ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย (ตอน 2)
เที่ยวกันต่อในตอนที่ 2 กับแคมเปญเก๋ไก๋สไตล์ลึกซึ้ง ‘ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย’ ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพระนครศรีอยุธยา ซึ่งดูแลมาถึงพื้นที่จังหวัดสระบุรีด้วย
หลังจากเราได้ไปดูแลสุขภาพกายกันที่ Wellness Care และดูแลสุขภาพใจ กับการล่องเรือไหว้พระในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแล้ว ก็ถึงคิวเปลี่ยนบรรยากาศมายังสระบุรี เมืองแห่งขุนเขาและธรรมชาติ ซึ่งจะทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกสดชื่นสุดๆมาเติมความสุขให้ชีวิตกันที่ ‘สวนบิ๊กเต้’ อำเภอมวกเหล็ก ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสวนดอกเบญจมาศที่มีพื้นที่กว้างขวางที่สุดในเมืองไทยเลยทีเดียว เนื่องจากในพื้นที่ 100 ไร่ ของเขา จะมีดอกเบญจมาศผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเบ่งบานให้ชมตลอดปี โดยในครั้งแรกนั้นสวนแห่งนี้ไม่ได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว ทว่าปลูกเพื่อตัดดอกส่งขายในตลาดทั่วประเทศ โดยเฉพาะตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ปากคลองตลาด ฯลฯ กระทั่งเริ่มหันมาทำท่องเที่ยว เชื้อเชิญผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมความสวยงาม ได้ถ่ายภาพกับดอกไม้อันแสนสวยหลากสีหลายสายพันธุ์
น่าตื่นตาตื่นใจกับความละลานตาของดอกเบญจมาศหลายสิบชนิด ทั้งสีเหลือง ขาว ส้ม ชมพู และสีไล่โทน ดอกเล็กบ้างใหญ่บ้าง สร้างความสดชื่นเหมือนสวนสวรรค์ ค่าเข้าชมก็ถูกแสนถูก เพียงคนละ 20 บาทเท่านั้น
เดินชมแปลงดอกเบญจมาศไปเพลินๆ ถ้าอยากเก็บความงามนี้ไปชื่นชมที่บ้านก็ไม่มีปัญหา เพียงเรียกคนดูแลสวนมาช่วยตัดจัดเข้าช่อให้ ต้นละ 20 บาท
ยิ้มสดใสในวันสดชื่น ท่ามกลางความงามของมวลพฤกษชาติที่สวนบิ๊กเต้ (บอกไม่ถูกเลยว่า คนกับดอกไม้ใครงามกว่ากัน ฮาฮาฮา)
ชมกันใกล้ๆ กับดอกเบญจมาศสีชมพูสดในสไตล์ Shocking Pink เหมาะนำไปทำเป็นไม้ประดับ ปักแจกันเพิ่มชีวิตชีวาให้บ้าน หรือจะมอบเป็นของขวัญให้กันก็สุขทั้งผู้ให้และผู้รับ
สวนเบญจมาศบิ๊กเต้ เกิดจากกลุ่มคนที่ต้องการหลีกหนีวิถีเมือง หันกลับมาทำวิถีเกษตรพอเพียงตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เคยตรัสไว้ว่า เมืองไทยเป็นเมืองเกษตร ไม่ใช่เมืองอุตสาหกรรม การหวนคืนสู่วิถีเกษตรจึงเป็นทางเลือกอันยั่งยืนให้ชีวิตบนแผ่นดินทองนี้
นอกจากการเดินชมแปลงดอกเบญจมาศแสนงามแล้ว คนที่รักการออกกำลังกาย สูดอากาศบริสุทธิ์ ยังสามารถเข้ามาปั่นจักรยานชมธรรมชาติได้ด้วย
ดอกเบญจมาศขนาดใหญ่กว่าครึ่งฟุต กลีบซ้อนกันหลายชั้นอย่างวิจิตร
เบญจมาศดอกเล็กสีชมพูหวานซึ้ง หนึ่งในสายพันธุ์ที่ปลูกมากในสวนบิ๊กเต้
โมงยามแห่งความสุข กับการถ่ายภาพเซลฟี่กลางแปลงดอกเบญจมาศ สวนบิ๊กเต้ เอาไปอวดเพื่อนๆ
เดินทางเก็บเกี่ยวความสุขทางใจกันต่อ เรายังคงอยู่ในอำเภอมวกเหล็ก ที่ ‘สวนองุ่นสิริวัฒน์’ สวนองุ่นที่มีชื่อเสียงของคุณสุรชัย ธมะสุข ทนายความที่ผันชีวิตมาทำวิถีเกษตรพอเพียงตามคำสอนของในหลวง รัชกาลที่ 9 จนประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง ภายในที่ดิน 20 ไร่ มีการปลูกไม้ผลผสมกันหลายชนิด ทั้งองุ่นพันธุ์ต่างๆ มะม่วง มะละกอ ส้มโอ ส้มจี๊ด ฯลฯ จนวันนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ใครๆ ก็รู้จัก
ที่ถือว่าโดดเด่นทำชื่อเสียงให้สวนสิริวัฒน์มากที่สุดคือ องุ่น ไงล่ะจ๊ะ ไม่ว่าจะเป็นองุ่นกินผลสด หรือองุ่นที่นำไปทำไวน์ได้ อย่าง พันธุ์แบล็ก โอปอล (Black Opal) หรือองุ่นไร้เมล็ดที่นิยมรับประทานสด, พันธุ์แบล็กควีน (Black Queen) ราชินีดำ และ พันธุ์ชีราส (Syrah หรือ Shiraz) ซึ่งนำไปทำไวน์โดยเฉพาะ เป็นต้น
เดินเที่ยวชมสวนองุ่นอย่างมีความสุข (แต่เก็บกินจากต้นไม่ได้นะจ๊ะ) ถ่ายภาพและชื่นชมพวงองุ่นสีสดใส สลับสีเข้มเมื่อแก่จัดพร้อมเก็บ
องุ่นพันธุ์ Black Opal หรือองุ่นไร้เมล็ด กำลังสุกได้ที่ พร้อมเก็บไปให้ชิมกันแล้วล่ะ
พวงองุ่นสีสวย น่ากินจังเลยเนอะ
นอกจากมีผลองุ่นสดให้ชิมแล้ว สวนองุ่นสิริวัฒน์ยังมีแปลงพืชผลนานาชนิดให้ศึกษาวิถีเกษตรพอเพียง และมีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลไม้อุดมคุณค่าให้ซื้อหากลับไปเป็นของฝากด้วย ทั้งแยมมัลเบอร์รี่ (ลูกหม่อน) แยมมะม่วง และแยมเสาวรส ฯลฯ
ยิ่งเดินทางไปบนเส้นทางนี้ เรื่องราวก็ยิ่งเข้มข้นปนความสนุก เมื่อได้มาเยือน ‘องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อสค.)’ อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี หรือที่คนทั่วไปเรียกกันติดปากว่า ‘ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก’ นั่นเอง ผมยังจำได้เลยว่าตั้งแต่เกิดมาก็เห็นนมยี่ห้อนี้แล้ว ยังไม่เคยลืมกับโลโก้แม่วัวลูกวัวสีแดงที่ข้างกล่องนม ซึ่งแม่ให้ผมดื่มตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนทุกวัน
วันนี้ได้มาเยือนถึงฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก ต้นตำรับของแท้ รู้สึกตื่นเต้นมากๆ
ก่อนเข้าไปชมกิจกรรมภายใน อสค. ด้านหน้าติดถนนใหญ่เขามีร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมชนิดต่างๆ ทั้งนมกล่องและนมขวด โดยเฉพาะ นม Organic Good Morning ที่ดีต่อสุขภาพ
วันฟ้าสวยแดดใส ได้เวลาชวนกันขึ้นรถพ่วงเข้าชมกิจกรรมของฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก แล้ว โดยมีพี่แตน วิทยากรใจดีซึ่งทำงานอยู่ที่นี่มากว่า 30 ปี เป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้อย่างหมดเปลือก
ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย ตะลุยฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก อำเภอมวกเหล็ก สระบุรี
รถพ่วงแล่นมาจอด ณ ฐานเรียนรู้จุดแรก เป็นการตรวจนม เอ้ย… ตรวจคุณภาพนมวัวที่เกษตรกรนำมาส่งให้ อสค. เราเห็นรูปปั้นวัวแม่ลูกสีแดงยืนอยู่บนสนามหญ้า ก็เลยสงสัย พี่วิทยากรใจดีจึงอธิบายให้ฟังว่า สัญลักษณ์ขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย ที่ต้องเป็นวัวนมแม่ลูกสีแดง เพราะวัวสายพันธุ์แรกที่ประเทศเดนมาร์กมอบให้เรามาก็คือ วัวพันธุ์เรดเดน (Red Dane) หรือ Danish Red หรือ Red Danish แล้วแต่จะเรียก โดยวัวนมพันธุ์นี้มีต้นกำเนิดในประเทศเดนมาร์ก มีขนสีน้ำตาลแดงตลอดตัว และใช้เป็นวัวนมสายพันธุ์หลักของเดนมาร์กมาตลอด
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระราชทานกิจการโคนมแห่งชาตินี้ ไว้ให้ปวงชนชาวไทย เมื่อปี พ.ศ. 2505 ด้วยทรงตั้งพระประสงค์ให้ชาวไทยมีน้ำนมบริโภคโดยทั่วกัน เพื่อสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์
ณ ฐานตรวจคุณภาพนมโค วิทยากรผู้เชี่ยวชาญได้สาธิตวิธีการ ขั้นตอนต่างๆ ให้เราดูอย่างละเอียด
แนวคิดทฤษฎีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ คือสิ่งที่ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก นำมาประยุกต์ใช้จนถึงปัจจุบัน ดังที่ปรากฏชัดเจนบนกระดานดำในฐานเรียนรู้นี้
รถพ่วงของเราแล่นต่อมาจนถึงส่วนที่เป็นหัวใจของ อสค. คือ โรงเรือนเลี้ยงโคนม ทั้งพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์หลายร้อยตัว อาคารโรงเรือนเลี้ยงโคนมที่เห็นหลังคาสีแดงนี้คือโรงเรือนดั้งเดิมแท้ๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 ครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เสด็จมาเป็นองค์ประทานเปิด เราจึงรู้สึกปลื้มมากๆ ที่ได้ก้าวตามรอยพ่อมาในวันนี้
ด้านหน้าโรงเรือนเลี้ยงวัวนม มีแผ่นศิลาจารึกข้อตกลงความร่วมมือในกิจการโคนม ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเจ้าเฟรดเดอริคที่ 9 กษัตริย์แห่งเดนมาร์ก เมื่อปี พ.ศ. 2505 ที่ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้เกี่ยวกับกิจการโคนมให้ชาวไทย
หากจะย้อนอดีตกลับไปเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2503 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรา ได้ทรงเสด็จไปยังประเทศเดนมาร์ก ทรงสนพระทัยกิจการเลี้ยงโคนมของชาวเดนมาร์กเป็นอย่างมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ด้านการเลี้ยงโคนมระหว่างไทยและเดนมาร์ก กระทั่งวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2505 ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์กแห่งนี้ จึงเปิดตัวขึ้นอย่างเป็นทางการ นับเป็นฟาร์มโคนมทันสมัยแห่งแรกของเมืองไทย
คอกเลี้ยงพ่อพันธุ์วัวนมตัวใหญ่เบ้อเริ่ม!
แม่โคนมพันธุ์ดีที่พร้อมอยู่ในคอกรีดนมแล้วจ้า นักท่องเที่ยวคนไหนพร้อมก็เตรียมตัวมารีดนมสดๆ อุ่นๆ จากเต้ากันได้เลย
ป้อนนมลูกวัวน่ารักๆ เป็นกิจกรรมสนุกๆ ที่ห้ามพลาดของฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก พวกมันจะได้โตวันโตคืน
ป้าแตนวิทยากรคนเก่ง กับผู้เชี่ยวชาญด้านการรีดนมวัวของ อสค. กำลังสาธิตวิธีการที่ถูกต้อง ก่อนนักท่องเที่ยวจะลงมือทดลองกัน
น้ำนมอุ่นๆ จากเต้าแม่โคพันธุ์ดี พุ่งเป็นจังหวะปรี๊ดออกมาตามการบีบเค้นอย่างมืออาชีพ
ถัดจากจุดรีดนมและป้อนนมวัว รถพ่วงก็นำเรามาถึงเวทีแสดงการขี่ม้าตามวิธีโคบาลตะวันตก ฮาฮาฮา สาวสวยของเราขึ้นขี่ควบม้าท้าทายพี่คาวบอย ให้เพื่อนๆ ถ่ายภาพแชร์กันอย่างสนุกสนาน
จุดนี้เขามีโชว์หลากหลายให้ชม ทั้งการควบม้าสไตล์คาวบอยตะวันตก, การควงเชือกบ่วงบาศ, การควงมีด ควงปืน และการเต้นรำกับม้าที่ไม่มีใครเหมือน
โพนี่ (Pony) หรือม้าแคระ เป็นม้าพันธุ์จิ๋ว ซึ่งเมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดไม่สูงใหญ่เท่าม้าพันธุ์อื่น จึงน่ารักน่าชังเหมือนม้าการ์ตูน แต่ก็ต้องระวังเข้าให้ถูกทาง อย่าไปเข้าหาม้าด้านหลัง อาจถูกม้าดีดได้!
มาดสุดเท่ห์ของพี่โคบาลประจำ อสค.
โชว์ขี่ม้าสไตล์คาวบอย ควบกันมันสุดเหวี่ยงจนฝุ่นตลบไปหมด!
โชว์ควงแส้คาวบอย เป็นแส้ที่เมื่อเหวี่ยงไปในอากาศจะทำให้เกิดเสียงดังน่าตกใจ! เพื่อใช้ไล่ต้อนฝูงวัวให้ไปในทิศทางที่ต้องการ
ปิดท้ายกิจกรรมสนุกที่ อสค. กับการลอดบ่วงบาศเข้าไปถ่ายภาพคู่กับพี่คาวบอยสุดเท่ห์ เก๋อย่าบอกใครเชียว
แหล่งท่องเที่ยวสุดท้ายในแคมเปญ ‘ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย’ ในครั้งนี้ คือ ‘วัดพระพุทธฉาย’ อำเภอเมืองสระบุรี ซึ่งมีความเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อยตามความเชื่อของคนท้องถิ่น การเที่ยวให้สุขสนุก แนะนำว่าควรไปในช่วงเช้าหรือบ่ายแก่ๆ ที่แดดไม่ร้อน เพราะบนภูเขานี้ค่อนข้างโล่ง อีกทั้งเป็นหิน เมื่อแดดจัดจ้าจะร้อนมาก การเที่ยวทำได้ 2 วิธี คือจอดรถด้านล่างวัด แล้วเดินขึ้นไปกราบเงาพระพุทธฉาย หรือวิธีที่สอง คือ ขับรถขึ้นเขา เพื่อเดินไปสักการะรอยพระพุทธบาทก่อน จากนั้นค่อยเดินลงลงไปนมัสการเงาพระพุทธฉายที่เชิงเขา
เราใช้วิธีที่สอง คือให้รถขึ้นไปปล่อยตัวบนเขา แล้วค่อยๆ เดินไล่ตามจุดลงมายังเชิงเขา จุดแรกที่พบคือพระมณฑปสีขาวสะอาด ซึ่งภายในประดิษฐานรอยพระพุทธบาทอันเก่าแก่ รายล้อมด้วยต้นลั่นทม (ลีลาวดี) ดอกสีขาว มองเผินๆ วิวคล้ายที่พระนครคีรี หรือเขาวัง จังหวัดเพชรบุรีเหมือนกันเนอะ
ทัศนียภาพบนยอดเขาวัดพระพุทธฉาย มองออกไปชมวิวได้กว้างไกลสุดสายตา
บนยอดเขาอันเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท ด้านนอกมณฑปมีหินรูปแผนที่ประเทศไทยให้ชมด้วย จุดนี้ช่วงกลางวันจะร้อนมาก ต้องรีบขอตัวหลบเข้าไปนมัสการรอยพระพุทธบาทโดยเร็ว!
รอยพระพุทธบาทวัดพระพุทธฉาย อันสีทองที่เห็นนี้คือที่สร้างขึ้นใหม่ ส่วนของเดิมคืออันเล็กที่ปัจจุบันมีการนำแผ่นกระจกมาครอบไว้แล้ว รอยพระพุทธบาทนี้สันนิษฐานกันว่าค้นพบสมัยพระเจ้าทรงธรรม แห่งกรุงศรีอยุธยา ที่ทรงได้รับข้อความจากภิกษุชาวลังกาว่า ในแผ่นดินสุวรรณภูมิมีรอยพระพุทธบาทอยู่บนยอดเขาหลายแห่ง จึงทรงรับสั่งให้มีการค้นหาจนพบรอยพระพุทธบาทบนเขาสุวรรณบรรพตที่สระบุรีก่อน จากนั้นจึงค้นพบรอยพระพุทธบาท ณ วัดพระพุทธฉาย ในภายหลัง
เดินลงมาจากยอดเขาเพียงเล็กน้อย ก็ถึงหอพระ ซึ่งภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ ไว้มากมาย
ด้านหลังหอพระ งามเด่นด้วยพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรขนาดใหญ่ และพุทธศิลป์ที่ประดับตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม
บรรยากาศภายในหอพระ บนเขาวัดพระพุทธฉาย สระบุรี
จากหอพระเดินลงเขามาเรื่อยๆ ไม่เมื่อยขา เพราะเป็นขาลง ฮาฮาฮา ไม่เกิน 10 นาที ก็จะได้สักการะเงาพระพุทธฉายกันแล้ว
เงาพระพุทธฉายอันศักดิ์สิทธิ์ มีลักษณะเป็นแถบสีส้มอมแดงคล้ายพระพุทธเจ้าทรงประทับยืน เหมือนเงาขององค์ท่านทาบประทับอยู่บนหน้าผาหิน ตำนานเล่าว่าในกาลก่อนพระพุทธองค์ทรงเสด็จมา เพื่อโปรดพรานฆาฏกะ จนได้บวชเรียนสำเร็จมรรคผลในร่มบวรพุทธศาสนา ก่อนเสด็จกลับไปชมพูทวีป นายพรานได้ทูลขอสิ่งที่ระลึก พุทธองค์จึงประทานเงาพระพุทธฉาย และรอยพระพุทธบาทเบื้องขวาไว้ให้บนยอดเขานี้
ถ้าไปชมของจริง แล้วเพ่งมองดีๆ เราจะเห็นว่าเงาพระพุทธฉายมีครบทั้งส่วนเศรียรและพระวรกาย โดยในส่วนยอดสุดของพระโมลีที่เป็นเปลวรัศมี ยังมีแผ่นทองคำเปลวที่พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ทรงติดไว้เป็นพุทธบูชา ครั้งเสด็จมานมัสการเงาพระพุทธฉายด้วยพระองค์เอง
ถัดจากเงาพระพุทธฉายไปนิดเดียว ภายใต้เพิงผาหินเดียวกัน เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ ยาวหลายสิบเมตร ซึ่งสร้างขึ้นภายหลัง แต่ตรงจุดนี้ต้องระวัง เพราะมีฝูงลิงกังมาป้วนเปี้ยนวนเวียนอยู่เพียบ ใครที่สะพายข้าวของขึ้นไปด้วยจึงต้องระวังให้ดี
ใกล้กับเงาพระพุทธฉาย มีจารึกพระนามาภิไธยย่อของพระมหากษัตริย์ไทย และพระบรมวงศานุวงศ์จำนวนมากที่สุดในเมืองไทยให้ชม ที่เห็นในภาพ บนสุดคือพระนามาภิไธยของในหลวงรัชกาลที่ 9 เคียงคู่อยู่กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
รอยจำหลักหินพระนามาภิไธยย่อของพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 บนเพิงผาหินใกล้ๆ กับเงาพระพุทธฉาย
เดินลงจากเขากลับไปที่ลานจอดรถด้านล่าง ระหว่างทางอย่าลืมแวะทักทาย ถ่ายภาพความน่ารักของครอบครัวเจ้าจ๋อลิงกัง แต่อย่าเข้าใกล้ล่ะ เพราะมันหวงลูกมากทีเดียว!
วันอันแสนสุขและสนุกกับหลากเรื่องราวของสระบุรี จบลงที่รีสอร์ทแสนสวย ‘มีลา การ์เด็น รีทรีท ค็อทเทจ’ (Mela Garden Retreat Cottage) อำเภอมวกเหล็ก (โทร. 09-0428-0176) ที่พักสุดหรูแสนสะดวกสบายในสไตล์อิตาลีตะวันตก บรรยากาศแสนโรแมนติก เงียบสงบเป็นส่วนตัว และเป็นธรรมชาติสุดๆ โดยคำว่า ‘Mela’ ในภาษาอิตาลี แปลว่า ‘แอปเปิล’ นั่นเอง ภายในรีสอร์ทแห่งนี้จึงมีต้นแอปเปิลปลูกอยู่ด้วย
ห้องพักของมีลา การ์เด็น กว้างขวางใหญ่โต เหมาะสำหรับการมาพักผ่อนกันเป็นครอบครัว
ห้องอาหารของมีลา การ์เด็น หรูเรียบ เด่นด้วยดีไซน์ของไม้และการจัดแสงโทนอุ่น จึงน่านั่งชิลจิบไวน์กันนานๆ
อาหารเช้าที่มีลา การ์เด็น คือสลัดผักแสนอร่อย รับประทานคู่กับน้ำสลัดครีม ตามมาด้วยซุปผักโขม ขนมปังโฮมเมต และเครื่องดื่มร้อนๆ ต้อนรับวันใหม่อันสดใส
ทริป ‘ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย’ ของเรา ปิดฉากลงอย่างชื่นมื่น พร้อมกับรอยยิ้มของทุกคน ที่ได้ใช้เวลามาดูแลกายใจ ดูแลสุขภาพ ทำจิตใจให้มีความสุข หัดเป็นคนคิดบวก เมื่อทำได้แบบนี้แน่นอนว่าร่างกายเราจะปรับตัวสร้างภูมิคุ้มกันโรคร้ายและโชคร้ายได้เอง
เราหวังว่า เรื่องราวดีๆ จากเส้นทางแห่งสุขภาวะอยุธยา-สระบุรี จะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครบางคนที่กำลังค้นหาคำตอบให้กับตัวเองในแง่สุขภาพ ได้เดินทางตามรอย คุณอาจจะค้นพบมิติใหม่ในการดูแลสุขภาพ ไม่ใช่เพื่อตัวคุณเองเท่านั้น ทว่าเพื่อคนรอบข้างที่คุณรักด้วยSpecial Thanks : คุณอิสสระพงษ์ แทนศิริ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพระนครศรีอยุธยา (และดูแลพื้นที่สระบุรี) สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจสอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-3524-6076-7
ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย (ตอน 1)
ยุคนี้ใครๆ ก็พูดถึงเรื่องการรักษาสุขภาพกันทั้งนั้น เพราะปัจจุบันสภาพแวดล้อมรอบตัวเราเต็มไปด้วยมลพิษนานาชนิด การหันมาดูแลสุขภาพตัวเองจึงเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ในชีวิตเลยก็ว่าได้ ทั้งเรื่องการออกกำลังกาย การกินอาหารสุขภาพที่ปลอดสารพิษ การคิดบวกทำจิตใจให้ผ่องใสมีความสุข และอื่นๆ สรุปแล้วคือต้องดูแลทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆ กัน
ทริปนี้เลยอยากชวนเพื่อนๆ ไปเที่ยวจังหวัดพระนครอยุธยาและสระบุรี ซึ่งแม้ว่าเมื่อพูดถึงสองจังหวัดนี้ เราอาจจะเห็นภาพของเมืองประวัติศาสตร์และแหล่งธรรมชาติค่อนข้างชัดเจน แต่ขอบอกเลยว่า วันนี้เรามีมุมมองใหม่มานำเสนอ เป็นทริปสุขภาพเก๋ไก๋สไตล์ลึกซึ้งที่รับรองจะ Happy ทั้งกายใจ ในชื่อ ‘ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย’ สนับสนุนโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพระนครศรีอยุธยา
ทริปสุขภาพสำหรับสาวๆ ที่รักการดูแลกายใจ เร่ิมต้นขึ้นที่เมืองสุขภาพ ‘Wellness Care’ หรือ ‘ศูนย์ธรรมชาติบำบัดเวลเนสแคร์’ โดย ‘เวลเนส ซิตี้’ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (โทร. 08-1375-1916) จัดเป็นศูนย์การดูแลสุขภาพครบวงจรระดับโลกแห่งหนึ่งของเมืองไทย ก่อตั้งขึ้นโดยคุณหมอบุญชัย อิศราพิสิษฐ์ อดีตเจ้าของโรงพยาบาลราชธานี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ปัจจุบันศูนย์ Wellness Care เปิดให้บริการหลายโซน ทั้งโซนสุขภาพ และโซนบ้านจัดสรร โดยในครั้งแรกเปิดขึ้นเพื่อให้ผู้สูงอายุมาพักผ่อนแบบ Long Stay ก่อน เพราะมีแพทย์ พยาบาล และอุปกรณ์แพทย์คอยให้ความดูแลครบ ทว่าปัจจุบันได้เปิดคอร์สล้างพิษ ตับ-กาย-จิต, คอร์สฟื้นฟูไต และคอร์สพิชิตมะเร็ง สำหรับทุกคนที่สนใจ โดยเฉพาะสาวๆ ที่ห่วงใยสุขภาพตนเอง
สำหรับนักท่องเที่ยวที่รักสุขภาพทั่วไป การเยี่ยมชม Wellness Care ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะนอกจากจะได้รับฟังบรรยายเรื่องสุขภาพแล้ว ยังมี Workshop ให้ทดลองทำอาหารสุขภาพด้วยตัวคุณเอง จึงเป็นการสอดรับกับเทรนด์ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness & Health Tourism) ที่เติบโตขึ้นกว่า 27-30 เปอร์เซนต์ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงรักสุขภาพ ซึ่งถือเป็นกลุ่ม Women Empower ที่มีจำนวนมาก
เมนูไข่ม้วนไส้ผักปลอดสารพิษเพื่อสุขภาพ ของ Wellness Care ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้ทดลองทำและชิมฝีมือตัวเอง
พระเอกของเมนูสุขภาพที่ Wellness Care ก็คือ น้ำผักคลอโรฟิลด์ ที่มีส่วนผสมของผักพื้นบ้าน 6 ชนิด คือ ใบหญ้าหวาน, ใบบัวบก, ใบตำลึงหวาน, ใบหม่อน, ใบชะพลู, ใบเตยหอม (อย่างละ 50 กรัม) นำมาปั่นรวมกับน้ำต้มสุก 1 ลิตร แล้วกรองให้เหลือกากนิดๆ ดื่มก่อนอาหารเป็นประจำทุกวัน ก็จะช่วยในเรื่องของเลือดลม ลำไส้ ระบบการย่อย และผิวพรรณที่ผ่องใส รวมถึงป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้ด้วย
น้ำผักคลอโรฟิลด์ สูตร Wellness Care ไม่เหม็นเขียว เพราะส่วนผสมแต่ละชนิดกลมกล่อม แถมยังมีความหวานธรรมชาติจากใบหญ้าหวาน มาเพิ่มความอร่อยให้ด้วย
ดูกันชัดๆ กับพืชสมุนไพรพื้นบ้านไทยที่นำมาปั่นเป็นน้ำคลอโรฟิลด์ได้ง่ายดาย ประโยชน์สูงประหยัดสุดจริงๆ
เมื่อทำ Workshop เสร็จแล้ว ก็ได้เวลาเที่ยงพอดี ทว่าก่อนจะรับประทานอาหารหลัก เราควรกินพืชผักผลไม้ก่อนเพื่อให้ดูดซึมคุณค่าทางอาหารได้ดีที่สุด โดยเฉพาะผักใบเขียวและผักสีเหลืองสีแดงต่างๆ สลัดผักสุขภาพถือเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งจะทำให้เรารับประทานคาร์โบไฮเดรตในปริมาณลดลง ช่วยคุมน้ำหนัก ป้องกันโรคเบาหวานได้ดี
ก่อนรับประทานอาหารหลักที่ Wellness Care เขาเสิร์ฟผักม้วนสุขภาพเรียกน้ำย่อยก่อนเลย จุ๋มจิ๋มน่ารัก อุดมคุณค่าทางอาหารจริงๆ นะ
พ้นจากเมนูเรียกน้ำย่อยแล้ว ก็ถึงอาหารหลักเป็นข้าวกล้องกับอาหารเมนูปลา โดยเฉพาะข้าวกล้อง หรือข้าวไม่ผ่านการขัดสี ทำให้วิตามินในเมล็ดข้าวยังคงอยู่เกือบครบ รับประทานคู่กับปลาต่างๆ เพราะเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย อีกทั้งปลาหลายชนิดยังมีน้ำมันปลาที่ช่วยบำรุงสมอง และป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันได้ดีนักแล
พออิ่มหนำสำราญกับอาหารสุขภาพกันถ้วนหน้าแล้ว ก็ได้เวลาออกไปตระเวนชมอาณาบริเวณของ Wellness City ทั้งในส่วนของแปลงปลูกพืชผักปลอดสารพิษ ไว้ให้ผู้ที่มาพักผ่อนแบบ Long Stay รับประทาน, ชมแปลงปลูกต้นหม่อน เพื่อนำใบและผลมารับประทาน, ชมฟาร์มเลี้ยงแพะ และโซนบ้านจัดสรรที่ต้องบอกเลยว่า เป็นบ้านจัดสรรที่ปลอดภัยมาก เนื่องจากอยู่ใกล้คุณหมอและพยาบาล อุ่นใจได้เรื่องสุขภาพเนอะ
ผลหม่อน หรือลูกมัลเบอร์รี่ (Mulberry) ดกงาม นำมาทานสดอุดมด้วยวิตามินนับสิบชนิด อาทิ วิตามินเอ, ซี, อี, เค, วิตามิน บี 2, 3, 6, โซเดียม, เบต้า-แคโรทีน, ธาตุเหล็ก ฯลฯ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ คุมน้ำตาลในเลือด ลดคลอเรสเตอรอล บำรุงสมอง ป้องกันมะเร็ง เสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันควมดันโลหิตสูง ช่วยล้างพิษ บำรุงสายตา และช่วยให้ขับถ่ายดี โอ้โห! สุดยอดจริงๆ!
มาถึงฟาร์มเลี้ยงแพะของ Wellness City ที่มีแพะอยู่นับร้อยตัว กิจกรรมสนุกๆ ที่รอให้เราไปสัมผัสคือ การป้อนนมลูกแพะแสนน่ารัก เจ้าลูกแพะหน้าตาบ้องแบ้ว ตัวขาวสะอาดกลิ่นหอม จะกรูกันเข้ามารุมล้อมเรา ขอหม่ำนม (จากแม่แพะ) ให้ชื่นใจ มีความสุขทั้งคนป้อนนมและตัวที่มาดูดนม ฮาฮาฮา นัยว่าเป็นการใช้สัตว์บำบัด ช่วยสร้างรอยยิ้มสุขในใจได้ยอดเยี่ยม ฟาร์มแห่งนี้มีการดูแลความะอาดอย่างดี เดินเข้าชมได้สบายไร้กังวล
พอป้อนนมลูกแพะจนพวกมันอิ่มแปร้แล้ว ทีนี้ก็ถึงคราวพวกเราอิ่มกันบ้างซิ ได้เวลาชิม ‘ไอศกรีมนมแพะ’ สูตร Wellness Care ที่ถือว่าเป็นไอศกรีมเพื่อสุขภาพ เนื่องจากนมแพะมีไขมันต่ำกว่านมวัว ไม่ทำให้อ้วน อีกทั้งนมแพะยังไม่ทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลในเลือด ช่วยพัฒนาสมองและสายตา ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ คงเพราะอย่างนี้นี่เอง ทั่วโลกถึงนิยมดื่มนมแพะกันมานานแล้ว
อิ่มท้องแล้ว ก็ถึงคราวช้อปปิ้งหาซื้อสินค้าดีๆ เพื่อไปดูแลสุขภาพต่อที่บ้าน ขอแนะนำ ‘สบู่นมแพะ’ ที่มีส่วนผสมของนมแพะเข้มข้นกว่าแบรนด์อื่นๆ ใช้ล้างหน้า (หรือจะใช้ขัดสีฉวีวรรณทั้งตัวก็ไม่มีใครว่า) ช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่อง ลดสิว ลดฝ้า หน้าใสปิ๊งๆ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณสาวๆ ในทริปนี้จ้า
ส่วนหนึ่งของเมืองสุขภาพครบวงจร Wellness City มีโครงการบ้านจัดสรรน่ารักๆ ให้อยู่อาศัยกันในบรรยากาศแสนสงบ และอยู่ใกล้คุณหมอด้วย
ห้องนอนแสนน่ารัก ใครได้พักเอนกายในห้องนี้ ถ้าไม่มีความสุขหลับฝันดี ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วล่ะ
ห้องรับแขกสีหวาน บรรยกาศโปร่งโล่งสบาย ช่วยเติมเต็มสุขภาพกายใจที่ Wellness City
เมื่อดูแลสุขภาพกายกันเต็มที่จนหน้าใสกันถ้วนหน้าแล้ว เราก็เปลี่ยนบรรยากาศมาดูแลสุขภาพใจกันบ้าง กับการสัมผัสอยุธยาในมุมมองใหม่ ด้วยการล่องเรือชมวิถีชีวิตและวัดวาอารามโบราณริมน้ำ ในบริเวณ 3 เกาะ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง (ค่าเช่าเรือประมาณ 1,000 บาทต่อลำ เรือนั่งได้ไม่เกิน 7 คน) สัมผัสสายน้ำที่ยังใสบริสุทธิ์ อากาศโล่งสบาย หายใจได้เต็มปอด เหมือนการเดินทางย้อนเวลากลับเข้าสู่กรุงเก่าเล่าเรื่องอดีต
การล่องเรือไหว้พระ 3 วัด ของเราก็คือ วัดแคราชานุวาส (เกาะลอย) วัดช่องลม (เกาะวัดช่องลม) และวัดตองปุ (เกาะเมืองอยุธยา) ซึ่ง 3 วัดนี้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จัก เนื่องจากเป็นวัดโบราณ (บางแห่งเคยเป็นวัดร้างด้วยซ้ำ) อยู่บนเกาะเล็กเกาะน้อยใกล้เกาะเมืองอยุธยา จัดเป็นวัดที่มีเรื่องราวให้ค้นหา โดยเฉพาะผู้ที่สนใจด้านประวัติศาสตร์ และผู้ที่ศรัทธาหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดอันโด่งดัง
ระหว่างล่องเรือ เราจะได้สัมผัสวิถีชีวิตริมน้ำ ผสานกับความร่มรื่นของแมกไม้เขียวครึ้มสองฟากฝั่ง และแน่นอนว่า เรือนไทยโบราณที่บ่งบอกเอกลักษณ์ภาคกลาง ก็จะมีให้ชมตลอดทางเช่นกัน ขณะที่เรือล่องไปอย่างช้าๆ ทำให้รู้สึกว่าเข็มนาฬิกาชีวิตเดินช้าลง เหมือนได้เข้าใกล้วิถีไทยที่สงบร่มเย็น สมแล้วที่อยุธยาเป็นเมืองน้ำ เป็นเกาะที่มีแม่น้ำ 3 สายล้อมรอบ คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี
ล่องเรือมาไม่ถึง 15 นาที เราก็มาถึงวัดแรกบนเกาะลอย คือ ‘วัดแคราชานุวาส’ วัดสำคัญซึ่งผู้ที่เคารพศรัทธา หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด สามารถมาตามรอยองค์ท่านได้ บริเวณท่าน้ำมีรูปปั้นขนาดใหญ่ของหลวงปู่เป็นสัญลักษณ์ บรรยากาศเงียบสงบร่มเย็น เต็มไปด้วยแมกไม้ และวัดก็มีขนาดเล็ก ทว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ปัจจุบันมีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่เพียง 4-5 รูปเท่านั้น
เดินจากท่าน้ำขึ้นมานิดเดียว ก็จะถึงศาลาที่มีรูปเคารพของหลวงปู่ทวดให้สักการะกันเป็นจุดแรก เพื่อความเป็นสิริมงคล
ประวัติของวัดแคราชานุวาสมีบันทึกไว้ไม่ค่อยชัดเจน ที่เล่าสืบต่อกันมาว่า สมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ กษัตริย์องค์ที่ 19 แห่งกรุงศรีอยุธยา ประเทศลังกาต้องการได้กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองขึ้น แต่ไม่ต้องการให้เสียเลือดเนื้อ จึงออกอุบายให้มีการแปลธรรมะภายใน 7 วัน หากไม่มีผู้ใดแปลได้ก็จะเสียกรุง จนถึงคืนวันที่ 6 สมเด็จพระเอกาทศรถทรงพระสุบินว่า จะมีผู้แปลได้ จึงออกตามหาหลวงปู่ทวดที่ธุดงค์จากหัวเมืองพัทลุง ขึ้นมาจำพรรษาอยู่ที่วัดแค เพื่อมาศึกษาพระธรรมวินัย จึงได้นิมนต์ไปแปลธรรมะ จนสามารถช่วยปกป้องบ้านเมืองได้สำเร็จ
ภายในโบสถ์หลังใหม่ของวัดแคราชานุวาส มีภาพจิตกรรมฝาผนังเรื่องราวประวัติตอนต่างๆ ของหลวงปู่ทวด กราบพระขอพรแล้ว อย่าลืมแหงนหน้ามองขึ้นไปชมล่ะ แต่ถ้าไม่เข้าใจ ก็ให้ท่านเจ้าอาวาสอธิบายให้ฟังได้
ภายในโบสถ์หลังใหม่ของวัดแคฯ มีหุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่ทวดให้สักการะ ยิ่งเพ่งพินิจใกล้ๆ ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนท่านมีชีวิตจริงเลยนะ อัศจรรย์มาก!
ภาพจิตรกรรมฝาผนังร่วมสมัย เกี่ยวกับประวัติของหลวงปู่ทวด พระอริยสงฆ์ชื่อดังแห่งปักษ์ใต้ ที่มาช่วยปกป้องกรุงศรีอยุธยาสมัยพระเอกาทศรถ
ด้านนอกโบสถ์หลังใหม่ มี พระพุทธรูปหินทรายศิลปะลพบุรี ประดิษ์ฐานอยู่ แม้ว่าเศียรพระองค์เดิมจะถูกลักลอบตัดไป กรมศิลปากรก็ได้สร้างทดแทนขึ้นใหม่ เป็นหนึ่งในหลักฐานยืนยันความเก่าแก่ของวัดแคฯ แห่งนี้
ใกล้กับท่าน้ำวัดแคฯ มีหอระฆังและบันไดนาคคู่ที่สวยงาม เก่าแก่ ตัวหอระฆังบ่งบอกศิลปะอยุธยาชัดเจน ส่วนบันไดนาคคงสร้างขึ้นมาภายหลังด้วยศิลปะยุคปัจจุบัน
แม่น้ำด้านหน้าวัดแคราชานุวาส ยังใสสะอาดมีฝูงปลาแหวกว่าย และชาวบ้านยังสามารถนำน้ำนี้ไปใช้งานได้เช่นเดียวกับยุคอดีต นี่คือความสงบร่มเย็นของเมืองน้ำอยุธยา
ล่องเรือชิลชิลมาอีกแค่แป๊บเดียว เราก็แวะขึ้นกราบพระในวัดที่ 2 คือ ‘วัดตองปุ’ บนเกาะเมืองอยุธยา โดยท่าหน้าวัดนั้นตั้งอยู่บริเวณใกล้กับจุดบรรจบของแม่น้ำลพบุรีและแม่น้ำป่าสัก จึงเป็นอีกวัดหนึ่งที่สงบ ร่มเย็นมาก
วัดตองปุ เป็นวัดเก่าแก่มาก สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น ประมาณ พ.ศ. 1920 ประวัติเล่าว่าในอดีตที่ดินตรงนี้มีต้นกล้วยตานีขึ้นอยู่หนาแน่น เวลาชาวบ้านทั้งไทยและมอญมาทำบุญ ต่างก็ห่ออาหารด้วยใบตอง แถมยังนำใบตองมารองนั่งอีกด้วย จึงเป็นที่มาของชื่อ ‘วัดตองปุ’
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมถึงมีชาวมอญอยู่ในบริเวณนี้ด้วย ประวัติเล่าย้อนไปถึงสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หลังจากทรงกวาดต้อนเทครัวชาวมอญ ข้ามแม่น้ำสะโตงมาจากเมืองหงสาวดีแล้ว ก็ทรงบูรณะวัดตองปุให้เป็นที่จำพรรษาของพระมหาเถรคันฉ่อง รวมถึงพระมอญรูปอื่นๆ เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีที่พระยาเกียรติ พระยาราม ชาวมอญ ได้มาเตือนพระองค์มิให้ถูกลอบสังหาร ก่อนประกาศเอกราชที่เมืองแครงนั่นเองพ้นจากท่าน้ำขึ้นมานิดเดียว ก็มีศาลาไทยเปิดโล่ง ประดิษฐาน หลวงพ่อดำ อันศักดิ์สิทธิ์แห่งวัดตองปุ เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่สมัยอยุธยาแท้ กราบไหว้ขอพรกันได้ตามอัธยาศัยเลยจ้า
ร่องรอยทางโบราณดดีที่ชัดเจนในความเก่าแก่ของวัดมอญ อย่างวัดตองปุแห่งนี้ก็คือ ‘หลวงพ่อโต’ ซึ่งแต่เดิมเคยประดิษฐานอยู่ในโบสถ์มหาอุตม์ขนาดเล็ก (โบสถ์มหาอุตม์ คือ โบสถ์ที่ไม่มีหน้าต่าง มีประตูเข้าออกได้ทางเดียว นิมยมใช้เป็นสถานาที่ปลุกเสกเครื่องรางของขลังและวัตถุมงคลต่างๆ) ทว่าปัจจุบันตัวโบสถ์มหาอุตม์เดิมได้สลายไปพร้อมกาลเวลา จึงมีการสร้างศาลาครอบหลวงพ่อโตไว้แทน
หอระฆังแบบมอญ บ่งชี้ร่องรอยประวัติศาสตร์สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกวาดต้อนชาวมอญจากหงสาวดี
โบสถ์หลังใหม่ของวัดตองปุ งดงามตามแบบศิลปะรัตนโกสินทร์
ไหว้พระขอพร ทำจิตใจห้องผ่องแผ้ว กายใจจะได้ผ่องใส สมกับทริป ‘ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย’
นั่งเรือข้ามฝั่งจากวัดตองปุ (ที่อยู่บนเกาะเมือง) มาแค่ไม่กี่อึดใจ เราก็มาถึง ‘วัดช่องลมเกาะลอย’ ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ บนจุดบรรจบของแม่น้ำลพบุรีและแม่น้ำป่าสัก มีลักษณะเป็นเพียงเกาะเล็กๆ ที่มีคนอาศัยอยู่แค่ไม่กี่คน จึงอาจพูดกันเล่นๆ ได้ว่า เป็นเกาะเล็กที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทยเลยล่ะ ฮาฮาฮา
จริงๆ แล้วเกาะลอยนี้ มีมากกว่าการมากราบพระขอพร ทว่ายังมีเรื่องราวพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งทรงห่วงใย ไม่ทอดทิ้งเกาะเล็กๆ นี้ แม้เกาะลอยจะมีประชากรอยู่แค่ 15 หลังคาเรือน พระองค์ท่านก็ทรงแผ่พระบารมีเมตตามาปกปักคุ้มครอง เหตุการณ์อันน่าประทับใจนี้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2556 เมื่อน้ำจากแม่น้ำได้กัดเซาะตลิ่งของเกาะลอยจนเข้าถึงตัวบ้านเรือนราษฎร หนึ่งในลูกหลานของเกาะลอย คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นภาภรณ์ ศิริพิทักษ์ ได้เขียนจดหมายด้วยลายมือของตนเอง ถวายฎีกาแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 จากนั้นต้นปี พ.ศ. 2557 พระองค์จึงพระราชทานเงินมาให้ถึง 18 ล้านบาท เพื่อสร้างเขื่อนตรงหัวเกาะลอย ป้องกันน้ำกัดเซาะ จนประชาชน 15 หลังคาเรือน กลับมาใช้ชีวิตได้ปกติสุขอีกครั้ง
จากวัดช่องลมเกาะลอย มองไปเห็นวัดตองปุอยู่ใกล้นิดเดียว และยังได้ชมเขื่อนกั้นน้ำซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานให้ประชาชนบนเกาะลอยด้วย
บนเกาะลอยมีวัดโบราณอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันถือเป็นวัดร้าง เหลือหลักฐานบ่งบอกเรื่องราวประวัติศาสตร์อยู่ไม่มาก ทว่าก็ยังเป็นที่รู้จักและจดจำของชาวบ้านละแวกนั้นเป็นอย่างดี โดยเฉพาะ ‘หลวงพ่อขาว’ เป็นพระประธานองค์ใหญ่สีขาว พระพักตร์อิ่มเอิบแลใจดี เชื่อหรือไม่ว่าส่วนเศียรของหลวงพ่อขาวสร้างขึ้นโดยใช้โอ่งใส่น้ำเป็นแกนภายใน เนื่องจากในสมัยโบราณชาวบ้านไม่มีวัสดุก่อสร้าง จึงต้องใช้โอ่งหรือตุ่มใส่น้ำแทนอิฐ สังเกตให้ดีจะเห็นเลยว่าเศียรหลวงพ่อขาวท่านจะค่อนข้างกลมรีจริงๆ ด้วย
พระพุทธรูปสีทองด้านหน้าหลวงพ่อขาว คือ หลวงพ่อหมอ หรือพระหมอ ซึ่งชาวบ้านที่เจ็บไข้ได้ป่วย มาบนบานขอให้หายป่วย ก็จะได้ตามนั้น!
ใกล้ๆ กับวิหารหลวงพ่อขาว มี ‘ศาลเจ้าพ่อดาบชัย’ สมัยกรุงศรีอยุธยาให้สักการะกันด้วยล่ะ โดยศาลนี้ตั้งอยู่ติดกับต้นโพธิ์โบราณลำต้นใหญ่หลายคนโอบ แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ถ้ายืนนิ่งๆ ลองหลับตาจินตนาการไปในอดีต จะเห็นภาพของเกาะลอยที่มีแม่น้ำไหลผ่านด้านหน้า และทิวไม้เขียวๆ เย็นตาเย็นใจจริงๆ
ออกจากวัดช่องลมเกาะลอยแล้ว เราก็ได้เวลาล่องเรือกันยาวๆ เกือบ 1 ชั่วโมง เรือหันหัวเร่งเครื่องออกจากลำคลองย่อยเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยาสายหลัก ผ่านวัดสำคัญๆ สองฟากฝั่ง ทั้งวัดหน้าพระเมรุ, วัดพุทไธศวรรย์, วัดไชยวัฒนาราม, เจดีย์สมเด็จพระสุริโยทัย และอีกมากมาย ถ้าเวลาเหลือ และตกลงกับนายท้ายเรือได้ ก็เพิ่มค่าเรือให้เขาหน่อย จะสามารถแวะกราบพระชำระกายใจได้เพิ่มเติม
วัดไชยวัฒนาราม หนึ่งในวัดสำคัญที่สุดและสวยงามที่สุดบนเกาะเมืองอยุธยา
วัดพุทไธศวรรย์ เมื่อมองจากทางน้ำจะได้มุมมองงดงามมาก
วันนี้ได้สัมผัสวิถีชาวน้ำอยุธยาแบบลึกซึ้ง รู้สึกเย็นชื่นใจจากสายน้ำที่ยังใสสะอาดไหลไปไม่เคยเปลี่ยน
อีกวัดหนึ่งที่ไม่ควรพลาดชมและสักการะ ในระหว่าง เส้นทางผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย ของเราก็คือ ‘วัดบางนมโค’ อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของหลวงพ่อปาน พระเกจิอาจารย์ผู้โด่งดังในด้านวัตรปฏิบัติอันงดงาม และมีคาถาอาคมแก่กล้า อีกทั้งได้ฉายาว่า ‘พระหมอ’ ช่วยรักษาอาการป่วยไข้ให้ชาวบ้านในยุคเมื่อหลายสิบปีก่อน ด้วยยาสมุนไพรพุทธคุณอันศักดิ์สิทธิ์
ภายในบริเวณวัดบางนมโค มีพระเจดีย์ขนาดใหญ่ ศิลปะอยุธยาตอนปลาย สร้างแบบย่อมุมไม้สิบสอง และเหตุที่วัดนี้ได้ชื่อว่า ‘วัดบางนมโค’ เพราะอดีตแถบนี้ชาวบ้านนิยมเลี้ยงวัวควายกันมาก แม้แต่ในสมัยพม่ามาล้อมตีกรุงศรีอยุธยา ก็ยังมากวาดต้อนจับวัวควายชาวบ้านไปใช้เป็นเสบียงในกองทัพเช่นกัน
วิหารหลวงพ่อปานวัดบางนมโค เข้าไปสักการะกราบขอพร ปิดทองรูปเหมือนของท่านเพื่อความเป็นสิริมงคล ภายในสร้างโดยบุกระจกเงามากมาย สะท้อนแสงวิบวับ แลคล้ายวิหารที่วัดท่าซุงของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
รูปเหมือนหลวงพ่อปานวัดบางนมโค มีประชาชนศรัทธาหลั่งไหลกันมาปิดทองจนเหลืองอร่ามไปทั้งองค์
หุ่นขี้ผึ้งหลวงพ่อปานวัดบางนมโค ชวนให้เรานึกถึงเรื่องราวประวัติของท่าน กล่าวสั้นๆ คือท่านเกิดเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2418 ในย่านวัดบางนมโคนี่เอง โดยท่านได้รับการอุปสมบทที่วัดบางนมโค เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2438 กับหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ โดยรู้กันดีว่าหลวงพ่อสุ่นนั้นเป็นพระที่มีวิชาอาคมแก่กล้ามาก หลวงพ่อปานจึงได้รับการถ่ายทอดวิชาต่างๆ มาด้วย
หลวงพ่อปานมรณะภาพ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 สิริรวมอายุ 63 ปี 43 พรรษา โดยอัฐิธาตุของท่านได้รับการเก็บรักษาไว้ ณ วัดบางนมโคแห่งนี้เอง
ท่าน้ำหน้าวัดบางนมโค อดีตเคยใช้เป็นเส้นทางสัญจรหลัก ทุกวันนี้น้ำยังใสสะอาดดี
ตระเวนเที่ยวอยุธยากันมาตลอดวัน เริ่มเหนื่อยแล้ว วันนี้ขอเลือกพักผ่อนสบายๆ ชิลๆ กลางทุ่งนา ในรีสอร์ทเล็กๆ สไตล์เก๋ไก๋น่ารัก บรรยากาศผ่อนคลายเป็นกันเอง ที่ ‘พลูธยา รีสอร์ทแอนด์สปา’ อำเภอเมืองพระนครศรีอยุธยา (โทร. 09-8358-0118, 0-3570-7565-6)
พาตัวและหัวใจไปค้นพบความสุขแบบเรียบง่าย กับเครื่องดื่มที่เราชอบ นั่งเหม่อมองท้องทุ่งสีเขียว เข้าถึงจิตวิญญาณของเมืองอู่ข้าวอู่น้ำอยุธยาในแบบน่ารักๆ
ด้านข้างพลูธยา รีสอร์ท มีทุ่งนาผืนกว้างที่มองไปเห็นเจดีย์ของวัดใหญ่ชัยมงคลได้ชัดเจน ทั้งวิถีข้าวและวิถีพุทธอยู่ใกล้แค่เอื้อมนิดเดียวเอง มีความสุขเหลือเกิน
แสงยามเย็นเมื่อแดดร่มลมตก อาบไล้ท้องทุ่งและพลูธยา รีสอร์ท ที่พักอุ่นสบายของเราในคืนนี้
หน้าห้องพักมีคูน้ำและดอกบัวบาน เคียงคู่ทุ่งนาสีเขียวและท้องฟ้ากว้างๆ ไม่มีตึกอะไรมาบดบังเลย โปร่งโล่งสบายดีจัง แถมยังมีเสียงกบเขียดร้องเพลงกล่อมด้วย ฮาฮาฮา
พลูธยา รีสอร์ท มีที่พักหลายโซน ทั้งริมนา ริมสระ และริมบึง ให้เลือกตามใจชอบเลยจ้า
ความลงตัวในการผสมผสานความใหม่เก่า จนทำให้พลูธยา รีสอร์ท กลายเป็นที่พักบูติกเล็กๆ ช่วยสร้างมิติใหม่ให้อยุธยาได้มากเลยทีเดียว
ห้องนอนโซนพักริมน้ำของพลูธยา รีสอร์ท ตกแต่งด้วยสไตล์จีน เน้นสีเหลืองแดงโทนสว่างน่าพัก
จุดเด่นอีกอย่างของพลูธยา รีสอร์ท ที่ ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย ชอบมาก คือมีบริการนวดไทยและสปา ผ่อนคลายกันสุดๆ เลยวันนี้
และที่ขาดไม่ได้ ทำให้พลูธยา รีสอร์ท ครบเครื่อง คือเมนูอาหารไทยที่เสิร์ฟกันเต็มที่ในมื้อเย็น ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกกะปิ ปลาทูทอด แกล้มผักต่างๆ, ต้มกะทิสายบัวปลาทู, ผักทอด, แกงเขียวหวานไก่, มัสมั่นไก่ ฯลฯ เป็นกับข้าวแบบไทยๆ ที่ปู่ย่าตายายเรากินกันมานานนม
ทริป ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย ของเรายังไม่จบลงเท่านี้ ยังมี ตอน 2 ให้ติดตามกันอย่างเข้มข้นสนุกสนานด้วย อย่าพลาดนะจ๊ะSpecial Thanks : คุณอิสสระพงษ์ แทนศิริ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพระนครศรีอยุธยา (และดูแลพื้นที่จังหวัดสระบุรี) สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจสอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-3524-6076-7
เที่ยวสุราษฎร์ฯ เก๋ไก๋สไตล์ลึกซึ้ง
“โอ่โอ ปักษ์ใต้บ้านเรา โอ่โอ ปักษ์ใต้บ้านเรา มีน้ำภูเขาทะเลกว้างไกล จะไปไหน ปักษ์ใต้บ้านเรา…” เสียงเพลงไพเราะแสนคลาสสิกของวงแฮมเมอร์ ยังคงดังก้องอยู่ในหัวใจผม ขณะที่สองเท้ากำลังย่างก้าวเข้าสู่ดินแดนอันแสนงงดงาม ‘สุราษฎร์ธานี’ เมืองที่มีป่าผืนใหญ่ที่สุดในภาคใต้ อันเป็นต้นกำเนิดสายน้ำชุ่มฉ่ำ เป็นบ้านของสรรพชีวิต และที่สำคัญคือเป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ (Eco-Tourism) ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในภาคใต้
ทริปนี้ เราจึงร่วมเดินทางไปกับ ททท. สำนักงานสุราษฎร์ธานี เปิดประสบการณ์ใหม่กับการสัมผัส สุราษฎร์ฯ แบบวิถีไทยสไตล์ลึกซึ้ง
ความสนุกความมันในทริปนี้ เร่ิมต้นขึ้นในเขตอุทยานแห่งชาติเขาสก แถวๆ ‘คลองศก’ อำเภอบ้านตาขุน ซึ่งเป็นถิ่นที่เต็มไปด้วยเทือกเขาหินปูนสลับซับซ้อน ห่มคลุมด้วยป่าฝนผืนใหญ่ เขียวขจีตลอดปี และมีวิถีเกษตรของชาวบ้านเติมเต็มวิถีชีวิตที่นี่ กิจกรรม ‘ล่องแพไม้ไผ่คลองศก’ ถือเป็นการผจญภัยแบบง่ายๆ ชิลๆ ที่นำเราเข้าสู่อ้อมกอดของป่าใหญ่ ได้สัมผัสสายน้ำเย็นชื่นใจ และภูมิทัศน์มหัศจรรย์ของเทือกเขาหินปูนรูปทรงแปลกตา
ทว่าการล่องแพไม้ไผ่คลองศกของสุราษฎร์ฯ เขามีความเก๋ไก๋แบบวิถีไทยที่ไม่เหมือนใครนะครับ เพราะเขามีสโลแกนน่ารักๆ ว่า ‘สวมมง ลงแพ ดื่มกาแฟ แลดอกบัวผุด’ โดยคำว่า ‘สวมมง’ ก็หมายถึงการให้นักท่องเที่ยวสวมมงกุฎที่ทำจากใบปาล์ม ส่วน ‘ลงแพ’ ก็คือล่องแพไม้ไผ่ ที่ไม่ได้ตัดมาจากป่า แต่เป็นไผ่ปลูกในสวนชาวบ้าน เพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติให้ท่องเที่ยวได้ยั่งยืน ‘ดื่มกาแฟ’ คือมีซุ้มกาแฟแวะชิมกันกลางป่า และคำว่า ‘แลดอกบัวผุด’ ก็คือกิจกรรมเสริมอันโดดเด่นอีกอย่าง เพราะในป่าแถบนี้มีดอกบัวผุด ซึ่งเป็นดอกไม้ขนาดใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่งของโลกเบ่งบานอยู่ ล่องแพเสร็จแล้วใครแรงเหลือ ก็ยังไปเดินป่าค้นหาความมหัศจรรย์ของธรรมชาติได้ด้วย
การล่องแพไม้ไผ่คลองศกใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ผ่านไปตามลำน้ำที่ไม่ได้ไหลเชี่ยวกรากจนน่ากลัว ทว่าไหลเอื่อยๆ สบายๆ เป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เที่ยวสนุก สองฟากฝั่งอุดมด้วยแมกไม้ร่มรื่น เป็นแนวป่าธรรมชาติบ้าง สลับกับเรือกสวนของชาวบ้านบ้าง แต่ที่ถือว่าเป็นพระเอกของเส้นทางนี้จริงๆ สำหรับผม ก็คือเทือกเขาหินปูนไงครับ เพราะลำน้ำบางช่วงบีบแคบ มีโตรกผาหรือแท่งหินปูนยืนตระหง่านอยู่ใกล้ๆ เลย ถ่ายภาพได้สวยสุดๆ
แพไม้ไผ่ของคลองศกนั่งสบาย มีเก้าอี้ไม้เตี้ยๆ ให้ ไม่ต้องนั่งตูดเปียกบนแพ การล่องก็ไม่ได้ใช้เครื่องยนต์ แต่ใช้ไม้ไผ่ค้ำถ่อไปเรื่อยๆ ไม่เร่งร้อน แบบ Slow Life แถมแพบางลำยังใช้ไม้พายจ้วงเอาๆ ได้สบายบรื๋อเลย
พอล่องแพมาได้ประมาณ 15 นาที ยังไม่ทันจะเหนื่อย (จะเหนื่อยได้ไง ก็เรานั่งเฉยๆ ไม่ได้ถ่อแพเอง ฮาฮาฮา) เขาก็จอดแวะริมตลิ่ง นำเราเดินขึ้นไปยัง ซุ้มกาแฟกลางป่า มีการต้มน้ำร้อนในกระบอกไม้ไผ่ มาชงกาแฟหรือชาร้อนๆ ให้เราซดเรียกความสดชื่น แถมแก้วที่ให้เรานั้น ยังเป็นแก้วที่ทำจากไม้ไผ่ทั้งหมด นำลงไปนั่งชิลดื่ม พร้อมชมวิวในแพอย่างสบายราวกับราชา แหม อะไรจะ Happy ปานนี้นะ
รอยยิ้มของเจ้าบ้านและผู้มาเยือน ในซุ้มกาแฟกลางป่า จุดแวะระหว่างล่องแพไม้ไผ่คลองศกจ้า
ล่องแพน้ำใส ดื่มกาแฟร้อนๆ ในกระบอกไม้ไผ่ สุขใจ เติมเต็มพลังชีวิตด้วยความบริสุทธิ์ของธรรมชาติรอบข้าง นี่ล่ะของขวัญให้ชีวิต
จากจุดซุ้มกาแฟกลางป่า ต่อไปก็เป็นการล่องแพยาวๆ กันเลย ปล่อยให้ตัวและหัวใจของเราไหลไปพร้อมสายน้ำสีเขียวมรกตของลำคลองศก ซึ่งเกิดจากความอุดมของป่าอุทยานแห่งชาติเขาสก สีเขียวของแมกไม้น้อยใหญ่ จะทำให้หัวใจชุ่มชื่น ได้รับรู้ถึงกลิ่นอายและสรรพสำเนียงของธรรมชาติ ลองปิดมือถือ ทิ้งชีวิตวุ่นวายแบบเมืองใหญ่ไว้เบื้องหลักสักพักก็ดีนะ
ระหว่างล่องแพ นอกจากการชมวิวและถ่ายภาพแล้ว ใครติดกล้องส่องทางไกลไปด้วย ก็จะได้มีโอกาสดูนกหลายชนิดที่เข้ามาหากินคลายร้อนใกล้น้ำครับ
หลังจากล่องแพเสร็จเรียบร้อยแล้ว ใครเหนื่อยก็ Check In เข้าที่พักเอาแรง หรือใครยังฟิตปั๋ง ก็จะให้ไกด์นำทางไปเดินป่าตามหาดอกบัวผุดเขาสก ก็ได้เลย เอาที่สบายใจจ้า
หลังจากเพลิดเพลินกับการล่องแพคลองศกกันอย่างชุ่มฉ่ำ และพักเอาแรงเต็มที่แล้วหนึ่งคืน ผมก็ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ รีบไปกางขาตั้งกล้องรอแสงแรกของตะวันเบิกฟ้าที่ ‘จุดชมวิวผานางคอย’ เป็นจุดชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นอันมีชื่อเสียงในแถบนี้ จุดชมวิวผานางคอยตั้งอยู่ตรงจุดกึ่งกลางระหว่าง กม.109 (เดิม) และ กม.111 (เดิม) หากขับรถมาจากปากทางเข้าที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาสก มองทางซ้ายมือไว้ครับ เดี๋ยวเจอเอง
จุดชมวิวผานางคอยในช่วงฤดูฝน และวันที่มีความชื้นสูง อากาศเย็น ตอนเช้าก็จะมีทะเลหมอกให้ชม แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะบางวันจะมีเฉพาะแสงสีทองสวยๆ ยามเช้า สาดส่องลงมาปลุกเทือกเขาหินปูนตะปุ่มตะป่ำ ให้ตื่นจากหลับใหล นี่คือสิ่งที่ทำให้นักแรมทางเข้าใจธรรมชาติ ปรับตัวเข้าหาธรรมชาติ ไม่ใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง และรู้จักท่องเที่ยวอย่างเปิดใจรับความสุขตรงหน้าให้เต็มที่
เราเติมความสุขของเช้าอันสดใสที่เขาสก ด้วยการไปหม่ำอาหารเช้าอร่อยๆ แนวสุขภาพ กันที่ ‘แพ 500 ไร่ Valley Retreat’ หนึ่งในสาขาของแพ 500 ไร่ ในอ่างเก็บน้ำเขื่อนเชี่ยวหลาน (เขื่อนรัชชประภา) เห็น Landscape ที่ตั้งของเขาแล้วต้องบอกเลยว่า อึ้ง ทึ่ง ตกตะลึงในความงาม สามารถสร้างที่พักให้กลมกลืนกับธรรมชาติ โดยใช้วิวเบื้องหน้าประกอบเข้ามาได้ลงตัวเป๊ะ
นี่หรือคือเขาสก? คำตอบคือใช่ เพราะ แพ 500 ไร่ Valley Retreat เป็นที่พักหรูที่เน้นความเงียบสงบ ให้ธรรมชาติเป็นพระเอก โดยมีสระว่ายน้ำที่ยาวกว่า 50 เมตร ให้บริการผู้เข้าพัก ถือเป็นสระว่ายน้ำยาวที่สุดในแถบนี้เลยล่ะ พอว่ายน้ำเสร็จแล้ว คงไม่มีใครว่า หากจะใช้เวลาเป็นส่วนตัวเอนกายลงนั่งชมวิวสุดสายตา Panorama เบื้องหน้า ให้เป็นรางวัลชีวิต
ว่ายน้ำกับ Mountain View หรือ Rainforest View สุดเจ๋ง จะหาได้ที่ไหนไม่มีอีกแล้ว!
และวันนี้ในแถบอุทยานแห่งชาติเขาสก ก็มีที่พักเก๋ไก๋เปิดใหม่ให้บริการอีกมากมาย แต่ละแห่งล้วนดึงจุดเด่นของป่าฝนและการพักผ่อนอย่างใกล้ชิด กลมกลืนกับธรรมชาติ มาให้เราสัมผัส
มาถึงอีกหนึ่งไฮไลท์ของการเดินทางทริปนี้ คือ การเดินป่าตามหาดอกบัวผุด หนึ่งในดอกไม้ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดในเมืองไทยบริเวณป่าเขาสกนี่เอง ทำให้นักเดินป่าศึกษาธรรมชาติ นักพฤกษศาสตร์ และช่างภาพจากทั่วโลก เดินทางมาเยือนที่นี่ในยามที่ดอกบัวผุดบาน เพราะไม่ใช่ว่ามันจะบานตลอดปี แต่มักจะบานนอกฤดูฝน ราวๆ ต้นฤดูร้อน (เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน) แถมการบานของแต่ละดอกยังมีช่วงสั้นๆ แค่ 7 วันเท่านั้น การเห็นดอกบัวผุดบานกลางป่าด้วยตาตัวเองสักครั้ง จึงยากพอๆ กับการถูกหวยรางวัลที่ 1 เลยละ ฮาฮาฮา
โชคดีเหลือเกิน การเดินทางในครั้งนี้มีดอกบัวผุดบานพอดี ในบริเวณเส้นทางดูดอกบัวผุด กม.111 (เดิม) จุดเริ่มต้นก็อยู่ริมทางหลวงหมายเลข 401 ที่ผ่านนหน้าทางเข้าอุทยทานแห่งชาติเขาสกนั่นล่ะ เลยมาอีกนิดเดียว อยู่ทางขวามือ แต่เส้นทางนี้ไม่ธรรมดา เพราะนอกจากจะผ่านป่าดิบรกทึบแล้ว หนทางยังสูงชันมาก ต้องอาศัยแรงกายกำลังใจแบบฟิตสุดๆ นอกจากนั้นยังต้องสวมรองเท้าหุ้มข้ออย่างดี และมีไม้เท้าเดินป่าช่วยผ่อนแรงขา แม้ว่าผมจะไม่ค่อยฟิตนัก แต่ก็ขอสร้างวีรกรรมไปทักทายบัวผุดสักครั้ง หลังจากไม่ได้เห็นดอกจริงๆ กับตาตัวเองมานานถึง 13 ปีแล้ว
เส้นทางดูดอกบัวผุดนี้ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ในที่สุดเราก็ได้ตื่นตะลึงกับพืชพิศวง ‘ดอกบัวผุด’ หรือที่ในทางวิชาการเรียกว่า ‘ดอกรัฟฟลีเซีย’ (Rafflesia) จริงๆ แล้วมันเป็นพืชกาฝาก ตามปกติมีลักษณะเป็นเส้นใยราอาศัยอยู่ในเนื้อไม้ย่านไก่ต้ม (หรือเถาองุ่นป่า) ซึ่งเป็นไม้เลื้อยที่หายากในป่าแถบนี้ ต่อเมื่อบัวผุดต้องการผสมพันธุ์ มันจึงผุดตาดอกคล้ายหัวกะหล่ำสีน้ำตาลแดงขึ้นที่ผิวของย่านไก่ต้ม ค่อยๆ โตขึ้นๆ ใช้เวลาถึง 9 เดือนเท่ากับการตั้งท้องของคน จนถึงเวลาเบ่งบานแค่ไม่เกิน 7 วัน โดยสีของมันจะสดที่สุด (เป็นสีน้ำตาลอมแดงเข้ม) ใน 3-4 วันแรกเท่านั้น จากนั้นก็จะเน่าเปื่อยไป โดยแต่ละดอกมีขนาด 100-120 เซนติเมตร เลยทีเดียว!
ความมหัศจรรย์ของบัวผุด มิใช่แค่มันเป็นหนึ่งในดอกไม้ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเท่านั้น ทว่ามันยังเป็นพืชที่มีดอกตัวผู้ และดอกตัวเมียแยกกัน เมื่อดอกบาน มันจะสร้างกลิ่นคล้ายเนื้อเน่าอ่อนๆ ล่อแมลง แมงมุม กบ และสัตว์ต่างๆ ให้มาช่วยผสมพันธุ์ แต่ความลี้ลับของธรรมชาติที่แท้จริง ซึ่งยังไม่มีใครหาคำตอบได้ก็คือ ยังไม่มีใครทราบว่าเมล็ดบัวผุดที่ได้รับการผสมแล้ว กลับเข้าไปในเถาย่านไก่ต้มได้อย่างไร? ยังคงเป็นปริศนาที่เราต้องช่วยกันหาคำตอบต่อไป เช่นเดียวกับเจ้ากบป่าน้อยตัวนี้ ที่เข้าไปหลบอยู่ในหม้อของดอกบัวผุด ซึ่งจริงๆ แล้วมันคงรอจับแมลงกินนั่นเอง เกิดเป็นห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศน์อันสมบูรณ์
ดูกันชัดๆ ครับ สำหรับหัวตูมของดอกบัวผุดที่งอกขึ้นมาจากเถาย่านไก่ต้ม แต่ใช่ว่าทุกหัวจะรอดไปบานจนผสมพันธุ์ได้นะครับ เพราะบางหัวเน่าในจากความชื้นเกินพอดี และบางหัวก็ถูกสัตว์หรือแมลงป่าเจาะจนเน่า
บัวผุดพันธุ์ไทยนี้ จัดเป็นพืชหายากของโลก (Rare Species) และ เป็นพืชเฉพาะถิ่นที่พบได้ในเมืองไทยเท่านั้น (Endemic Species) เมื่อชมแล้ว ก็ต้องช่วยกันอนุรักษ์ให้คงอยู่กับป่าเขาสกตลอดไป
กลับลงมาจากภูเขาพร้อมกับความสุข ที่ได้เห็นดอกบัวผุดอีกครั้ง วันนี้เราเข้าไปเที่ยวที่ทำการของอุทยานแห่งชาติเขาสกด้วย เพราะตรงกับช่วงจัดงาน ‘เขาสก Eco-Tourism Festival 2017’ พอดี ในงานมีการออกบูทให้ความรู้เรื่องธรรมชาติ และหลายชุมชนในแถบนี้ก็มาร่วมด้วย
การประกวดวาดภาพบัวผุด ของเด็กๆ ในงาน เขาสก Eco-Tourism Festival 2017
อันที่จริงแล้วป่าเขาสกมีเนื้อที่กว้างขวางกว่า 4 แสนไร่ โดยแบ่งเป็น ภาคพื้นดิน และภาคพื้นน้ำ ในภาคพื้นดินเต็มไปด้วยเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ การดูนก น้ำตก และดอกบัวผุด เป็นพระเอก ส่วนเขาสกภาคพื้นน้ำก็คือ ‘เขื่อนรัชชประภา’ หรือชื่อเดิม ‘เขื่อนเชี่ยวหลาน’ ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้เปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 แม้ว่าจะสูญเสียผืนป่าไปมากมาย แต่ก็แลกมาด้วยการได้เขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงภาคใต้นั่นเอง เมื่อน้ำเอ่อท้นขึ้น ยอดเขาหินปูนที่เคยอยู่สูงลิบ จึงกลายเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยนับร้อยเกาะ รูปลักษณ์เป็นเทือกเขาหินปูนตะปุ่มตะป่ำ แปลกตาน่าชม เหมาะไปล่องเรือ หรือค้างคืน นอนชมธรรมชาติ
เขื่อนเชี่ยวหลานมีเนื้อที่กว้างขวางมาก ตลอดการล่องเรือเราจะได้ประจักษ์ถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ที่ก่อเกิดทุกสรรพสิ่งขึ้นมา ภูมิทัศน์โดดเด่นของบริเวณนี้คือ ‘เทือกเขาหินปูน’ ซึ่งในทางวิชาการเรียกว่า Karst Topography เกิดจากการทับถมของซากอินทรีย์วัตถุใต้ทะเลเมื่อหลายล้านปีก่อน จากนั้นเมื่อเปลือกโลกยกตัวขึ้น แล้วถูกลม ฝน แดด กัดเซาะเป็นเวลานาน จึงสึกกร่อนเหลือเป็นเทือกเขาหินปูนรูปทรงแปลกตาอย่างนี้ล่ะ Landmark สำคัญจุดหนึ่งที่เรือทัวร์นิยมพาคนไปชมก็คือ ‘หินสามเกลอ’ (หินสามพี่น้อง) เป็นแท่งหินปูน 3 แท่งผุดขึ้นจากน้ำ จากจุดนี้วิ่งเรือไปอีกไม่ไกล ก็ถึงแพนางไพร เป็นแพพักของอุทยานฯ เขาสก
จอดเรือแวะชมธรรมชาติให้เต็มอิ่ม ที่หินสามเกลอ
จากหินสามเกลอนั่งเรือหางยาวต่อมาแค่ไม่กี่อึดใจ ก็ถึงแพนางไพรแล้ว เป็นที่พักเรียบง่าย ใกล้ชิดธรรมชาติ เล่นน้ำ พายเรือ ได้ชุ่มฉ่ำสมใจอยาก
ฝูงปลานับร้อยแหวกว่ายในน้ำใสสีมรกตของเขื่อนเชี่ยวหลาน ที่น้ำเป็นสีเขียวมรกตแบบนี้ เป็นเพราะสารแคลเซียมคาร์บอเนตในหินปูนโดยรอบนั่นเอง
การมาเที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน ไม่มีแสงสี ไม่มีร้านสะดวกซื้อ ไม่มีคาราโอเกะ มีแต่ความพิสุทธิ์ของธรรมชาติยิ่งใหญ่เบื้องหน้าให้ซึมซับ นักท่องเที่ยวที่จะมาจึงเป็นกลุ่มรักธรรมชาติ นักนิยมไพร ผู้ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายในเมือง แต่กิจกรรมเขาไม่ได้มีแค่เล่นน้ำ พายเรือเท่านั้น ยังมีการเดินป่าขึ้นจุดชมวิว, เที่ยวถ้ำน้ำทะลุ ถ้ำปะการัง, เดินป่าเข้าไปดูนกเงือกในแพทะเลใน 500 ไร่ และอื่นๆ อีกมากมาย
เขาสกวันนี้มีมากกว่าที่คิด เมื่อเราได้เข้าไปเยี่ยมชม ‘เขาสก Elephant Hills’ ปางช้างที่ไม่ธรรมดา เพราะตั้งแต่เปิดตัวขึ้นเมื่อเดือนมกราคม ปี ค.ศ.2011 ก็โด่งดังและได้รับรางวัลระดับโลกมากมาย เพราะเขาไม่ได้เปิดให้เข้าชมช้างอย่างเดียว แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติ เข้ามาใช้ชีวิตสัมผัสประสบการณ์แบบ Long Stay ระยะสั้น 3 วัน 2 คืน ได้ใช้ชีวิตอยู่กับช้าง อาบน้ำช้าง ฝึกคำสั่งช้าง โดยที่นี่มีช้างอยู่กว่า 50 เชือก ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ และควาญชาวปกากะญอมืออาชีพสั่งตรงจากจังหวัดเชียงราย
ความเจ๋ง ความชิลของปางช้าง Elephant Hills คือเขาไม่ได้เลี้ยงช้างในกรงขังให้อึดอัด แต่เลี้ยงในพื้นที่เปิด เป็นธรรมชาติ ตรงกลางพื้นที่เป็นหุบเขาทุ่งหญ้าเขียว ล้อมรอบด้วยเทือกเขาหินปูนสูงตระหง่าน
พี่ควาญช้างใจดีชาวปกากะญอ จากอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดเชียงราย เดินทางตรงมาดูแลพี่ช้างให้มีความสุข
แหล่งท่องเที่ยวเชิงวิถึชีวิตชุมชน หรือ CBT (Community-Base Tourism) ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในแถบเขาสก ซึ่งผมต้องบอกว่าไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงก็คือ ‘ชุมชนบ้านถ้ำผึ้ง’ ตำบลต้นยวน อำเภอพนม เพราะชุมชนนี้น่ารัก เปิดให้เที่ยวมาเป็นสิบปีแล้วครับ โดยเน้นวิถีชีวิตชุมชนชาวใต้ และพาเดินป่าศึกษาธรรมชาติ ทั้งน้ำตก ถ้ำ บ่อน้ำดันทรายดูด และจุดชมวิว
สนใจสอบถามข้อมูลเที่ยวบ้านถ้ำผึ้ง และจองโฮมสเตย์ ติดต่อ คุณบุญทัน บุญชูตา โทร. 08-9290-9420, 0-7739-9994
เดิมทีพื้นที่แถบบ้านถ้ำผึ้งเป็นป่าดงดิบรกทึบ และเป็นป่าต้นน้ำอุดมสมบูรณ์ กระทั่งปี พ.ศ.2503 ก็เริ่มมีผู้คนเข้ามาอยู่อาศัย ทำสวนผลไม้และเกษตรกรรม จนทุกวันนี้มีประชากรกว่า 1,200 คนแล้ว โดยชื่อ ‘หมู่บ้านถ้ำผึ้ง’ มาจากถ้ำใหญ่แห่งหนึ่งใกล้หมู่บ้าน ซึ่งมักจะมีผึ้งหลวงมาทำรังเป็นจำนวนมากทุกปี ขอบอกว่าตอนแวะเข้าไปกินข้าวเที่ยงที่นี่ อร่อยอย่างแรงตามประสาชาวใต้เลยครับ ทั้งแกงส้มปลากกะพงยอดมะพร้าวอ่อน, ผัดผักเหรียง, ปลากระบอกทอดกระเทียม, น้ำพริกกะปิกับผักเหนาะ ฯลฯ ครบ แถมยังมีกล้วยหอม กล้วยไข่ และกล้วยทอดฝีมือชาวบ้าน มาเสิร์ฟพร้อมรอยยิ้ม
แกงส้มปลากะพงยอดมะพร้าวอ่อน
น้ำพริกกะปิ (คนใต้เรียก น้ำชุบ) กินกับผักเหนาะนานาชนิดตามฤดูกาล ทั้งอร่อยและเปี่ยมคุณค่าอาหาร
ผักต้มกะทิ เอาไว้ซดน้ำคล่องคอสไตล์ปักษ์ใต้บ้านเรา
ความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของสุราษฎร์ธานียังไม่จบสิ้น และเกินความคาดหมายของเราเสมอ! คราวนี้ได้เปิดหูเปิดตามาชมแหล่งใหม่ที่ ‘หินพัด’ บ้านยวนสาว ตำบลท่าขนอน อำเภอคีรีรัฐนิคม โดยหินพัดนี้เพิ่งเปิดตัวให้ชมกันเต็มรูปแบบได้ไม่นาน การขึ้นไปชมต้องใช้บริการรถเช่าของชุมชนท่องเที่ยวบ้านยวนสาวขึ้นไป จากนั้นเดินต่ออีกราวๆ 200 เมตร จนถึงยอดเขาที่มีลักษณะเป็นผาหินสีดำโล่งเตียน และที่ปลายสุดของผาหินนี้เอง คือที่ตั้งของ ‘หินพัด’ ที่ชวนให้นึกถึงพระธาตุอินทร์แขวนในเมียนมา!
จากเชิงเขาต้องนั่งรถกระบะขึ้นไปก่อน ตอนไปเที่ยวโชคดีป่ายางรอบๆ กำลังผลัดใบช่วงต้นฤดูร้อน ทำให้ผืนป่าแถวนี้กลายเป็นสีเหลืองสีแดง คล้ายป่าผลัดใบในต่างประเทศเลย ฮาฮาฮา นี่ก็ Unseen สุราษฎร์ฯ อีกอย่างที่คนต่างถิ่นไม่ค่อยได้เห็น หรือให้ความสำคัญ แต่สำหรับคนรักธรรมชาติกับคนชองถ่ายรูปอย่างเรา วิวอย่างนี้มัน Amazing เหลือหลาย!
ป่ายางผลัดใบระหว่างทางขึ้นไปชมหินพัดบ้านยวนสาว
ถึงแล้ว ‘หินพัด’ มหัศจรรย์แห่งหินผาที่ตั้งโดดเด่นอยู่กลางลานหินโล่ง ราวกับมีคนไปจับวางไว้อย่างน่าอัศจรรย์! แม้ว่าส่วนฐานที่มันสัมผัสกันอยู่นั้นจะกว้างแค่ราวๆ 1 เมตร แต่ก็ทำให้หินพัดสูง 8 เมตร ยืนอยู่ได้อย่างสมดุลย์อย่างเหลือเชื่อ! นับเป็นประติมากรรมธรรมชาติที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้ง ประวัติเล่าว่าในอดีตผู้คนแถบบ้านยวนสาวเล่าขานกันมานานแล้ว ว่าบนภูเขาลูกนี้มีหินประหลาดตั้งอยู่ได้โดยไม่ล้ม กระทั่ง คุณวิชิต จิตรสม ได้ดั้นด้นเดินป่าขึ้นมาค้นพบด้วยตนเองเมื่อสิบกว่าปีก่อน แล้วปลุกปล้ำประชาสัมพันธ์จนหินพัดเป็นที่รู้จัก
หินพัด ในมุมมองต่างๆ มีรูปร่างผิดแผกกันไป บางมุมเหมือนหน้าคน บางมุมเหมือนพัด บางมุมคล้ายรูปหัวใจ สุดแล้วแต่จินตนาการของแต่ละคน
จากจุดที่หินพัดตั้งอยู่ มองออกไปเบื้องหน้าจะเห็นวิวภูเขา ป่ายางผลัดใบ ได้กว้างไกลสุดสายตา แหม… วันนี้น้องสาวคนสวย ขอกอดหินพัดให้มีความสุขสักครั้ง
จากแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่เราเข้าไปสัมผัสกันแบบลึกซึ้งถึงพริกถึงขิงเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็ถึงคิวเปลี่ยนบรรยากาศ ไปกราบพระขอพร ตื่นตากับสถาปัตยกรรมพุทธศิลป์ที่ไม่เหมือนใครกันบ้าง ณ ‘อุทยานธรรมเขานาในหลวง’ หมู่ 8 บ้านเขานาใน ตำบลต้นยวน อำเภอพนม มหัศจรรย์แห่งศรัทธาในพระพุทธศาสนา ที่เนรมิตให้เกิดมหาเจดีย์ลอยฟ้ายิ่งใหญ่บนยอดเขาหินปูนสูงลิบได้อย่างเหลือเชื่อ!
ท่านเจ้าอาวาสแห่งอุทยานธรรมเขานาในหลวง ได้เล่าให้ฟังว่าสำนักสงฆ์แห่งนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน เมื่อสมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อน ได้พระราชทานพระบรมสารีริกธาตุจากอินเดียมาให้ จำนวน 9 องค์ ท่านจึงมีความตั้งใจว่าจะสร้างมหาเจดีย์ขึ้นบนยอดเขาในบริเวณนี้ 9 ยอด เพื่อใช้ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุดังกล่าว จึงร่วมแรงร่วมใจกับชาวบ้านช่วยกันสร้างแล้วเสร็จในปัจจุบัน 2 องค์ (องค์ที่ 3 กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะเสร็จก่อนเดือนตุลาคมปี 2560) โดยไม่ได้ใช้เงินจากราชการเลยแม้แต่บาทเดียว อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ได้มีพระจากวัดอื่นมาขอพระบรมสารีริกธาตุไปแล้ว 2 องค์ ทำให้โครงการสร้างเจดีย์ลอยฟ้า จาก 9 ยอด จึงเหลือเพียง 7 ยอดเท่านั้น
วันที่ผมไปเที่ยว เวลาค่อนข้างน้อย จึงเลือกเดินขึ้นไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุบนเจดีย์ลอยฟ้าองค์ที่ 2 เท่านั้น โดยทางขึ้นแม้จะดูชัน แต่ก็มีการสร้างเป็นบันไดคอนกรีตพร้อมราวเหล็กให้จับกันตกอย่างดี มีจุดพักเป็นช่วงๆ ไม่น่าหวาดเสียว แต่ด้วยทางเดินที่แคบ จึงต้องหลบกันเป็นช่วงๆ ยิ่งเดินสูงขึ้นวิวก็ย่ิงตระการตา เผยภูมิทัศน์ที่แท้จริงของอุทยานธรรมเขานาในหลวงให้เห็น คือเป็นหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยยอดเขาหินปูนมากมาย
ใช้เวลาแค่ 15-20 นาที เหงื่อยังไม่ทันชุ่มหลัง ผมก็ลุขึ้นถึงยอดเขาอันเป็นที่ประดิษฐานพระมหาเจดีย์ลอยฟ้าองค์ที่ 2 นามว่า พุทธศิลาวดี จากยอดเขานี้มองออกไปโดยรอบ เห็นสวนยางพาราและบ้านเรือนตั้งกระจายอยู่ทั่วไป พร้อมด้วยภูเขาหินปูนลูกย่อมๆ ที่ผลุบโผล่ขึ้นมาจากที่ราบอันสวยงาม น่าตื่นตาตื่นใจดี
ชาวบ้านเล่าว่า เหตุที่แถบนี้ได้ชื่อว่า เขานาใน เพราะในอดีตด้านหลังเขาลูกนี้ เคยมีนาของชาวบ้านอยู่ด้วย ทว่าปัจจุบันเปลี่ยนเป็นป่ายางพาราไปหมดแล้ว น่าเสียดายเนอะพระมหาเจดีย์ลอยฟ้าองค์ที่ 1 เมื่อมองจากยอดเขาพระมหาดเจดีย์องค์ที่ 2
พระมหาเจีดย์ลอยฟ้าพุทธศิลาวดี สร้างขึ้นจากศิลาแลงอย่างดีที่นำมาจากจังหวัดกำแพงเพชรโดยตรง ด้านหน้ามีบ่อน้ำเล็กๆ พร้อมดอกบัวเบ่งบาน คล้ายปริศนาธรรมบัว 4 เหล่า นอกจากจะได้ขึ้นมากราบสักการะให้เป็นสิริมงคลกับชีวิตแล้ว ยังเหมาะจะชมวิวจากมุมสูงด้วย คุ้มค่ากับการปีนเขาครั้งนี้จริงๆ ครับ
ภายในพระมหาเจดีย์พุทธศิลาวดี เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุจากอินเดีย (องค์กลางใหญ่สุด) รายล้อมด้วยอัฐิธาตุของพระสงฆ์สำคัญๆ หลายองค์
ก่อนกลับบ้านในทริปนี้ เราเก็บความทรงจำดีๆ ของป่าเขาสก และสถานที่น่าสนใจอีกหลายแหล่งแห่งที่ไว้ในใจ จากนั้นก็เดินทางกลับเข้าสู่ตัวเมืองสุราษฎร์ธานี แน่นอนว่า ‘ศาลหลักเมืองสุราษฎร์ธานี’ คือสถานที่สำคัญ ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนี้ ที่เราต้องไม่พลาด โดยภายนอกสร้างด้วยศิลปะศรีวิชัย ให้แลคล้ายพระบรมธาตุไชยา
เสาหลักเมืองสุราษฎร์ธานี สร้างด้วยไม้ชัยพฤกษ์ สูง 108 นิ้ว เส้นผ่าศูนย์กลาง 20 นิ้ว ล้อมรอบ 4 ทิศด้วยเสาสี่ต้น หัวเสาจำหลักเป็นรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หันพระพักตร์ไป 4 ทิศ ช่วยปกปักรักษาคุ้มครองบ้านเมืองให้สงบสุข ร่มเย็น สร้างขึ้นเพื่อถวายพระเกียรติ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี เมื่อ พ.ศ. 2539
อีกหนึ่งสถานที่สำคัญทางศาสนา ซึ่ง ททท. สำนักงานสุราฎษร์ธานีเคยชวนมาเที่ยว ในโครงการ 5 ศาลเจ้า 9 วัด และยังคงอยู่ในความสนใจของผู้ศรัทธาอย่างไม่เสื่อมคลายก็คือ ‘พระโพธิสัตว์กวนอิมหินแกรนิตขาว’ สูง 12 เมตร ซึ่งถือว่าเป็นรูปสลักหินเจ้าแม่กวนอิมจากหินแรกนิตขาวองค์สูงที่สุดในเมืองไทย จัดสร้างแล้วส่งตรงเข้ามาจากเมืองจีน ประดิษฐานอยู่ที่ มูลนิธิมุทิตาจิตธรรมสถาน ถนนหน้าเมือง เยื้องห้างโคลีเซียม (โทร. 0-7727-2556)
ความงามของพระโพธิสัตว์กวนอิมหินแกรนิตขาว อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี
ปิดท้ายทริปเที่ยวสุราษฎร์ฯ เก๋ไก๋สไตล์ลึกซึ้ง กับของกินอร่อยๆ ขึ้นชื่อมานาน นั่นคือ ‘กุ้งแม่น้ำสุราษฎร์ฯ’ ที่ทั้งสด ทั้งตัวใหญ่ เนื้อหวานเจี๊ยบแน่นสู้ปาก
ไปชิมกุ้งแม่น้ำกันที่ ร้านบางปึก ตำบลพุนพิน อำเภอพุนพิน (โทร. 0-7744-1537) เปิดทุกวันตั้งแต่ 10.00-21.00 น. แต่ขอโทษนะ ถ้าไม่โทรไปจองกุ้งไว้ก็อาจไม่ได้กินครับ เพราะร้านนี้ลูกค้าประจำเยอะมาก นั่งหม่ำกุ้งไป ชมวิวแม่น้ำไปด้วยเพลินๆ เพราะร้านนี้ตั้งอยู่ติดแม่น้ำตาปีเลยจ้า ลมพัดเย็นสบายจริงๆ
เมนูขึ้นชื่ออีกอย่างของร้านบางปึก คือ ไก่ต้มน้ำปลา
เมื่ออิ่มจากของคาวแล้ว ก็ล้างปากด้วย ข้าวเหนียวมะม่วงน้ำดอกไม้ แสนอร่อย หอมหวานชื่นใจ
ปิดท้ายทริปกับ ‘ข้าวหลามบ้านน้ำรอบ’ อำเภอพุนพิน ข้าวหลามพื้นบ้านของชาวสุราษฎร์ฯ ที่ขึ้นชื่อลือชาในรสชาติมานับสิบปี มีขายกันหลายเจ้าริมถนน จุดเด่นคือเป็นข้าวหลามที่ยังเผาด้วยกรรมวิธีพื้นบ้าน จึงให้รสชาตินวล กลิ่นหอมของเนื้อไม้ไผ่และฟืน มีทั้งข้าวเหนียวขาวและดำให้เลือก ใครจะไปเดินป่าเขาสกซื้อติดไว้กินได้หลายวัน อิ่มท้องให้แรงดีเลยจ้า ฮาฮาฮา
ทริปเที่ยวสุราษฎร์ฯ เก๋ไก๋สไตล์ลึกซึ้ง จบลงอย่างน่าประทับใจ พร้อมกับประสบการณ์และมุมมองใหม่มากมาย เพราะเมืองไทยเราช่างกว้างใหญ่ มีอะไรให้สนุก ให้สัมผัส ให้เรียนรู้ อย่างไม่รู้จบ ขอเพียงเราเปิดใจ พาตัวและหัวใจเข้าสู่ชุมชน เข้าสู่ธรรมชาติ แล้วเราจะพบว่า เมืองไทยเรานี้ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน!
Special Thanks : คุณจินตนา สุวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุราษฎร์ธานี สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-7728-8817-9 E-mail : tatsurat@tat.or.th
ตามรอยพระบาทเขื่อนภูมิพล ตาก ฟังเพลงพระราชนิพนธ์เหนือสันเขื่อน
17 พฤษภาคม พ.ศ. 2507 วันดังกล่าวคือวันสำคัญวันหนึ่ง ซึ่งคนไทยทั้งประเทศควรจดจำ เพราะเป็นวันที่พ่อหลวงของเรา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปเป็นองค์ประทาน ในการเปิด ‘เขื่อนภูมิพล’ หรือ ‘เขื่อนยันฮี’ อย่างเป็นทางการ ถือเป็นเขื่อนอเนกประสงค์แห่งแรกของเมืองไทย กั้นลำน้ำปิงที่บริเวณเขาแก้ว อำเภอสามเงา จังหวัดตาก เป็นทั้งเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้า เขื่อนเพื่อการชลประทาน เพื่อการเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืด และปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตอันดับต้นๆ ของ ‘เมืองตาก’ ไปแล้ว
ด้วยพระอัจฉริยภาพและสายพระเนตรอันยาวไกล ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เขื่อนภูมิพลแห่งนี้จึงถือกำเนิดขึ้น เป็นเขื่อนที่กักเก็บน้ำได้มากถึง 13,462 ล้านลูกบาศก์เมตร ผลิตกระแสไฟฟ้าให้คนไทยได้กว่า 779.2 เมกกะวัตต์ ถือเป็นเขื่อนคอนกรีตโค้งเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย และเอเชียอาคเนย์ และใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก เลยทีเดียว
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เพื่อเป็นการถวายพระอาลัย และรำลึกถึงพระองค์ท่าน จังหวัดตาก โดย ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เขื่อนภูมิพล (ท่านผู้อำนวยการเขื่อนภูมิพล นายณัฐวุฒิ แจ่มแจ้ง) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จึงร่วมกันจัดงานยิ่งใหญ่ ‘รวมใจภักดิ์ รักพ่อ สานต่อ ปณิธาน’ ระหว่างวันที่ 28-30 มกราคม 2560 อันเป็นช่วงที่อากาศกำลังเย็นสบาย
ในยามค่ำของวันที่ 28 มกราคม 2560 มีพิธีแสดงความรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ด้วยการจุดเทียนชัย และร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญถวายพระองค์ท่าน พระผู้เป็นที่รักของปวงชนชาวไทย และจะทรงสถิตอยู่ในใจเราตลอดไป
บรรยากาศการจุดเทียนชัย ในงาน ‘รวมใจภักดิ์ รักพ่อ สานต่อ ปณิธาน’ เหนือสันเขื่อนภูมิพล เป็นไปด้วยความซาบซึ้งตรึงใจ บางท่านถึงขนาดน้ำตาคลอด้วยความปลาบปลื้ม
ไฮไลท์ของงานนี้ คือการร่วกันรับฟังบทเพลงพระราชนิพนธ์ อันแสนไพเราะและซาบซึ้ง จากวงดุริยางค์ทหารเรือ ซึ่งยกทัพนักดนตรีกันมานับร้อยชีวิต
ขอบรรเลงเพลงนี้ เพื่อถวายพระองค์ท่าน พระผู้ทรงสถิตอยู่บนสวรรคาลัย
นอกจากนี้ ในงานยังมีการแสดงหลายชุด ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันให้ชม ตั้งแต่วันที่ 28-30 มกราคม 2560 ทุกชุดล้วนน่าตื่นตาตื่นใจ และบ่งบอกถึงความรักที่ชาวจังหวัดตาก มีต่อพ่อหลวง และพร้อมสานต่อคำสอนของพระองค์ท่าน ด้วยการทำดีต่อไปไม่สิ้นสุด
เมื่อรับชมดนตรีไพเราะในยามค่ำกันอย่างซาบซึ้งแล้ว ในรุ่งเช้าของวันถัดไป หากใครมีเวลาเหลือ สิ่งที่ห้ามพลาดเด็ดขาดคือ การเดินเที่ยวชมวิวสวยๆ พร้อมกับสูดอากาศสดชื่นเย็นสบายบนสันเขื่อนภูมิพลในยามเช้า มองออกไปจะเห็นทะเลสาบสีฟ้าครามกว้างไกลสุดสายตาเหนือสันเขื่อน พร้อมด้วยเกาะต่างๆ มีเรือและแพนักท่องเที่ยวที่แล่นออกไปหาความสำราญกันได้ทั้ง 365 วัน
บริเวณท่าเรือของเขื่อนภูมิพล มีจุดลงแพและเรือหางยาว เพื่อการล่องเข้าไปเที่ยวชมทัศนียภาพได้ ทั้งแบบสองสามชั่วโมง เป็น One Day Trip หรือจะไปค้างคืนในแพกลางเขื่อนเลยก็ได้ หรือถ้าใครมีเวลามากหน่อย แพสามารถแล่นไปได้จนถึงบริเวณทะเลสาบดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ เลยล่ะ
การล่องแพค้างคืนในเขื่อนภูมิพล เป็นกิจกรรมยอดฮิตอย่างหนึ่ง เพราะด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติ มองเห็นเทือกเขาโดยรอบ อีกทั้งอากาศเย็นสบายจากผืนน้ำสร้างความชุ่มฉ่ำให้กับจิตใจ เป็นการท่องเที่ยวแบบ Slow Life ที่น่าไปสัมผัสอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่ฟ้าแจ่มใส หรือในฤดูร้อนก็จะผ่อนคลายกายใจได้ดีเยี่ยม
สำหรับการล่องเรือหางยาวเที่ยว ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที คงจะไม่มีอะไรดีไปกว่า การไปเที่ยวที่ ‘เขาหน่อ’ หรือเกาะกลางน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งส่วนบนสุดเป็นยอดเขาหินปูนตะปุ่มตะป่ำรูปทรงแปลกตา แถมยังมีวัดเขาหน่ออยู่ด้านบนด้วย เห็นแล้ว Amazing ไม่น้อยเลย
บนเขาหน่อมีพระเจดีย์ขนาดใหญ่อยู่ 3 กลุ่ม พร้อมด้วยรอยพระพุทธบาทจำลองให้ผู้ศรัทธาได้กราบไหว้
เดิมบริเวณเขาหน่อตรงนี้ คือจุดที่แม่น้ำปิงสายเดิมเคยไหลผ่าน ก่อนที่จะมีการกั้นลำน้ำเพื่อสร้างเขื่อนภูมิพลจนน้ำเอ่อท้นท่วมขึ้นมา
เมื่อจอดเรือหางยาวแล้ว ก็ต้องออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อขา เดินขึ้นบันไดชิลชิลแค่ 300 ขั้น ขึ้นสู่ยอดเขาหน่อ ขอบอกว่าไม่ต้องรีบ เพราะเรือหางยาวเขารอแน่นอน ไม่ทิ้งเราไปไหน ค่อยๆ เดิน ค่อยๆ หยุดถ่ายภาพชมวิวไปเป็นระยะๆ และขอแนะนำให้พกน้ำขวดเล็กๆ ขึ้นไปด้วย เพราะบนยอดเขาไม่มีน้ำขายนะจ๊ะ
ถึงแล้ว ยอดเขาหน่อ โชคดีมาเที่ยวในฤดูหนาว จึงมองเห็นต้นไม้ต่างๆ เริ่มผลัดใบสีสันสดใส เพื่อเตรียมพักตัวเข้าฤดูแล้ง จากบนยอดเขานี้สามารถมองเห็นอ่างเก็บน้ำ ผืนป่า ทิวเขา และองค์พระเจดีย์ เรียงรายอยู่ในตำแหน่งสวยงามลงตัว ถ้าไม่เดินขึ้นมาคงเสียดายแย่!
จากยอดเขาหน่อ มองลงไปในทะเลสาบเหนือเขื่อนภูมิพล แลเห็นแสงแดดอุ่นๆ ของยามเช้าสะท้อนผิวน้ำเต้นเป็นประกายระยิบ สลับกับริ้วลายคลื่นน้ำไล่โทนสีไปมา ราวกับภาพศิลปะชั้นเลิศ
ความงามของวิวทะเลสาบเขื่อนภูมิพล มองจากยอดเขาหน่อไปทางทิศตะวันตก
บนยอดเขาหน่อมีทางเดินลาดปูนอย่างดี เชื่อมต่อองค์พระเจดีย์ทั้ง 3 กลุ่ม เข้าด้วยกัน
เสาอโศกบนยอดเขาหน่อ บ่งบอกถึงพระพุทธศาสนาที่ตั้งมั่นอยู่ในดินแดนนี้ และสร้างสิริมงคลแด่เขื่อนภูมิพลตลอดไป
รอยพระพุทธบาทจำลองบนยอดเขาหน่อ แม้มีขนาดไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็งดงาม และสะท้อนถึงความศรัทธาของผู้คนได้เป็นอย่างดี
หลังจากฟังเพลงพระราชนิพนธ์อันสุดแสนจะไพเราะ และล่องเรือเที่ยวเขื่อนภูมิพลกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางออกเที่ยวชมความมหัศจรรย์อันหลากหลาย ของจังหวัดตากไปที่ ‘อุทยานแห่งชาติไม้กลายเป็นหิน’ อำเภอบ้านตาก อุทยานแห่งชาติใหม่เอี่ยมถอดด้ามของไทย ที่เพิ่งได้รับการยกฐานจะ ‘วนอุทยาน’ มาเป็น ‘อุทยานแห่งชาติ’ เมื่อ 1 ปีที่แล้วนี้เอง โดยความเจ๋งของที่นี่ คือมีการขุดพบซากฟอสซิลต้นไม้กลายเป็นหิน ขนาดยาวที่สุดในเมืองไทยและในโลก! คือซากฟอสซิลคล้ายต้นทองบึ้ง ที่ยาวถึง 72.22 เมตร
ก่อนไปชมไม้กลายเป็นหินของจริง ก็ควรเข้าไปที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (Visitor Center) ก่อน เพื่อศึกษาว่าต้นไม้กลายเป็นหินได้อย่างไร อธิบายง่ายๆ คือ ในบริเวณนี้เมื่อ 800,000 ปีก่อน เคยเป็นป่าดงดิบ แต่เกิดอุทกภัยใหญ่ ต้นไม้เหล่านี้จึงล้มลง แล้วถูกโคลนตะกอนทับถมทันที มันจึงไม่เน่าเปื่อยสลายไป ประกอบกับบริเวณนี้มีมีสารซิลิก้าเข้มข้นอยู่ในดิน สารนี้จึงค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในเนื้อไม้ คือเมื่อซิลิก้าเข้าแทนที่เซลลูโลสหรือเนื้อไม้ ในที่สุดจึงเกิดไม้กลายเป็นหินขึ้น บางต้นอยู่ลึกสภาพจึงสมบูรณ์ ผิดกับบางต้นที่อยู่ใกล้ผิวดิน ก็จะแตกสลายมากกว่า
หัวหน้าอุทยานแห่งชาติไม้กลายเป็นหิน นำคณะนักท่องเที่ยวและผู้ศึกษาดูงาน เข้าชมจุดที่ขุดค้นพบซากฟอสซิลไม้กลายเป็นหิน ซึ่งปัจจุบันกรมทรัพยากรธรณีได้เข้ามามีส่วนร่วมบูรณะ จัดภูมิทัศน์ และรักษาสภาพไม้กลายเป็นหินไม่ให้ถูกแดดลมจนเสื่อมสภาพไป ในอนาคตเราหวังว่า อุทยานแห่งชาติไม้กลายเป็นหิน คงจะได้รับการประกาศให้เป็น ‘อุทยานธรณี’ หรือ Geo Park โดยองค์การ UNESCO
ปัจจุบันนี้มีการขุดค้นและเปิดให้ชมไม้กลายเป็นหินได้แล้ว 7 ต้น เป็นต้นไม้ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับ ต้นทองบึ้ง และ ต้นมะค่าโมง ในยุคปัจจุบัน โดยทั้งหมดนั้น มีอายุกว่า 800,000 ปี!
ไม้กลายเป็นหินถือเป็นฟอสซิล หรือซากโบราณคดีทางธรณีวิทยาบรรพกาลที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง นับเป็นสมบัติล้ำค่าของชาติ ที่เราต้องช่วยกันปกปักรักษา และทำให้จุดนี้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ทางธรณีวิทยาระดับโลก
ซากฟอสซิลไม้กลายเป็นหิน ต้นนี้คือต้นทองบึ้ง ที่ยาวกว่า 70 เมตร
จุดชมต้นไม้กลายเป็นหินทั้ง 7 ต้น ที่เปิดให้ชมแล้ว มีการสร้าง Walk Board หรือสะพานไม้ยกระดับเตี้ยๆ เชื่อมต่อถึงกันในต้นที่ 1-4 ผ่านป่าเต็งรังอุดมสมบูรณ์ ได้ศึกษาพรรณมไม้ นก และผีเสื้อสวยๆ หลายชนิด ส่วนไม้กลายเป็นหินต้นที่ 5-7 ต้องนั่งรถยนต์ไปชม เพราะตั้งอยู่ห่างออกไปจากจุดนี้
พรรณไม้ในป่าเต็งรังเร่ิมผลัดใบสีสันสดใสในปลายฤดูแล้ง
จากความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ เราลองมาสัมผัสเรื่องราวของประวัติศาสตร์และศาสนากันบ้าง จุดแรกที่แนะนำคือ ‘ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน’ ในอำเภอเมืองตาก ตั้งอยู่ไม่ห่างจากสำนักงาน ททท. สำนักงานตาก มากนัก ศาลแห่งนี้ประชาชนชาวเมืองตากช่วยกันสร้างขึ้นอย่างสมพระเกียรติ ถวายแด่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระมหากษัตริย์นักรบไทยในสมัยกรุงธนบุรี ผู้ทรงกอบกู้เอกราชไทยจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ให้แก่พม่า ตัวศาลสร้างเป็นทรงไทยยุครัตนโกสินทร์ ภายนอกโดยรอบมีการนำรูปปั้นช้าง ม้า และไก่ จำนวนนับพันๆ ตัว มาถวายสักการะแด่พระองค์ท่าน
ภายในศาล มีรูปหล่อพระบรมรูปของพระองค์ท่านในพระอิริยาบถประทับอยู่บนราชอาสน์ มีพระแสงดาบพาดอยู่ที่พระเพลา ที่ฐานพระบรมรูปมีคำจารึกว่า ‘พระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี ทรงพระราชสมภพเมื่อ พ.ศ. 2277 สวรรคต พ.ศ. 2325 รวม 48 พรรษา’
ส่วนบนเพดานและผนังภายในศาล มีภาพจิตรกรรมฝาผนังอันงดงาม แสดงเหตุการณ์สำคัญๆ ในรัชสมัยของพระองค์ท่าน เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ
สถานที่ต่อไปที่น่าไปเยือนก็คือ ‘วัดชลประทานรังสรรค์’ อำเภอสามเงา เหตุที่ชื่อวัดเป็นอย่างนี้ ก็เพราะสร้างขึ้นโดยกรมชลประทาน คือหลังจากมีการเริ่มสร้างเขื่อนยันฮี (เขื่อนภูมิพล) เมื่อ พ.ศ. 2501 น้ำก็เริ่มเอ่อท่วมบริเวณหมู่บ้านและวัดที่เคยมีชาวบ้านอาศัยอยู่ กรมชลประทานจึงช่วยอพยพชาวบ้านขึ้นมาอยู่ ณ ตำแหน่งปัจจุบัน พร้อมกับสร้างวัดชลประทานรังสรรค์ขึ้น โดยเป็นการรวมเอาวัดที่ถูกน้ำท่วม 8 วัด เข้ามาในวัดเดียวกัน คือ วัดดอนแก้ว, วัดศรีแท่น, วัดหลวง, วัดบ้านท่าเดื่อ, วัดท่าโปร่ง, วัดบ้านห้วย, วัดอมวาบ และวัดพระบรมธาตุลอย
พระบรมธาตุลอย คือจุดเด่นอย่างหนึ่งของวัดชลประทานรังสรรค์ เพราะเป็นพระเจดีย์สีทองอร่าม น่าเลื่อมใส โดยเป็นพระเจดีย์องค์ใหม่ที่สร้างทับองค์เก่าในแบบล้านนา ให้มีความคล้ายคลึงองค์เก่ามากที่สุด พระเจดีย์องค์นี้ส่วนยอดฉัตรหุ้มทองคำหนักถึง 39 บาท สูง 27.50 เมตร ใช้อิฐในการก่อสร้างทั้งหมด 1,273,400 ก้อน พร้อมกับหุ้มแผ่นทองจังโกไว้อย่างงดงาม นับเป็นอัญมณีชิ้นเอกทางพุทธศาสนาแห่งเมืองตาก
ภายในโบสถ์ของวัดชลประทานรังสรรค์ ประดิษฐาน ‘พระเจ้าทันใจ 3 พี่น้อง’ อันหาได้ยากยิ่งบนแผ่นดินสยาม โดยเฉพาะในด้านความศักดิ์สิทธิ์ ที่เชื่อกันกว่าเมื่อไปกราบไหว้ขอสิ่งใดจากท่าน ก็จะได้สิ่งนั้นสมปรารถนาอย่างรวดเร็วดังใจหวัง (แต่ก็ต้องเป็นสิ่งที่ไม่เกินจริงนะ ฮาฮาฮา)
พระเจ้าทันใจทั้ง 3 องค์นี้ มีมาตั้งแต่ก่อนสร้างเขื่อนภูมิพลแล้ว หล่อด้วยทองลงหินปางมารวิชัย องค์ใหญ่หน้าตักกว้าง 19 นิ้ว สูง 32 นิ้ว, องค์กลาง หน้าตักกว้าง 16 นิ้ว สูง 31 นิ้ว และองค์เล็กสุด หน้าตักกว้าง 9 นิ้ว สูง 13 นิ้ว ทั้ง 3 องค์เป็นศิลปะแบบเชียงแสน
จากวัดชลประทานรังสรรค์ เราสามารถนั่งรถต่อไปสู่ ‘วัดพระบรมธาตุ’ ในอำเภอบ้านตากได้อย่างสบาย เพราะถนนหนทางของจังหวัดตากทุกวันนี้เขาดีมากๆ เมื่อได้เห็นความงดงามอลังการของวัดพระบรมธาตุ ถึงกับทำให้ตกตะลึงไปชั่วขณะ ด้วยศิลปกรรมอันงดงามอลังการ จำลองย่อส่วนพระมหาเจดีย์ชเวดากองในพม่ามาไว้บนแผ่นดินสยามได้อย่างสมศักดิ์ศรี
เจดีย์ยุทธหัตถีทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ศิลปะสุโขทัยปลายพุทธศตวรรษที่ 19-21
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงเสด็จมาที่พระเจดีย์แห่งนี้ แล้วทรงมีพระราชวินิจฉัยเบื้องต้นว่า น่าจะเป็นพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ ในการที่พ่อขุนรามคำแหงทรงชนช้างชนะพ่อขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด ตามที่มีเรื่องราวจารึกไว้ในศิลาจารึกสุโขทัย หลักที่ 1
ตระเวนเที่ยวตากกันมาก็หลายที่ ตอนนี้ท้องชักจะเร่ิมหิว ได้เวลาขับรถชิลชิลข้ามแม่น้ำปิงกลับเข้าตัวเมือง พอดีในช่วงปลายฤดูหนาว เมื่อลำน้ำปิงลดระดับลง ก็จะเกิดเกาะกลางน้ำที่เกิดจากตะกอนอันอุดมสมบูรณ์ทับถม แต่ชาวตากเขาทำเก๋ ไม่ปล่อยให้ที่ดินสูญเปล่า ชวนกันเพิ่มคุณค่าด้วยการปลูกดอกไม้สวยๆ บนเกาะกลางน้ำ จนกลายเป็น Landmark น่ารักๆ และ Photo Point มุมมองใหม่เมืองตากวันนี้
เกาะดอกไม้กลางน้ำแห่งจังหวัดตาก น่ารักเหลือเกิน!
ร้านแรกที่เราจะพาไปชิม ขอบอกว่าต้องถูกใจวันรุ่น GEN Y อย่างแน่นอน ชื่อร้าน ‘เถียงนา’ Coffee and Bakery Farm อยู่ในอำเภอเมืองตาก (โทร. 08-4328-3883, 08-6778-0130)
ร้านเถียงนา coffee and Bakery Farm เป็นการผสมผสานความน่ารักเก๋ไก๋ของนาข้าวแบบวิถีไทย, แปลงผักปลอดสารพิษ และความโมเดิร์นของร้านเบเกอร์รี่น่ารักๆ ได้ลงตัวอย่างที่สุด
ร้านนี้ไม่ได้มีแต่เบเกอร์รี่สไตล์ฝรั่งเศสแท้ๆ ให้ชิมเท่านั้น แต่ยังมีอาหารหลักอร่อยๆ รสชาติไม่ธรรมดาให้ชิมด้วย มีทั้งโซน Outdoor รับลมธรรมชาติ และโซน Indoor ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ ให้นั่งชิลได้นานๆ
ลองชิมครัวซองเนยสด กับครัวซองส้ม ที่เนื้อนุ่มกำลังดี หอมมาก ทานคู่กับช็อกโกแลตร้อนหรือเย็น ส่วนคนที่รักสุขภาพอาจสั่งน้ำแครอทหรือน้ำผักเย็นๆ มาด้วย เข้ากั้นเข้ากัน
เมนูหลักอย่างหนึ่งที่ถือเป็น Signature ของร้านนี้ คือ ข้าวกล้องปลาแซลมอนทอดกระเทียม ราดน้ำยำแบบไทยๆ เป็นเมนู East Meet West ที่อร่อยได้เรื่องเลยล่ะ ฮาฮาฮา
แต่ถ้าใครอยากอุดหนุนอาหารพื้นบ้านของตาก ก็ต้องไม่พลาดชิมเมนูเด็ด ก๋วยเตี๋ยวหมูแดงร้านแม่บางหัวเดียด (โทร. 08-6928-5876) และ ร้านป้ามะลิ (โทร. 08-6737-8157) ตรงถนนเส้นเลียบแม่น้ำปิง ในอำเภอเมืองตาก โดยทั้งสองร้านนี้เป็นร้านเก่าร้านดัง ลักษณะเป็นก๋วยเตี๋ยวโบราณ ที่ใส่เครื่องเยอะ โดยเฉพาะหมูสับ กากหมู ถั่วงอก ถั่วฝักยาว และหมูแดง ส่วนเส้นก็มีครบทุกแบบให้ชิม ถ้าใครสั่งต้มยำจะได้ชิมความเข้มข้นของน้ำที่ซดคล่องคอ นั่งชิมไปมองสายน้ำปิงไหลเอื่อยๆ แหม มีความสุขเกินร้อยจริงๆ ครับ มาเที่ยวตากทริปนี้
Special Thanks : ขอขอบคุณ คุณธมลวรรณ เรืองขจร ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานตาก สนับสนุนการเดินทางไปจัดทำสารคดีเรื่องนี้อย่างดียิ่ง สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานตาก โทร. 0-5551-4341 -3
มหกรรมเปิดโลกธรณีวิทยาเพื่อการท่องเที่ยว ครั้งที่ 1
เชิญทุกท่านร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่แห่งการท่องเที่ยววิถีไทย ในงานมหกรรมการท่องเที่ยวที่ บูรณาการแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยาเข้ากับเทคโนโลยีสุดล้า ณ สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๒๕ – ๒๙ มกราคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๔.๐๐ – ๒๒.๐๐ น.
โดยวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๗.๐๐ น. นายทศพร นุชอนงค์ อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี เปิดงานเที่ยวท่ัวไทยประจาปี ๒๕๖๐ ในโซน ‘งานมหกรรมเปิดโลกธรณีวิทยาเพื่อการท่องเที่ยว คร้ังที่ ๑’ ณ สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร ซึ่งจะเปิดให้เข้าชมฟรี ผู้เข้าร่วมงานสามารถเดินทาง ด้วยรถประจาทาง รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีสีลม รถไฟฟ้า BTS สถานีศาลาแดง
ทางกรมทรัพยากรธรณีในฐานะผู้จัดงาน มีวัตถุประสงค์ในการจัดงาน “มหกรรมเปิดโลกธรณีวิทยา เพื่ออการท่องเที่ยว ครั้งที่ ๑ กรุงเทพมหานคร ณ สวนลุมพินี” ภายใต้คอนเซป “ท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋สไตล์ลึกซึ้ง” ของงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย ๒๕๖๐ เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการท่องเที่ยวเชิงวิชาการภายในพื้นที่ศักยภาพ อุทยานธรณี รวมทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมให้เป็นท่ีรู้จักโดยท่ัวไปผ่านการจัดนิทรรศการในระดับประเทศ ซึ่ จะทำให้แหล่งธรณีวิทยาดังกล่าวที่อยู่ในพื้นที่ศักยภาพอุทยานธรณีกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของประเทศ นำไปสู่วงรอบของการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพท่ีสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจของชุมชนท้องถิ่น
มหกรรมเปิดโลกธรณีวิทยาเพื่อการท่องเที่ยวในปีนี้จัดขึ้นเป็นคร้ังแรก ภายในงานประกอบด้วย กิจกรรมสุดพิเศษมากมายทั้งชม ช๊อป สินค้าของที่ระลึกทางธรณีวิทยา, ร่วมสนุกไปกับโซนระบายสีไดโนเสาร์ ผ่าน เทคโนโลยี Interactive Painting, เปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ที่จะเชื่อมต่อความรู้สึกของท่านกับ สถานที่จริง “อุทยานธรณี (Geopark)” แบบ ๓๖๐ องศา ผ่านเทคโนโลยี Visual Reality, ร่วมเรียนรู้ไปกับโซน พิพิธภัณฑ์ธรณีประเทศไทย ที่จะแนะนาแหล่งท่องเที่ยวพิพิธภัณฑ์ธรณีทั้ง 7 แห่งในประเทศไทย, ตื่นตาตื่นใจไปกับรถไฟ ทะลุมิติข้ามจักวาลแห่งกาลเวลาไปชมป่าดึกดาบรรพ์ในยุคอดีตกาล พร้อมกันนั้นยังขอเชิญท่านสนุกสนานไปกับการ ขุดหาฟอสซิลรูปแบบใหม่ท่ีจะทาให้ผู้เข้าชมตื่นตาตื่นใจ ในกระบะทรายสุดล้ำผ่านเทคโนโลยี Interactive Sandbox รวมไปถึงโซนเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทางกรมทรัพยากรธรณีจึงอยากขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในงานครั้งนี้
ภายในงานนี้ เราจะได้สัมผัสกับไดโนเสาร์ไทย ที่มีการสำรวจพบชนิดใหม่สกุลใหม่ถึง 9 สายพันธุ์ อาทิเช่น
สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กรมทรัพยากรธรณี โทร. : ๐-๒๖๒๑-๙๖๐๑ ต่อ ๐๕ เว็บไซต์ www.dmr.go.th
มหาลาภ ลาบยโสธรแท้ แซ่บนัวเด้อ!
ปีนี้งานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2560 ที่สวนลุมพินี ระหว่างวันที่ 25-29 มกราคม 2560 คึกคักกว่าทุกปี โดยเฉพาะในโซนอาหารแซ่บนัวของภาคอีสาน เพราะมีอาหารอร่อยๆ ให้ชิมเพียบ
หนึ่งในนั้นคือลาบจากจังหวัดยโสธรแท้ๆ รสชาติดั้งเดิม ‘ร้านแม่อ้อมลาบเป็ด’ หรือ ‘ร้านมหาลาภ’ ในบูธที่ NEF 16 ณ ลานแซ่บนัว (โทร. 08-3734-2658, 08-1318-3561)
ลองมาชิม ลาบยโสธรแท้ๆ ที่ต้องใช้คำว่า ‘นัว’ เพราะรสชาติกลมกล่อม ไม่มีรสใดโดดขึ้นมากว่ารสอื่น อีกทั้งเนื้อเป็ดที่ใช้ยังเป็นเป็ดบ้านที่เหนียวนุ่ม เลี้ยงด้วยวิธีธรรมชาติ
พลาดไม่ได้ต้องชิม ‘เมนูมหาลาภ’ ประกอบด้วยลาบ 5 อย่าง คือ ลาบเป็ด, ลาบหมู, ลาบปลา, ลาบเห็ด และลาบไข่ ซึ่งลาบไข่เป็นเมนูพิเศษที่เพิ่งคิดค้นขึ้นใหม่ ให้ลองชิมกันในงานนี้เลย ชิมแล้วนอกจากอร่อย ยังได้ความมงคลจากชื่อมหาลาภด้วยนะจ๊ะ
สำหรับราคาขายในงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2560 มหาลาภลดพิเศษเหลือเมนูละ 60 บาทเท่านั้น ส่วนคนที่พลาดชิม ก็ไม่เป็นไร ตามไปกินได้ที่ร้านแม่อ้อมลาบเป็ด ในราคาย่อมเยาเพียง เมนูละ 70 บาทเท่านั้นจ้า
ลูกค้าเข้าร้านตลอดวัน เพราะอยากชิมว่าลาบยโสธรแท้ๆ รสชาติจะเป็นอย่างไรนะ
แม้แต่พี่ฝรั่ง ก็ยังชื่นชอบลาบยโสธรเลยจ้า
รีบมาเลย ที่ลานแซ่บนัวภาคอีสาน งานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2560 จ้า
ส่วนใครที่ยังติดใจในรสชาติ ‘มหาลาภ’ ก็ต้องตามไปกินให้ถึงที่ บ้านกว้าง-ท่าเยี่ยม อำเภอเมือง จ.ยโสธร ‘ร้านแม่อ้อมลาบเป็ด’ เป็นที่รู้จัก ขึ้นชื่อลือชาในรสชาติมานานแล้ว
แถมยังเป็นแหล่งท่องเที่ยว และแหล่งเรียนรู้เชิงวิถีชุมชนน่ารักๆ ที่โดดเด่นทั้งในแง่วิถีข้าว และการทำบั้งไฟไปร่วมแห่บังไฟที่วัดบ้านกว้าง ท่าเยี่ยม จ.ยโสธร กับชาวบ้านน่ารักๆ เปี่ยมน้ำใจไมตรี
บั้งไฟบ้านกว้างท่าเยี่ยม
ในช่วงฤดูทำนา จะมีพิธีทำขวัญข้าว บูชาพระแม่โพสพ ให้ชมด้วย
ความสงบงาม แบบ Slow Life ของผืนนาเขียวขจี ที่บ้านกว้าง ท่าเยี่ยม จ.ยโสธร
วิถีชาวบ้านอีสาน ณ บ้านกว้าง ท่าเยี่ยม ยังยึดถือฮีต 12 คอง 14 อย่างเหนียวแน่น น่าชื่นชม
อย่าลืม! ‘ร้านแม่อ้อมลาบเป็ด’ หรือ ‘ร้านมหาลาภ’ จ.ยโสธร โทร. 08-3734-2658, 08-1318-3561