จากพุกามถึงย่างกุ้ง ย้อนรอยทุ่งพระเจดีย์ที่โลกตะลึง
แสงแรกของอรุณเบิกฟ้าส่องประกายสีทองอาบไล้ไปทั่วนภาและหมู่เมฆ พลันแสงทองมลังเมลืองค่อยๆ ทวีความเข้มข้นของรังสีแสง ฉานฉายไปตกต้องยอดเจดีย์สีทององค์มหึมา และเจดีย์น้อยใหญ่อีกกว่า 3,000 องค์ในทุ่งราบกว้างสุดลูกหูลูกตานั้น ‘พุกาม’ เมืองโบราณที่ตั้งซ้อนทับอยู่ในห้วงเวลาปัจจุบัน พลันนำเราย้อนกลับสู่อดีตกาลได้อย่างอัศจรรย์
ถ้าสยามประเทศคือเมืองแห่งวัด กัมพูชาคือเมืองแห่งปราสาทหิน ก็แน่นอนว่า ‘พุกาม’ (Bagan) ย่อมต้องเป็นเมืองแห่งเจดีย์อย่างแน่นอน สะท้อนว่าในยุคอดีตที่พุกามเคยเป็นเมืองหลวงของเมียนมาร์นั้น ดินแดนบนที่ราบกว้างใหญ่ห่างจากย่างกุ้งขึ้นมาทางทิศเหนือ 700 กิโลเมตรนี้ คือศูนย์กลางแห่งพุทธศาสนา อันรุ่งเรืองสุดขีด ตั้งแต่พระมหากษัตริย์ ราชนิกุล ขุนนาง พ่อค้า ไปจนถึงปุถุชนธรรมดา ล้วนแข่งกันสร้าง ‘เจดีย์’ เพื่อใช้เป็นตัวแทนแห่งพุทธองค์ จนในยุคอดีตนั้นกล่าวกันว่ามีเจดีย์น้อยใหญ่อยู่กว่า 5,000 องค์!
เจดีย์ชเวสิกอง สถานที่แรกในพุกามที่ฉันไปเยือน คือ 1 ใน 5 มหาบูชาสถานของเมียนมาร์ ด้วยว่าเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุสำคัญที่สุดในพุกาม ทั้งส่วนพระนลาฏ (หน้าผาก) และพระเขี้ยวแก้ว (พระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า) เจดีย์นี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเก่าพุกาม สร้างโดยพระเจ้าอนิรุทธ์ ทรงอธิษฐานให้ช้างเผือกที่มีพระเขี้ยวแก้วจากศรีลังกาอยู่บนหลังออกเดินเสี่ยงทาย ในที่สุดช้างมาหยุดอยู่ตรงนี้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเจดีย์ชเวสิกองขึ้นโดยใช้เจดีย์ชเวดากองเป็นต้นแบบ ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงระฆังทองเรืองรองบนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนกัน 3 ชั้น เจดีย์นี้ส่วนฐานตัน ไม่สามารถเข้าไปภายในฐานได้แบบเจดีย์วิหาร
เจดีย์สัพพัญญู หรือวัดถัดบินยู เป็นเจดีย์สูงที่สุดในพุกาม สูง 61 เมตร ทว่าได้รับความเสียหายหนักจากแผ่นดินไหว ค.ศ. 2016 จึงปิดบูรณะ ปัจจุบันยังไม่เปิดให้เดินขึ้นไปด้านบนได้ ภาพเก่าๆ ที่เราเห็นแสงยามเช้าตรู่ที่มีเจดีย์นับร้อยๆ องค์อยู่ในทุ่ง ส่วนมากก็ถ่ายภาพจากเจดีย์สัพพัญญูนี่เอง เจดีย์นี้มีความพิเศษมากเพราะสร้างขึ้นราวกลางศตวรรษที่ 12 ด้วยศิลปะแบบปาละอินเดีย ซึ่งในกาลต่อมาได้กลายเป็นแม่แบบของศิลปะพุกามเลยทีเดียว เจดีย์แบ่งสัดส่วนเป็น 5 ชั้น โดยชั้นล่างสุดก่อเป็นสี่เหลี่ยมคล้ายตึก ต่อด้วยชั้นลดหลั่นขึ้นไปสู่ปรางบนสุด นับเป็นเจดีย์ที่สวยสง่า และตั้งอยู่ใกล้กับเจดีย์อนันดาอันมีชื่อเสียงอีกองค์หนึ่งของพุกามเจดีย์อนันดา ถือเป็นเจดีย์ที่งามเข้าขั้นเอกอุของพุกาม ยากจะหาเจดีย์ใดเปรียบได้ เพราะงามทั้งรูปทรง สมบูรณ์ด้วยหลักวิศวกรรมศาสตร์ และพร้อมด้วยประโยชน์ใช้สอย เป็นเจดีย์ที่ถูกถ่ายภาพมากที่สุดองค์หนึ่ง ของพุกามก็ว่าได้ เพราะส่วนยอดนั้นฉาบไปด้วยทองคำแท้เหลืองอร่ามสุกปลั่งอย่างน่าตื่นตะลึง เจดีย์อนันดาเป็นเจดีย์วิหาร ภายในส่วนฐานจึงเข้าไปไหว้พระได้ โดยทั้งสี่ทิศมีพระพุทธรูปแกะสลักด้วยไม้ สูงกว่า 9.50 เมตรประจำทิศ ตำนานการสร้างนั้นเล่าว่า พระเจ้ากยันสิตถาเกิดนิมิตเห็นถ้ำในเทือกเขาหิมาลัย อันเป็นที่สถิตของพระอรหันต์และพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ.1091 เสร็จแล้วก็สั่งประหารช่างฝีมือทั้งหมด! เพื่อไม่ให้มีการสร้างเลียนแบบได้งามเท่า!
เจดีย์สุลามณี แม้ปัจจุบันส่วนยอดจะหักพังลงมาจากแผ่นดินไหว ค.ศ. 2016 แต่เจดีย์สุลามณี ก็ยังคงความงามขั้นเอกอุ ด้วยการก่ออิฐที่กล่าวกันว่างดงามที่สุดแห่งหนึ่งในพุกาม เพราะพระเจ้านราสินธู ผู้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างทรงเข้มงวดกับการเรียงอิฐมาก ตัวเจดีย์วิหารนี้มีลักษณะคล้ายเจดีย์ติโลมินโล ส่วนปรางค์ยอดมีความคล้ายคลึงกับเจดีย์อนันดามาก ทว่ามิได้หุ้มทองคำไว้ ภายในงามล้ำด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างชั้นครู พระพุทธรูปประจำทิศทั้งสี่งามเหลือกำลัง ถูกแสงภายนอกส่องเข้ามาตกต้องด้วยการจัดแสงผ่านซุ้มประตูโค้งอันชาญฉลาด จึงงามล้ำข้ามกาลเวลา
เจดีย์นันพญา เป็นเจดีย์ที่มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจมาก เพราะพระเจ้าอโนรธา มหาราชองค์แรกของเมียนมาร์ เคยใช้เป็นที่จองจำเชลยศักดิ์คือพระเจ้ามนูหะกษัตริย์มอญที่กระด้างกระเดื่อง โดยระหว่างนั้นพระเจ้ามหูหะได้สร้างวิหารมนูหะขึ้นในบริเวณใกล้ๆ กัน เพื่อใช้ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่องค์หนึ่งไว้ภายในวิหารเล็กจิ๋วจนแลคับแคบ ปัจจุบันเรียกกันว่า ‘พระเจ้าอึดอัด’ เพื่อใช้แทนภาวะที่พระองค์ต้องถูกคุมขังอยู่ และในส่วนของเจดีย์นันพญานั้น กล่าวกันว่าเป็นเจดีย์ที่มีการผสมผสานของพุทธศาสนาสกลุช่างพุกามและฮินดูเข้าด้วยกัน เพราะภายในมีฐานที่เคยใช้ประดิษฐานพระพุทธรูป ทว่าปัจจุบันเต็มไปด้วยลายหินจำหลักนูนต่ำแบบฮินดู นี่คือการเลื่อนไหลของวัฒนธรรมจากชมพูทวีป ผ่านพุกาม เข้าไปสู่เมืองขอม และสยามประเทศ
เจดีย์ธัมมะยังจี เป็นหนึ่งในมหาเจดีย์ยิ่งใหญ่ที่สุดของพุกาม ซึ่งฝรั่งตะวันตกเห็นแล้วแตกตื่น เนื่องจากรูปทรงคล้ายพีระมิดของอียิปต์หรือพีระมิดของแม็กซิโกนั่นเอง! นอกจากนี้ยังถือเป็นเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของพุกามด้วย ประวัติบันทึกว่าสร้างโดยพระเจ้านราสุ ที่ลอบฆ่าพระบิดาของตนเองเพื่อขึ้นครองราชย์ พระเจ้านราสุจึงสร้างเจดีย์ธัมมะยังจีเพื่อไถ่บาปตนเอง ให้เป็นมหาเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่เทียบเจดีย์อนันดาและเจดีย์สัพพัญญู โดยทรงสั่งให้ช่างเรียงอิฐให้แน่นสนิทที่สุด เวลามาตรวจงานจะทรงใช้เข็มหมุดสอดเข้าไประหว่างช่องอิฐ ถ้าสอดเข็มได้ช่างคนนั้นจะถูกตัดแขน! หรือแม้แต่ซุ้มประตูโค้งต่างๆ ก็ยังใช้การเรียงอิฐที่ชิดสนิทแนบอย่างเหลือเชื่อ!
เจดีย์โลกะนันดา เป็นหนึ่งในเจดีย์เก่าแก่ที่สุดของพุกาม สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าอโนรธา ครั้งพระพุทธศาสนาในพุกามรุ่งเรืองสุดขีด ตัวเจดีย์สร้างเป็นทรงน้ำเต้าแบบพุกามสมัยนิยม เคลือบคลุมด้วยทองคำเหลืองอร่าม ที่สำคัญคือตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอิรวดี ชาวเรือแต่โบราณล่องไปมา จึงแลเห็นเจดีย์โลกะนันดาตั้งเด่นดั่งหมายแดนสวรรค์ นอกจากจะได้มาเคารพพระบรมสารีริกธาตุแล้ว ที่นี่ยังเป็นจุดชมวิว นั่งพักผ่อน และมีแม่ค้านำกุ้งฝอยในแม่น้ำอิรวดีมาชุบแป้งทอดเป็นกุ้งแพขายอย่างอร่อย
ภูเขาโปป้า (Mt. Popa) มองเผินๆ ก็คือภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว อยู่ห่างจากพุกามไประยะรถวิ่ง 1 ชั่วโมงครึ่ง แต่ถ้าดูกันลึกๆ นี่คือมหาคีรีศักดิ์สิทธิ์แสนลึกลับ และคือที่สุดแห่งความเชื่อเรื่องผีสางของชาวเมียนมาร์เลยล่ะ! เพราะเมื่อหลายพันปีก่อนชาวพม่าไม่ได้นับถือพุทธศาสนา แต่นับถือผี หรือ ‘นัต’ ซึ่งก็คือวิญญาณของคนที่ตายร้ายหรือตายผิดธรรมชาติ แต่เป็นผีมีพลังกลับมาช่วยผู้คน ชาวเมียนมาร์จะทำอะไรจึงต้องไหว้นัตทุกครั้ง ต่อมาสมัยพระเจ้าพระเจ้าอโนรธา ทรงนำพุทธศาสนานิกายเถรวาทเข้าสู่พุกาม แต่คนก็ยังไม่เลิกกราบไหว้นัต พระองค์จึงทรงจัดระเบียบนัตใหม่ จากนัตเป็นร้อยๆ ที่เคยมี ทรงกำหนดให้เหลือแค่ 37 ตน แล้วนำไปสถิตไว้บนภูเขาโปป้า หรือ ‘มหาคีรีนัต’ ให้คนนับถือควบคู่กับพุทธศาสนา ปัจจุบันนี้ใครอยากไหว้นัตก็ต้องเดินขึ้นบันได 777 ขั้น สู่ยอดเขา ขอเตือนว่าลิงที่มีอยู่ตลอดทางเดินขึ้นลงเขานั้นน่ากลัวกว่านัต! เพราะพวกมันรอฉกของจากเราอยู่นะสิ!
ฉันบินกลับจากพุกามสู่ ย่างกุ้ง ราวกับการพาตัวเองย้อนกลับจากอดีตสู่ปัจจุบันอย่างฉับพลัน กลิ่นอายของความทรงจำดีๆ ภาพของอิฐหินนับล้านก้อนที่ก่อรูปขึ้นเป็นเจดีย์พันๆ องค์ ยังคงตรึงอยู่ในใจฉัน แต่ก่อนกลับบ้านฉันมีเวลาอยู่ในย่างกุ้งอีก 1 วัน 1 คืน เพื่อ Say Hello กับอดีตเมืองหลวงของเมียนมาร์นี้ เพราะถ้าไม่ได้เที่ยวย่างกุ้ง ก็จะเหมือนฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทย แล้วไม่ได้แวะ กทม.!
ย่างกุ้ง (Yangon) หรือ หยั่นก่ง, ร่างกุ้ง (แล้วแต่จะออกเสียง) ในภาษาเมียนมาร์แปลว่า ‘ปราบศรัตรูจนราบคาบ’ หรือ ‘เมืองที่ไร้ศัตรู’ เป็นเมืองเก่ากว่า 2,500 ปี จึงมีเรื่องราวเล่าขานไม่รู้จบ แต่ในเมื่อมีเวลาแค่ 1 วัน ฉันจึงเลือกเที่ยวไฮไลท์ให้คุ้มค่าเวลาที่สุดเจดีย์ชเวดากอง เป็นมหาเจดีย์ขนาดใหญ่ที่สุดในเมียนมาร์ และถือเป็น 1 ใน 5 มหาบูชาสถานของเมียนมาร์ ด้วย โดยคำว่า ‘ชเว’ แปลว่า ‘ทองคำ’ และ ‘ดากอง’ หรือ ‘ตะเกิง’ ก็คือชื่อเดิมของเมืองย่างกุ้งนั่งเอง เจดีย์ชเวดากองสร้างขึ้นเมื่อ 2,500 ปีก่อน โดยตปุสสะและภัลลิกะ วาณิชสองพี่น้องที่เข้าเฝ้าขอประทานพระเกศา 8 เส้นจากพุทธองค์ ทั้งสองจึงอัญเชิญมาบนเนินเขาเสนคุตตระ พระเจ้าโอกะลัปจึงทรงสร้างเจดีย์ครอบไว้ ตัวเจดีย์มีขนาดใหญ่โตโอฬารมาก หุ้มด้วยทองคำ 9,272 แผ่น ส่วนยอดประดับเพชร 4,531 เม็ด ทับทิม ไพลิน และบุษราคัมอีก 2,317 เม็ด รวมทั้งระฆังทอง 1,065 ใบ พร้อมด้วยเพชรหนักถึง 72 กะรัต ขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือบนยอดสุด ทุกวันนี้มีผู้ศรัทธาไปสักการะเนืองแน่นทุกวัน
เจดีย์โบตะทาว และเทพทันใจ ไม่ห่างจากแม่น้ำอิรวดีมากนัก คือที่ตั้งของเจดีย์โบตะทาว ซึ่งประดิษฐานพระเกศาของพระพุทธเจ้าเอาไว้ โดยเมื่อ 2,500 ปีก่อน เมื่อปุสสะและภัลลิกะได้นำพระเกศา 8 เส้น ของพระพุทธองค์มายังย่างกุ้งแล้ว ได้นำมาประดิษฐานไว้ที่นี่เป็นจุดแรก โดยใช้ทหารถึง 1,000 นาย คอยอารักขา จากนั้นจึงแบ่งพระเกศา 1 เส้น บรรจุไว้ใน ‘เจดีย์โบตะทาว’ จึงแปลว่า ‘1,000’ คือทหารทั้งหนึ่งพันนายที่ปกป้องพระเกศาไว้นั่นเอง เจดีย์แห่งนี้เคยถูกทหารสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดจนพังพินาศ จึงมีการค้นพบผอบที่บรรจุเส้นพระเกศา ใกล้ๆ กับเจดีย์โบตะทาวคือวิหารเทพทันใจ หรือนัตโบโบยี ที่กล่าวกันว่าอธิษฐานขอสิ่งใด (ที่ไม่เกินจริง) ก็จะได้สมปรารถนาอย่างรวดเร็วดังติดจรวด!
เรือ Vintage Luxury Yacht Hotel ใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศ มาพักในเรือสำราญเก่าที่จอดเทียบลอยลำนิ่งอยู่ริมแม่น้ำอิรวดีในย่างกุ้ง (ห่างจากเจดีย์โบตะทาวแค่เดิน 10 นาที) ต้องไม่พลาดโรงแรมลอยน้ำแห่งนี้ ความพิเศษอยู่ที่การตกแต่งสไตล์อังกฤษวินเทจ ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ และข้าวของเครื่องใช้ ราวกับว่าเราเป็นแขกคนพิเศษเสมอ (www.vintageluxuryhotel.com)
ลาก่อนพุกาม ลาก่อนย่างกุ้ง ลาก่อนเมียนมาร์ นี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราจะพบกัน ฉันขอสัญญา
Special Thanks : ขอบคุณสายการบิน Myanmar National Airlines สนับสนุนการเดินทางจัดทำสารคดีเรื่องนี้เป็นอย่างดี สนใจติดต่อ www.flymna.com
Traveler’s Guide
When to go : เที่ยวได้ตลอดปี แต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม อากาศเย็นสบายที่สุด
Getting there : เดินทางสะดวกง่ายดาย ด้วยการบินตรงจากกรุงเทพฯ-ย่างกุ้ง กับสายการบิน Myanmar National Airlines ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 10 นาที (สำรองที่นั่ง www.flymna.com) มีบินทุกวัน วันละ 2 เที่ยว จากนั้นบินต่อย่างกุ้ง-พุกาม ด้วยสายการบิน Myanmar National Airlines เช่นกัน ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง
Over night : ย่างกุ้ง แนะนำโรงแรมในเรือสำราญบนแม่น้ำอิระวดี Vintage Luxury Yacht Hotel (www.vintageluxuryhotel.com) และ Sedona Yangon โรงแรมห้าดาวสุดหรู (www.sedonahotels.com.sg/yangon) / ที่พุกาม แนะนำ Bagan Star Hotel (www.baganstarhotel.com)
Special Activity : ขึ้นบอลลูนพุกามกับ Oriental Ballooning (www.orientalballooning.com) และ ล่องเรือแม่น้ำอิระวดีจากพุกาม-มัณฑะเลย์ หรือ พุกาม-ย่างกุ้ง ติดต่อ RV Paukan 2012 (www.paukan.com)
Cuisine : มาเที่ยวเมียนมาร์ทั้งที ถ้าไม่หม่ำอาหารพื้นบ้านแท้ๆ ก็น่าเสียดาย แนะนำ ‘โมฮิงกา’ หรือ ‘ม่งฮิงคา’ (ขนมจีนพม่า) นิยมกินเป็นอาหารเช้า อีกเมนูคือ ‘ข้าวซอยโต้ก’ หรือยำบะหมี่ เหมาะสำหรับคนชอบกินผักเยอะ
Souvenirs : ตุ๊กตาหุ่นเชิดพม่า, งานไม้แกะสลัก, เครื่องเงิน, พลอย, เครื่องเขิน, ผ้าทอ, ผ้าปักลาย, โสร่งพม่า
More info : www.visit-bagan.com และ www.go-myanmar.com
Scuba Diving Lover’s Point! ตะลุยทริปดำน้ำที่เกาะช้างกับที่พักสุดฟิน
Scuba Diving Lover’s Point! ตะลุยทริปดำน้ำที่เกาะช้างกับที่พักสุดฟิน
ทริปนี้เราขอเอาใจคนที่รักการดำน้ำเป็นชีวิตจิตใจหรือมีใจอยากลองดำน้ำดูสักครั้ง! Destination ของเราในครั้งนี้จึงขอมุ่งหน้าไปที่ภาคตะวันออกของประเทศไทยอย่าง เกาะช้าง จ.ตราด แน่นอนว่ากิจกรรมเด็ดของเกาะนี้ นอกจากนอนอาบแดดให้ผิวแทนแบบเจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ, เล่นน้ำทะเลใสๆ, ทานซีฟู้ดให้จุใจ อีกหนึ่งกิจกรรมที่พลาดไม่ได้ก็คือ ดำน้ำ! ความสวยงามใต้ท้องทะเลของเกาะช้าง ถือสวรรค์ของนักท่องเที่ยวที่รักการดำน้ำเป็นที่สุด และวันนี้จะหยิบเอาจุดน้ำดำดีๆ ของเกาะช้างแห่งนี้มาฝากเพื่อนๆ รับรองเลยว่าไม่มีผิดหวัง
จุดดำน้ำยอดฮิตของเกาะช้าง ที่มีความสวยงามระดับตัวท็อปเรียกแม่จะอยู่ที่ 5 จุดใหญ่ๆ ได้แก่ เกาะยักษ์ใหญ่ เป็นสมาชิกของหมู่เกาะรังที่มีปะการังเขากวางสวยๆ ให้เราได้ชม เกาะยักษ์เล็ก เป็นอีกหนึ่งเกาะที่ขึ้นชื่อเรื่องดอกไม้ทะเลมากๆ แถมปะการังที่ของที่นี่ยังมีสีสันสดใสถูกใจวัยรุ่นแน่นอน จุดต่อมาคือเกาะมะปริง เกาะเล็กๆ แต่ปะการังสวยมาก แต่ความสวยของที่นี่มาพร้อมกับความอันตรายที่แฝงตัวมาด้วยนิดหน่อย สำหรับใครที่อยากไปลองดำน้ำที่เกาะมะปริงต้องระวังให้ดี เพราะพิกัดของเกาะนี้เป็นช่วงทะเลเปิด อาจถูกน้ำทะเลพัดออกไปไกลจากเกาะได้ง่ายๆ ขยับออกมาจากตัวเกาะช้างเล็กน้อยก็จะเป็นเกาะคลุ้ม เป็นอีกจุดที่ปะการังสวยสวรรค์สร้างจริงๆ ปิดท้ายด้วยเกาะรัง เกาะเล็กๆ ภายใต้การดูแลของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง เกาะเงียบๆ ที่ไม่มีใครอาศัยอยู่ บรรยากาศสุดธรรมชาติ หาดทรายขาว น้ำใสจนเห็นแนวปะการังและโขดหินใต้น้ำ เป็นสีสันของท้องทะเลที่แท้จริง
หลังจากรู้พิกัดจุดดำน้ำกันเรียบร้อยก็ถึงเวลาหาหนทางให้ได้ไปพิชิตความสวยงามใต้ท้องทะเล การไปดำน้ำที่เกาะช้างนั้น ไม่ใช่ว่ามีเรือก็จะไปกันง่ายๆ นะ เรื่องของท้องทะเลเป็นเรื่องไม่น่าไว้ใจ ทางที่ดีแนะนำว่าให้ซื้อแพ็กเกจทัวร์ราคาไม่แพงที่สามารถหาได้ทั่วไปค่ะ หรือให้ดูเป็นส่วนตัวหน่อยก็ต้องเช่าแล้วหาคนขับเรือไปให้น่าจะดีที่สุด ดังนั้นก็หาที่พักเกาะช้างใกล้กับท่าเรือ หรือบริษัทขายทัวร์จะเป็นหนทางที่ง่ายต่อการเดินทางจะช่วยตอบโจทย์ทริปดำน้ำที่เกาะช้างของเราที่สุดแล้ว! และครั้งนี้เราได้ผู้เชี่ยวชาญพิเศษในการหาที่พักในเกาะช้างอย่าง Traveloka มาช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้น ในการหาที่พักเกาะช้าง ให้ถูกใจ ราคาสบายกระเป๋า แถมยังจองง่าย จ่ายง่ายไม่วุ่นวายปวดหัว จองที่พักเกาะช้างกับ Traveloka กันได้เลย หรือจะลองมาดู 5 ที่พักเกาะช้างเหล่านี้ที่สวยและดีจนอยากบอกต่อ!
1. ซีวิว รีสอร์ท แอนด์ สปา (Sea View Resort & Spa)
ซีวิว รีสอร์ท แอนด์ สปา เกาะช้าง บนไหล่เขาพร้อมชายหาดส่วนตัวท่ามกลางธรรมชาติอันเขียวชอุ่ม ล้อมรอบด้วยต้นมะพร้าวและดอกไม้สวยๆ ตอบโจทย์บรรยากาศทะเล๊ทะเลได้เป็นอย่างดี ยิ่งถ้าได้ชมวิวจากห้องพักจะเห็นท้องทะเลคราม พร้อมหาดทรายขาวละเอียดดีต่อใจสุดๆ จนต้องร้องว้าว! ส่วนเรื่องความสะดวกสบายของที่นี่บอกเลยว่า หายห่วง เพราะอุปกรณ์ เครื่องใช้อำนวยความสะดวกครบครัน แถมมีกิจกรรมให้เราได้เล่นอีกเยอะแยะมากมาย และด้วยพิกัดของ ซีวิว รีสอร์ท แอนด์ สปา แห่งนี้ตั้งอยู่บนหาดไก่แบ้ ซึ่งเป็นพิกัดที่มีบริษัททัวร์ดำน้ำมากมายให้เราได้เลือกสรร รับรองว่าช่วยแบ่งเบาภาระในการหาทัวร์ได้ง่ายทีเดียว
- ราคาเริ่มต้นที่ 2,XXX บาท
- ปักหมุด Google Map
- จองที่พัก ซีวิว รีสอร์ท แอนด์ สปา กับ Traveloka คลิกที่นี่
2. บ้านปู เกาะช้าง (Banpu Koh Chang)
รีสอร์ทแนวธรรมชาติบนหาดทรายขาวที่จะมอบความรู้สึกส่วนตั๊วส่วนตัวให้กับทุกคน ภายใต้ความสวยงามของธรรมชาติและมุมสวยๆ ของหาดทรายขาวแห่งนี้ ตัวห้องพักถูกออกแบบตกแต่งจากความประณีตของช่างฝีมือดีที่มิกซ์แอนด์แมชต์ความพื้นเมืองและความทันสมัยให้เข้ากันได้อย่างลงตัว พร้อมด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกแบบฟูลออฟชั่นที่จะช่วยปลดปล่อยความเครียดให้หายไปกับสายลมทะเล และเกลียวคลื่นสีคราม และแน่นอนว่าเพื่อให้ตอบโจทย์ทริปดำน้ำครั้งนี้ บ้านปู เกาะช้างจึงสามารถเดินทางไปบริษัททัวร์ดำน้ำได้ง่ายๆ ไม่ไกลนักและมีหลายบริษัทให้เราได้เลือกตามสบาย
- ราคาเริ่มต้นที่ 2,XXX บาท
- ปักหมุด Google Map
- จองที่พัก บ้านปู เกาะช้าง กับ Traveloka คลิกที่นี่
3. เซ็นทาราเกาะช้างทรอปิคานารีสอร์ท (Cantara Koh Chang Tropicana Resort)
ทำเลดีสมกับเป็นเซ็นทาราจริงๆ เซ็นทาราเกาะช้างทรอปิคานารีสอร์ทบนหาดคลองพร้าว ใจกลางเกาะช้างฝั่งตะวันตกห้อมล้อมด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ของเกาะช้าง ให้ความเงียบสงบเป็นส่วนตัวพร้อมกิจกรรมสนุกๆ ทั้งกีฬาทางน้ำ สปา สระว่ายน้ำริมทะเล และใกล้สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ เช่น เส้นทางเดินป่า น้ำตก หมู่บ้านชาวประมง แคมป์ช้าง รวมถึงท่าเรือและบริษัททัวร์ดำน้ำที่จะพาเราออกไปเที่ยวชมโลกใต้ท้องทะเลในเกาะอื่นๆ ด้วย
- ราคาเริ่มต้นที่ 3,XXX บาท
- ปักหมุด Google Map
- จองที่พัก เซ็นทาราเกาะช้างทรอนิคานารีสอร์ท กับ Traveloka คลิกที่นี่
4. Resolution Resort
ที่พักส่วนตัวที่เราขอยกให้เป็น One-stop Service เลยก็ว่าได้ เพราะที่ Resolution Resort แห่งนี้สามารถอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวอย่างเราได้ครบจริงๆ ทั้งติดทะเลเพียงแค่ใช้เวลาเดิน 1 นาที มีสระว่ายน้ำกลางแจ้ง อุปกรณ์กีฬาทางน้ำประเภทต่างๆ บริการห้องพักริมชายหาดที่ถูกตกแต่งแบบไทยสมัยใหม่ พร้อมระเบียงอาบแดด เสิร์ฟอาหารท้องถิ่น อาหารนานาชาติและบาร์เครื่องดื่ม พร้อมฟรีเรือรับส่งไปยังท่าเรืออ่าวบางเบ้าที่อยู่ห่างแค่ 2 กิโลเมตร แถมยังมีบริการจัดทริปเที่ยวให้เราแบบไปเช้าเย็นกลับได้สบายๆ และใกล้แหล่งทัวร์ดำน้ำด้วย พักที่ Resolution Resort แห่งนี้นอกจากจะได้ชมสวยๆ ของอ่าวไทยแล้วยังได้ความสะดวกสบายไปในตัวด้วย คุ้มเว่อร์!
- ราคาเริ่มต้นที่ 2,XXX บาท
- ปักหมุด Google Map
- จองที่พัก Resolution Resort กับ Traveloka คลิกที่นี่
5. Amber Sands Beach Resort
สำหรับใครที่อยากหลีกหนีความวุ่นวายทั้งปวง เราขอแนะนำ Amber Sands Beach Resort ทางฝั่งตะวันออกของเกาะช้าง รีสอร์ทเล็กๆ ที่มีห้องพักอยู่เพียงแค่ 8 ห้องเท่านั้น เติมเต็มความทรงจำวันหยุดสบายๆ ด้วยสวนสวยๆ สระว่ายน้ำกลางแจ้ง การต้อนรับที่อบอุ่น ความเงียบสงบบนชายหาดส่วนตัว วิวทะเลสวยจากระเบียงห้องพัก กิจกรรมทางน้ำ ปั่นจักรยาน และสามารถดำน้ำลึก ดำน้ำตื้นกับทางรีสอร์ทได้แบบไม่ต้องไปไหนไกล นอกจากนี้ยังอยู่ไม่ไกลจากท่าเรืออ่าวสับปะรด เพียงแค่ 3-4 กิโลเมตรเท่านั้นพร้อมบริการรับส่งฟรี สะดวกต่อการเดินทางและการดำน้ำสุดๆ
- ราคาเริ่มต้นที่ 3,XXX บาท
- ปักหมุด Google Map
- จองที่พัก Amber Sands Beach Resort กับ Traveloka คลิกที่นี่
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วถ้าไม่ไปเที่ยว ดำน้ำที่เกาะช้างก็คงไม่ได้แล้ว! แต่ถ้าใครยังคิดไม่ตก สถานที่ดำน้ำสวยๆ ก็ไม่มีให้เลือกแค่เกาะช้างหรอกนะ ประเทศไทยยังมี Destination ดีๆ ให้เราได้ไปเยือน ไปเหยียบ ไปดำน้ำกันอีกหลายเกาะ แต่ไม่ว่าจะไปเกาะไหนก็อย่าลืมใช้บริการจองที่พัก จองตั๋วเครื่องบินดีกับ Traveloka ล่ะ ส่วนใครที่ตัดสินใจจะไปเกาะช้างแน่ๆ ก็คลิกเข้าไปหาที่พักเกาะช้างกับ Traveloka ได้เลย รับรองถูกชัวร์!
5 ที่เที่ยวสิงคโปร์ต้องแชะ สำหรับสายอินสตาแกรมสุดชิค
5 ที่เที่ยวสิงคโปร์ต้องแชะ สำหรับสายอินสตาแกรมสุดชิค
สิงคโปร์ไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด แม้จะเคยไปมาแล้ว ก็ยังกลับไปเที่ยวอีกได้ โดยเฉพาะสายแชะ ชอบอัพอินสตาแกรมต้องมาเช็คทางนี้ เพราะครั้งนี้เราได้ Traveloka กูรูจัดการเรื่องเที่ยวให้เป็นเรื่องง่าย มาอัพเดทที่เที่ยวสิงคโปร์ถ่ายรูปสวยมาฝากกัน
แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้นก่อนจะไป เค้าก็แนะนำให้จองที่พักสิงคโปร์กันก่อนที่ Traveloka เพราะรับประกันว่ามีที่พักดีๆ ให้เลือกเยอะเลยทั้งแบบโรงแรมบรรยากาศดี เดินทางสะดวก ไปจนถึงโฮสเทลราคาประหยัด เอาเป็นว่ามีบัดเจ็ทเท่าไหร่ ก็หาที่พักสิงคโปร์ราคาดีได้ที่ Traveloka งั้นรีบจอง แล้วไปเที่ยวกันเลย
1. Fort Canning Park
เริ่มที่แรกกับ Fort Canning Park สวนสาธารณะที่ตอนนี้หลายๆ คนคงจะเคยเห็นมุมยอดฮิตอุโมงค์ต้นไม้นี้ผ่านตาในอินสตราแกรมไม่มากก็น้อย ซึ่งการมาที่นี่ก็ไม่ยาก เพียงมาลงที่สถานี Dhoby Ghaut MRT Station ออกทางออก B เดินไปไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึง แต่นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจและมีประวัติศาสตร์ จากการเคยเป็นที่ตั้งของวังกษัตริย์ชาวมาเลย์และป้อมปราการ โดยรอบๆ นี้ยังมีสิ่งก่อสร้างหลงเหลือไว้ให้เราได้ชมอีกด้วย
2. หอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์
หรือ National Gallery Singapore ซึ่งนับได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดและใหม่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ว่าได้ แน่นอนว่าที่นี่เป็นที่จัดแสดงผลงานทางศิลปะต่างๆ ทุกแขนง แต่ไฮไลท์ย่อมเป็นสถาปัตยกรรมการตกแต่งของที่นี่ซึ่งอลังการงานสร้างเป็นที่ถูกใจของสายแชะ ด้วยภายนอกเป็นอาคารแบบโคโลเนียล ด้านในเป็นการตกแต่งแบบนีโอคลาสสิคที่ผสมผสานความโมเดิร์นไว้อย่างลงตัว ส่วนวิธีการไปก็ไม่ยากมาลงที่สถานี City Hall Station แล้วเดินต่อไปอีกประมาณ 7-10 นาที
3. Little India
ย่านที่เต็มไปด้วยความเป็นวัฒนธรรมและสีสันสดใส แน่นอนว่าต้องถ่ายรูปสวยอย่างแน่นอน โดยความโดดเด่นในย่าน Little India เห็นทีจะเป็นร้านค้าเก่าแก่และร้านค้าใหม่ๆ สำหรับการช้อปปิ้ง ร้านอาหาร โรงแรมที่พักสิงคโปร์ที่เดินทางสะดวก และสถานที่ท่องเที่ยวอย่างวัดฮินดูและมัสยิส พร้อมกับอีกหนึ่งจุดห้ามพลาดคือ Residence of Tan Teng Niah อาคารสีสันสดใส สัญลักษณ์ของย่าน Little India นั่นเอง
4. Marina Barrage
หากคุณอยากถ่ายรูปกับแลนด์มาร์คดังๆ ของสิงคโปร์ให้ได้พร้อมๆ กัน ลองมาลงที่สถานี MRT Marina Bay Station ทางออก B ดู แล้วเดินมาที่ Marina Barrage ซึ่งที่นี่นอกจากจะเป็นเขื่อนกั้นน้ำประเทศสิงคโปร์ขนาดใหญ่แล้ว ด้านบนดาดฟ้ายังถูกออกแบบมาให้เป็นสวนลอยฟ้าขนาดใหญ่ ที่สามารถมองวิวทิวทัศน์ได้แบบ 360 องศา บอกเลยว่าที่นี่แหละ จะทำให้คุณเห็นทั้ง Singapore Flyer, Marina Bay Sands Skypark และ Gardens By The Bay เป็นต้น
5. Bugis
นอกจากบูกิสจะเป็นย่านช้อปที่มีชื่อเสียง โดยมีตั้งแต่ห้างสรรพสินค้าหรูหราไปจนถึงช้อปปิ้งสตรีทสุดฮิปอย่างฮาจิเลน อันเป็นแหล่งช้อปสุดฮิปที่ถ่ายรูปสวยเหมือนกันแล้ว ในย่านนี้ยังมีจุดอื่นๆ ที่ชาวสิงคโปร์เองก็มักแวะไปถ่ายรูปเล่นกันบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น Bugis Village ซึ่งเป็นอาคารสไตล์โคโรเนียล ตกแต่งด้วยสีสันและมีบันไดวนต่อๆ กัน รวมไปถึง MICA Building อาคารกองบัญชาการตำรวจเก่า ที่ไปได้ไม่ไกลจากย่านนี้ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน
สำหรับใครที่เห็นว่าสิงคโปร์น่าเที่ยวและเต็มไปด้วยสีสันที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็ห้ามพลาดที่จะกลับไปเที่ยวกันใหม่ และอย่าลืมจัดการเรื่องเที่ยวให้เป็นเรื่องง่าย ทั้งการจองตั๋วเครื่องบินและที่พักในสิงคโปร์กับ Traveloka ได้เลย
สายน้ำใสๆ หัวใจเนิบช้า TEATA พาเที่ยวตลาดน้ำเหล่าตั๊กลัก (ตอน 2)
ความเดิมจากตอนที่แล้ว สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย หรือ TEATA (Thai Ecotourism and Adventure Travel Association) นำโดย คุณนีรชา วงศ์มาศา นายกสมาคม TEATA และสมาชิก ร่วมกับคณะสื่อมวลชน ได้ลงพื้นที่ตลาดเหล่าตั๊กลัก ‘ประชุมสัญจร ท่องเที่ยวดำเนิน…เพลิน…สุข’ เมื่อวันที่ 28-29 ตุลาคม 2560 ณ เรือนแม่สุภา
ชวนเที่ยวย้อนอดีต รำลึกตลาดน้ำแห่งแรกของสยาม ณ ‘ตลาดเก่าเหล่าตั๊กลัก’ ซึ่งมีทั้งวิถีชีวิตชาวคลอง ชาวสวน ผสมคลุกเคล้ากันลงตัวอย่างน่ารักน่าเที่ยวจากตลาดเหล่าตั๊กลัก ถ้าเรานั้่งรถสองแถวของชาวบ้านลัดเลาะเข้าไปตามถนนสายเล็กๆ อันร่มรื่น ได้เห็นบรรยากาศสวนแบบดั้งเดิมของชาวคลองดำเนินสะดวก ที่ยังมีท้องร่อง ลำราง ลำประโดง เชื่อมโยงผันน้ำเข้ามาหล่อเลี้ยงสวนมะพร้าว สวนผลไม้ มาจนถึงทุกวันนี้
การปอกมะพร้าวด้วยวิธีดั้งเดิม โดยใช้ปลายมีดแหลมตั้งขึ้นจากพื้นดิน อาจแลดูหวาดเสียว แต่พี่เขาชำนาญสุดๆ!
การปอกมะพร้าวด้วยวิธีดั้งเดิม
การปอกมะพร้าวด้วยวิธีดั้งเดิม
มะพร้าวกองโตรอการปอก วันหนึ่งๆ คนที่ชำนาญจะสามารถปอกมะพร้าวได้ไม่ต่ำกว่า 1,000-2,000 ลูก!
น้ำตาลมะพร้าวแบบดั้งเดิมขนานแท้ (ไม่เติมน้ำตาลทรายลงไปจนหวานเกินพอดี) มีให้ชิมกันทุกวันที่ เรือนจั่นหวาน
ไม้กวาดทางมะพร้าวฝีมือคุณยายที่ เรือนจั่นหวาน
สมาชิก TEATA ร่วมสัมผัสประสบการณ์ทำน้ำตาลมะพร้าวแบบดั้งเดิม ณ เรือนจั่นหวาน คลองดำเนินสะดวก
ที่คลองดำเนินสะดวก มีวิสาหกิจชุมชนผลิตสินค้า OTOP ‘ข้าวทอดกระทงทอง กนกพร’ วันนี้สมาชิก TEATA บุกถึงก้นครัวเขาเลยล่ะ
ข้าวทอดกระทงทอง กนกพร
ข้าวทอดกระทงทอง กนกพร
นอกจากการเดินเลาะริมน้ำดำเนินสะดวก ตลาดเหล่าตั๊กลัก และนั่งรถสองแถวเที่ยวชมวิถีชาวสวนแล้ว ‘การปั่นจักรยาน’ หรือ Cycling Route ก็เป็นสิ่งที่น่าสนุก เพราะเป็นการเที่ยวแบบ Low Carbon เนิบช้า จะหยุดตรงไหนก็ได้ตามใจชอบ โดยเขาจัดเตรียมเส้นทางปั่นไว้ให้ทั้งใกล้ไกล ตั้งแต่ 1 กิโลเมตร / 15 กิโลเมตร / และมากกว่า 15 กิโลเมตรขึ้นไป โดยมีจักรยาน พร้อมหมวกนิรภัยให้เช่าในราคาประหยัดทุกวัน
ก่อนเร่ิมปั่นเที่ยว ก็ต้องมาฟังบรรยายสรุปเส้นทางกันก่อน วันนี้เราจะปั่น 15 กิโลเมตร ชมวิถีชาวสวนกันครับ
ปั่นได้สบายใจ บนถนนเข้าสวนที่แทบไม่มีรถยนต์วิ่งผ่านเลยสักคัน
รอยยิ้มเปื้อนหน้าสมาชิก TEATA ที่ได้มีโอกาสมาปั่นชมสวนวันนี้
พี่เล็ก สุภาวดี แห่งเรือนแม่สุภา ตลาดเหล่าตั๊กลัก นำขบวน TEATA ปั่นชมสวนเขียวๆ สดชื่น
ทางเล็กๆ ปั่นซ๊อกแซ๊กเข้าสวน
ไม่ต้องรีบ หยุดพักเหนื่อยแอ๊กท่าถ่ายภาพกันสักนิด (ท่าจะยังมีแรงเหลือ ฮาฮาฮา)
ปั่นมาได้ครึ่งทาง ก็ถึงจุดแวะดื่มน้ำมะพร้าวสดๆ ที่เพิ่งสอยลงมาจากต้น แค่ลูกละ 10 บาทเท่านั้น รสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ เป็นธรรมชาติดีมาก สดชื่นจัง
ดื่มน้ำมะพร้าวเติมพลัง จะได้มีแรงปั่นเที่ยวสวนต่อ
วันนี้โชคดี ได้มีโอกาสเห็นวิธีนำมะพร้าวออกมาจากสวนคราวละมากๆ พร้อมกันเป็นร้อยๆ ลูก ด้วยการผูกติดลากออกมาตามท้องร่องสวน แปลก ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
บางช่วงก็ชวนกันเข้าไปปั่นในสวนบ้าง วิวแบบนี้ในเมืองใหญ่ไม่มีแน่นอน ฮาฮาฮา
ปั่นยังไงก็ไม่เหนื่อย เพราะไม่ได้ปั่นเร็ว แดดก็ไม่ร้อน ร่มรื่นด้วยสวนสูงสวนเตี้ย
ความสนุกจากการปั่นจักรยานชมสวนในวันนี้ จะประทับใจเราไปอีกนาน
จุดสิ้นสุดของการปั่นจักรยานชมสวนของเรา อยู่ที่ วัดเจริญสุขารามวรวิหาร วัดใหญ่ริมคลองดำเนินสะดวก ที่อยู่ติดกับประตูน้ำบางนกแขวกนั่นเอง
ประตูน้ำบางนกแขวก เป็นประตูควบคุมระดับน้ำและการสัญจร เชื่อมต่อคลองดำเนินสะดวกกับลำน้ำแม่กลอง จ.ราชบุรี
ประตูน้ำบางนกแขวก
สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นเดินทัพผ่านไทย ใช้คลองดำเนินสะดวกและลำน้ำแม่กลองเป็นเส้นทางลำเลียงยุทธปัจจัย อเมริกาและฝ่ายสัมพันธมิตรจึงทิ้งระเบิดลงมาเป็นจำนวนมาก แต่ก็มีหลายลูกไม่ระเบิด จึงมีการนำมาจัดแสดงไว้ด้านข้างประตูน้ำบางนกแขวกให้ชมกัน
ตลาดน้ำบางนกแขวก (หรือ ตลาดบน) ริมน้ำหน้าวัดเจริญสุขารามวรวิหาร
เหนื่อยจากการปั่นจักรยานมา 15 กิโลเมตรแล้ว ขากลับไปตลาดเหล่าตั๊กลัก เราเลยใช้วิธีล่องเรือหางยาวชมคลองดำเนินสะดวก ให้เรือแล่นไปช้าๆ รับลมเย็นๆ ตามแบบ Slow Life Slow Boat
บ้านเรือนริมคลองดำเนินสะดวก
เรือนไทยริมคลองดำเนินสะดวก
บรรยากาศคลองดำเนินสะดวกในปัจจุบัน
เที่ยวกันมาทั้งวันแล้ว ถ้าใครไม่รีบกลับบ้าน และอยากใช้เวลาค้างคืนต่อที่ดำเนินสะดวก เขาก็มีที่พักหลายรูปแบบไว้ให้เลือกนะจ๊ะ อย่างเช่น The Peace Hostel (โทร. 09-8280-5165)
วิวจาก The Peace Hostel มองเห็นเรือกสวนธรรมชาติได้ใกล้แค่เอื้อม
ห้องนอนรวมแบบ Hostel ในราคาแสนประหยัด ที่ The Peace Hostel
หรือถ้าชอบความเป็นส่วนตัวมากขึ้น และต้องการนอนริมน้ำจริงๆ ก็มี Homestay ที่ตลาดเหล่าตั๊กลัก (ติดต่อ คุณเล็ก สุภาวดี โทร. 09-9226-6146)
ไม้แก้วดำเนินรีสอร์ท เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี เพราะมีที่พักเป็นหลังๆ ทั้งแบบโมเดิร์นและเรือนไทยย้อนยุคให้เลือก (โทร. 0-2883-3495)
ไม้แก้วดำเนินรีสอร์ท
ไม้แก้วดำเนินรีสอร์ท
เสน่ห์สายน้ำเงียบสงบยามเช้า สืบสานวิถีพุทธกับการตักบาตรทางน้ำ
วิถีชีวิตแบบนี้ยังมีให้เห็นแถบดำเนินสะดวก อัมพวา บางน้อย บางคนที บนรอยต่อจังหวัดราชบุรีและสมุทรสงคราม
โบกมือลาสายน้ำ ขอฝากหัวใจไว้ที่นี่ แล้วเราจะกลับมาพบกันใหม่แน่นอน
การเดินทางของเราจบลงแล้ว แต่การทำงานด้านพัฒนาศักยภาพและความเข้มแข็งของชุมชนโดย TEATA ยังคงดำเนินต่อไป เราหวังว่าอีกไม่นาน ‘ตลาดเก่าเหล่าตั๊กลัก’ ตลาดน้ำแห่งแรกบนแผ่นดินสยาม จะกลับมาฟื้นขึ้นใหม่ได้อย่างสดใสแข็งแรง เช่นเดียวกับอีกหลายชุมชนเก่าอันทรงคุณค่า ที่ยังรอการเจียระไนพลิกฟื้นอยู่เช่นกัน
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ TEATA เลขที่ 608/10 ชั้น 1 อาคารบี คอนโดเอสเปซ ถนนอโศก-ดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10170 โทร. 0-2006-0770, 08-3250-9343
หรือติดต่อ คุณเล็ก สุภาวดี โทร. 09-9226-6146 แห่งเรือนแม่สุภา ตลาดน้ำเหล่าตั๊กลัก คลองดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
สายน้ำใสๆ หัวใจเนิบช้า TEATA พาเที่ยวตลาดน้ำเหล่าตั๊กลัก (ตอน 1)
เรือแจวน้อยลำนั้นค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปพร้อมสายน้ำที่ยังคงไม่หยุดไหลแม้สักวินาที จะมีใครรู้บ้างว่า ที่นี่คือ ‘ตลาดน้ำเหล่าตั๊กลัก’ ตลาดน้ำแห่งแรกของสยาม อันเป็นต้นกำเนิดตลาดน้ำคลองดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ที่ผู้คนทั่วโลกพากันมาชม ทว่าตลาดน้ำเหล่าตั๊กลักในวันนี้อาจจะดูเงียบเหงา เก็บงำเรื่องราวในอดีตไว้อย่างเงียบเชียบ รอคนรุ่นใหม่ให้เดินทางเข้าไปพูดคุยกับคนรุ่นเก่า รับฟังเรื่องราวของอดีต ที่มาบรรจบ ณ ปัจจุบัน
ตลาดน้ำเหล่าตั๊กลั๊ก ตั้งอยู่ริม ‘คลองดำเนินสะดวก’ ซึ่งเป็นคลองขุดด้วยแรงงานคนในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้ชื่อว่าเป็นคลองขุดที่ยาวและตรงที่สุดของไทยในปัจจุบัน คือยาวถึง 32 กิโลเมตร ด้วยฝีมือแรงงานชาวจีนแต้จิ๋วและจีนไหหลำ โดยใช้เวลาขุดอยู่นาน 2 ปีกว่า (พ.ศ.2409-2411) เพื่อใช้เป็นคลองลัด เชื่อมต่อแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำแม่กลองเข้าด้วยกัน โดยน้ำจากคลองดำเนินสะดวกได้ช่วยหล่อเลี้ยงวิถีเกษตรสองฟากฝั่ง ชาวบ้านมีชีวิตความเป็นอยู่เจริญเป็นอย่างมาก จนชาวบ้านได้พายเรือนำพืชผลนานาชนิดมาค้าขายแลกเปลี่ยนกัน เกิดเป็นตลาดน้ำเหล่าตั๊กลักขึ้นในที่สุด
กระทั่งเมื่อ พ.ศ. 2510 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้นำภาพของตลาดน้ำอันแสนน่ารักนี้เผยแพร่ออกสู่สายตาชาวโลก จนเป็นที่โด่งดังมาถึงปัจจุบัน ทว่าต่อมาเมื่อมีการตัดถนนผ่าน ตลาดน้ำได้ย้ายจากเหล่าตั๊กลัก ไปอยู่ ณ จุดที่ตั้งปัจจุบัน ทำให้ตลาดน้ำเหล่าตั๊กลักซบเซาเงียบเหงาลง แล้วถูกลืมไปในที่สุด แต่ในความเป็นจริง ลูกหลานเหล่าตั๊กลักก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในบ้านริมน้ำคลองดำเนินสะดวกสืบมา
แม้ภาพวิถีเก่าๆ ที่น้ำท่วมทุกปีในช่วงเดือนสิบเอ็ดเดือนสิบสองน้ำนองเต็มตลิ่ง จะไม่มีให้เห็นอีกแล้ว (เพราะมีการสร้างเขื่อนเจ้าพระยา) ทว่าวิถีชาวน้ำแห่งเหล่าตั๊กลักก็ยังคงมีลมหายใจตราบทุกวันนี้
ทุกวันนี้เร่ิมมีการฟื้นฟู ตลาดเหล่าตั๊กลัก (เป็นภาษาจีนแปลว่า ตลาดเก่า) ร้านรวงกว่า 50 เปอร์เซนต์ เริ่มกลับมาเปิดตัวอีกครั้ง ในบรรยากาศเก่าๆ ดั้งเดิมขนานแท้ สามารถเดินเที่ยวชมได้แบบชิลชิล ไม่แออัด
ในขณะที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวกในปัจจุบันเนืองแน่นแออัดไปด้วยนักท่องเที่ยววันละเป็นหมื่นคน (โดยเฉพาะเสาร์-อาทิตย์) เพียงเดินข้ามสะพานข้ามคลองดำเนินสะดวกมาอีกฝั่งที่ ตลาดเก่าเหล่าตั๊กลัก บรรยากาศที่พบก็จะเป็นคนละโลกกันเลย ในความเนิบช้า น่ารัก และสงบเงียบ สามารถเดินพูดคุยกับชาวบ้านริมคลองได้แบบไม่ต้องเร่งร้อน
ร้านขายผ้าถุงตรงหัวมุม โดยคุณยายใจดีหน้าตายิ้มแย้ม
ร้านขายของชำแบบเก่าๆ เป็นมิตรสนิทกันเหมือนญาติ ด้วยอัธยาศัยไมตรีแบบชาวจีนเหล่าตั๊กลักแท้ๆ
สินค้าหลายอย่างชวนให้นึกถึงวัยเด็กเนอะ
งานฝีมือน่ารักๆ ที่สะท้อนความผูกพันระหว่างคนและสายน้ำคลองดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
แม้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่คุณป้าก็เปิดหน้าบ้านที่หันออกริมน้ำ ขายหมวกขายพัดเล็กๆ น้อยๆ ให้นักท่องเที่ยวที่เดินมาเยือนเหล่าตั๊กลัก
ด้วยความน่ารัก มีคุณค่าเรื่องราวเรื่องเล่าย้อยไปได้กว่า 140 ปี ของตลาดเก่าเหล่าตั๊กลัก สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย หรือ TEATA (Thai Ecotourism and Adventure Travel Association) นำโดย คุณนีรชา วงศ์มาศา นายกสมาคม TEATA และสมาชิก ร่วมกับคณะสื่อมวลชน ได้ลงพื้นที่ตลาดเหล่าตั๊กลัก ‘ประชุมสัญจร ท่องเที่ยวดำเนิน…เพลิน…สุข’ เมื่อวันที่ 28-29 ตุลาคม 2560 ณ เรือนแม่สุภา
นอกจากจะเป็นการประชุมสัญจรของสมาคม TEATA แล้ว ยังถือเป็นการลงมาสัมผัสชุมชนตลาดเก่าเหล่าตั๊กลักในเชิงลึก เพื่อช่วยให้คำแนะนำชุมชนพัฒนาศักยภาพเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ ในอนาคตอันใกล้นี้
ผู้นำชุมชนตลาดเหล่าตั๊กลัก บรรยายสรุปประวัติความเป็นมาและความสำคัญ ของตลาดน้ำแห่งแรกในเมืองไทยให้สมาชิก TEATA ฟัง ณ เรือนแม่สุภา ซึ่งจริงๆ ในอดีตที่นี่เรียกว่า ‘ตลาดห้าห้อง’ หรือ ‘ตึกแดง’ ใช้เป็นที่พักแรงงานชาวจีนที่มาขุดคลองดำเนินสะดวกเมื่อ 140 ปีที่แล้วนั่นเอง
สภาพคลองดำเนินสะดวกในปัจจุบัน ยังคงมีบ้านเรือนปลูกชิดริมน้ำ และเรือประเภทต่างๆ ทั้งเรือของชาวบ้านและเรือท่องเที่ยว แล่นไปมาเติมจังหวะสีสันอยู่ทุกวัน
ไม่ได้มีแต่เรือหางยาวติดเครื่องยนต์นะจ๊ะ เรือพายขายผลไม้ก็ยังมีให้เห็นเหมือนกัน
ภาพชีวิตเนิบช้าและเงียบสงบ บริเวณคลองดำเนินสะดวก ตลาดน้ำเหล่าตั๊กลัก ในปัจจุบัน
ใช้ชีวิตผูกพันอยู่กับสายน้ำทุกเช้าค่ำ ณ ตลาดเก่าเหล่าตั๊กลัก
คลองดำเนินสะดวกบริเวณตลาดเหล่าตั๊กลัก แม้เรือพายขายของจะย้ายไปอยู่ที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวกกันหมด แต่ ณ จุดนี้เอง คือต้นกำเนิดตลาดน้ำแห่งแรกของสยาม
เรือติดเครื่องยนต์คำรามแล่นตัดผิวน้ำคลองดำเนินสะดวก พานักท่องเที่ยวกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าไปยังตลาดน้ำดำเนินสะดวกอันคลาคล่ำ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีเรือพายที่อนุรักษ์วิถีเนิบช้าเอาไว้
เรือบางลำอาจจะแล่นเร็วและเสียงเครื่องยนต์ดังไปบ้าง ในอนาคตคงต้องมีมาตรการควบคุม ให้เที่ยวกันได้อย่างยั่งยืนตลอดไปนะจ๊ะ
ยามเช้าที่ตลาดเหล่าตั๊กลัก มีเรือพายขายของแบบ Super Market ลอยน้ำ พายผ่านไปที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวก
กล้วยน้ำว้าน่าทานจากสวนใกล้ๆ ตลาดเหล่าตั๊กลัก อัดแน่นมาเต็มลำเรือแจวของคุณป้า
แม่ลูกคู่นี้จะไปไหนกันจ๊ะ? น่าอิจฉาจังมีเรือส่วนตัวด้วย ชวนให้นึกถึงเมืองเวนิสที่อิตาลีเลยนะเนี่ยะ ฮาฮาฮา
เรือพายขายไอศกรีมมะพร้าวผ่านหน้าตลาดเหล่าตั๊กลักทุกวัน
กิจกรรมน่าสนุกสำหรับการมาเยือนตลาดแห่งนี้ คือ Walking Tour ที่จะนำเราก้าวเดินกลับสู่อดีต ชื่นชมสถาปัตยกรรมเรือนไม้ตลาดจีนริมน้ำแบบเก่า อีกทั้งได้หยุดแวะพูดคุยกับเจ้าบ้านแสนน่ารัก
ใครที่ต้องการหามุมสงบๆ ไม่แออัดวุ่นวาย ตลาดเหล่าตั๊กลักอาจคือคำตอบสุดท้ายของคุณ
Walking Tour เดินเที่ยวชมร้านรวงของตลาดเก่าเหล่าตั๊กลัก น่ารัก และย้อนยุคดีเหลือเกิน
ศิลปินหลายคนที่มีสายเลือดเหล่าตั๊กลักแท้ๆ พากันมาฝังตัวสร้างสรรค์งานศิลป์ ที่สะท้อนถึงวิถีชีวิต ความทรงจำ และความผูกพันกับบ้านเกิด
แถบนี้มีสวนมะพร้าวเยอะ ศิลปินแห่งตลาดเก่าเหล่าตั๊กลักจึงนำกะลามะพร้าวมาเนรมิตเป็น Souvenir สวยๆ น่าซื้อกลับบ้าน
บ้านเจ๊จึง เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชนเล็กๆ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเดินชมตลาดเหล่าตั๊กลัก เพราะจะได้รับฟังอดีตความเป็นมาของพื้นที่ตรงนี้
บรรยากาศย้อนยุคที่ยังมีการใช้งานอยู่อาศัยจริง ของตลาดเหล่าตั๊กลัก
รถเด็กเล่นปั่นได้จริง เก่าเก็บ แต่ทรงคุณค่าทางจิตใจสำหรับใครหลายๆ คน
คุณแตง ศิลปินนักวาดภาพสายเลือดเหล่าตั๊กลักแท้ๆ พอเรียนจบแล้วก็กลับบ้าน คิดค้นการวาดภาพจากยางต้นกล้วย พร้อมเปิดที่พักและสอนศิลปะไปในตัว น่าชื่นชมจริงๆ (สนใจติดต่อ โทร. 08-9771-1023)
คุณแต่งแห่งเหล่าตั๊กลัก สาธิตการวาดภาพจากยางต้นกล้วยให้เราชม
งาน Recycle ขยะพลาสติก มาสานเป็นกระเป๋าเก๋ไก๋ใบเล็กๆ ของคุณแตง ช่วยลดขยะให้โลก แถมยังได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์แนวใหม่แบบ Eco Product
อาหารขึ้นชื่อของตลาดเหล่าตั๊กลักมีหลายอย่าง ที่โด่งดัง เช่น ก๋วยเตี๋ยวเจ๊หมวย เป็นก๋วยเตี๋ยวเรือต้มยำรสเด็ด ปรุงและคลุกเคล้ามาให้เสร็จ ไม่ต้องปรุงเพิ่ม ราคาก็แค่ 30-40 บาทเท่านั้นเอง แต่ความอร่อยเกินร้อย
แวะชิม ก๋วยเตี๋ยวเจ๊หมวย ก่อนไหมจ๊ะ?
อาหารพิเศษตำรับชาววัง เป็นเมนูรับลมหนาวที่เรือนแม่สุภา ตลาดเหล่าตั๊กลัก เรียกว่า ‘ข้าวมัน ส้มตำ แกงไก่พริกขี้หนู หมูฝอย น้ำพริกมะขามเปียก’ รับรองว่าหาทานยากครับ
ผัดไทยวุ้นเส้น สูตรเรือนแม่สุภา รสชาตินุ่มนวลชวนล้ิมลองมากๆ
แม้หน้าตาจะธรรมดา แต่ส้มตำของเรือนแม่สุภาพ รสชาติไม่เป็นรองใครเลยจริงๆ
ข้าวเกรียบปากหม้อ ของเรือนแม่สุภา
ขนมกล้วยแบบจีนแท้ๆ ที่เรือนแม่สุภา
เส้นทางเดินเที่ยวตลาดเก่าเหล่าตั๊กลัก เลาะเลียบคลองดำเนินสะดวกไปเรื่อยๆ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร เป็น Walking Route ที่น่ารัก เที่ยวง่าย นำเราเข้าไปสัมผัสวิถีชาวคลองโดยแท้
เส้นทางเดินเที่ยวเลาะริมคลองดำเนินสะดวก สวยงาม มีสีสันทั้งจากดอกไม้และวิถีชีวิตผู้คน
เดินเล่นเย็นใจในแบบ Slow Life ริมคลองดำเนินสะดวก
น้ำยังสะอาดขนาดโดดเล่นได้อย่างไม่ต้องกังวล
ว่างๆ ก็ลงไปแช่น้ำคลายร้อนซะเลย ฮาฮาฮา
ถ้าน้ำไม่สะอาดจริง ปลาเสือตอตัวใหญ่อวบอ้วนขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเรา คงจะอยู่ไม่ได้แน่นอน
เมื่อคนดูแลสายน้ำ สายน้ำก็เอื้ออาทรต่อผู้คน
หน้าบ้านน่ามอง ณ ริมน้ำคลองดำเนินสะดวก
สายน้ำช่วงตลาดเก่าเหล่าตั๊กลักในปัจจุบัน ยังคงสวยงาม สดใส เงียบสงบ เป็นวิถีชาวน้ำชาวคลองแห่งลุ่มภาคกลางอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
เส้นทางเดินเที่ยว Walking Tour ของเรา จากหน้าตลาดเหล่าตั๊กลัก ไปจบลงที่ วัดราษฎร์เจริญธรรม วัดใหญ่อันเก่าแก่ที่อยู่คู่คลองดำเนินสะดวกมาช้านาน
ภายในพระอุโบสถใหญ่วัดราษฎร์เจริญธรรม มีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือชั้นครู สะท้อนงานศิลป์ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ด้วยภาพเทพชุมนุมอันงามวิจิตร
หลังจากเดินเที่ยวริมคลองดำเนินสะดวกกันจนชุ่มปอดแล้ว เราก็เปลี่ยนบรรยากาศมานั่งรถสองแถวท้องถิ่นเที่ยวชมวิถีบนบกกันบ้าง
จุดแรกที่ห้ามพลาดชมด้วยประการทั้งปวง คือโรงแจแห่งแรกของคลองดำเนินสะดวก มีอายุร้อยกว่าปีแล้ว ชื่อ ‘โรงเจฮะอี๊ตั๊ว’ ซึ่งในวันนี้กำลังมีเทศกาลกินเจอยู่พอดี ผู้คนจึงคึกคักมาก
โรงเจฮะอี๊ตั๊ว
โรงเจฮะอี๊ตั๊ว
โรงเจฮะอี๊ตั๊ว
วันนี้ตรงกับเทศกาลกินเจ ของไหว้ในโรงเจจึงมีมากเป็นพิเศษ
โรงเจฮะอี๊ตั๊ว
จุดเด่นของ โรงเจฮะอี๊ตั๊ว คือมีภาพวาด 10 ขุมนรกของจีน ซึ่งนำมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ของแท้ นับเป็นศิลปะวัตถุโบราณล้ำค่าของชุมชนชาวคลองดำเนินสะดวก
สถาปัตยกรรมจีนอันละเอียดอ่อนและเปี่ยมสีสันของ โรงเจฮะอี๊ตั๊ว
บรรยากาศในช่วงเทศกาลกินเจที่ โรงเจฮะอี๊ตั๊ว
พลังศรัทธาหลั่งไหลสู่ โรงเจฮะอี๊ตั๊ว
เรื่องราวความน่าสนใจแห่งคลองดำเนินสะดวก และการสำรวจพื้นที่ของสมาคม TEATA ยังมีอีกมาก โปรดติดตามในตอน 2 ต่อไปนะครับ
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ TEATA เลขที่ 608/10 ชั้น 1 อาคารบี คอนโดเอสเปซ ถนนอโศก-ดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10170 โทร. 0-2006-0770, 08-3250-9343
หรือติดต่อ คุณเล็ก สุภาวดี โทร. 09-9226-6146 แห่งเรือนแม่สุภา ตลาดน้ำเหล่าตั๊กลัก คลองดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
Once in a Life Time, ล่องเรือ Hokkaido-Ibaraki Japan (Episode 3)
การเดินทางอันยาวนานกว่า 10 วัน ด้วยการเที่ยวเชื่อมโยงจากตอนเหนือของญี่ปุ่น จากฮอกไกโด (Hokkaido) ลงมายังภาคกลางที่จังหวัดอิบารากิ (Ibaraki) ของเรา เข้ามาสู่โค้งสุดท้ายแล้ว คราวนี้เป็นคิวของเมืองมรดกโลกอันเก่าแก่ ที่มีธรรมชาติและศิลปะวัฒนธรรมยิ่งใหญ่ งดงาม อลังการ นั่นคือ ‘นิกโก’ (Nikko) ในจังหวัดโทชิงิ ซึ่งอยู่ห่างจากโตเกียวขึ้นมาทางเหนือเพียง 140 กิโลเมตรเท่านั้น
ในหนึ่งวันที่นิกโก้ เหมาะจะชวนกันไป Walking Tour ตามวัดและศาลเจ้าสำคัญต่างๆ ตั้งแต่ ศาลเจ้าโทโชกุ (สุสานของโชกุนโตกุกาวะ อิเอยาสุ ผู้ยิ่งใหญ่), ศาลเจ้าฟุตะระซัง (หรือศาลเจ้าผูกดวง) และ ศาลเจ้ารินโนจิ ซึ่งมีความใหญ่โตอลังการ งดงามด้วยพุทธศิลป์ขั้นเอกอุเลยก็ว่าได้ โดยศาลเจ้าทั้ง 3 นี้ สามารถเดินเชื่อมต่อถึงกันได้อย่างง่ายดาย
พระพุทธรูปสำคัญ 3 องค์ ในศาลเจ้ารินโนจิ
ทวารบาลตรงปากทางเข้าศาลเจ้า หน้าตาดุดันเคร่งขรึม!
ชาวญี่ปุ่นนิยมเขียนคำอธิษฐานของตน ใส่แผ่นไม้ฝากไว้ที่ศาลเจ้า (ส่วนใหญ่เป็นศาลเจ้าในลัทธิชินโต)
ก่อนเข้าศาลเจ้าต่างๆ อย่าลืม ล้างมือ ล้างหน้า ล้างปาก ให้สะอาด ด้วยน้ำใสบริสุทธิ์ที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์
สะพานชินเคียว(Shinkyo Bridge) หรือสะพานศักดิ์สิทธิ์ ตั้งอยู่ตรงประตูทางเข้าศาลเจ้าและวัดในเมืองนิกโก เป็น 1 ใน 3 สะพานสวยที่สุดของปุ่น โครงสร้างสะพานที่เห็นในปัจจุบันสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1636 กระทั่งปี ค.ศ. 1973 จึงเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม โดยมีการซ่อมแซมมาเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ว่ากันว่าสะพานแห่งนี้จะสวยสุดในฤดูใบไม้ร่วง ที่ราวป่าโดยรอบผลัดใบเป็นสีเหลืองแดงสุดอลังการ!
เมื่อเดินเที่ยวศาลเจ้ามรดกโลกที่ยิ่งใหญ่งดงามในเมืองนิกโกกันมาตลอดวันแล้ว ก็ต้องไปเติมพลังเติมความสดชื่นกันที่ ร้าน Nikko Coffee ที่มีทั้งเครื่องดื่มและเค้กอร่อยๆ ให้ลองลิ้มชิมรสกันทุกวัน
กาแฟร้าน Nikko Coffee ใช้น้ำสะอาดจากธรรมชาติของเมืองนิกโกมาชงให้เราดื่มกันเลยนะครับ
ในวันถัดมา เราจัดให้เป็นคิวของการเที่ยวธรรมชาติ เข้าไปชื่นชมความงามของแมกไม้สายธารในอุทยานแห่งชาตินิกโก ชมน้ำตกสูงที่สุดติดอันดับ 1 ใน 3 แห่งของญี่ปุ่น คือ ‘น้ำตกคะงน’ (Kegon Falls) โดยน้ำตกแห่งนี้ไหลลงมาจากหน้าผาลาวาที่แตกตัวออก แยกเป็นน้ำตกน้อยใหญ่ 12 สายอย่างน่าชม
น้ำตกคะงน ในจุดสูงที่สุดนั้น สูงถึง 97 เมตร
น้ำตกคะงน เคยได้รับการโหวตให้เป็น 1 ใน 8 ทิวทัศน์ที่แสดงถึงความเป็นประเทศญี่ปุ่นและวัฒนธรรมยุคโชวะที่ดีที่สุด
อีกหนึ่งน้ำตกแสนสวยสุดซึ้งในเมืองนิกโก คือ น้ำตกหัวมังกร หรือ น้ำตกริวซู (Ryuzu Waterfalls) ซึ่งเขาบอกว่าจะสวยสุดในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีตอนฤดูใบไม้ร่วงเช่นกัน ราวๆ ปลายเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน
ความงามหยดย้อย ของน้ำตกริวซู ที่เมืองนิกโก
ในโซนรอบทะเลสาบซูเซนจิ (Lake Chuzenji) ของนิกโก ที่ไม่ห่างจากน้ำตกต่างๆ มากนัก ยังมีสถานที่น่าสนใจตั้งอยู่ริมทะเลสาบให้เข้าชม คือ ‘สวนอนุรักษ์สถานทูตอังกฤษ’ โดยจุดนี้คือบ้านพักเก่าของทูตอังกฤษ ที่เคยมาพำนักอยู่ในญี่ปุ่นสมัยเปิดประเทศใหม่ๆ ปัจจุบันภายในจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมและการตกแต่ง ที่มีการผสมผสานแนวตะวันตกกับญี่ปุ่นเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
ภายในพิพิธภัณฑ์บ้านทูตอังกฤษ มองออกไปเห็นวิวทะเลสาบซูเซนจิ
นั่งเหม่อมองวิวทะเลสาบซูเซนจิในวันครึ้มๆ ก็สวยไปอีกแบบเนอะ
โบกมือลาเมืองนิกโก มุ่งหน้าสู่ เมืองอาชิคากะ (Ashikaga) พากันไปเที่ยวชมแหล่งประวัติศาสตร์สำคัญ คือมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่น เรียกว่า ‘Ashikaga Gakko’ เป็นมหาวิทยาลัยที่สอนตามแนวคิดลัทธิขงจื้อของจีน จริงๆ แล้วไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อใด เพียงแต่สันนิษฐานกันว่า สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 แล้ว และมีการบูรณะอย่างจริงจังเมื่อปี ค.ศ. 1432
อาคารเก่าของมหาวิทยาลัยท่านขงจื้อ แม้จะสร้างแบบญี่ปุ่น แต่ก็มีกลิ่นอายจีนเจือปนอยู่มิใช่น้อย
ภายในมหาวิทยาลัยท่านขงจื้อ มีวัตถุโบราณจำนวนมาก ที่สื่อถึงการเรียนการสอนเหล่าสานุศิษย์ในอดีต
มหาวิทยาลัยขงจื้อ
นั่งเล่นเพลินๆ ในมหาวิทยาลัยขงจื้อ
จากมหาวิทยาลัยขงจื้อ เราใช้เวลาช่วงสุดท้ายของวันก่อนแสงอาทิตย์จะลาลับไปกันที่สวนดอกไม้ ‘Ashikaga Flower Park’ เป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมตลอดปี โดยตลอดระยะเวลา 12 เดือน จะมีดอกไม้นับร้อยชนิดผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันให้ชมอย่างตื่นตาตื่นใจ แต่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ดอกวิสทีเรีย (Wisteria)
สาวงามกับดอก Amethyst Sage สีม่วงสดใส ในช่วงเดือนตุลาคมที่อากาศเริ่มเยือกเย็นลงเรื่อยๆ
ดอกไม้สวย ก็ย่อมมีหมู่แมลงมาไต่ตอมดอมดม ดูดกินน้ำหวาน และช่วยผสมพันธุ์ดอกไม้ไปในตัวครับ
ร้านขายดอกไม้พันธุ์ไม้ที่ Ashikaga Flower Park
ชิมซอฟท์ครีม กลิ่น Amethyst Sage สุดยอด!
จังหวัดสุดท้ายในภาคกลางของญี่ปุ่น ที่เราได้ไปเยี่ยมเยือนในทริปนี้คือ จังหวัดกุนมะ (Gunma) เป็นจังหวัดที่มีผืนดินและน้ำท่าอุดม ธรรมชาติพิสุทธิ์ จึงปลูกพืชผลการเกษตรได้อย่างบริบูรณ์
ระหว่างทางที่ เมืองนูมาตะ (Numata) เราแวะพักรถพักคนกันที่ Denenplaza เป็นจุดแวะพักขนาดใหญ่ มีร้านอาหาร และร้านค้าสหกรณ์พืชผลการเกษตรนานาชนิดของแถบนี้ นำมาจำหน่ายกันในราคาไม่แพง
ได้ข่าวว่า ‘ข้าว’ ของเมืองนูมาตะมีความพิเศษ อร่อย เลยถือโอกาสลงไปเดินเล่นกันตามคันนา เก็บภาพน่ารักๆ ในยามฝนพรำไว้เป็นที่ระลึกสุดประทับใจ
นั่งรถจาก Deneplaza ไปไม่ไกล ก็ถึงหมุดหมายที่เราตั้งใจมาในวันนี้ คือ Harada Farm เป็นสวนผลไม้มีชื่อเสียง โดยเฉพาะในเรื่องแอปเปิลนับสิบสายพันธุ์ กับองุ่นไร้เมล็ด ที่ปลอดสารพิษ สามารถเก็บกินจากต้นได้เลย
ที่ Harada Farm มีกิจกรรมนั่งรถชมสวน และเปิดโอกาสให้เราลงไปเก็บแอปเปิลมาปอกกินกันได้ตามอัธยาศัย ส่วนใครจะเก็บกลับบ้าน เขาก็มีตะกร้าให้พร้อม ค่าใช้จ่ายก็ไม่แพงเลย
องุ่นไร้เมล็ดของ Harada Farm รสชาติหวานเจี๊ยบ เม็ดอวบอ้วน ฉ่ำน้ำ เปลือกบาง เนื้อหนานุ่ม เวลาเคี้ยวจะรู้สึกถึงความหวานหอมที่กลั้นอยู่ในปากได้ทันที!
อีกหนึ่งสถานที่ในเมืองนูมาตะซึ่งไม่ควรพลาดชมอย่างเด็ดขาด คือ ‘น้ำตกฟุคิวาเระ’ (Fukiware Falls) สุดยอดน้ำตกที่ได้รับฉายาว่า ‘ไนแองการ่าแห่งญี่ปุ่น’ (Niagara of Japan) เพราะมีรูปลักษณ์หน้าตาคล้ายกัน โดยน้ำตกแห่งนี้ กว้างกว่า 30 เมตร สูง 7 เมตร สายน้ำขนาดใหญ่ทิ้งตัวลงในหุบหินโค้งเว้าคล้ายแอ่ง เสียงดังสนั่นน้ำไหลแรงตลอดปี น่าตื่นตาตื่นใจมาก การเที่ยวชมทำได้วิธีเดียว คือเดินเลียบริมธารน้ำเข้าไป ต้องจอดรถยนต์ไว้ด้านนอก แต่ทางเดินก็สะดวกสบาย ไม่มีทางชันแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องระวังลื่นเท่านั้นเอง!
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ราวๆ ปลายเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน รอบๆ น้ำตกฟุคิวาเระยังเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีได้สวยงามมากอีกด้วย
จากเมืองนูมาตะ เราบึ่งรถไปนอนพักค้างคืนกันใน Onsen Hotel สุดหรูที่ เมืองอิคาโฮะ (Ikaho) โดยน้ำแร่ร้อนธรรมชาติในแถบนี้มีธาตุเหล็กสูง ยุคอดีตเหล่าซามูไรที่บาดเจ็บจากการต่อสู้ มีบาดแผล เมื่อลงแช่น้ำแร่ร้อนออนเซนที่นี่บ่อยๆ แผลก็จะสมานหายดีอย่างรวดเร็ว ซึ่งออนเซนแถบนี้มีประวัติย้อนไปได้ไม่ต่ำกว่า 1,400-1,600 ปี!
ในย่านดาวทาวน์ของเมืองอิคาโฮะ มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญซึ่งนักท่องเที่ยวไม่พลาดชมและเก็บภาพ คือ ‘สะพานหินอิคาโฮะ’ (Ikaho Stone Steps) ด้วยบันไดมากถึง 365 ขั้น ยาวกว่า 300 เมตร ขึ้นไปตามเนินเขาเตี้ยๆ สองฝั่งเป็นบ้านเรือนและร้านค้าน่าช้อปปิ้ง ด้านข้างบันไดหินมีท่อส่งน้ำแร่ร้อนธรรมชาติลงมาจากบนเขา ผันเข้าสู่ Onsen Hotel ต่างๆ อีกทั้งตามขั้นบันไดยังสลักคำกลอนเอาไว้ด้วย แหม ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ นะประเทศนี้!
ยามเช้าตรู่ในเมืองอิคาโฮะ แค่เปิดหน้าต่างห้องออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์เย็นฉ่ำ ก็เห็นวิวทะเลหมอกและขุนเขาสลับซับซ้อนแบบนี้แล้ว อิจฉาตัวเองซะจริงๆ ฮาฮาฮา
จากเมืองอิคาโฮะ นั่งรถไปแค่ชั่วโมงเดียว สู่ เมืองทาคาซากิ (Takasaki) เมืองสุดท้ายก่อนโบกมืออำลาแดนอาทิตย์อุทัย วันนี้โชคดีตื่นเช้า เลยมาถึง ‘ศาลเจ้าฮารุนะ’ (Haruna Shrine) ยังไม่เก้าโมงเช้า เขาบอกว่าต้องใช้เวลาที่นี่อย่างต่ำ 2 ชั่วโมง ทีแรกงงๆ พอมาเห็นของจริงถึงรู้ว่า ต้องเดินขึ้นเขาไป 1 กิโลเมตร แต่ก็ไม่ลำบากยากเย็นอะไร เพราะสองข้างทางเป็นป่าใหญ่ร่มรื่นงดงาม อีกทั้งทางก็ไม่ได้ชันอะไรเลย
ทางเดินไปศาลเจ้าฮารุนะ สงบเงียบ เป็นธรรมชาติสุดๆ แค่นี้กายใจก็สงบแล้ว
ระหว่างทางเดินไปศาลเจ้า ริมสองข้างทางเราจะพบ รูปปั้น 7 เซียน ซึ่งแต่ละองค์ก็เชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ในด้านต่างๆ กัน เช่น ด้านความรัก, การแสดงและงานศิลปะ, ความอุดมสมบูรณ์, ความเจริญรุ่งเรือง, การชนะอุปสรรค์ทั้งปวง ฯลฯ ซึ่งจริงๆ แล้วเซียนเหล่านี้น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากความเชื่อแบบจีนในสมัยโบราณ
ระหว่างทางเดินไปศาลเจ้าฮารุนะ มีหอคอยโบราณลักษณะคล้ายเก๋งจีน และรูปปันเซียน (เทพ) ที่คนญี่ปุ่นเคารพนับถือ
ศาลเจ้าฮารุนะ มีความเก่าแก่กว่า 1,400 ปี มีคนมาเคารพสักการะมิได้ขาด
เหนือตัวศาลเจ้าฮารุนะขึ้นไป มีภูเขาหินลักษณะคล้ายพระพุทธรูปยืน ซึ่งสึกกร่อนไปตามกาลเวลา
ช่วงปลายเดือนตุลาคม ใบเมเปิลที่ศาลเจ้าฮารุนะเร่ิมผลัดใบเปลี่ยนสีแล้วจ้า
แสงเงางดงามยามเช้า ที่ศาลเจ้าฮารุนะ
การเขียนพู่กันแบบโบราณ ที่ศาลเจ้าฮารุนะ
เดินขึ้นเขาไปไหว้เจ้ากันจนหมดแรง เห็นทีต้องหาอูด้งขึ้นชื่อของเมือง Takasaki หม่ำซะแล้ว เขาบอกว่าร้าน Udon Chaya Mizusawa เป็นหนึ่งไม่เป็นรองใคร
กิจกรรมสุดท้ายในทริปนี้ ที่ถือว่าสร้างความสนุกและประทับใจ ได้ของฝากฝีมือตัวเองติดไม้ติดมือกลับบ้านด้วยก็คือ ‘การเพ้นท์สีตุ๊กตาไม้โคเคชิ’ ที่ Usaburo Kokeshi โรงงานผลิตตุ๊กตาไม้โคเคชิอันเก่าแก่ มีชื่อเสียง และผลิตส่งไปขายยังเมืองสำคัญๆ ทั่วญี่ปุ่น ไม่เว้นแม้แต่เกียวโตเมืองมรดกโลก
กิจกรรม DIY Art Therapy สุดสนุก เพ้นท์สีตุ๊กตาไม้โคเคชิตามจินตนาการของเราเอง ที่โรงงาน Usaburo Kokeshi
ได้เวลากลับบ้านแล้ว การเดินทางอันยาวนาน 10 วันจากฮอกไกโดลงมาถึงอิบารากิในทริปนี้ มอบประสบการณ์แปลกใหม่สุดพิเศษให้เรามากมาย มันมีแต่ช่วงเวลาน่าจดจำ กับเรื่องราวดีๆ ที่ผมอยากนำมาบอกเล่าต่อ
และหวังว่าสักวันหนึ่ง คุณคงจะได้ไปสัมผัสเส้นทางท่องเที่ยวสุดพิเศษนี้ ด้วยตัวคุณเองนะครับ บ้ายบาย…
Special Thanks : บริษัท Nikon Sales (Thailand) Co., Ltd. สนับสนุนกล้อง Nikon D5 และสุดยอดอุปกรณ์ถ่ายภาพระดับมืออาชีพ
สนใจติดต่อ 195 อาคาร Empire Tower ชั้น 45 ถนน สาทรใต้ แขวง ยานนาวา เขต สาทร กรุงเทพมหานคร 10120 โทร. 0-2633-5100 / www.nikon.co.th