Explore Mie, Miracle of Kansai (Episode 4)
วันสุดท้ายของการเดินทางท่องเที่ยวใน จังหวัดมิเอะ (Mie) ความสนุกสนานเข้มข้นก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย แต่ยิ่งทวีความน่าสนใจขึ้น จนเราต้องรีบตื่นเช้านั่งรถขึ้นไปทางตอนเหนือของจังหวัดมิเอะ เข้าสู่เขตภูเขาสูงที่ปกคลุมด้วยผืนป่าร่มรื่นที่ เมืองอิงะ (Iga) เพราะที่นี่คือ ‘ต้นกำเนิดนินจาญี่ปุ่น’ ซึ่งราเห็นกันในหนังนั่นแหละ!
นินจาคือใคร และใครคือนินจา? พวกเขาคือนักรบนิรนามที่ทำงานในทางลับ เป็นภารกิจซ่อนเร้นอำพราง สอดแนม ล้วงความลับ โขมย ลอบฆ่า ที่โชกุนหรือไดเมียวในยุคอดีตสั่งให้ทำ ถือเป็นงานสกปรกที่ต้องปิดบังซ่อนเร้น ผิดกับงานของเหล่าซามูไรที่ดูมีเกียรติในสังคม และสามารถเปิดเผยตัวออกสู่โลกได้ ทว่างานของนินจาก็สำคัญยิ่งยวด เพราะเป็นงานที่ช่วยให้เจ้านายของตนรบชนะ หรือคงอยู่ในอำนาจต่อไปได้ พวกนินจาจึงต้องฝึกฝนวิชากันอย่างหนักหน่วง ทั้งการต่อสู้ด้วยมือเปล่า การใช้อาวุธนานาชนิด การใช้ยาพิษ การรักษาโรคด้วยยาสมุนไพร ฝึกเทคนิคการอำพรางกาย การไต่ปีนที่สูง หรือแม้แต่การเดินบนผิวน้ำก็มีจริง ไม่ใช่เรื่องโกหก (เขามีรองเท้าชนิดพิเศษ ทำให้เดินบนผิวน้ำได้ ปัจจุบันจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์นินจาหมู่บ้านอิงะ)
วันนี้เรามาเที่ยวชม ‘หมู่บ้านนินจาอิงะ’ (Iga Ninja Village) ซึ่งถือเป็นพื้นที่ดั้งเดิมแท้จริง ของนินจา 1 ใน 2 สำนัก ที่โด่งดังที่สุดในแดนอาทิตย์อุทัย สายแรกคือ อิงะนินจา (Iga Ninja) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในจังหวัดมิเอะ และสายที่สองคือ โคงะนินจา (Koga Ninja) โดยนินจาเหล่านี้ได้เริ่มปรากฏชื่อขึ้นบนหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยนาราและสมัยคามาคุระ เมื่อผู้นำทางศาสนาในศาลเจ้าชินโตต่างๆ เร่ิมเสื่อมอำนาจ เพราะถูกทางการปฏิรูประบบศาสนา เหล่าพระและนักบวชจึงพัฒนาการบำเพ็ญตบะตามป่าเขาห่างไกล ให้กลายเป็นวิชานินจาขึ้นมา นำนินจาในสังกัดไปออกรบรับใช้โชกุนและไดเมียว เพื่อรักษาฐานอำนาจตน
กระทั่งถึงยุคโชกุนโตกุกาวา อิเอยาสุ ถือเป็นยุคทองของเหล่านินจา เพราะโชกุนองค์นี้ได้นำนินจากว่า 200 คนจากก๊กของฮัตโตริ ฮันโซ เข้ามาใช้งาน ภาระกิจลับของนินจาจึงแพร่หลาย และถูกใช้งานรับใช้นายเพื่อความมั่นคงทางการเมือง กระทั่งล่วงเข้าปี ค.ศ. 1606 เมื่อโชกุนองค์อื่นๆ มีอำนาจขึ้นแทน ก็เลิกใช้งานนินจา เพราะถือว่าเป็นนักรบไร้เกียรติ เรื่องราวของนินจาอิงะและโคงะจึงค่อยๆ เลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ และลดความสำคัญลงจนกระทั่งปัจจุบัน จนบางคนถึงกับกล่าวเย้ยหยันว่า เรื่องของนินจาเป็นเพียงตำนาน!!!
แม้วิถีทางของนินจาจะดูไร้เกียรติและทำงานสกปรกในสายตาใครบางคน แต่ชื่อ ‘นินจา’ ก็ดูมีเสน่ห์ลึกลับเสมอ สามารถดึงดูดความสนใจผู้คนได้ทุกยุคสมัย วันนี้เราได้มาถึงหมู่บ้านนินจาอิงะแล้ว และได้ชมการแสดงของนินจารุ่นใหม่ เหมือนการปลุกชีวิตนินจาอิงะขึ้นมาให้ได้ชมอย่างสนุกตื่นเต้น!
นินจาเป็นนักรบในเงามืดที่ต้องเชี่ยวชาญการใช้อาวุธทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นดาบ มีด เคียว กระบองคู่ หอก ง้าว สามง่าม หน้าไม้ ธนู มีดสั้น เข็มพิษ ลูกดอกอาบยาพิษ ดาวกระจาย และอีกมากมาย โดยนินจาอิงะจะแบ่งเป็น 3 ระดับความเก่ง ไล่ตั้งแต่เก่งมากสุดไปจนถึงเก่งน้อย คือ โจนิน (Jonin) เป็นพวกเก่งสุด ชูนิน (Chunin) เป็นพวกเก่งกลางๆ และ เงนิน (Genin) เป็นพวกเก่งน้อยสุด ต้องฝึกอีกเยอะว่างั้น
การปีนป่ายขึ้นที่สูงด้วยอุปกรณ์ง่ายๆ อย่างเชือกและตะขอ รวมถึงการปีนด้วยตัวเปล่า (คล้ายวิชาตัวเบาในหนังจีน) คือสิ่งที่นินจาทุกคนต้องฝึกจนชำนาญ
ดาวกระจายคมกริบ คืออาวุธสังหารที่ถือเป็น Signature ของนินจาเลยก็ว่าได้ เพราะสามารถซัดได้จากระยะไกล ทั้งเพื่อป้องกันตัว ใช้ถ่วงเวลาเพื่อหนี ทำให้ศัตรูหวาดกลัว และเพื่อสังหาร! การแสดงของอิงะนินจาวันนี้ เขาใช้ดาวกระจายจริงๆ ที่คมกริบ ทดลองซัดให้ดูเห็นๆ ขอบอกเลยว่าถ้าคนโดนเข้าไปคงไม่รอด!
ในการรบของนินจา อาวุธทำลายล้างแรงสูงชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กัน คือ ธนูติดระเบิด! ใครโดนเข้าไป แหลกชัวร์!!!
โชว์การต่อสู้ของนินจา ต้องอาศัยความทักษะ ความว่องไว และความกล้าอย่างมาก เพราะใช้อาวุธจริงกันเลยนิ
แค่มีเชือกเส้นเดียวก็สามารถแย่งดาบจากศัตรูมาได้ และท้ายที่สุดสามารถสังหารศัตรูได้ด้วยดาบของศัตรูเอง นี่คือสุดยอดนินจาอิงะ
โชว์น่าตื่นเต้นอีกอย่างคือ การสาธิตใช้ดาบคาตานะ (ดาบซามูไรญี่ปุ่น) ฟันท่อนฟางให้ขาด 3 ท่อน แบบเนียนๆ ภายในพริบตาแค่ไม่เกิน 3 วินาที!!!
ตลอด 30 นาที ของการดูโชว์ เต็มไปด้วยความสนุก ตื่นเต้น เร้าใจ ปนอารมณ์ขัน ไม่มีคำว่าน่าเบื่อเลย แต่เขาห้ามถ่ายภาพนะครับ เพื่อไม่ให้ไปรบกวนสมาธินักแสดง เพราะเขาใช้อาวุธจริงแสดงทั้งหมด ใครที่พาเด็กไปดูด้วย ก็ต้องจับลูกหลานคุณไว้ให้ดี ส่วนใครที่อยากถ่ายภาพจริงๆ ก็ต้องขออนุญาตให้ถูกต้องก่อน
เมื่อชมโชว์นินจาจบแล้ว ก็ได้เวลาเข้าชมบ้านของนินจา ซึ่งต่างจากบ้านคนธรรมดานะจะบอกให้ เพราะในบ้านมีค่ายกล ห้องลับ และที่หลบซ่อน ทางหนีมากมาย จนศัตรูที่บุกเข้ามางงงวย นินจาจึงหนีออกไปได้ หรือสามารถย้อนกลับมาจัดการกับผู้บุกรุกได้สบายๆ
แม้แต่พื้นบ้านของนินจาก็ใช้แอบซ่อนดาบสั้น ดาวกระจาย เงิน และตะปูเรือใบ เพื่อใช้ในการต่อสู้หรือหลบหนีแบบฉุกเฉิน ถ้าคุณคิดจะบุกเข้าไปฆ่านินจาในบ้านของพวกเขาด้วยดาบคาตานะอย่างยาวล่ะก็ อย่าหวัง เพราะบ้านนี้มีเพดานเตี้ยมาก และมีคานเพดานถี่ การใช้ดาบยาวในบ้านจึงไม่คล่องตัว ต้องใช้ดาบสั้นแทนนะจ๊ะ
ก่อนอำลา ถ่ายภาพกับเหล่านินอิงะนินจา โดยเฉพาะพี่นินจาชุดดำ แหม ทาคิ้วเข้มเหมือนกับจะไปเล่นงิ้วแน๊ะ ฮาฮาฮา
ออกจากหมู่บ้านนินจาอิงะ เรานั่งรถยิงยาวขึ้นไปทางเหนือของมิเอะ จนถึง เมืองคุวานะ (Kuwana) เพื่อกินข้าวเที่ยง และช้อปปิ้งรอ เตรียมขึ้นเครื่องบินกลับบ้านที่สนามบินนาโงย่าในตอนค่ำ และคงจะไม่มีสถานที่ไหนดีไปกว่าการไปช้อปปิ้งทิ้งท้ายที่ Mitsui Outlet Park Jazz Dream Nagashima เอาท์เล็ทที่มีสินค้าแบรนด์เนมละลานตาในราคาพิเศษ ให้เลือกกันอย่างจุใจ
เอาท์เล็ทแห่งนี้เปรียบเสมือนเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง ที่เราสามารถเดินช้อปปิ้งกันได้ทั้งวัน เพราะมีสินค้าทั้งของเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง ผู้ชาย ให้เลือกกันนับร้อยๆ แบรนด์
ใช้เวลาอยู่ที่นี่อย่างต่ำต้อง 3-4 ชั่วโมง หรือต้องจัดให้ครึ่งวันไปเลย จะได้สะใจ ไม่ต้องรีบร้อน
เย็นมากแล้ว เรามุ่งหน้าไปอำลามิเอะกันที่แหล่งท่องเที่ยวสุดอลังการงานสร้าง ซึ่งมีการประดับประดาไฟในฤดูหนาวอย่างยิ่งใหญ่ ถือว่าสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นเลย คือ Nabana No Sato สวนพฤกษศาสตร์สวย 4 ฤดู ที่เที่ยวชมได้ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยเฉพาะจุดเด่นคือ ‘อุโมงค์ไฟฤดูหนาว’ ที่เหมือนช่องทางเดินขึ้นสู่สวรรค์
แต่ก่อนฟ้าจะมืดและไฟจะเปิดโชว์เต็มที่ ก็ได้เวลา Dinner ปิ้งย่างส่งท้ายทริปกันซะก่อน
ร้านอาหารของ Nabana No Sato บรรยากาศดีเยี่ยม
ยกมาเสิร์ฟแล้ว กับสารพัดเมนูปิ้งย่าง ที่เติมได้ตลอด
Nabana No Sato เป็นสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ งดงามทั้ง 4 ฤดู มีดอกไม้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเบ่งบานให้ชมไม่รู้เบื่อ อย่างดอกไฮเดรนเยียในต้นฤดูร้อน ทุ่งคอสมอสในต้นฤดูใบไม้ร่วง และช่วงฤดูใบไม้ผลิเด่นด้วยดอกซากุระ ทิวลิป กุหลาบ แด๊ฟโฟดิล ฯลฯ บานสะพรั่ง ทว่าไฮไลท์จริงๆ อยู่ที่ การประดับไฟในฤดูหนาว (Winter Illumination) ที่มีหลอดไฟกว่า 200 ล้านหลอด และอุโมงค์ไฟอันน่าตื่นตา!
โรแมนติกสุดๆ ถ้ามาเป็นคู่
เดินเที่ยวชมภายในสวนอันกว้างใหญ่ ทุกแห่งหนล้วนประดับไฟสว่างไสวเรืองรอง
แม้แต่สวนดอกไม้ก็ยังเที่ยวชมได้ในยามราตรี เมื่อมีแสงไฟมาช่วยเติมแต่งให้สว่างไสวขึ้น
ภาพนี้บอกไม่ถูกเลย ว่าคนหรือดอกไม้ ใครสวยกว่ากัน
เดินเที่ยวสวน Nabana No Sato ในคืนพระจันทร์เต็มดวง อากาศเย็นสบายกำลังดี และมีดอกไม้เบ่งบานอยู่รอบๆ ตัว นี่สวรรค์หรือโลกมนุษย์กันแน่นะ?
อีกจุดที่มีชื่อเสียงโด่งดังของ สวน Nabana No Sato คือโรงเรือนปลูกต้นบีโกเนีย (Begonia) เขาไม่ได้ปลูกกันแค่ต้นสองต้น แต่ะปลูกกันเป็นหมื่นๆ ต้น! ทั้งแบบใส่กระถางลงดิน และแบบห้อยระย้าลงมาจากเพดาน ละลานตาด้วยสีสัน Colorful ทำให้รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่งเลยก็ว่าได้
จะเดินถ่ายภาพให้จุใจ หรือนั่งเฉยๆ ปล่อยอารมณ์ไปกับดอกบีโกเนียรอบตัว ก็เอาที่สบายใจเลย
สวยจริง สวยจัง ทั้งดอกไม้ทั้งคน
นอกจากดอกบีโกเนียแล้ว ในโรงเรือนอื่นๆ ก็ยังมีดอกไม้นานาชนิดให้ชื่นชม โดยเฉพาะดอกทิวลิปหลากสี
มุมน่ารักๆ เก๋ๆ มีให้เดินเก็บภาพนับไม่ถ้วน
สุดท้ายคือโรงเรือนพรรณไม้เขตร้อน จำพวกเฟิน (Fern) อย่างในภาพนี้คือ เฟินต้น (Tree Fern) เป็นเฟินขนาดใหญ่มีลำต้นสูงเหมือนมะพร้าว และจัดเป็นเฟินโบราณที่มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่ยุคจูราสสิก ครั้งที่ยังมีไดโนเสาร์เดินดุ่มๆ อยู่บนโลกโน่นเลย!
มาถึงแล้ว ไฮไลท์ของสวนพฤกษศาสตร์ Nabana No Sato คือ อุโมงค์ไฟ Winter Illumination ที่จะประดับประดาให้ชมกันเฉพาะฤดูหนาวเท่านั้น โดยอุโมงค์ไฟนี้ยาว 200-300 เมตร เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวถ่ายภาพกันมากที่สุด จึงต้องแบ่งๆ กันนะจ๊ะ ใจเย็นๆ จะได้ภาพสวยกันครบทุกคน
ภาพแห่งความประทับใจของเราสองคนเนอะ
ไฮไลท์อีกอย่างของ Nabana No Sato คือสวนไฟนับแสนๆ ดวง ที่จัดแสดงเป็นภาพเคลื่อนไหวควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ โดยปีนี้มีคอนเซ็ปต์นำตัวการ์ตูนชื่อดัง Kumamon เจ้าหมีสีดำแก้มแดงอันแสนน่ารัก มาเป็นตัวพระเอกดำเนินเรื่อง นำเราท่องเที่ยวมิเอะใน 4 ฤดู งดงามอลังการ หาชมได้ยากจริงๆ
นอกจากอุโมงค์ไฟ สวนไฟ และโรงเรือนดอกไม้นับร้อยๆ ชนิดแล้ว การเดินชมแสงไฟที่ประดับอยู่ทั่วสวนและสระน้ำในยามราตรี ก็เป็นอีกหนึ่งความประทับใจที่หาชมไม่ได้ในบ้านเรา
หอคอยจานบิน (อันนี้เราตั้งชื่อเอง) ให้คนขึ้นไปอยู่ข้างบน จากนั้นเสาจะยกตัวขึ้น พร้อมกับจานบินหมุนไปรอบๆ อย่างช้าๆ กลางอากาศ ให้เราได้ชมวิว 360 องศา ของดวงไฟนับล้านที่ประดับสวนในยามราตรี Amazing!
ปิดท้ายลงอย่างน่าประทับใจ กับทริปเที่ยวจังหวัดมิเอะ 4 วัน 3 คืน ทำให้เราได้เห็นญี่ปุ่นในมุมมองที่ต่างไป ภาพของธรรมชาติงดงาม มิตรไมตรีของผู้คน อาหารแสนอร่อย ที่พักอุ่นสบาย และการช้อปปิ้งสุดมันส์ ทำให้เราบอกตัวเองว่า ต้องกลับมามิเอะอีกรอบแล้วรอบเล่า เพราะที่ได้สัมผัสมาใน 4 วันนี้ มันแค่เสี้ยวเดียวของมิเอะ ยังมีสถานที่แปลกใหม่น่าสนใจรอเราอยู่อีกนับไม่ถ้วน
แล้วเราจะกลับมาอีกนะ ดินแดนอันแสนน่ารักนามว่า ‘มิเอะ’
Special Thanks : บริษัท เวิล์ดโปร แทรเวิล จำกัด (World Pro Travel Co., Ltd.) สนับสนุนการเดินทางจัดทำสารคดีเรื่องนี้เป็นอย่างดีเยี่ยม
สนใจไปเที่ยวมิเอะ ติดต่อ โทร. 0-2026-3372, line id : wpoutbound หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.worldprotravel.com/tour-program
และ www.facebook.com/WorldProTravel หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ outbound@worldprotravel.com
Explore Mie, Miracle of Kansai (Episode 3)
วันที่ 3 ของการเดินทางท่องเที่ยวในดินแดนแสนสุขของ จังหวัดมิเอะ (Mie) ดูเหมือนว่าความเข้มข้นของความสนุกสนานและสวยงาม จะยิ่งทวีขึ้นจนทำให้เราแปลกใจ เพราะมิเอะเป็นเมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลายจริงๆ แหม หลงไปเที่ยวที่อื่นอยู่ซะตั้งนาน ทำไมไม่รู้จักมิเอะก่อนหน้านี้นะ ฮาฮาฮา
วันนี้ช่วงเช้า เราขอย้อนยุคกลับไปเป็นเด็กกันอีกครั้ง เพื่อเข้าไปเที่ยวใน ‘สวนสนุก Theme Park Espana’ ซึ่งอันที่จริงแล้วก็เป็นเจ้าของเดียวกับโรงแรม Shima Spain Mura และอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันด้วย สามารถเดินจากโรงแรมไปแค่ 5 นาทีถึง หรือจะนั่งรถ Shuttle Bus ของเขาที่มีรับส่งเป็นรอบๆ ได้อย่างสบาย
แค่เดินพ้นปากประตูเข้ามานิดเดียว ก็ถึงกับต้องร้องโอ้โหอ้าหา! เมื่อเห็นสถาปัตยกรรมที่จำลองอาคารในประเทศสเปนมาไว้ในมิเอะได้อย่างแนบเนียน และยิ่งใหญ่อลังการจริงๆ บวกกับวันนี้ฟ้าใสอากาศเป็นใจด้วย ได้ยินเสียงชัตเตอร์กล้องรัวกันไม่หยุดเลย
จากนั้นก็เดินตรงเข้าสู่ ถนนสเปน หรือ Espana Avenue ที่มีร้านรวงขายของที่ระลึกน่ารักๆ เรียงรายอยู่สองฟากฝั่ง บางคนอดใจไม่ไหว ต้องเข้าไปชมอยู่นานสองนาน
สวนสนุก Theme Park แห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก ถ้าจะเที่ยวกันให้ทั่วขอบอกเลยว่าต้องใช้เวลา 1 วันเต็ม เพราะนอกจากจะมีอาคารสวยๆ สไตล์สเปนให้ชม ให้ถ่ายภาพกันอย่างจุใจแล้ว ยังมีโซนเครื่องเล่นเจ๋งๆ กระจายอยู่อีกมากมาย ทั้งรถไฟเหาะตีลังกาแบบนั่งห้อยขาสุดเสียว, เรือไวกิ้ง, รถไฟลอยฟ้า, ม้าหมุน, ล่องเรือผจญภัย ฯลฯ รวมถึงมีโรงละคร โรงภาพยนตร์ ปราสาทจำลอง และร้านกาแฟ ร้านขนมอร่อยๆ เปิดบริการทุกวัน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่มากันเป็นครอบครัว
เห็นอาคารสวยๆ แบบนี้ ถ้าไม่บอกว่าอยู่ในญี่ปุ่น คงนึกว่าอยู่ในสเปนจริงๆ นะเนี่ย
ที่นี่มีมุมให้โพสต์ท่าถ่ายภาพกันนับไม่ถ้วน เพราะเขาใส่ใจในรายละเอียด และนำความ Art เข้ามาผสานผสมได้อย่างกลมกลืนมาก
กระเบื้องโมเสกสุดสวยได้รับการเนรมิตขึ้นเป็นงานศิลปะอันแปลกตา
นี่ไง Roller Coaster แบบนั่งห้อยขา ซึ่งถือเป็นที่สุดของที่สุดสำหรับเครื่องเล่นในสวนสนุก Theme Park แห่งนี้ หลายคนที่เคยเล่นบอกว่ามันเสียวกว่าแบบธรรมดาหลายเท่า เพราะเหมือนกับเรานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่แล่นไปตามราง ไม่ใช่การเข้าไปนั่งในขบวนรถไฟเหาะแบบทั่วไปนะสิ ยิ่งตอนที่ถึงช่วงตีลังกาหลับหัวเหวี่ยงไปมายิ่งเสียวสุดๆ มันจึงไม่เหมาะสำหรับคนกลัวความสูง เกลียดความเสียว หรือคนใจอ่อน อย่างแน่นอน!
เจอจังหวะนี้เข้าไป พูดไม่ออก กรี๊ดกันสนั่น!!!
เรือไวกิ้งก็เสียวไม่แพ้รถไฟเหาะตีลังกาเหมือนกัน!
รถไฟลอยฟ้าน่ารักๆ ธรรมดา ชิลๆ สำหรับพ่อแม่พาลูกเล็กๆ นั่งเล่น ไม่เสียว ก็มีเหมือนกัน
ใช้เวลาอยู่ที่สวนสนุกกันกว่าครึ่งวันจนหมดแรง ได้เวลาไปเติมพลังกันแล้ว กับอาหารรสเลิศจากท้องทะเลที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของ เมืองชิมะ (Shima) จังหวัดมิเอะ ได้เป็นอย่างดี เพราะแถบนี้มีชายฝั่งเว้าแหว่งเป็นอ่าวน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน คลื่นลมค่อนข้างสงบ น้ำใสแจ๋ว แต่ก็มีแพลงก์ตอนและธาตุอาหารในน้ำอยู่อย่างอุดม จึงมีสัตว์น้ำชุกชุมมาก
ตรงที่น้ำตื้นๆ ใกล้ฝั่ง เราจะเห็นสาหร่ายหลายชนิดเติบโตขึ้นรับแสงแดดอุ่น ความใสของน้ำทะเลที่นี่ไม่ต่างจากแก้วคริสตัลเลยจริงไหม?
อาหารเที่ยงวันนี้พิเศษสุดๆ ไม่ใช่ภัตตาคารใหญ่ ไม่ใช่ร้านอาหารหรู ไม่ได้มีดาวระดับมิชิลินสตาร์ ทว่าเป็นร้านเล็กๆ ชื่อ ‘Maruzen Suisan’ หรือ ‘ฟาร์มหอยนางรม มารูเซน’ ตั้งอยู่ในหมู่บ้านชาวประมงเมืองชิมะ เราต้องจอดรถไว้ แล้วเดินเข้าไปที่ร้าน ระยะทางราวๆ 200-300 เมตร ระหว่างทางได้เห็นวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวประมงญี่ปุ่น อันเงียบสงบเรียบง่าย และผูกพันอยู่กับท้องทะเลทุกเมื่อเชื่อวัน
ฟาร์มหอยนางรม มารูเซน ตั้งอยู่ในเวิ้งอ่าวโทบะ (Toba) ของเมืองชิมะ ซึ่งเป็นเวิ้งอ่าวเล็กๆ โอบล้อมด้วยรรมชาติ แมกไม้ และหมู่บ้านชาวประมงขนานแท้ ความใสสะอาดของน้ำที่นี่ ทำให้ชาวบ้านสามารถเลี้ยงหอยนางรมตัวใหญ่อ้วนพี และดูเหมือนว่าเราจะมากินหอยกันถูกฤดูกาลเผงเลย เพราะเขาบอกว่าช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ต่อต้นเดือนมีนาคม ซึ่งเราไปถึงนั้น หอยนางรมจะอร่อยที่สุด ว้าว!
เรือประมงของชาวญี่ปุ่นเขาไฮโซไม่น้อย ไม่ใช่เรือตังเกไม้ตะเคียนทองแบบบ้านเรา แต่เป็นเรือเหล็กเรือไฟเบอร์ซึ่งเห็นทีแรกนึกว่าเรือยอร์ช ฮาฮาฮา
หอยนางรมของฟาร์มมารูเซนตัวใหญ่อวบอ้วน เนื้อขาวนวลแบบที่เห็น เมื่อเก็บมาจากกระชังแล้ว ก็จะมีแผนกแกะไปทำอาหารตามเมนูที่ลูกค้าสั่ง แต่อีกส่วนหนึ่งก็ไม่ได้แกะออกจากเปลือก แต่จะให้ลูกค้าเอาไปย่างเอง เพื่อความสนุกสนานในการกิน
คุณป้าใจดีแกะหอยนางรมสดๆ ออกจากเปลือกโชว์ให้เราดู โอ้โห! น่าหม่ำ!
คุณลุงเจ้าของฟาร์มหอยนางรม มารูเซน โชว์หอยที่เขาเลี้ยงมากับมือด้วยความภูมิใจ แม้จะคุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะคุณลุงพูดแต่ภาษาญี่ปุ่น แต่รอยยิ้มและมิตรไมตรีที่มีให้ ก็ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลมาชิมกันไม่ขาดสาย แต่ขอบอกเลยว่าถ้า Walk In เข้ามาอาจไม่ได้กิน ต้องโทรจองล่วงหน้า เพื่อให้คุณลุงออกเรือไปเก็บหอยมาเตรียมไว้ก่อนนะสิ แบบนี้ถึงจะเรียกว่า Local จริงๆ น่ารักมาก
ความพิเศษของร้านคุณลุง คือไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นดิน แต่ร้านที่ให้ลูกค้านั่งกินหอยนั้น อยู่บนโป๊ะลอยน้ำขนาดใหญ่อย่างที่เห็นในภาพ ข้างในมีโต๊ะเรียงราย พร้อมเตาย่างหอยนางรม ซึ่งบางเตาใช้ถ่านเพิ่มกลิ่นหอม และบางเตาก็เป็นเตาไฟฟ้าแบบใหม่ ทีนี้หลายคนสงสัยว่าเกิดมาไม่เคยกินหอยนางรมย่าง เพราะคนไทยเรากินแต่หอยนางรมสด ญี่ปุ่นเขาเลยมีนาฬิกาจับเวลาไว้ให้ทุกโต๊ะ ตั้งเวลาไว้ที่ 9 นาทีเท่ากันหมด พอเริ่มย่างหอยก็กดปุ่มนาฬิกา เมื่อครบ 9 นาที มันก็จะร้องเตือนปิ๊ปๆๆๆ เปิดฝาครอบออกมา หอยสุกกินได้พอดี เอ้อ เจ๋งอ่ะ!
ร้านนี้เปิดทุกวัน วันธรรมดาตั้งแต่เวลา 11.00-12.20 น. และ 12.40-14.00 น. ส่วนวันเสาร์อาทิตย์มีหลายรอบ คือ 10.50-12.10 น. / 12.30-13.50 น. และ 14.10-15.30 น. ให้เวลากินรอบละ 80 นาที แบบไม่อั้น กินได้เท่าไหร่กินกันเข้าไปเลย ยกมาเพิ่มตลอด โดยเขาจะใส่หอยนางรมสดมาให้ทีละถาดแบบที่เห็นในภาพ ใต้โต๊ะมีกาละมังใบใหญ่ไว้ให้ใส่เปลือกหอยที่แกะแล้ว ส่วนอุปกรณ์การกินก็มีให้ครบ ทั้งผ้ากันเปื้อน ถุงมือกันร้อน มีดแงะหอย ที่คีบ แต่ไม่มีน้ำจิ้มให้นะ ฮาฮาฮา (อาจต้องแอบเอาน้ำจิ้ม Seafood ไปเอง)
สำหรับใครที่ไม่เคยแงะหอยนางรมสดออกจากเปลือก อาจต้องออกแรง และใช้เวลาฝึกนิดนึง แต่พอแงะไปสักตัวสองตัวก็จะชำนาญเองจ้า
วิธีกินก็ไม่ยากไม่ง่าย เอาหอยนางรมสดทั้งตัว (ที่ยังมีเปลือก) ย่างไว้บนเตา ปิดฝาเหล็กครอบไว้ 9 นาที (บางคนบอก 7 หรือ 8 นาทีพอ ไม่งั้นมันจะสุกไป ไม่นิ่ม) หลังจากนั้นก็เปิดฝาครอบ ใช้มีดแงะเนื้อมากินได้เลย
ภาพนี้คงไม่ต้องบรรยาย สด ตัวใหญ่ เนื้อนุ่ม หวานมากๆๆๆๆๆ
อิ่มเอมเปรมปรีกันจนพุงกางกับหอยนางรมไม่รู้กี่ตัวที่ลงไปอยู่ในท้องขณะนี้ เมื่ออิ่มท้องแล้ว ก็คงต้องไปอิ่มตาอิ่มใจกันด้วย เราเลยนั่งรถเลียบชายทะเลของอ่าวโทบะ ต่อไปยังแหล่งท่องเที่ยวที่ใครหลายคนใฝ่ฝันอยากไปเยือนสักครั้ง! อ้าว พูดอย่างนี้ไม่ได้โอเวอร์นะ เพราะสถานที่ที่เรากำลังเดินทางไป คือ ‘เกาะไข่มุกมิกิโมโต้’ (Mikimoto Pearl Island) เป็นฟาร์มไข่มุกชั้นนำของโลก และกล่าวกันว่าสามารถผลิตไข่มุกคุณภาพดีที่สุดของโลกขึ้นได้นั่นเอง!
วันนี้ทางมิกิโมโต้รู้ว่าเราจะไปเยือน จึงจัดเตรียมชักธงชาติไทยขึ้นคู่กับธงชาติญี่ปุ่นเพื่อต้อนรับ นับเป็นการให้เกียรติกันอย่างสูงเลย
นี่คือเกาะไข่มุกมิกิโมโต้ เกาะซึ่งมีการเลี้ยงหอยมุกครั้งแรกโดย คุณลุงโคคิชิ มิกิโมโต้ เมื่อปี ค.ศ. 1893 นับเป็นฟาร์มหอยมุกในเชิงอุตสาหกรรมที่ประสบความสำเร็จแห่งแรกในญี่ปุ่น เพราะก่อนหน้านั้นในอดีต คนญี่ปุ่นใช้ไข่มุกเพื่อเป็นเครื่องประดับ และนำมาบดทำยารักษาโรค โดยมีการเพาะเลี้ยงหอยมุกกันเป็นฟาร์มขนาดเล็กเท่านั้น และแน่นอนว่าไม่มีการส่งออกไปขายต่างประเทศด้วย
การเข้าถึงเกาะไข่มุกมิกิโมโต้ เราต้องเดินข้ามสะพานทางเชื่อมเหนือทะเลเข้าไป โดยบนเกาะแบ่งเป็น 4 โซน ให้เที่ยวชม คือ ลานไข่มุก, พิพิธภัณฑ์ไข่มุก, จุดแสดงหญิงนักประดาน้ำหาไข่มุก อามะซัน และสุดท้ายคือ หอรำลึกเกียรติประวัติคุณลุงโคคิชิ มิกิโมโต้ ผู้ก่อตั้งฟาร์มไข่มุกแห่งนี้ขึ้นโฉมหน้าของ คุณลุงโคคิชิ มิกิโมโต้ (ท่านมีชีวิตอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1858-1954) ท่านเกิดในร้านบะหมี่ชื่อ Awako ของบิดา บริเวณอ่าวโทบะ จากนั้นเมื่ออายุ 20 ปี ท่านก็เข้าไปทำงานในกรุงโตเกียว ได้เห็นการค้าขายสินค้าทางทะเลจากเมืองโยโกฮาม่า อย่างพวกหอยเป๋าฮื้อและปลิงทะเลตากแห้ง ท่านจึงตัดสินใจเร่ิมต้นอาชีพพ่อค้าของทะเลจากบ้านเกิด และสุดท้ายก็เข้าสู่ธุรกิจฟาร์มเลี้ยงหอยมุก ด้วยวิสัยทัศน์ที่ว่าหอยมุกมีคุณค่าและมีมูลค่าสูงกว่าของทะเลตากแห้งหลายร้อยเท่า โดยในช่วงเริ่มต้นทำฟาร์มหอยมุกนั้น ท่านได้คำแนะนำอย่างดีจากผู้เชี่ยวชาญชื่อ Narayoshi Yanagi
ในช่วงที่คุณลุงโคคิชิ มิกิโมโต้ เร่ิมทำฟาร์มหอยมุกนั้น เป็นยุคเมจิซึ่งญี่ปุ่นเริ่มเปิดประเทศรับอารยธรรมตะวันตกแล้ว และเกิดวิกฤตขึ้นอย่างหนึ่งบริเวณอ่าวโทบะบ้านเกิดท่าน คือมีการจับสัตว์ทะเลและหอยมากเกินไป จนพวกมันแทบหมดสิ้น! โดยเฉพาะหอยมุกนั้นไม่มีเหลือในธรรมชาติอีกเลย ฟาร์มของท่านจึงสร้างแรงบันดาลใจในการฟื้นฟูสภาพธรรมชาติขึ้นมา ควบคู่กับการทำฟาร์มเพาะเลี้ยงค้าขายอย่างประสบความสำเร็จ
หลังศึกษาค้นคว้าอยู่นาน ท่านก็พบว่าจากบรรดาหอยมุกกว่า 100,000 ชนิดที่มีอยู่ทั่วโลก มีหอยมุกอยู่แค่ 6 ชนิด ที่ให้ไข่มุกสวยที่สุด ทั้งสีดำ สีขาวนวล สีทอง และสีฟ้า แต่พันธุ์ที่ถือว่าให้ไข่มุกสวยที่สุดในโลก คือ หอยมุก Akoya (ชื่อวิทยาศาสตร์ Pinctada fucata) เพราะจะได้ไข่มุกเม็ดโต ทรงกลมสมบูรณ์ สีสันสวยงาม และมีความแววาวในเนื้อ อย่างหาที่เปรียบมิได้!
นับจากวันนั้นจวบจนวันนี้ ก็ครบ 160 ปีแล้ว ที่ชื่อไข่มุกมิกิโมโต้ ได้ผงาดขึ้นมาในวงการเครื่องประดับและไข่มุกของโลก โดยร้านที่ท่านเปิดขายแห่งแรกอยู่ในย่านกินซ่า ของมหานครโตเกียว การทำธุรกิจของคุณลุงโคคิชิ มิกิโมโต้ ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่แค่การขายไข่มุกเป็นเม็ดๆ ทว่าท่านได้ส่งพี่ๆ น้องๆ ไปเรียนการทำเครื่องประดับถึงโรงเรียนในยุโรป เพื่อกลับมาทำคอลเลกชั่นเครื่องประดับไข่มุกของตนเอง นับว่าท่านเป็นคนที่มี Vision มาก
คณะนักท่องเที่ยวจาก บริษัท เวิล์ด โปร แทรเวิล จำกัด ถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึก ด้านหน้าอนุสาวรีย์ท่านโคคิชิ มิกิโมโต้
ได้เวลาไปชมการแสดง การดำน้ำงมหอยมุกของเหล่าหญิงนักดำน้ำโดยไม่ใช้ถังอากาศแห่งมิเอะ เรียกว่า ‘อามะ’ (Ama) เป็นอาชีพเก่าแก่อันมีเกียรติ และอยู่คู่กับฟาร์มไข่มุกมิกิโมโต้มาตั้งแต่ต้น เพราะพวกเธอคือคนที่ดำน้ำนำแม่หอยมุกลงไปไว้ที่ก้นทะเล เพื่อเลี้ยงให้มันเติบโตค่อยๆ สร้างไข่มุกขึ้น หรือในเวลาที่มีพายุคลื่นลมแรงมากๆ พวกเธอก็ต้องดำน้ำลงไปย้ายหอยมุกเข้าสู่บริเวณที่ปลอดภัย และเมื่อหอยมุกโตได้ที่ ถึงเวลาเก็บมาขาย ก็พวกเธออีกนั่นล่ะที่ต้องดำน้ำลงไปงมขึ้นมา ขอนับถือเลยอามะ
การสาธิตดำน้ำตัวเปล่าของเหล่าอามะนี้ แม้จะเป็นแบบง่ายๆ แต่ก็น่าสนุก และช่วยให้เราได้เห็นถึงความยากลำบาก ความเสี่ยงอันตราย ในอาชีพใต้น้ำนี้เป็นอย่างดี ในอดีตว่ากันว่าที่มิเอะมีอามะอยู่เป็นพันคน พวกเธอมีทั้งสาวน้อยสาวใหญ่และคุณป้าคุณยายวัยดึก! สามีออกเรือประมงไปจับปลา พวกเธอก็ดำน้ำเก็บหอยเป๋าฮื้อ กุ้งมังกร สาหร่ายทะเล ปลิงทะเล หอยสังข์ กัลปังหา และหอยมุก ขึ้นมาขายเลี้ยงชีพ
กระทั่งฟาร์มไข่มุกมิกิโมโต้เปิดตัวขึ้นอามะส่วนหนึ่งจึงได้มาช่วยงานในฟาร์มอย่างถาวร แม้ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าขึ้นมาก และอาชีพดำน้ำตัวเปล่าไม่ใช้ถังอากาศของอามะแทบจะหายไปแล้ว ฟาร์มไข่มุกมิกิโมโต้ก็ยังเป็นแหล่งสุดท้ายในมิเอะ ซึ่งเราจะสามารถเห็นอามะในชุดผ้าสีขาวแบบดั้งเดิมได้ (ข้างในใส่ Wet Suit สีขาวเพื่อกันหนาว เพราะน้ำที่นี่เย็นมาก) นับเป็นการอนุรักษ์อาชีพดั้งเดิมของอ่าวโทบะและจังหวัดมิเอะเอาไว้
เคยมีคนสงสัยกันว่า ทำไมอาชีพนักดำน้ำตัวเปล่าแบบนี้ต้องให้ผู้หญิงทำ ทั้งๆ ที่มันอันตรายจะตายไป เหตุผลเขามีอยู่คือ สามีของพวกเธอจะออกเรือประมงไปจับปลา และพวกเธอก็ต้องช่วยดำน้ำเป็นอาชีพเสริมเลี้ยงครอบครัว นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า ผู้หญิงมีชั้นไขมันใต้ผิวหนังหนากว่าผู้ชาย จึงทนความเย็นจัดของน้ำทะเลในบริเวณนี้ได้! อีกทั้งผู้หญิงยังมีความจุปอดมากกว่า สามารถกลั้นหายใจดำน้ำได้นานกว่าผู้ชายนะสิ
อามะแต่ละคนจะมีอุปกรณ์ประจำตัว คือนอกจากชุดสีขาวที่สวมใส่แล้ว (สีขาวทำให้ปลาฉลามกลัว และไม่เข้ามาทำร้ายอามะ) ยังมีหน้ากากดำน้ำ มีด แชลงอันเล็กๆ สำหรับแงะหอยออกจากโขดหินหรือแนวปะการังใต้น้ำ รวมทั้งยังมีถังไม้ลอยน้ำได้ เอาไว้ใส่หอยและสัตว์ทะเลที่หาได้นำกลับเข้าฝั่ง
อาชีพดำน้ำตัวเปล่า หรือ Free Diving ของอามะ นับเป็นหนึ่งในอาชีพอันตรายที่สุดในโลก! เพราะพวกเธอสามารถตายได้ทุกขณะจากภยันตรายใต้น้ำ ไม่ว่าจะเป็นถูกสัตว์ทะเลมีพิษทำร้าย, ขาดอากาศจนหมดสติใต้น้ำ จมน้ำ, ปอดฉีก, เป็นตะคริว หรือถูกโขดหินใต้น้ำที่กำลังแงะหอยถล่มใส่! พวกเธอจึงต้องมีการฝึกฝนเรียนรู้สร้างความปลอดภัยให้ตัวเองด้วย อย่างเช่น พวกเธอจะไม่ดำน้ำลึกเกิน 6 ช่วงตัวของความสูงตัวเอง แต่อามะบางคนก็เคยดำน้ำลึกกว่า 10 เมตรมาแล้ว! นอกจากนี้พวกเธอจะไม่ดำน้ำนานและลึกเกินไป เพราะจะทำให้เกิดอาการมึนงง จากการที่เริ่มมีก๊าซไนโตรเจนซึมเข้ากระแสเลือด ในขณะที่ว่ายกลับขึ้นสู่ผิวน้ำ พวกเธอจึงต้องว่ายอย่างช้าๆ พร้อมกับพ่นอากาศจำนวนสุดท้ายในปอดออกมาด้วย เมื่อโผล่ขึ้นถึงผิวน้ำ เราจึงมักได้ยินเสียงคล้ายนกหวีดที่พวกเธอร้องออกมา นั่นคือเทคนิคการระบายลมออกจากปอด มิให้ปอดฉีกนั่นเอง (อากาศในปอดเราจะขยายและหดตัวได้ ตามความกดในระดับน้ำลึกไม่เท่ากัน)
นี่จึงเป็นอาชีพที่เสี่ยง และน่ายกย่องสุดๆสิ่งที่อามะงมขึ้นมาได้จากท้องทะเลมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหอยเป๋าฮื้อ หอยมุก หอยเม่น ปลิงทะเล สาหร่ายทะเลต่างๆ กัลปังหา หอยสังข์ ฯลฯ อามะหลายคนในมิเอะมีอายุมากถึง 72 ปี และที่เคยมีการบันทึกไว้ อายุสูงสุดถึง 80 ปี! เราลองนึกภาพหญิงชราอายุ 80 ปี ดำน้ำลึก 10 เมตรโดยไม่ใช้ถังอากาศดูสิ! มัน Amazing แค่ไหน!!!!!!
อย่างไรก็ตาม เทคนิคในการดำน้ำของเหล่าอามะ มีทั้ง แบบดำน้ำเดี่ยว (Solo Diver) และดำน้ำคู่ (Couple Diver) โดยในแบบหลังนั้น คนที่เป็นสามีของอามะ จะนั่งรออยู่บนเรือ ปล่อยให้ภรรยาดำดิ่งลงไปทำงานใต้น้ำ โดยมีเชือกจากบนเรือผูกไว้ที่ตัวอามะด้วย สามีจะเป็นคนคำนวณว่าภรรยาดำน้ำนานเกินไป หรือลึกเกินไปหรือไม่ โดยดูได้จากความยาวเชือกที่ปล่อยออกไปนั่นเอง
อาชีพอามะมีบันทึกเก่าแก่ย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 3 และจะยังคงอยู่คู่จังหวัดมิเอะต่อไป แม้จากจำนวนมากมายในอดีต จะลดลงเหลือแค่ประมาณ 1,300 คนในปัจจุบัน แต่นี่ก็คือหนึ่งในจิตวิญาณแห่งท้องทะเล ที่ร้อยรัดผูกพันผู้คนอยู่กับเกลียวคลื่นสีคราม และความอุดมที่มหาสมุทรพัดพามาให้พวกเขาเก็บเกี่ยวเลี้ยงชีพ จนสร้างเอกลักษณ์ตัวตนขึ้นได้ในที่สุด
วันนี้ทาง Mikimoto จัดเลี้ยง Afternoon Tea พร้อมเค้กอร่อยๆ ให้พวกเราเป็นพิเศษเลย
หน้าตาดูดีมาก บอกได้เลยว่าเชฟตั้งใจแสดงฝีมือสุดๆ
เดี๋ยวนี้คนญี่ปุ่นปลูกผักชีกินกันเป็นล่ำเป็นสัน เพราะเขาบอกผักชีไทยโออิชิมากๆ ฮาฮาฮา เขาเลยนำผักชีมาประกอบกับอาหารคาว อาหารหวาน อย่างที่เราเองก็ต้องทึ่ง
ได้เวลาที่หลายคนรอคอย คือการได้ซื้อหาเป็นเจ้าของไข่มุก Mikimoto สักเม็ด หรือสักเส้น ราคาก็มีให้เลือกตั้งแต่แพงระยิบ แบบเลขศูนย์ห้าตัว ไปจนถึงราคาหลักพันบาทก็มี แล้วแต่งบประมาณของเรา โดยเขาแบ่งเป็นโซนๆ ตามราคาไว้เลย พร้อมมีใบรับประกันที่มีเลข Serial Number ให้ไว้อุ่นใจด้วย ในกรณีที่เราซื้อไข่มุกเส้นที่ราคาสูงมากๆ
ไข่มุกสีทอง ก็เป็นชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมสูง ราคาต่างกันไปตามขนาด ความแวววาว และรูปทรง
บางคนถามว่า ทำไมไข่มุก Mikimoto จึงมีราคาสูง ตอบง่ายๆ คือกว่าจะได้ไข่มุกแต่ละเม็ดนั้น ต้องใช้เวลาถึง 5 ปี เลี้ยงดูบ่มเพาะแม่หอยมุกอยู่ใต้ทะเล แต่ก่อนอื่น ต้องมีการคัดเลือกสายพันธุ์แม่หอยมุก เลี้ยงแม่หอยมุกจนเติบโต แล้วค่อยนำก้อนนิวเคลียสกลมๆ สอดเข้าไปในเนื้อหอยมุกให้มันระคายเคือง (จริงๆ เรียกว่าอาการเจ็บมากกว่า) จนมันคายสารแคลเซียมคาร์บอร์เนตรูปทรงคริสตัล ออกมาห่อหุ้มก้อนนิวเคลียสนั้น ซ้อนกันจำนวนหลายพันชั้น จนเกิดเป็นก้อนไข่มุกขึ้น!
ในจำนวน 100 เปอร์เซนต์ของหอยมุกที่เลี้ยงตลอด 5 ปี จะมี 50 เปอร์เซนต์ที่ตายไป มี 5 เปอร์เซนต์ที่เกิดผิดรูปทรงจนไม่สามารถเรียกได้ว่าไข่มุก มี 17 เปอร์เซนต์ ที่จัดเป็นไข่มุกคุณภาพต่ำ (Poor Quarlity Pearl) มีอีก 23 เปอร์เซนต์ ที่เป็นไข่มุกคุณภาพดี (Good Quality Pearl) และจะมีเพียง 5 เปอร์เซนต์เท่านั้น ที่ถือเป็นสุดยอดไข่มุกมิกิโมโต้ เรียกว่า ไข่มุกระดับ Hanadama
ทีนี้เข้าใจแล้วนะ ว่ากว่าจะได้ไข่มุกดีที่สุดในโลก 1 เม็ด มันยากลำบากแสนเข็นขนาดไหน!นอกจากจะมีเครื่องประดับไข่มุกให้ได้ซื้อหาครอบครองเป็นเจ้าของกันตามกำลังทรัพย์แล้ว Mikimoto ยังพัฒนาเครื่องสำอางนานาชนิด ที่มีส่วนผสมของไข่มุก ช่วยบำรุงผิวพรรณตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
นอกจากนี้ยังมีส่วนของพิพิธภัณฑ์ไข่มุก บอกเล่าประวัติความเป็นมาของ Mikimoto พร้อมทั้งให้ความรู้เรื่องหอยมุก ไข่มุก และวิธีการเลี้ยงอย่างละเอียดยิบ
เจ้าหญิงไข่มุกแห่งมิกิโมโต้ ฮาฮาฮา ในพิพิธภัณฑ์เขามีมงกุฎไข่มุกจำลอง เอาไว้ให้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันด้วยนะจ๊ะ
มงกุฎไข่มุกหมายเลข 2 หรือ Pearl Crown II ซึ่งมิกิโมโต้ใช้เวลาสร้างสรรค์ขึ้นถึง 14 เดือนกว่าจะสำเร็จ (สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1979) ทั้งในส่วนไข่มุกระดับสุดยอด และทองคำบริสุทธิ์ทำเป็นลวดลายเหมือนกับบนกริชของฟาโรห์ตุตันคาเมนแห่งอียิปต์
เครื่องประดับล้ำค่าหนึ่งเดียวในโลกแห่ง Mikimoto ชื่อ ‘Yaguruma’ ที่ประดับประดาด้วยไข่มุกเลอค่า เพชรแท้ และพลอยสีต่างๆ การดีไซน์มีแนวคิดนำเครื่องประดับดั้งเดิมของญี่ปุ่น 12 ชิ้น มาวางลวดลายไว้ในเครื่องประดับชิ้นนี้ชิ้นเดียว มีไว้โชว์นะจ๊ะ ไม่ได้ขาย ฮาฮาฮา
ในพิพิธภัณฑ์ยังจัดแสดงไข่มุกชนิดต่างๆ ให้ชม แต่ที่พลาดไม่ได้คือ ไข่มุกสีทอง และไข่มุกเม็ดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งได้มาจากเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎ์ธานี ของเมืองไทยเรานี่เอง!
ตัวเบาหวิว เมื่อออกจากเกาะไข่มุก Mikimoto เพราะเพื่อนๆ หลายคนได้ครอบครองสร้อยไข่มุกสมใจแล้ว! เรานั่งรถต่อไปค่อนข้างไกลนิดนึง จนถึงร้านอาหารที่จะมีน้อยคนนักได้สัมผัส เพราะเป็นบ้านของเหล่าหญิงนักประดาน้ำแห่งมิเอะ ที่เปิดเป็นร้านอาหารทะเลปิ้งย่างสดๆ ให้เราชิมกันน่ะสิ ที่นี่ชื่อ Ama Hut Satoumian อยู่ในเมืองชิมะ (Shima) นั่นเอง แต่ต้องจองก่อนนะ เพื่อให้คุณป้าอามะไปหาของทะเลมาเตรียมไว้
เจ้าของร้านและพนักงานรอต้อนรับเราอยู่แล้ว พร้อมด้วยป้ายและธงชาติไทย สร้างความตื่นเต้นให้เราตั้งแต่ยังไม่เข้าไปในร้าน ขอบคุณมากนะครับ
บอกแล้วว่ามิเอะเป็นดินแดนแห่ง Seafood! มื้อนี้เราจึงจะได้ลิ้มลอง BBQ Seafood นานาชนิด ที่เพิ่งจับกันขึ้นมาสดๆ จากทะเลเลย มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคือ Japanese Lobster หรือ Mie Lobster (กุ้งมังกรมิเอะ) ซึ่งมีอยู่เพียงแห่งเดียวในญี่ปุ่นที่จังหวัดมิเอะ
เมนูเด่น กุ้งมังกรมิเอะ (กุ้งมังกรญี่ปุ่น) ตัวหนึ่งยาวฟุตกว่า ที่สำคัญคือมากันสดๆ เป็นๆ ไม่ใช่แบบตายแช่แข็งมาให้กินนะ เพราะร้านนี้อยู่ใกล้ทะเลนิดเดียว แถมเจ้าของร้านยังเป็นชาวประมง และมีอามะนักประดาน้ำหญิงแท้ๆ มาป้ิงย่างให้เรากินกันต่อหน้าเห็นๆ เลย สุดยอด!!!!!!
อามะ (Ama) วิถีหญิงนักประดาน้ำแห่งมิเอะมีอยู่จริง และยังคงมีลมหายใจในกระท่อมริมทะเลหลังนี้
ภาพเก่าเล่าเรื่อง วิถีความสุขอันเรียบง่ายของเหล่าอามะ ในช่วงพักผ่อนหลังจากดำน้ำเสร็จ ก็ขึ้นมาปิ้งย่าง Seafood กินกัน พร้อมกับผิงไฟคลายหนาวไปด้วย
ไม่พูดพล่ามทำเพลง ป้าอามะเร่ิมปิ้งย่าง BBQ Seafood ให้เราหม่ำ ด้วยหอยเชลล์และหมึกตัวโตก่อนเลย
กินตามวิถีญี่ปุ่นแท้ๆ นั่งบนเสื่อตาตามิในกระท่อมอามะ กินป้ิงย่างอาหารทะเลสดๆ ที่เพิ่งขึ้นจากทะเล แหม โออิชิ!
ในที่สุดก็ได้เวลาที่รอคอย BBQ กุ้งล็อบสเตอร์มิเอะ ไซต์ใหญ่จริงทุกตัว แต่คุณป้าอามะให้ชิมแค่คนละ 1 ตัว พอนะจ๊ะ ฮาฮาฮา
ป้ิงย่างอยู่พักเดียว คุณป้าอามะก็แกะกุ้งล็อบสเตอร์ยักษ์ใส่จานมาให้เราเสร็จสรรพพร้อมกิน โดยแยกหัวแยกตัว และแกะเปลือกให้เรียบร้อย น่ารักจริงๆ คุณป้า
หอยเชลล์ยักษ์ กำลังเดือดปุดๆ อยู่บนเตาปิ้งย่าง รอไม่ไหวแล้ววววว!
Seafood สดๆ นานาชนิดในมื้อนี้ ทำให้เรารู้สึกว่า ได้มาถึงและเข้าถึงมิเอะอย่างแท้จริงแล้ว
หมึกย่างตัวโตจนแทบจะล้นตะแกรงปิ้ง!
นั่งกินกันไป พูดคุยกันไป คุณป้าอามะก็จะเล่าเรื่องวิถีชีวิตการดำน้ำ และเกร็ดความรู้ต่างๆ ในท้องทะเลให้ฟังด้วย (ใครรู้ภาษาญี่ปุ่นช่วยแปลให้ที)
วันนี้เราจัดหนัก Seafood กันมาทั้งวัน ตั้งแต่หอยนางรมยักษ์มื้อเที่ยง มาจนถึง BBQ Seafood ในกระท่อมอามะตอนมื้อเย็น บอกได้คำเดียวว่า ‘มิเอะคือเมืองแห่งหอยและกุ้งล็อบสเตอร์’
ความสุข และความอิ่ม ไม่เคยปราณีใคร! วันนี้เราแทบสำลักความสุขและความอิ่มอันล้นปรี่ที่มิเอะมอบให้ ขอเข้านอนอย่างมีความสุข พร้อมเที่ยวต่อในวันสุดท้ายพรุ่งนี้นะจ๊ะ
Special Thanks : บริษัท เวิล์ดโปร แทรเวิล จำกัด (World Pro Travel Co., Ltd.) สนับสนุนการเดินทางจัดทำสารคดีเรื่องนี้เป็นอย่างดีเยี่ยม
สนใจไปเที่ยวมิเอะ ติดต่อ โทร. 0-2026-3372, line id : wpoutbound หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.worldprotravel.com/tour-program
และ www.facebook.com/WorldProTravel หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ outbound@worldprotravel.com
Explore Mie, Miracle of Kansai (Episode 2)
วันที่สองของการเดินทางท่องเที่ยวใน จังหวัดมิเอะ (Mie) อากาศแจ่มใส เย็นสบายกำลังดี เดินเที่ยวได้โดยไม่ต้องใส่เสื้อกันหนาวหนาๆ อากาศสดชื่นมาก สูดหายใจได้เต็มปอด แถมอาหารเช้าที่โรงแรมก็อร่อย
เช้านี้เราออกจากโรงแรมกัน 9.00 น. มุ่งหน้าสู่ เมืองอิเสะ (Ise) เมืองติดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกที่สำคัญมากอีกเมืองหนึ่ง เพราะเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าชินโตซึ่งมีความเก่าแก่ที่สุด มีขนาดใหญ่ที่สุด และสำคัญที่สุดในประเทศญี่ปุ่น นั่นคือ ‘ศาลเจ้าหลวงแห่งอิเสะ’ (Grand Shrine of Ise) เปรียบได้กับวัดพระแก้วของบ้านเราเลยทีเดียวเชียว โดยคนญี่ปุ่นเรียกที่นี่ว่า ‘อิเสะจิงงุ’ (Ise Jingu) เพราะคำว่า ‘จิงงุ’ (Jingu) แปลว่า ‘ศาลเจ้า’ (Shrine) ถ้าคนญี่ปุ่นบอกว่าฉันจะไปจิงงุ ก็เป็นที่เข้าใจตรงกันว่าเขาจะมาสักการะศาลเจ้าหลวงแห่งอิเสะ ในจังหวัดมิเอะ นั่นเอง
จากประตูทางเข้าด้านหน้า ที่มีซุ้มประตูโทริอิขนาดใหญ่ เราต้องเดินข้ามสะพานไม้เข้าสู่ปริมณฑลอันศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าหลวงอิเสะ ซึ่งจากจุดนี้ต้องเดินผ่านผืนป่าโบราณเข้าไปอีกราวๆ 500 เมตร แต่ก็เดินเพลิน เพราะมีธรรมชาติสุมทุมพุ่มไม้ไพรพฤกษ์ให้อภิรมย์ตลอดทาง
ตลอดทางเข้าสู่ตัวศาลเจ้าหลัก เราจะผ่าน ซุ้มประตูโทริอิ 3-4 แห่ง อันเป็นตัวแทนของการเข้าสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงคนญี่ปุ่นยังเชื่อว่า ซุ้มประตูโทริอินี้มีไว้ให้นกมาเกาะ เพราะนกคือตัวแทนที่สามารถติดต่อกับเทพเจ้าอามาเทราสุ โอมิคามิ (Amaterasu Omikami) ได้ เทพีองค์นี้คือ เทพีแห่งพระอาทิตย์ ผู้ให้กำเนิดชาวญี่ปุ่นทั้งมวล คนญี่ปุ่นจึงเรียกตนเองว่า ‘ลูกพระอาทิตย์’ ยังไงล่ะ ทว่าไม่เคยมีใครเห็นหรอกนะ ว่าเทพีอามาเทราสุท่านมีพระพักตร์เป็นอย่างไร แต่ก็คงไม่จำเป็น เพราะชาวญี่ปุ่นได้ยอมรับนับถือในตัวพระองค์อย่างลึกซึ้งมาจนถึงปัจจุบัน
วันนี้มีนักท่องเที่ยวและผู้แสวงบุญชาวญี่ปุ่นเข้ามาสักการะศาลเจ้าหลวงอิเสะกันอย่างล้นหลามอย่างเคย เพราะในแต่ละปีจะมีคนมาที่นี่ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน เราจะเห็นการผสมผสานทางวัฒนธรรมเก่าใหม่ ของชุดกิโมโนอันสวยงาม กับชุดสูทแบบตะวันตกของผู้ชายที่เดินเคียงคู่กันไป นี่คือญี่ปุ่นที่ดำรงเอกลักษณ์ของตนไว้ ในขณะที่ก็มีความโมเดิร์นเข้ามาผสานอยู่ในทุกอณู
เมื่อเดินมาถึงซุ้มประตูโทริอิแต่ละอัน เราควรหยุดยืน ตั้งใจกราบและน้อมคำนับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสิงสถิตอยู่ในศาลเจ้าหลวงอิเสะ รวมถึงทำความเคารพพลังธรรมชาติในป่าโบราณผืนนี้ด้วย
เพลิดเพลินกับการเดินชมธรรมชาติสองข้างทาง ไม่ต้องเร่งร้อน เพราะเรามีเวลาอยู่ที่นี่หลายชั่วโมง
ระหว่างทางจะได้ชื่นชมต้นไม้โบราณอายุหลายร้อยปี (เขาว่าบางต้นอายุเป็นพันปี) สูงใหญ่หลายสิบเมตร ลำต้นหลายคนโอบ แผ่กิ่งก้านสาขาร่มรื่น และทรงพลัง ราวกับว่าเทพแห่งต้นไม้กำลังยืนตระหง่านคอยต้อนรับการมาเยือนของเราอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ก่อนเข้าถึงตัวศาลเจ้าหลัก จะมีจุดแวะให้เราชำระล้างมือและบ้วนปากให้สะอาด จริงๆ คือกุศโลบายคล้ายการชำระกายใจ ปลดวางสิ่งวุ่นวายจากโลกภายนอก ก่อนเข้าเฝ้าเทพเจ้านั่นเอง ซึ่งจริงๆ ความเชื่อเรื่องการใช้น้ำบริสุทธิ์ชำระล้างนี้ก็มีอยู่ในทุกอารยธรรมของโลก อย่างของอาณาจักรเขมร ก่อนเข้าไปสักการะเทพในปราสาทหิน ก็ต้องชำระล้างร่างกายในบาราย (สระน้ำ) เช่นกัน
จริงๆ แล้วศาลเจ้าหลวงแห่งอิเสะมีอาณาบริเวณกว้างขวางหลายร้อยไร่ ในบริเวณนี้มีศาลเจ้าเล็กศาลเจ้าน้อยกระจายอยู่หลายแห่ง ระหว่างทางเราสามารถแวะชมและถ่ายภาพได้ในจุดที่เขาอนุญาต
ในที่สุดก็เดินมาถึงตัวศาลเจ้าหลักของศาลเจ้าหลวงอิเสะแล้ว จุดสุดท้ายที่อนุญาตให้ถ่ายภาพได้คือตรงเชิงบันไดหินนี้ เมื่อก้าวขึ้นไปด้านบนก็ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพอีกต่อไป ต้องปฏิบัติตามด้วยนะ อย่าฝ่าฝืน เพราะจะมีเจ้าหน้าที่ตาไวคอยมาเตือนอย่างสุภาพ
ตัวศาลเจ้าหลักของศาลเจ้าหลวงอิเสะมีกำแพงล้อมรอบ ไม่เปิดเผยหรืออนุญาตให้บุคคลทั่วไปเห็นได้ เพราะถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งยวดอย่างสูงสุดของลัทธิชินโต อีกทั้งยังเป็นสถานที่เก็บรักษา ‘คันฉ่องศักดิ์สิทธิ์’ อันเป็น 1 ใน 3 เครื่องราชกกุธภัณฑ์ของพระจักพรรดิในวันขึ้นครองราชย์ (อีก 2 สิ่ง คือ พระขรรค์ และอัญมณี) ซึ่งผู้ที่นับถือลัทธิชินโตก็จะนับถือสิ่งนี้เป็นเครื่องเคารพสูงสุดเช่นกัน เนื่องจากเขาไม่มีรูปเคารพของเทพ หรือศาสดา
ตัวศาลเจ้าหลวงแห่งอิเสะสร้างขึ้นเมื่อปีที่ 4 ก่อนคริสตกาล หรือประมาณ พ.ศ. 539 เพื่อถวายความศรัทธาแด่เทพีอามาเทราสุ หรือเทพีแห่งพระอาทิตย์ และด้วยความที่ศาลเจ้าสร้างมาเมื่อหลายพันปีก่อน วัสดุที่ใช้จึงมีไม้และหินเป็นหลัก ทางญี่ปุ่นเขาก็อนุรักษ์สถาปัตยกรรมนี้ไว้ ไม่เปลี่ยนแปลง โดยกำหนดให้มีการซ่อมสร้างใหม่ทุก 10 ปี เพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาเชิงช่าง และสืบสานการสืบทอดองค์ความรู้จากรุ่นสู่รุ่นต่อไปออกจากศาลเจ้าหลวงอิเสะ แค่เดินข้ามถนนมา เราก็เข้าสู่ถนนแสนน่ารักในบรรยากาศสุดชิลชื่อ ‘ถนนโอคาเงะ โยโคโช’ (Okage-yokosho Street) เป็นถนนคนเดินย้อนยุคที่เหมาะสำหรับคนโหยหาอดีต และถือเป็นถนนคนเดินแบบโบราณอันมีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัดมิเอะเลยก็ว่าได้ เพราะเขาได้ฟื้นคืนชีพชุมชนเก่าสมัยเอโดะ-สมัยเมจิตอนต้นขึ้นมา (ราวๆ ค.ศ. 1603-1868) ด้วยการบูรณะและสร้างเมืองขึ้นใหม่เมื่อ ค.ศ. 1993 เหมือนการเนรมิตภาพอดีตให้ฟืนคืน กลับมาเป็นถนนคนเดินที่คึกคักด้วยร้านรวงสองฟากฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นร้านขนม ร้านอาหาร ร้านน้ำชา พิพิธภัณฑ์ และร้านขายของที่ระลึกน่ารักๆ เป็นร้อยๆ ร้าน!
ในสมัยเอโดะและเมจิ ชุมชน ถนนโอคาเงะ โยโคโช รุ่งเรืองขึ้นก็เพราะตั้งอยู่ติดกับศาลเจ้าหลวงอิเสะนั่นเอง ในแต่ละปีจึงมีผู้คนหลั่งไหลมาสักการะศาลเจ้าไม่ขาดสาย ปัจจุบันถนนสายนี้ได้กลายเป็นเส้นทางแห่งชีวิตชีวา มีนักท่องเที่ยวทั้งญี่ปุ่นและนานาชาติเข้ามาสัมผัสความน่ารัก ทุกย่างก้าวจึงเหมือนการพาตัวเองย้อนไปสู่อดีต โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมอาคารบ้านเรือน ได้สะท้อนส่วนเสี้ยวของวิถีปุถุชนในยุคเอโดะขึ้นอย่างชัดเจนมาก เพราะเป็นยุคที่คนชั้นกลางและชนชั้นล่างพอลืมตาอ้าปากได้ กระทั่งถึงยุคเมจิที่ญี่ปุ่นเปิดประเทศรับอารยธรรมตะวันตก ถนนสายนี้จึงนำเราย้อนไปสู่สิ่งเหล่านี้ได้ราวกับ Living Museum
ความงามในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ของถนนโอคาเงะ โยโคโช
คนรักแมวต้องหยุดถ่ายรูปกันแน่นอน กับรูปน้องเนโกะจังเต้นแอโรบิก เห็นแล้วอดอมยิ้มไม่ได้ ฮาฮาฮา
สีสัน และความเก๋ไก๋แห่งดีไซน์แบบญี่ปุ่น กรุ่นอยู่ในทุกซอกมุมบนถนนโอคาเงะ โยโคโช
ความสนุกสนานอย่างหนึ่งของการเดินเที่ยวถนนโบราณสายนี้ คือการเดินไปกินไป ฮาฮาฮา ใช่แล้ว ฟังไม่ผิดหรอก เพราะตลอดทางจะมีร้านอาหารและร้านขนมเรียงรายให้ชิมกันจนพุกกาง แนะนำอย่างหนึ่งที่ไม่ควรพลาด คือ ‘ซอฟท์ครีมเต้าหู้’ อันนึงราคาไม่กี่ร้อยเยน แต่ความอร่อยเกินราคา เนื้อซอฟท์ครีมนวลเนียนหนืดนุ่ม รสไม่หวานจัด กลิ่นหอมติดลิ้นติดจมูกมาก แต่ขอเตือนว่าให้ชิมอันเดียวพอ เพราะเดินไปเรื่อยๆ ยังมีของอร่อยรออยู่อีกเพียบนะสิ ฮาฮาฮา
สินค้าพื้นเมืองโดดเด่นที่เป็นเหมือน OTOP ของมิเอะอย่างหนึ่ง ก็สามารถซื้อหากันได้ที่นี่ในสนนราคาไม่แพงเลย นั่นคือ ‘สาหร่ายทะเล’ ในหลากรูปแบบ ทั้งสดและแห้ง บ้างก็มาเป็นผงโรยข้าว จัดเป็นอาหารมีประโยชน์ ที่อุดมด้วยวิตามิน เกลือแร่ และมีสารคลอโรฟิลด์ในปริมาณสูงปรี๊ด สามารถซื้อกลับเมืองไทยได้ง่าย เพราะแพ็กเกจกระทัดรัดดีจัง
แต่ร้านที่เราหยุดแวะกันนานที่สุดคือ ร้านขายปลาแห้งของคุณลุงใจดี ที่เปิดหน้าร้านเป็นเตาป้ิงย่างปลาให้ลูกค้าชิมในปริมาณไม่อั้นกันตลอดวัน! ชิมเท่าไหร่ก็ได้ ไม่ว่าสักคำ จะซื้อไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร ยิ้มแย้มแจ่มใส ร้านนี้ขายเฉพาะปลาแห้งนานาชนิด มีทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ ซื้อกลับบ้านได้เลย วิธีกินก็ง่าย นำมาปิ้งย่างหรือจี่ไฟให้สุกดีก่อน จะได้กลิ่นหอมฉุยชวนน้ำลายสอ และเมื่อได้กัดเข้าไปสักคำตอนร้อนๆ จะรู้สึกถึงความสดใหม่ของปลาแห้ง ซึ่งบางชนิดเป็นปลาไข่ เนื้อหนานุ่ม มีความมันอยู่ในตัว เรียกว่าคุณลุงเขายกทะเลมาไว้ที่นี่จริงๆ!
ปลาแห้งตัวเล็กผอมเรียว ถูกนำไปเรียงไว้บนกระทะแบนร้อนๆ อีกเดี๋ยวเดียวก็ชิมฟรีกันได้ไม่อั้น แต่อย่าลืมเหลือไว้ให้เพื่อนๆ ชิมด้วยล่ะ ฮาฮาฮา
ในร้านมีสัตว์ทะเลแห้งสารพัดชนิดมาแขวนโชว์กันด้วย ว้าว!
ชิมแล้วก็ซื้อกลับบ้านกันแทบทุกคน เพราะเป็นปลาแห้งแดดเดียวสดใหม่ และสะอาดน่ากินมาก
เดินเที่ยวเหนื่อยก็มีร้านน้ำชาสไตล์โบราณยุคเอโดะให้นั่งพักนั่งดื่มกันด้วย แต่อาจต้องรอคิวนิดนึงนะ เพราะลูกค้าแน่นตลอด
น้ำชาญี่ปุ่นร้อนๆ แก้หนาว และช่วยบำรุงรักษาสุขภาพไปในตัว
นั่งดื่มชาประสานักท่องเที่ยวบนเสื่อตาตามิ พร้อมกับชิมขนมอร่อยๆ ไปด้วย อย่างนี้เรียกว่าเข้าถึงวิถีคนญี่ปุ่นแล้วล่ะ
อาหารมื้อเที่ยงของวันนี้ ใครจะเลือกกินราเมนร้อนๆ แบบญี่ปุ่นแท้ๆ ในถนนคนเดินก็ได้ หรือใครจะลองลิ้มเทปันยากิสุดอลังการที่ร้าน Tessen ก็ไม่ว่ากัน
Seafood นานาชนิดได้รับการนำมาประกอบอาหารรสเลิศ เพราะจังหวัดมิเอะมีชายฝั่งทะเลยาวเหยียด เป็นแหล่งสัตว์ทะเลชุกชุมมาก
หลังจากพาตัวเองย้อนไปในยุคเอโดะและเมจิ พร้อมกับกินอาหารเที่ยงจนอิ่มแปล้แล้ว เราก็เดินทางต่อไปยังไฮไลท์ของจังหวัดมิเอะ คือ ‘หินแต่งงาน’ (Wedding Rock หรือ Marrige Couple Rocks) ซึ่งคนญี่ปุ่นเรียกว่า ‘Meoto Iwa’ เป็นหินสองก้อนตั้งอยู่ในทะเลใกล้ชายฝั่ง บริเวณศาลเจ้าฟุตามิโอคิทามะ (Futami Okitama Shrine) หินก้อนหนึ่งมีขนาดใหญ่ อีกก้อนเล็กกว่า เชื่อมโยงกันด้วยเชือกฟางเส้นใหญ่คล้ายมงคลงสมรสของบ่าวสาวในวันแต่งงาน เรียกว่า ‘ชิเมนาวะ’ (Shimenawa Rope)
ตามตำนานหมายถึงคู่สามีภรรยา คือ เทพอิซานากิ (Izanagi no Okami) และเทพอิซานามิ (Izanami no Okami) ผู้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นบนโลก และให้กำเนิดเทพต่างๆ อีกมากมายแน่นอนว่า นี่คือหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวของมิเอะ ซึ่งคู่รักหวานแหว๋วนิยมเกี่ยวก้อยจูงมือกันมาเที่ยวมากที่สุดแห่งหนึ่ง
ระหว่างทางเดินเลียบทะเลเข้าสู่หินแต่งงาน มีศาลเจ้าเล็กๆ อยู่ข้างทางให้แวะสักการะกันด้วย
ศาลเจ้าฟุตามิโอคิทามะ เป็นศาลเจ้าเล็กๆ ตั้งอยู่ตรงโขดหินริมทะเลที่มองออกไปเห็นหินแต่งงานได้อย่างชัดเจน
ในบริเวณนี้มีรูปปั้นและรูปสลักหินเป็นกบน้อยใหญ่มากมาย ใช้เป็นตัวแทนสัญลักษณ์แห่งความโชคดี
ขอให้ความรักมั่นคงยืนยาว หวานชื่น เหมือนหินแต่งงานที่อยู่ด้านหลังเรานี่นะ ตัวเอง คริคริ
เย็นมากแล้ว เรารีบมุ่งหน้ากลับสู่โรงแรม Shima Spain Mura เพื่อเปลี่ยนชุดไทยเข้าร่วมงานเลี้ยงสุดพิเศษ ‘Mie Thai Night Party’ ที่ทางจังหวัดมิเอะจัดให้กับพวกเราโดยเฉพาะ
บรรยากาศห้องจัดเลี้ยงสุดหรู กับแขกผู้มีเกียรติทั้งไทยและเมืองมิเอะ ร่วมสานสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างกัน
แขก VIP ทั้งไทยและจังหวัดมิเอะ ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารค่ำอย่างชื่นมื่น
งานนี้ได้รับเกียรติอย่างสูงจาก ท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดมิเอะ Mr. Shinichiro Watanabe มาเป็นประธานในงาน นอกจากนี้ยังมีตัวแทนจากเมืองชิมะ (Shima City) คือ ท่านนายกเทศมนตรี Chichiro Takeuchi และท่านเจ้าของโรงแรม Shima Spain Mura คุณ Hirodumi Nakane เข้าร่วมงานด้วย
อาหารรสเลิศหลากเมนูจัดเต็มมากคืนนี้ ส่วนใหญ่นำวัตถุดิบจากท้องทะเลอันอุดมสมบูรณ์ของมิเอะ มาปรุงเพื่อโชว์ฝีมือกันเต็มที่
ปลาดิบละลานตา Sashimi of Happiness
ไม่ได้อร่อยอย่างเดียว แต่ขอบอกว่าฝีมือการจัดแต่งของเชฟมิเอะนี่สุดยอด!
ข้าวผัดกุ้งล็อบสเตอร์มิเอะ เมนูนี้มีให้ชิมเฉพาะที่จังหวัดมิเอะเท่านั้น
ข้าวปั้นก็ชวนน้ำลายสอมากๆ
หอยเชลตัวใหญ่อบเนย จะอดใจไหวได้ไง!
แม้แต่ออร์เดิร์ฟยังน่ากิน และมีส่วนผสมของท้องทะเลมิเอะด้วย มิได้ขาด
งานคืนนี้จะสมบูรณ์ไปไม่ได้ หากไม่มีอาหารหรือขนมไทยไปร่วมด้วย โดย พี่ตุ้ย คุณรุ่งนภา คำพญา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิล์ด โปร แทรเวิล จำกัด ได้นำขนมไทยนานาชนิดขึ้นเครื่องบินตรงไปให้ชาวมิเอะชิมกัน สร้างสีสันและความตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง
ทองหยิบ ทองหยอด มาแล้วจ้า
ท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดมิเอะ Mr. Shinichiro Watanabe ขึ้นกล่าวต้อนรับนักท่องเที่ยวไทยจาก บริษัท เวิล์ด โปร แทรเวิล จำกัด และพร้อมต้อนรับชาวไทยทุกคนที่จะไปเยือนจังหวัดมิเอะ ด้วยมิตรไมตรี
พี่ตุ้ย คุณรุ่งนภา คำพญา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิล์ด โปร แทรเวิล จำกัด กล่าวขอบคุณท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดมิเอะ พร้อมกล่าวถึงความสัมพันธ์อันดีและยาวนาน ในด้านการท่องเที่ยวระหว่างญี่ปุ่นและไทย
คุณรุ่งนภา คำพญา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิล์ด โปร แทรเวิล จำกัด มอบของที่ระลึกให้กับ ท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดมิเอะ Mr. Shinichiro Watanabe
Party คืนนี้คือคอนเซ็ปต์ชุดไทย จะไทยแท้หรือไทยประยุกต์ก็ได้ เราเลยได้โอกาสนำขึ้นไปโชว์ให้ชาวญี่ปุ่นได้ซาบซึ้งในวัฒนธรรมไทยอันงดงาม
ต่อด้วยการแสดงดนตรีพื้นเมืองของชาวมิเอะ เสียงกลองฟังแล้วฮึกเหิม จนต้องขยับแข้งขยับขาตามอย่างสนุกเร้าใจ
สาวน้อยในชุด ‘อามะ’ (Ama) หรือหญิงนักดำน้ำโดยไม่ใช้แท็งก์อากาศของชาวมิเอะ พร้อมด้วย ‘กุ้งล็อบสเตอร์ยักษ์มิเอะ’ คือ Signature ที่ทำให้มิเอะโดดเด่น และน่าไปเยือนในทุกฤดูกาล
ความสนุกสนาน และบรรยากาศฉันมิตร ของชาวไทยและชาวมิเอะ
ชุดไทยสวยๆ ได้มีโอกาสไปโชว์ที่มิเอะแล้วนะ
ปิดท้ายงานอันแสนประทับใจด้วย โชว์ระบำสเปนชุดพิเศษ จาก โรงแรม Shima Spain Mura ถือเป็นสิ่งที่ห้ามพลาดชมเมื่อได้มาพักยังโรงแรมหรูแห่งนี้
คืนนี้หลับฝันดีพร้อมกับภาพสาวสเปนในท่วงท่าลีลางดงามราวนางฟ้า!
พรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวมิเอะกันต่อ แทบจะรอไม่ไหวแล้วล่ะ เพราะได้ข่าวว่าเขาจะพาไปชมฟาร์มไข่มุกชื่อดังระดับโลก กะว่าจะซื้อกลับไปฝากที่บ้านสักเม็ดสองเม็ด ฮาฮาฮา
Special Thanks : บริษัท เวิล์ดโปร แทรเวิล จำกัด (World Pro Travel Co., Ltd.) สนับสนุนการเดินทางจัดทำสารคดีเรื่องนี้เป็นอย่างดีเยี่ยม
สนใจไปเที่ยวมิเอะ ติดต่อ โทร. 0-2026-3372, line id : wpoutbound หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.worldprotravel.com/tour-program
และ www.facebook.com/WorldProTravel หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ outbound@worldprotravel.com
Explore Mie, Miracle of Kansai (Episode 1)
ขอต้อนรับสู่ ‘จังหวัดมิเอะ’ (Mie Prefecture) ดินแดนแห่งชายฝั่งทะเลตะวันออกอันมีเสน่ห์ของญี่ปุ่น ทอดตัวอยู่อย่าเงียบสงบเคียงข้างมหาสมุทรแปซิฟิกกว้างใหญ่สีครามเข้มสะอาดตา เต็มไปด้วยภูมิประเทศชายฝั่งเว้าแหว่งราวกับฟันเลื่อย จึงเกิดอ่าวน้อยใหญ่อันเป็นสถานที่บ่มเพาะวิถีประมง ฟาร์มหอยนางรม ฟาร์มไข่มุก รวมถึงเป็นบ้านของนักดำน้ำหญิงโดยไม่ใช้แท็งก์อากาศอันลือลั่นของโลก แม้มิเอะจะเป็นจังหวัดเงียบๆ แต่ก็ยังมีอะไรแอบซ่อนอยู่มากกว่านั้น ทั้งวัฒนธรรมอันเก่าแก่ อาหารทะเลสดอร่อย ศาลเจ้าชินโตที่สำคัญที่สุด แถมยังเป็นต้นกำเนิดนินจาที่เราเห็นกันในภาพยนตร์อีกด้วย
มิเอะตั้งอยู่ใจกลางของเกาะฮอนชู โดยอยู่กึ่งกลางระหว่าง เมืองนาโงย่า (Nagoya) และ เมืองโอซาก้า (Osaka) เมืองเอกของมิเอะคือ เมืองทสึ (Tsu) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของคาบสมุทรคิอิ (Kii Peninsula) และการที่มีทะเลขนาบอยู่หลายด้านนี้เอง จึงได้รับอิทธิพลจากลมมหาสมุทรอันชุ่มชื้น บวกกับอิทธิพลของกระแสน้ำอุ่นที่ไหลเวียนเข้ามาต่อเนื่อง ทำให้อากาศในมิเอะไม่หนาวจนเกินไป บนพื้นราบไม่เคยมีหิมะตก ยกเว้นบนยอดเขาสูงมากๆ มิเอะจึงอุ่นกว่าญี่ปุ่นส่วนอื่นอย่างเห็นได้ชัด เหมาะกับคนไทยที่กลัวหนาว เที่ยวได้ตลอดปี สวยทั้ง 4 ฤดูเลย
ทริปนี้ Shutter Explorer เดินทางไปด้วยความเอื้อเฟื้อจาก บริษัท เวิลด์ โปร แทรเวิล จำกัด เพื่อไปสัมผัสความสวยงาม ความน่ารัก ของมิเอะมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง โดยเฉพาะคนที่เป็น ‘นักชิม’ หรือ ‘นักเดินทางเที่ยวไปชิมไป’ (Foodie Traveler) นั้น จะต้องรักมิเอะแน่นอน เพราะที่ เมืองมัตสึซากะ (Matsusaka) คือต้นกำเนิดของเนื้อวัวมัตสึซากะที่ถือว่าแพงและอร่อยที่สุดในโลกน่ะสิ! แถมมิเอะยังเป็นถิ่นที่มี Japanese Lobster หรือกุ้งมังกรญี่ปุ่น ชุกชุมที่สุดอีกด้วย! แหม เกริ่นกันมาซะขนาดนี้คงมีหลายคนนำ้ลายสอแล้ว
ตลอด 4 วันของทริปอันแสนสนุก จะมีอะไรรออยู่บ้าง ต้องไปติดตามกันเลย ณ บัดนี้…หลังจากบินลงที่สนามบินนาโงย่าเรียบร้อยแล้ว เราก็นั่งรถบัสลงมาทางทิศใต้ เข้าสู่ เมืองโคโมโนะ (Komono) ในเขตจังหวัดมิเอะ ไหนๆ ก็หนีร้อนมาจากเมืองไทยแล้ว ขอมาพึ่งเย็นบน ภูเขาโกไซโช (Mt. Gozaisho) บนยอดเขาซูซูก้า กันหน่อยดีกว่า แต่ขอบอกเลยว่าการขึ้นสู่ยอดเขานี้ไม่ธรรมดา เพราะต้องนั่งกระเช้าลอยฟ้าที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่นไป ซึ่งต้องใช้เวลานั่งกันนานถึง 15 นาที แถมยังมีเสาขึงสายเคเบิลต้นหนึ่งเรียกว่า ‘White Iron Tower’ ที่มีความสูงที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย! ว้าว!
กระเช้าลอยฟ้าโกไซโช (Gozaisho Ropeway) ค่อยๆ นำเราสูงขึ้นๆ จากระดับความสูงที่ประมาณ 400 เมตรเหนือน้ำทะเลตรงลานจอดรถ ค่อยๆ ไต่ความสูงตามแนวชันของสันเขาเหนือป่าสนและต้นไม้นานาชนิด ซึ่งในขณะนี้เริ่มผลิใบเขียวต้อนรับฤดูใบไม้ผลิแล้ว ส่วนหิมะขาวบนยอดเขาค่อนข้างบางตา เพราะตอนนี้เป็นปลายฤดูหนาวนั่นเอง ก่อนขึ้นมาเขาบอกว่าอุณหภูมิบนยอดเขา -1 องศาเซลเซียส! แต่พอเห็นปริมาณหิมะ กับแดดเจิดจ้าแล้วก็ไม่กลัว คงไม่หนาวเหมือนที่คิดมั้ง!
ระหว่างทาง มองย้อนกลับไปที่เชิงเขา เห็นวิวพาโนรามาของเทือกเขาซูซูก้า นับเป็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติอย่างแท้จริง
กระเช้าแบ่งเป็น 2 สาย ขึ้นและลงแยกกัน ระหว่างทางจึงมีรถกระเช้าสวนทางลงมาเป็นระยะๆ โดยตู้หนึ่งนั่งได้ประมาณ 6-8 คน แต่เจ้าหน้าที่มักให้นั่งแค่ 6 คน เพื่อความสบายและความปลอดภัย
พี่ตุ้ย หรือ คุณรุ่งนภา คำพญา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์ โปร แทรเวิล จำกัด นำเราชมบรรยากาศระหว่างทางขึ้นเขา พร้อมบรรยายข้อมูลให้ฟังอย่างจัดเต็ม ทริปนี้ต้องขอบคุณพี่ตุ้ยมากๆ ที่พาเรามาเปิดโลก ค้นหามุมมองใหม่ๆ ของแดนอาทิตย์อุทัยกัน
ระหว่างทางขึ้นเขา อย่าอู้หูอ้าหา ตื่นเต้นกับวิวกันจนเพลิน! เพราะตามเพิงผาต่างๆ มีหินรูปทรงประหลาด ขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้างอยู่ทั้งซ้ายขวา เหล่านี้เกิดจากการสึกกร่อนของภูผาหิน โดยลม ฝน หิมะ และความร้อนของเปลวแดด จนปรากฏรูปลักษณ์พิสดารเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นหินรูปหัวเหยี่ยว, หินเทพเจ้าแห่งความสมบูรณ์พูนสุข, หินเทพเจ้าแห่งความโชคดี และหินเทพพิทักษ์ของเหล่าเด็กๆ เป็นต้น
นอกจากจะนั่งกระเช้าขึ้นสู่ยอดเขาได้แล้ว ยังมีเส้นทางเดินป่าเทรกกิ้งของนักผจญภัยและคนรักการใช้ชีวิตกลางแจ้งด้วย ถ้าสังเกตให้ดีในภาพนี้จะเห็นนักปีนเขาใส่เสื้อสีเขียว ไปนั่งพักกินข้าวอยู่บนยอดเพิงผาหิน!
กระเช้าค่อยๆ พาเราไต่ระดับขึ้นมาจนถึง White Iron Tower ที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น! คือตัวเสาเหล็กนี้สูงถึง 61 เมตร ตั้งอยู่บนความสูงประมาณ 940 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ประวัติเล่าว่าเสาเหล็กขนาดยักษ์นี้สร้างเสร็จและเปิดใช้งานเมื่อปี ค.ศ. 1959 แต่เพิ่งมาทาสีขาวเมื่อปี ค.ศ. 1961 หลังจากทาสีขาวแล้วมันก็ได้กลายเป็น Landmark สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของ Gozaisho Ropeway ไปโดยปริยาย แถมยังมองเห็นได้จากระยะไกลกว่า 40 กิโลเมตรโน่นเลยทีเดียว และคนญี่ปุ่นจินตนาการกันเล่นๆ ว่า มันคล้ายกับหอคอย Tokyo Tower ย่อส่วนเลยล่ะ
ถึงแล้ว ยอดเขาโกไซโช ความสูง 1,212 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล โชคดีหิมะยังละลายไม่หมด เลยได้ชื่นชมความงามของควันหลงฤดูหนาว วันนี้ฟ้าใส ไม่มีลม แถมแดดเจิดจ้า อุณหภูมิ -1 องศาเซลเซียส เลยทำอะไรเราไม่ได้
บนยอดเขาโกไซโช มีจุดชมวิวต่างๆ เชื่อมโยงถึงกันด้วยทางเดินระยะไม่ไกล สามารถใช้เวลาอยู่บนนี้ได้เป็นชั่วโมงๆ เพื่อถ่ายภาพ หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ อย่างในฤดูหนาว เขาก็มีลานหิมะให้เล่นสกีและเลื่อนหิมะ หรือถ้าเป็นฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนที่มีดอกไม้ป่าเบ่งบานเยอะ ก็สามารถเดินเที่ยวป่าศึกษาธรรมชาติกันได้เป็นวันๆ เช่นเดียวกันในฤดูใบไม้ร่วง ป่าทั้งหมดบนเขาก็จะผลัดใบเป็นสีสันฉูดฉาดบาดตา น่าประทับใจมาก
เมื่อหิมะเร่ิมละลาย ใบไม้เขียวๆ ก็แทงยอดออกมารับแสงแดดอุ่นของฤดูกาลใหม่
จุดนี้เรียกว่า Choyodai Observatory เป็นเหมือนจุดชมวิวที่มีกล้องไว้ให้เราส่องดูภูมิประเทศโดยรอบ ว่ากันว่าในวันที่ฟ้าเปิดอากาศแจ่มใส จะมองได้ไกลถึงเมืองนาโงย่า และแลเห็นสนามบิน Chubu International Airport ได้เลยล่ะ สุดยอดไปเลย!
จากนั้นเราก็เดินฝ่าหิมะลื่นที่กำลังละลาย ไปเที่ยวลานสกี
ตรงนี้คือ Ski Slope ที่จัดไว้ให้นักเล่นสกี สโนว์บอร์ด และเลื่อนหิมะ ได้มาสนุกกัน แต่ตอนนี้ผู้คนบางตา เพราะเป็นปลายฤดูหนาวแล้วนั่นเอง
สนุกสนานกับเลื่อนหิมะลงมาตาม Ski Slope
นักสกีสาวกำลังวาดลวดลายอยู่บน Ski Slope
แม้แดดจะเจิดจ้า แต่ก็ยังหนาวไม่ใช่เล่น การขึ้นมาเที่ยวบนอดเขาโกไซโชจึงต้องแต่งกายให้อบอุ่น เสื้อกันหนาว หมวก ถุงมือ รวมทั้งแว่นกันแดด ต้องพร้อม
ตรงมุมหนึ่งบนยอดเขา เราพบ Snow Wall หรือกำแพงหิมะสูงประมาณ 4-5 เมตร ทำให้ได้บรรยากาศของดินแดนอันแสนหนาวเหน็บ เสียดายมาช้าไป เราเลยไม่ได้เห็น Ice Monster หรือปีศาจหิมะ เกิดจากหิมะตกหนักบนยอดเขาสูงไปเกาะอยู่ตามกิ่งสนและต้นไม้ จนเกิดเป็นรูปร่างคล้ายยักษ์หรือปีศาจสีขาว ยืนตระหง่านอยู่บนยอดเขานั้น ปีหน้าคงต้องกลับมาเที่ยวใหม่แล้วล่ะ
จากลานสกีและ Snow Wall เราต้องกลับไปที่สถานีขึ้นกระเช้าอีกครั้ง เพื่อกลับลงเขา แต่ไม่ต้องเดินให้เมื่อยตุ้ม เพราะเขามี Ski Lift เป็นกระเช้านั่งเดี่ยวแบบห้อยขา พาเราชมวิวได้อย่างเพลิดเพลินและปลอดภัยมาก
Ski Lift เตี้ยๆ แสนปลอดภัย ช่วยประหยัดแรงไม่ต้องเดิน
นั่ง Ski Lift ชมวิวซะเลย
เรากลับลงมาจากยอดเขาโกไซโชอย่างประทับใจในหิมะขาวและความหนาวเย็น แบบที่คนเมืองร้อนอย่างเราไม่ค่อยได้พบเจอบ่อยนัก ถึงเวลานั่งรถต่อไปรับประทานอาหารเที่ยงที่ร้านสุดเก๋สไตล์โมเดิร์น ‘Aqua x Ignis’ ซึ่งยังอยู่ในเมืองโคโมโน (Komono) เช่นกัน
ชื่อร้าน Aqua x Ignis แปลว่า ‘น้ำ’ และ ‘ไฟ’ มีที่มาจากแหล่งน้ำแร่ใต้พิภพอันเป็นต้นกำเนิดของที่นี่ และผสานผสมกลมกลืนกันได้อย่างลงตัว ทางรัฐบาลจึงจัดสร้าง Complex ขนาดใหญ่นี้ขึ้น โดยให้เอกชนเข้ามาบริหารจัดการ แบ่งปันผลกำไรเข้าสู่เมือง ได้ผลดีกันทุกฝ่าย สำหรับคนที่ท่องเที่ยวผ่านไปผ่านมา นิยมแวะทานอาหารฟิวชั่นในภัตตาคารสุดโมเดิร์นสไตล์อิตาเลี่ยน บ้างก็มาพักรถนั่งชมวิว แวะเก็บผลไม้ ส่วนคนที่มีเวลาเยอะ และตั้งใจมาจริงๆ Aqua x Ignis ก็ยังมีบ่อน้ำแร่ร้อนออนเซน กับที่พักอย่างดีไว้บริการด้วย
มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายภาพมากมายอย่างไม่รู้เบื่อ
มื้อเที่ยงวันนี้เราได้ชิมอาหารอิตาเลี่ยน ในร้าน Sa-la bianchi Al-che-ccino จัดมาเป็นคอร์สใหญ่ จนอิ่มแปร้เลยล่ะ
เริ่มต้นด้วยซุปครีมฟักทอง รสนวลมาก หอมนุ่ม เรียกน้ำย่อยได้ดีที่สุด
มาแล้ว Main Course หน้าตาน่าทานเป็นอย่างยิ่ง สปาเก็ตตี้ผัดซอส
กลัวไม่อิ่ม เลยมีพิซซ่าชีสเห็ดเสิร์ฟมาให้กินกันตอนร้อนๆ อร่อยจนบรรยายไม่ถูกเลย
ตบท้ายด้วยไอศกรีมชาเขียว พร้อมเค็กเนื้อแน่นนุ่ม
อิ่มแล้วก็มีแรงเที่ยวต่อ จากร้านอาหารอิตาเลี่ยน เดินไปแค่ไม่กี่อึดใจก็ถึง Tsujiguchi Farm อันเป็นส่วนหนึ่งของ Aqua x Ignis เช่นกัน ตรงนี้เป็นฟาร์มออร์แกนิก ที่ปลูกผลไม้ตามฤดูกาล ให้นักท่องเที่ยวเสียตังค์เข้าไปเก็บสดๆ จากต้น เพื่อรับประทานได้ทันที เนื่องจากปลอดสารพิษ ปลอดฝุ่น เพราะเขาปลูกไว้ในโรงเรือนปิดอย่างดีนั่นเอง
วันนี้เราจะมาเก็บสตอว์เบอร์รี่สดๆ ลูกใหญ่ๆ กัน เพราะในปลายฤดูหนาวต่อต้นฤดูใบไม้ผลิอย่างนี้ สตอว์เบอร์รี่จะออกผลเยอะมาก แถมอร่อยด้วย แต่ก่อนเข้าไปเก็บ ต้องฟังบรรยายสรุปก่อน คือเขาจะแจกถุงพลาสติกเล็กๆ ให้คนละใบ เพื่อเอาไว้ใส่ขยะต่างๆ ไม่ให้ทิ้งเรี่ยราดลงพื้นเด็ดขาด (บอกแล้วว่าพี่ยุ่นเขาเอาจริงเรื่องความสะอาด) นอกจากนี้เวลาเก็บสตรอว์เบอร์รี่ ให้เด็ดตรงขั้ว ไม่ต้องดึงก้านมันออกจากต้น กินได้มากเท่าที่เราต้องการ กินไปเลย (เพราะเสียตังค์แล้ว ฮาฮาฮา) แต่ห้ามเก็บใส่กระเป๋าออกมานะ ส่วนเวลา วันนี้เรามีประมาณ 40 นาที
แปลงสตรอว์เบอร์รี่ที่แบ่งไว้เป็นสัดส่วนอย่างเป็นระเบียบ และสะอาดสะอ้านมากๆๆๆๆๆๆๆ
ช่วงเวลาแห่งความสุข เก็บชิมได้เลยตามใจชอบ บางคนบอกว่าชอบในแปลงเบอร์ 3 เพราะลูกใหญ่มาก และหอมหวาน กลิ่นติดลิ้นติดจมูก แต่บางคนก็ชอบแปลงเบอร์ 5 กัลเบอร์ 7 เพราะแม้ลูกจะเล็กกว่า แต่เนื้อแน่นสู้ปาก ส่วนความหวานหอม ไม่เป็นรองใครเช่นกัน
พี่ตุ้ย กับ Moment แห่งความสุข ในสวนสตรอว์เบอร์รี่ Tsujiguchi Farm
ดูกันชัดๆ กับดอกสตรอว์เบอร์รี่สีขาวสะอาดขนาดเล็กจิ๋ว น่ารักน่าชังมากๆ เลยเนอะ
จากสวนสตรอว์เบอร์รี่ เรานั่งรถต่อกันอีกไม่ไกลก็ถึง เมืองซูซูกะ (Suzuka) ได้เวลาไปช้อปปิ้งกันตั้งแต่วันแรกที่เหยียบพื้นดินญี่ปุ่นเลยทีเดียว เจ้าหน้าที่ของ ห้างสรรพสินค้า AEON Mall สาขาเมือง Suzuka เขียนป้ายมายืนรอต้อนรับกันถึงลานจอดรถเลย น่ารักมากๆ อย่างนี้ก็ต้องไปกระจายรายได้กันสักแสนสองแสนล่ะ ฮาฮาฮา
ห้าง AEON Mall สาขานี้ใหญ่โตมาก มี 2 ชั้น ชั้นล่างมีเครื่องสำอาง ยา เสื้อผ้า ของใช้ในบ้านทุกชนิด รวมไปถึงซุปเปอร์มาเก็ตด้วย ส่วนชั้นบนเป็นของเด็ก กับเสื้อผ้าแบรนด์ Muji อย่าลืมพก Passport ลงไปด้วย เผื่อใช้ทำ Vat Refund 8% ได้ สินค้าน่าซื้อที่คนไทยฮิตกัน ก็มีพวกโฟมล้างหน้า, ครีมกันแดด, แผ่นความร้อนแก้ปวดเมื่อย, วิตามินต่างๆ, เครื่องสำอางสารพัดชนิดของสาวๆ, ขนม, ผลไม้, อาหารแห้ง, ผงโรยข้าว, สาหร่ายแห้ง ฯลฯ
เขามีส่วนที่เป็น Shopping Mall ด้วย แต่เน้นพวกเสื้อผ้าเป็นหลัก ตอนนี้เสื้อผ้าฤดูหนาวเก็บไปหมดแล้ว เป็น Collection ของฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ที่เนื้อบางสวมใส่ง่าย แต่มีดีไซน์เก๋ไก๋
หลังจากช้อปปิ้งกันพอหอมปากหอมคอเกือบ 2 ชั่วโมง ที่ AEON Mall เราก็นั่งรถลงมาทางทิศใต้ ใช้เวลาไปชั่วโมงกว่า จนถึงเมืองต้นกำเนิดเนื้อวัวมัตสึซากะอันลือลั่นของโลก ณ เมืองมัตสึซากะ (Matsusaka) แน่นอนว่า Dinner วันนี้ต้องไม่พลาดชิมเนื้อวัวระดับ 5A ที่ขึ้นชื่อว่าแพงและอร่อยที่สุดในโลก! ของภัตตาคาร Dream Ocean ซึ่งเป็นร้าน BBQ Buffet ร้านแรกในประเทศญี่ปุ่น!
เนื้อวัวรสเลิศในญี่ปุ่นนั้นมีอยู่หลายชนิด ทั้งเนื้อโกเบ เนื้อวากิว และเนื้อมัตสึซากะ ความอร่อยแต่ละคนก็ว่าต่างกันไปตามความชอบ แต่ที่ทำให้เนื้อวัวมัตสึซากะแพงและอร่อยที่สุดนั้น ส่วนหนึ่งคงมาจากสายพันธุ์ American Black Cattle ที่นำเข้ามาปรับปรุงพันธุ์จากอเมริกาช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนได้สายพันธุ์ใหม่ในแบบพี่ยุ่น คือ Japanese Black เป็นวัวสีดำ ขนดำ ตัวใหญ่เหมือนกระทิง บวกกับวิธีการเลี้ยงสุดพิสดาร คือมีการเปิดเพลงให้วัวฟังคลายเครียด มีการนวดคลึงกล้ามเนื้อ ให้กินอาหารที่มีกากใยสูงอย่างฟางชนิดพิเศษ แถมให้ดื่มเบียร์ทุกวัน (อย่างน้อยวันละ 6 ขวด) อีกทั้งเป็นการเลี้ยงแบบให้โตช้าๆ จึงเกิดเส้นไขมันลายร่างแห หรือลายหินอ่อน เป็นเส้นไขมันสีขาวแทรกแซมอยู่ในเนื้อสีแดงสด เมื่อนำมาปิ้งย่างให้สุกปานกลาง จิ้มน้ำจิ้มหรือโรยเกลือเล็กน้อย ใส่เข้าปากก็แทบจะละลายทันที แทบไม่ต้องเคี้ยว (เพราะมีไขมันมากนั่นเอง) ซึ่งเป็นไขมันตัวดี ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง
บุฟเฟ่ต์ของร้าน Dream Oceam ไม่ได้มีแต่เนื้อวัวมัตสึซากะ ระดับ 4A และ 5A ให้ชิมเท่านั้น ทว่าในไลน์บุฟเฟ่ต์ยังมีหมู เห็ด เป็ด ไก่ และเครื่องดื่มนานาชนิด ให้ชิมกันได้ไม่อั้นจนกว่าเราจะอิ่มจนจุกและเลิกกินไปเอง! แต่มาถึงดินแดนต้นกำเนิดมัตสึซากะทั้งที มื้อนี้เราเลยขอเน้นเนื้อวัวล้วนๆ ซึ่งก็มีมาหลายแบบนะ ทั้งแบบแล่แผ่นบาง มาเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมหนาๆ และมีแบบแผ่นบางหมักซอสญี่ปุ่นพร้อมด้วยงาขาว แหม โออิชิ!
ดูกันชัดๆ เนื้อมัตสึซากะระดับ 5A ต้องมีเส้นไขมันเป็นร่างแห หรือลายหินอ่อนแบบนี้ล่ะ
เนื้อมัตสึซากะหมักซอสญี่ปุ่นผสมงาขาว สุดยอดดดดด!
ปิ้งกันควันโขมงโฉงเฉง เอาแค่สุกปานกลางพอนะ ถ้าสุกเกินไปเนื้อจะไม่นุ่ม
ได้ที่แล้ว รีบยกขึ้นจากเตามาหม่ำเลยดีกว่า
ช่วงเวลแห่งความอร่อย กับบุฟเฟ่ต์นานาชนิด เตานี้มีครบ ทั้งเนื้อมัตสึซากะ หมู ไก่ เตรียมขยายเอวกางเกงกันเลยดีกว่า!
วันแห่งความสุข จบลงที่โรงแรมหรูใหญ่โตที่มีเตียงนุ่มๆ รอเราอยู่ คือ Shima Spain Mura หรือ Shima Spain Village ที่นำเอา theme การสร้างและตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมสเปนมาไว้ที่มิเอะได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ เราจะพักกันที่นี่ 3 คืนรวด กลางวันนั่งรถออกไปเที่ยวให้มันส์ กลางคืนกลับมานอนที่เดิม เจ๋งมาก จะได้ไม่ต้องแพ็กกระเป๋ากันบ่อยๆ
เรื่องราวสนุกๆ ของการเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดมิเอะของเรายังมีอีกเพียบ โปรดติดตามต่อในตอน 2 / ตอน 3 และตอน 4 นะครับ
ส่วนตอนนี้ ขอตัวไปงีบก่อนล่ะ เพราะเนื้อมัตสึซากะกำลังดิ้นอยู่เต็มท้องเลย ฮาฮาฮา
Special Thanks : บริษัท เวิล์ดโปร แทรเวิล จำกัด (World Pro Travel Co., Ltd.) สนับสนุนการเดินทางจัดทำสารคดีเรื่องนี้เป็นอย่างดีเยี่ยม
สนใจไปเที่ยวมิเอะ ติดต่อ โทร. 0-2026-3372, line id : wpoutbound หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.worldprotravel.com/tour-program
และ www.facebook.com/WorldProTravel หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ outbound@worldprotravel.com
11 Best of Mie, Amazing Kansai
จังหวัดมิเอะ (Mie Prefecture) เมื่อเอ่ยถึงชื่อนี้ หลายคนคงทำหน้างงๆ ว่าคืออะไร? อยู่ที่ไหน? ก็ต้องขอเฉลยเลยว่า เป็นจังหวัดน่ารักน่าเที่ยวอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น (ภูมิภาคคันไซ) ติดมหาสมุทรแปซิฟิก โดยจังหวัดมิเอะนี้ตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างเมืองนาโกย่า (ทางเหนือ) และเมืองโอซาก้า (ทางใต้) หลายคนซึ่งไปเที่ยวเมืองใหญ่ในญี่ปุ่นกันมาจนปรุแล้ว ขอเชิญมาเที่ยวมิเอะดูบ้าง จะพบกับประสบการณ์แปลกใหม่ อันเต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจ ที่จะทำให้คุณลืมไม่ลงอย่างแน่นอน!
1. สุดอลังการ กับดวงไฟนับล้าน Winter Illumination ที่ Nabana No Sato สวนพฤกษศาสตร์ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน
ชวนกันไปเที่ยวสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ ที่งดงามน่าชมทั้ง 4 ฤดู เพราะมีดอกไม้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเบ่งบานให้ชมไม่รู้เบื่อ อย่างดอกไฮเดรนเยียในต้นฤดูร้อน ทุ่งคอสมอสในต้นฤดูใบไม้ร่วง และช่วงฤดูใบไม้ผลิยังเด่นด้วยดอกซากุระ ทิวลิป กุหลาบ แด๊ฟโฟดิล ฯลฯ บานสะพรั่งให้ชม ทว่าไฮไลท์จริงๆ อยู่ที่การประดับไฟในช่วงฤดูหนาว (Winter Illumination) ที่มีหลอดไฟกว่า 200 ล้านหลอด และอุโมงค์ไฟอันน่าตื่นตา
2. Gozaisho Ropeway กระเช้ายาวที่สุดในญี่ปุ่น ขึ้นสู่ยอดเขาโกไซโช บนเทือกเขาซูซูก้า
พากันไปนั่งกระเช้ายาวที่สุดในญี่ปุ่น ใช้เวลานานถึง 15 นาที จากความสูง 400 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ขึ้นสู่ยอดเขาที่ระดับความสูง 1,212 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล เนื่องจากจังหวัดนี้ตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศ ติดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก อากาศจึงค่อนข้างอบอุ่น ทว่ายอดเขาโกไซโชคือจุดเดียวที่มีหิมะในฤดูหนาวของจังหวัดมิเอะ บนยอดเขามีจุดชมวิวสวยๆ แบบพาโนรามา ร้านค้า และกิจกรรมเล่นหิมะให้สนุกกันด้วย
3. อิงะนินจา ต้นกำเนิดนินจาแห่งญี่ปุ่น
พาตัวและหัวใจย้อนอดีตกลับสู่หมู่บ้านนินจาอิงะ ในยุคที่ญี่ปุ่นยังมีนินจาโลดแล่นอยู่ในวงการต่อสู้ กับภาระกิจซ่อนเร้นที่เจ้านายไม่ว่าจะเป็นไดเมียวหรือโชกุนสั่งให้ทำแบบลับๆ ทั้งการสอดแนม ลอบทำร้าย และลอบฆ่าศัตรู ทุกวันนี้ที่หมู่บ้านนินจาอิงะยังมีการสืบทอดความรู้เหล่านี้ไว้บางส่วน และจัดแสดงให้พวกเราได้ชมอย่างน่าตื่นเต้นระทึกใจ แถมยังมีบ้านนินจาที่มีซอกมุมค่ายกลซับซ้อนเอาไว้หลบศัตรู ให้เข้าชมด้วย
4. ศาลเจ้าหลวงแห่งอิเสะ ศาลเจ้าใหญ่และสำคัญที่สุดในลัทธิชินโตแห่งแดนอาทิตย์อุทัย
มาเที่ยวมิเอะต้องไม่พลาดชม ‘ศาลเจ้าหลวง’ หรือ The Grand Shrine เป็นศาลเจ้าแรกของญี่ปุ่นในลัทธิชินโต ซึ่งคนญี่ปุ่นเชื่อว่าต้องมาสักการะให้ได้สักครั้งในชีวิต ศาลเจ้านี้เรียกกันทั่วไปว่า ‘อิเสะจิงงุ’ (ศาลเจ้าหลวงอิเสะ) ตั้งอยู่บริเวณแหลมอิเสะ ในผืนป่าโบราณที่ร่มรื่นเย็นฉ่ำ เต็มไปด้วยไม้ใหญ่หลายคนโอบ บรรยากาศแลขลังและศักดิ์สิทธิ์มาก อย่างไรก็ตาม ในบริเวณศาลเจ้าหลักนั้นห้ามถ่ายภาพ และส่วนในสุดห้ามไม่ให้เข้า แต่เชื่อกันว่าเป็นที่เก็บรักษาสมบัติ 3 อย่าง อันเป็นตัวแทนความเชื่อสูงสุดในลัทธิชินโต คือ คันฉ่อง พระแสงดาบ และอัญมณี ซึ่งใช้เป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันเป็นเสมือนตัวแทนที่ติดต่อกับเทพเจ้าได้
5. เที่ยวถนนคนเดินย้อนยุคสุดชิล โอคาเงะ โยโคโช
หลังจากสักการะศาลเจ้าหลวงแห่งอิเสะเรียบร้อยแล้ว คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการเดินต่อเนื่องเข้าสู่ ‘ถนนคนเดินโอฮาริ มาชิ และโอคาเงะ โยโคโช’ (Oharai machi and Okage yokocho) สองหมู่บ้านโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะจนถึงเมจิ สองฟากฝั่งเต็มไปด้วยบ้านเรือนเก่าใหม่ และหลากหลายร้านรวงน่าแวะชม ทั้งร้านอาหาร ร้านน้ำชา ร้านขนม ร้านสาหร่าย และร้านขายของที่ระลึก บรรยากาศย้อนยุคดีเหลือเกิน ใครชอบถ่ายภาพ หรือชอบซื้อหาสินค้า Handmade น่ารักๆ มาเที่ยวที่นี่ไม่ผิดหวังชัวร์
6. เยี่ยมชม Mikimoto Pearl Island ไข่มุกคุณภาพดีที่สุดในโลก!
เป็นเวลากว่า 160 ปีมาแล้ว ที่คุณปู่ Kokichi Mikimoto ได้ก่อตั้งฟาร์มเลี้ยงหอยมุก Mikimoto ขึ้น โดยการนำหอยมุกพันธุ์ Agoya ที่คัดมาเป็นอย่างดี นำมาเลี้ยงในน้ำทะเลอันใสสะอาดของชายฝั่งแปซิฟิกจังหวัดมิเอะ จนได้หอยมุกคุณภาพเยี่ยมที่ทั่วโลกกล่าวขาน เพราะมีคุณภาพยอดเยี่ยมที่สุด ทั้งขนาด รูปทรง ความแวววาว สีสัน นับเป็นสมบัติล้ำค่าจากท้องทะเลที่ควรค่าแก่การสวมใส่อย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชม ‘เกาะไข่มุกมิกิโมโตะ’ หรือ Mikimoto Pearl Island ได้ มีส่วนพิพิธภัณฑ์ ร้านจำหน่าย ร้านอาหาร และสาธิตการดำน้ำเก็บหอยของ ‘อามะ’ (Ama) นักดำน้ำหญิงแห่งมิเอะ ที่ดำน้ำตัวเปล่าโดยไม่ใช้ถังอากาศเลย
7. Mie บ้านของ ‘อามะ’ หญิงนักดำน้ำโดยไม่ใช้ถังอากาศ
เป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว ที่ ‘อามะ’ (Ama) หรือ ‘นักดำน้ำหญิง’ (Woman Diver) แห่งจังหวัดมิเอะ มีบทบาทสำคัญยิ่งยวด ในกิจการผลิตหอยมุกอันมีชื่อเสียง เพราะพวกเธอคือคนที่ดำดิ่งลงสู่ใต้ทะเลสีคราม เพื่อเก็บหอยมุกขึ้นมา หรือเมื่อมีพายุไต้ฝุ่นและคลื่นแรงจัด พวกเธอก็ต้องดำน้ำลงไปย้ายหอยมุกเข้าสู่ที่ปลอดภัย นับเป็นภาระกิจหนักหน่วงที่เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง แม้ทุกวันนี้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าขึ้นมาก และอาชีพหญิงนักดำน้ำจะไม่จำเป็นอีกแล้ว ทว่าจังหวัดมิเอะและ Mikimoto Pearl Island ก็ยังอนุรักษ์อาชีพโบราณอันทรงเกียรตินี้ไว้ให้ชมกัน เล่ากันว่า นอกจากจะดำน้ำเก็บหอยมุกแล้ว ในการดำน้ำแต่ละครั้งพวกเธอยังเก็บหอยเป๋าฮื้อ สาหร่ายทะเล และสัตว์ทะเล ขึ้นมาเลี้ยงครอบครัวและขายยังชีพด้วย
8. เก็บสตรอว์เบอร์รี่สดใหม่ลูกใหญ่จากสวน ชิมได้ทันที ที่ Aqua Ignis
ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ผลไม้อย่างหนึ่งที่จะผลิลูกออกอย่างดกดื่นในจังหวัดมิเอะก็คือ ‘สตรอว์เบอร์รี่’ แสนอร่อย ลูกใหญ่ แถมยังหวานฉ่ำ กลิ่นหอมติดลิ้นติดจมูกซะเหลือเกิน มีหลายฟาร์มให้เข้าชมและเก็บกินได้ทันที เพราะเขาปลูกด้วยวิธีออร์แกนิก ปราศจากสารพิษ สถานที่ก็สะอาดสะอ้าน โดยเฉพาะที่ Aqua Ignis ร้านอาหารสไล์โมเดิร์น ที่จัดส่วนหนึ่งไว้เป็นฟาร์มสตรอว์เบอร์รี่ในโรงเรือนอย่างดี ชิมกันให้อิ่มแปล้ไปเลย กินได้เต็มที่ เขาไม่ว่า เพียงแต่อย่าเก็บใส่กระเป๋ากลับบ้านก็แล้วกัน ฮาฮาฮา
9. ชิมเนื้อมัตสึซากะ ระดับ 5A ความอร่อยระดับโลก!
สำหรับคนที่ชื่นชอบการรับประทานเนื้อวัวเป็นชีวิตจิตใจ แค่ได้ยินฉายา ‘King Of Beef’ ของเนื้อวัวมัตสึซากะแห่งจังหวัดมิเอะ ก็คงต้องน้ำลายสอแน่นอน! เพราะเนื้อมัตสึซากะถือเป็นเนื้อวัวคุณภาพดีที่สุด และแพงที่สุดในโลก ตามมาติดๆ ด้วยเนื้อวัวโกเบ และเนื้อวัววากิว เขาบอกว่าที่เนื้อมัตสึซากะอร่อยล้ำถึงเพียงนี้ก็เพราะเป็นสายพันธุ์ American Black Cattle ที่นำเข้ามาจากอเมริกาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนมีการพัฒนาสายพันธุ์ให้เป็น Japanese Black ในปัจจุบัน บวกกับวิธีการเลี้ยงสุดพิสดาร คือเปิดเพลงให้วัวฟัง มีการนวด ให้กินอาหารที่มีกากใยสูง และให้ดื่มเบียร์คิดเป็นปริมาณกว่า 6 ขวดต่อวัน ฯลฯ นอกจากนี้ยังเป็นการเลี้ยงให้โตแบบช้าๆ จึงเกิดเส้นไขมันร่างแห หรือไขมันลายหินอ่อน (Shimo furi) แทรกซึมอยู่ระหว่างเนื้อแดง เมื่อนำมาปิ้งย่างให้สุกปานกลาง จิ้มน้ำจิ้มหรือโรยเกลือเล็กน้อย กินเข้าไปมันจะละลายในปากทันที!
10. Mie ดินแดนแห่ง Seafood สดใหม่ เรายกทะเลมาไว้ที่นี่
สำหรับ Foodie Traveler หรือนักเดินทางที่ชอบเที่ยวไปชิมไป เพื่อค้นหาความอร่อยในแบบต้นตำรับของแต่ละท้องถิ่น ขอบอกว่าที่จังหวัดมิเอะมีราชาแห่งอาหารทะเลอย่างหนึ่งให้ชิมกัน คือ ‘กุ้งมังกรญี่ปุ่น’ หรือ Japanese Lobster เป็นกุ้งมังกรตัวยาวกว่า 1 ฟุต จับกันจากธรรมชาติจริงๆ โดยกล่าวกันว่าที่ อ่าววากุ เมืองชิมะ จังหวัดมิเอะ เป็นจุดที่มีกุ้งมังกรชนิดนี้ชุกชุมที่สุดในญี่ปุ่น ชาวประมงจะออกเรือไปวางลอบดักกุ้งในตอนกลางคืน (เพราะกุ้งชนิดนี้ออกหากินตอนกลางคืน) แล้วออกไปกู้ลอบในตอนเช้า การได้ชิมเนื้อกุ้งมังกรสดๆ จากทะเลสักครั้ง โดยนำมาเผาไฟให้สุกพอดีๆ จึงถือเป็นหนึ่งในสุดยอดความอร่อยที่พลาดไม่ได้จริงๆ นอกจากนี้มิเอะ ยังมีอาหารทะเลทั้ง กุ้ง หอย ปลา และหมึกทะเลตัวใหญ่ รอให้เราไปชิมด้วยนะจ๊ะ
11. อธิษฐานให้ความรักสมหวัง ที่หินแต่งงาน Wedding Rock
สำหรับคนที่ยังไม่มีแฟน หรือมีคู่แล้วแต่ต้องการให้ความรักมั่นคงยืนยาว ขอแนะนำให้ไปเที่ยวที่ ‘หินแต่งงานแห่งมิเอะ’ (Wedding Rock หรือ Marrige Couple Rocks) ซึ่งคนญี่ปุ่นเรียกว่า ‘Meoto Iwa’ เป็นหินสองก้อนตั้งอยู่ในทะเลใกล้ชายฝั่ง บริเวณศาลเจ้าฟุตามิโอคิทามะ (Futami Okitama Shrine) หินก้อนหนึ่งมีขนาดใหญ่ อีกก้อนเล็กกว่า เชื่อมโยงกันด้วยเชือกฟางเส้นใหญ่คล้ายมงคลงสมรสของบ่าวสาวในวันแต่งงาน เรียกว่า ‘ชิเมนาวะ’ (Shimenawa Rope) ตามตำนานหมายถึงคู่สามีภรรยา คือ เทพอิซานากิ (Izanagi no Okami) และเทพอิซานามิ (Izanami no Okami) ผู้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นบนโลก และให้กำเนิดเทพต่างๆ อีกมากมาย
Special Thanks : บริษัท เวิล์ดโปร แทรเวิล จำกัด (World Pro Travel Co., Ltd.) สนับสนุนการเดินทางจัดทำสารคดีเรื่องนี้เป็นอย่างดีเยี่ยม
สนใจไปเที่ยวมิเอะ ติดต่อ โทร. 0-2026-3372, line id : wpoutbound หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.worldprotravel.com/tour-program
และ www.facebook.com/WorldProTravel หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ outbound@worldprotravel.com
TEATA พาเที่ยวปีใหม่ รวมใจไปตลาดน้อย
สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย หรือ TEATA ชื่อนี้หลายคนคงคุ้นหูอยู่บ้าง เพราะเป็นหนึ่งในสมาคมสำคัญของวงการท่องเที่ยวไทย ที่มีผลงานชั้นแนวหน้าด้านวิชาการ และทำงานเจาะลึกทั้งเรื่องชุมชน ธรรมชาติ ผจญภัย และเชิงวัฒนธรรมมานานจนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากมาย
ในโอกาสต้อนรับปีใหม่ เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2018 สมาคม TEATA จึงได้จัดงานพบปะสังสรรค์ระหว่างสมาชิก แต่จะธรรมดาได้ไง เพราะชาว TEATA เจอกันทีไร ก็ต้องทั้งสนุก เฮฮา และได้ความรู้ไปพร้อมๆ กัน ด้วยการจัดทริปเดินเที่ยวย้อนรอยอดีตย่านการค้าโบราณแห่งสยามริมน้ำเจ้าพระยา บริเวณเขตสัมพันธวงศ์ แถวๆ ตลาดน้อย แล้วนั่งเรือข้ามไปเขตคลองสานฝั่งธนบุรีด้วยล่ะ
ชาว TEATA นัดรวมพลกันที่โรงแรม River City ริมแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมฟังบรรยายสรุปจากวิทยากรผู้ทรงภูมิปัญญาอย่างยิ่ง
จุดแรกที่ได้สัมผัสคือ โบสถ์กาลหว่าร์ หรือ วัดแม่พระลูกประคำ (Holy Rosary Church) เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ทรงโกธิค ตั้งอยู่ที่ซอยวานิช 2 แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กทม. โบสถ์แห่งนี้ไม่ใช่โบสถ์หลังแรก หากแต่เป็นโบสถ์หลังที่สาม ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อทดแทนโบสถ์หลังเดิมที่ถูกทิ้งร้างภายหลังเพลิงไหม้ใหญ่ใน พ.ศ. 2470 โบสถ์ในปัจจุบันสร้างขึ้นโดยคุณพ่อแดซาลส์ ชาวฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. 2434 ปัจจุบันโบสถ์มีอายุ 126 ปี ถือเป็นโบสถ์เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ชาวสมาชิก TEATA ชักภาพพร้อมหน้าพร้อมตาด้านหน้าโบสถ์กาลหว่าร์ (โบสถ์กาลวาริโอ้)
ถัดมาเราก็มาถึง ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย หรือชื่อเดิม แบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด ‘บุคคลัภย์’ (Book Club) เป็นสถาบันการเงินแห่งแรกของประเทศไทย ก่อตั้งโดย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2447 หลังจากการขยายตัวของบุคคลัภย์ ‘บริษัท แบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด’ ได้กำเนิดขึ้นจากพระบรมราชานุญาตของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ให้ดำเนินการเป็นธุรกิจธนาคารพาณิชย์แห่งแรกของสยามอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2449 จวบจนทุกวันนี้
จากที่ตั้งเดิมของบุคคลัภย์ ที่ตำบลบ้านหม้อ อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร ได้ใช้เป็นที่ทำการชั่วคราวของ ‘แบงค์สยามกัมมาจล’ เมื่อกิจการขยายตัวทำให้ต้องมีการขยายออฟฟิศ จึงย้ายธนาคารไปอยู่ที่ ‘ตลาดน้อย’ เพราะทำเลดี เนื่องจากติดแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่ใกล้แหล่งค้าขายใหญ่อย่างเยาวราชและสำเพ็ง อีกทั้งยังมีคนไทยและจีนอาศัยอยู่บริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก โดยอาคารหลังใหม่นี้เป็นสถาปัตยกรรมตะวันตก ออกแบบโดยนายช่าง Anibale Rigotti และ Mario Tamagno ชาวอิตาเลียน ใช้ทุนสร้างประมาณ 300,000 บาท จนเสร็จสมบูรณ์ แล้วย้ายมาเมื่อ พ.ศ. 2451
ได้เวลาเดินลัดเลาะตรอกซอกซอยเข้าสู่ ‘ชุมชนตลาดน้อย’ หนึ่งในชุมชนเก่าแก่ที่สุดริมแม่น้ำเจ้าพระยา กำเนิดมาตั้งแต่ก่อนสมัยรัชกาลที่ 1 เลยด้วยซ้ำ ทุกวันนี้จึงมีวิถีชีวิตของชาวจีนเก่าๆ ให้เราได้สัมผัส
บางตรอกซอกซอยของตลาดน้อยยังคมีสถาปัตยกรรมแบบจีนผสมฝรั่งให้ชม โดยจุดนี้เคยเป็นตรอกโรงฝิ่นเมื่อครั้งอดีต
‘บ้านโซวเฮงไถ่’ (หรือ บ้านดวงตะวัน) เป็นหนึ่งในคฤหาสน์ของคหบดีเก่าแก่ อายุกว่า 220 ปี ซึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมในปัจจุบัน คฤหาสน์นี้สร้างตามสถาปัตยกรรมแบบฮกเกี้ยนแต้จิ๋ว วางผังบ้านแบบคหบดีที่มั่งคั่งในสมัยนั้น ที่เรียกว่า 4 เรือนล้อมลาน ด้านหน้าประตูทางเข้ามีศิลปกรรมฝาผนังแบบจีนให้ชมอย่างวิจิตรงดงามมาก
ในชุมชนตลาดน้อย ยังมีบ้านทำหมอนจีนโบราณ หลังสุดท้าย ที่ผลิตหมอนทุกใบด้วยมืออย่างประณีตงดงาม โดยหมอนเหล่านี้จะนำไปใช้ในพิธีมงคลต่างๆ ล้วนสะท้อนความเชื่อ ความศรัทธาของชาวจีนโพ้นทะเล ที่อพยพมาตั้งรกรากพึ่งพระบรมโพธิสมภารบนแผ่นดินสยาม หมอนทุกใบเป็นงาน Handmade ล้วนๆ ต้องช่วยกันอุดหนุนแล้วล่ะ
ศาลเจ้าพ่อโจวซือกง เป็นศาลเจ้าใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชุมชนตลาดน้อย ในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจจะมีผู้คนนับหลายหมื่นหลั่งไหลเข้ามาสักการะ อีกทั้งมีการแสดงงิ้วที่ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองไทย เป็นประจำทุกปี
ชาวสมาชิก TEATA ชักภาพร่วมกันหน้าศาลเจ้าโจวซือกง ก่อนเข้าไปกราบสักการะขอพร
มุมสุดคลาสิกในชุมชนตลาดน้อย เหมือนได้เดินย้อนอดีตเลยจริงๆ
จากตลาดน้อยเราเดินทะลุไปถึงชุมชนใน เขตสัมพันธวงศ์ ซึ่งมีชาวจีนอาศัยอยู่มาตั้งแต่ตอนแรกเริ่มกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว โดยผู้คนได้ย้ายมาจากเขตพระนครในปัจจุบัน มีถนนวานิช 1 หรือ ‘ถนนสำเพ็ง’ เป็นศูนย์กลางของชุมชนชาวจีน จวบจนสร้างถนนเยาวราชเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อ พ.ศ. 2435 เยาวราชจึงกลายเป็นศูนย์กลางชาวจีนมาแทนจนถึงปัจจุบัน สันนิษฐานกันว่าเขตสัมพันธวงศ์คงตั้งชื่อตามวัดที่ตั้งนั่นเอง (วัดสัมพันธวงศาราม)
เดินเตร็จเตร่เข้าไปในชุมชนเขตสัมพันธวงศ์ (ถนนที่จะไปถึงหน้าวัดสัมพันธวงศาราม) ด้านขวามือจะผ่านอาคารพาณิชย์สูง 4 ชั้น ของ บริษัท เจียไต๋ จำกัด ต้นกำเนิดเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ CP ในปัจจุบัน จากถนนเล็กๆ เส้นนี้ถ้าเดินผ่านหน้าวัดสัมพันธวงศาราม ก็จะไปทะลุถึงถนนเยาวราชได้ใกล้นิดเดียว นับเป็นทำเลทองที่มีฮวงจุ้ยดีเลิศ ทำการค้าขายได้ร่ำรวยจากอดีตมาถึงปัจจุบัน
ตึกฝรั่งในเขตวัดสัมพันธวงศาราม
ในสมัยรัชกาลที่ 3 ด้านหน้าวัดเกาะมีโรงพิมพ์ของบุคคลผู้มีชื่อเสียงมากจนถึงทุกวันนี้ คือ หมอบรัดเลย์ (แดเนียล บีช แบรดลีย์) ซึ่งชาวสยามในยุคนั้นเรียกทับศัพท์ว่า ‘หมอปลัดเล’ เป็นนายแพทย์ชาวอเมริกันที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในสยาม และยังเป็นผู้เริ่มต้นการพิมพ์อักษรไทยในสยามเป็นครั้งแรก และทำการผ่าตัดในสยามเป็นครั้งแรกด้วย ท่านจึงเป็นบุคคลที่มีคุณูปการต่อสยามอย่างยิ่ง แม้ว่าการพิมพ์ครั้งแรกนั้นจะเป็นเอกสารเกี่ยวกับการเผยแพร่คริสตศาสนาก็ตามที
ใกล้เที่ยงแล้ว แต่สมาชิก TEATA ก็ยังไม่หมดแรง พากันไปเที่ยวชม ‘วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร’ พระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งพระนคร ถนนทรงวาด ติดต่อกับถนนสำเพ็ง แขวงสัมพันธวงศ์ เดิมชื่อ ‘วัดสำเพ็ง’ ตามชื่อถนนหน้าวัด ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 พระราชทานนามใหม่ว่า ‘วัดปทุมคงคา’
วัดนี้มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา รัชกาลที่ 1 เมื่อครั้งแรกสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดเกล้าฯ ให้พระยาธรรมาธิกรณ์ (บุญรอด บุณยรัตพันธ์) กับพระวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมช่างและไพร่ไปกะที่สร้างพระนครใหม่ ณ ฝั่งตะวันออก โปรดเกล้าฯ ให้พระยาราชาเศรษฐี และคนจีนย้ายไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่สวน ตั้งแต่คลองวัดสามปลื้ม (วัดจักรวรรดิราชาวาส) ไปจนถึงคลองวัดสำเพ็ง (วัดปทุมคงคา) และเห็นว่าเป็นวัดโบราณที่ทรุดโทรมมาก สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมใหม่ทั้งวัด จากนั้นรัชกาลที่ 1 จึงพระราชทานนามใหม่ว่า ‘วัดปทุมคงคา’ภายในวัดปทุมคงคา มีเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองสีขาวสะอาดนับสิบองค์เรียงรายอยู่โดยรอบ กล่าวกันว่าในเขตเกาะรัตนโกสินทร์มีเพียงไม่กี่วัดที่มีลักษณะนี้ เพราะต้องเป็นวัดที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น
ภายในพระอุโบสถวัดปทุมคงคา ประดับประดาด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังยุคต้นรัตนโกสินทร์ สังเกตได้จากภาพเทพชุมนุมบนฝาผนังสองด้าน อันเป็นลักษณะจำเพาะของช่วงรัชกาลที่ 1-3
ระเบียงคดสี่ด้านรอบโบสถ์วัดปทุมคงคา มีพระพุทธรูปปางต่างๆ นับร้อยองค์ประดิษฐานไว้ให้สักการะ
ถ้าสังเกตให้ดี จะพบช่องบรรจุอัฐิของ ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และภริยา อยู่ที่ช่องเก็บในระเบียงคดวัดปทุมคงคานี้เอง ใครที่อยากรำลึกและแสดงความเคารพในคุณงามความดีของท่าน ก็ขอเชิญมาได้นะ
หินประหาร คือหินก้อนใหญ่ที่นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานกันว่า น่าจะใ้ช้เป็นหินสำเร็จโทษเจ้านายที่กระทำความผิดร้ายแรงในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยเป็นเจ้านายพระองค์สุดท้ายของสยามที่ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทร์
เดินเที่ยวกันมากว่าครึ่งวัน ตอนนี้ก็เริ่มหมดแรงแล้ว ได้เวลาเข้าห้องแอร์เย็นฉ่ำ กินเลี้ยงปีใหม่ในสไตล์ TEATA นอกจากสมาชิกของสมาคมเองแล้ว ยังมีพันธมิตรที่ดีจาก สกว. , CBTI , KTC , สื่อมวลชน และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้บรรยากาศการรรับประทานอาหารเที่ยงในวันนั้น เป็นไปอย่างอบอุ่นอย่างยิ่ง โดยมี คุณนีรชา วงศ์มาศา นายกสมาคม TEATA กล่าวต้อนรับเพื่อนพ้องน้องพี่ทุกคน
ระหว่างรับประทานอาหาร ยังมีการจับแจกลุ้นโชคของรางวัลรับปีใหม่ 2018 อย่างสนุกสนาน
อิ่มหนำกันถ้วนหน้าจากอาหารเที่ยงแสนอร่อยที่ถนนเยาวราช เราก็เดินย้อนมาลงเรือข้ามฟาก ข้ามจากฝั่งกรุงเทพฯ ไปยังเขตคลองสาน ฝั่งธนบุรี
เราข้ามเรือมาสู่ วัดทองธรรมชาติวรวิหาร (ชาวบ้านเรียกกันสั้นๆ ว่า ‘วัดทองธรรมชาติ’) ถนนสมเด็จเจ้าพระยา แขวงวัดทองนพคุณ เขตคลองสาน กรุงเทพฯ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาเยื้องฝั่งลำน้ำกับวัดปทุมคงคา วัดนี้เป็นวัดโบราณไม่ปรากฏว่าสร้างมาแต่สมัยใดและใครเป็นผู้สร้าง แต่เรียกกันว่า ‘วัดทองบน’ เนื่องจากมีวัดทองตั้งอยู่ใกล้กัน 2 วัด
สิ่งที่ห้ามพลาดชมด้วยประการทั้งปวงในวัดทองธรรมชาติ คือภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างชั้นครู ที่ถือว่าเป็น 1 ใน 10 ภาพจิตรกรรมฝาผนังของยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่ยังสมบูรณ์ที่สุด โดยส่วนใหญ่วาดเป็นภาพพุทธประวัติในตอนต่างๆ นับเป็นสมบัติล้ำค่าของชาติที่เราต้องช่วยกันหวงแหน
ผ้าพระบฎอายุนับร้อยปีใส่ไว้ในกรอบทองประดับเหนือประตูหน้าต่างทุกบาน ของพระอุโบสถวัดทองธรรมชาติ คืออีกหนึ่งมรดกแห่งแผ่นดินที่เราต้องช่วยกันรักษา
ทริปแสนสนุกในวันนี้ของ TEATA จบลงอย่าง Happy ที่ ‘ล้ง 1919’ โกดังสินค้าเก่าที่ได้รับการปรับโฉมใหม่ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เปรียบเสมือนท่าเรือประวัติศาสตร์ศิลป์ไทย-จีน ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เขตคลองสาน ฝั่งธนบุรี นี่คือจุดเชื่อมความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกว่า 167 ปีแล้ว
แม้วันนี้ทริปจะจบลงและเราต้องจากกัน แต่แน่นอนว่า ความผูกพันอันเหนียวแน่นของพี่น้องชาว TEATA ยังคงอยู่ เราจะกลับมาพบกันใหม่ เพื่อสรรค์สร้างกิจการงานดีๆ แก่วงการท่องเท่ียวไทย และผืนดินไทย ผืนดินที่เราเรียกว่าบ้านอันเป็นที่รักของเราทุกคน Happy New Year 2018 จ้า
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ TEATA เลขที่ 608/10 ชั้น 1 อาคารบี คอนโดเอสเปซ ถนนอโศก-ดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10170 โทร. 0-2006-0770, 08-3250-9343