5,000 กิโลเมตร! จากเมืองไทยถึงแชงกรี-ลา China

สุดยอดปราชญ์จีนอย่างขงจื้อเคยกล่าวไว้ว่า “เดินทางแค่ลี้เดียว ดีกว่าอ่านหนังสือร้อยเล่ม” คำกล่าวนี้จริงแท้แน่นอน และถ้าเป็นการเดินทางสัก 5,000 กิโลเมตรล่ะ! เราจะได้ประสบการณ์มากมายมหาศาลแค่ไหน? ผมยังไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้ จนกระทั่งได้เดินทาง ด้วยวิธีการขับรถจากเมืองไทยไปสู่ดินแดนชายขอบหลังคาโลก “แชงกรี-ลา” (เมืองจงเตี้ยนของจีน) ติดประตูบ้านทิเบตตะวันออก โดยใช้เวลาไป-กลับถึง 17 วัน แชงกรี-ลา (Shangri-la) คือเมืองที่หลายคนใฝ่ฝันอยากไปสัมผัสสายลมแห่งขุนเขาหิมะคำราม แผ่ปกด้วยทุ่งดอกไม้ ทะเลสาบ วัดวาอารามเก่าแก่ และวิถีวัฒนธรรมสุดอลังการ

การเดินทางจากไทยไปเมืองแชงกรี ลา มีทั้งแบบง่ายๆ ชิลชิล และแบบผจญภัยสุดขั้ว คือไปได้ง่ายๆ แบบนั่งเครื่องบินไม่กี่ชั่วโมงถึง หรือจะเดินทางด้วยรถยนต์จากเมืองระยะทางไปกลับ 5,500 กิโลเมตร! ขับรถ 10-14 วัน เส้นทางไทย (อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย) – ลาว (เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว) – เมืองเชียงรุ้ง (แคว้นสิบสองปันนา) – เมืองคุนหมิง – เมืองต้าลี่ – เมืองลี่เจียง – เมืองแชงกรี ลา

26

แชงกรี ลา ได้รับการเอ่ยถึงในโลกตะวันตกพร้อมวรรณกรรมชื่อก้องโลก “ขอบฟ้าที่สาบสูญ” หรือ The Lost Horizon ของนักเขียนนวนิยายแนวผจญภัยชื่อดัง เจมส์ ฮิลตัน (James Hilton) ซึ่งใช้ข้อมูลจากการเดินทางของนักสำรวจจีนโดยสมาคมแนชั่นแนลจีโอกราฟิกชื่อ โจเซฟ ร็อก (Joseph Rock) บวกกับจินตนาการของเขา เนรมิตดินแดนแชงกรี ลา ขึ้นมาในโลกแห่งวรรณกรรม โดยคำว่า “แชงกรี ลา” นี้ แท้จริงมีรากศัพท์มาจากภาษาทิเบตว่า “ชัมบาลา” (Shambala) หมายถึงชีวิตอันสงบสันติ ตามแนวพระพุทธศาสนานิกายวัชรยาน และเป็นดินแดนในอุดมคติที่หลุดพ้นจากตัณหากิเลสทั้งปวง ต่อมารัฐบาลจีนได้จัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติออกค้นหาดินแดนแชงกรี ลา ว่าอยู่ในส่วนใดของจีน ก็มาพบ เมืองจงเตี้ยน (Zhongdian) ที่มีภูมิประเทศใกล้เคียงกับนวนิยายของเจมส์ ฮิลตัน มากที่สุด รัฐบาลจีนจึงเปลี่ยนชื่อ “เมืองจงเตี้ยน” เป็น “แชงกรี ลา”   นับเป็นแผนการตลาดที่ประสบความสำเร็จสุดๆ เพราะหลังจากนั้นเงินทอง ความเจริญ และนักท่องเที่ยว ก็หลั่งไหลเข้าสู่จงเตี้ยน ชาวจีนจึงเรียกเมืองแชงกรี ลา ใหม่นี้ว่า “เชียงเก๋อหลี่ลา” (Xiang-ge-li-la) ซึ่งนี่อาจเป็นตัวแทนของแชงกรี ลา ในฝัน ที่เราสัมผัสได้จริง

2

3

4

5

6

7

 โดยส่วนตัวผมเป็นคนที่ชอบเดินทางช้าๆ เก็บรายละเอียดต่างๆ ไปด้วย เพราะชอบถ่ายภาพ การเดินทางด้วยรถยนต์จึงเหมาะสุด เริ่มอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ข้ามเรือเฟอร์รี่เข้าสู่เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว แล้วใช้ถนนสาย R3A ผ่าน เมืองหลวงน้ำทา (Luang Namtha) ต่อด้วยทางหลวงสาย 13B มุ่งหน้าสู่ เมืองบ่อเต็น (Boten) แล้วข้ามชายแดนลาว-จีน ที่ เมืองโมฮาน (Mohan)

            จากด่านโมฮาน ขับรถต่อไปอีก 101 กิโลเมตร ผ่าน เมืองลา (Mengla) จนถึง เมืองเชียงรุ่ง (Jinghong) สิบสองปันนา ผมชอบถนนช่วงนี้เพราะสวยแปลกตาดี สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าไม้ สลับกับสวน และต้องวิ่งลอดอุโมงค์ที่รัฐบาลจีนเจาะภูเขาทะลุไปถึง 17 แห่ง ข้ามสะพานข้ามเหวสูงอีกกว่า 20 แห่ง นับเป็นความมหัศจรรย์ทางวิศวกรรมเลยก็ว่าได้ครับ จากนั้นผ่านเมืองคุนหมิง (Kunming) เข้าสู่เมืองต้าหลี่

8

 ต้าหลี่ (Dali) เป็นเมืองโบราณของชนชาติไป๋ (Bai) ที่รุ่งเรืองมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8-9 ทั่วเมืองเต็มไปด้วยเสน่ห์ของการผสมผสานความเก่าและใหม่เข้าด้วยกัน และมีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย อาทิ “เจดีย์สามองค์แห่งวัดฉงเซิ่ง” ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่สุด โดยเจดีย์องค์กลางสูง 70 เมตร เป็นทรงสี่เหลี่ยมสร้างสมัยราชวงศ์ถัง ส่วนเจดีย์องค์เล็กสององค์ สูง 43 เมตร เป็นทรงแปดเหลี่ยมสร้างสมัยราชวงศ์ซ่ง ปัจจุบันเจดีย์องค์เล็กเอียงไป 4-6 องศา คล้ายหอเอนปิซ่าที่อิตาลี!

ตัวเมืองต้าหลี่ถูกขนาบด้วยทะเลสาบเอ๋อไห่ทางตะวันออก และเทือกเขาชานซานทางตะวันตก เมืองนี้เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรน่านเจ้า ต่อมาได้เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรต้าหลี่ใน พ.ศ. 1480-1796 เมืองต้าหลี่ตั้งอยู่บนความสูง 2,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อากาศจึงเย็นสบายตลอดปี ทำให้การเดินเที่ยวของผมช่างรื่นรมย์ จากวัดเจดีย์สามองค์ไปต่อกันที่ “เมืองเก่าต้าหลี่” (Dali Old Town) อายุกว่า 1,000 ปี ผมค่อยๆ เดินเข้าไปตามตรอกซอกซอยเล็กๆ ชมบ้านเก่าสไตล์จีนสร้างด้วยหิน มุงหลังคากระเบื้องดินเผาลอนโค้ง เก่าคร่ำคร่าจนมีมอสและดอกไม้งอกขึ้นราวสวนธรรมชาติ โครงหน้าต่างและเสาค้ำของบ้านเป็นไม้ท่อนใหญ่ และปูลาดทางเดินทั่วเมืองด้วยหินดั้งเดิมอายุนับพันปี ซึ่งคนไม่รู้กี่ชั่วอายุคนเดินเหยียบย่ำ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วิศวกรจีนโบราณผู้เนรมิตเมืองต้าหลี่ชาญฉลาดนัก ออกแบบให้มีคลองส่งน้ำเล็กๆ ไหลหล่อเลี้ยงทั่วเมือง ให้คนได้ดื่มกินอาบใช้ น้ำใสไหลเย็นนี้ก่อเกิดจากหิมะละลายจากเทือกเขาชานซานที่ตระหง่านอยู่ข้างเมืองนั่นเอง

9

10

 จากต้าลี่เดินทางต่ออีกแค่ 180 กิโลเมตร ก็ถึงเมืองโบราณ ลี่เจียง (Lijiang) ในเขต “เมืองเก่าซู่เหอ” (Shuhe Old Town) อายุกว่า 1,000 ปี! แม้วันนี้ซู่เหอจะมีสีสันสมัยใหม่เข้ามาแทรกซึมอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงกลิ่นอายโบราณไว้มาก ยังคงมีก้อนหิน เสาไม้ ลวดลายแกะสลัก และกระเบื้องมุงหลังคาแบบจีน   ผมเข้าไปนั่งจิบกาแฟร้อนๆ ริมสายน้ำใสไหล้เย็นใต้เงาต้นหลิว ปล่อยเวลาให้เคลื่อนผ่านโดยไม่ต้องกังวล ยิ่งเดินลึกเข้าไปมากเท่าใด ก็ยิ่งเห็นคุณย่าคุณยายชาวน่าซี (Naxi) ที่ยังคงแต่งกายแบบดั้งเดิม สวมเสื้อแขนยาว หมวกสีน้ำเงิน เดินไปมาอยู่ทั่วไป เมืองเก่าแห่งนี้มีสระน้ำที่มีต้นหลิวโอนเอนล้อลมน่ามอง สมแล้วที่ลี่เจียงได้ฉายาว่า “เมืองน้ำสวย” (ลี่ แปลว่า สวย และเจียง แปลว่า น้ำ)

11

12

13

14

15

16

18

19

20

 คนที่จะขับรถเส้นทางนี้ต้องมีทักษะในการขับรถบนเขาสูงชัน เพราะเส้นทางเมืองไทย-แชงกรี ลา เต็มไปด้วยหุบเขาสลับซับซ้อน

21

22

 จากลี่เจียงบนความสูงเพียง 2,400 เมตรเหนือน้ำทะเล ในที่สุดผมก็เดินทางมาถึงดินแดนในฝัน แชงกรี ลา บนความสูงกว่า 4,300 เมตรเหนือน้ำทะเล! จนได้ ช่วงที่ไปถึงเป็นฤดูใบไม้ร่วงพอดี ใบไม้ในราวไพรจึงผลัดใบเปลี่ยนสี ทำให้ภูเขาทั้งลูกเหมือนถูกระบายแต้มด้วยสีเหลือง ส้ม แดง น่าตื่นตามาก บางช่วงถนนคดโค้งเลียบลำธารใสและโขดหินใหญ่ ในทุ่งหญ้ามีฝูงม้า จามรี และแกะของชาวทิเบต เดินเลาะเล็มหญ้าหากินอยู่อย่างเสรี มีบ้านทิเบตที่สร้างเป็นทรงสี่เหลี่ยม โดยใช้อิฐ หิน และไม้ อย่างง่ายๆ เราพบเจดีย์ทิเบตที่เรียกว่า ชอร์เต็น (Chorten) มากมาย บางแห่งสร้างโดยเรียงก้อนหินขึ้นไปธรรมดาๆ แต่บางองค์สร้างเป็นเจดีย์ฉาบปูนทาสีขาวผูกโยงธงมนต์ปลิวไสว ถ้าสังเกตให้ดีธงมนต์จะมี 5 ตามสีมงคลของทิเบต คือ แดง ขาว เหลือง เขียว และน้ำเงิน บนธงมนต์มีรูป “ม้าลม” (Wind Horse ชาวทิเบตเรียกว่า ลุงตะ) เชื่อว่าม้าลมจะนำบทสวดมนต์บนผืนธง ให้ลอยไปสร้างสงบสานติทั่วโลก

23

 ผืนป่าบนภูเขาของแชงกรี ลา  ผลัดใบหลากสีสุดอลังการในต้นฤดูใบไม้ร่วง ราวภาพศิลปะของศิลปินเอก

24

 “หุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน” (Blue Moon Valley) บนระดับความสูงกว่า 3,800 เมตร ซึ่งเราต้องนั่งรถกระเช้ายาวเหยียดขึ้นสู่ยอดเขา บนนั้นแม้จะวิวสวย แต่ออกซิเจนเบาบางมาก บางคนจึงต้องพกออกซิเจนกระป๋องเล็กๆ ขึ้นไปใช้หายใจให้สะดวกขึ้น ผืนป่าในหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงินยามนี้เปล่งปลั่งสุดขีด ผลัดใบเป็นสีเหลืองทั้งขุนเขา ยิ่งมองเลยออกไปลิบๆ จะเห็นภูเขาหิมะหนาวเย็นทอดยาวอยู่ตรงปลายฟ้า ทำให้รู้สึกว่าโชคดีที่ได้มาเยือนสวรรค์ทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตมีลมหายใจอยู่ บนเขามีสะพานทางเดินไปยังส่วนต่างๆ พร้อมกับมีชอร์เต็น 3 องค์ ผูกโยงธงมนต์ทิเบต ผมจึงอธิษฐานขอให้ได้กลับมาที่นี่อีกในฤดูหิมะหน้า

25

28

 “วัดซงซานหลิน” (Songzanlin Monastery) วัดอายุกว่า 300 ปี ซึ่งได้รับการสร้างโดยดาไลลามะองค์ที่ 5 นับเป็น 1 ใน 13 วัดสำคัญที่สุดของทิเบต วัดซงซานหลินเป็นวัดใหญ่ มีอารามหลักหลังคาสีทองอร่าม พร้อมด้วยกุฏิของพระเณรรายรอบ เมื่อมองจากระยะไกลมีสัณฐานคล้ายพระราชวังโปตาลาในนครลาซา เมืองหลวงของทิเบต วัดซงซานหลินจึงได้รับฉายาว่า “โปตาลาน้อย” ในวิหารกลางมีรูปปั้นดาไลลามะองค์ที่ 5 ใหญ่เท่าตึก 3 ชั้น! ผู้คนมากราบไหว้ไม่ขาด พร้อมกันนี้บนฝาผนังยังมีภาพปริศนาธรรม เทพพิทักษ์ธรรมในปางดุ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระศรรีอริยเมตรไตรย และผ้าพระบฏ (Thangka) โบราณอยู่มากมาย

29

30

 สาวแชงกรี ลา แท้จริงก็คือสาวเชื้อสายทิเบตนี่เอง เพราะสมัยโบราณเขตนี้คือดินแดนของทิเบตตะวันตก

31

 เมื่อมาถึงแชงกรี ลา แล้ว ก็ต้องฝึกพูดทักทายสวัสดีเป็นภาษาทิเบตไว้หน่อย เขาใช้คำว่า “ตาชิ เตเล่” (Tashi Delek) จำไว้ให้ขึ้นใจ ฝึกพูดไว้ให้ติดปาก จะได้รับการต้อนรับจากทุกคนทุกที่

32

 คาราวานขับรถเที่ยวในเมืองแชงกรี ลา (เมืองจงเตี้ยน) ผ่านหุบเขาสูงชัน คดเคี้ยว ลงสู่ทุ่งราบกว้างสุดลูกหูลูกตา

33

 ค่ำคืนในแชงกรี ลา อากาศหนาวจับใจ อุณหภูมิลดต่ำเหลือแค่ 5 องศาเซลเซียส! เช้าวันถัดมาจึงมีน้ำค้างแข็งเป็นเกล็ดขาวๆ เกาะพราวอยู่ทั่วไปตามพื้นถนนและบนหลังคารถ หนาวแบบนี้เริ่มทำให้ผมคิดถึงอ้อมกอดอุ่นๆ ของคนที่เมืองไทยซะแล้ว แต่ยังเหลือหนทางยาวไกลอีกตั้ง 2,500 กิโลเมตร กว่าจะกลับถึงบ้าน ที่ซึ่งผมจะนำประสบการณ์สุดพิเศษทั้งหมดนี้ ไปบอกเล่ากับทุกคน ว่า “แชงกรี ลา The Lost Horizon” มันคือขอบฟ้าที่สูญหายแห่งดินแดนหลังคาโลกอย่างแท้จริง

35

 รอยยิ้มหวานเจี๊ยบจากสาวสิบสองปันนาทางตอนใต้ของจีน ทำให้การเดินทางยาวไกลกว่า 5,500 กิโลเมตร หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะ อิอิ

36

1841

Traveler’s Guide

Best season : เที่ยวได้ตลอดปี เดือนมีนาคม-เมษายนดอกไม้บาน เดือนตุลาคม-พฤศจิกายนใบไม้เปลี่ยนสี และเดือนธันวาคม-มกราคมได้เล่นหิมะสมใจ

How to go : เส้นทางขับรถเที่ยว ไทย (อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย)-ลาว (เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว)-เมืองเชียงรุ้ง (แคว้นสิบสองปันนา)-เมืองคุนหมิง-เมืองต้าลี่-เมืองลี่เจียง-เมืองแชงกรี-ลา ระยะทางไปกลับประมาณ 5,000 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถประมาณ 10-14 วัน ควรใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ และคนขับที่มีประสบการณ์ผ่านทางภูเขาคดเคี้ยว อีกทั้งต้องทำวีซ่าลาว-จีน, เอกสารประกันภัย-เอกสารรถให้พร้อม แต่ถ้าอยากไปแบบง่ายกว่านั้น ให้บินจากกรุงเทพฯ-เมืองคุนหมิง แนะนำสายการบินไทย โทร. 0-2356-1111 www.thaiairways.co.th แล้วบินเมืองคุนหมิง-เมืองแชงกรี-ลา   (สนามบินตี๋ชิ่ง : Diqing Airport) สายการบิน China Eastern Airlines โทร. 0-2636-6979-80 มีบินทุกวัน ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง

Where to stay : มีโรงแรมหลายระดับให้เลือก เช่น เมืองเชียงรุ้ง แคว้นสิบสองปันนา โรงแรม Gloden Zone โทร. 86-691-2150888 www.goldenzonehotel.com เมืองคุนหมิง โรงแรม Empark Grand Hotel โทร. 86-871-7388888 www.empark.com.cn เมืองต้าลี่ โรงแรม Asia Star Garden Hotel โทร. 86-872-2680199 www.asiastargroup.com เมืองลี่เจียง โรงแรม Treasure Harbour International Hotel โทร. 86-888-3116688 www.treasureharbour.cn เมืองแชงกรี-ลา โรงแรม Paradise Hotel โทร. 86-887-8228008 http://www.chinaodysseytours.com/hotels/Paradise-Hotel.html ค่าห้องพักรวมอาหารเช้าด้วย

What to eat : เส้นทางขับรถช่วงที่อยู่ในลาวอาหารยังคล้ายกับไทย แต่เมื่อข้ามแดนเข้าจีนแล้ว อาหารจะเป็นพวกข้าวสวย บะหมี่ หมูแดง เป็ด ไก่ หมั่นโถว ซาลาเปา ผัดผัก ปลานึ่ง ซุปต่างๆ ถ้าพักตามโรงแรมใหญ่ๆ จะมีอาหารตะวันตกด้วย ใครกลัวเลี่ยน แนะนำให้พกน้ำพริกไทยไปด้วย ที่แชงกรี-ลา อย่าลืมชิมเนื้อจามรีทอด (คนจีนเรียกว่าเนื้อเหมาหนิว) รวมถึงชาเนยทิเบต กินกับซัมปะ (แป้งข้าวบาร์เลย์คั่ว)

Souvenirs : ของที่ระลึกบนเส้นทางนี้มีมากมายให้เลือก ที่เมืองเชียงรุ้ง แนะนำใบชาปู้เอ่อ เครื่องไม้แกะสลัก และเครื่องหนัง ที่เมืองคุนหมิง แนะนำครีมบัวหิมะทาแก้น้ำร้อนลวก ที่เมืองต้าหลี่ แนะนำผ้าทอมือ และกระเป๋าถักของชนเผ่าไป๋ ที่เมืองลี่เจียง แนะนำผ้าคลุมไหล่ทอมือ และงานหัตถกรรมของชนเผ่าน่าซี ส่วนที่เมืองแชงกรี-ลา แนะนำหวีจากเขาจามรี แส้พู่หางจามรี และหินสีทิเบต (โปรดระวังของปลอม!)

เปิดโลกธรรมชาติไร้ขีดจำกัด! จังหวัดสตูล

2

น้ำทะเลใสแจ๋วหน้าเกาะราวี เคียงคู่กิ่งไม้โอนเอนแทบจะลงไปหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

3

อดรนไม่ไหว ใส่อุปกรณ์ดำน้ำตื้นลงไปทักทายหมู่ปลาและปะการังหลากชนิด ที่หน้าเกาะราวี

4

 วันฟ้าใสที่สะพานหินเกาะไข่ เป็น Landmark ที่คนเห็นกันชนชินตา และกลายเป็นสัญลักษณ์ของหมู่เกาะตะรุเตาไปแล้ว

5

 สะพานหินเกาะไข่ เกิดจากการกัดเซาะของคลื่นลมในบริเวณปลายแหลมหิน จนเกิดโพรงช่องทะลุใหญ่ สามารถเดินลอดเข้าไปได้

6

 ท่าเรือหน้าเกาะตะรุเตา เกาะใหญ่ซึ่งที่ทำการอุทยานแห่งชาติตะรุเตาตั้งอยู่ เมื่อก่อนเกาะนี้เองเคยเป็นที่คุมขังนักโทษการเมือง จนกลายเป็นโจรสลัดที่ออกปล้นเรือ และถูกปราบปรามในเวลาต่อมา

7

 ฝูงลูกปลาน้อยว่ายน้ำเข้ามาทักทายนักท่องเที่ยวที่ท่าเรือหน้าเกาะตะรุเตา

8

 ในวันฟ้าใสคลื่นลมสงบแบบนี้ จะมีอะไรดีไปกว่าการออกไปพาบเรือคายัคเที่ยวเล่นชมธรรมชาติรอบเกาะตะรุเตาล่ะ

9

 เกาะตุเรามักจะเป็นที่จอดเรือหลบคลื่นลมของเรือยอร์ชต์นักท่องเที่ยว

10

 แสงสุดท้ายของตะวันกำลังจะลาลับลงจุมพิตผืนทะเลที่หน้าเกาะตะรุเตา แต่กว่าจะได้ภาพนี้มาก็ต้องออกแรงปีนขึ้นเขาไปยังจุดชมวิว

11

 บนเกาะตะรุเตามีค่างแว่นถิ่นใต้อยู่หลายฝูง แถมยังคุ้นคน เข้ามาอยู่ใกล้ๆ บ้านพักเลย ค่างแว่นถิ่นใต้มีลักษณะเฉพาะคือหนังสีขาวรูปตัว C รอบตาสองข้าง แต่ถ้าเป็นค่างแว่นถิ่นเหนือแผ่นหนังสีขาวนั้นจะเป็นรูปตัว O พวกมันอาศัยอยู่เป็นฝูงเล็กๆ และกินใบไม้ผลไม้เป็นหลัก เรียกว่าเป็นสัตว์มังสวิรัตอย่างแท้จริง

12

 นกแก็ก คือนกเงือกชนิดตัวเล็กที่สุดของไทย Amazing มากๆ เพราะที่เกาะตะรุเตามันเข้ามาโชว์ตัวถึงหน้าบ้านพักเลย ไม่ต้องออกแรงเข้าไปหาดูในป่า

13

 แสงยามเย็นที่ปลายแหลมด้านทิศใต้ของเกาะหลีเป๊ะ เก็บภาพได้งดงามจากมุมสูง เห็นสีของเนินทรายตัดกับผืนทะเลไล่โทนเข้มอ่อนเบื้องหลังอย่างงดงาม

14

 อรุณรุ่งฝั่งหมู่บ้านชาวเลที่เกาะหลีเป๊ะ งามไม่ต่างจากภาพสวยๆ ของศิลปินธรรมชาติ

15

 วิถีชาวเลเผ่าอูรักลาโว้ยแห่งเกาะหลีเป๊ะ ยังผูกพันอยู่กับทะเลไม่เคยเปลี่ยน เมื่อแสงอาทิตย์ส่อง จังหวะแห่งชีวิตก็เริ่มต้นขึ้น

16

 สาวสวยกับหาดทรายขาวที่หาดพัทยา เกาะหลีเป๊ะ ศูนย์รวมความเจริญบนเกาะน่าเที่ยวแห่งนี้

17

 ดวงตะวันกลมดิกเป็นไข่แดง ขณะอาทิตย์อัสดงที่จุดชมวิวมุมสูงของเกาะตะรุเตา

18

 เกาะหินซ้อน เป็นเหมือนกองหินขนาดใหญ่โผล่ขึ้นเหนือทะเล ว่ากันว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกลงทะเลได้สวยที่สุดจุดหนึ่งในหมู่เกาะตะรุเตา

19

 เกาะหินงาม ถือเป็นความพิเศษหนึ่งเดียวของธรรมชาติอย่างแท้จริง เพราะเป็นเพียงเกาะเดียวที่มีหินริ้วลายสวยงามนับหมื่นๆ แสนๆ ก้อน ไปกองรวมกัน จนกลายเป็นหาดหินเคียงคู่เกลียวคลื่นขาว แต่หินบนเกาะนี้มีคำสาบ! ใครบังอาจเก็บติดมือกลับบ้าน จะต้องประสบเหตุเภทภัย จนต้องนำกลับมาคืนทุกราย!!!

20

21

 จังหวัดสตูลไม่ได้มีแต่ท้องทะเลสวยงามน่าเที่ยวเท่านั้น แต่บนบกยังมีธรรมชาติน่าเที่ยวเช่นกัน โดยเฉพาะการผจญภัยลงสู่โลกใต้พิภพ เป็นโลกซ่อนเร้นที่แทบไม่เคยมีใครพบเห็น ภาพนี้คือ ถ้ำภูผาเพชร ที่มีโถงถ้ำมรกตอันเกิดจากตะไคร่เขียวขึ้นปกคลุมโดยอาศัยความชุ่มชื้นในโถงถ้ำ เมื่อสะท้อนแสงไฟจึงเปล่งประกายงดงามเช่นนี้

22

 ถ้าภูผาเพชร เป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภาคใต้ ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งพบหินงอก หินย้อย และเสาหินขนาดยักษ์ ซึ่งต้องใช้เวลาหลายล้านปีในการก่อกำเนิดขึ้น

23

 บางช่วงเวลาของวัน จะมีลำแสงอาทิตย์ส่องทะลุโพรงหินเข้าสู่ความมืดมิดภายในถ้ำภูผาเพชร จนเกิดเป็นภาพแปลกตา รวมกับลำแสงรัสมีจากสวรรค์!

24

 พายเรือคายัคลำน้อยเข้าสำรวจถ้ำเจ็ดคต ถ้ำน้ำลอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้!

25

 เด็กๆ ชาวป่าเผ่าเซียมัง ที่พบอาศัยอยู่ในป่าดงดิบของจังหวัดสตูลเท่านั้น ส่วนเผ่าซาไกพบได้ในแถบจังหวัดพัทลุงและตรัง

26

 คลองลำโลน อำเภอละงู จังหวัดสตูล เป็นลำธารสายน้อย ใสแจ๋ว และคดเคี้ยว ลดเลี้ยวเข้าไปตามป่าดงดิบ ผ่านถิ่นอาศัยของคนป่าเผ่าเซียมังด้วย

เกาะไม้ท่อน มัลดีฟส์แห่งใหม่ในทะเลอันดามัน จ.ภูเก็ต

ฉันนั่งมอง wristband สีฟ้าสดใส ที่มีตัวหนังสือสีขาวสกรีนลงไปว่า LOVEandaman.com ซึ่งสวมอยู่ที่ข้อมือข้างขวาของฉันตอนนี้ เจ้า wristband หรือปลอกข้อมือยางนี้ไม่ใช่จะได้มาง่ายๆ นะ แต่คุณต้องเป็นส่วนหนึ่งของทัวร์สุดพิเศษ One Day Trip ของบริษัท Love Andaman ที่กำลังมุ่งหน้าฝ่าท้องทะเลสีคราม น้ำใสแจ๋ว ตรงจากเกาะภูเก็ตมุ่งหน้าไปยัง “เกาะไม้ท่อน” เกาะส่วนตัวที่ปิดมานานนับสิบปี แต่เพิ่งเปิดออกสู่สายตาโลกภายนอกไม่นาน ทำให้เราได้มีโอกาสนั่งเรือสปีตโบ๊ทเร็วจี๋เหินเหนือยอดคลื่นมาในวันนี้

ผู้โดยสารกว่า 40 คนบนเรือต่างตื่นเต้น มองไปทางหัวเรือ ที่ใกล้ถึงเกาะไม้ท่อนเข้าไปทุกที อีกไม่กี่อึดใจแล้วสินะ ฉันก็จะได้เห็นเกาะสวรรค์ที่ใครๆ ตั้งฉายาให้ว่า มัลดีฟส์แห่งใหม่ของเมืองไทย เกาะที่อาบอิ่มด้วยธรรมชาติแสนบริสุทธิ์ เป็นเสมือนเกาะส่วนตัว ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการฮันนีมูนกับคู่รักหรือคนพิเศษของเราโดยไม่กลัวใครจะมารบกวน ว้าว!

2

จริงๆ แล้ว เกาะไม้ท่อนเป็นเกาะส่วนตัวของครอบครัวคุณภูริ หิรัญพฤกษ์ ดาราหนุ่มสุดหล่อ ที่ควงคู่มากับเจ้าสาวสุดสวยคุณแอน อลิชา เห็นแล้วน่าอิจฉา เพราะทั้งคู่มีเกาะส่วนตัวไว้ฮันนีมูนกัน ตลอดชีวิตเลย! เกาะไม้ท่อนจึงเรียกว่าเป็นเกาะแห่งความรัก ก็ไม่น่าจะผิดนะ

3

เพียงแค่ 15 นาที เรือสปีตโบ๊ทแรงม้าสูงสามเครื่องยนต์ ก็พาเรามาถึงเกาะไม้ท่อนอย่างรวดเร็ว เหมือนโกหก ภาพเกาะตรงหน้าทำให้พวกเราตกตะลึงไปชั่วขณะ เพราะไม่นึกเลยว่า ไม้ท่อนจะมีความใสบริสุทธิ์ถึงเพียงนี้ บนเกาะมีป่าเขียวครึ้มปกคลุม ถัดลงมาเป็นหาดทรายสีทองอ่อนๆ เคียงคู่น้ำทะเลสีเขียวมรกตไล่โทนไปจนถึงสีครามเข้มอ่อนอย่างสวยงามชวนมอง แดดเจิดจ้าและฟ้าใสๆ ของวันนี้ ได้เปิดเผยความงามในสัมผัสแรกให้เราประทับใจกันถ้วนหน้า มองไปบนหาดทรายหน้าเกาะ เราเห็นเพียงอาคารรีสอร์ทไม่กี่หลัง สร้างกลืนไปกับดงไม้ร่มครึ้ม มีเพียงความเงียบสงบ อวลด้วยกลิ่นอายทะเล ยินเพียงเสียงคลื่นขาวสาดซัดเข้าหาฝั่งดังซ่าๆ เป็นจังหวะน่าฟัง นี่ล่ะเสน่ห์แบบธรรมชาติของเกาะไม้ท่อน ที่แม้แต่เจ้าชายจิกมีแห่งประเทศภูฏานก็ยังทรงโปรดฯ เพราะทรงเคยเสด็จมาประทับพักผ่อนที่นี่ด้วย!

4

5

6

7

8

จากท่าเทียบเรือหน้าหาด ไกด์ผู้มากอารมณ์ขัน พาเราเดินตรงไปยังที่นั่งพักผ่อนติดกับร้านอาหาร ซึ่งจุดนี้มีระเบียงไม้แบบ Outdoor กว้างขวางใต้ทิวสนทะเลต้นเบ้อเริ่ม ให้เราได้นั่งชิลชมวิวทะเลสวยราวสวรรค์เบื้องหน้า หรือจะถอดรองเท้าลงไปเดินเล่นบนผืนทรายนุ่มๆ แสนสะอาด แล้วมานอนอิงกายบนเตียงผ้าใบใต้ร่มชายหาดสีขาว สั่งเครื่องดื่มเย็นๆ มาจิบ ยกกล้องคู่ใจขึ้นมาบันทึกภาพสักแช๊ะ แล้วลองหลับตา สูดโอโซนเข้าปอดสักฟอดใหญ่ๆ จากนั้นลองใช้โสตประสาทสัมผัสทางหู รับฟังสรรพสำเนียงของธรรมชาติแท้ๆ ที่คุณจะหาจากที่อื่นไม่ได้ง่ายๆ นี่คือโลกอีกโลกหนึ่ง ซึ่งฉันอยากหยุดเวลาไว้ แล้วขอนอนเอกเขนกอยู่ตรงนี้ให้นานๆ ตลอดไป

9

10

กิจกรรมของทริปทัวร์วันนี้ไม่มีอะไรมาก ไม่อัดแน่น ไม่บังคับกัน ใครอยากจะพักอยู่เฉยๆ ก็ไม่มีใครว่า แต่ส่วนใหญ่ (รวมทั้งตัวฉันด้วย) เลือกที่จะลงไปเดินเล่นถ่ายภาพบนชายหาดมากกว่า แหม ไม่ได้มากันบ่อยๆ ขอเก็บภาพประทับใจไปอวดเพื่อนๆ ที่กรุงเทพฯ ให้อิจฉาเล่นดีกว่า ขอบอกว่า แม้หาดทรายบนเกาะไม้ท่อนจะไม่ได้เป็นสีขาวจั๊วะเหมือนกับแถวหมู่เกาะสิมิลัน หรือหมู่เกาะสุรินทร์ของพังงา แต่หาดทรายสีทองอ่อนๆ ของที่นี่ก็มีเนื้อละเอียดเนียน นุ่มเท้า อ่อนโยนยามได้สัมผัส อีกทั้งฟองคลื่นขาวที่สาดซัดเข้ามาตลอดเวลา ก็ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้หาดของเกาะไม้ท่อนได้อย่างสมบูรณ์แบบ หลายคนอดใจไม่ไหว โดดลงไปเล่นน้ำ พายเรือคายัก เดินหาเปลือกหอยสวยๆ มาเรียงบนหาดทราย หรือไม่ก็หามุมถ่ายภาพตามโขดหิน ร่มไม้ แล้วโดดตัวลอยถ่ายภาพพร้อมกันเป็นหมู่อย่างสนุกสนาน

            สมแล้วที่เกาะไม้ท่อนเป็นเกาะแห่งความรักและความสุข ฉันแอบอิจฉาตัวเองเล็กๆ ที่ได้มาอยู่บนหาดทรายผืนนี้ ณ วินาทีนี้

11

12

13

ก่อนเที่ยง ไกด์ผิวเข้มหน้าตาใจดี ชวนพวกเราเดินขึ้นเขาไปบนจุดชมวิว ไม่ต้องตกใจหรอก เดินแค่ 200-300 เมตร ก็ถึงแล้ว ถ้าไม่ขึ้นไปจะเสียใจ ระหว่างทางมีแมกไม้ร่มรื่น เดินชิลไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบ พอถึงยอดเขาก็ต้องร้องโอ้โห เพราะสามารถมองเห็นวิวแบบพาโนรามา 360 องศา โดยในวันที่ฟ้าโปร่งแบบนี้ เราสามารถมองเห็นได้ไกลถึง 3 จังหวัดเลยทีเดียว คือ ภูเก็ต พังงา และกระบี่ บนยอดเขาจุดชมวิวนี้ค่อนข้างโล่ง มีศาลาที่พักเล็กๆ ให้นั่งชมวิว พร้อมกับภายประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิให้เรากราบไหว้เป็นสิริมงคลด้วย

            กลับลงมาที่ร้านอาหาร ไลน์บุฟเฟ่ต์ก็เตรียมเสร็จพอดี นี่คืออาหารเที่ยงแบบจัดเต็ม กินกันไม่อั้น โดยเฉพาะหมึกย่างกับกุ้งเผา จิ้มน้ำจิ้มซีฟู๊ดรสเด็ด ใครจะหม่ำข้าว สปาเก็ตตี้ น่องไก่ทอด ผัดผัก แกงจืด มันฝรั่งทอด ฯลฯ ก็เลือกกันเลยตามสบาย กินให้อิ่มนะ แต่อย่าอิ่มจนล้น เพราะประมาณบ่ายโมง เขาจะพาลงเรือไปดำน้ำดูปลาทักทายปะการังแสนสวยกันด้วย

14

15

16

17

18

19

20

จุดเด่นอย่างหนึ่งของธรรมชาติเกาะไม้ท่อนก็คือ มีแนวปะการังอุดมสมบูรณ์ยาวเหยียดกว่า 1 กิโลเมตร ทอดตัวขนานไปกับชายหาดด้านหน้าเกาะ โดยอยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่ร้อยเมตรเอง แถมยังเป็นโลกใต้น้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยปะการังนานาชนิด มีปลาการ์ตูน หอยต่างๆ ฟองน้ำทะเล ดอกไม้ทะเล ปลาดาว และโดยเฉพาะฝูงลูกปลานับล้านๆ ตัว! แหวกว่ายรวมฝูงกันอยู่อย่างหนาแน่น แสดงให้เห็นว่าทะเลตรงนี้ปลอดภัย ใช้เป็นแหล่งอนุบาลตัวอ่อนของสัตว์ทะเล เพื่อต่อเติมห่วงโซ่แห่งโลกสีครามให้สมบูรณ์ต่อไปไม่สิ้นสุด

            พอเรือสปีตโบ๊ทจอดเราก็ไม่รอช้า รีบสวมหน้ากากดำน้ำ เสื้อชูชีพ และตีนกบ โดดลงน้ำตูมทางท้ายเรือ ว่ายน้ำตามไกด์ไปตรงจัดที่มีปะการังสวยๆ รออยู่

21

22

โลกใต้น้ำที่นี่ช่างสวยงาม น่าตื่นเต้น น่าค้นหา ปะการังส่วนใหญ่เป็นแบบปะการังโขดก้อนใหญ่ๆ อย่างปะการังสมองก้อนเบ้อเริ่ม ปะการังเขากวางดงใหญ่ทอดต่อเนื่องออกไปเป็นพื้นที่ยาวเหยียด นอกจากนี้ยังมีปะการังผักกาด ปะการังโต๊ะ หอยมือเสือ ดาวทะเล หนอนพู่ฉัตร และปลาหลากสีว่ายวนหากิน อยู่คู่กับปะการังเหล่านั้น เปรียบไปคงเหมือนบ้านอันแสนสุขของพวกมัน ฉันโชคดีว่ายไปเจอกอดอกไม้ทะเล กับปลาการ์ตูนคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในนั้น มันว่ายน้ำผลุบๆ โผล่ๆ ออกมาจากกอดอกไม้ทะเล เพื่อมาสอดแนมฉัน ดูว่าพวกเรามาทำอะไรกันในเขตบ้านของมัน ไม่ต้องกลัวนะเจ้าปลาน้อย ฉันแค่มาเยี่ยม ไม่ได้มาทำอันตรายหรอก

23

เวลาแห่งความสุขผ่านไปอย่างรวดเร็ว บ๊ายบาย เกาะไม้ท่อน มัลดีฟส์ของฉัน แล้วพบกันใหม่เร็วๆ นี้นะจ๊ะ

1841

Special Thank : บริษัท Nikon Sales (Thailand) Co., Ltd. สนับสนุนสุดยอดอุปกรณ์ถ่ายภาพระดับมืออาชีพ

สนใจติดต่อ โทร. 0-2633-5100 / แฟ็กซ์ 0-2633-5191 (Office) / 0-2633-5192 (Service) www.nikon.co.th

 

Professional Guide

Best season : ฟ้าสวยน้ำใส คลื่นลมสงบที่สุด ช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน

Getting there : เกาะไม้ท่อนอยู่ห่างจากเกาะภูเก็ตไปทางตะวันออก 9 กิโลเมตร เรือสปีตโบ๊ทออกจากท่าเรือแหลมพันวา ใช้เวลาวิ่งเพียง 15 นาที ก็ถึงแล้ว โดยมีรถตู้รับส่งนักท่องเที่ยวจากโรงแรมที่พักมายังท่าเรือด้วย แพ็กเกจ One Day Trip อยู่ในช่วงเวลา 10.00-16.00 น. นอกจากพาเดินเที่ยวขึ้นจุดชมวิวบนเกาะแล้ว ยังมีพาไปดำน้ำ 2 จุด และพักผ่อนบนหาดด้วย

Overnight : บนเกาะไม้ท่อนมีที่พักอยู่แห่งเดียว คือ Honeymoon Island Phuket Resort (ชื่อเดิม ไม้ท่อน ไอส์แลนด์ รีสอร์ท) ตั้งอยู่บนหาดส่วนตัวทางด้านตะวันออกของเกาะ ซึ่งเป็นจุดที่เรือสปีดโบ๊ทมาจอดนั่นแหละ สามารถจองผ่าน www.hoteltravel.com

Cuisine : แพ็กเกจ One Day Trip เกาะไม้ท่อน มีอาหารเที่ยงรวมให้ด้วย 1 มื้อ เสิร์ฟบนเกาะอย่างอิ่มหนำ สำราญ จัดเต็มกับซีฟู๊ดกุ้ง หมึก ปลา และสารพัดอาหารอร่อย พร้อมเครื่องดื่มเย็นๆ สำหรับคลายร้อน

Contact : Love Andaman เป็นเพียงบริษัทเดียวที่ได้รับอนุญาตให้พานักท่องเที่ยวไปเกาะไม้ท่อน สนใจจองแพ็กเกจทัวร์ โทร. 0-7648-6095-6, 08-1999-8844, 08-9500-5111 เว็บไซต์ http://loveandaman.com เฟสบุ๊ค www.facebook.com/loveandaman อีเมล info@LoveAndaman.com

อลังการ Unseen ทะเลหมอกวัดถ้ำเสือ จ.กระบี่

1109

ไปเที่ยวกระบี่มาก็ตั้งหลายหน แต่ไม่พ้นจุดหมายคือทะเลสีคราม มาเยือนกระบี่รอบนี้เลยขอไปเที่ยวทะเลแบบอื่นบ้าง (ไม่ใช่ทะเลแหวกด้วยนะ) แต่เป็นทะเลหมอกที่สวยไม่แพ้ภาคเหนือเลยจ้ะ

ทะเลหมอกที่ว่าต้องใช้กำลังขาเดินขึ้นกันนิดนึง ผ่านบันไดถึง 1,260 ขั้น!!! เพราะที่นี่คือ จุดชมวิวทะเลหมอกวัดถ้ำเสือ เห็นตัวเลขแล้วอย่าเพิ่งท้อ เพราะถ้าได้ลองขึ้นมาเห็นกับตาแล้ว จะรู้ว่า ไม่เสียแรงเดินขึ้นมาเลยจริงๆ

เมื่อปี พ.ศ. 2528 หลวงพ่อจำเนียร มีความประสงค์จะหาสถานที่ปฏิบัติธรรมใหม่ จึงเกิดนิมิตเห็นสถานที่ที่มีภูเขาล้อมรอบชื่อ “วัดถ้ำเสือ” ในจังหวัดกระบี่ หลวงพ่อจึงได้ให้พระอาจารย์หีดไปเสาะแสวงหาที่ดังกล่าว จึงพบถ้ำเสือเข้าในที่สุด หลวงพ่อจำเนียรจึงได้นำคณะภิกษุสามเณร 53 รูป และแม่ชี 53 ท่าน จากวัดสุคนธาวาส มาอยู่ ณ ที่นี้ โดยในอดีตใช้ชื่อว่า “สำนักสงฆ์หน้าชิง” ตามชื่อหมู่บ้าน เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518 และต่อมาใน พ.ศ. 2533 จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดถ้ำเสือ” ดังเช่นปัจจุบัน โดยเหตุที่ชื่อนี้ก็เพราะ อดีตเคยมีเสือโคร่งอาศัยอยู่จำนวนมาก อีกทั้งยังมีหินธรรมชาติรูปอุ้งเท้าเสืออยู่ด้วยนั่นเอง นอกจากถ้ำเสือแล้ว ยังมีถ้ำคนธรรพ์, ถ้ำลอด, ถ้ำช้างแก้ว, ถ้ำลูกธนู, ถ้ำงู, ถ้ำเต่า และถ้ำมือเสือ ท่องเที่ยวได้ตลอดปี

328

เช้านี้เราตื่นตั้งแต่ตีสี่ ออกจากที่พักตีสี่ครึ่ง เพื่อรีบมารวมพลเดินขึ้นเขาวัดถ้ำเสือ ที่เขาร่ำลือกันว่างามหนักหนา ระหว่างทางก็ต้องรีบเดินแข่งกับเวลา เพราะกลัวไม่ทันเก็บแสงแรกของตะวันบนยอดเขา

426

เพื่อนๆ เราพากันนั่งคอตกหมดแรง เมื่อผ่านบันไดชันขึ้นเขามาได้ครบ 1,260 ขั้น! (ของเก่ามี 1,237 ขั้น) นี่คือรางวัลของความพยายาม และความศรัทธาที่จะได้ขึ้นมากราบพระ พร้อมกับชมทะเลหมอกสุดอลังการของเมืองกระบี่ ที่ใครหลายคนไม่เคยรู้ว่ามีอยู่มาก่อน

527

 เทือกเขาหินปูนวัดถ้ำเสือยังหลับใหลอยู่ในแสงยามเช้าก่อนตะวันขึ้น ลมเย็นโบกสะบัดพัดพลิ้ว ทำให้กอเฟินบนเขาหินปูนโอนเอนไปมาตามจังหวะลมหายใจของธรรมชาติ

626

 ถึงแล้ว จุดชมวิวยอดเขาวัดถ้ำเสือ มีลานกว้างให้เดินชมวิวได้รอบ พร้อมด้วยองค์พระพุทธรูปขนาดใหญ่ให้เราไปสักการะ

726

 พี่อิช พี่ชายใจดีแห่งเว็บไซต์เมืองไทยดอทคอม แอ็กท่าเท่ห์ให้เราเก็บภาพคู่กับเทือกเขาหินปูน ซึ่งแลเห็นยอดเขาพนมเบญจา (ยอดเขาสูงสุดของจังหวัดกระบี่) ตั้งอยู่ไกลลิบๆ โน่น

827

 การถ่ายภาพเทือกเขาหินปูนบนยอดเขาวัดถ้ำเสือ จำเป็นต้องใช้เลนส์มุมกว้างพวก 17-35 มม. หรือ 14-24 มม. เพื่อเก็บภาพ Landscape (ภาพภูมิทัศน์) ให้ได้กว้างสะใจอย่างนี้ล่ะ

927

 แม้วันนี้ทะเลหมอกวัดถ้ำเสือจะไม่ได้อลังการเหมือนที่เราหวังไว้ แต่ธรรมชาติก็มอบรางวัลแห่งความงาม ของแสงตะวันแรกสีทองงามจับตาจับใจ

1026

 จากจุดชมวิวยอดเขาวัดถ้ำเสือ มองเห็นเทือกเขาหินปูนทอดตัวเรียงรายสลับซับซ้อนราวภาพฝัน โดยมียอดเขาพนมเบญจา ยอดเขาสูงสุดของจังหวัดกระบี่ตั้งตระหง่านเป็นพี่ใหญ่สุดอยู่ทางด้านหลัง

1132

 เทือกเขาหินปูนอายุหลายร้อยล้านปีในแถบจังหวัดกระบี่ ในอดีตเคยจมอยู่ใต้ทะเลมาก่อน เมื่อเปลือกโลกยกตัวขึ้น แล้วสึกกร่อนไปตามกาลเวลา จึงเกิดริ้วรอยหิน และพรรณไม้ป่าดิบชื้นขึ้นปกคลุมอย่างน่าชมเช่นนี้

1229

 ทะเลหมอกวัดถ้ำเสือในยามเช้าตรู่ คือรางวัลของคนขยันตื่นเช้า และเดินฝ่าบันไดชัน 1,260 ขั้น ขึ้นสู่ยอดเขาสำเร็จ!

1326

 ภาพสวยๆ อย่างนี้ เราใช้เลนส์ซูมช่วง 70-200 มม. ติดบนขาตั้งกล้องเพื่อความนิ่ง แล้วค่อยๆ เลือกเฉพาะส่วนภาพที่ต้องการ จัดองค์ประกอบให้แน่นพอประมาณ โดยมีทิวป่าสีเขียวเป็นฉากหน้า (Foreground) ด้วย ทำให้ภาพดูมีมิติมากขึ้น

1425

 สายหมอกขาวลอยอ้อยอิ่งให้เราเก็บภาพเคียงคู่กับเขาหินปูนอยู่นานมาก ต้องขอขอบคุณธรรมชาติจริงๆ นะจ๊ะ

1524

 ทางด้านหน้าของจุดชมวิวยอดเขาวัดถ้ำเสือ เมื่อมองลงไปในหุบเหวเบื้องล่าง เล่นเอาใจหวิวเหมือนกันนะ! แต่วิวก็สวยยั่วใจยิ่งกว่า จนหายกลัวไปเลยล่ะ

1622

 เช้านี้มีทั้งเพื่อนๆ ช่างภาพชาวกระบี่ เพื่อนๆ จากเว็บไซต์เมืองไทยดอทคอม และคนขึ้นมากราบพระกันพอสมควร

1722

 หมอกขาวถูกสายลมแรงจากหุบเขาตีตวัดลอยฟุ้งขึ้นมาคลอเคลียยอดเขาหินปูนอย่างงดงาม ให้ความรู้สึกเหมือนโลกอีกโลกหนึ่ง ซึ่งยิ่งใหญ่ และตัวเราดูเล็กนิดเดียว

1820

1919

2017

2120

 จากยอดเขาสามารถมองลงไปเห็นถนนหนทางคดเคี้ยวราวกับงูเลื้อย และรถเก๋งที่แล่นไปมาก็กลายเป็นขนาดเล็กจิ๋วเหมือนของเล่นเด็กไม่มีผิด

2216

 แปดโมงกว่าแล้ว หลังจากกราบพระและเก็บภาพกันจนชุ่มปอด ก็ได้เวลาเดินลงเขากลับโรงแรมไปกินข้าวเช้า

2313

 หนทางลงเขาช่างแสนสบาย ฮาฮาฮา ไม่ต้องเหนื่อย เพราะใช้เวลาแค่ครึ่งเดียวของตอนขึ้นมา

2411

 เดินช้าๆ ชมพรรณไม้ที่ขึ้นอยู่บนผาหินปูนสองข้างทางไปด้วย เราพบดอกไม้ในวงศ์ใบกำมะหยี่ สีม่วงขนาดเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารัก มันจะออกดอกเฉพาะฤดูฝนที่มีความชุ่มชื้นพอเพียงเท่านั้น

2510

267

 พวกเราเดินลงเขา แต่หลวงพี่รูปนี้ท่านเดินขึ้นยอดเขาทุกวัน เพื่อไปดูแลความเรียบร้อยของสถานที่ สุดยอดไปเลยครับ!

276

Special Thanks : ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกระบี่ และผองเพื่อนจากเว็บไซต์ เมืองไทยดอทคอม ที่สนับสนุนการเดินทาง และแบ่งปันประสบการสนุกๆ ร่วมกันในทริปนี้

สอบถามเพิ่มเติมที่ ททท. สำนักงานกระบี่ โทร. 0-7562-2163, 0-7561-2811-2

Traveler’s Guide

How to go : จากตัวเมืองกระบี่ เลี้ยวซ้ายที่สี่แยกตลาดเก่า ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ทางไปอำเภอเหนือคลอง เลี้ยวซ้ายที่สามแยกถ้ำเสือไปตามถนนราษฎรพัฒนา (ทางหลวงหมายเลข 4037) ไปประมาณ 2 กิโลเมตร ก็ถึงแล้ว

When to go : ช่วงเวลาเหมาะสมที่สุดในการเดินขึ้นวัดถ้ำเสือ คือตอนเช้าตรู่ เพราะอากาศเย็นสบาย ไม่ร้อน เดินขึ้นไปตอนเช้าจะได้ชมทะเลหมอกด้วย แต่ก็มีบางคนขึ้นไปนอนค้างคืนใต้ชะง่อนหินบนยอดเขาเลยก็มี เวลาในการเดินขึ้น ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน ถ้าแข็งแรงหน่อย อาจใช้เวลา 45-50 นาที แต่ระหว่างทางพักนานกว่านั้น อาจใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมง และตรงจุดกึ่งกลางทางเดินขึ้น มีห้องน้ำไว้บริการด้วย แต่บนยอดเขาไม่มีห้องน้ำนะจ๊ะ ต้องทำธุระส่วนตัวให้เสร็จไปก่อนเลย

Contact : พระครูภาวนาธิคุณ (เจ้าอาวาส) วัดถ้ำเสือ ตำบลกระบี่น้อย อำเภอเมืองฯ จังหวัดกระบี่ 81000 โทร. 08-4068-4664 แฟ็กซ์ 0-7570-1056 เว็บไซต์ www.watthumsua-krabi.com

ผจญภัยโลกใต้พิภพล้านปี ถ้ำคลัง จ.กระบี่

258

327

ถ้ำคลัง มีความแปลกประหลาดไม่เหมือนถ้ำไหนๆ นั่นคือมีทั้งถ้ำบกและถ้ำน้ำ สามารถเดินทางเข้าถ้ำบกแล้วไปทะลุอีกด้านและล่องแคนูลอดถ้ำอีกถ้ำหนึ่ง ซึ่งอยู่แฝดคู่กันเป็นโพรงถ้ำมืดมีน้ำตลอดลอดกลับมาได้ อย่างไรก็ตาม หินงอกหินย้อยสวยงามจะอยู่ที่ถ้ำบกซึ่งมีความมหัศจรรย์อย่างยิ่งตลอดทั้ง 13 คูหา ลึกราว 1,200เมตร มีลักษณ์เด่นแตกต่างกันไป จุดเด่นคือนอกจากหินย้อยแล้วคือแท่นหินงอกที่มีมากกว่าถ้ำอื่น หินควอทต์ที่เป็นหลอดกาแฟนับพันๆ แท่งหินควอทต์รูปปะการังและม่านหินย้อยสีทอง กล่าวกันว่าน่าจะเป็นหนึ่งในถ้ำที่สวยที่สุดในเอเชียเลยล่ะ!!!

425

การผจญภัยสุดขั้วในทริปนี้ เราเดินทางไปพร้อมกับเพื่อนๆ พี่ๆ แสนใจดีจาก ททท. สำนักงานกระบี่ และพี่อิช พร้อมทีมงานเว็บไซต์คุณภาพ เมืองไทยดอทคอม ภาพนี้คือบริเวณหน้าปากถ้ำ คือจุดสุดท้ายที่มีแสงสว่าง เราต้องเดินข้ามสะพานไม้เข้าสู่โลกใต้พิภพ จุดนี้มีน้ำท่วมพื้นถ้ำ เราเห็นปลาตัวเล็กๆ บางชนิดแหวกว่ายอยู่ในน้ำด้วย

526

 น้องสาวแสนน่ารักจาก ททท. สำนักงานกระบี่ ร่วมเข้าสำรวจถ้ำกับเรา พร้อมกับเป็นนางแบบให้ด้วย การเที่ยวถ้ำคลังจำเป็นต้องพกไฟฉายพร้อมแบตเตอร์รี่สำรองเข้าไป เพราะการเดินเที่ยวใช้เวลาค่อนข้างนาน อีกทั้งในถ้ำยังมืดสนิทมาก ห้ามเดินออกนอกเส้นทางเด็ดขาด ไฟฉายที่ใช้ควรเป็นแบบหลอด LED เพราะมีความร้อนต่ำ หากใช้ไฟฉายแบบเก่าหรือตะเกียงน้ำมัน จะมีความร้อนสูงและเขม่าควัน ไปเพิ่มอุณหภูมิให้ถ้ำที่มีความชื้น โดยสภาพนิเวศนี้เปราะบางมาก หากเกิดความร้อนเกินกว่าปกติเพียง 1-3 องศาเซลเซียส หินงอกหินย้อยในถ้ำที่มีชีวิต ก็จะหยุดการเจริญเติบโตจนตายไปในที่สุด!!!

625

ต้องยอมรับเลยว่า โถงถ้ำคลังในแต่ละคูหานั้นมีขนาดมหึมาจริงๆ แถมยังมีลักษณะของหินงอกหินย้อยที่มีชีวิตอยู่ สวยงามจนเราต้องตะลึง ชวนให้จินตนาการไปถึงรูปทรงต่างๆ อย่างไม่จบสิ้น

725

หินรูปหลอดกาแฟนับพันๆ หมื่นๆ อัน ห้อยย้อยลงมาจากเพดานถ้ำ ตรงส่วนปลายมีหยดน้ำย้อยอยู่ด้วย น้ำเหล่านี้แหละที่รวมตัวกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กลายเป็นกรดคาร์บอนิกอย่างอ่อนๆ ค่อยๆ ละลายหินปูนลงมาเป็นรูปหลอดกาแฟ ทั้งผลึกแคลไซต์ และผลึกควอทต์

826

 เมื่อหินปูนรูปหลอดกาแฟจากเพดานถ้ำงอกยาวทิ้งตัวลงมามากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะไปบรรจบกับหินงอกขึ้นจากพื้น จนกลายเป็นเสาหินปูน หรือ Limestone Pillar โดยอัตราการงอกของมันนั้นช้ามากๆ พอๆ กับปะการังในทะเลเลยทีเดียว คืองอกยาวออกมาได้แค่ปีละ 2 มิลลิเมตร ดังนั้นเสาหินปูนแม้เพียงต้นเล็กๆ ที่เห็น จึงมีอายุเก่าแก่หลายชั่วอายุคนแล้ว ถ้าไม่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ก็น่าเสียดาย

926

 บางโถงถ้ำของถ้ำคลัง มีม่านหินย้อย หรือ Flowstone เรียงรายลดหลั่นซ้อนกันลงมาจากผนังถ้ำ จนก่อตัวกันเป็นเสาหินรูปทรงแปลกตา ม่านหินย้อยเหล่านี้แท้จริงถูกน้ำกรดคาร์บอนิกอ่อนๆ จากธรรมชาติ ละลายลงมาจนมีรูปทรงดังกล่าว และในถ้ำคลังก็มีให้ชม ให้ศึกษากันอย่างดาษดื่น แต่ขอเตือนว่าห้ามแตะต้องเด็ดขาด เพราะอุณหภูมิ รวมถึงความชื้นของมันจะเปลี่ยน จนหยุดการเติบโตได้

1025

1131

 ยิ่งเดินลึกเข้าไปในถ้ำคลังมากแค่ไหน ความงามใต้พื้นพิภพก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่ก็น่าแปลกที่เราไม่รู้สึกร้อนอบอ้าว หรือหายใจไม่ออกเลย เพราะในถ้ำมีการระบายอากาศตามธรรมชาติดีมาก แถมยังแทบไม่ได้กลิ่นขี้ค้างคาวเลย จะพบก็แต่สัตว์ขนาดเล็ก อย่างจิ้งจกถ้ำ ลายสีเหลืองสลับดำ, จิ้งหรีดถ้ำ, แมงป่องถ้ำ, มดถ้ำ, ปลาถ้ำตาบอด ฯลฯ นับเป็นนิเวศน์มหัศจรรย์ที่แยกตัวโดดเดี่ยวออกจากโลกภายนอกมานานหลายล้านปี จนมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง

1228

1325

 บางโถงถ้ำก็มีน้ำท่วมลึกลงไปหลายสิบเมตร เหมาะสำหรับผู้เชี่ยวชาญการดำน้ำสำรวจถ้ำมืออาชีพ พร้อมอุปกรณ์เฉพาะ ในการดำน้ำลงไปสำรวจว่าจะมีโพรงทะลุไปถึงจุดใดได้อีกบ้างหรือไม่?  ก็อาจจะพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ซุกซ่อนอยู่ก็เป็นได้?!

1424

1523

 ดูกันให้เต็มตา กับประติมากรรมธรรมชาติ อันเกิดจากกระบวนการหินปูนละลายโดยกรดคาร์บอกนิกอ่อนๆ จนเกิดหินรูปหลอดกาแฟกลวงๆ มีน้ำค่อยๆ หยดลงมาทุกเมื่อเชื่อวัน จนบรรจบกับหินงอกที่พื้นขึ้นไปชนกัน อีกหลายชั่วอายุคนมันจะกลายเป็นเสาหิน แล้วขยายขนาดจนปิดโพรงถ้ำ ณ จุดนั้นไปเลย!!!

1621

1721

1819

1918

กลับออกจากถ้ำคลังกันอย่างปลอดภัยทุกคน พร้อมกับความประทับใจในโลกธรรมชาติอัศจรรย์ ที่เราต้องช่วยกันรักษาไว้ให้อยู่คู่ผืนดินไทยตลอดไปนะครับ

Special Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกระบี่ และผองเพื่อนจากเว็บไซต์ เมืองไทยดอทคอม สนับสนุนการเดินทาง และแบ่งปันประสบการณ์สุดมันร่วมกันในครั้งนี้

Traveler’s Guide

When to go : สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปี แต่ต้องมีไกด์นำทางเข้าถ้ำด้วยทุกครั้ง เพราะหนทางภายในวกวนซับซ้อนและมืดมาก จำเป็นต้องนำไฟฉายแบบหลอด LED ติดตัวเข้าไปสำรองไว้คนละ 1-2 อัน พร้อมมีแบตเตอร์รี่สำรองด้วย นอกจากนี้ยังควรเชื่อฟังไกด์ ไม่เดินออกนอกเส้นทางเด็ดขาด การเข้าชมให้ครบทุกโถงถ้ำแบบไม่ละเอียด ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง แต่ถ้าจะชมให้ละเอียดจริงๆ คงต้องใช้เวลาวันเต็ม และควรเริ่มเข้าถ้ำตั้งแต่เช้าๆ

How to go : จากแยกอ่าวลึกเหนือ เดินทางด้วยทางหลวงหมายเลข 4 ไปทางจังหวัดกระบี่ ประมาณ 4 กิโลเมตร เลี้ยวขวาหน้าโรงเรียนบ้านในยวนแขก เข้าไปอีก 2 กิโลเมตร จนถึงปากทางเข้าถ้ำ เส้นทางนี้ไม่มีรถประจำทางผ่าน ต้องเช่าเหมารถไปเอง

Contact : สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานกระบี่ โทร. 0-7562-2163, 0-7561-2811-2

เดินป่าฝ่าเขาตระหง่านขึ้นจุดสูงสุด เขาหงอนนาค จ.กระบี่

250

“เขาหงอนนาค” ชื่อนี้อาจไม่เป็นที่คุ้นเคยของคนทั่วไป แต่สำหรับชาวจังหวัดกระบี่และนักเดินป่าผจญภัยในธรรมชาติแล้ว รับรองว่าต้องเคยได้ยินแน่นอน เขาหงอนนาคไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวใหม่นะ จริงๆ มีมานานมากแล้ว ทว่าคนทั่วไปไม่ค่อยได้สัมผัส เพราะต้องเดินป่าฝ่าเขาสูงขึ้นไปกว่า 3.7 กิโลเมตร (เครื่อง GPS บางตัวก็จับระยะทางได้ 4 กิโลเมตร) จึงถือว่าค่อนข้างสมบุกสมบัน ทหรหด และต้องใช้กำลังกายกำลังใจในการเดินป่าเส้นทางนี้ไม่น้อยเลย แต่รับรองเลยว่า เมื่อขึ้นถึงยอดเขาแล้วจะหายเหนื่อย ทำไมน่ะหรือ? ตามผมมาเลยครับ

 326

น้องชายผมเองชื่อ โล่ อาสาทำหน้าที่เป็นลูกหาบกิตติมศักดิ์ ช่วยแบกขาตั้งกล้องและข้าวของหนักอึ้ง ส่วนช่างภาพที่จะขึ้นเขาหงอนนาค ขอบอกเลยว่าให้นำอุปกรณ์ติดตัวไปน้อยช้ินที่สุด เพราะยิ่งเดินแรงยิ่งน้อย ของจะยิ่งหนัก!

525

 ทางเดินขึ้นเขาหงอนนาค จริงๆ แล้วเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติ หรือ Nature Trail ที่มีจุดป้ายให้ความรู้รวม 13 จุด ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องพรรณไม้ในป่าดิบชื้น, การย่อยสลาย, พืชบนเขาสูง ฯลฯ

624

 หนทางช่วงแรกยังค่อนข้างราบ เป็นการเดินเทรกกิ้งไปในร่องหุบที่ต้องข้ามห้วยธารเล็กๆ 2 สาย แต่ไม่ต้องลุยน้ำ เพราะเขาทำสะพานปูนไว้ให้เรียบร้อย

825

925

เนื่องจากเราเริ่มเดินขึ้นเขาหงอนนาคกันตอนบ่ายสองแล้ว พอถึงจุดชมวิวแรกตะวันก็เริ่มจะคล้อย ฟ้าเปลี่ยนสี อาบทาหมู่เกาะหินปูนในทะเลกระบี่ให้งามแปลกตาไปอีกแบบ

1024

1130

ใกล้จุดชมวิวแรกเข้าไปทุกที ป่าเริ่มโปร่งขึ้น เต็มไปด้วยต้นเสม็ดแดง และเฟินหนาแน่นอันชุ่มชื้นบนพื้นป่า

1227

ถึงแล้ว จุดชมวิวแรก มองออกไปเห็นเทือกเขาหินปูน และสวนยางพาราซึ่งเกิดจากการบุกรุกป่าธรรมชาติในอดีต ต้องรีบกันหน่อยแล้ว เพราะเหลืออีกตั้ง 1.5 กิโลเมตร กว่าจะถึงยอดเขา จะทันแสงสุดท้ายรึเปล่านะ?

1324

ดูกันใกล้ๆ กับต้นเสม็ดแดงบนป่าสันเขาหงอนนาค เปลือกมันจะแตกเป็นเกล็ดๆ แบบนี้ล่ะ สีก็แดงเตะตา ทำให้ป่าผืนนี้มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

1423

1522

พูพอนของต้นไม้ใหญ่บางชนิดแผ่กว้าง สูงใหญ่กว่าหัวเราซะอีก พูพอนนี้จะเกิดขึ้นในส่วนโคนของต้นไม้ที่มีรากตื้น เพื่อทำหน้าที่ช่วยค้ำยันไม้ใหญ่ต้นนั้นไม่ให้โค่นล้มลงง่ายๆ

1620

 เห็ดขอน งอกขึ้นมาจากซากไม้ล้มระหว่างทาง เห็ดพวกนี้ไม่ได้สวยอย่างเดียวนะ แต่ยังทำหน้าที่ผู้ย่อยสลายตามธรรมชาติ (Decomposer) นำสารอาหารจากสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว กลับคืนลงสู่ผืนดินอีกครั้ง

1720

 ระหว่างทางเราพบเห็ดระโงกสีเหลืองสด พี่เจ้าหน้าที่นำทางบอกว่าเห็ดสีสวยอย่างนี้ แต่กินไม่ได้นะ เป็นเห็ดพิษครับ

1818

 ทางเดินบนสันเขามีมอสเขียวสดขึ้นเป็นกอหนาแน่นอยู่ตามพื้น เห็นแล้วนึกว่าอยู่ที่ญี่ปุ่น! แต่ไม่ใช่หรอก เพราะบนเขาหงอนนาคมีอากาศเย็นและชุ่มชื้นตลอดปีนั่นเอง มอสพวกนี้จึงเจริญงอกงามอยู่ได้

1917

 พี่อิช พี่ชายใจดีแห่งเว็บไซต์เมืองไทยดอทคอม ในมาดนักผจญภัยตัวจริง ผู้พิชิตเขาหงอนนาคได้สำเร็จ แต่จุดนี้ยังไม่ถึงยอดเขาสูงสุดนะ ต้องเดินต่อไปอีกกว่า 20 นาที

2015

2119

 ไชโย! ถึงแล้ว ยอดเขาหงอนนาค สูง 565 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มองลงไปเห็นวิวได้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาแบบพาโนรามา โดยมองเห็นอ่าวนางอยู่ลิบๆ ทางขวามือโน่นไง

2215

 ผาหงอนนาค กับวินาทีอันแสนหวาดเสียวของนายแบบสุดอึดสุดเท่ห์ของเรา

2312

 น้องตั๊ก นางแบบแสนสวยที่ร่วมเดินทางพิชิตยอดเขาด้วยกันในครั้งนี้ เอนกายผ่อนคลายอย่างสบายอารมณ์บนยอดเขาหงอนนาค หลังจากเดินเทรกกิ้งขึ้นเขามาเกือบ 3 ชั่วโมง! แต่เธอก็ยิ้มได้

2410

257

 แสงสุดท้ายของตะวันสีทอง อาบทาท้องฟ้าและทะเลกระบี่ เห็นได้ชัดเจนอิ่มตาอิ่มใจจากยอดเขาหงอนนาค

266

 ฟ้ายังไม่มืดสนิท แต่ที่อ่าวนางก็เริ่มเปิดไฟกันแล้ว

275

 ระหว่างทางลงอันมืดสนิทกลางป่า พวกเราใช้ไฟฉายนำทางค่อยๆ เดินกันลงมาอย่างระมัดระวัง ระหว่างทางได้ยินเสียงนก แมลง และสัตว์กลางคืนเริ่มร้องระงม โชคดีพบนกโพระดกกลับเข้าโพรงนอน เลยขอเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกหน่อยนะจ๊ะเจ้านกน้อย

 

Special Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกระบี่ และผองเพื่อนจากเว็บไซต์ เมืองไทยดอทคอม ที่สนับสนุนการเดินทาง และแบ่งปันประสบการณ์สนุกๆ ในทริปนี้ให้แก่กันและกัน

สอบถามเพิ่มเติมที่ ททท. สำนักงานกระบี่ โทร. 0-7562-2163, 0-7561-2811-2

Traveler’s Guide

How to go : การเดินทางสู่เขาหงอนนาค จากตัวเมืองกระบี่ใช้ทางหลวงหมายเลข 4034 ถึงบ้านหนองทะเล ตรงไปเรื่อยๆ จนพบสามแยกวัดคลองสน เลี้ยวขวาตรงไปเรื่อยๆ ถึงสามแยกบ้านคลองม่วง (ทางซ้ายมือจะไปหาดคลองม่วง และไปพระตำหนักที่ประทับ) ให้เลี้ยวขวาไปทางบ้านเกาะกวาง หาดทับแขก ไปจนสุดทางถนน จะพบที่ทำการอุทยานหงอนนาค อันเป็นจุดเริ่มเดินขึ้นไปชมธรรมชาติบนยอดเขา แต่นักท่องเที่ยวควรติดต่อล่วงหน้า และควรมีเจ้าหน้าที่นำทางเสมอ เพราะบางจุดป้ายไม่ชัดเจน อาจหลงทางได้!

Contact : เขาหงอนนาค หมู่ที่ 3 ตำบลหนองทะเล อำเภอเมืองฯ จังหวัดกระบี่ เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ติดต่อ โทร. 0-7563-7200 (งานบ้านพัก), 0-7566-1145, 0-7563-7436