บุกถ้ำมนุษย์โบราณ เขาขนาบน้ำ จ.กระบี่
เขาขนาบน้ำ สัญลักษณ์สำคัญที่สุดของจังหวัดกระบี่ ถือเป็น Landmark ซึ่งไม่มีที่ใดเหมือน จดจำง่าย และโดดเด่นเป็นที่ภาคภูมิใจของชาวกระบี่ทุกคนครับ
เขาขนาบน้ำ เป็นเขาสองลูกสูงประมาณ 100 เมตร ขนาบแม่น้ำกระบี่ด้านหน้าตัวเมือง ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองกระบี่ สามารถไปเที่ยวชมได้โดยเช่าเรือหางยาวที่ท่าเรือเจ้าฟ้า ใช้เวลาเดินทางเพียง 15 นาที นอกจากนั่งเรือชมเขาและป่าชายเลนที่มีความสมบูรณ์แล้วยังสามารถเดินขึ้นไปเที่ยวถ้ำได้ ภายในมีหินงอกหินย้อย และเป็นสถานที่ที่เคยพบโครงกระดูกมนุษย์จำนวนมากอีกด้วยแต่ปัจจุบันไม่หลงเหลืออยู่แล้ว สันนิษฐานว่าอาจเป็นโครงกระดูกของกลุ่มคนที่อพยพมาตั้งหลักแหล่งแต่ล้มตายลงเนื่องจากเกิดอุทกภัยอย่างฉับพลัน และสำหรับนักนิยมพายเรือคายัค, เรือแคนู บริเวณนี้เหมาะที่จะพายเรือมาก เพราะมีธรรมชาติเขียวชอุ่มด้วยป่าชายเลน และน้ำก็นิ่ง ไม่มีคลื่นแรงให้หวาดเสียวกัน
จากลานปูดำมองไปเห็นเขาขนาบน้ำได้ชัดแจ๋ว ถ่ายรูปเจ๋ง โดยเฉพาะตอนเช้าๆ ที่คึกคักด้วยชมรมรำมวยไทเก็กกระบี่
ที่ลานปูดำ ทุกเช้าตรู่จะมีคุณป้าคุณน้า มารำมวยไทเก็ก และรำพัดจีน เพื่อออกกำลังกาย สูดอากาศบริสุทธิ์ ใครสนใจเข้าร่วมได้ไม่ว่ากันครับ
ลานปูดำ Landmark แห่งใหม่ของคนกระบี่ เราสามารถลงเรือจากจุดนี้ไปเขาขนาบน้ำที่อยู่เบื้องหน้าได้ ใช้เวลาไม่เกิน 20 นาทีเอง
จากท่าเรือบริเวณลานปูดำ มองไปทางเขาขนาบน้ำจะเห็นวัดถ้ำเสือ และเขาพนมเบญจา (ยอดเขาสูงที่สุดในจังหวัดกระบี่) ยืนตระหง่านอาบเมฆหมอกอยู่เบื้องหลัง อย่างชัดเจน
แนวป่าชายเลนแน่นทึบบริเวณลำคลองเขาขนาบน้ำ มีกุ้ง หอย ปู (ปูดำ) ปลานานาชนิดอาศัยอยู่ ให้ผู้คนได้พึ่งพิงจับกิน และนำไปขายเลี้ยงปากท้องครอบครัว นี่ถ้าไม่มีป่าชายเลน จะเกิดอะไรขึ้นหนอ?
กัปตันเรือใจดียิ้มแฉ่ง พร้อมลูกชาย พาเราไปเที่ยวเขาขนาบน้ำในวันนี้
พร้อมแล้ว ก็ไปลุยถ้ำมนุษย์โบราณกันได้เลย!
ระหว่างทางจากท่าจอดเรือเดินไปปากถ้ำ มีซอกหลืบโพงหินปูนให้สำรวจนับไม่ถ้วน
ด่านแรก ต้องไต่บันไดสูงชันขึ้นสู่ปากถ้ำเขาขนาบน้ำครับ จะมีอะไรรอเราอยู่ด้านในบ้างเอ่ย?
เคยมีการขุดพบซากโครงกระดูกมนุษย์โบราณบริเวณปากถ้ำเขาขนาบน้ำ แต่ปัจจุบันนักโบราณคดีได้เคลื่อนย้ายของจริงไปเก็บรักษาไว้แล้ว จึงมีการทำหุ่นจำลองมาวางไว้ให้ชมกัน สังเกตให้ดีบนพื้นทรายบริเวณนี้มีรูของแมลงช้างอยู่นับร้อยๆ รู แมลงพวกนี้จะขุดโพรงลงไปฝังตัวเองอยู่ใต้ทราย รอให้มีเหยื่อตกลงไปในโพรงแล้วจัดการงาบกินเป็นอาหาร!
โถงใหญ่สุดภายในถ้ำเขาขนาบน้ำ เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อย และเสาหินปูนขนาดยักษ์มากมาย มองออกไปอีกฝั่งหนึ่งเป็นโพรงช่องทะลุขนาดยักษ์ ที่ปล่อยให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาได้เกือบทั่วถึง
จากปากถ้ำด้านหน้า พอปีนบันไดขึ้นมาก็จะพบกับคูหาแรกหน้าตาสวยงามอย่างนี้ล่ะครับ
โถงถ้ำเขาขนาบน้ำในคูหาใหญ่ที่สุดตรงกลาง เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยตื่นตา อลังการมาก
กลางโถงถ้ำในเขาขนาบน้ำ มีเสาหินปูนขนาดยักษ์ สูงหลายสิบเมตรตั้งตระหง่านอยู่
กว่า 3,000-5,000 ปีที่แล้ว เคยมีมนุษย์ถ้ำอาศัยอยู่ในถ้ำเขาขนาบน้ำด้วย! รวมถึงถ้ำผีหัวโต, ถ้ำชาวเล, เขากาโรส, ถ้ำเขาตีบนุ้ย, แหลมไฟไหม้, แหลมชาวเล, เขาเขียนในสระ และถ้ำหน้ามันแดง พวกเขาเหล่านั้นใช้ยางไม้ผสมดินฝุ่นสีแดง เขียนภาพไว้บนผนังถ้ำ เพื่อบันทึกวิถีชีวิตประจำวัน รวมถึงพิธีกรรมต่างๆ มีทั้งรูปคน สัตว์บก สัตว์น้ำ และรูปทรงเรขาคณิต
ภาพมือคนมี 6 นิ้ว นี้จริงๆ แล้วสำรวจพบที่ถ้ำผีหัวโตในคลองบ่อท่อครับ แต่จำลองมาให้นักท่องเที่ยวได้ชมกันด้วย
วิถีชีวิตของมนุษย์ถ้ำยุคแรกๆ บนแผ่นดินกระบี่ น่าจะมีรูปแบบเป็นอย่างนี้เอง คือดำรงชีพด้วยการเก็บ หา ล่า ไล่ และเริ่มสร้างเครื่องมืออย่างง่ายๆ ขึ้นมาเพื่อเป็นอุปกรณ์ล่าสัตว์ ทำอาหาร
ถัดจากมุมจำลองวิถีชีวิตมนุษย์ถ้ำ ก็มีมุมจำลองค่ายพักทหารญี่ปุ่น ซึ่งเคยใช้ถ้ำแห่งนี้เป็นที่หลบภัยสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย
มนุษย์โบราณคงจะอยู่กันกระจัดกระจายเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ดูๆ ไปก็คล้ายกับลิงเอปขนาดใหญ่ ที่เพิ่งพัฒนายืนตั้งตรงและเดินได้ มนุษย์พวกนี้ยังไม่รู้จักก่อไฟ จึงกินอาหารสดกันเหมือนหุ่นจำลองนี้ล่ะครับ
เที่ยวเขาขนาบน้ำเสร็จแล้ว อย่าเพิ่งรีบกลับ ต้องให้คนเรือพาไปชิมอาหารแสนอร่อยที่ร้าน “บ้านมะหญิง” ซึ่งมีลักษณะเป็นร้านอาหาร Seafood บนกระชังปลา รับรองว่าของทุกอย่างสดใหม่ เพราะกระบี่เป็นประมงชายฝั่ง จึงมีของสดให้ชิมไม่เว้นแต่ละวันครับ สังเกตดูขนาดของกุ้ง หอย ปู ปลา บนโต๊ะเอาเองก็แล้วกัน ว่ามันอลังการขนาดไหน?!
เอาภาพมายั่วน้ำลายกันเล่นๆ แบบ Close Up แค่เมนุเดียวพอ คือ กุ้งซอสมะขาม แม่เจ้า!!! กุ้งตัวใหญ่เท่าฝ่ามือเลย!!! แถมน้ำซอสเข้มข้นมะขามเปียก หวานอมเปรี้ยว กินกับข้าวสวยร้อนๆ เจ๋ง!
ระหว่างรอกับข้าวออกจากครัว ใครแรงเหลือจะไปพายเรือคายัคเล่นหน้าแพ ร้านบ้านมะหญิงก็ได้นะ เขามีเรือให้ยืมจ้า
นอกจากจะมีอาหาร Seafood สดอร่อยแล้ว ครัวบ้านมะหญิงยังมีกระชังปลาให้นักท่องเที่ยวสัมผัสวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้านด้วย ถึงกึ๋นจริงๆ นะเนี่ยะ
อิ่มแปล้แล้ว ระหว่างทางกลับท่าเรือ พี่กัปตันใจดียังพาเราลัดเลาะเข้าไปในป่าชายเลนแน่นทึบ บ่งชี้ว่ากระบี่วันนี้ยังมีธรรมชาติสมบูรณ์สมคำร่ำลือจริงๆ
Special Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกระบี่ และผองเพื่อนจากเว็บไซต์เมืองไทยดอทคอม ที่ช่วยสนับสนุนการเดินทาง พร้อมแบ่งปันมิตรภาพดีๆ ให้แก่กันครับ
Traveler’s Guide
When to go : ท่องเที่ยวได้ตลอดปี แต่อากาศปลอดโปร่ง ฟ้าใสที่สุด ช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน
How to go : สามารถไปเที่ยวชมได้โดยเช่าเรือหางยาวที่ท่าเรือเจ้าฟ้า ใช้เวลาเดินทางเพียง 15 นาที ค่าเช่าเรือประมาณ 300-500 บาท และมีค่าเข้าชมถ้ำเขาขนาบน้ำอีกคนละ 30 บาท (ราคาชาวต่างชาติเท่าคนไทย)
Contact : สอบถามเพิ่มเติมที่ ททท. สำนักงานกระบี่ โทร. 0-7562-2163, 0-7561-2811-2
ปล่อยตัวและหัวใจไปกับโลกธรรมชาติ เขากาโรส จ.กระบี่
แนวป่าชายเลนตรงท่าเรือไปเขากาโรส ทุกวันนี้ยังอุดมสมบูรณ์ มีต้นโกงกางเรียงขึ้นกันแน่นเอี๊ยด ทำหน้าที่เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำและปราการธรรมชาติป้องกันคลื่นลมได้อย่างยอดเยี่ยม
เดินไปลงเรือหางยาว (เรือหัวโทง) ที่จอดคอยอยู่ตรงปลายหัวสะพานที่ป่าชายเลน
ทีมงานเราจัดเต็มกับอุปกรณ์กันแดดนานาชนิด รับรองว่าวันนี้ไปเที่ยวเขากาโรสต้องสนุกแน่ พอๆ กับแดดที่ร้อนจัดจนตัวเกรียม! แต่เราก็ยอม เพราะเมื่อฟ้าใส ก็ได้ภาพสวยครับ
ถึงแล้วครับ นี่คือด้านหน้าเขากาโรสก่อนลอดถ้ำทะลุเข้าไปสู่ลากูนด้านใน
เขากาโรส หรือเกาะกาโรส เกาะลึกลับชายฝั่งทะเลกระบี่ ซึ่งเคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์โบราณในยุค 3,000-5,000 ปีก่อน และยังปรากฏร่องรอยภาพเขียนสีบนเพิงผาหินปูนให้ชมกันด้วย นอกจากนี้ยังมีป่าชายเลน พรรณไม้หินปูนแปลกๆ และถ้ำลอดให้พายเรือ หรือนำเรือหางยาวค่อยๆ ลอดเข้าไปชมธรรมชาติภายในลากูนด้านในได้ด้วย
ค่อยๆ แล่นเรือช้าๆ เงียบๆ เข้าสู่ลากูนเขากาโรส ที่เงียบ วังเวง และสวยด้วยธรรมชาติแสนบริสุทธิ์
ตรงบริเวณปากถ้ำทะลุ มีโพรงหินรูปหัวใจ ที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำตามธรรมชาติอยู่ด้วย ว้าว! Amazing มากๆ เหมาะจะมาบอกรักกันตรงนี้มากเลยนะ ฮาฮาฮา
ดับเครื่องเรือ แล้วค่อยๆ แจวช้าๆ เงียบๆ ลอดถ้ำทะลุ สดับฟังสรรพสำเนียงแห่งธรรมชาติ
พี่อิชและน้องตั๊ก แห่งเว็บไซต์เมืองไทยดอทคอม ทำ CSR ปล่อยลูกปลากะพงให้ไปเติบโตขยายพันธุ์ เพิ่มความอุดมแก่ธรรมชาติเขากาโรสต่อไป ต้องขอบคุณท่านประมงจังหวัดกระบี่ ที่เอื้อเฟื้อพันธุ์ลูกปลาให้เราในครั้งนี้ครับ
เพิงผาหินปูนบนเขากาโรส มีร้ิวลายหลากสี เคียงคู่กับพรรณไม้ทนแล้งนานาชนิด
ในบริเวณเกาะกาโรส (เขากาโรส) ยังมีแนวป่าชายเลนอุดมสมบูรณ์มาก นี่ล่ะคือแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ และปราการธรรมชาติป้องกันคลื่นลมได้อย่างดีเยี่ยม
จอดเรือหัวโทงไว้ แล้วชวนกันปีนป่ายขึ้นไปบนจุดชมวิวถ้ำกาโรส
ถึงแล้ว จุดชมวิวตรงปากถ้ำกาโรส เบื้องล่างคือผืนน้ำและป่าชายเลนอุดมสมบูรณ์แน่นทึบ
สาวสวยหนุ่มหล่อคู่นี้ แต่งตัวสีสันไม่เกรงใจเพื่อนเลยนะครับ ฮาฮาฮา (ล้อเล่น) จากปากถ้ำกาโรสมองออกไปเห็นสภาพภูมิทัศน์โดยรวมของบริเวณนี้ได้เต็มตาเลย
เดินกลับลงมาจากถ้ำกาโรส เพื่อลงเรือต่อไปชมภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์ครับ แต่ตอนปีนลงบันไดกลับลงนี่สิลื่นมาก! ต้องก้าวช้าๆ และระมัดระวังให้มาก
บนหน้าผาหินปูนเขากาโรส (เกาะกาโรส) มีภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ อายุ 3,000-5,000 ปีอยู่ 2 กลุ่ม โดยอยู่บนเพิงผาสูง มนุษย์ปัจจุบันขึ้นไม่ถึง วาดด้วยฝุ่นดินหรือยางไม้สีแดง เป็นภาพกิจกรรมการล่าสัตว์ แต่ทุกวันนี้ภาพเลือนลางไปมาก เพราะผ่านกาลเวลาและแดดลมมาเนิ่นนานเหลือเกิน
ดูให้ดีในป่าโกงกางตรงท่าเรือไปเขากาโรส มีฝูงลิงแสมน่ารักๆ ออกมาโชว์ตัวรับแขกอยู่เพียบเลย แต่ขอแนะนำว่าไม่ควรให้อาหารพวกมันนะครับ มันจะเสียนิสัยลิงตามธรรมชาติ แม่ลูกคู่นี้นั่งสังเกตการณ์เราตาไม่กะพริบเลยเชียว
Special Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกระบี่ และผองเพื่อนจากเว็บไซต์ เมืองไทยดอทคอม สนับสนุนการเดินทางทริปนี้ ด้วยมิตรภาพ และไมตรีอันน่าจดจำ
Traveler’s Guide
Best season : ท่องเที่ยวได้ตลอดปี แต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน ฟ้าใส ทะเลสงบที่สุด
How to go : จากตัวเมืองกระบี่ไปตามทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ประมาณ 45 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงชนบทหมายเลข 4039 ประมาณ 14 กิโลเมตร สุดท้ายจะถึงท่าเรือบ้านแหลมสัก จากนั้นลงเรือหางยาว (เรือหัวโทง) ต่อไปยังเขากาโรส ใช้เวลาท่องเที่ยวประมาณครึ่งวัน แนะนำให้ไปเที่ยวช่วงเช้า เพราะช่วงบ่ายแดดจะร้อนมาก และเรือนำเที่ยวที่นี่ไม่มีหลังคา แนะนำให้เตรียมร่ม, หมวก, แว่นกันแดด, ครีมกันแดด, เสื้อแขนยาว ไปด้วยครับ
Contact : สอบถามเพิ่มเติมที่ ททท. สำนักงานกระบี่ โทร. 0-7562-2163, 0-7561-2811-2
In Love with Art @ราชบุรี
“ราชบุรี” หนึ่งในจังหวัดชายแดนตะวันตกซึ่งอาบอิ่มด้วยธรรมชาติ เป็นดินแดนใกล้กรุงอันน่าเที่ยว วันนี้เขามีการพลิกฟื้นเมืองให้เต็มอิ่มสีสันด้วย “ศิลปะร่วมสมัย” เป็นแนว Trendy & Modern Art ที่ใช้ความคลาสสิกของราชบุรีเป็นฉาก ทั้ง Art Gallery การแสดง งานหัตถกรรม และ Art ในวิถีแห่งผู้คน ทริปนี้ร่วมกันเดินทางไปเปิดมุมมองใหม่ในการท่องเที่ยวราชบุรีกันเถอะ
เราเริ่มต้นทริปแบบ Art Art ในบรรยากาศแสนโรแมนติกกันที่อำเภอสวนผึ้ง ซึ่งอยู่ห่างตัวเมืองราชบุรี ไปเพียง 60 กิโลเมตร เขาบอกว่าอำเภอนี้คือผืนป่าใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด คือห่างกันเพียง 160 กิโลเมตร อากาศจึงบริสุทธิ์ เย็นสบาย วันนี้เห็นสวนผึ้งกำลังเติบโต มีรีสอร์ทเก๋ๆ เท่ๆ แต่งแต้มสีสันเมืองพักผ่อนแห่งนี้ให้มีชีวิตชีวา
“สวนศิลป์ บ้านดิน” ธรรมชาติสถานเพื่อการเรียนรู้งานศิลป์ แห่งตำบลเจ็ดเสมียน ตั้งอยู่ในพื้นที่กว่า 3 ไร่ ร่มรื่นด้วยแมกไม้ธรรมชาติ สวนสวย สระน้ำ และสวนมะม่วง ธรรมชาติและศิลปะจึงเข้าคู่กันได้อย่างลงตัว พร้อมด้วยที่พักสไตล์บ้านดินอันมีเอกลักษณ์ ได้มาเยือนแล้วสบายตาสบายใจ สถานที่แห่งนี้อยู่ในความดูแลของภัทราวดีเธียเตอร์ ก่อตั้งขึ้นโดยครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน ร่วมกับครูนาย มานพ มีจำรัส ศิลปินเจ้าของรางวัลศิลปาธร สาขาศิลปะการแสดง เพื่อให้เป็นศูนย์กลางพบปะของศิลปิน พร้อมด้วยเวทีการแสดงเปิดกว้างอย่างสร้างสรรค์ โดยในโครงการ In Love with Art @Ratchaburi ครูนายได้เนรมิตการแสดงชุด “เจ้าจันท์ ผมหอม” ให้ชม เป็นการแสดงร่วมสมัยที่ดันแปลงมาจากนวนิยายรางวัลซีไรท์ ของคุณมาลา คำจันทร์ เนื้อเรื่องลึกซึ้งกินใจ
“โรงงานเซรามิกก เถ้าฮงไถ่” โรงงานแรกที่คิดทำ “โอ่งมังกร” ขึ้นใช้ในราชบุรีเมื่อกว่า 80 ปีก่อน จนโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศในปัจจุบัน ประวัติเขาเล่าว่า สมัยก่อนคนราชบุรีไม่มีน้ำประปาใช้ ทุกบ้านจึงต้องมีโอ่งไว้เก็บน้ำฟ้าน้ำฝนไว้ใช้กินดื่มกัน ภายหลังเมื่อเริ่มมีน้ำประปาใช้แล้ว โอ่งจึงลดความสำคัญลง ทว่าโอ่งมังกรแห่งราชบุรีซึ่งมีลวดลายสวยงาม ไม่เหมือนใคร อีกทั้งมีคุณภาพทนทานแข็งแรงมาก ก็เร่ิมพัฒนาจากโอ่งใช้งาน กลายเป็นโอ่งประดับสวน แล้วมีการคิดค้นรูปแบบใหม่ เป็นตุ๊กตาโน่นนี่นั่น รวมทั้งกระถางบัว กระถางต้นไม้ แจกัน โต๊ะ เก้าอี้ ที่ใส่เทียนหอม อ่างบัว และตุ๊กตาไม่จำกัดรูแบบหรือขนาด ทุกวันนี้เราสามารถเข้าชมโรงงานและขั้นตอนการผลิตได้ทุกวัน แถมมีส่วนให้เราทดลองทำเองด้วย
“เมืองเก่าโพธาราม” ที่ได้รับนิยามว่า “เมืองเล็กที่จะทำให้คุณหลงรัก” เป็นชุมชนเล็กๆ ริมลำน้ำแม่กลอง ซึ่งจะว่าไปแล้วเคยยิ่งใหญ่ เพราะเป็นชุมทางค้าขายสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์เคยเสด็จฯ เยือน แล้วทรงมีพระราชหัตถเลขาว่า “ตำบลโพธารามนี้เป็นที่ตลาดอย่างสำเพ็ง ยืดยาวมาก ผู้คนหนาแน่น จำนวนคนมีถึง 40,000 มากกว่าอำเภอเมืองราชบุรีเสียอีก” เนื่องจากอดีตไม่มีถนน ผู้คนจึงใช้เรือขึ้นล่องผ่านโพธารามทั้งสิ้น ถิ่นนี้กลายเป็นเบ้าหลอมทางวัฒนธรรมของชน 4 เชื้อชาติ ทั้งไทย จีน มอญ และลาว ย่านเก่าเล่าเรื่องอดีตของโพธารามอยู่ใน “ถนนโพธาราม” ซึ่งมีเรือนไม้เก่าอายุ 100-120 ปี เรียงรายต่อกัน เริ่มต้นเที่ยวได้จากเรือนไม้สองชั้นชื่อ “บ้านแม่เลขา” เดินทอดน่องลัดเลาะตามตรอกซอกซอย ชมร้านรวงที่เริ่มมีความเป็น Art เข้าไปสร้างชีวิตชีวา และกำลังจะมีที่พักสไตล์บูกติกย้อนยุคเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ จากนั้นเดินเก็บภาพประทับใจไปยังริมน้ำ ไหว้พระวัดไทรอารีรักษ์ ชมเก๋งจีนสูงเกือบเท่าตึก 2 ชั้น สร้างอยู่ในโบสถ์ ถ้ามาในวันลอยกระทงก็จะได้ “ลอยกระทงสี” จุดประทีปรอบวัดสว่างไสว
“ตลาดเจ็ดเสมียน” ตลาดเก่า 119 ปี ที่ยังคงมีชีวิตชีวา เหมาะสำหรับคนโหยหาอดีต ได้ไปเดินเล่นชื่นชมวิถีชีวิตอันเรียบง่าย ตลาดแห่งนี้ตั้งอยู่หน้าสถานีรถไฟเจ็ดเสมียนพอดิบพอดี ที่ตรงนี้เป็นชุมชนชาวจีนอันเก่าแก่ ปรากฏชัดด้วยร่องรอยบ้านไม้สองชั้นปลูกเรียงรายติดกันเป็นพืด ไล่ไปจนจรดลานริมน้ำ เราสามารถหาของกินอร่อยๆ ได้เพียบ ตั้งแต่ข้าวหมากหวาน, ข้าวหลามแสนอร่อย, ห่อหมกปลา, ผัดไทยโบราณ, ขนมหวานแบบไทยๆ ไปจนถึงอาหารสไตล์จีนขึ้นชื่อ คือ “หัวไชโป้ว” ร้านแม่ตังกวย ดั้งเดิมทำเฉพาะหัวไชโป้วเค็ม ต่อมาภายหลังปรุงให้กินง่ายขึ้นเป็นหัวไชโป้วหวาน มีทั้งแบบมาเป็นหัวๆ หั่นเป็นชิ้นลูกเต๋าพอดีคำ หั่นเป็นเส้นฝอยๆ ฝานเป็นแว่น หรือแบบผสมพริกก็มี ฯลฯ
เราเดินทางตามรอยตำนานโอ่งมังกรราชบุรี เพื่อไปเยี่ยมชมผลงานของลูกหลานรุ่นที่ 3 ของเถ้าฮงไถ่ คุณวศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ ซึ่งได้ก่อตั้งอาร์ตแกลลอรี่แห่งแรกขึ้นในราชบุรี เมื่อไม่นานมานี้เอง และขอบอกว่าเป็นอาร์ตแกลลอรี่เล็กๆ แต่น่ารัก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลองกลางเมืองราชบุรี ใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องสะดุดตา เพราะเขาได้บูรณะเรือนไม้เก่าสองชั้นจนกลายเป็นที่จัดแสดงงานศิลป์ สวยงาม แปลกตา น่าชื่นชมจริงๆ ที่นี่ชื่อก็แปลก คือ “D Kunst Gallery” อ่านออกเสียงว่า ดี-คุ้น เป็นภาษาเยอรมัน แปลว่า “ศิลปะ” นั่นเอง แต่ชื่อเต็มๆ ของเขาออกจะยาวหน่อย คือ “พิพิธภัณฑ์หอศิลป์ร่วมสมัย เถ้าฮงไถ่ : ดี คุนส์” (D Kunst Gallery) ตั้งอยู่ที่ถนนวรเดช หน้าเขื่อนเมืองราชบุรี เป็นอาร์ตแกลลอรี่ร่วมสมัย ที่มีผลงานของศิลปินจากทั่วประเทศหมุนเวียนกันมาให้ชม ในบรรยากาศเรือนไม้เก่าสไตล์จีนแสนคลาสสิก เขาเนรมิตเขื่อนปูนริมน้ำแม่กลองให้กลายเป็น Street Art ชวนศิลปินมาเพ้นต์ภาพสีสันสดใส เป็นภาพขนาดใหญ่เรียงรายยาวเกือบ 2 กิโลเมตร สร้างสีสันนำศิลปะมาสู่วิถีชีวิตจริง ให้คนราชบุรีและนักท่องเที่ยวสัมผัสอย่างใกล้ชิด
“The Scenery Resort and Farm” ที่พักแนวบูติกรีสอร์ทธรรมชาติ ซึ่งพลิกผันตัวเองกลายมาเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวเชิงศิลปะร่วมสมัยของราชบุรี ที่อีกไม่นานเขาจะเปิดเป็น Farm Stay ให้นักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพเข้าไปพักผ่อนเรียนรู้ธรรมชาติ โดยพักกันอยู่นานๆ แบบเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ในอ้อมกอดขุนเขาและป่าไม้ของอำเภอสวนผึ้ง The Scenery เข้าร่วมโครงการ In Love with Art @Ratchaburi จัด Outdoor Concert ในฟาร์มแกะ พร้อมจุดเทียนหอมนับหมื่นดวง! ให้ฟาร์มสว่างไสวในยามราตรี เคล้าเคลียอากาศเย็นฉ่ำ ชักนำนักท่องเที่ยวที่คลั่งไคล้ไหลหลงในศิลปะ และบทเพลงแบบ Love Love เข้ามารวมตัวกัน ถือเป็นการสร้างแนวท่องเที่ยวใหม่ให้แก่ราชบุรี นอกจากจะได้เข้าไปพักผ่อนเติมเต็มพลังงานชีวิตกับธรรมชาติของสวนผึ้งแล้ว ยังจะได้ใกล้ชิดศิลปะอย่างแท้จริง
ใครมาเที่ยวสวนผึ้งต้องไปแวะที่ “บ้านหอมเทียน” อีกหนึ่งสถานที่ซึ่งมีกลิ่นอายศิลปะเข้ามาเจือปน จนสามารถดึงดูดผู้คนได้ไม่ขาดสาย ที่นี่คือแหล่งจำหน่ายเทียนหอมสไตล์โมเดิร์นหลากหลายรูปแบบ น่าใช้ น่ามอง ยิ่งเวลาจุดในห้องกลิ่นจะหอมชื่นใจ ทำให้รู้สึกสดชื่น เทียนเขาเก๋มาก มีทั้งเป็นก้อนสี่เหลี่ยม ลวดลาย สีสันสดใสน่ารัก ใช้เป็นของวางประดับบ้านก็ยิ่งดี หรือจะเป็นเป็นเทียนในถ้วยแก้ว จุดแล้วสว่างไสว หรี่ไฟที่บ้านลงนิดนึง แสงเทียนจะโดดเด่นน่ามอง ซื้อหากลับบ้านกันไปเป็นของฝากแสนน่ารัก พอช้อปเสร็จ เขายังมีมุมสวนหย่อมน่านั่ง ให้ดูดดื่มกาแฟเย็นๆ ในบรรยากาศชิลชิล อย่างนี้สิน่า ใครมาสวนผึ้งก็ต้องหลงรัก
ได้เวลากลับบ้านแล้ว ทริปนี้เราพกพาเอาความประทับใจกันมาเต็มเปี่ยม พร้อมด้วยเรื่องราวของศิลปะ ที่ศิลปินสาขาต่างๆ ได้ช่วยกันสร้างสรรค์ปั้นแต่งขึ้น ให้ราชบุรีมีมุมมองใหม่ เป็นจุดหมายใหม่ในการท่องเที่ยวเชิงศิลป์ เพื่อสืบสานศิลปะให้อยู่คู่โลกสวยใบนี้ตลอดไป
Special Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ฝ่ายสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว สนับสนุนการเดินทาง
Traveler’s Guide
Best season : ท่องเที่ยวได้ตลอดปี แต่เขตอำเภอสวนผึ้งในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายม อากาศร้อนจัด
How to go : รถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ มี 2 เส้นทางให้เลือก คือ ถนนสายเก่าสายเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) ผ่านบางแค-อ้อมน้อย-อ้อมใหญ่-นครชัยศรี-นครปฐม-ราชบุรี และเส้นทางสายใหม่ (ทางหลวงหมายเลข 338) กรุงเทพฯ-พุทธมณฑล-นครชัยศรี เข้าถนนเพชรเกษมบริเวณอำเภอนครชัยศรี ก่อนถึงตัวเมืองนครปฐมประมาณ 16 กิโลเมตร จากนั้นใช้ถนนเพชรเกษมตรงไปตัวเมืองราชบุรี รวมระยะทาง ประมาณ 100 กิโลเมตร ส่วนการเดินทางไปอำเภอสวนผึ้ง จากตัวเมืองราชบุรี ใช้ทางหลวงหมายเลข 3087 ที่จะไปอำเภอสวนผึ้ง-จอมบึง ระยะทาง 60 กิโลเมตร ก็ถึงแล้ว
Where to stay : สวนศิลป์บ้านดิน เจ็ดเสมียน อำเภอโพธาราม โทร. 0-3239-7668, 08-1831-7041 www.facebook.com/SuansilpBandin และ Aristo Chic Resort & Farm อำเภอสวนผึ้ง โทร. 08-5566-5533, 08-0985-5666 www.aristo-resort.com
What to eat : ก๋วยเตี๋ยวไข่คุณแหม๋ม ถนนราษฏรยินดี อำเภอเมืองราชบุรี อยู่ข้างโรงพยาบาลพร้อมแพทย์ โทร. 08-1944-5406 เปิดทุกวัน เวลา 07.00-17.00 น. ร้านนี้อร่อยทั้งของหวานของคาว คนแน่นตลอดวัน
Souvenirs : หัวไชโป้วแม่ตังกวย ตลาดเจ็ดเสมียน โทร. 0-3239-7090, 08-3546-6614
More info : ททท. สำนักงานจังหวัดราชบุรี โทร. 0-3247-1005-6 / ชมรมอย่าลืม… โพธาราม โทร. 08-6318-2391 / บ้านหอมเทียน อำเภอสวนผึ้ง โทร. 08-1841-1895, 08-5845-7379 / โรงงานเซรามิก เถ้าฮงไถ่ อำเภอเมืองราชบุรี โทร. 0-3233-7574, 08-6344-9191 www.thtceramic.com / D Kunst Gallery อำเภอเมืองราชบุรี โทร. 08-1880-3600, 0-3232-3630
Green Circle เลย-เพชรบูรณ์-พิษณุโลก
สีเขียว เป็นสีที่ดูแล้วสบายตาที่สุด โดยเฉพาะแมกไม้เขียวร่มครึ้ม ทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม และผืนป่าอุดม เหล่านี้ล้วนสะท้อนถึงความมั่งคั่งทางทรัพยากรธรรมชาติที่บ้านเรามีอยู่ เส้นทางท่องเที่ยวสาย “Green Circle” จากจังหวัดเลย-เพชรบูรณ์-พิษณุโลก เป็นหนึ่งในเส้นทางสีเขียวที่หลากหลายและสวยงามที่สุดของไทย ใครชื่นชอบป่าเขาลำเนาไพร สายน้ำ กิจกรรมสนุกๆ หรือต้องการชื่นชมวิถีวัฒนธรรมชุมชนก็มีพร้อม
“อุทยานแห่งชาติภูสวนทราย” (อุทยานแห่งชาตินาแห้ว) ภูมิทัศน์ยามเช้าในขุนเขาช่างแสนคลาสสิก มีสายหมอกขาวค่อยๆ ลอยลงคลอเคลียผืนป่ารกชัฏเขียวครึ้ม ซึ่งก็คือหนึ่งในผืนป่าที่มีต้นค้อเหลืออยู่มากที่สุด เนื่องจากอดีตพื้นที่แถบนี้เคยมีการสู้รบ ป่าต้นค้อจึงถูกทำลายไปเกือบหมด ประกอบกับชาวบ้านนิยมเก็บลูกค้อมารับประทาน ทำให้ต้นค้อขยายพันธุ์ได้ยากยิ่งตามธรรมชาติ โชคดีที่ภูสวนทรายอนุรักษ์ป่าค้อผืนนี้ไว้ให้เราได้ยล พอเพ่งพินิจดีๆ ที่แท้เจ้าต้นค้นก็คือไม้วงศ์ปาล์มนั่นเอง มันมีลำต้นสูงชะลูดหลายสิบเมตร ยอดเป็นพุ่มกลมสูงเด่นจากยอดไม้ชนิดอื่นขึ้นมาเห็นได้ชัด
“พระธาตุศรีสองรัก” ศูนย์รวมศรัทธาคนเมืองเลยทั้งมวล นี่คือตัวแทนแห่งสัมพันธไมตรีระหว่างกรุงศรีอยุธยา และกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) ที่สืบต่อมาให้ลูกหลานได้สืบสานสมานฉัน แต่ผู้ที่จะขึ้นไปนมัสการ ต้องไม่สวมเสื้อผ้าสีแดง หรือนำวัตถุใดๆ ที่มีสีแดงขึ้นไปโดยเด็ดขาด เป็นธรรมเนียมมาแต่โบราณ บรรยากาศรอบองค์พระธาตุศรีสองรักสงบร่มเย็น กลิ่นอายอบอวลด้วยศรัทธาและกลิ่นธูปควันเทียน
“พิพิธภัณฑ์ผีตาโขนวัดโพนชัย” ซึ่งมีลักษณะเป็นบ้านทรงไทยสร้างด้วยไม้อย่างดี ภายในมีห้องจัดแสดงหุ่นผีตาโขนหลากสีหลายขนาด ทั้งผีตาโขนเล็กที่คนทั่วไปเล่นกัน และผีตาโขนใหญ่ที่อนุญาตให้ทำได้ปีละ 2 ตัว เพื่อแห่ไปในวันพิธี จริงๆ แล้วงานผีตาโขนเป็นส่วนหนึ่งของงานบุญหลวง หรือบุญผะเหวด ที่รวมเอางานเทศมหาชาติ งานแห่พระเวสสันดร (แห่ผีตาโขน) และงานบุญบั้งไฟ ไว้ในงานเดียวกัน ปกติจัดขึ้นช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม มักตรงกับวันเสาร์-อาทิตย์ หลังขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ทุกปี หลังงานนมัสการพระธาตุศรีสองรักแล้ว
“วัดโพธิ์ชัย” อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย เก่าแก่กว่า 400 ปี สร้างแบบศิลปกรรมล้านนาผสมล้านช้าง (ลาว) ภายในโบสถ์ มีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวพุทธประวัติ และวิถีชีวิตท้องถิ่นอันน่าชม นับเป็นจุดที่น่าไหว้พระขอพรอย่างยิ่ง
“พระธาตุวัดผาแก้ว” มหาเจดีย์สีทองที่ทำให้เราตื่นตา ในความวิจิตรของลวดลาย และตะลึงกับขนาดอันใหญ่โตโอฬาร ซึ่งมีทั้งสถานปฏิบัติธรรม สวนสวย และองค์พระธาตุที่มีลวดลายไม่เหมือนใคร คือใช้ทองคำ เงิน และเพชรนิลจินดาแท้ๆ มาประดับ ส่วนภายนอกก็ใช้กระเบื้องหลากสี ถ้วยชามสังคโลก และสร้อยหินสีล้ำค่ามาตกแต่ง งามราวเทพนฤมิตร
“อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง” บริเวณหน่วยหนองแม่นา จังหวัดพิษณุโลก มีสภาพเป็นทุ่งหญ้าสะวันนาเมืองไทย ในท้องทุ่งสีเขียวผืนใหญ่ที่มีต้นไม้งอกงามอยู่เป็นกลุ่มๆ ชวนให้นึกถึงภาพสัตว์ป่าพวกเก้งกวางที่ออกมากิน ถ้ามีเวลาพอต้องช่วยกันทำโป่งเทียม เพื่อให้สัตว์กินพืชที่ต้องการสารอาหารเพิ่มเติมแก่ร่างกายมากินกัน เราเดินจากที่ทำการหน่วยหนองแม่นาไป 500 เมตร จนถึงแหล่งดินโป่ง จึงช่วยกันขุดหลุม แล้วนำเกลือโรยลงไป รดน้ำ กลบดิน
ความสนุกคงยังไม่สิ้นสุด เสียงสายน้ำซัดซ่าในลำน้ำเข็ก อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก กำลังร้องเรียกเราอยู่ อดรนทนไม่ไหวเลยพากันเปลี่ยนชุดไปล่องแก่ง แต่ขอบอกว่าพิเศษกว่าทุกครั้ง เนื่องจากเป็นการ “ล่องแก่งเก็บขยะ” โดยชมรมรักษ์ลำน้ำเข็ก
เส้นทาง Green Circle สีเขียวเย็นตาในเขตเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้ฉายาเก๋ไก๋ว่า “สวิตเซอร์แลนด์แดนสยาม” จะจริงหรือไม่? เราจะได้ชมทิวเขาสีเขียวสลับซับซ้อน ทอดยาว พร้อมด้วยสายหมอกขาวลอยเรี่ยละเมียดละไม อากาศที่เย็นฉ่ำตลอดปี ทำให้บนเขาค้อมีต้นสนงอกงามเป็นทิว มองๆ ไปคล้ายวิตเซอร์แลนด์จริงๆ ด้วย บนเขาค้อมีร้านกาแฟช่วง กม. 95 ของถนนพิษณุโลก-หล่มสัก ชื่อร้าน Route 12 จากจุดนี้สามารถชมทัศนียภาพขุนเขาได้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ชวนกันไปนั่งจิบกาแฟ ชิมเค็กอร่อยๆ หรือดูดดื่มกาแฟลาเต้เย็นๆ แล้วเข้าไปนอนค้างแรมในรถบ้าน Camper Van ในสนามหญ้ากว้างของ Route 12 แสนคลาสสิกจริงๆ
Traveler’s Guide
How to go : เส้นทาง Green Circle เลย-เพชรบูรณ์-พิษณุโลก จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางอยุธยา-สระบุรี เข้าทางหลวงหมายเลข 21, 203, 2113, 2168 สู่อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย จากนั้นกลับลงมาอำเภอหล่มสัก ใช้ทางหลวงหมายเลข 12 เที่ยวบนเขาค้อ ป่าสนทุ่งแสลงหลวง ล่องแก่งลำน้ำเข็ก ขากลับแวะเมืองพิษณุโลกไหว้พระพุทธชินราช แล้วกลับกรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางพิษณุโลก-นครสวรรค์-อุทัยธานี-ชัยนาท-สิงห์บุรี-อ่างทอง-พระนครศรีอยุธยา-ปทุมธานี-กทม.
Where to stay : จังหวัดเลย PhuNaCome Resort โทร. 0-4289-2005-6 www.phunacomeresort.com / Phu Pha Nam Resort & Spa โทร. 0-4207-8078-9, 08-1407-7577 www.phuphanamresort.com / Rungyen Resort โทร. 0-4280-9511-3 www.rungyenresort.com สำหรับที่เขาค้อเพชรบูรณ์ แนะนำ Maethaneedol Resort & Restaurant โทร. 0-5675-0503-5 www.maethaneedolresort.com พิษณุโลก แนะนำ Rain Forest Resort โทร. 0-5529-3085-6 www.rainforestthailand.com
What to eat : ร้านอาหารที่เลย แนะนำ ร้านบ้านยาย เมนูเด็ด หมี่ผัดกะทิ โทร. 0-4283-3361, 08-5457-3573 ที่เพชรบูรณ์ แนะนำ ร้าน Eating Out Route 12 มีอาหารหนัก เค็ก และเครื่องดื่มเย็นๆ บริการ โทร. 08-1206-7211, 08-9527-1723 ที่พิษณุโลก แนะนำ Rain Forest มีแกงคั่วอกเป็ดรมควัน น้ำพริกป่าฝน หมูพันตะไคร้ ไอศกรีมเรนฟอเรสท์ ฯลฯ โทร. 0-5529-3085-6
Info : ชมรมรักษ์ลำน้ำเข็ก โทร. 08-1395-9575, 0-5529-3085-6 / อุทยานแห่งชาติภูสวนทราย โทร. 0-4280-7616 / อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง โทร. 0-5526-8019, 08-6208-2473
ปู้น ปู้น เที่ยวไปกับรถไฟหัวจักรไอน้ำโบราณ
ในยุคปี พ.ศ. นี้ คนไทยเรากำลังตื่นเต้นกับการกำลังจะก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปีหน้านี้แล้ว หลายคนกำลังฝันค้างกับรถไฟความเร็วสูงแบบหัวจรวด ที่พาผู้โดยสารจากกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ได้ในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง! แต่จะมีสักกี่คนที่คิดถึงอดีต คิดถึงบรรยกาศเก่าๆ เมื่อครั้งที่ประเทศสยามของเราเพิ่งมีรถไฟหัวรถจักรไอน้ำวิ่งเป็นครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ 5 วันนี้แทบไม่มีใครนึกภาพออกแล้วว่า หน้าตาของรถไฟหัวรถจักรไอน้ำเป็นแบบไหน?
ทุกวันนี้หัวรถจักรไอน้ำโบราณของไทยเราได้รับการนำไปเก็บรักษาไว้ที่โรงรถจักรธนบุรี ริมคลองบางกอกน้อย โดยมีอยู่ทั้งหมด 5 หัว ที่สั่งซื้อมาจากประเทศญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ หัวรถจักรแบบโมกุล (C56) มี 2 คัน คือหมายเลข 713 และ 715 หัวรถจักรแบบแปซิฟิค มี 2 คันเช่นกัน คือหมายเลข 824 และ 850 รวมถึงหัวรถจักรแบบมิกาโด หมายเลข 953 ซึ่งทั้งหมดได้รับการซ่อมใหญ่ ปรับปรุงจนมีสภาพสมบูรณ์ สามารถนำมาวิ่งรับส่งผู้โดยสารหรือวิ่งโชว์ตัวได้จริงๆ เพียงปีละ 4 วัน เป็นขบวนรถพิเศษนำเที่ยว ในวันที่ 26 มีนาคม (วันสถาปนากิจการรถไฟ), วันที่ 12 สิงหาคม (วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสริริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ), วันที่ 23 ตุลาคม (วันปิยมหาราช) และวันที่ 5 ธันวาคม (วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช)
หลายชั่วโมงผ่านไป รถไฟเราหยุดแวะที่สถานีบางปะอิน เป็นเวลา 15 นาที ปล่อยให้เราลงไปชื่นชมกับสถาปัตยกรรมยุโรปย้อนยุคอันแสนงดงาม ของ “พลับพลาที่ประทับ รัชกาลที่ 5” ซึ่งปกติไม่เคยเปิดให้ใครชมมาก่อน แต่ตอนนี้ทางจังหวัดอยุธยากำลังอยู่ระหว่างปรับปรุงเพื่อเปิดเป็น แหล่งท่องเที่ยวใหม่ พลับพลานี้รัชกาลที่ 5 ทรงเคยใช้ประทับเมื่อครั้งเสด็จพระราชวังบางปะอิน รวมถึงในหลวง รัชกาลที่ 9 พร้อมด้วยสมเด็จพระราชินี ก็ทรงเคยเสด็จประทับเช่นกัน ภายในพลับพลานี้งามด้วยกระจกสเตนกลาสจากอิตาลีแท้ๆ พร้อมด้วยการฉลุลายไม้อย่างวิจิตร แบบยุควิคตอเรียของยุโรป รวมถึงยังมีตราประจำรัชกาลของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ประดับตกแต่งอยู่ที่นี่ด้วย
ปู้นๆ ปู้นๆ เสียงสัญญาณลากยาว พร้อมกับไอน้ำสีขาวกลุ่มใหญ่พวยพุ่งออกจากหัวรถจักร เอาตอนเช้าตรู่ นำเราออกจากสถานีรถไฟหัวลำโพงมุ่งหน้าสถานีพระนครศรีอยุธยา เสียงหวูดนั้นไพเราะจับใจ จนเราอยากจดจำไว้นานๆ ลืมบอกไปว่ารถไฟของเราแล่นด้วยความเร็วแค่ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แบบ Slow Train ให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ Slow Travel อิ่มเอมกับบรรยากาศวิวทิวทัศน์ท้องทุ่งและผู้คนสองข้างทางไปตลอด
รถไฟหัวจักรไอน้ำของเราในวันนี้คือ หัวจักรแบบแปซิฟิคหมายเลข 824 ซึ่งดูแล้วบึกบึนน่าเกรงขาม สมเป็นรถไฟรุ่นคุณปู่ที่ยังคงมีสภาพสวยงามแสนคลาสสิก จนรถไฟสมัยใหม่ต้องอายไปเลย ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟหน้า ล้อเหล็กขนาดใหญ่ที่มีฟันเฟืองอะไรไม่รู้เต็มไปหมด รวมถึงท่อไอน้ำที่มักจะพ่นปู้นๆ เป็นสัญญาณอย่างที่คนรุ่นก่อนๆ คุ้นเคยกัน แต่คนรุ่นนี้คงไม่รู้จักเสียแล้ว
หลังจากรถไฟหัวจักรไอน้ำรุ่นคุณปู่นำเรามาถึงสถานีรถไฟพระนครศรีอยุธยาแล้ว ก็ได้เวลาตระเวนเที่ยวไหว้พระ 4 จังหวัด อยุธยา-สิงห์บุรี-อ่างทอง-ชัยนาท ทำบุญเสริมสร้างบารมีให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง แต่นอกจากไหว้พระแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะขอแวะเข้าไปศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยา และชมวิวท้องทุ่งนาสีเขียวสวยๆ ของชัยนาทด้วย
“ศูนย์ท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และหอศิลป์ร่วมสมัยอโยธยา” ชมประวัติความเป็นมาอันยาวนานของราชธานีโบราณ เมืองมรดกโลกอันสงบสุข ผูกพันอยู่กับสายน้ำใหญ่ถึง 3 สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำลพบุรี, แม่น้ำป่าสัก บ้านเมืองนี้จึงสมบูรณ์ มั่งคั่ง ในน้ำมีปลาในนามีข้าวมาจนถึงทุกวันนี้ ตัวอย่างเช่น เมื่อได้ไปเยือนวัดใหญ่ชัยมงคล เราคงตกตะลึงกับพระปรางค์ทรงลังกาขนาดใหญ่ที่สุดในอยุธยา ลองสังเกตพระพักตร์ของพระพุทธรูปวัดนี้ให้ดี จะพบว่ามีพุทธลักษณะอิ่มเอิบ งดงาม แลใจเย็น เป็นมิตร ทำให้ใจผู้มาเยือนจากแดนไกลอย่างเราสงบ สะท้อนว่ายุคที่อยุธยารุ่งเรืองสุดขีดนั้น บ้านเมืองคงยิ่งใหญ่ไม่แพ้ราชธานีใดบนแผ่นดินสุวรรณภูมิเลย
“ตลาดโก้งโค้ง” ชิมอาหารโบราณย้อนยุคอร่อยๆ อย่างผัดไทยกุ้งสด, ก๋วยเตี๋ยวเรือ ต่อด้วยของหวานอย่างขนมกล้วยนาบ, บัวลอยไข่หวาน และอีกสารพัด
“พระนอนวัดขุนอินทประมูล” จังหวัดอ่างทอง ซึ่งเป็นพระนอนยาวอันดับ 2 ของประเทศไทย คือยาวถึง 50 เมตร (รองจากพระนอนวัดบางพลีใหญ่กลาง สมุทรปราการ ยาว 53 เมตร และพระนอนจักรสีห์ สิงห์บุรี ยาว 47 เมตร) พระนอนองค์นี้มีพระพักตรงดงามได้สัดส่วนมาก แสดงออกถึงความเมตตา เรามากราบไหว้จึงรู้สึกสุขใจ อีกทั้งโดยรอบวัดมีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ทำให้บรรยากาศสงบร่มเย็นเป็นธรรมชาติ
“วัดไชโยวรวิหาร” อ่างทอง หรือที่ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า วัดเกษไชโย มีองค์พระประธานในโบสถ์ สูงถึง 22.65 เมตร นามว่า พระมหาพุทธพิมพ์ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสมเด็จโตวัดระฆัง แต่ต่อมาทลายลง แล้วมีการบูรณะใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 จนองค์พระมีขนาดใหญ่โตจนเราแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เรียกว่าต้องแหงนมองคอตั้งบ่ากันเลยทีเดียว
มาเยือนชัยนาททั้งที ก็อย่าลืมหาโอกาสไปล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยา ชมวิถีชีวิตสองฟากฝั่ง เส้นทางเริ่มจากวัดพระบรมธาตุวรวิหาร ไปถึงเขื่อนเจ้าพระยา ใช้เวลาแค่ 40 นาที แต่ประทับใจไปนานแสนนาน กับธรรมชาติอันงดงามตามวิถีภาคลุ่มน้ำภาคกลาง เมืองอู่ข้าวอู่น้ำ
เสร็จแล้วก็มาห่มผ้าพระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ “วัดพระบรมธาตุวรวิหาร” ซึ่งมีบ่อน้ำโบราณ เป็นบ่อน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เคยเหือดแห้ง ชาวบ้านนิยมเดินทางมานำน้ำนี้ไปอาบกินเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตมาหลายชั่วอายุคนแล้ว
“วัดปากคลองมะขามเฒ่า” จังหวัดชัยนาท ของหลวงปู่ศุข เกจิอาจารย์ชื่อดังจอมขมังเวชวิชาอาคมต่างๆ ผู้เป็นพระอาจารย์ของเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรฯ แม้หลวงหลวงปู่ศุขจะละสังขารไปนานแล้ว ทว่าชื่อเสียงของท่านยังคงอยู่ เมื่อกราบพระแล้ว ก็ต้องเข้าไปในวิหารหลังเล็ก ชมภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือของกรมหลวงชุมพรฯ แท้ๆ ที่ท่านได้วาดฝากฝีมือไว้ครั้งมาร่ำเรียนวิชาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าอยู่หลายปี เห็นแล้วเป็นบุญตาจริงๆ
“วัดหน้าพระเมรุ” วัดเดียวสมัยกรุงแตก ที่ไม่โดนพม่าเผาทำลาย เนื่องจากพม่าใช้เป็นที่ตั้งฐานทัพ แล้วใช้ปืนใหญ่ระดมยิงเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง จุดเด่นของวัดนี้คือพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่อย่างกษัตริย์ ซึ่งจะหาชมที่อื่นใดไม่ได้อีกแล้ว
Special Thanks : ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานชัยนาท, อ่างทอง, สิงห์บุรี, พระนครศรีอยุธยา และชาวจังหวัดชัยนาททุกคน ที่ช่วยสนับสนุนการเดินทางทำสารคดีเรื่องนี้เป็นอย่างดี
Traveler’s Guide
How to go : นั่งรถไฟจากหัวลำโพง ไปลงที่สถานีพระนครศรีอยุธยา แล้วนั่งรถเที่ยวต่อในเส้นทาง อยุธยา-สิงห์บุรี-อ่างทอง-ชัยนาท จากนั้นนั่งรถไฟกลับ ใช้เวลา 2 วัน 1 คืน ในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ได้สบาย ใครอยากนั่งรถไฟหัวจักรไอน้ำ มีแค่ปีละ 4 ครั้ง คือ วันที่ 26 มีนาคม, 12 สิงหาคม, 23 ตุลาคม และ 5 ธันวาคม สนใจติดต่อ การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 1690 เว็บไซต์ www.railway.co.th
Where to stay : ที่จังหวัดชัยนาท แนะนำ 111 Resort and Spa โทร. 0-5648-2113, 09-3221-1022 www.111-resort.com และ สุวรรณาการ์เด้นรีสอร์ท โทร. 0-5647-7789, 08-2177-2989
What to eat : อาหารชัยนาทเด็ดๆ มีหลายอย่าง เช่น ขนมตาล, ขนมลืมกลืน, แป้งข้าวหมาก, ผัดไทยเกี๊ยวกรอบ, ขนมจีนซาวน้ำ, ลาบส้มโอ, หมี่กรอบ, ไอศกรีมข้าวไรซ์เบอร์รี่, ส้มโอขาวแตงกวา ฯลฯ
Souvenirs : ของที่ระลึกจากชัยนาท เช่น หุ่นฟางนกเล็ก, ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกก, ผ้าทอลายโบราณลาวครั่ง, ธูปสมุนไพรไล่ยุงบ้านสระไม้แดง, กระบุงปากบาน, น้ำตาลโตนด, โตกหวาย, เก้าอี้ผักตบชวา ฯลฯ
More info : ททท. ชัยนาท-อ่างทอง โทร. 0-3552-5867, 0-3552-5880 / ททท. สิงห์บุรี โทร. 0-3677-0096-7 / ททท. พระนครศรีอยุธยา โทร. 0-3524-6076-7 / บริษัท ฟูจิ ทัวร์ โทร. 09-8273-4435
เขาใหญ่มรดกโลก อาณาจักรแห่งสรรพชีวิต
ณ มุมหนึ่งของพงไพรอันแสนลึกลับ รกชัฏ และกว้างใหญ่ไพศาล ดอกไม้ป่ายังคงเบ่งบาน ต้นไม้ใหญ่ยังคงยืนตระหง่านชูเรือนยอดขึ้นหาแสง เถาวัลย์ยังคงเกี่ยวกระหวัดเลื้อยพันทอดยาวไปในป่า อย่างมิมีที่สิ้นสุด ที่นั่นสรรพสัตว์น้อยใหญ่ยังคงออกดุ่มเดินหากินได้อย่างเสรี มีนกเงือก ชะนี ค่าง บ่าง กระรอก และนกป่าอีกนานาชนิด ครองความเป็นใหญ่บนเรือนยอดไม้สูงลิบ พวกมันส่งเสียงระงม สร้างสีสัน และความคึกคักให้ป่าผืนนี้มานับร้อยชั่วอายุคน ต่ำเตี้ยลงมาใกล้พื้นป่า ช้าง เสือ กระทิง วัวแดง เก้ง กวาง สมเสร็จ และส่ำสัตว์อีกนานาชนิด ยังคงบุกฝ่าลัดเลาะพงไพรหากินและผสมพันธุ์สืบทอดเผ่าพงศ์ จะหาป่าใดในยุคปี พ.ศ. นี้ในเมืองสยาม ที่อุดมเทียบผืนป่านี้ได้อีกเล่า
นี่คือ “ป่าเขาใหญ่” หรือผืนป่าดงพญาเย็น ส่วนเสี้ยวแห่งตำนานป่าดงพงพีของอีสานใต้
ป่าเขาใหญ่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผืนป่าที่คงความสมบูรณ์ที่สุดในปัจจุบัน ขณะที่ผืนป่าอื่นๆ หลายแห่งได้ถูกรุกล้ำทำลายแผ้วถางลงเกือบหมดแล้ว เนื้อที่ขนาด 1.3 ล้านไร่ กินอาณาเขตจังหวัดนครราชสีมา ปราจีนบุรี นครนายก และสระบุรี คืออาณาเขตไพศาลที่สามารถเก็บรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ ของพืชและสัตว์นับไม่ถ้วนชนิด ดุจดังขุมขลังทางทรัพยากรธรรมชาติล้ำค่าที่ใช้ได้ไม่มีวันหมด หากเราเข้าใจและรู้จักใช้อย่างยั่งยืน
จะเรียกว่า “ป่าเขาใหญ่” คือปฐมบทแห่งการอนุรักษ์ผืนป่าไทยก็คงไม่ผิด เพราะเขาใหญ่เป็นอุทยานแห่งชาติแรกของไทย จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2505 ทุกวันนี้เราสามารถขับรถขึ้นเขาใหญ่ได้ใน 2 เส้นทาง คือจากทางด้านจังหวัดปราจีนบุรี ขึ้นเขาใหญ่ทางด่านตรวจเนินยายหอม ส่วนอีกทางหนึ่งขึ้นเขาใหญ่ทางด่าน กม. 23 (ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่) ในด้านจังหวัดนครราชสีมา แต่ต้องขับช้าๆ นิดนะ เพราะอาจมีช้างเดินข้ามถนนไปมาได้เสมอ!
มาเขาใหญ่เขาทำอะไรกันนะ? คำถามนี้ตอบได้ง่ายดายซะเหลือเกิน เพราะบนเขาใหญ่มีกิจกรรมสำหรับคนรักธรรมชาติให้ทำชนิดที่เรียกว่า ตั้งแต่เช้าจรดเย็น และต่อเนื่องไปถึงค่ำคืนได้อย่างไม่น่าเบื่อ ถึงขนาดบางคนมาอยู่บนเขาใหญ่เป็นสัปดาห์ๆ เพื่อเดินป่า ส่องสัตว์ ดูผีเสื้อ หรือดูนกที่ตนเองชื่นชอบ เส้นทางเดินป่ายอดฮิตบนเขาใหญ่มีหลายเส้นทาง อาทิ ลานกางเต็นท์ผากล้วยไม้-น้ำตกเหวสุวัต, น้ำตกกองแก้ว-สนามกอล์ฟ, ที่ทำการอุทยานฯ-มอสิงโต, ที่ทำการอุทยานฯ-หนองผักชี, กม 33 – หนองผักชี, หน่วยพิทักษ์ป่าคลองปลากั้ง-น้ำตกวังเหว และที่ท้าทายมากกว่านั้นคือ เส้นทางเดินป่าขึ้นเขาสมอปูน ที่ต้องใช้เวลากว่า 3 วัน 2 คืน รอนแรมบุกป่าฝ่าดงขึ้นไปสัมผัสลานหินปูนชุ่มน้ำบนเขาสูง ซึ่งมีดอกไม้และพืชนานาชนิดงอกงามดารดาษ
ที่หนองผักชีมีหอดูสัตว์และโป่งให้เราเข้าไปซุ่มดูสัตว์ต่างๆ ที่จะออกมากินน้ำและเลียกินดินโป่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสัตว์กินพืช อย่างช้าง เก้ง กวาง กระทิง วัวแดง ฯลฯ เพราะสัตว์เหล่านี้กินแต่ใบไม้ จึงต้องการสารอาหารจากเกลือในดินเพิ่มความแข็งแรงให้ร่างกาย แต่ก็มักมีสัตว์ผู้ล่าแอบย่องออกมาจับสัตว์เหล่านี้กินอยู่เสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นเสือโคร่งและหมาใน เคยมีคนจับภาพเสือโคร่งกินลิงได้มาแล้ว! การซุ่มดูสัตว์จริงๆ ต้องใช้เวลา ขึ้นอยู่กับจังหวะ โอกาส และความโชคดีของเรา ส่วนเครื่องแต่งกายก็ควรเป็นสีกลืนกับธรรมชาติ อย่างสีเขียวทึบๆ สีเทา และสีน้ำตาล ซุ่มดูกันเงียบๆ ไม่ส่งเสียงดัง ไม่ใส่น้ำหอม และควรมีกล้องส่องทางไกล
ถ้ายังไม่จุใจ เขาใหญ่ยังมีกิจกรรมส่องสัตว์ในยามราตรีให้ด้วย รถส่องสัตว์เป็นรถกระบะท้ายเปิด พร้อมไกด์และไฟสปอร์ตไลท์แรงสูงอย่างดี เส้นทางก็อยู่บนถนนเท่านั้น นักท่องเที่ยวห้ามลงจากรถเด็ดขาด เมื่อความมืดโรยตัวห่มคลุมจนทั่วอย่างสมบูรณ์แล้ว เวลาสักประมาณทุ่มหรือสองทุ่ม บนเขาใหญ่ก็มืดสนิท แสงไฟสาดส่องเป็นลำกวาดทะลุความมืด อากาศรอบตัวเย็นฉ่ำ เราอาจได้เห็นฝูงกวางป่านับสิบๆ ตัว กำลังยืนเกาะกลุ่มแทะเล็มหญ้าระบัดเขียวสดอยู่กลางทุ่งโล่ง พอไฟสาดไปโดนมันเข้า มันก็จะชูคอขึ้นมอง เห็นแววตาสะท้อนไฟพราวอยู่ในความมืดอันลึกเร้น ถัดมาไม่ไกล เราอาจเห็นหมาในและหมาป่ากำลังวิ่งไล่จับกระต่ายอยู่ เช่นเดียวกับเม่นใหญ่ที่เดินต้วมเตี้ยม ยักย้ายรูปร่างอ้วนๆ ของมันซึ่งเต็มไปด้วยหนามแหลม ดุ่มเดินอยู่ข้างถนน หากินรากไม้ รากไผ่ และเศษอาหาร แต่ที่น่าตื่นเต้นสุดคงต้องยกให้การพบเห็นโขลงช้างป่าออกมาหากินริมถนนบริเวณน้ำตกเหวนรก ภาพนั้นอาจทำให้หัวใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะเลยก็ว่าได้!
ในช่วงกลางวัน กิจกรรมยอดฮิตของนักท่องเที่ยวก็คือการไปเที่ยวชมน้ำตกหลายแห่งบนเขาใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกเหวนรกอันน่าเกรงขาม น้ำตกเหวสุวัตที่มีสายน้ำไหลแรงซู่ซ่ากลางป่าเขียวตลอดปี น้ำตกผากล้วยไม้ ที่มีกล้วยไม้หวายแดงอันแสนหายากออกดอกให้ดูในฤดูร้อน รวมถึงน้ำตกอีกหลายแห่งทางด้านใต้ของอุทยานฯ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกผาตะแบก น้ำตกผากระจาย น้ำตกผาชมพู น้ำตกห้วยระย้า น้ำตกตาดตาภู่ และน้ำตกมะนาว เป็นต้น ตลอดทางเดินป่าสู่น้ำตกเหล่านี้ เราสามารถศึกษาพรรณไม้ อย่างเฟิน หวาย ปาล์ม เถาวัลย์ พืชวงศ์ขิงข่า และสภาพป่าที่มีทั้งป่าดงดิบชื้น ป่าดงดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณที่มีไผ่ขึ้นหนาแน่น บ่งบอกถึงความหลากหลายของระบบนิเวศเขาใหญ่
น้ำตกเหวสุวัต เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงเป็นรองก็แต่น้ำตกเหวนรกเท่านั้น
น้ำตกผากล้วยไม้ แห่งเขาใหญ่
รอบป่าเขาใหญ่มีน้ำตกหลายแห่ง เปิดโอกาสให้นักผจญภัยแบบ Extreme ไปพิสูจน์ฝีมือกัน!
พรรณไม้ที่น่าพิศวงและหายากมากของเขาใหญ่มีด้วยกันหลายชนิด ทั้ง “พิศวง” พืชกินซากรูปร่างพิลึก ที่ไม่มีคลอโรฟิลด์สีเขียวสังเคราะห์แสงสร้างอาหารเองได้ จึงชอบขึ้นอยู่ตามซากกองใบไม้ทับถมเน่าเปื่อยชื่นๆ เจ้านี่ไม่ธรรมดา เพราะค้นพบไม่กี่แห่งในโลกเท่านั้น เขาใหญ่จึงเป็นหนึ่งในบ้านอันปลอดภัยที่พิศวงเลือกอาศัย พืชมหัศจรรย์อีกชนิดคือ “กระโถนฤาษี” ญาติใกล้ชิดของบัวผุดทางภาคใต้ แต่กระโถนฤาษีมีดอกเล็กกว่า มีสิบกลีบสีแดง มันเป็นพืชกาฝากที่ดูดกินน้ำเลี้ยงจากเถาวัลย์ป่า ฝังตัวอยู่ในเถาวัลย์หรือรากไม้นั้น ดูดกินน้ำเลี้ยงและธาตุอาหารจากพืชเจ้าบ้าน รอวันส่งดอกขึ้นมาเบ่งบานเพื่อผสมพันธุ์ปีละไม่กี่วันเท่านั้น
เขาใหญ่คือบ้านของนกเงือกที่อุดมสมบูรณ์มาก ในภาพนี้เป็นช่วงฤดูผสมพันธุ์ของนกเงือกผัวเมีย โดยตัวผู้ตาจะเป็นสีแดง ตัวเมียตาสีขาว
ตามริมลำธารใสในป่าเขาใหญ่ มีโป่งผีเสื้อสวยๆ ให้ชมกันทั่วไป
ชะนีมือขาว เป็นสัตว์ที่หากินอยู่บนยอดไม้ โดยตลอดชีวิตของมันจะไม่ลงมาที่พื้นเลย เพราะมันกินผลไม้ใบไม้เป็นหลัก และได้รับน้ำจากผลไม้หรือน้ำค้างที่มันดื่มกินอยู่แล้ว
หวายแดง ที่น้ำตกผากล้วยไม้ เป็นพรรณไม้ป่าหายากชนิดหนึ่งของไทยในปัจจุบัน
เขาใหญ่วันนี้ได้รับการประกาศให้เป็น “ป่ามรดกโลก” เรียบร้อยแล้ว เราในฐานะคนไทยคนหนึ่ง จึงควรเข้าไปท่องเที่ยวอย่างรู้ค่า เพื่อให้เขาใหญ่ทำหน้าที่เป็นขุมขลังแห่งทรัพยากรธรรมชาติอันล้ำค่าได้ตลอดไป สมกับชื่อผืนป่าดงพญาเย็น ที่สร้างความร่มเย็นให้สรรพชีวิตมาแสนเนิ่นนาน
Traveler’s Guide
How to go : รถยนต์ จากปากช่องนครราชสีมา มาจากกรุงเทพฯ แยกขวามช้ทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ที่สระบุรีก่อนถึงปากช่อง เลี้ยวขวาตรงทางต่างระดับไปตามทางหลวงหมายเลข 2090 (ถนนธนะรัชต์) ประมาณ 25 กิโลเมตร จะถึงด่านตรวจหน่วยพิทักษ์ฯ ขญ. 1 ควรแวะซื้ออาหารและเติมน้ำมันรถให้เต็มถังที่ปากช่องก่อนเข้าถนนธนะรัชต์ เมื่อผ่านด่านตรวจเป็นถนนไต่ระดับลดเลี้ยวขึ้นเขาชัน ควรขับขี่ด้วยความระมัดระวัง
Where to stay : บนเขาใหญ่มีทั้งบ้านพักอย่างดี บริเวณบ้านพักธนะรัชต์ รวมถึงลานกางเต็นท์จำนวนมาก ที่ลานกางเต็นท์ผากล้วยไม้และลำตะคอง โทร.จองโด้โดยตรงที่อุทยานฯ โทร. 0-4424-9305, 08-6092-6529 (30, 31) หรือจองที่พักผ่านเว็บไซต์ของกรมอุทานแห่งชาติ www.dnp.go.th
What to eat : บนเขาใหญ่มีร้านอาหารอยู่ในทุกลานกางเต็นท์ และมีร้านอาหารใหญ่ใกล้ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว สามารถซื้ออาหารกินได้ทั้งสามมื้อ แต่เวลาเดินป่าต้องคดห่อไป
More info : ททท. สำนักงานจังหวัดนครราชสีมา โทร. 0-4421-3030, 0-4421-3666