อง ยามน้ำลดจะเห็น แนวหินภูเขาไฟ (Volcanic Rock) จำนวนมากผุดขึ้นมา ลักษณะเป็นหินสีน้ำตาลเกือบดำ เนื้อเป็นรูพรุนจำนวนมาก เพราะหินลาวานี้มีฟองอากาศอยู่ภายใน และเย็นตัวลงอย่างรวดเร็ว นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เมื่อ 200 กว่าล้านปีก่อน บริเวณนี้เป็นแหล่งธรณีภูเขาไฟที่ดุเดือดไม่ใช่เล่น คงอย่างนี้นี่เอง ในบริเวณจังหวัดตราดและจันทบุรี จึงมีหินอัญมณีมีค่าและหินภูเขาไฟหลงเหลืออยู่มากมาย อย่างที่เกาะขามที่อยู่ใกล้เกาะหมากก็มีเหมือนกันครับอ่าวผ่อง 10.2

แนวหินภูเขาไฟผุดยามน้ำลง ที่อ่าวผ่องอ่าวผ่อง 10

เอาล่ะ ตอนนี้ได้เวลาดำน้ำตามหาหญ้าทะเลกันแล้ว ตื่นเต้นจัง! หมอนกคนสวยของเรา โดดน้ำตามคุณไมเคิลลงไปก่อนเลย วันนี้ถ้าภารกิจไม่สำเร็จ เราสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่หยุดแน่นอน!อ่าวผ่อง 11

แม้วันนี้บนผิวน้ำคลื่นจะค่อนข้างแรง น้ำไม่ใสเคลียแบบ 100 เปอร์เซนต์ แต่ก็ยังพอมองเห็นป่าใต้น้ำได้บ้าง ไม่ห่างจากฝั่งมากนัก ในบริเวณน้ำลึกไม่เกิน 1.50 เมตร สิ่งแรกที่เตะตานักดำน้ำมือสมัครเล่นอย่างผมก็คือ “สาหร่ายทุ่น” (Sargassum) เป็นสาหร่ายสีน้ำตาล ที่มีลำต้นยาวตั้งตรง พลิ้วไหวโอนเอนไปมาตามกระแสคลื่น ทำให้จุดนี้เราต้องว่ายน้ำซิกแซกไปมาหลบพวกมัน น่าสนุกดีครับ เหมือนผจญภัยในป่าใต้น้ำไม่มีผิดเลย!อ่าวผ่อง 12

ในบริเวณเดียวกับที่พบสาหร่ายทุ่น เรายังพบ สาหร่ายเห็ดหูหนู (Lobophora) งอกงามอยู่เป็นจำนวนมาก ลักษณะของมันเนื้อจะนิ่มๆ เหมือนวุ้น มีแผ่นใบกลมๆ เหมือนหูหนูขนาดใหญ่ การที่เราพบสาหร่ายในน้ำตื้นทั้งสองชนิดนี้ ถือว่าดี เพราะนอกจากมันจะช่วยสังเคราะห์แสงเพิ่มออกซิเจนให้ทะเลแล้ว ยังเป็นตัวดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย เพราะในกระบวนการสังเคราะห์แสงของมัน ต้องใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากอ่าวผ่อง 13

ดำน้ำตีขาสู้คลื่นห่างจากฝั่งออกมาประมาณ 30-40 เมตร ช่วงแรกนี้ปะการังที่พบส่วนใหญ่เป็นปะการังแข็ง (Hard Coral) หลากชนิด อย่างในภาพนี้คือ ปะการังรังผึ้ง (Honey Comb Coral) รูปแบบหนึ่งอ่าวผ่อง 14

ปะการังรังผึ้งรูปแบบหนึ่ง กำลังเติบโตขึ้นบนโขดปะการังเดิมที่ตายลงเพราะภาวะน้ำทะเลร้อนในอดีตอ่าวผ่อง 15

รูปแบบชีวิตอันหลากหลายใต้ท้องทะเลที่อ่าวผ่อง ปะการังรังผึ้ง แบบนี้แม้กอจะไม่ใหญ่ แต่ถ้าสังเกตให้ดี จะพบว่ามีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ไปพึ่งพิงอิงอาศัยอยู่มากมาย แนวปะการังจึงเป็นสังคมสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ ที่มีห่วงโซ่อาหารซับซ้อนมากอ่าวผ่อง 16

ปะการังดาวสีทอง (Golden Star Coral) สีส้มสดใส ที่เห็นนี้จริงๆ แล้วปะการังไม่ใช่พืช แต่เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่ดูดหรือกรอกกินสารอาหารและแพลงก์ตอนจากน้ำทะเล ปะการังบางชนิดอาศัยอยู่ในโครงสร้างหินปูนแข็ง รูปร่างคล้ายต้นไม้ ใบไม้ จึงทำให้หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าปะการังเป็นพืช แต่จริงๆ แล้วพวกมันเป็นสัตว์จำพวกหนึ่งนะจ๊ะ อิอิอ่าวผ่อง 17

ปะการังรังผึ้งรูปแบบหนึ่ง ที่อ่าวผ่อง รูปร่างสวยงามแปลกตาเหลือเกินอ่าวผ่อง 18

ในบริเวณน้ำตื้นของอ่าวผ่อง ช่วงที่น้ำลึกไม่เกิน 1.50 เมตร เราพบ ปลิงทะเล (Lolly Sea Cucumber) อยู่บ้างพอสมควร จริงๆ แล้วปลิงทะเลเป็นญาติใกล้ชิดกับดาวทะเลและหอยเม่น มันเคลื่อนที่ด้วยการยืดหดกล้ามเนื้อ ทำนองคืบคลานไปมา เพราะมันไม่มีกระดูกสันหลัง โดยมันจะใช้หนวดที่ปากคุ้ยเขี่ยซากอินทรีย์และอาหารบนพื้นทราย เลน กิน การพบปลิงทะเลในบริเวณใดมากๆ จึงเท่ากับว่า มีเทศบาลคอยช่วยทำความสะอาดพื้นทะเลให้นั่นเองอ่าวผ่อง 19ปะการังรังผึ้ง (Honey Comb Coral) ก้อนกลมเกือบเท่าลูกฟุตบอล ลายสวยน่ารัก เป็นปะการังแข็งชนิดหนึ่งที่พบได้มากมายบริเวณอ่าวผ่อง กว่าจะขยายขนาดขึ้นเป็นกอใหญ่ๆ ได้ มันต้องใช้เวลาหลายสิบปีทีเดียว

อ่าวผ่อง 20

เพลิดเพลินกับการดำน้ำตื้นไปเรื่อยๆ ก็ไปจ๊ะเอ๋ เข้ากับกอ ปะการังสมองร่องลึก (Large Brain Coral) ที่ทำให้ขนลุกได้เหมือนกัน คงเพราะรูปร่างของมันเหมือนกับสมองของคนเราไม่ผิดเลยนะสิ! แต่จริงๆ แล้วไม่มีอันตรายหรอกนะ แค่เราคิดไปเอง ไม่น่ากลัวอะไร เราจะเห็นหนอนสีดำขนาดเล็กอาศัยอยู่ในร่องของปะการังสมองด้วยอ่าวผ่อง 21

ปะการังสมองร่องลึก (Large Brain Coral) ขนาดเท่าหัวผักกะหล่ำใหญ่ๆ
อ่าวผ่อง 22

การดำน้ำตามหาหญ้าทะเลในวันนี้ที่อ่าวผ่อง เรามีคุณไมเคิลเป็น Dive Leader หรือผู้นำดำน้ำ เพราะเขาอาศัยอยู่ที่นี่ จึงมีความเชี่ยวชาญ รู้ว่าตรงไหนมีอะไร แต่ที่สำคัญคือ คุณไมเคิลได้ช่วยเราเก็บภาพ VDO ใต้น้ำด้วย ดีใจมากๆ ครับอ่าวผ่อง 23

ในจุดดำน้ำหลักจุดแรก ซึ่งเป็นเหมือนดงปะการังแข็งพื้นที่กว้าง เราพบ หอยมือเสือ (Giant Clam) ซึ่งเป็นหอยทะเลขนาดใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่ง กระจายอยู่มากมาย แม้มันจะยังโตไม่เต็มที่ จนถึงขนาด 100-120 เซนติเมตร แต่ก็ถือเป็นหอยมือเสือวัยรุ่น ที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของอ่าวผ่องได้เป็นอย่างดี และจะช่วยให้ท้องทะเลบริเวณนี้ในอนาคตมีความอุดม มีคุณค่า มีห่วงโซ่อาหารที่ไม่ขาดตอนอ่าวผ่อง 24

ว่ากันว่า พบหอยมือเสือที่ใด น้ำในบริเวณนั้นถือว่าสะอาด เพราะหอยมือเสือจะมีชีวิตอยู่ได้ในบริเวณที่น้ำค่อนข้างคื้น ใสสะอาด ตะกอนน้อย เนื่องจากตัวของมันเองแม้จะเป็นสัตว์ แต่ช่างน่าอัศจรรย์ กลับมีสาหร่ายชนิดหนึ่งไปอาศัยอยู่ในเนื้อของมันด้วย หอยมือเสือจึงต้องเปิดปากออกมา ให้สาหร่ายสังเคราะห์แสงสร้างอาหาร เป็นการอาศัยแบบพึ่งพากัน ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย (Symbiosis) คือสาหร่ายได้ที่อยู่อาศัย และหอยมือเสือได้อาหารจากสาหร่าย
อ่าวผ่อง 25

การสังเคราะห์แสงของสาหร่ายที่อยู่ในเนื้อหอยมือเสือ ถือว่ามีประโยชน์ต่อระบบนิเวศน์ทางทะเลอย่างมาก เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มออกซิเจนให้น้ำทะเลแล้ว ยังช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาเก็บไว้ด้วย หรือที่ในทางนิเวศน์วิทยาเรียกว่า Carbon Sink นั่นเอง หอยมือเสือจึงไม่ได้มีไว้กินอย่างเดียวตามที่หลายคนเข้าใจผิด

“ทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติล้วนมีหน้าที่ และเชื่อมโยงกันเป็นวงจร ห่วงโซ่อันเปราะบาง”
อ่าวผ่อง 26

ถ้าสังเกตให้ดี นอกจากหอยมือเสือแล้ว เรายังพบ หอยมือแมว (Crocus Giant Clam) ด้วย ถ้าไม่รู้จักมองผ่านๆ ก็อาจนึกว่าเป็นชนิดเดียวกับหอยมือเสือ (Giant Clam) วิธีสังเกตง่ายๆ ในความต่าง คือ หอยมือแมวขนาดจะเล็กกว่า ยาวเพียง 10-15 เซนติเมตร (ไม่เกิน 20 เซนติเมตร) และมักฝังตัวอยู่ในกอหรือโขดปะการังแข็ง ไม่ได้เห็นเป็นตัวเด่นขึ้นมาเหมือนหอยมือเสือ อ่าวผ่อง 27

หอยมือแมว (Crocus Giant Clam) อยู่ในตระกูลเดียวกับหอยมือเสือ แต่ตัวเล็กกว่า ทว่ามันสามารถช่วยสังเคราะห์แสง ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เช่นกัน
อ่าวผ่อง 28

ปะการังสีทอง ที่อ่าวผ่อง ชนิดนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นสีทองตามธรรมชาติ หรือเกิดจากภาวนะน้ำทะเลร้อนขึ้น???อ่าวผ่อง 29

ปะการังโขด (Hump Coral) สีม่วงอมชมพูสวยงาม พบกระจายอยู่ทั่วไปที่อ่าวผ่อง
อ่าวผ่อง 30

ปะการังโขด (Hump Coral) สีชมพูอ่อนที่อ่าวผ่อง บางจุดพบว่ามีขนาดใหญ่ แผ่ออกไปหลายสิบตารางเมตรเลยทีเดียว จะเห็นว่า นอกจากมีลูกปลาเล็กๆ แอบไปใช้เป็นที่หลบภัยแล้ว ยังมีหอยไปฝังตัวอยู่ในเนื้อของปะการังโขดด้วยอ่าวผ่อง 31

เมื่อดำน้ำห่างจากฝั่งออกมาเรื่อยๆ จนถึงระยะน้ำลึกราวๆ 3 เมตร ก็พบ ปะการังโขด (Hump Coral / Mountain Coral) ขนาดใหญ่และกินพื้นที่กว้างขึ้น ปะการังโขดบางกอมีสีส้ม ชมพู ม่วง ผสานกันไปมา สวยงามมากอ่าวผ่อง 32

ฝูงปลาเล็กปลาน้อย ว่ายวนหากินอยู่ในแนวปะการังแข็งของอ่าวผ่อง
อ่าวผ่อง 33

ปะการังดอกเห็ด (Mushroom Coral) แม้พบได้ทั่วไป เป็นปะการังที่หาง่าย แต่ก็มีรูปร่างสวยงามเตะตา ดึงดูดความสนใจเราให้ว่ายน้ำเข้าไปดูใกล้ๆ ได้ทุกครั้ง พวกมันเป็นปะการังที่เติบโตขึ้นเป็นกอเดี่ยวๆ เส้นผ่าศูนย์กลาง 20-30 เซนติเมตร แต่ถ้าโตอยู่ใกล้กันหลายๆ อัน บางครั้งมันก็รวมตัวเป็นกอใหญ่ก็มี จัดเป็นปะการังน้ำตื้นที่โดดเด่นมากชนิดหนึ่งของอ่าวผ่องครับ
อ่าวผ่อง 34ปะการังเขากวาง (Staghorn Coral) ในลักษณะการเติบโตขึ้นเป็นพุ่ม (Table) รูปร่างคล้ายโต๊ะขนาดใหญ่ การที่พบเห็นมันเป็นสีเหลืองทองขนาดนี้ เป็นดัชนีบ่งชี้ได้ชัดเจนว่าน้ำทะเลของภาคตะวันออกร้อนขึ้น อันเป็นผลมาจากปี 2016 เป็นปีที่โลกต้องประสบภาวะโลกร้อน และปะการังฟอกขาว รุนแรงที่สุดปีหนึ่ง!!!

อ่าวผ่อง 35

กว่าปะการังเขากวางแต่ละกิ่งจะงอกงามขึ้นได้ขนาดนี้ มันต้องใช้เวลาหลายสิบปี เพราะแต่ละปีมันงอกยาวได้แค่ไม่กี่มิลลิเมตรเท่านั้น! ดังนั้นเวลาไปดำน้ำดู เราต้องระวังไม่จับต้อง และระวังไม่ให้ตีนกบดำน้ำของเราไปโดนมันจนหัก!
อ่าวผ่อง 36

ในบริเวณปะการังใต้น้ำกลุ่มที่ 2 ซึ่งคุณไมเคิลนำเราดำน้ำดู โชคดีไปพบกับ กอปะการังโขดรูปหัวใจ!!! ที่มีปะการังรังผึ้งกลมสวยคล้ายลูกบอลอยู่ตรงกลางพอดิบพอดี ช่างน่าพิศวงในประติมากรรมธรรมชาติใต้น้ำชิ้นนี้ เปรียบไป ก็คล้ายกับหัวใจแห่งมหาสมุทรที่ไข่มุกแสนงามประดับอยู่ตรงกลาง นี่คือของขวัญล้ำค่าสำหรับมนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเรา

ผมถือว่า นี่คือ Unssen ของอ่าวผ่อง และเกาะหมาก อย่างหนึ่งเลยล่ะ!
อ่าวผ่อง 37

ปะการังรังผึ้งที่อ่าวผ่อง
อ่าวผ่อง 38

ปะการังโขดขนาดเล็ก กำลังเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ อ่าวผ่อง 39

ปะการังแผ่น เติบโตขึ้นเคียงคู่กับปะการังโขด ปะการังรังผึ้ง และชุมชนหอยเม่นหนามยาว ทำหน้าที่คล้ายชุมชนใต้น้ำ ให้หมู่กุ้ง หอย ปู ปลา เข้ามาหลบอาศัย หากิน และขยายพันธุ์ต่อไปอ่าวผ่อง 40

ปะการังสมอง (Brain Coral) เป็นหนึ่งในชนิดปะการังโดดเด่นที่สุดบริเวณอ่าวผ่อง รวมถึงรอบๆ เกาะหมาก และท้องทะเลภาคตะวันออกของไทย รูปร่างอันชวนพิศวงของมัน คงทำให้หลายคนรู้สึกขนลุกได้ไม่น้อย!
อ่าวผ่อง 41

ในที่สุด หลังจากดำน้ำกันมาชั่วโมงกว่า ผ่านกลุ่มปะการังเด่นๆ มา 2 กลุ่ม คุณไมเคิลก็นำเราว่ายน้ำกลับเข้าสู่บริเวณน้ำลึกไม่เกิน 2 เมตร ณ จุดนี้คือ แหล่งหญ้าทะเลที่เราตามหา! มันคือผืนพรมสีเขียวใต้น้ำใส แผ่กว้างออกไปหลายสิบตารางเมตร จนยากจะวัดให้ชัดเจนได้ว่ามีพื้นที่เท่าใดแน่ แต่นั่นคงไม่สำคัญเท่ากับ การได้เห็นหญ้าทะเลของจริงกับตาตัวเองสักครั้งในระยะใกล้ชิดแบบเผาขนขนาดนี้ คือสิ่งพิสูจน์ว่า เกาะหมากยังเป็นสวรรค์ของคนรักทะเลอย่างแท้จริงอ่าวผ่อง 42

หญ้าทะเลที่อ่าวผ่องขึ้นเบียดเสียดกันอย่างหนาแน่น สมบูรณ์มาก และแทบไม่มีร่องรอยความเสียหายเลย ดีใจจัง! โดยตามธรรมชาติแล้ว หญ้าทะเล หรือ Sea Grass คืออาหารของ เต่าทะเล (Sea Turtle) และ พะยูน (Dugong) รวมทั้งยังเป็นแหล่งอาศัย หลบภัย หากิน สืบพันธุ์ ของกุ้ง หอย ปู ปลา รวมถึงม้าน้ำตัวจิ๋วด้วย นอกจากนี้ หญ้าทะเลยังช่วยสังเคราะห์แสง เพิ่มออกซิเจนให้ท้องทะเล เป็นการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากักเก็บไว้ในตัวและผืนดินข้างใต้ ได้อย่างน่าอัศจรรย์อ่าวผ่อง 43

หญ้าทะเลที่อ่าวผ่อง มีชื่อชนิดว่า หญ้าชะเงาใบฟันเลื่อย ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Cymodocea serrulata เป็นหญ้าทะเล 1 ใน 12 ชนิด ที่พบในเมืองไทยของเรา แหล่งหญ้าทะเลอันมีคุณค่านี้ล่ะ คือพืชที่ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในปริมาณมหาศาล มหาสมุทรจึงเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนใหญ่ที่สุดอีกแห่ง อย่างที่เรามิอาจมองข้าม!
อ่าวผ่อง 44

ไม่น่าเชื่อเลยว่า กลางกอหญ้าทะเล เราจะพบสังคมการอยู่ร่วมกัน ของหญ้าทะเล สาหร่ายทะเล ปะการังเขากวาง และโขดปะการังแข็ง อย่างกลมกลืน ราวกับมีใครไปแอบจัดสวนไว้ใต้ทะเล ยังไงยังงั้นเลย ฮาฮาฮา

อ่าวผ่อง 45

ตรงบริเวณชายขอบของแหล่งหญ้าทะเลอ่าวผ่อง เราสามารถพบ หอยจอบ หรือหอยซองพลู (Comb Pen Shell) ฝังตัวอยู่ในพื้นทรายเป็นจำนวนมาก โดยมันจะฝังปลายด้านหนึ่งที่เป็นทรงแหลม ลึกลงไปในพื้นทราย ปล่อยไว้เพียงปากอีกด้านหนึ่งที่มนกว่าโผล่พ้นพื้นขึ้นมา ขอเตือนว่า เปลือกนี้ค่อนข้างคม ถ้าเดินลุยน้ำไปเหยียบเข้า ก็อาจเกิดแผลได้!

ตามปกติแล้ว หอยจอบจะกรองกินแพลงก์ตอนเป็นอาหาร ซึ่งแพลงก์ตอนบางชนิดมีพิษด้วย การเอาเนื้อหรือเอ็นหอยจอบมากิน จึงอาจท้องเสียได้ ขอแนะนำให้ตัดปัญหา ไม่กินมันเลยจะดีกว่านะครับ
อ่าวผ่อง 46

จากจุดที่พบหญ้าทะเล ถ้าว่ายน้ำหันหัวออกทะเล ไปจนถึงระดับความลึกราวๆ 3 เมตร จะพบไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งของอ่าวผ่อง นั่นคือ “ซากเรือจม” เป็นเรือประมงขนาดกลาง ชื่อ Thaitanic ซึ่งมาอับปางลงตรงนี้เมื่อหลายปีที่แล้ว ทว่าซากเรือที่พบไม่ได้มีลักษณะเป็นเรือเต็มลำชัดเจน เพราะถูกคลื่นลมถาโถมพัดไปมาจนพัง แตกออกเป็นชิ้นๆ กระจัดกระจาย นับเป็นจุดดำน้ำที่น่าตื่นเต้น ให้อารมณ์ของการผจญภัยเล็กๆ และเป็นจุดสิ้นสุดเส้นทางดำน้ำของเราในวันนี้ด้วย
อ่าวผ่อง 47ผลจากการดำน้ำตื้นที่อ่าวผ่องในวันนี้ ทำให้ทีมของเราช่วยกันสรุปวาดแผนที่ เส้นทางศึกษาธรรมชาติใต้น้ำ หรือ Underwater Trail แบบคร่าวๆ ได้ แม้จะไม่ละเอียดนัก (เพราะเราไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล) แต่เราก็ภูมิใจ ที่ได้ดำดิ่งลงไปพิสูจน์ให้เห็นสรรพชีวิตใต้ทะเลกับตาตัวเอง โดยเฉพาะหญ้าทะเลที่ดูได้อย่างใกล้ชิด

เราหวังว่า สมบัติทางธรรมชาติอันล้ำค่านี้จะคงอยู่คู่คนเกาะหมาก คนตราด และคนไทย ไปอีกนานแสนนานเลยนะจ๊ะ
logo รวม

ขอขอบคุณ : อพท. หรือ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) และพี่น้องชาวเกาะหมากที่น่ารักทุกท่าน ที่ร่วมมือ ร่วแรงร่วมใจสร้างสรรค์กิจกรรมดีๆ นี้ขึ้น สอบถามโทร. 0-2357-3580-402
Nikon logo 1Special Thanks : บริษัท Nikon Sales (Thailand) Co., Ltd. สนับสนุนกล้องถ่ายภาพระดับมืออาชีพ D4 และกล้องถ่ายภาพใต้น้ำ AW130 เพื่อการเก็บภาพสวยๆ เหล่านี้มาฝากเพื่อนๆ ทุกคน สนใจสอบถาม โทร. 0-2633-5100

https://goo.gl/GeqdbB

#LowcarbonAtkohmak #CastawayAtkohmak #ติดเกาะโลว์คาร์บอน

เกาะหมาก สวรรค์วันพักผ่อนแห่งทะเลบูรพา

เกาะหมาก 2

ก่อนที่ Go Travel Photo จะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพาบล็อกเกอร์ไปปล่อยเกาะ ที่เกาะหมาก จังหวัดตราด ของ อพท. (องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน องค์การมหาชน) ระหว่างวันที่ 19-22 เมษายน 2559 เราจึงอยากพาแฟนๆ ไป Say Hello กับเกาะอันแสนน่ารักแห่งนี้ก่อนเลย
เกาะหมาก 3 เกาะหมาก 4

ขอต้อนรับสู่เกาะหมาก เกาะเงียบสงบที่ไม่ต่างจากโอเอซิส หรือสรวงสวรรค์แห่งน่านน้ำทะเลตะวันออก เพราะวันนี้ขณะที่หลายเกาะพัฒนาไปจนสูญเสียความเป็นธรรมชาติ ทว่าเกาะหมากยังคงสงบงามตามวิถี แถมยังเป็นต้นแบบการท่องเที่ยวแบบ Low Carbon หรือปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ น่าชื่นชมจริงๆ
เกาะหมาก 5

วิถีชีวิตดั้งเดิมบนเกาะหมาก ล้วนผูกพันอยู่กับสวนมะพร้าวและสวนหมาก ทว่าด้วยเวลาที่เปลี่ยนไป หลังจากมีการนำยางพาราเข้าปลูกบนเกาะ ป่าหมากก็หายไป เหลือแต่ป่ามะพร้าวต้นสูงลิ่วใบลู่ลม ที่ยังคงพอสะท้อนวิถีชีวิตแบบเดิมๆ ของคนบนเกาะหมากให้เราได้เห็น
เกาะหมาก 6

อ่าวขาว เป็นหนึ่งอ่าวที่สวยและสงบที่สุดทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะหมาก น้ำทะเลเป็นสีฟ้าครามสดใส ลงเล่นน้ำได้สบายใจ มีรีสอร์ทเล็กๆ อยู่ด้วย เหมาะสำหรับการหลบความวุ่นวายไปพักผ่อนจริงๆ
เกาะหมาก 7

อ่าวขาวในวันฟ้าใส แทบไม่มีคนไทย แต่เป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย
เกาะหมาก 8

เสน่ห์ของทิวมะพร้าวโอนเอนลงทักทายผืนทะเลที่ อ่าวขาว
เกาะหมาก 9

อ่าวแดง อยู่ติดกับอ่าวขาว บริเวณนี้เต็มไปด้วยก้อนหินสีส้มอมแดง ไม่มีหาดทราย ถัดเข้ามาเป็นป่ามะพร้าวเก่า ยังไม่มีรีสอร์ทมาสร้างอยู่ เหมาะเป็นเส้นทางปั่นจักรยานหรือเก็บภาพมุม Unseen สวยๆเกาะหมาก 10

อาทิตย์อัสดงลงจุมพิตผืนทะเล ที่ Banana Sunset Resort หนึ่งในจุดชมวิวแสงสุดท้ายของวัน ที่สวยที่สุดบนเกาะหมาก
เกาะหมาก 11

เกาะหมากเป็นสวรรค์ของช่างภาพ ทั้งมือใหม่และมือโปร ที่ Banana Sunset Resort ชมอาทิตย์อัสดงได้งดงามมากเกาะหมาก 12

Sunset แสนประทับใจที่ Banana Sunset Resort
เกาะหมาก 13

ที่ Banana Sunset Resort มีสะพานไม้เล็กๆ ยื่นลงไปในทะเล เหมาะจะชวนคนรักไปนั่งทำโรแมนติกกันชะมัด
เกาะหมาก 14

แสงสุดท้ายอันน่าประทับใจที่ Banana Sunset Resortเกาะหมาก 15

ความงามของแสงสีบนฟากฟ้าที่ Maka Thani Resort
เกาะหมาก 16

พระอาทิตย์ตื่นนอน ค่อยๆ ลอยอ้อยอิ่งขึ้นทักทายพวกเรา ที่ Maka Thani Resort
เกาะหมาก 17

แสงยามเช้าอันอ่อนโยนที่ Maka Thani Resort
เกาะหมาก 18

อรุณเบิกฟ้าที่สะพานเรือด้านหน้า Maka Thani Resort
เกาะหมาก 19

นกแอ่นบ้านตัวน้อยน่ารัก ตื่นแต่เช้ามารับลมทะเลแสนสดชื่นของเกาะหมาก
เกาะหมาก 20

หอยนมสาว ถูกคลื่นพัดขึ้นมาเกยหาดที่ พลับพลา Resortเกาะหมาก 21

อ่าวผ่อง อยู่ติดกับท่าเรืออ่าวนิด มองเห็นไกลๆที่สุดเส้นขอบฟ้าตรงนั้น ก็คือแหลมดุ่น (แหลมกะดุ่น)
เกาะหมาก 22

หาดทรายสีทองของอ่าวผ่องเกาะหมาก 23

อ่าวผ่องวันนี้ยังเงียบสงบ เป็นมุมส่วนตัวที่จะไปนั่งๆ นอนๆ เอกเขนกได้สบายโดยไม่มีใครกวนเกาะหมาก 24

อ่าวผ่องไม่ได้สวยน่าหลงใหลเฉพาะบนบกนะจ๊ะ แต่โลกใต้ทะเลยังมีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยหมู่ปลา ปะการัง เหมาะไปดำน้ำทักทายโลกแห่งสรรพชีวิตที่ไม่ค่อยมีใครได้พบเห็นเกาะหมาก 25

ปะการังเขากวางที่อ่าวผ่องหอยมือแมว 2

ใต้น้ำหน้าอ่าวผ่อง เต็มไปด้วยหอยมือเสือ และหอยมือแมว ซึ่งปัจจุบันที่อื่นหายากแล้ว ทว่าที่นี่ยังได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี พวกมันจึงค่อยๆ ขยายพันธุ์ รอให้เราเข้าไปเรียนรู้ เพื่อให้เกิดความรักความเข้าใจในธรรมชาติมากขึ้นเกาะหมาก 26

ไม่น่าเชื่อเลยว่า ที่อ่าวผ่องจะมีแนวหญ้าทะเลขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น และอุดมสมบูรณ์มาก จึงมั่นใจได้เลยว่า ในอดีตน่าจะเคยมีทั้งเต่าทะเลและพยูน (คนภาคตะวันออกเรียก หมูดุด) แวะเวียนหากินอยู่แถวนี้ด้วย
เกาะหมาก 27

หญ้าทะเลในน้ำใสแจ๋วไร้ตะกอนรบกวน ที่อ่าวผ่อง
เกาะหมาก 28

แม้จะได้รับการพัฒนาไปมาก แต่ชายหาดบางแห่งของเกาะหมากก็ยังมีป่าชายเลนหลงเหลืออยู่เหมือนกัน อย่างที่อ่าวทองหลาง ยังมีแนวป่าต้นโกงกางใบเล็กขึ้นอยู่ ให้เป็นที่กำบังคลื่นลม และอนุบาลสัตว์ทะเลวัยอ่อน ตัวเล็กๆ น่ารัก
เกาะหมาก 29

แหลมตุ๊กตา ทางปลายสุดด้านตะวันตกของเกาะหมาก มองออกไปในทะเล เห็นเกาะระยั้งในและเกาะระยั้งนอก อยู่ไม่ไกลแล้วล่ะจ้า น่าพายเรือคายัคออกไปเที่ยวจริงๆ เลย
เกาะหมาก 30

แหลมตุ๊กตา เป็นชายหาดเวิ้งว้าง ธรรมชาติบริสุทธิ์ อยู่ทางปลายสุดด้านตะวันตกของเกาะหมากเกาะหมาก 31

อ่าวทองหลาง อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะหมาก เป็นอ่าวที่คลื่นลมสงบ ชาวเกาะจึงนำเรือเข้ามาจอดหลบคลื่นลมเกาะหมาก 32

มุมส่วนตัวที่อ่าวทองหลาง เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม 5555555เกาะหมาก 33

แหลมสน ตั้งอยู่ทางปลายสุดตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะหมาก สงบเงียบ ไม่มีใครไปรบกวน จากแหลมสนมองออกไปเห็นเกาะกระดาดตั้งอยู่ตรงเส้นขอบฟ้า ต้องหาเวลานั่งเรือไปเที่ยวซะแล้ว
เกาะหมาก 34

อ่าวตาโล่ง เป็นชายหาดยาวเหยียดหลายกิโลเมตรทางด้านทิศเหนือสุดของเกาะหมาก เป็นชุมชนประมงดั้งเดิม ที่ปัจจุบันยังมีวิถีประมงพื้นบ้านให้สัมผัส โดยชาวบ้านส่วนหนึ่งหารายได้เสริม ทำสวนยางพารา จึงมีโรงยางให้ชมด้วยเกาะหมาก 35

ทิวมะพร้าวต้นสูงลิ่วล้อลมทะเล ที่อ่าวตาโล่งเกาะหมาก 36

อ่าวตาโล่ง เป็นเส้นทางปั่นจักรยาน Off Road รอบเกาะหมาก ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติชอบมาก
เกาะหมาก 37

เส้นทางปั้นจักรยานเที่ยว ผ่านอ่าวตาโล่ง และผ่านโรงทำน้ำมันมะพร้าวเก่าของเกาะหมาก ซึ่งปัจจุบันเลิกกิจการไปแล้วเกาะหมาก 38.1

จักรยาน คือพาหนะยอดฮิตของคนบนเกาะหมาก รวมถึงนักท่องเที่ยวที่มาเยือนด้วย เพราะนอกจากจะเงียบ ไม่ปลดปล่อยมลพิษแล้ว ยังทำให้เราได้ออกกำลังกาย ปั่นช้าๆ เนิบๆ ชมธรรมชาติ แวะตรงโน้นตรงนี้ พูดคุยกับชาวบ้านเปี่ยมรอยยิ้มเกาะหมาก 38

นอกจากจะมีแหล่งท่องเที่ยวแบบชิลชิลแล้ว เกาะหมากยังมีจุดท่องเที่ยวสไตล์ผจญภัยเล็กๆ Soft Adventure ด้วยล่ะ แอบกระซิบดังๆ เลยว่า อยู่ตรง “เขาแผนที่” (ชาวบ้านเรียก เขาบ้านแหลม) แม้ทางเดินขึ้นจะค่อนข้างชัน แต่ระยะทางไม่ไกล เดินไม่เกิน 1 ชั่วโมง ถึงยอดเขาแล้วครับเกาะหมาก 39

บนเขาแผนที่ ส่วนหนึ่งปกคลุมด้วยป่าดิบแล้ง (Dry Evergreen Forest) เต็มไปด้วยต้นพ้อเขา ซึ่งเป็นปาล์มชนิดหนึ่ง มีใบแตกเป็นแฉกกลมคล้ายพัด สวยงามมาก ให้บรรยากาศแปลกดีแฮะ
เกาะหมาก 40

ใบของต้นพ้อเขา (กะพ้อเขา) ที่พบระหว่างทางเดินขึ้นเขาแผนที่เกาะหมาก 41

เดินขึ้นเขาแผนที่มาครึ่งทาง ก็พบกับหน้าผาชมวิวจุดแรก ว้าว! โล่ง กว้าง มองได้ไกลสุดสายตา เห็นเกาะระยั้งใน และเกาะระยั้งนอก ด้วยนะ ตรงนี้มีลักษณะเป็นหน้าผาหินโล่งๆ ตอนกลางวันร้อนฉ่าเลยทีเดียวล่ะ 55555เกาะหมาก 42

เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาแผนที่แล้ว แนวป่ารกก็หายไป กลายเป็นลานหินกับไม้พุ่มค่อนข้างโล่ง เหมาะเป็นจุดชมสุดยอดพระอาทิตย์ตก เพราะเขาแผนที่คือยอดเขาสูงสุดบนเกาะหมากนั่นเองจ้าเกาะหมาก 43

หนึ่งมุม Unseen บนเกาะหมาก ณ แหลมดุ่น (แหลมกะดุ่น)เกาะหมาก 44

หาดหินแดงแหลมดุ่นเกาะหมาก 45

หาดหินแดงแหลมดุ่น มีมุมให้ไปสำรวจผจญภัยเพียบ!
เกาะหมาก 46

หาดหินแดงแหลมดุ่น
เกาะหมาก 47

บรรยากาศแสนโรแมนติก ยามอัสดงที่แหลมดุ่นเกาะหมาก 48

เวลาแห่งความสุขมีให้แบ่งปันกันไม่รู้จบ ณ แหลมดุ่น
เกาะหมาก 49

หน้าร้อนนี้ ถ้ายังคิดไม่ออก ไม่รู้จะไปพักผ่อนนอนเล่นหลบร้อนที่ไหน “เกาะหมาก” อาจเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ช่วยเติมเต็มพลังชีวิตของคุณให้เต็มเปี่ยม สุขล้น ไปกับธรรมชาติและความสงบของทะเลตะวันออก ที่งามราวต้องมนต์เลยล่ะ

https://goo.gl/GeqdbB

#LowcarbonAtkohmak #CastawayAtkohmak #ติดเกาะโลว์คาร์บอน

พยาม เกาะหิมพานต์แห่งอันดามัน ฝันที่เป็นจริง

เกาะพยาม 2

ในขณะที่เรือสปีตโบ๊ทความเร็วสูงลำนั้น ค่อยๆ เร่งเครื่องฝ่าเกลียวคลื่น ตรงออกจากท่าเรือเทศบาลเมืองระนอง ออกสู่ปากน้ำมุ่งหน้าไปทางทะเลเปิดด้านทิศตะวันตก ผมก็พบว่าในที่สุด ก็ได้ตกอยู่ในวงล้อมของท้องทะเลสีคราม สายลม แสงแดด และความสดชื่นที่ธรรมชาติมอบให้ ณ วินาทีนั้น ผมอดจะอิจฉาตัวเองไม่ได้ เพราะความฝันหลายปีที่จะอยากไปเยือน “เกาะพยาม” จังหวัดระนอง บัดนี้เป็นจริงแล้วล่ะ เย้ๆ
เกาะพยาม 3

ความพยายามที่จะได้ไปเที่ยวเกาะพยาม จึงมาถึงวันเป็นจริง! ขณะที่เรือเที่ยวบ่ายสองทะยานเหนือเกลียวคลื่นต่อไปไม่หยุดยั้ง ในใจก็คิดจินตนาการวาดฝันไปต่างๆ นาๆ ว่าเกาะพยามหน้าตาจริงๆ เขาจะเป็นยังไงหนอ? เพราะเคยเห็นแต่ภาพที่เพื่อนๆ ถ่ายมาเย้ย! เอาล่ะ วันนี้ได้มาเห็นกับตาตัวเองซะทีเกาะพยาม 4

มาถึงท่าเรืออ่าวแม่หม้ายบนเกาะพยามก็บ่ายแก่แล้ว รีบเอาของเข้าที่พักแล้วออกมาเดินเล่นเก็บภาพแสงสุดท้ายที่ อ่าวใหญ่ ซึ่งเป็นอ่าวด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ชายหาดสวยทอดยาวหลายกิโลเมตร บัดนี้น้ำกำลังลง เผยให้เห็นการถอยร่นของเกลียวคลื่น คู่กับแสงสุดท้ายอันงดงามบนฝากฟ้า และการปรากกฏตัวของริ้วทรายอันสวยงาม บรรยากาศช่างคลาสสิก โรแมนติก น่าเกี่ยวก้อยพาคนรักมาเดินเล่นซะจริงๆ นะเกาะพยาม 5

บางคนก็ปั่นจักรยานออกกำลังกายบนอ่าวใหญ่ ชมแสงสุดท้ายสุดอลังการ!เกาะพยาม 6 เกาะพยาม 7

ความรักเบ่งบานบนอ่าวใหญ่ เกาะพยาม แหม บรรยากาศโรแมนติกอย่างนี้ อดใจไม่ไหวที่จะจับมือคนรักไว้ แล้วหันไปบอกรักกันสักพันครั้ง
เกาะพยาม 8

ความสงบ และความงามของธรรมชาติบนอ่าวใหญ่ เกาะพยาม วันนี้ยังชวนหลงใหล เป็นอีกหนึ่งเกาะ Slow Life ที่ยังไม่ถูกความทันสมัย และสิ่งก่อสร้างมากมายเกินพอดีทำให้เสียความงามไปเกาะพยาม 9 เกาะพยาม 10.1 เกาะพยาม 10

นั่งเหม่อมองพระอาทิตย์ตกลงน้ำที่อ่าวใหญ่ พร้อมเครื่องดื่มเย็นๆ สักแก้ว เท่านี้ก็คือความสุขเล็กๆ ของชีวิตแล้วล่ะเกาะพยาม 11

อีกหนึ่งจุดชมพระอาทิตย์ตกที่งามไม่แพ้อ่าวใหญ่ ก็คือ “อ่าวเขาควาย” ที่ทอดยาวโค้งเป็นรูปวงพระจันทร์ และมีบาร์น่ารักๆ อยู่ริมทะเล ให้นั่งชิลกันได้ไปจนดึกดื่นเกาะพยาม 12เมื่อน้ำทะเลลดระดับต่ำสุดในยามเย็น อ่าวใหญ่บนเกาะพยาม ก็เผยริ้วลายแห่งประติมากรรมธรรมชาติลอนทราย ซึ่งถูกสลักเสลาฝากไว้โดยเกลียวคลื่นน้อย เป็นศิลปะในธรรมชาติที่น่าประทับใจเหลือเกิน
เกาะพยาม 13

Sunset พระอาทิตย์อัสดงลงที่อ่าวใหญ่ ยามนี้ใครๆ ก็ออกมาอยู่บนหาดทราย ซึมซับช่วงเวลาอันมีค่าของวัน อ่าวใหญ่จึงเป็นจุดพักผ่อนที่เพียบพร้อม เพราะมีรีสอร์ทเรียงรายอยู่หลายแห่ง ซึ่งมีข้อดีคือ ส่วนใหญ่ไม่ได้สร้างรุกล้ำแนวหาด ธรรมชาติจึงยังงดงามจริงๆเกาะพยาม 14

รีสอร์ทที่อ่าวใหญ่ สร้างกลมกลืนกับธรรมชาติ หลบอยู่ใต้ทิวต้นสนทะเลขนาดใหญ่ และต้นมะพร้าวสูงลิ่ว ชวนกันไปนอนเล่นบนเก้าอี้ชายหาด ฟังเสียงคลื่นเสนาะโสต ช๊าตพลังให้ชีวิตเกาะพยาม 15

เกาะพยาม เป็นเกาะขนาดใหญ่ที่มีเนื้อที่กว่า 35 ตารางกิโลเมตร (ถัดลงไปในทะเลทิศใต้คือ เกาะช้าง จ.ระนอง) บนเกาะพยามมีคนอาศัยอยู่ราวๆ 160 ครอบครัว ส่วนใหญ่ทำสวนปลูกมะม่วงหิมพานต์มาหลายชั่วอายุคนแล้ว ผมเลยตั้งชื่อเล่นให้เกาะพยามว่า “เกาะหิมพานต์แห่งอันดามัน” ฮาฮาฮา ฟังดูน่ารักดีเนอะ

ชาวบ้านบนเกาะยังทำอาชีพประมง และก็มีบางส่วนที่เริ่มหันมาทำรีสอร์ทรับนักท่องเที่ยว ซึ่งส่วนมากเป็นกลุ่มคนชอบธรรมชาติ รักความสงบ ไม่ต้องการแสงสีเสียงอึกทึก ป่าเขาและธรรมชาติบนเกาะพยามจึงยังค่อนข้างดิบอยู่ เดินๆ เล่นอาจได้เห็นนกแก๊ก (นกเงือกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง) บินข้ามหัวไปแบบเฟี้ยวฟ้าว! กิจกรรมของเราผู้ไปเยือน จึงมีทั้งการพักผ่อน เล่นน้ำ ปั่นจักรยานเที่ยว เดินป่า และไปดำน้ำดูปะการังที่ยังอุดมอยู่เกาะพยาม 16

อ่าวเขาควาย คือหนึ่งในอ่าวที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกาะพยาม เพราะนอกจากจะมีขนาดใหญ่ เป็นอ่าวรูปจันทร์เสี้ยวต่อเนื่องกันทอดโค้งยาวหลายกิโลเมตรแล้ว ริมอ่าวยังมีร้านอาหารหน้าตาแปลกๆ ให้ไปเยือนด้วย ชื่อ Hippy Bar เห็นรูปทรงการสร้างแล้วถึงกับอึ้ง!! เพราะเหมือนยกเรือโจรสลัดลำเบ้อเริ่มขึ้นมาตั้งไว้บนหาดจริงๆ เลยนะสิ!!
เกาะพยาม 17

เรือโจรสลัดที่ Hippy Bar อ่าวเขาควาย ไม่รู้จะใช้คำอะไรบรรยายนอกจาก “เจ๋งจริง” เอาเศษไม้ต่างๆ มาปะติดปะต่อขึ้นมาราวกับงานศิลป์ชิ้นมหึมา ด้านบนเป็นร้านอาหาร เหมาะมานั่งดื่มนั่งชิลกันได้ไปจนดึกดื่นเกาะพยาม 18 เกาะพยาม 19 เกาะพยาม 20 เกาะพยาม 21 เกาะพยาม 22

ด้านใน Hippy Bar ตกแต่งกลมกลืนกับธรรมชาติ ให้ความรู้สึกดิบๆ เหมือนหมู่บ้านโจรสลัดเลย ฮาฮาฮา แต่ถ้าคิดดูให้ดี คนที่สร้างสถานที่แบบนี้ขึ้นมาได้ ต้องมีหัวศิลปะระดับเทพเลยนะเนี่ยะ ขอปรบมือให้ครับเกาะพยาม 23 เกาะพยาม 24 เกาะพยาม 25

บริเวณอ่าวเขาควายบนเกาะพยาม มีหนึ่งภูมิประเทศสำคัญ หรือ Land Mark อันโดดเด่นเป็นสัญลักษณ์ ที่ใครๆ ก็ต้องรู้จัก นั่นคือ “หินทะลุ” นับเป็นแหล่งท่องเที่ยว Unseen ที่ต้องไปเห็นกับตาตัวเอง เพราะผมว่า Amazing จริงๆ!

ที่ตั้งของหินทะลุ บางช่วงเวลาน้ำลง จะสามารถเดินเข้าไปได้ แต่ยามน้ำขึ้นสูง จะกลายเป็นเกาะลอยน้ำ ต้องพายเรือเข้าไปครับ น่าสนุกดีใช่ป่ะล่ะเกาะพยาม 26

ความเจ๋งของหินทะลุเกาะพยาม ที่เกาะอื่นๆ ในเมืองไทยเลียบแบบไม่ได้ คือตรงจุดนี้มีช่องทะลุอยู่มากกว่า 1 ช่องครับ นับรวมๆ กันแล้ว ไม่น้อยกว่า 8 ช่องทีเดียว เวลาเดินสำรวจจึงให้บรรยากาศแบบลึกลับ น่าค้นหาดีเกาะพยาม 27

นอกจากหินทะลุแล้ว ในบริเวณเดียวกันยังมีหินตา หรือเสาหินสโตนเฮนจ์แห่งเกาะพยาม ตั้งโดดเด่นอยู่ด้วย เสาหินต้นนี้สูงราวๆ 3-4 เมตร เลยทีเดียวเกาะพยาม 28

บรรยากาศยามน้ำทะเลลดระดับต่ำสุดที่หินทะลุ อ่าวเขาควาย มองเห็นโขดหินที่มีเพรียงทะเลและหอยนางรมเกาะอยู่ กระจัดกระจายเต็มไปหมด บรรยากาศเงียบสงบ เวิ้งว้าง ชวนให้ขนลุกดีเหมือนกันเกาะพยาม 29 เกาะพยาม 30

ช่องโพรงทะลุขนาดใหญ่ เกิดจากน้ำทะเลกัดเซาะอยู่นานเป็นพันๆ หมื่นๆ ปีเกาะพยาม 31

โขดหินทรงประหลาด ที่หาดหินทะลุ เกาะพยาม
เกาะพยาม 32

อีกหนึ่งช่องทะลุอันแสนแปลกตา บนเกาะพยามเกาะพยาม 33ช่องทะลุ 3 พี่น้อง เล็ก กลาง ใหญ่ กับสะพานหินโค้งธรรมชาติด้านบน นี่คือประติมากรรมธรรมชาติโดยแท้เกาะพยาม 34 เกาะพยาม 35

มองลอดช่องหินทะลุและสะพานโค้งธรรมชาติออกไป เห็นเวิ้งทะเลและเรือประมงด้านหลังแล่นผ่านมาพอดี
เกาะพยาม 36

สังเกตดูให้ดี นี่คือช่องหินทะลุ “รูปหัวใจคว่ำ” เหมาะจะพาหวานใจมาบอกรักกันที่นี่นะครับ
เกาะพยาม 37

จากช่องหินนี้ มองออกไปเห็นหินตาตั้งเด่นเป็นสง่า โดยมีทะเลสีฟ้าใสแจ๋วรับอยู่เบื้องหลังเกาะพยาม 38

บนหาดทรายที่หินทะลุ มีปูลมตัวจิ๋ววิ่งกันให้พล่าน ตัวนี้มาเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่ปากรูซึ่งมันขุดไว้ เกาะพยาม 39

ทางชายหาดด้านทิศตะวันออกของเกาะพยาม บริเวณท่าเรืออ่าวแม่หม้าย ยามน้ำลงจะกลายเป็นหาดทรายสีทองทอดยาวสุดสายตา งามด้วยลอนคลื่นบนผืนทรายที่ธรรมชาติสลักเสลาไว้อย่างลงตัวทีเดียว
เกาะพยาม 40

หาดทรายสวยแสนประทับใจ ใกล้ท่าเทียบเรืออ่าวแม่ม่าย และ Blue Sky Resortเกาะพยาม 41

Blue Sky Resort เป็นหนึ่งในรีสอร์ทที่มีชื่อเสียงที่สุด และได้รับการกล่าวขวัญกันว่าสวยที่สุดบนเกาะพยามเกาะพยาม 42

แสงแดดอุ่น กับใบมะพร้าวล้อลม ที่ Blue Sky Resort เกาะพยาม
เกาะพยาม 43

ป่าชายเลนที่ Blue Sky Resort ใกล้ท่าเรืออ่าวแม่หม้าย เป็นเสมือนกำแพงกำบังคลื่นลมทะเลได้เป็นอย่างดี
เกาะพยาม 44

บนภูเขาสูงของเกาะพยาม มีจุดชมวิวสวยๆ อยู่หลายแห่ง อย่างด้านตะวันออก พอขึ้นไปบนภูเขาก็จะมองเห็นเกาะขามอยู่ไม่ไกลแล้ว บนภูเขาตรงนี้มีบาร์เล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมต้องตกกะใจ! เพราะนึกว่าพี่ Bob Marley นักร้องชื่อดังยังไม่ตาย! เห็นพี่เขานั่งร้องเพลงฝรั่ง ดีดกีต้าอยู่อย่างสบายอารมณ์เกาะพยาม 45 เกาะพยาม 46

เสียงเพลงจากกีต้าโปร่ง Un Plug และวิวสวยๆ จากมุมสูงของเกาะพยาม ทำให้อารมณ์ศิลปินของผมชักจะขึ้น ฮาฮาฮา พี่เขาร้องแพลงแบบออกมาจาก Inner จริงๆ เลย ไพเราะมากๆ ครับ
เกาะพยาม 47

เพื่อนของพี่ Bob Marley บนจุดชมวิวเกาะพยาม
เกาะพยาม 48

Bob Marley Bar
เกาะพยาม 49

ในส่วนของใจกลางเกาะพยาม ก็มีบ้านเรือน ที่พัก และร้านค้าเล็กๆ น่ารัก กระจายอยู่ทั่วไป ริมสองฟากถนนเส้นหลักของเกาะ โดยถนนนี้มีลักษณะเป็นทางปูนแคบๆ พอรถมอเตอร์ไซค์สองคันวิ่งสวนทางกันได้ บนเกาะนี้จึงไม่มีรถยนต์เลย มีแต่รถมอเตอร์ไซค์ จักรยาน และรถแทร็กเตอร์ เท่านั้น
เกาะพยาม 50

ร้านค้าบนเกาะพยาม เล็กๆ น่ารัก สมกับบรรยากาศของเกาะที่ยังคงความเป็นธรรมชาติสูงเกาะพยาม 51

นั่งรถแทร็กเตอร์พ่วง ทัวร์บนถนนเส้นหลักของเกาะพยาม ผ่านป่าหิมพานต์ (สวนหิมพานต์) ของชาวบ้าน และป่ายางพารา ที่ดูเหมือนวันนี้จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกที! ทดแทนวิถีชีวิตแบบเก่า ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไปเกาะพยาม 52

นั่งรถแทร็กเตอร์พ่วง ทัวร์รอบเกาะพยาม
เกาะพยาม 53

เรือไปเกาะพยาม สะดวกสุดมีออกจากท่าเรือเทศบาลปากน้ำระนอง มีทั้งเรือเร็วเรือช้าให้เลือกตามงบประมาณนะจ๊ะ

หวังว่าเพื่อนคนไหนที่ไม่เคยไปเยือนหมู่เกาะทะเลระนองเลย หรือบางคนที่ยังคิดไม่ออกว่าฤดูร้อนปีนี้จะไปพักผ่อนที่ไหนรับรองว่า “เกาะพยาม” จะเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าแน่นอนจ้าlogo123-300x300Special Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคใต้ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานชุมพร ระนอง โทร. 0-7750-2775-6,  0-7750-1831 สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี

เกาะพยาม Guide

การเดินทาง : ลงเรือที่ท่าเทียบเรือเทศบาลปากน้ำระนอง หรือท่าเทียบเรือชาวเกาะ ถนนสะพานปลา (ทางเข้าท่าเทียบเรือติดกับสถานีตำรวจภูธร ตำบลปากน้ำ จังหวัดระนอง) มีเรือบริการทุกวัน วันละหลายเที่ยว เรือเร็วสปีตโบ๊ท ใช้เวลาเดินทางราวๆ 45 นาที ค่าโดยสารคนละ 350 บาท โทร. 08-1270-4801, 0-7783-4082 แต่ถ้าเป็นเรือโดยสารธรรมดา หรือเรือช้า ใช้เวลาราวๆ 2 ชั่วโมง ค่าโดยสารคนละ 150 บาท ส่วนการเดินทางบนเกาะ นิยมใช้รถมอเตอร์ไซค์เช่า, มอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือถ้ามาเป็นหมู่คณะใหญ่ มีบริการรถแทร็กเตอร์พ่วง

ฤดูกาลท่องเที่ยว : ช่วง High Season อยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-เมษายน

สอบถามเพิ่มเติม : อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะระนอง (ชื่อเดิม อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะพยาม) โทร. 0-7781-3840