เที่ยวทั่วโลก

20 ที่เที่ยวห้ามพลาด อรุณาจัล-อัสสัม (Episode 2)

(11) วัด Tawang Monastery เมืองตาวัง

ที่สุดของการเดินทางไปเที่ยวรัฐอรุณาจัลประเทศ ต้องยกให้ ตาวัง” (Tawang) เมืองแห่งกลิ่นอายทิเบตและขุนเขาสูงกว่า 3,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งในอดีตคือส่วนหนึ่งของอาณาจักรทิเบต ทว่าได้ผนวกรวมเข้ากับอินเดียเมื่อปี ค.ศ.​1951 (หลังอินเดียได้รับเอกจากอังกฤษ) ในขณะที่จีนก็ยังอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนนี้ ตาวังจึงกลายเป็นเขตควบคุมพิเศษ ซึ่งนักท่องเที่ยวไปเยือนได้ แต่ต้องทำเรื่องขออนุญาตล่วงหน้าเข้าไปในรูปแบบ Tourist Permit

เมืองตาวัง ตั้งอยู่ทางปลายสุดตะวันตกของรัฐอรุณาจัลประเทศ การเดินทางมีเพียงรถยนต์เข้าถึง ด้วยทางหลวงสาย NH13 (Trans Arunachal Highway) อยู่ห่างชายแดนจีน (ทิเบต) เพียง 16 กิโลเมตร ห่างจากเมืองน้ำทราย (Namsai) 718 กิโลเมตร จากเมืองกูวาฮาติ (Guwahati) 555 กิโลเมตร และจากอิฎานคร (Itanagar) เมืองหลวงของรัฐอรุณราจัลประเทศ 448 กิโลเมตร ถนนสู่ตาวังจึงต้องผ่านทะเลภูเขา ถนนซิกแซกไปมาหลายพันโค้ง เป็นการผจญภัยอย่างแท้จริง

ไฮไลท์ของที่นี่คือ “วัดตาวัง” (Tawang Monastery) อารามใหญ่อันดับ 2 ของโลก วัดพุทธวัชรยานทิเบตนิกายหมวกเหลือง (เกลุกปะ : Gelukpa) ตัวอารามมหึมาตระหง่านอยู่บนยอดเขาสูง โอบด้วยขุนเขาราวปราการธรรมชาติ ชัยภูมิดีเลิศ คล้ายป้อมปราการแห่งพุทธศาสนาอายุกว่า 400 ปี สร้างขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 16 โดย เมรัค ลามะ ลอเดร กยัตโซ (Merak Lama Lodre Gyatso) ศิษย์ของดาไลลามะองค์ที่ 5 ได้ออกเดินทางค้นหาที่สร้างวัดใหม่ ตำนานเล่าว่าม้าของลามะหายไป ท่านจึงออกตามหา จนมาพบม้ายืนกินหญ้าอยู่บนยอดเขานี้ วัดตาวางจึงได้สร้างขึ้น โดยคำว่า “ตา” (Ta) หมายถึง “ม้า” และ “วาง” (Wang) หมายถึง “เลือก” รวมความหมายถึง “ม้าเลือกที่นี่” แต่ถ้าเรียกชื่อตามภาษาทิเบตคือ “ตาวัง กัลเดน นัมกเย ลัตเซ” (Tawang Galdan Namgye Lhatse) จะหมายถึง “ที่เลือกสรรโดยอาชา ดังสวรรค์แห่งชัยชนะอันสมบูรณ์

วัดตาวังมีพระลามะอยู่กว่า 500 รูป คล้ายเมืองย่อมๆ แบ่งเป็น 3 ชั้น ล้อมด้วยกำแพงสีขาวยาวเกือบ 300 เมตร มีห้องสวดมนต์น้อยใหญ่ ห้องเก็บคัมภีร์โบราณ หอสมุด โรงเรียนสอนธรรมะ โรงอาหาร และกุฎิพระลามะ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่แรกซึ่งดาไลลามะองค์ที่ 14 เสด็จมาประทับครั้งลี้ภัยจากทิเบต หนีการรุกรานของจีนเมื่อปี ค.ศ.1959 หลังจากนั้นอีก 50 ปี พระองค์ก็ได้เสด็จกลับไปเยือนวัดตาวังอีกครั้ง และทรงบูรณะหอสมุดของวัดใหม่อีกด้วย

(12) วัดภิกษุณี Gyangong Ani Gompa เมืองตาวัง

เมืองตาวังมีวัดภิกษุณีหลายแห่ง เพราะหญิงที่นี่สามารถบวชเป็นภิกษุณีได้อย่างเสรี อาทิ วัดบรามาดุง ชุก อนี กอมปะ (Bramadung Chung Ani Gompa) วัดภิกษุณีเก่าแก่ที่สุดของเมืองตาวัง สร้างเมื่อศตวรรษที่ 16 และวัดซิงเซอร์ อนี กอมปะ (Singsur Ani Gompa) ซึ่งอยู่ห่างตัวเมืองออกไป 28 กิโลเมตร ฯลฯ

ทริปนี้เราได้ไปเยือนวัดภิกษุณี “กยันกอง อนี กอมปะ” (Gyangong Ani Gompa) ที่อยู่ห่างตัวเมืองตาวังไป 5-6 กิโลเมตรเท่านั้น รถยนต์ถึงง่าย เป็นวัดเล็กๆ มีภิกษุณีอยู่ประมาณ 45 รูป ตัววัดตั้งอยู่บนเชิงเขาสูง ล้อมด้วยป่าสน และป่ากุหลาบพันปีสีแดง รวมถึงดอกไม้ป่าเบ่งบานในฤดูร้อนและใบไม้ผลิ ถนนไต่ขึ้นสู่วัดผ่านทุ่งเลี้ยงจามรี มองออกไปเห็นตัวเมือง มีภูเขาตระหว่าน และเจดีย์ทิเบต (ชอร์เตน : Chorten) ผูกธงมนต์เป็นสายสะบัดพลิ้วไปกับสายลมภูเขา หวีดหวิวเยือกเย็น

วัดกยันกอง อนี กอมปะ อยู่ในความดูแลของวัดตาวัง สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 16 โดยเมรัค ลามะ ลอเดร กยัตโซ (Merak Lama Lodre Gyatso) ให้น้องสาวที่เป็นภิกษุณี เพราะวินัยสงฆ์ห้ามภิกษุณีอยู่ที่วัดตาวัง ตอนแรกท่านเมรัค ลามะฯ สร้างเป็นแค่ถ้ำเล็กๆ ให้น้องสาวทำสมาธิ ต่อมาก็ขยายกลายเป็นวัด มีอารามหลักเป็นห้องสวดมนต์กลางที่ตกแต่งแบบทิเบตอย่างขรึมขลัง ประดับผ้าทังก้าโบราณ (ผ้าพระบฏ) รูปพระแม่ตารา ธรรมบาลปัลเดน ลาโม พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระศรีอริยเมตไตรย พระวัชรปาณี พระไภษัชยคุรุ ท่านคุรุรินโปเช รวมถึงรูปดาไลลามะองค์ที่ 14 ให้สักการะ ฯลฯ

(13) วัด Urgelling Gompa เมืองตาวัง

ชาวทิเบตที่นับถือศาสนาพุทธนิกายวัชรยาน เชื่อในเรื่อง การอวตารกลับชาติมาเกิด (Reincarnation) ของดาไลลามะ (คนทิเบตเรียกว่า เชนเรซิก) ตามคติที่ว่าพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทรงกลับชาติมาเกิดในร่างดาไลลามะ เพื่อช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากวัฏสงสาร ถึงปัจจุบันนี้มีดาไลลามาะรวม 14 องค์ สืบทอดตำแหน่งโดยกระบวนการค้นหาเด็กชายผู้มีบุญญาธิการและคุณลักษณะครบ เมื่อดาไลลามะองค์เก่าสิ้นพระชนม์ กระบวนการสรรหาจึงดำเนินไปทั่วทิเบต และที่ วัดอูร์เกลลิง กอมปะ” (Urgelling Gompa) เมืองตาวังนี้เอง ดาไลลามะองค์ที่ 6 ได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.​1683

ชังยัง กยัตโช (Tsangyang Gyatso) คือพระนามของดาไลลามะองค์ที่ 6 ผู้ครองตำแหน่งอยู่ไม่นานนัก ในราวปี ค.ศ. 1706 เพราะข่าวการสิ้นพระชนม์ของดาไลลามะองค์ที่ 5 ถูกปกปิดไว้นานถึง 9 ปี กว่าจะพบตัวเด็กชายผู้สืบทอดตำแหน่ง เขาก็มีอายุถึง 13 ขวบแล้ว ทำให้การอบรมบ่มนิสัยและปลูกฝังประเพณีอันดีงามไม่เข้มงวด เมื่อขึ้นรับตำแหน่งพระองค์ก็ยังใช้ชีวิตสนุกสนาน ฟังดนตรี แต่งกลอนรัก ดื่มสุรา สั่งให้มีการฟ้อนรำ แถมยังแอบออกไปเที่ยวพบหญิงสาวในยามค่ำคืน กระทั่งจักรพรรดิจีนและมองโกลทนดูไม่ได้ ส่งทหารไปลอบสังหารดาไลลามะองค์ที่ 6 ในที่สุด

วัดอูร์เกลลิง กอมปะ สถานที่ประสูติซึ่งดาไลลามะองค์ที่ 6 เคยประทับอยู่กับมารดา ปัจจุบันเรายังสัมผัสได้ถึงเรื่องราวเหล่านั้น ตัวอารามสีขาวเล็กๆ สงบสงัด มีธงมนต์ วงล้อมนตรา เจดีย์ชอร์เตน อ่างน้ำมนต์ ภาพของดาไลลามะครบทุกพระองค์ และรอยเท้าของดาไลลามะองค์ที่ 6 ฯลฯ สร้างบรรยากาศขรึมขลังชวนให้นึกถึงภาพในศตวรรษที่ 15 เมื่อวัดนี้สร้างขึ้นโดย ลามะ อูร์เกน ซังโป (Urgen Sangpo) ท่านลามะได้ไม้เท้าปักลงบริเวณผืนดินใกล้ทางเข้าวัด ซึ่งความอัศจรรย์ใดไม่ทราบได้ ไม้เท้าได้เจริญงอกงามกลายเป็นต้นโอ๊กยักษ์ดังที่เห็นในปัจจุบัน

วัดอูร์เกลลิง กอมปะ อยู่ห่างจากตัวเมืองตาวังออกไปเพียง 3 กิโลเมตร รถยนต์เข้าถึงได้สะดวกมาก

(14) Giant Buddha Statute เมืองตาวังหากใครเคยไปเที่ยวประเทศภูฏานมาแล้ว ก็คงเคยเห็นพระพุทธรูปมหึมาบนยอดเขาชื่อ Buddha Dordenma Statue ส่วนที่เมืองตาวัง รัฐอรุณาจัลประเทศ ก็มีคล้ายกัน คือ พระใหญ่ตาวัง หรือ Giant Buddha Statute

พระใหญ่ตาวัง เป็นพระพุทธรูปหล่อทองสำริดขนาดใหญ่ พุทธลักษณะแบบทิเบตในท่านั่งขัดสมาธิ พระพักตร์อิ่มเอิบเมตตา องค์พระรวมส่วนฐานสองชั้นสูงเกือบ 10 เมตร ประดับลวดลายมงคลแปดประการสไตล์ทิเบต และมีรูปสิงโตหิมะเทินฐานองค์พระไว้ นอกจากนี้ยังมีเจดีย์ชอร์เตนสีทองเล็กๆ ล้อมรอบนับสิบองค์ ด้านหน้ามีบันไดขึ้นสองทาง สู่ภายในฐานที่ประดิษฐานพระประธาน เป็นรูปปั้นท่านคุรุรินโปเช (คุรุปัทมะสัมภวะ) ผู้เดินทางจากอินเดียเข้าไปเผยแผ่ศาสนาพุทธนิกายวัชรยานในทิเบต เมื่อศตวรรษที่ 8-9 รวมถึงรูปดาไลลามะองค์ที่ 14 ประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ธรรมมาสน์ รูปธรรมบาล พระแม่ตารา และมิลาเรปะ (Milarepa) โยคีคนสำคัญของทิเบตในครั้งอดีตกาล

พระใหญ่ตาวัง ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง องค์พระหันพระพักตร์ลงไปสู่เมืองตาวังในหุบเขาเบื้องล่าง เหมือนคอยให้พร ถือเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวมุมสูงอันน่าตื่นตา บนเส้นทางระหว่างตัวเมืองขึ้นไปสู่วัดตาวัง

(15) Sela Pass & Sela Lake

บนเส้นทางจากเมืองบอมดิลา (Bomdila) ไปเมืองตาวัง (Tawang) ทางตะวันตกสุดของรัฐอรุณาจัลประเทศ ถนนจะคดโค้งไต่ความสูงขึ้นไปถึงจุดสูงสุด 4,170 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล (13,700 ฟุต) ที่ เซลา พาส” (Sela Pass) คำว่า “Pass” หมายถึง ช่องเขาสำคัญ สำหรับใช้สัญจรบนภูเขาสูง บนความสูงระดับนี้อากาศเบาบาง หนาวเย็น ชื้นแฉะ มีม่านหมอก ละอองไอฝน ป่าสน และป่าดอกกุหลาบพันปีหลากสีในฤดูร้อน ส่วนฤดูหนาวก็ขาวโพลนด้วยหิมะหนา นับเป็นจุดแวะถ่ายรูปและพักของนักเดินทาง ดื่มชาร้อนๆ กินซุปบะหมี่เติมพลัง แล้วนั่งรถลัดเลาะเหวน่าหวาดเสียวต่อไป เซลา พาส อยู่ในตำบลคาเมงตะวันตก (West Kameng District) ห่างจากอนุสรณ์สงคราม Jaswant Garh War Memorial 37 กิโลเมตร

เซลา พาส เป็นหนึ่งในถนนสูงที่สุดของโลก สาย NH13 (Trans Arunachal Highway) จากเมือง Bomdila-Dirang-Tawang สุดที่บุมลา พาส (Bumla Pass สูง 4,600 เมตร) ตรงชายแดนอินเดีย (ตาวัง)-จีน ชาวทิเบตเชื่อว่ารอบๆ เซลา พาส มีทะเลสาบน้อยใหญ่กระจายอยู่ 101 แห่ง โดยมี ทะเลสาบเซลา” (Sela Lake) ที่รับน้ำมาจากยอดเขาหิมะละลายรอบๆ เป็นทะเลสาบใหญ่สุด น้ำในทะเลสาบจะจับตัวเป็นแผ่นน้ำแข็งหนาช่วงฤดูหนาว แต่จะกลายเป็นผืนน้ำสีฟ้าสดหรือสีเทอร์ควอยต์ในฤดูร้อน แล้วไหลลงสู่แม่น้ำนูรานัง (Nuranang River) และแม่น้ำตาวัง (Tawang River) หล่อเลี้ยงสรรพชีวิตนับล้าน (16) Jaswant Garh War Memorial

อรุสรณ์สงครามจัสวัน การ์ ตั้งอยู่ก่อนถึงเซลา พาส (Sela Pass) ประมาณ 37 กิโลเมตร บนภูเขาสูงชัยภูมิดีเลิศ ซึ่งเคยมีเรื่องราวสมรภูมิเดือดระหว่างอินเดีย-จีน เรียกว่า ยุทธภูมินูรานัง” (Battle of Nuranang) ในระหว่างสงคราม China-Indian War ช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ค.ศ. 1962

ที่นี่มีวีกรรมหาญกล้าของทหารอินเดีย หน่วยแม่นปืนที่ 4 กองพัน 4 เมื่อกองทัพจีนรุกรานมาถึง พลแม่นปืน 3 นาย นำโดย จัสวัน ซิงห์ ราวัต (Jaswant Singh Rawat) ร่วมกับ ทริล็อค ซิงห์ เนกี (Trilok Singh Negi) และโกปัล ซิงห์ กูเซน (Gopal Singh Gusain) อาสาไปต้านทัพจีน ทว่าทหารจีนสังเกตเห็นจุดที่ทั้งสามซุ่มอยู่ จึงระดมยิงปืนกลและขว้างระเบิดใส่ จนทริล็อค ซิงห์ เนกี และโกปัล ซิงห์ กูเซน สิ้นชีพ ส่วนจัสวัน ซิงห์ บาดเจ็บ ผลคือทหารจีนตาย 300 อินเดียตาย 2 บาดเจ็บ 8 นาย

จัสวัน ซิงห์ ที่บาดเจ็บไม่ได้ถอยร่น แต่ยังสู้กับทหารจีนต่อไป ด้วยความช่วยเหลือของชาวมอนปะ (Monpa) ท้องถิ่น 2 คน คือ เซลา (Sela) และนูรา (Nura หรือ Noora) น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ในที่สุดเซลาก็ถูกฆ่า และนูราถูกจับ จัสวัน ซิงห์ ต้านทัพจีนอยู่นานถึง 72 ชั่วโมง กระทั่งทหารจีนสืบรู้ว่าจริงๆ แล้วที่รุกคืบต่อไปไม่ได้ เพราะพลแม่นปืนอินเดียแค่คนเดียว! จึงระดมยิงใส่จัสวัน ซิงห์ อย่างหนักจนสิ้นชีพ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเขาตายอย่างไร บ้างว่าเขาปลิดชีพตัวเองด้วยกระสุนนัดสุดท้าย บ้างก็ว่าเขาถูกจีนจับเป็นเชลยจนตาย อณุสรณ์สงครามจัสวัน การ์ รวมถึงชื่อช่องเขาเซลา พาส (Sela Pass) ทะเลสาบเซลา (Sela Lake) และน้ำตกนูรานัง (Nuranang Falls) จึงตั้งชื่อขึ้นเพื่อรำลึกถึงวีกรรมนี้

อรุสรณ์สงครามจัสวัน การ์ ตั้งอยู่ท่ามกลางบังเกอร์หลุมสนามเพลาะที่เคยใช้สู้รบจริง มีรูปเคารพของจัสวัน ซิงห์ รวมถึงพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ให้ข้อมูลเรื่องราวประวัติวีรกรรมหาญกล้า ถือเป็นจุดหนึ่งที่ห้ามพลาดชมเลยล่ะ

(17) Nuranang Falls เขตตาวัง

40 กิโลเมตร จากเมืองตาวัง (Tawang) หรือ 40 กิโลเมตรจากเซลา พาส (Sela Pass) คือที่ตั้งของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันน่าตื่นตาตื่นใจ และมีชื่อเสียงมากของเขตตาวัง น้ำตกนูรานัง” (Nuranang Falls) น้ำตกใหญ่สูงกว่า 100 เมตร ทิ้งตัวลงมาจากหน้าผาหินสีดำตั้งชัน โดยน้ำตกช่วงบนไหลลงจากขอบผาสูง ลงไปกระแทกโขดหินบริเวณกลางสายน้ำตก แตกเป็นละอองไอฟุ้งในอากาศ แล้วสายน้ำสีขาวส่วนที่เหลือก็โถมลงสู่แอ่งเบื้องล่าง กระสานซ่านเซ็นสร้างความชุ่มฉ่ำไปทั่วบริเวณ บวกกับภาพผืนป่าเขียวขจีและทิวเขาโดยรอบ ยิ่งเสริมเสน่ห์ให้น้ำตกนูรานังงดงามน่าประทับใจสุดๆ

น้ำตกนูรานัง อยู่ห่างเพียง 2 กิโลเมตร จากตัวเมืองจัง (Jang Town) ชุมชนสำคัญบนเส้นทางไต่เขาสูงสาย NH13 (Trans Arunachal Highway) น้ำตกนี้มีชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นอีก 2 ชื่อ ถ้าได้ยินก็ไม่ต้องงง คือ น้ำตกจัง” (Jang Falls) และ น้ำตกบองบอง” (Bong Bong Falls) น้ำที่เราเห็นหลากไหลมาจากลาดไหล่เขาด้านทิศเหนือของเซลา พาส (Sela Pass) กลายเป็นน้ำตกนูรานัง แล้วไหลต่อไปรวมกับแม่น้ำตาวังในที่สุด โดยที่ส่วนล่างของน้ำตกมีกังหันปั่นกระแสไฟฟ้าพลังน้ำ ส่งไฟฟ้าไปเลี้ยงเมืองจังและพื้นที่ใกล้เคียงด้วย

ชื่อ น้ำตกนูรานัง ตั้งขึ้นตามชื่อของชาวมอนปะ (Monpa) ผู้กล้าหาญ ที่สร้างวรีกรรมช่วยเหลือ จัสวัน ซิงห์ ราวัต (Jaswant Singh Rawat) พลแม่นปืน ต่อสู้กับทหารจีนที่รุกรานมาถึงเซลา พาส (Sela Pass) ในระหว่างสงคราม China-Indian War ปี ค.ศ.​1962 ซึ่งนูรา (Nura หรือ Noora) ชาวมอนปะถูกทหารจีนจับกุมตัว และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

(18) Sessa Waterfall

ระห่างการเดินทางด้วยรถยนต์ฝ่าทะเลภูเขาสูงสลับซับซ้อนและคดเคี้ยวไม่รู้จบ จากเมืองบาลิพาร่า (Balipara) ไปเมืองบอมดิลา (Bomdila) และเมืองดิรัง (Dirang) ควรหาเวลาแวะพักชื่นชมธรรมชาติริมทางที่ น้ำตกเซสซา” (Sessa Waterfall) น้ำตกเล็กๆ ทิ้งตัวลงจากหน้าผาหินตั้งชันบริเวณริมถนน โดยมีแมกไม้ร่มรื่นแผ่กิ่งใบคล้ายสวนธรรมชาติ บริเวณนี้มีความสูงเกือบ 3,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล อากาศจึงเย็นชื้นตลอดปี เต็มไปด้วยเมฆหมอก พงไพรรกชัฏจนมีเขตอนุรักษ์ธรรมชาติหลายแห่ง และก่อกำเนิดสายน้ำบริสุทธิ์ไหลเย็นให้ชื่นชม ดังเช่นน้ำตกเซสซา การเที่ยวชมต้องจอดรถหลบไว้ริมถนนให้ดี เพราะเป็นช่วงถนนสองเลนสวนกันบนภูเขา นับเป็นจุดแวะพักชมธรรมชาติแบบสั้นๆ ที่ไม่ควรพลาด(19) Wild Mahseer Eastern Himalayan Botanic Ark เมือง Balipara รัฐอัสสัม

“Wild Masheer” คือชื่อเกมส์แข่งตกปลาอันน่าตื่นเต้นที่สุดรายการหนึ่ง จัดขึ้นในอดีตเมื่อปี ค.ศ. 1864 โดยบริษัทชา British Assam Tea Company เพื่อจับ “ปลาเวียนยักษ์หิมาลัย” (Himalayan Giant Masheer Fish : ตัวโตเต็มที่ยาวได้ถึง 2.4 เมตร) ในแม่น้ำโบโรลี (Bhoroli River หรือ Kameng River) หนึ่งในสาขาของแม่น้ำพรหมบุตรของรัฐอัสสัม กระทั่งปัจจุบัน ชื่อ Wild Masheer ได้กลายมาเป็น “Wild Mahseer The Eastern Himalaya Botanic Ark” หรือ สวนพฤกษชาติหิมาลัยตะวันออก ไวด์ มาเชียร์ซึ่งมีที่พักหรู Luxury Nature Homestay และกิจกรรม Eco-Tourism ศึกษาธรรมชาติหลากรูปแบบ

ภายในพื้นที่เกือบ 60 ไร่ ครึ้มเขียวด้วยป่าไม้ไพรพฤกษ์แน่นทึบ ทั้งป่าดิบชื้น ป่าเฟิร์น และป่าไผ่ พร้อมบังกะโลที่พักหรูโคโลเนียลยุควิคตอเรีย และห้องอาหาร คนที่มาพักส่วนใหญ่เป็นกลุ่มรักธรรมชาติ เดินป่า ชอบผจญภัย และดูนก เพราะที่นี่มีนกป่าสวยงามอยู่มากกว่า 50-60 ชนิด กิจกรรมศึกษาธรรมชาติมีทั้งเดิน Nature Trail ชมพันธุ์พืชต่างๆ อาทิ ต้นไผ่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (Dendrocalamus giganteus) ซึ่งสูงได้ถึง 42 เมตร จนเราต้องมองคอตั้งบ่ายังมีกิจกรรมขี่ช้างหรือนั่งรถจี๊ปซาฟารี ล่องเรือดูปลาโลมาน้ำจืด ดูผีเสื้อ ล่องแก่ง ปั่นจักรยาน ตีกอล์ฟ เล่นเทนนิส เรียนทำอาหารท้องถิ่น ฯลฯ ยิ่งกว่านั้นยังมี ไร่ชากว้างสุดลูกหูลูกตา ให้เดินเที่ยวชมการปลูกชาแบบอัสสัมที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เราจะได้ชิมชาดำ (Black Tea) ที่เป็นซิกเนเจอร์ของรัฐอัสสัม สัมผัสไร่ชา Organic Tea อายุไม่น้อยกว่า 150 ปีแล้วที่นี่ยังมีบังกะโลเก่าแก่ที่สุดในรัฐอัสสัมให้ชมด้วย เป็นบังกะโลยุคอาณานิคมอังกฤษ อายุกว่า 160 ปี สร้างขึ้นโดยบริษัทผลิตและส่งออกชา British Assam Tea Company ภายในมี 3 ห้องนอน พร้อมห้องรับแขกและห้องอาหารอย่างหรูหราโอ่โถง

(20) Damu’s Heritage Dine เมือง Shergaon

รัฐอรุณาจัลประเทศมีชนพื้นเมืองอยู่มากถึง 26 เผ่าหลัก และอีกนับร้อยเผ่าย่อย การมีโอกาสสัมผัสพวกเขาในบางส่วนเสี้ยว อาจทำให้เราเข้าใจวิถีของพวกเขามากขึ้น ลองเดินทางไปเที่ยว เมืองเชอร์กอน (Sherhaon) ตำบลคาเมงตะวันตก (West Kameng District) นั่งรถชมธรรมชาติขุนเขาเข้าสู่หมู่บ้าน ชาวมอนปะ (Monpa Tribe) ท่ามกลางทุ่งหญ้า ป่าไม้ และลำธาร ของหุบเขาชุก (Chug Valley) อันสงบงามด้วยจังหวะชีวิตแบบชนบทสุดเรียบง่าย

วันนี้เราจะมากินอาหารเที่ยงฟิวชั่นกันในหมู่บ้านชาวมอนปะแท้ๆ อดีตชาวมอนปะอพยพจากทิเบตเข้ามาตั้งรกรากที่นี่ กระทั่งโอกาสเปิด นักท่องเที่ยวเริ่มต้องการสัมผัสลึกซึ้งถึงความเป็นชุมชนท้องถิ่น หญิง 8 คนในหมู่บ้านนี้จึงรวมตัวกันจัดโปรแกรมท่องเที่ยวเก๋ไก๋ “Damu’s Heritage Dine” จัดเซ็ทอาหารกลางวันในแบบที่คนเมืองจะไม่เคยชิมแน่นอน คำว่า ดามู” (Damu) ในภาษาดูฮุมบิ (Duhumbi Language) แปลว่า ลูกสาว พวกเธอจึงเป็นเสมือนตัวแทนของชุมชนนั่นเอง

เราเดินลัดเลาะผ่านหมู่บ้านเข้าไปไม่ไกล ก็ถึงบ้านหลังหนึ่งเปิดประตูต้อนรับ หลังบ้านมีระเบียงกว้างที่มองออกไปเห็นทุ่งนาและทิวเขาทอดยาว โต๊ะยาวพร้อมม้านั่งไม่หรูหราทว่าสวยงามชาวบ้านเริ่มทยอยเสิร์ฟอาหารกว่า 12 เมนู ให้เราชิมจนอิ่มแปล้ โดยมีการจัดจานอย่างสวยงาม อาทิ น้ำมันต้นรักอุ่นๆ เสิร์ฟมาบนเตาถ่านร้อนๆ ช่วยบำรุงร่างกาย, ก๋วยเตี๋ยวที่ทำจากเส้นบักวีต, สลัดผักออร์แกนิคและผลไม้ตามฤดูกาล, โมโม่ (เกี๊ยวทิเบต) ไส้ต่างๆ, ซุป, ทาโก้ไก่, ข้าวกล้อง, แกงไก่ต้มขิง, ผัดผักกูด ฯลฯ ปิดท้ายด้วยเหล้าหมักดีกรีสูงแบบชาวบ้าน นับเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ ว้าวมาก!

— SPECIAL THANKS TO ALL OF MY SPONSORS —

ขอบคุณ บริษัท Nikon Sales Thailand สนับสนุนกล้อง Nikon Z8 ระดับ Professional สำหรับ Photo Trip ครั้งนี้

— For more informations about Arunachal Pradesh, India Trip, please contact —

ขอบคุณเป็นพิเศษ : บริษัท RINNAYA TOUR (ริณนาญาทัวร์)

Tel. 092-895-6245 / Line : @rinnayatour

Email : sales.rinnaya@gmail.com

Website : http://www.RinnayaTour.com/

20 ที่เที่ยวห้ามพลาด อรุณาจัล-อัสสัม (Episode 1)

(1) Golden Pagoda เมืองน้ำทราย

    เจดีย์ทองคำ” (Golden Pagoda) เมืองน้ำทราย (Namsai) หรือ กองมูคำ” (Kongmu Kham) คือแลนด์มาร์คสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในรัฐอรุณาจัลประเทศของอินเดีย เป็นเจดีย์สีทองอร่ามศิลปะพม่า ศูนย์รวมศรัทธา ชาวไทคำตี้ (Tai Khamti) ในเมืองน้ำทราย เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ที่สุดในภาคอีสานของอินเดีย มีโรงเรียนสอนพระไตรปิฎกและเขตสังฆาวาสในพื้นที่กว่า 125 ไร่ โดยมีเจดีย์ทองคำเป็นศูนย์กลาง องค์เจดีย์ประธานสูงเกือบ 20 เมตร มีเจดีย์รายอีก 12 องค์ เป็นเจดีย์พม่าทรงปราสาทที่สามารถเข้าไปในฐาน เพื่อสักการะพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ภายในความงามนี้คงจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มี ท่านเจ้านา เมน (Chowna Mein) Deputy Chief Minister แห่งรัฐอรุณาจัลประเทศ เป็นผู้สนับสนุนเงินส่วนตัวกว่า 30 ล้านรูปี เมื่อ พ.ศ. ​2553 เพื่อสร้างเจดีย์อุทิศให้เจ้ากือนาซึ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ จนทุกวันนี้กลายเป็นศูนย์รวมใจของผู้คนไปแล้ว

(2) งานมหาซังเกนไทคำตี้ เมืองน้ำทรายเทศกาลสงกรานต์ ของ “ชาวไทคำตี้” (Tai Khamti) ที่อพยพจากพม่าตอนเหนือเข้าสู่รัฐอรุณาจัลประเทศของอินเดีย เมื่อพุทธศตวรรษที่ 22-23 เป็นงานฉลองขึ้นปีใหม่ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-16 เมษายนทุกปี เรียกในภาษาถิ่นว่า ซังเกน” (Sangken) ทว่าในปี 2025 ชาวไทคำตี้เมืองน้ำทราย (Namsai) ได้จัดยิ่งใหญ่จนกลายเป็น เทศกาลมหาซังเกนนานาชาติ” (Maha Sangken International Festival) ที่วัดเจดีย์ทองคำ มีการทำบุญเลี้ยงพระ ฟังเทศน์ ขบวนแห่สีสันตระการตาของนางรำนับร้อย การสรงน้ำพระ สรงน้ำพระธาตุ รดน้ำต้นโพธิ์ และไฮไลท์คือเล่นสาดน้ำกันชุ่มฉ่ำ โดยใส่ชุดพื้นเมือง และใช้น้ำสะอาดสาดรดกันสนุกสนาน ในช่วงเย็นพากันลอยกระทงประทีป และลอยโคมเป็นพุทธบูชาด้วย สวยสุดๆ

(3) ไร่ชา The Postcard in the Durrung Tea Estate รัฐอัสสัมการไปเที่ยวรัฐอรุณาจัลประเทศและอัสสัม คงจะสมบูรณ์ไม่ได้ หากเราไม่ได้แวะสัมผัสไร่ชาที่มีชื่อเสียงก้องโลก บนพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำพรหมบุตรอากาศร้อนชื้น ตลอดสองข้างทางจะเห็นไร่ชาเขียวขจีที่มี ต้นนีม (Neem Tree : ต้นสะเดา) กระจายอยู่ทั่วไปให้ร่มเงา ไร่ชานับแสนๆ ไร่แถบนี้จึงมีภูมิทัศน์ต่างจากไร่ชาบนภูเขาสูงอากาศเย็นแถบดาร์จิลิ่ง (Darjeeling) หนึ่งในไร่ชามีชื่อเสียงและเก่าแก่ที่สุดของรัฐอัสสัม อายุกว่า 150 ปี คือ ไร่ชาดูรรุง” (Durrung Tea Estate)ไร่ชาดูรรุง ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.​1875 โดยบริษัท บริติช อีส อินเดีย ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกชากว่า 2,500 ไร่ มีคนงานกว่า 1,000 คน โดยมีสวัสดิการให้อย่างดี ทั้งที่พัก การรักษาพยาบาล และการศึกษา ทั่วโลกรู้จัก ชาดำ” (Black Tea) ระดับพรีมเมียมของดูรรุง เพราะมีเอกลักษณ์รสชาติเข้มข้น สีเหลืองทองอำพัน นุ่มลื่น กลมกล่อม เป็นชาป่าพันธุ์อัสสัม (Camellia sinensis) ซึ่งได้รับรองมาตรฐาน TRUSTEA ของอินเดีย เขายังมีที่พักหรูสไตล์โคโลเนียลกลางไร่ชาให้เช็คอินชื่อ “The Postcard” ได้ชื่นชมไร่ชาเขียวชอุ่มกว้างสุดลูกหูลูกตา ดูการเก็บชา จิบชาพรีเมี่ยม และซื้อกลับบ้าน ทั้ง Assam CTC, Assam Orthodox, Himalayan Green, Pu-erh Tea ฯลฯ

(4) Aohali Village, เผ่า Idu

  “Zero Hunting Village” “หมู่บ้านนี้ไม่มีการล่าสัตว์เด็ดขาด คือปณิธานแน่วแน่ที่ หมู่บ้านเอาฮาลี (Aohali Village) ในตำบลเซียงตะวันออก (East Siang District) ของรัฐอรุณาจัลประเทศประกาศต่อชาวโลก ที่นี่คือบ้านป่าบนภูเขาสลับซับซ้อน อุดมด้วยพืชพรรณและสัตว์ป่า โดยมีชนเผ่าอีดู (Idu Tribe) 1 ใน 26 เผ่าของรัฐอรุณาจัลประเทศอาศัยอยู่มานับร้อยปี เมื่อป่าสมบูรณ์หดหายและสัตว์ป่าลดจำนวนลงจนเห็นชัด ชุมชนจึงร่วมตั้งปฏิญญาว่าจะเข้าสู่วิถีอนุรักษ์แทน โดยใช้การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและผจญภัยเป็นจุดขาย เอาฮาลีจึงมีชื่อเสียงในฐานะ หมู่บ้านแรกของรัฐอรุณาจัลประเทศที่หยุดล่าสัตว์ 100 เปอร์เซ็นต์ เอาฮาลี ช้เสน่ห์ดั้งเดิมของภาษา การแต่งกาย หัตถกรรม และดนตรีในแบบอีดู ดึงดูดผู้มาเยือน ชนเผ่าอีดูเป็น 1 ใน 4 เผ่าย่อยของชาวมิชมี่ (Mishmi) เรียกว่า อีดูมิชมี่ ซึ่งบรรพบุรุษอพยพมาจากทิเบต ความน่าสนใจแรกที่ดึงดูดสายตาได้ คือชุดที่พวกอีดูสวมใส่ มีหมวกแหลมสานด้วยไม้ไผ่และหวาย ชุดผ้าทอมือ สร้อยลูกปัดเขี้ยวสัตว์ ผ้าคลุมขนสัตว์ รวมถึงมีดดาบยาว ส่วนหญิงชาวอีดูก็เก่งมากเรื่องจักสานและทอผ้ากี่เอว หมู่บ้านเอาฮาลีอยู่บนเส้นทางระหว่างไปเมืองดิรัง (Dirang) โดยออกจากเมืองน้ำทราย (Namsai) ไม่ไกลก็ถึง

(5) Silluk Village, เผ่า Monpa

ไม่ไกลจากหมู่บ้านเอาฮาลี (Aohali Village) ถนนสองเลนคดโค้งผ่านไปตามป่าเขาลำเนาไพรเขียวครึ้ม เมื่อระดับความสูงเพิ่มขึ้น ไม่นานก็ถึง หมู่บ้านซิลลุค” (Silluk Village) ในตำบลเซียงตะวันออก (East Siang District) หมู่บ้านสะอาดที่สุดในรัฐอรุณาจัลประเทศ ซึ่งรัฐบาลท้องถิ่นให้การรับรอง แม้มองเผินๆ จะเป็นเพียงหมู่บ้านชนบท ที่บ้านสร้างด้วยไม้หลังคามุงจาก ทว่าสิ่งที่ทุกคนสัมผัสได้คือ ซิลลุคสะอาดมาก สิ่งต่างๆ ดูเป็นระเบียบ มีไม้ดอกไม้ใบหลากสีสวยงามประดับ คนซิลลุคเป็นชาวมอนปะ (Monpa Tribe) ที่บรรพบุรุษอพยพมาจากทิเบตเขตพื้นที่ต่ำ พวกเขามีนิสัยรักสะอาด หมู่บ้านแบ่งเป็น 6 หมู่ ส่งตัวแทนออกมาช่วยกันเก็บขยะทำความสะอาดหมู่บ้านทุกเช้า (ยกเว้นช่วงฤดูเกษตร) รวมถึงมีการทำ Big Cleaning หนึ่งวันทุกต้นเดือนด้วย เสียงตามสายทุกเช้าในหมู่บ้านดังย้ำเตือนเรื่องจิตสำนัก และการมีส่วนร่วมเรื่องความสะอาดสุขอนามัยในชุมชน ปัจจุบันมีการห้ามล่าสัตว์และจับปลา แยกขยะพลาสติก โดยถังขยะที่ใช้สานด้วยไม้ไผ่จากฝีมือผู้สูงอายุในหมู่บ้าน วิถีชีวิตของคนที่นี่จึงกลมกลืนกับป่าเขาลำเนาไพร เป็นต้นแบบให้ชุมชนอื่นได้ยอดเยี่ยม

(6) Dirang Monastery เมืองดิรัง

  ถนนสองเลนซิกแซกผ่านไปบนภูเขาน้อยใหญ่เหมือนไม่รู้จบ สาย NH15 ระยะทางกว่า 580 กิโลเมตร จากเมืองน้ำทราย (Namsai) ในที่สุดเราก็มาถึงเมืองบนภูเขาสูงกว่า 1,500 เมตร เมืองดิรัง” (Dirang) ที่ทอดตัวอยู่ทางด้านทิศใต้ของเทือกเขาหิมาลัย ทัศนียภาพเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนช่างน่าตื่นตา ดินแดนแถบนี้ในอดีตคือส่วนหนึ่งของอาณาจักรทิเบต ทว่าหลังจากถูกจีนรุกราน จึงผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของอินเดียเมื่อปี ค.ศ.​1959 ชาวทิเบตจำนวนมากจึงอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานจุดที่ห้ามพลาดคือ “วัดดิรัง” (Dirang Monastery) หรือภาษาทิเบตเรียกว่า “ทุบซัง ดาร์กเย ลิง” (Thupsung Dhargye Ling) ชื่อนี้ดาไลลาะมองค์ที่ 14 ประมุขศาสนาพุทธนิกายวัชรยานตั้งให้ แปลว่า “ดินแดนซึ่งพระวัจนะของพุทธองค์เฟื่องฟู” วัดตั้งอยู่บนเชิงเขามองลงไปเห็นหุบเขาดิรังทอดตัวอยู่เบื้องหน้า อารามไล่จากชั้นล่างผ่านบันไดขึ้นสู่ชั้นบนสุดอันเป็นที่ตั้งอารามหลัก ภายในมีห้องสวดมนต์ใหญ่สไตล์ทิเบต มีพระประธานเป็นพระศรีอริยเมไตรย และคุรุรินโปเช (คุรุปัทมสัมภวะ) วัชราจารจากอินเดียผู้เข้าสู่ทิเบตเมื่อศตวรรษที่ 8-9 เผยแผ่ศาสนาพุทธนิกายวัชรยานจนทิเบตเปลี่ยนจากนับถือจิตวิญญาณมาเป็นพุทธ ในห้องโถงยังมีบัลลังก์ธรรมาสน์ที่มีรูปดาไลลามะองค์ที่ 14 ขนาดเท่าองค์จริงประดิษฐานอยู่ด้วย

(7) Dirang Dzong, เผ่า Monpa เมืองดิรัง

 สำหรับนักท่องเที่ยว ในเมืองดิรังมีจุดที่น่าสนใจให้ชมมากมาย หนึ่งในนั้นคือแหล่งประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต คละเคล้าวัฒนธรรมชาวมอนปะ (Monpa Tribe) ซึ่งอพยพจากเขตที่ต่ำในทิเบตเข้าสู่อินเดียเมื่อครั้งอดีต นั่นคือ ดิรังซอง” (Dirang Dzong) เรียกง่ายๆ ว่า ป้อมดิรัง ก็ได้ เพราะเป็นป้อมโบราณสมัยศตวรรษที่ 9 สร้างอยู่บนภูเขาสูง มีรั้วรอบขอบชิด เคยเป็นศูนย์กลางบริหารราชการท้องถิ่นและชุมชนที่มีบ้านสไตล์ทิเบตอยู่นับร้อยหลัง การสร้างป้อมดิรังด้วยหินมีรั้วแน่นหนา ก็เพราะในอดีตยังมีการรุกรานจากชนชาติอื่นอยู่เนืองๆ นั่นเอง ทั้งนี้ชาวมอนปะแบ่งได้เป็น 6 เผ่าย่อย (ตามเขตที่อาศัย) คือ Tawang Monpa, Dirang Monpa, Lish Monpa, Bhut Monpa, Kalaktang Monpa และ Panchen Monpa   ดิรังซอง ตั้งอยู่บนเส้นทาง Bomdila-Dirang-Tawang โดยอยู่ถัดออกมาจากตัวเมืองเล็กน้อย จอดรถไว้ริมถนน แล้วเดินขึ้นบันไดไปตามตรอกแคบๆ ลอดผ่านซุ้มประตูโบราณ เข้าสู่ชุมชนมอนปะที่พาเราย้อนกลับสู่ศตวรรษที่ 9 ในทุกย่างก้าวที่เดินผ่าน ทางแคบๆ คดเคี้ยวราวเขาวงกตลัดเลาะเข้าไปในหมู่บ้าน เห็นสถาปัตยกรรมเรือนอาศัยแบบทิเบต ที่ใช้หินและไม้สร้างผสมผสาน มีวงล้อมนต์ (Prayer Wheel) บ่งบอกถึงศรัทธาในศาสนาพุทธนิกายวัชรยาน รวมถึงรอยยิ้มของผู้คนที่มีให้ตลอด

(8) Dirang Market เมืองดิรังเปลี่ยนบรรยากาศจากเที่ยวชมวัดสไตล์ทิเบต ป้อมโบราณ และหมู่บ้านชนพื้นเมือง มาเป็นเดินเล่นช้อปปิ้งใน ตลาดดิรัง” (Dirang Market หรือ Dirang Bazaar) กันบ้าง ตลาดนี้ตั้งอยู่ใจกลางย่านดาวน์ทาวน์ของดิรัง มีถนนผ่านกลางย่านธุรกิจ และมีอาคารร้านรวงทอดยาวไปสองฟากฝั่งถนน รวมถึงเลี้ยวเข้าไปตามตรอกซอกซอย ก็ดูคึกคักคับคั่งจอแจ เต็มไปด้วยภาพการซื้อขายจับจ่ายและผู้คน มีทั้งร้านอาหารท้องถิ่น ร้านขายเสื้อผ้าพื้นเมือง กระเป๋า รองเท้า พรม เครื่องสำอาง ยาสมุนไพรต่างๆ มีร้านแลกเงิน ร้านขายข้าวของจิปาถะ รวมถึงพืชผักผลไม้สด เนื้อสัตว์ ขนม ชีสนมจามรี ฯลฯ เปิดกั้นตั้งแต่เช้าตรู่จนดึกดื่น ใครขาดเหลืออะไรระหว่างเดินทางท่องเที่ยว ก็แวะซื้อกันที่นี่ได้นะ

(9) Dirang Hot Spring เมืองดิรังนั่งรถยนต์ชิลๆ ออกจากเมืองดิรังไปแค่ 10 กิโลเมตร ก็ถึง บ่อน้ำพุร้อนดิรัง” (Dirang Hot Spring) ที่คนท้องถิ่นชาวมอนปะและทิเบตใช้เป็นสถานที่พักผ่อนเชิงสุขภาพมาเนิ่นนาน เป็นบ่อน้ำพุร้อนเล็กๆ 2 บ่อ ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ริมฝั่งแม่น้ำดิรัง บริหารจัดการโดยชุมชนชาวมอนปะท้องถิ่น บรรยากาศเงียบสงบ ร่มรื่นเป็นธรรมชาติ มองออกไปเห็นภูเขา ป่าไม้ และแม่น้ำอยู่เบื้องล่าง อุณหภูมิน้ำไม่ร้อนมาก แช่สบายตัวพอได้ผ่อนคลาย น้ำที่นี่อุดมด้วยแร่ซัลเฟอร์ ลงอาบแช่แล้วช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย เลือดลมดี ช่วยรักษาโรคผิวหนังและอาการไขข้อบางชนิดได้ เหมือนสปาธรรมชาติที่น่าจะแวะไปทดลองดู

บ่อน้ำพุร้อนดิรัง เปิดให้ใช้บริการฟรี ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นถึงเย็น ช่วงเวลาอากาศดีสุดคือเดือนตุลาคม-เมษายน และที่นี่ไม่มีห้องเปลี่ยนชุดให้ ต้องเตรียมผ้าเช็ดตัวกับชุดไปเปลี่ยนเองนะ

(10) Tippi Orchid Research Centre

รัฐอรุณาจัลประเทศมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์และกว้างขวางที่สุดในอินเดีย จึงมีกล้วยไม้ป่าอยู่มากถึง 678 ชนิด โดย 32 ชนิดเป็นพันธุ์เฉพาะถิ่น (Endemic Species) พบเฉพาะที่นี่เท่านั้น หากใครสนใจลองไปเที่ยวที่ ศูนย์วิจัยกล้วยไม้ทิปปิ” (Tippi Orchid Research Centre) หมู่บ้านทิปปิ ตำบลคาเมงตะวันตก (West Kameng District) ห่างจากเมืองเตซปูร์ (Tezpur) ของรัฐอัสสัม เพียง 65 กิโลเมตรเท่านั้น ศูนย์วิจัยกล้วยไม้ทิปปิ ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขารกชัฏสลับซับซ้อน เป็นป่าฝนเขตร้อนเขียวชอุ่มชุ่มชื้นตลอดปี พื้นที่ 62.5 ไร่ มีโรงเรือนปลูกเลี้ยงกล้วยไม้กว่า 1,000 ชนิด ทั้งพันธุ์ท้องถิ่น พันธุ์หายาก และพันธุ์ลูกผสมสวยงาม มีห้องแล็บศึกษาวิจัย สวนกลางแจ้ง แล็บผสมกล้วยไม้แบบ Tissue Culture และพิพิธภัณฑ์พืช (Herbarium) เก็บรวบรวมข้อมูลกล้วยไม้นับพันชนิดไว้อย่างเป็นระบบ ไฮไลท์อยู่ที่โรงเรือนเลี้ยงกล้วยไม้น้อยใหญ่หลากสี เบ่งบานอวดผู้มาเยือน ทั้งกล้วยไม้รองเท้านารี เพชรหึง เอื้องม้าวิ่ง กล้วยไม้สกุลหวาย แวนด้า แคทลียา ซิมบิเดียม ฯลฯ เห็นแล้วสดชื่นมาก นอกจากนี้ยังมี เส้นทาง Green Walk ให้ชมธรรมชาติในป่าเฟิร์นด้วย

— SPECIAL THANKS TO ALL OF MY SPONSORS —

ขอบคุณ บริษัท Nikon Sales Thailand สนับสนุนกล้อง Nikon Z8 ระดับ Professional สำหรับ Photo Trip ครั้งนี้

— For more informations about Arunachal Pradesh, India Trip, please contact —

ขอบคุณเป็นพิเศษ : บริษัท RINNAYA TOUR (ริณนาญาทัวร์)

Tel. 092-895-6245 / Line : @rinnayatour

Email : sales.rinnaya@gmail.com

Website : http://www.RinnayaTour.com/

มหาสงกรานต์ไทคำตี้ อัญมณีล้ำค่า ณ ปลายเทือกหิมาลัย

สงกรานต์ คือช่วงเวลาแห่งความสุข ความชุ่มฉ่ำ และการเปลี่ยนผ่านจากปีเก่าเข้าสู่ปีใหม่ของคนไทย ทว่าจริงๆ แล้ว สงกรานต์ คือวัฒนธรรมร่วมของผู้คนนับล้านในภูมิภาคอุษาคเนย์ ทั้งไทย พม่า ลาว กัมพูชา รวมถึงคนเผ่าไต (ไท) ในจีนตอนใต้ ไล่ไปจนถึงคนไทกลุ่มหนึ่งในแคว้นอัสสัมและอรุณาจัลประเทศของอินเดียด้วย พวกเขาคือ ไทคำตี้ (Tai Khamti) ญาติสนิทของพวกเรา ที่มีประเพณีฉลองสงกรานต์ยิ่งใหญ่ และนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทไม่ต่างจากเราเลย

            นี่คือเรื่องราวการเดินทางยาวไกลสู่ แคว้นอรุณาจัลประเทศ (Arunachal Pradesh) เลียบเชิงเขาหิมาลัยตะวันออก สัมผัสบรรยากาศไร่ชา ที่ราบลุ่มแม่น้ำพรหมบุตร และร่วมมีความสุขกับงาน มหาสงกรานต์ไทคำตี้ ที่เราอาจไม่เคยรู้

ท่ามกลางอากาศร้อนใกล้ 40 องศาเซลเซียส ของกลางเดือนเมษายน 2025 เราบินลัดฟ้าจากไทยไปยัง เมืองกัลกัตตา (Kolkata) ของอินเดีย แล้วเปลี่ยนเครื่องบินภายในประเทศสู่ เมืองดิบรูกาห์ (Dibrugarh) แคว้นอัสสัม จากนั้นต่อรถยนต์อีกไม่ไกลก็ถึง น้ำทราย (Namsai) เมืองสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในแคว้นอรุณาจัลประเทศของอินเดีย นี่คือจุดหมายที่เราแรมทางมาเพื่อพิสูจน์คำเล่าลือ ในความงามทางวัฒนธรรมที่ถูกแช่แข็งไว้ในกาลเวลา เพราะน้ำทรายคือบ้านของชนเผ่าไทคำตี้ ที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายคนไทย ผสมพม่า มอญ ไทยใหญ่ รวมถึงจีน เพราะเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 22-23 บรรพบุรุษของพวกเขาอพยพจากลุ่มแม่น้ำชินด์วิน (Chindwin River) อันเป็นสาขาหนึ่งของแม่น้ำอิราวดีทางเหนือของพม่า ผ่านช่องเขาปาดไก่เข้าสู่อินเดีย

ทรัพยากรธรรมชาติ สายน้ำ และดินอุดมของอรุณาจัลประเทศ เกื้อหนุนให้ชาวไทคำตี้อยู่กันอย่างสุขสงบด้วยวิถีเกษตร ไร่ชา และศาสนาพุทธ ก่อเกิดความรุ่งเรือง ณ เมืองน้ำทราย แห่งนี้ ทุกปีในช่วงกลางเดือนเมษายน เมื่อจักรราศีเปลี่ยนผ่านจากมีนเข้าสู่เมษ ชาวไทคำตี้ก็จะร่วมกันจัดงานเทศกาล “ซังเกน” (Sangken ในภาษาถิ่นไทคำตี้เรียกว่า “Peo Mon Sangken”) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ “สงกรานต์” นั่นเอง ถือเป็นเทศกาลแห่งความสุขล้น เพราะเป็นการขึ้นปีใหม่

มีการทำบุญเลี้ยงพระ ฟังเทศน์ฟังธรรม สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวญาติผู้ใหญ่ และเล่นสาดน้ำคลายร้อนกันอย่างสนุกสนานชื่นมื่น รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ เปื้อนอยู่บนใบหน้าของผู้คน ทว่าปี 2025 งานซังเกนไทคำตี้ดูจะจัดยิ่งใหญ่กว่าที่เคยมีมา กลายเป็น “เทศกาลมหาซังเกนนานาชาติ” (Maha Sangken International Festival) ที่มีสื่อมวลชนและแขกผู้มีเกียรติจากหลายประเทศเข้าร่วม โดยมี ท่านเจ้านา เมน (Chowna Mein) Deputy Chief Minister แห่งรัฐอรุณาจัลประเทศ ให้การสนับสนุนหลักผลักดันเต็มที่ จนงานมหาซังเกนไทคำตี้ครั้งนี้มีสีสันและมีชีวิตชีวากว่าครั้งไหนๆ

งานเทศกาลมหาซังเกนนานาชาติ 2025 ปีนี้ นอกจากจะจัดอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชาวไทคำตี้ให้คงอยู่ ผู้คนร่วมกันแต่งกายในชุดพื้นเมืองสวยงามทั้งหญิงชาย ออกมาร่วมฉลองและสาดน้ำสะอาดกันที่วัด ซึ่งเป็นเสมือนศูนย์กลางชุมชน เรายังได้เชิญสื่อมวลชนและแขกผู้มีเกียรติจากหลายประเทศเข้าร่วม อาทิ อิตาลี อเมริกา ไทย อินเดีย ฯลฯ เพื่อเผยแพร่งานเทศกาลนี้ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในระดับนานาชาติ อันจะเป็นผลดีต่อการท่องเที่ยว รวมถึงช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐอรุณาจัลประเทศด้วย ท่านเจ้านา เมน Deputy Chief Minister แห่งรัฐอรุณาจัลประเทศ กล่าว

การเชิญสื่อมวลชนและบริษัททัวร์จากนานาชาติเข้าร่วมชมงานมหาซังเกนในปีนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงประเพณีที่ดีงามและมีความสำคัญ สามารถสร้างความประทับใจและน่าจดจำได้ในระดับโลก นับเป็นความพยายามของเราที่จะประชาสัมพันธ์ให้เห็นถึงประเพณีที่มีความพิเศษ เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเรามีแผนจะทำการเผยแพร่ในแพลทฟอร์มที่หลากหลาย กว้างขวางขึ้นต่อไป”  Mr.Oken Tayen สมาชิกสภาที่ปรึกษาด้านการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวอินเดีย และเป็นหนึ่งในแกนนำจัดงานมหาซังเกนนานาชาติไทคำตี้ปีนี้ กล่าวเสริม งานมหาซังเกนนานาชาติไทคำตี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-16 เมษายน 2025 โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ “วัดเจดีย์ทองคำ” (Golden Pagoda) ซึ่งในภาษาถิ่นเรียกว่า “วัดกองมูคำ” (Kongmu Kham) ศาสนาสถานสำคัญ เพราะเป็นเจดีย์ในศาสนาพุทธที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภาคอีสานของอินเดีย นอกจากจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชื่อเสียงแล้ว ยังถือเป็นศูนย์รวมใจของชาวไทคำตี้ด้วย ใจกลางวัดคือที่ตั้งมหาเจดีย์สีทองอร่ามสร้างด้วยสถาปัตยกรรมพม่า องค์เจดีย์ประธานสูงเกือบ 20 เมตร ล้อมด้วยเจดีย์ราย 12 องค์ เป็นเจดีย์ทรงปราสาทซึ่งส่วนฐานสามารถเดินเข้าไปกราบสักการะพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ภายใน รอบเจดีย์ทองคำเป็นลานปูนและสนามหญ้ากว้าง มีต้นโพธิ์และแมกไม้ใหญ่ร่มรื่น ใกล้ๆ กันมีโบสถ์แบบไทยศิลปะรัตนโกสินทร์ ซึ่งผู้มีจิตศรัทธาชาวไทยสร้างไว้ เบื้องหน้ามีสระน้ำใหญ่ พร้อมรูปปั้นพญานาคแผ่แม่เบี้ยอยู่เบื้องหลังองค์พระพุทธเจ้าเพื่อคอยปกป้องวัดเจดีย์ทองคำ เป็นสถานที่ใช้จัดงานสำคัญๆ ของชุมชนไทคำตี้เมืองน้ำทราย รวมถึงงานมหาซังเกนด้วย

งานมหาซังเกนในวันแรกเริ่มขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะที่เมืองน้ำทรายสว่างเร็วมาก อรุณเบิกฟ้าตั้งแต่ตีห้า จาก Golden Pagoda Eco Resort ที่พักของเรา มีประตูเดินเข้าด้านหลังวัด สามารถเดินตรงไปยังองค์พระเจดีย์ทองคำได้เลยอย่างง่ายดาย ผู้คนหลายร้อยตื่นเช้ากว่าเรา ต่างมาตั้งแถวรออยู่ในชุดไทคำตี้ที่สวยงามมีเอกลักษณ์ชุดพื้นเมืองไทคำตี้ เล่นสงกรานต์กันด้วยชุดนี้ทำให้บรรยากาศยิ่งดูพิเศษขึ้นอีกหลายเท่า

ชุดพื้นเมืองชาวไทคำตี้ หญิงนุ่งซิ่นหลากสี โดยเฉพาะซิ่นพื้นสีดำมีลายทางเป็นเส้นยาวลงไปจรดตีนซิ่น (คล้ายซิ่นลายแตงโมของไททรงดำในไทย) ลวดลายเน้นพิเศษตรงตีนซิ่นด้วยลายดอกดาวและดอกไม้ทรงเรขาคณิตหลากสี ส่วนท่อนบนใส่เสื้อแขนยาวมีผ้าพาดบ่าเฉวียงไหล่ บางคนก็ใส่หมวกสีสด และบางคนสะพายย่ามสีฉูดฉาดบาดตา น่ารักมาก ผู้ชายจะแต่งกายคล้ายพม่าหรือไทยใหญ่ คือถ้าไม่สวมกางเกงขาก๊วยยาว ก็นิยมนุ่งผ้าโสร่ง เสื้อแขนสั้นหรือยาวก็ได้ และอาจโพกผ้ารอบหัวด้วยถ้าต้องการให้ดูหล่อเหลา หรือเป็นทางการมากๆ

ท่านเจ้าอาวาสวัดเจดีย์ทองคำ พร้อมด้วยพระภิกษุและเณรน้อยหลายสิบรูป พากันเดินแถวเข้าไปที่ศาลาการเปรียญ ทำพิธีสวดอัญเชิญพระพุทธรูปหยกขาวและพระพุทธรูปสำคัญจำนวนมาก เดินแห่ตรงไปยังเจดีย์กลางสนามหญ้าใกล้ๆ เจดีย์ทองคำ โดยมี เจ้านา เมน เป็นประธานเดินนำไปเป็นท่านแรก

เจ้านา เมน เป็นประธานอัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ไปไว้ให้ประชาชนได้สรงน้ำเสริมสิริมงคล ในช่วงเทศกาลมหาซังเกน
องค์พระพุทธรูปทั้งหมดได้ประดิษฐานอยู่ภายในฐานพระเจดีย์แล้วปิดประตู ให้ผู้มาร่วมฉลองสงกรานต์สรงน้ำผ่านรางพญานาคเพื่อความเป็นสิริมงคล แต่ละคนจะมีถังน้ำพลาสติกเล็กๆ ของตัวเอง ใส่น้ำสะอาดและดอกไม้กลิ่นหอม นำมาเทลงในรางพญานาค จุดธูปหอมอธิษฐาน เสร็จแล้วเดินไปที่สนามหญ้าด้านหลังพระเจดีย์ รดน้ำต้นโพธิ์ใหญ่ให้เกิดความร่มเย็นกับชีวิต จากนั้นใครจะสาดน้ำใครให้ชุ่มฉ่ำก็เริ่มได้เลยอย่างอิสระเสรี โดยทางวัดมีก๊อกน้ำและรถบรรทุกน้ำ ให้ประชาชนมาเติมน้ำกันได้ฟรีแบบไม่อั้นตลอดวันเจ้านา เมน Deputy Chief Minister แห่งรัฐอรุณาจัลประเทศ พร้อมด้วย ท่านทูตอิตาลีประจำอินเดีย Antonio Enrico Bartoli และแขกผู้มีเกียรติในงาน ร่วมสรงน้ำพระพุทธรูปผ่านรางน้ำตรงเข้าสู่ภายในพระเจดีย์ บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุขและเบิกบานการสรงน้ำพระพุทธรูปเพื่อความเป็นสิริมงคลในวันมหาซังเกน ตามคติความเชื่อของชาวไทคำตี้งานมหาซังเกนในช่วงเช้างดงามด้วยรูปแบบพิธีการ และจิตวิญญาณของเทศกาลสงกรานต์แท้จริงอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งกลิ่นอายความศรัทธาพุทธศาสนา ชุดพื้นเมืองมีอัตลักษณ์ น้ำสะอาดและดอกไม้ที่ใช้ประกอบพิธีกรรม ไม่มีเสียงเพลงอึกทึก ไม่มีชุดโป้เปลือย ไม่มีความรุนแรงในการสาดน้ำ ไม่มีวัตถุแปลกปลอมเจืออยู่ในน้ำที่นำมาสาดรดกัน น่าชื่นชมมากๆ หลังจากสรงน้ำพระพุทธรูปแล้ว ก็ได้เวลารถน้ำต้นโพธิ์เป็นพุทธบูชา รวมถึงเชื่อว่าให้ชีวิตร่มเย็น มั่นคง ตลอดปี สายน้ำบริสุทธิ์แห่งความสุขและศรัทธา ศรัทธา ธรรมชาติ และผู้คน มาบรรจบกัน ณ วัดเจดีย์ทองคำใน วันมหาซังเกนไทคำตี้
ผูกเครื่องพุทธบูชาประดับไว้รอบๆ พระเจดีย์

งานช่วงเช้ายังไม่จบเพียงเท่านั้น ยังมีขบวนแห่ที่งดงามตระการตาด้วย ผู้คนเริ่มหนาตาขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นหลักพัน ส่วนอีกด้านหนึ่งชาวไทยคำตี้ต่อแถวกันสรงน้ำพระสงฆ์และน้องเณรที่นั่งเก้าอี้เรียงแถวอยู่ สายน้ำคือชีวิต สายน้ำคือความบริสุทธิ์ฉ่ำเย็น เชื่อมศรัทธาสาธุชนไปยังสงฆ์ตัวแทนแห่งพระพุทธศาสนา

ขบวนแห่เปิดงานมหาซังเกนนานาชาติ 2025 อันมีสีสัน เริ่มจากประตูหน้าวัดเจดีย์ทองคำ ตรงเข้าสู่ปรัมพิธี
สายน้ำ รอยยิ้ม และความสุข พบเห็นอยู่ทั่วไปในวันมหาซังเกนไทคำตี้ สีสันวัฒนธรรมประเพณีซังเกน งดงามไม่แพ้แม่หญิงชาวไทคำตี้เลยแม้แต่น้อยขบวนแห่ที่ดูสวยงามแปลกตาเมื่อการเปิดงานอย่างเป็นทางการโดย ท่านเจ้านา เมน เสร็จเรียบร้อยแล้ว ความคึกคักบวกความสนุกที่แท้จริงก็เริ่มต้นขึ้น เจ้านา เมน เป็นประธานปล่อยลูกโป่ง กล่าวเปิดงานเทศกาลมหาซังเกนนานาชาติ 2025 อย่างเป็นทางการ
ทางวัดเจดีย์ทองคำมีก๊อกน้ำให้ผู้คนมาเติมน้ำกันได้อย่างไม่อั้นทุกคนในงานพากันสาดน้ำใส่กันสุดเหวี่ยง แต่ปราศจากความรุนแรงใดๆ หญิง ชาย ผู้สูงอายุ สื่อมวลชน แขกในงาน ต่างร่วมวงสาดน้ำกันอย่างชุ่มฉ่ำเปียกปอนสุดๆ แข่งกับอุณหภูมิแดดที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เด็กๆ และน้องเณรก็ร่วมวงสาดน้ำอย่างสนุกสนาน รอบตัวมีแต่ละอองน้ำกระจายว่อนไปทั่ว ราดรดตัวและหัวใจ เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม ความสุข ล่องลอยอยู่ในทุกอณูอากาศ

การเล่นน้ำสงกรานต์ที่วัดเจดีย์ทองคำของชาวไทคำตี้ ดำเนินไปตลอดวันจนเย็นย่ำ ยิ่งช่วงบ่าย ประมาณด้วยสายตาน่าจะมีคนเนืองแน่นแออัดเล่นสาดน้ำกันอยู่ในวัดนับหมื่น เสียงผู้คน เสียงสาดน้ำ อื้ออึง ตื่นตาตื่นใจสมเป็นงานใหญ่ประจำปี

งานมหาซังเกนไทคำตี้ไม่ได้จัดกันเฉพาะที่วัดเจดีย์ทองคำเท่านั้น ทว่าตามหมู่บ้านหรือชุมชนใหญ่ๆ ก็ยังมีการจัดงานด้วย โดยใช้วัดสำคัญของชุมชนเป็นศูนย์กลาง บรรยากาศแต่ละแห่งงดงามด้วยสีสันทางวัฒนธรรม ภาพวิถีชีวิต ความเชื่อ ความศรัทธา ที่ยังแนบแน่นในพุทธศาสนา คละเคล้าการฉลองปีใหม่ ครอบครัว คู่รัก ญาติมิตร เดินจูงมือกันเข้าวัดเล่นสาดน้ำ ร่วมร้องเพลง ฟ้อนรำ สรงน้ำพระ รถน้ำต้นโพธิ์ สร้างความประทับใจให้เราผู้เดินทางมาจากแดนไกลอย่างมาก

รวมฟ้อนรำอย่างสนุกสนานต้อนรับปีใหม่ ในงานเทศกาลมหาซังเกนนานาชาติ ไทคำตี้ 2025วงโปงลางและนางรำจากฝั่งไทย ก็ไปร่วมสนุกในงานเทศกาลมหาซังเกนนานาชาติ 2025 ด้วยเจ้านา เมน Deputy Chief Minister แห่งรัฐอรุณาจัลประเทศ ร่วมฟ้อนรำและเล่นน้ำ ในงานเทศกาลมหาซังเกนนานาชาติ 2025จุดธูปหอมอธิษฐานขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก่อนไปสรงน้ำพระและต้นโพธิ์สรงน้ำพระพร้อมรอยยิ้มแห่งความสุขสรงน้ำพระเจดีย์ในวันมหาซังเกน ตามคติความเชื่อชาวไทคำตี้สนุกสนานกันไปตลอดวัน กับเทศกาลมหาซังเกนนานาชาติไทคำตี้ 2025 สิ่งที่เราไม่เคยรู้อีกอย่างเกี่ยวกับงานเทศกาลมหาซังเกนไทคำตี้ในอินเดีย คือที่ หมู่บ้านเทมบัง (Thembang Village : เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่สุดในรัฐอรุณาจัลประเทศ) ในเมืองน้ำทรายแห่งนี้ นอกจากจะมีการเล่นน้ำสงกรานต์แล้ว ช่วงเย็นย่ำโพล้เพล้ยังมีการลอยประทีป คล้ายการลอยกระทงในเมืองไทย (แต่ไม่มีการตัดผมและเล็บใส่ลงไปในกระทงเหมือนที่เมืองไทย) แถมยังมีการลอยโคมขึ้นสู่อากาศเพื่อเป็นพุทธบูชาอีกด้วย แสงไฟวับวามมลังเมลืองหลากสีจากทั้งกระทงประทีปและโคมลอย ปลุกให้สายน้ำและท้องฟ้าของเทมบังมีชีวิต แม้อาทิตย์จะลาลับไปนานแล้ว หนุ่มสาวไทคำตี้ที่นี่ก็ยังเล่นสาดน้ำกันไม่หยุด นัยว่าเป็นการพบปะสานสัมพันธ์อย่างเต็มที่ปีละครั้ง ลอยประทีปสู่พระแม่คงคงาในวันมหาซังเกนแม้ค่ำมืดแล้ว การเล่นสาดน้ำและสรงน้ำพระพุทธรูป สรงน้ำพระเจดีย์ ก็ยังคงดำเนินต่อไปด้วยแรงศรัทธา

หลายวันแห่งการได้มาร่วมงานเทศกาลมหาซังเกนนานาชาติ ไทคำตี้ 2025 ที่เมืองน้ำทราย ทำให้เราเข้าใจนิยามของการเฉลิมฉลองสงกรานต์ที่แท้จริง มันมิใช่เพียงการสาดน้ำให้เปียกปอนคลายร้อน หรือการขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินท้องถิ่นเท่านั้น ทว่าเราได้เห็นความศรัทธาแรงกล้าของผู้คนที่มีต่อพระพุทธศาสนา เชื่อในสิ่งที่บรรพบุรุษส่งต่อ ชาวไทคำตี้วันนี้จึงร่วมสืบสาน และอาจสะกิดเตือนให้อีกหลายประเทศที่มีงานสงกรานต์เช่นกันหันกลับมามอง ว่าแก่นแท้ของ สงกรานต์ คืออะไร จัดกันอย่างไร มันสะท้อนความงามลุ่มลึกของชุมชนไทคำตี้แห่งรัฐอรุณาจัลประเทศ อินเดียที่ไม่เหมือนอินเดีย อินเดียที่ทำให้เราผู้มาเยือนรู้สึกอุ่นใจเหมือนอยู่บ้าน

ไม่รู้เหมือนกันว่าปีหน้าจะได้กลับไปเล่นสงกรานต์ที่เมืองน้ำทรายอีกรึเปล่า แต่บอกได้เลยว่า รักมากๆ ไทคำตี้

— SPECIAL THANKS TO ALL OF MY SPONSORS —

ขอบคุณ บริษัท Nikon Sales Thailand สนับสนุนกล้อง Nikon Z8 ระดับ Professional สำหรับ Photo Trip ครั้งนี้— For more informations about Arunachal Pradesh, India Trip, please contact —

ขอบคุณเป็นพิเศษ : บริษัท RINNAYA TOUR (ริณนาญาทัวร์)

Tel. 092-895-6245 / Line : @rinnayatour

Email : sales.rinnaya@gmail.com

Website : http://www.RinnayaTour.com/

TOP 22 of Pakistan, Once in a Lifetime!

ปากีสถาน (Pakistan) หนึ่งในดินแดนแห่ง Dreams Destination ที่ใครหลายคนฝันถึง ว่าสักวันจะได้ไปเยือน! เพราะถ้าสำรวจลงลึกจริงๆ แล้ว ปากีสถานคือประเทศที่รุ่มรวยด้วยอารยธรรมมานานหลายพันปี ด้วยจุดที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งสำคัญยิ่งยวด เป็นจุดกึ่งกลางเชื่อมโลกตะวันออก-ตะวันตกบนเส้นทางสายไหมโบราณ (Ancient Silk Road) ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นถนนสาย Karakoram Highway ยาว 1,300 กิโลเมตร เชื่อมจีน-ปากีสถาน นำเราย้อนกลับไปสู่อู่อารยธรรม ที่ยังคงมีลมหายใจ อวลด้วยกลิ่นอายเสน่ห์ และรอยยิ้มของผู้คนที่เป็นมิตร

1. Faisal Mosque, Islamabad (มัสยิดไฟซาล ศูนย์รวมใจชาวปากีสถาน, อิสลามาบัต)

แหล่งท่องเที่ยวอันเป็น Landmark สำคัญที่สุดในกรุงอิสลามาบัต เมืองหลวงของปากีสถาน ก็คือ ‘มัสยิดไฟซาล’ เปรียบเสมือนมัสยิดกลางของประเทศ ที่พี่น้องชาวมุสลิมเข้ามาใช้ประกอบศาสนกิจ มัสยิดแห่งนี้เปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1987 ออกทุนสร้างโดยกษัตริย์ซาอุดิอาระเบีย King Faisal จึงนำพระนามของพระองค์ใช้เป็นชื่อมัสยิดแห่งนี้ โดยใช้นายช่างชาวตุรกีออกแบบ ให้เป็นทรงเต็นท์ 8 เหลี่ยม ของชาวเบดูอิน หรือพวกเร่ร่อนซึ่งมาถึงบริเวณนี้เป็นพวกแรก มัสยิดไฟซาลมีความใหญ่โตโอฬารมาก ภายในจุคนได้ถึง 100,000 คน และบริเวณรอบนอกจุได้อีกกว่า 200,000 คน และมีเสามินาเร็ท (หอขาน) 4 ต้น ขนาบสี่มุม สูงต้นละ 79 เมตร ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวไปชมเป็นจำนวนมากแทบทุกวัน โดยการเข้าชมควรแต่งกายสุภาพ มิดชิด ไม่ส่งเสียงดัง และก่อนถ่ายภาพทุกครั้งควรขออนุญาตก่อน
2. Daman-e-Koh, Islamabad (ดามาน-อี-โกท จุดชมวิวพาโนรามาเหนืออิสลามาบัต)

จุดชมวิว Daman-e-Koh ป็นจุดชมวิวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ตั้งอยู่บนเทือกเขา Margalla Hills ทางตอนเหนือของกรุงอิสลามาบัต เมืองหลวงของปากีสถาน ยอดเขานี้สูงขึ้นมาจากตัวเมืองกว่า 500 ฟุต ทำให้เราชมวิวได้แบบสุดสายตาพาโนรามา แลเห็นทุ่งราบกว้างไกล และตัวเมืองที่แทบจะไม่มีตึกสูงระฟ้า ยกเว้นโรงแรมหรือห้างสรรพสินค้าบางแห่ง บนยอดเขานี้อากาศสดชื่นเย็นสบาย มีสวนร่มรื่น และม้านั่งให้พักผ่อนด้วย แต่ต้องคอยระวังพวกลิงที่อาจเข้ามาทักทายเราเป็นบางครั้งบางคราว จึงควรเก็บสิ่งของให้มิดชิดด้วยล่ะ
3. Taxila (เมืองเก่าตักศิลา มหานครแห่งศิลปะวิทยาการของโลกยุคโบราณในชมพูทวีป)

ตักศิลา หรือชื่อเดิม ตักสะสิลา คือเมืองโบราณอายุกว่า 3,500 ปี ที่เคยรุ่งเรืองถึงขีดสุดในแง่ของการเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกๆ ของโลก รวมถึงยังเคยเป็นแคว้นที่เคยมีพระพุทธศาสนาเฟื่องฟูอย่างยิ่งในอดีตกาล เพราะตักศิลาคือ 1 ใน 16 แคว้นของชมพูทวีปโบราณ ที่เป็นศูนย์รวมของสรรพวิชาการต่างๆ ผู้คนจากทั้งเอเชียและยุโรปในยุคนั้น จึงส่งลูกหลานมาศึกษาหาความรู้กันที่นี่ กับอาจารย์ซึ่งเรียกว่า ‘ทิศาปาโมกข์’ จากหลักฐานการขุดค้นพบว่าเมืองตักศิลาแห่งแรกมีอายุย้อนไปได้กว่า 1,000 ปี ก่อนคริสตกาล และมีการสร้างซ่อมบูรณะซ้อนทับกันมาหลายยุคสมัย สำหรับซากตัวเมืองเก่าตักศิลาที่เห็นในปัจจุบัน สร้างขึ้นโดยชาว Bactrian-Greek ซึ่งเป็นทหารของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ที่เคยกรีฑาทัพผ่านมาในบริเวณเมื่อปีที่ 3 ก่อนคริสตกาล ส่วนหนึ่งได้ตั้งรกรากอยู่ที่นี่ แล้วนำศิลปะแบบกรีกเข้ามาผสมผสานกับเอเชีย จนเกิดเป็น ‘ศิลปะแบบคันธาระ’ ขึ้นในที่สุด (พระพุทธรูปสไตล์คันธาระ พระพักตร์จะเหมือนใบหน้าคนกรีกยุคโบราณ)

กล่าวกันว่าตักศิลาคือมหาวิทยาลัยที่สอนความรู้ในทางโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกยุคโบราณ ควบคู่กับมหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกยุคนั้นเช่นเดียวกัน (อยู่ทางอินเดียตะวันออก) บุคคลสำคัญผู้เคยไปศึกษาที่เมืองตักศิลา เช่น พระเจ้าปเสนทิโกศล, หมอชีวกโกมาภัจจ์, องคุลีมาล รวมถึงเจ้าชายสิทธัตถะ ด้วย เมืองตักศิลารุ่งเรืองอยู่นานด้วยการสนับสนุนจากกษัตริย์ผู้ครองแคว้นที่นับถือพุทธ และรุ่งเรืองสุดขีดในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงสร้างเจดีย์และวัดต่างๆ ขึ้นอย่างมากมาย จนกระทั่งศตวรรษที่ 5 พวกฮั่นขาว (White Huns) ซึ่งเป็นนักรบจีนมองโกลเผ่าหนึ่งจากเอเชียกลาง ก็ได้เข้าเผาทำลายเมืองตักศิลาจนราบเป็นหน้ากลอง เหลือไว้เพียงซากโบราณสถานและพิพิธภัณฑ์ให้เราไปรำลึกความหลังในปัจจุบัน โดยเมืองโบราณนี้ตั้งอยู่ห่างจากกรุงอิสลามาบัต ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 32 กิโลเมตร ผ่านถนน Grand Trunk (GT Road) 4. Karakoram Highway : KKH (คาราโครัมไ​ฮเวย์ ถนนบนหลังคาโลกเชื่อมตะวันออกตะวันตกเป็นหนึ่งเดียว)

คาราโครัมไฮเวย์ ได้รับสมญานามว่าเป็น ‘สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก’ เพราะมันคือหนึ่งในถนนบนหลังคาโลก ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่สูงเกือบ 5,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล โดยสร้างขนานไปกับเส้นทางสายไหมโบราณ หรือ Ancient Silk Road เชื่อมโลกตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน คาราโครัมไฮเวย์มีความยาวประมาณ 1,300 กิโลเมตร สร้างขึ้นภายใต้ความร่วมมือของรัฐบาลปากีสถานและรัฐบาลจีน ที่มีแผนจะเปิดการค้าขายกันเต็มรูปแบบในอนาคตอันใกล้ โดยใช้ถนนสายนี้ขนส่งสินค้าและผู้คน แต่กว่าจะสร้างเสร็จก็ยากลำบากอย่างยิ่ง เพราะต้องสังเวยชีวิตคนงานก่อสร้างไปหลายร้อยคนเลย

คาราโครัมไฮเวย์ในเขตปากีสถาน มีระยะทางยาว 887 กิโลเมตร ส่วนในประเทศจีนยาว 413 กิโลเมตร ส่วนที่อยู่ในปากีสถานเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า China-Pakistan Friendship Highway หรือทางหลวงหมายเลข 35 (N-35) นั่นเอง มันเป็นถนนที่มีสภาพค่อนข้างดีเยี่ยม ผ่านภูมิประเทศหลากหลาย ทั้งที่ราบ แม่น้ำ หุบเขา และเทือกเขาหิมะสูงสลับซับซ้อน โดยเฉพาะที่ Khunjrab Pass สูง 4,735 เมตร เป็นจุดเชื่อมต่อพรมแดนปากีสถาน-จีน ในแคว้นซินเจียง และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เส้นทางสายคาราโครัมไฮเวย์ในเขตปากีสถานผ่านสถานที่น่าสนใจนับไม่ถ้วน อาทิ เส้นทางสายไหมโบราณ, จุดที่สองทวีปชนกันจนเกิดเทือกเขาหิมาลัย, ธารน้ำแข็งต่างๆ, หมู่บ้านและป้อมโบราณอายุนับพันปี ฯลฯ แต่สภาพรถที่จะใช้วิ่งบนเส้นทางนี้ควรตรวจเช็คให้ดีเยี่ยม เพราะบางช่วงถนนชันและคดเคี้ยว ส่วนผู้เดินทางอาจเกิดภาวะแพ้ความสูงเฉียบพลัน หรือ Acute Mountain Sickness (AMS) ได้ โดยเฉพาะที่บริเวณ Khunjerab Pass อาการคือปวดหัว คลื่นไส้ แน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย วิธีป้องกันคืออย่าเคลื่อนไหวเร็ว งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดบุหรี่ ดื่มน้ำอุ่น สูดอากาศบริสุทธิ์ ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น ให้รีบพักผ่อนแล้วลงสู่พื้นที่ตำกว่า
5. Khunjerab Pass, Karakoram Highway (จุดเชื่อมต่อคาราโครัมไฮเวย์ปากีสถานเข้าสู่แดนมังกร)

Khunjerab Pass คือยอดเขาส่วนสูงที่สุดของถนนสายคาราโครัมไฮเวย์ คือสูงกว่า 4,735 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ถือเป็นหนึ่งในถนนที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งรถยนต์สามารถพาเราขึ้นไปถึงได้อย่างสบาย โดยจุดนี้จริงๆ แล้ว คือด่านพรมแดนกั้นปากีสถาน-จีน ออกจากกัน ในฝั่งปากีสถานคือแคว้น Gilgit-Baltistan ของเมือง Hunza-Nagar ส่วนฝั่งจีนคือแคว้นซินเจียง เรียกว่าทางหลวงสาย China National Highway 314 (G314) ซึ่งสามารถเดินทางต่ออีก 420 กิโลเมตร ก็ถึงเมืองคัชการ์ (Kashgar) และอีก 1,890 กิโลเมตร ก็ถึงเมืองอูรูมูฉี (Urumqi) ที่จุดนี้เอง รถจากปากีสถานซึ่งขับชิดซ้าย เมื่อข้ามพรมแดนเข้าเขตจีนแล้ว ก็จะต้องเปลี่ยนไปขับชิดขวา

เนื่องจากบริเวณ Khunjerab Pass เป็นถนนส่วนที่สูงที่สุดของคาราโครัมไฮเวย์ อากาศจึงหนาวเย็นจับขั้วหัวใจตลอดปี บางวันลมแรงมาก ใครจะไปเที่ยวต้องเตรียมอุปกรณ์กันหนาวไปให้เต็มอัตราศึกเลยนะ และโดยปกติจะใช้เวลา 1 วันเต็มในการเดินทางไปกลับ รับรองว่าตลอดทางจะได้ชมภูมิประเทศภูเขา โตรกผา ทุ่งหิมะ และสัตว์ป่าบางชนิด เช่น Golden Marmot เป็นกระรอกดินขนาดใหญ่จำพวกหนึ่ง ขุดโพรงอยู่ในดิน และชอบแอบขึ้นมาดูรถที่วิ่งผ่านไปมา รวมถึงถ้าโชคดีสุดๆ ก็จะพบ Himalayan Ibex สัตว์กีบจำพวกแพะภูเขาที่หายาก ตัวผู้มีเขาโง้งยาวสวยงามมาก เป็นต้น การขับรถเที่ยวชมธรรมชาติสู่ Khunjerab Pass ไปตาม Karakoran Highway จึงเป็นเรื่องน่าสนุก น่าตื่นเต้น ในทุกวินาที เพราะจะมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้เราจดจำไปตลอดชีวิตแน่นอน
6. Continents Collided Point (จุดที่สองแผ่นเปลือกโลกชนกันจนเกิดเทือกเขาหิมาลัย, Karakoran Highway)

เมื่อขับรถอยู่บนคาราโครัมไฮเวย์ ระหว่างทางจากเมือง Gilgit มุ่งหน้าเมือง Hunza จะผ่านจุดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในทางภูมิศาสตร์ ซึ่งใครหลายคนอยากไปเห็นสักครั้งกับตาตัวเอง! นั่นคือ จุดที่เมื่อ 55 ล้านปีก่อน อนุทวีปอินเดีย (Indian Plate) ได้เคลื่อนเข้าชนกับแผ่นทวีปยูเรเซีย (Urasian Plate) จากนั้นแผ่นอนุทวีปอินเดียก็มุดตัวลง พร้อมกับเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ก่อให้เกิดแรงเค้นมหาศาลสุดประมาณ ดันให้เปลือกโลกยูเรเซียส่วนนี้ค่อยๆ สูงขึ้น จนกลายเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน พุ่งทะยานสูงขึ้นไปในอากาศเกือบ 9 กิโลเมตร ทั้งในส่วนของเทือกเขาหิมาลัย, ยอดเขาเอเวอร์เรสต์, ยอดเขาต่างๆ ในเนปาล รวมถึงเทือกเขาทั้งหมดในภาคเหนือของปากีสถานด้วย โดยเฉพาะในแคว้น Gilgit-Baltistan บริเวณเมือง Hunza-Nagar ต่างก็ตั้งอยู่บนแผ่นเปลือกโลกเดียวกันทั้งหมด

ที่สำคัญคือ ปัจจุบันนี้อนุทวีปอินเดียยังไม่หยุดเคลื่อนที่ ยอดเขาต่างๆ ดังกล่าวจึงยังคงสูงขึ้นทุกวันๆ ค่าเฉลี่ยสูงขึ้นประมาณ 7 มิลลิเมตร/ปี เทือกเขาหิมาลัย และภูเขาต่างๆ ในปากีสถาน จึงเป็นเทือกเขาที่ในทางภูมิศาสตร์ถือว่ายังมีอายุน้อยมากเพียง 55 ล้านปี (เมื่อเทียบกับอายุของโลกคือประมาณ 4,500 ล้านปี) และยังสูงขึ้นไม่หยุดหย่อน! โดยปากีสถานเองก็มียอดเขาสูงเกิน 8,000 เมตร ที่สำคัญอยู่ถึง 5 ยอด คือ K2 (8,611 เมตร) Nanga Parbat (8,126 เมตร) Broad Peak (8,051 เมตร) Gasherbrum-I (8,068 เมตร) และ Gasherbrum-II (8,036 เมตร)
7. Ancient Silk Road, Karakoram Highway (เส้นทางสายไหมโบราณ, คาราโครัมไฮเวย์)

เส้นทางสายไหม หรือ Silk Road เป็นเส้นทางสำหรับติดต่อค้าขายของคนในโลกยุคโบราณ โดยมีทั้งเส้นทางสายไหมทางบกและทางทะเล แถมยังแตกเป็นเส้นทางสายย่อยๆ มากมายนับไม่ถ้วน แต่เส้นทางสายหลักเริ่มต้นจากกรุงปักกิ่งในสมัยราชวงศ์ฮั่น เมื่อประมาณ 114 ปี ก่อนคริสตกาล จุดประสงค์เพื่อใช้ค้าขายเป็นสำคัญ เส้นทางสายนี้เชื่อมตั้งแต่ประเทศจีน ผ่านเอเชียกลาง เข้าสู่ปากีสถาน (คือเส้นทางสายไหมสายตะวันตก) ไปยังอัฟกานิสถาน อิหร่าน ถึงเอเชียตะวันตก แล้วข้ามเรือไปสู่อิตาลี จนถึงกรุงโรมในที่สุด นับเป็นเส้นทางที่ทำให้เกิดการติดต่อสื่อสาร และหล่อหลอมผู้คนทั้งโลกเข้าด้วยกัน

เส้นทางสายไหมดั้งเดิมที่ว่านั้น ยังคงมีส่วนให้เห็นได้บนถนนสาย Karakoram Highway ช่วงจากเมือง Gilgit ไปเมือง Hunza ในปากีสถาน ด้านซ้ายมือบนเชิงผาอันแห้งแล้งมีแต่แผ่นหิน เราจะพบแนวเส้นทางเดินแคบๆ เลาะเลียบหน้าผาเป็นแนวยาวเหยียด นี่คือ Ancient Silk Road สายดั้งเดิม ที่เคยใช้กันมานานหลายพันปี ซึ่งชาวปากีสถานเรียกว่า ‘Kinu Kutto’  มันมีขนาดเพียงให้ขบวนคาราวานม้า ลา ล่อ และอูฐ รวมถึงผู้คนเดินสัญจรผ่านไปมาเท่านั้น (เทียบได้กับขนาดพอให้รถจี๊ปวิ่งได้แค่คันเดียว) จนกระทั่งล่วงเข้ายุคปัจจุบัน มีการสร้างถนนสาย Karakoram Highway เส้นทางสายไหมโบราณนี้จึงเลิกใช้กันไปโดยปริยาย โดยเมื่อปี ค.ศ.​ 2004 รัฐบาลนอร์เวย์ ร่วมกับรัฐบาลของเมือง Hunza-Nagar ได้ทำการบูรณะเส้นทางสายไหมโบราณบางช่วงขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ทางโบราณคดีไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา ว่าครั้งหนึ่งมันเคยรุ่งเรืองเพียงไร8. Sacred Rocks of Hunza (หินศักดิ์สิทธิ์ ร่องรอยภาพเขียนสีศตวรรษที่ 1 เมืองฮุนซา)

หินศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองฮุนซา เป็นโบราณสถานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับชาวพุทธ เพราะเคยเป็นจุดแวะพักของนักแสวงบุญชาวพุทธ ในเขตหุบเขาฮุนซา ทางด้านชายฝั่งตะวันออกของแม่น้ำฮุนซา ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมยุคโบราณ เมื่อพวกเขาแวะพักที่บริเวณนี้ ก็ได้มีการขุดเจาะถ้ำ รวมถึงปลูกเพิงพักไว้ในบริเวณรอบๆ อีกทั้งมีการแกะสลักลายลงบนแผ่นผาโล่งเลี่ยน เพื่อเป็นบันทึกเรื่องราวหรืออนุสรณ์ โดยภาพสลักหลายร้อยภาพเหล่านี้ มีอายุย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 1 เลยทีเดียว หินศักดิ์สิทธิ์นี้มีขนาดใหญ่โตจนคล้ายเนินย่อมๆ ลูกหนึ่ง สูงประมาณ 30 ฟุต และยาวกว่า 200 หลา โดยแบ่งร่องรอยออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน คือกลุ่มด้านบน เป็นจำหลักภาษาพราหมี กล่าวถึงกษัตริย์ในยุคต่างๆ ส่วนลายจำหลักกลุ่มล่าง เป็นรูปฝูง Ibex หรือแพะภูเขา ที่มีเขาโง้งยาว รวมถึงมีรูปคนใส่ชุด Ibex และเจดีย์ทรงทิเบต ปรากฏอยู่ด้วย นับเป็นแหล่งโบราณคดีอันล้ำค่ายิ่ง

ปัจจุบันหินศักดิ์สิทธิ์นี้ตั้งอยู่ริมถนนสาย Karakoram Highway ในเมือง Karimabad โดยจากจุดนี้มองข้ามแม่น้ำ Hunza ไป บนภูเขาจะแลเห็นป้อม Baltit Fort และ Altit Fort รวมถึงยอดเขา Ladayfinger ทรงแหลมแปลกตา เป็นฉากหลังอย่างสวยงามมาก 9. Altit Fort and Baltit Fort, Hunza (ป้อมอัลติท และป้อมบัลติท เมืองฮุนซา)

ในบรรดาโบราณสถานที่เก่าแก่และสำคัญของแคว้น Gilgit-Baltistan ต้องถือว่า ‘ป้อม Altit’ แห่งเมืองฮุนซามีความเก่าแก่ที่สุด เพราะมีอายุกว่า 1,100 ปีแล้ว พอๆ กับหมู่บ้าน Altit ในหุบเขาฮุนซา ซึ่งเป็นหมู่บ้านแรกของแคว้นนี้ และเชื่อกันว่าสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่า White Huns ซึ่งก็คือลูกหลานของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซีโดเนีย (กรีก) ครั้งยาตราทัพข้ามเทือกเขาฮินดูกูช (เทือกเขาที่ขยายต่อจากเทือกเขาคาราโครัมในปากีสถานออกไปในอัฟกานิสถานอีก 800 กิโลเมตร) เข้าสู่ปากีสถาน เพื่อไปตีชมพูทวีป นั่นเอง

ป้อม Altit Fort สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 โดยกษัตริย์ผู้ครองแคว้นนี้ ซึ่งใช้คำนำหน้าพระนามว่า Mir อันเป็นคำในภาษาอาหรับ บ่งชี้ว่าศานาอิสลามได้แผ่เข้าสู่ดินแดนนี้แล้วในเวลานั้น จนถึงศตวรรษที่ 15 ศาสนาอิสลาม ก็ได้เข้ามามีอิทธิพลเหนือปากีสถานอย่างเต็มรูปแบบจนถึงปัจจุบัน ป้อมแห่งนี้จึงใช้เป็นที่ประทับของกษัตริย์ ทว่ามองเผินๆ อาจแลคล้ายป้อมของทิเบตหรือภูฏาน สาเหตุคือช่างผู้ออกแบบคือชาวทิเบต โครงสร้างที่ปรากฏออกมาจึงแลคล้าย Dzong (ซอง หรือป้อมปราการ) ของทิเบตด้วย ปัจจุบันป้อมนี้ได้รับการบูรณะโดยกองทุนความร่วมมือของ Aga Khan และรัฐบาลนอร์เวย์ ระหว่างทางขึ้นจะผ่านหมู่บ้านที่มีความสงบร่มรื่น และเคยเป็นหมู่บ้านของคนที่มีอายุยืนที่สุดในโลกด้วย ส่วนบนสุดของภูเขาเป็นตัวป้อม ภายในแบ่งซอยเป็นห้องหับเล็กๆ มากมาย และมองลงมาเห็นแม่น้ำฮุนซา หุบเขา รวมถึงหมู่บ้านที่เก่าแก่กว่า 1,000 ปี
10. Ancient Irrigation Cannel, Karimabad (คลองส่งน้ำโบราณ เมืองคาริมาบัต)

  ในเขตภาคเหนือของแคว้น Gilgit-Baltistan ปากีสถาน อันเป็นดินแดนที่มีแต่ภูเขาสูงสลับซับซ้อนนั้น สิ่งที่ผู้คนต้องการมากที่สุด นอกจากสะพาน ถนน อาหาร และยารักษาโรคแล้ว ‘น้ำ’ ก็คือหนึ่งปัจจัยเพื่อการยังชีพที่สำคัญที่สุด และดูเหมือนธรรมชาติจะเข้าใจ เอื้ออารีย์ให้มีน้ำจากการละลายของธารน้ำแข็งและหิมะ ในช่วงฤดูร้อน ฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วง ลงสู่ห้วยธารต่างๆ อย่างเพียงพอ ชาวปากีสถานบนภูเขาสูงเข้าใจสิ่งนี้ และสั่งสมภูปัญญาในการผันน้ำจากการละลายของน้ำแข็งดังกล่าว ลงสู่คลองส่งน้ำโบราณ ลักษณะเป็นคลองขุดและคลองจากการกั้นด้วยคันหินให้เป็นแนวยาว เลียบหน้าผา ส่งน้ำลงมาจนถึงตัวหมู่บ้านที่พวกเขาอาศัย ได้กิน ได้ดื่ม ได้อาบ ได้ใช้รดน้ำพืชผักผลไม้ และใช้ทำอาหาร เช่นเดียวกับที่หมู่บ้าน Karimabad ในหุบเขา Hunza ที่ยังมีหลายหมู่บ้านได้ใช้น้ำประปาภูเขาจากธารน้ำแข็งเหล่านี้มาจนถึงปัจจุบัน โดยคลองส่งน้ำจะผ่านไปถึงหน้าบ้าน ให้พวกเขาจัดสรรเวลาใช้งาน ว่าช่วงเวลาใดจะใช้ซักล้าง ช่วงใดใช้ตักไว้เพื่อดื่มกิน ทุกเช้าและเย็น เราจึงเห็นชาวบ้านออกมาที่คลองส่งน้ำนี้อย่างคึกคัก นับเป็นการกินอยู่อย่างเข้าใจธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง
11. Ladyfinger Peak, Hunza, Karimabad (ยอดเขาเลดี้ฟิงเกอร์ ยอดเขาทะลุทะเลเมฆ, เขตฮุนซา เมืองคาริมาบัต)

ยอดเขา Ladyfinger หรือที่ในภาษาอูร์ดู (Urdu) ของปากีสถานเรียกว่า ‘Bubli Motin’ เป็นยอดเขารูปทรงประหลาด สะกดทุกสายตาที่ได้พบเห็นมาตลอดเวลาที่มันยืนตระหง่านทะลุทะเลเมฆอยู่ตรงนั้น ณ เมืองคาริมาบัต ในแคว้นกิลกิต-บัลติสถาน ด้วยรูปทรงแหลมชูชันตั้งขึ้นเหมือนพีระมิดหรือปลายหอก ไม่เคยมีหิมะปกคลุมเลย ในขณะที่เทือกเขาโดยรอบมีหิมะขาวห่มปกเกือบตลอดเวลา ทำให้ยอดเขา Ladyfinger ยิ่งเตะตากว่าใครๆ ตัวของมันเองมีความสูงกว่า 600 เมตร ตั้งอยู่บนระดับความสูงกว่า 6,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อันเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขา Batura Muztagh ที่แตกตัวออกจากเทือกเขาคาราโครัม ไปทางตะวันตก

ยอดเขานี้มีตำนานรักแสนเศร้าเล่าสืบต่อกันมาหลายร้อยปีกล่าวว่า ในอดีตมีเจ้าชายชื่อ Kisar จากบัลติสถาน ได้มาพบรักและแต่งงานกับเจ้าหญิง Bulbi ที่เมืองฮุนซา แต่ต่อมาพระองค์ได้ข่าวจากบ้านเกิดว่า ชายาองค์แรกของพระองค์ชื่อ Langabrumo ได้ถูกกษัตริย์ต่างเมืองลักพาตัวไป จึงทรงรีบเตรียมตัวไปช่วย ก่อนออกเดินทางได้ทรงนำเจ้าหญิง Bulbi ขึ้นไปประทับอยู่บนภูเขา พร้อมด้วยประทานไก่และเมล็ดพืชไว้ให้ โดยรับสั่งว่าทุกปีให้ป้อนเมล็ดพืชหนึ่งเมล็ดแก่ไก่ เมื่อใดที่เมล็ดพืชหมดถุง เมื่อนั้นจะทรงกลับมา! แต่พระองค์ก็ไม่เคยกลับมาเลย และเชื่อกันว่าเจ้าหญิง Bulbi ก็ยังคงรอคอยเจ้าชายอยู่บนยอดเขา Ladyfinger แห่งนี้12. Hoper Glacier, Nagar Valler, Hunza, Gilgit-Baltistan (ธารน้ำแข็งโฮเปอร์, หุบเขาเนเกอร์ แคว้นกิลกิต-บัลติสถาน หนึ่งในธารน้ำแข็งเคลื่อนตัวเร็วที่สุดในโลก!

หนึ่งในสถานที่น่าตื่นตะลึงที่สุดทางธรรมชาติของปากีสถานภาคเหนือ ซึ่งเราไม่ควรพลาดชมด้วยประการทั้งปวง คือ ‘ธารน้ำแข็งโฮเปอร์’ หรือ Hoper Glacier (ป้ายบางที่สะกด Hopar บางที่สะกด Hopper) เพราะนี่คือธารน้ำแข็งที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดแห่งหนึ่งด้วยการนั่งรถยนต์จากเมือง Hunza ข้ามแม่น้ำฮุนซาเข้าสู่เขตหุบเขา Nagar จากนั้นขับรถเลาะเลียบไปตามแม่น้ำเนเกอร์อีกราวๆ ชั่วโมงครึ่ง แล้วเดินขึ้นเขาไปอีกนิดเดียว ก็จะถึงจุดชมวิวธารน้ำแข็งโฮเปอร์แล้ว นี่คือธารน้ำแข็งอายุกว่า 100,000 ปี ที่ยังจับตัวเป็นน้ำแข็งอยู่ชั่วนาตาปี มันมีขนาดมหึมามาก และเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา

นักธรณีวิทยาได้เคยมาทำการศึกษาการเคลื่อนตัวของธารน้ำแข็ง Hoper  เมื่อปี ค.ศ. 1987 ปรากฏว่ามันเคลื่อนตัวได้เร็วถึง 110 ฟุต ในเวลาแค่ 3 เดือน จึงกลายเป็นหนึ่งในธารน้ำแข็งเคลื่อนตัวได้เร็วที่สุดในโลก แต่ก็เป็นที่หวั่นวิตกกันว่า หากภาวะโลกร้อนยังไม่ทุเลาเบาบางลง ภายในปี ค.ศ. 2035 ธารน้ำแข็งนี้อาจหดตัวจนแทบหายไปเลย! และชาวปากีสถานส่วนใหญ่ที่ใช้น้ำจืดจากการละลายของน้ำแข็ง อาจต้องประสบภาวะขาดน้ำก็เป็นได้ 13. Passu Bridge, Hunza (สะพานแขวนร้อยปี เมืองพัสสุ เขตฮุนซา)

ในบรรดาสะพานแขวนทั่วปากีสถาน คงไม่มีที่ใดจะมีชื่อเสียงโด่งดังเท่ากับ ‘สะพานแขวนพัสสุ’ (Passu Bridge) หรือ ‘สะพานฮุซไซนี’ (Hussani Bridge) เพราะนี่คือสะพานแขวนอายุเป็นร้อยปี ที่มีลักษณะน่าหวาดเสียวที่สุด และเคยกล่าวขานกันว่าเป็นสะพานแขวนสำหรับคนเดินที่อันตรายที่สุดในโลก! ฉายานี้อาจฟังน่ากลัว เพราะมันเคยพังมาแล้วไม่รู้กี่รอบ แต่ก็ได้รับการซ่อมแซมขึ้นใหม่ทุกครั้งจากชาวบ้าน ที่ใช้เดินสัญจรข้ามไปมาระหว่างหมู่บ้านฮุซไซนีสองฝั่งทะเลสาบอริท (Borith Lake) ในเมือง Passu เขตฮุนซา ที่ว่าอันตรายเพราะพื้นสะพานใช้การเรียงท่อนไม้แบบห่างๆ กัน ไม่ได้เรียงชิดติดกัน จึงมีช่องว่างขนาดใหญ่ให้ใจหวิวเล่นขณะเดินข้ามไป มองเห็นสายน้ำไหลอยู่ด้านล่างเรา มีเพียงคนใจกล้าเท่านั้นที่จะเดินข้ามสะพานแขวนแห่งนี้ไปได้จนสุดทาง!

เมื่อไม่นานมานี้นิตยสาร National Geographic ได้ส่งช่างภาพชื่อ Kieron Nelson ไปถ่ายภาพสะพานแขวนนี้ ซึ่งเขาเองก็เขียนลงในคำบรรยายภาพว่า “In northern Pakistan’s Hunza region, travelers cross what’s often called the most dangerous bridge in the world: the Hussaini Hanging Bridge, which looks almost as unforgiving as the landscape around it. The bridge is extremely old and very narrow, situated high above Borith Lake, it is missing many of the original wooden planks.”
14. Borith Lake, Gulmit, Hunza Valley, Gilgit-Baltistan (ทะเลสาบบอริท, เมืองกุลมิต หุบเขาฮุนซา, แคว้นกิลกิต-บัลติสถาน)

ทะเลสาบอริท เป็นทะเลสาบสวยงามและมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในภาคเหนือของปากีสถาน โดยเฉพาะช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนายน ซึ่งน่าไปเยือนที่สุด เพราะนอกจากจะมีน้ำสีเขียวอมฟ้าแบบเทอร์ควอยต์เต็มเปี่ยมอิ่มเอมแล้ว ยังมีห่านป่าและเป็ดป่านับหมื่นตัวบินอพยพมาหากินจากภาคใต้ของปากีสถานด้วย ตัวทะเลสาบบอริทเป็นน้ำกร่อย ตั้งอยู่บนความสูงประมาณ 2,600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล จึงมีอากาศค่อนข้างเย็นสบายตลอดปี ส่วนการเข้าถึงทะเลสาบก็ง่ายนิดเดียว เพราะปัจจุบันมีทางรถจี๊ป ระยะทาง 2 กิโลเมตร จากหมู่บ้านฮุซไซนี (Husseini Village) ขึ้นเขามาจนถึงทะเลสาบ ซึ่งมีที่พักเป็นโรงแรมเล็กๆ น่ารักอยู่ริมทะเลสาบด้วย แต่คนที่ยังแข็งแรง และรักการผจญภัยกลางแจ้ง ก็อาจะเดินเทรกกิ้งนาน 2-3 ชั่วโมง ขึ้นมาจากหมู่บ้านกุลคิน (Ghulkin Village) ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีเส้นทางเดินเทรกกิ้งจากทะเลสาบบอริท ไปสู่ธารน้ำแข็ง Ghulkin Glacier และ Passu Gar Glacier ได้ด้วย โดยต้องติดต่อไกด์ท้องถิ่นให้นำทางไปจะสะดวกและปลอดภัยสุด
15. Batura Glacier, Passu, Gilgit-Baltistan (ธารน้ำแข็งบาทูร่า, เมืองพัสสุ แคว้นกิลกิต-บัลติสถาน)

มันคือธารน้ำแข็งยาว 57 กิโลเมตร กว้างถึง 285 กิโลเมตร นับเป็นธารน้ำแข็งยาวอันดับ 5 ของโลก นอกเขตขั้วโลก โดยธารน้ำแข็งนี้ตั้งอยู่ระหว่างเทือกเขาใหญ่ 2 แห่ง คือเทือกเขา Batura สูง 7,795 เมตร และเทือกเขา Passu สูงกว่า 7,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ธารน้ำแข็งบาทูร่าไหลจากทิศตะวันตกไปทางตะวันออก มันพัดพาตะกอนจำนวนมหาศาลลงไปด้วย ก่อให้เกิดหุบเขาสีเทาอันอุดมสมบูรณ์ที่มีพืชหลายชนิดใช้หล่อเลี้ยงปศุสัตว์ได้ นอกจากนี้ยังมีทะเลสาบสีเทอร์ควอยต์ขนาดเล็กอันเกิดจากการละลายของมัน กระจายอยู่ทั่วไปด้วย 16. Rakaposhi View Point, Nagar (จุดชมวิวราคาโปซี, เขตเมืองเนเกอร์)

บนถนนสาย Karakoram Highway อันน่าตื่นตาตื่นใจไปด้วยภูมิประเทศสุดตระการตา ช่วงระหว่างเมือง Gilgit สู่ Hunza ตรงจุดครึ่งทาง นักขับรถและนักเดินทางมักแวะพักเติมพลัง หรือยืดเส้นยืดสายคลายความอ่อนล้ากันที่ ‘จุดชมวิวราคาโปซี’ หรือ Rakaposhi View Point ซึ่งมีทั้งที่จอดรถ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ที่พัก รวมถึงเส้นทางเดินเลียบธารน้ำใสไหลเย็น อันเกิดจากการละลายของธารน้ำแข็งบนยอดเขาสูงลิบ นั่นคือ ‘ยอดเขาราคาโปซี’ (Rakaposhi Peak) ยอดเขาสูงอันดับ 27 ของโลก ที่ครองความสูงกว่า 7,788 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ระหว่างที่เราหยุดรถแวะพัก จีงได้ชมยอดเขายิ่งใหญ่นี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม

จุดที่ร้านอาหารตั้งอยู่ คือระดับความสูงประมาณ 1,950 เมตรจากระดับน้ำทะเล ยอดเขาราคาโปซี และธารน้ำแข็ง Ghulmet Glacier จึงอยู่สูงจากเราขึ้นไปกว่า 6,000 เมตร และอยู่ห่างจากเราเป็นระยะทางกว่า 11 กิโลเมตร ทว่าด้วยขนาดอันใหญ่โตสุดอลังการของมัน เทือกเขาที่เห็นตรงหน้าจึงมิได้ลดทอนขนาดของมันลงไปเลยแม้แต่น้อย! ความพยายามในการพิชิตยอดเขาราคาโปซีเริ่มขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1938 แต่ก็มาประสบความสำเร็จครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1958 โดยทีมนักปีนเขาร่วมของปากีสถาน-อังกฤษ ผ่านขึ้นไปตามเส้นทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของยอดเขา สู่ส่วนที่เรียกว่า Monk’s Head และทีมถัดมาก็ขึ้นถึงยอดเขาได้อีกในปี ค.ศ. 1979 ครั้งนี้เป็นทีมนักปีนเขาร่วมระหว่างปากีสถาน-โปแลนด์ นับเป็นการนำชาวปากีสถานคนแรกขึ้นสู่ยอดเขาได้สำเร็จ ผ่านเส้นทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งถือว่ายากที่สุด!
17. Attabad Tunnels, Karakoram Highway (อุโมงค์อัตตาบัต อุโมงค์ยาวที่สุดในปากีสถาน, คาราโครัมไฮเวย์)

บนเส้นทางถนนสาย Karakoram Highway หรือ KKH ระหว่างเมือง Passu ขึ้นไปถึงยอดเขา Khunjerab Pass ที่ชายแดนปากีสถาน-จีน ระหว่างทางจะผ่านถนนช่วงที่ถือว่าน่าตื่นเต้นที่สุดช่วงหนึ่ง คือ ‘อุโมงค์อัตตาบัต’  เป็นอุโมงค์ยาวที่สุดในปากีสถาน ด้วยความยาวรวมกว่า 7 กิโลเมตร เชื่อมต่อด้วยอุโมงค์ถึง 5 ช่วง คือส่วนหนึ่งของทางหลวงสาย Karakoram Highway ที่ได้รับการซ่อมสร้างขึ้นใหม่ล่าสุด ยาว 24 กิโลเมตร จากเหตุการณ์ดินถล่มครั้งใหญ่จนทำให้ถนนเสียหาย รวมถึงยังเป็นเส้นทางที่สร้างขึ้นทดแทนถนนสายเดิมที่ถูกทะเลสาบอัตตาบัต (Attabad Lake) ท่วมทับไป

ภายในอุโมงค์อัตตาบัตมีไฟส่องสว่างและแผ่นสะท้อนแสงอย่างดี ถนนแบ่งเป็น 2 เลน วิ่งสวนทางกัน โดยต้องขับรถวิ่งชิดซ้ายตามกฎจราจรของปากีสถาน (เหมือนไทย) และควรจำกัดความเร็วไม่เกิน 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อความปลอดภัย รัฐบาลปากีสถานหวังว่า อุโมงค์อัตตาบัตจะกลายเป็นความหวังใหม่ในการท่องเที่ยว และการขนส่งเพื่อค้าขายกับจีน ผ่านทาง Karakoram Highway นั่นเอง

18. Attabad Lake, Gojal Valley, Hunza, Karakoram Highway (ทะเลสาบอัตตาบัต, หุบเขาโกจัล เมืองฮุนซา, เส้นทางสายคาราโครัมไฮเวย์)

การขับรถเที่ยวบนเส้นทางสาย Karakoram Highway หรือ KKH ของปากีสถาน นอกจากจะได้ชื่นชมกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้คนชนเผ่าต่างๆ แล้ว ความยิ่งใหญ่ตระการตาของธรรมชาติ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเสมือนของรางวัลอันล้ำค่าให้ชีวิต เมื่อขับรถผ่านเมือง Hunza มุ่งหน้าสู่เมือง Passu และยอดเขา Khunjerab Pass ระหว่างทางจะผ่านทะเลสาบขนาดมหึมาที่มีแผ่นน้ำสีเขียวอมฟ้าเทอร์ควอยต์ เรียบนิ่งสนิทราวกับกระจกบานใหญ่ สะท้อนภาพขุนเขาและท้องฟ้าเบื้องบนลงมาเป็นภาพเสมือนจริงจนงามราวภาพฝัน ที่นั่นคือ ‘ทะเลสาบอัตตาบัต’ (Attabad Lake หรือ Gojal Lake) ที่เกิดจากการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ปิดกั้นแม่น้ำ Hunza เมื่อปี ค.ศ. 2010 โดยก่อนหน้านี้มักเกิดดินพังถล่มทับเส้นทางถนนและแม่น้ำ รัฐบาลปากีสถานจึงสร้างเขื่อนแห่งนี้ขึ้นเพื่อแก้ปัญหา จนทะเลสาบอัตตาบัตกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตในปัจจุบัน

ทะเลสาบอัตตาบัตมีความยาวถึง 21 กิโลเมตร เลียบขนานไปกับถนนคาราโครัมไฮเวย์ ตัวทะเลสาบมีความลึกถึง 109 เมตร และจุน้ำได้มากกว่า 410,000,000  ลูกบาศก์เมตร นอกจากการชมวิวธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ตระการตาที่มีเทือกเขาขนาดมหึมาโอบล้อมทะเลสาบไว้แล้ว ยังมีกิจกรรมล่องเรือชมธรรมชาติด้วย โดยมีเรือไว้บริการมากมาย
19. Gilgit Barzar (ตลาดเมืองกิลกิต)

กิลกิต คือเมืองหลวงของแคว้น Gilgit-Baltistan ทางภาคเหนือของปากีสถาน ตัวเมืองตั้งอยู่บนจุดบรรจบของแม่น้ำ Gilgit และแม่น้ำ Hunza ตัวเมืองจึงเติบโตทอดขนานไปกับแม่น้ำที่ให้ความชุ่มฉ่ำแก่ชีวิต นักเดินทางในภาคเหนือของปากีสถานส่วนมากเริ่มต้นทริปกันที่เมืองนี้ โดยเฉพาะนักเดินเขาและนักปีนเขาที่มุ่งหน้าสู่เทือกเขาคาราโครัม และถนนสายคาราโครัมไฮเวย์สู่ชายแดนจีนที่ Khunjerab Pass ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมโบรารณนั่นเอง เมือง Gilgit จึงมีเสน่ห์มาถึงปัจจุบัน ยิ่งถ้าเราได้ไปเดินเที่ยวชมตลาดด้วยแล้ว ก็จะเข้าใจถึงวิถีชีวิตการกินอยู่ที่แท้จริงของชาวเมือง ได้เห็นอาหาร พืชผักผลไม้ ผ้าทอ สร้อยคอหินสี สินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงนิสัยใจคอของผู้คน ที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยรอยยิ้ม นี่คือน้ำใจไมตรีของคนปากีสถานซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วไม่แพ้คนชาติใดในโลกเลย

20. Gilgit Old Bridge (สะพานไม้เมืองกิลกิต)

เมืองกิลกิต (Gilgit) เป็นเมืองใหญ่และสำคัญมากเมืองหนึ่งในภาคเหนือของปากีสถาน เพราะถือเป็นเมืองชุมทางของถนนหลายๆ สายที่มาพบกันของแคว้น Gilgit-Baltistan อีกทั้งยังมีสนามบินด้วย คนที่เดินทางมาจากเมืองหลวงคืออิสลามาบัต จึงต้องใช้เมืองกิลกิตเป็นเสมือนประตูสู่ภาคเหนือของประเทศนี้ ตัวเมืองกิลกิตตั้งอยู่บนที่ราบสูง เต็มไปด้วยเนินและที่ราบ มีบ้านเรือนและร้านรวงเรียงรายเต็มไปด้วยชีวิตชีวา และเมื่อเดินผ่านตลาดใหญ่ไปจนถึงริมแม่น้ำกิลกิตแล้ว ก็จะพบกับ ‘สะพานแขวนโบราณ’ ที่ชาวเมืองยังคงใช้งานกันอยู่ สะพานนี้ทอดข้ามแม่น้ำกิลกิตที่ถือว่าเป็นแควสายหนึ่งของแม่น้ำสินธุ (Indus River) แม่น้ำสายสำคัญของชมพูทวีป โดยเมื่อไหลผ่านตัวเมืองกิลกิตขึ้นทางทิศเหนือแล้ว ก็จะไปบรรจบกับแม่น้ำสินธุที่เมืองเล็กๆ ชื่อ Juglot

สะพานแขวนโบราณแห่งนี้ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่อยู่คู่เมืองกิลกิตมานาน ถ่ายภาพได้สวยในหลายมุม และเมื่อเดินไปถึงกลางสะพานแล้ว ก็จะมองเห็นวิวแม่น้ำกิลกิตได้กว้างไกล ชัดเจนเต็มตา

21. Phandar Lake, Phandar Valley, Ghizer District, Gilgit-Baltistan (ทะเลสาบแพนเดอร์, หุบเขาแพนเดอร์, เมือง Gahkuch)

ทะเลสาบแพนเดอร์ เป็นทะเลสาบสีฟ้าครามอันสวยงาม อาบอิ่มด้วยธรรมชาติ ทอดตัวอยู่อย่างนิ่งสงบในหุบเขาแพนเดอร์ ตำบลไกเซอร์ ทางด้านเกือบจะตะวันตกสุดของแคว้นกิลกิต-บัลติสถาน ซึ่งถ้าเดินทางต่อไปอีกไม่ไกล ก็จะถึงชายแดนอัฟกานิสถานแล้ว ชาวบ้านในแถบนั้นเรียกทะเลสาบแพนเดอร์ในอีกชื่อหนึ่งว่า Nango Chatt มันเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่มีความสำคัญมาก เพราะผู้คนได้อาศัยน้ำนี้ในการอุปโภคบริโภค โดยตัวทะเลสาบรับน้ำหลักๆ มาจากแม่น้ำไกเซอร์ ทะเลสาบมีความลึกสุดถึง 44 เมตร ยาว 900 เมตร และกว้าง 460 เมตร ทัศนียภาพโดยรอบโปร่งโล่งสบาย มีต้นไม้ขึ้นอยู่เป็นทิวตามชายฝั่ง ทำให้กลายเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญ และมีนักถ่ายภาพเดินทางไปเยือนจำนวนมาก

การเดินทางมาที่ทะเลสาบแพนเดอร์ หากเริ่มต้นที่เมือง Gilgit ก็ต้องนั่งรถเลาะเลียบแม่น้ำ Gilgit ซึ่งขนานกับเทือกเขาฮินดูกูชไปทางตะวันตกสู่เมือง Gupis ประมาณ 112 กิโลเมตร เมื่อถึง Gupis แล้ว ต้องขับรถต่อไปอีกราวๆ 2 ชั่วโมง ก็จะถึงตัวทะเลสาบ ซึ่งมีทางเดินโดยรอบ แสงสวยทั้งในเวลาเช้า เย็น ส่วนช่วงกลางวันแดดอาจจะร้อนหน่อย แต่ก็ได้รสชาติในการเดินทางดีไปอีกแบบ รวมถึงวิวทิวทัศน์ระหว่างทางก็น่าตื่นตาสุดๆ
22. Kargah Buddha, Gilgit (พระยืนคาร์กาห์, เมืองกิลกิต)

ในบรรดาร่องรอยของพระพุทธศาสนาที่เคยรุ่งเรืองเฟื่องฟูในดินแดนปากีสถานครั้งอดีต ดูเหมือนว่า ‘พระยืนคาร์กาห์แห่งเมืองกิลกิต’ จะเป็นหนึ่งในแหล่งที่มีชื่อเสียงไม่น้อย เพราะแม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็ยังมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ อีกทั้งยังเป็นประจักษ์พยานสำคัญของการตั้งมั่นแห่งพระพุทธศาสนาในดินแดนจุดเชื่อมต่อเอเชีย-ยุโรป ระหว่างเส้นทางสายไหมของปากีสถานนี้

พระยืนคาร์กาห์อยู่ห่างจากตัวเมืองกิลกิตไปราวๆ 10 กิโลเมตร ใกล้บริเวณที่เรียกว่า Kargah Nallah หรือหุบเขาคาร์กาห์ นั่นเอง องค์พระยืนได้รับการจำหลักขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 7 ในลักษณะแบบนูนต่ำสูง 50 ฟุต ปรากฏเด่นอยู่บนหน้าผาหินตั้งชัน อยู่สูงจากพื้นเบื้องล่างนับร้อยฟุต โดยเพิ่งค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1938-1939 ในการตามรอยบันทึกเก่าแก่ของเมืองกิลกิต ทั้งนี้ห่างจากองค์พระขึ้นไปตามแม่น้ำอีก 400 เมตร จะพบกับสถูปอีก 3 องค์ด้วย ในบันทึกกล่าวว่าเหตุที่ต้องสร้างองค์พระยืนคาร์กาห์ขึ้น ก็เพื่อขับไล่นางยักษิณีตนหนึ่ง ซึ่งเคยสิงสู่อยู่ในแถบหุบเขาคาร์กาห์นี้!
Special Thanks : บริษัท Prima Connection สนับสนุนและอำนวยความสะดวก ในการเดินทางทำสารคดีเรื่องนี้อย่างดีเยี่ยม
สนใจเดินทางท่องเที่ยวปากีสถาน กับผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพ ติดต่อ บริษัท Prima Connection 506/25 ถนนประชาอุทิศ แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กทม. 10310

โทร. 0-2158-9158 Fax 0-2158-9159 มือถือ 08-9885-8998

www.primaconnection.com 

www.primaconnection.com/ทัวร์ปากีสถาน/

เที่ยวเกาหลีสไตล์ TEATA หมู่บ้าน Way Am (ตอน 5)

วันที่ 5 วันสุดท้ายของการเดินทางท่องเที่ยวเรียนรู้วิถีชุมชนของเกาหลีกับ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) ความเข้มข้นก็มิได้ลดน้อยลงเลยสักนิดเดียว แต่มาถึงไฮไลท์ของหมู่บ้านที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดในการจัดทำท่องเที่ยวโดยชุมชน คือ ‘หมู่บ้านวัฒนธรรมเวอัม’ (Way Am Folk Village) เมืองอาซาน (Asan) จังหวัดชุงชองนัม (Chungcheongnam) ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโซลเพียงระยะรถวิ่งแค่ 1.30 ชั่วโมง เท่านั้น
หมู่บ้านเวอัม มีขนาดไม่ใหญ่โตเลย แต่ตั้งอยู่ในโลเกชั่นสวยงามสุดๆ ตัวหมู่บ้านตั้งอยู่กลางทุ่งนา ในหุบเขาที่มีเทือกทิวเขาสองแนวโอบล้อมเป็นฉากหลังอย่างกับภาพวาด คือ ภูเขากวางด็อก (Gwangdeok Mountain) และภูเขาซุลวา (Sulhwa Mountain) แถมยังเที่ยวได้ 4 ฤดู ในความงามต่างกัน โดยเฉพาะฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนหมู่บ้านเวอัมจะมีชีวิตชีวาสุดๆ มีสีสันคัลเลอร์ฟูลของดอกไม้นานาชนิด เคียงคู่ผืนนาสีเขียวขจี บึงบัวบาน และกิจกรรมท่องเที่ยวอันคึกคัก ปัจจุบันหมู่บ้านเวอัมมีชื่อเสียงมากในแง่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชน ในลักษณะ ‘พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต’ หรือ Living Museum เพราะเขาสามารถปลุกชีวิตหมู่บ้านชนบทอายุ 500 ปี ที่มีอาชีพหลักทำเกษตรกรรมทำไร่ทำนาปลูกผัก ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้วิถีชุมชนได้อย่างสนุกสนาน เพราะมีการสนับสนุนงบส่วนหนึ่งจากรัฐบาลกลาง และชาวบ้านก็สามัคคี สร้างกิจกรรมสนุกๆ ให้นักท่องเที่ยว ผู้มาเยือน อีกทั้งมีการปรับปรุงภูมิทัศน์ ความสะอาด เที่ยวได้สบายใจจริงเมื่อข้ามลำธารสายเล็กๆ เข้าสู่หมู่บ้านแล้ว ก็พบบรรยากาศราวกับว่าเราได้พาตัวเองย้อนเวลาไปในอดีตเมื่อ 500 ปีก่อน เพราะในหมู่บ้านยังคงมีบ้านไม้โบราณที่มุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผา บ้างมุงหลังคาด้วยฟางข้าว และมีแนวกำแพงหินก่อเรียงกันไปเหมือนกับที่เราเห็นในละครเกาหลีจริงๆ เลยกังหันน้ำโบราณตรงทางเข้าหมู่บ้าน เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมไปนั่งฟังเสียงน้ำไหลซู่ซ่าให้เย็นใจการเดินชมหมู่บ้านโบราณอายุ 500 ปีแห่งนี้ ถ้าให้ดีก็ต้องเช่าชุดฮันบก (ชุดประจำชาติเกาหลี) ใส่ให้สวยๆ เดินเฉิดฉายถ่ายรูปไปเที่ยวไป แหม Happy ดีจริงเนอะหมู่บ้านเวอัมเปิดให้ท่องเที่ยวทุกวัน และได้รับความนิมอย่างสูง เพราะมีเสน่ห์ดึงดูดทั้งสถานที่ ธรรมชาติ กิจกรรม และวิถีชีวิตแบบย้อนยุคจากปากทางเข้าหมู่บ้าน เรานั่งรถแทร็กเตอร์พ่วงเข้าไปเพื่อประหยัดเวลา (พวกบ้านไกลเวลาน้อยก็อย่างนี้ล่ะครับ ฮาฮาฮา)แม้จะเป็นหมู่บ้านโบราณที่มีอายุถึง 500 ปี ทว่าเวอัมก็ได้รับการดูแลอย่างดี มีความสะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบ โดดเด่นด้วยเรือนไม้โบราณมุงหลังคาฟางข้าว และแนวกำแพงก่อด้วยหินยาวเหยียด อีกทั้งร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ เคียงคู่นาข้าว เป็นเสน่ห์ที่หาไม่ได้ในเมืองใหญ่ หรือการไปพักในโรงแรมหรูห้าดาว เพราะนี่คือจิตวิญญาณที่แท้จริงของแดนกิมจิล่ะครับอาหารเที่ยง เป็นอาหารมื้อแรกในหมู่บ้านเวอัม เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ตักเติมได้ไม่อั้น โดยต้องมากินรวมกันที่โรงครัวสำหรับนักท่องเที่ยวครับอาหารแบบง่ายๆ แต่นั่งกินกับคนรู้ใจ มันก็เลยอร่อยไงล่ะ ‘พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต’ หรือ Living Museum แห่งหมู่บ้านเวอัม โดยเฉพาะอย่างยิ่งโฮมสเตย์ของหมู่บ้านนที่โดดเด่นจริงๆ เพราะเราจะได้เข้าไปนอนค้างคืนในบ้านไม้โบราณอายุเป็นร้อยๆ ปี ที่ยังมีเจ้าบ้านอาศัยอยู่ และเขาแบ่งห้องให้เรานอน แบ่งครัวให้เราทำกับข้าว ซึ่งแม้จะพูดคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะชาวบ้านพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ทว่าน่าแปลกที่ภาษากายของเราช่วยให้สื่อสารกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของหมูบ้านเวอัม คือแนวกำแพงหินที่ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกสำคัญของชาติเกาหลีไปแล้ว ว้าว!หลังจากอาหารเที่ยง กิจกรรมสนุกๆ ก็เริ่มต้นขึ้น อย่างแรกคือ ‘การโม่ถั่วเหลือง’ เพื่อทำเต้าหู้แบบโบราณ กิจกรรมนี้ทำให้ใครหลายคนย้อนรำลึกถึงวัยเด็ก ที่ยังช่วยคุณแม่เข้าครัวโม่แป้งโม่ถั่วเหลืองอยู่ ซึ่งปัจจุบันคงหาอะไรแบบนี้ยากแล้ว ส่วนน้องๆ รุ่นใหม่ที่ร่วมทริปด้วย ก็ได้ฟังคำบอกเล่าจากปากของท่านผู้อาวุโส เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และย้อนเวลาหาอดีตได้อย่างสนุกสนาน
น้ำถั่วเหลืองที่บดแล้วจะไหลมารวมกันในหม้อต้ม เมื่อคนไปคนมาสักพัก แล้วเติมน้ำทะเลลงไปในขั้นตอนสุดท้าย ก็จะได้น้ำเต้าหู้และฟองเต้าหู้แยกจากกันชัดเจนนำน้ำถั่วเหลือง (น้ำเต้าหู้) ที่ต้มดีแล้ว กรองในถุงขนาดใหญ่ เพื่อให้ได้ความใสสะอาดจากนั้นนำกากถั่วเหลืองมาบีบบดคั้นเอาน้ำออกมาให้ได้มากที่สุด โดยชาวบ้านจะทิ้งน้ำเต้าหู้ (น้ำถั่วเหลือง) ที่เราช่วยกันคั้นนี้ ทิ้งไว้ 1 คืน ก่อนนำมาทำเต้าหู้แสนอร่อยให้เรารับประทานกันเต้าหู้หมู่บ้านเวอัมจากฝีมือเราเอง ขอบอกว่าเนื้อนุ่ม รสชาตินวลเป็นธรรมชาติ แทบไม่ต้องเคี้ยวเพราะละลายในปากได้เลย กินคู่กับผักดองกิมจิต่างๆ บำรุงสุขภาพเพราะอุดมด้วยคุณค่าทางอาหารมากมายครับหลังกิจกรรมทำเต้าหู้ ก็ได้เวลาออกเดินเที่ยวชมบรรยากาศของหมู่บ้านโบราณ ที่ไม่มีการสร้างตึกสูงหรืออาคารสมัยใหม่แทรกแซมเข้าไปเลย เรียกว่าเขายังอนุรักษ์สถาปัตยกรรมจากอดีตไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ตัวเรือนไม้โบราณที่ตั้งหลบอยู่ในดงต้นสนและเมเปิลอย่างนิ่งสงบ ช่วยให้ใจเราสงบไปด้วย อยากนั่งอยู่เฉยๆ สักพัก ชมแนวกำแพงหินเคียงคู่ดอกไม้ ป่าสน ลำธาร เป็นความงามเปี่ยมคุณค่า ถึงขนาดรัฐบาลเกาหลีประกาศให้ 3 สิ่งในหมู่บ้านวัฒนธรรมเวอัมกลายเป็น ‘มรดกสำคัญของชาติ’ (National Important Folk Material) คือ บ้านโบราณ, แนวกำแพงหินโบราณยาว 3 กิโลเมตร และทางน้ำแบบโบราณ ว้าว! แนวกำแพงหินที่แลดูธรรมดา บัดนี้กลายเป็นโลเกชั่นถ่ายแบบของสาวน้อยแสนน่ารักชาว TEATA ไปแล้ว
แนวกำแพงหินโบราณกลับมีชีวิตขึ้นอีกครั้งในฤดูร้อน เมื่อดอกไม้เล็กๆ เบ่งบานขึ้นมาทักทายกันอย่างน่ารักน่าชังใบเมเปิลแดงหลงฤดู ที่หมู่บ้านเวอัม นี่คือศิลปะในธรรมชาติที่มีคุณค่ายิ่งต่อจิตใจมนุษย์ต้นไม้โบราณเก่าแก่หลายชั่วอายุคน ยืนต้นตระหง่านแผ่กิ่งก้านสาขา เปลือกของมันแตกออกเป็นร่องเป็นเกล็ดเหมือนลวดลายที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นประดับประดาหมู่บ้านเวอัมเดินเที่ยวหมู่บ้านด้วยความเพลิดเพลิน เพราะแดดไม่ร้อนจัด แถมยังมีดอกไม้หลากสีเบ่งบานดึงดูดเราไปตลอดทางถนนเดินผ่านกลางหมู่บ้าน นำเราย้อนอดีตในทุกย่างก้าว ท่ามกลางโอบกอดของธรรมชาติและแนวกำแพงหินนิ่งสงบ แลดูมั่นคง
ชีวิตเรียบง่ายในเวอัม สะท้อนออกมาในทุกย่างก้าวของชีวิตผู้อยู่อาศัยพักคลายร้อนในห้องแอร์เย็นฉ่ำ กับการฟังบรรยายสรุปความเป็นมาของหมู่บ้าน และรูปแบบการจัดท่องเที่ยวโดยชุมชน สมาชิกชาว TEATA ได้ความรู้กันไปเต็มๆ ครับงานนี้ถัดมาเป็นกิจกรรม DIY (Do It Yourself) ที่เขาให้เราลองประดิษฐ์ตกแต่งพัดแบบเกาหลีด้วยตัวเอง เพื่อนำกลับไปเป็นของที่ระลึกน่ารักๆ สไตล์เกาหลีครับ โดยเขาจะแจกพัดกระดาษสีขาวโล่งๆ ให้คนละอัน พร้อมกาว และกระดาษสีที่ตัดเป็นรูปดอกไม้ต่างๆ จากนั้นก็ใช้จินตนาการของใครของมัน ปะติดให้เกิดลวดลายตามชอบเลยจ้า
เสร็จแล้วจ้า พัดเกาหลีสวยแบบ Minimal ตาม character ของน้องสาวแสนน่ารัก เสร็จแล้วจ้า ผลงานสวยๆ ของแต่ละคน มีชิ้นเดียวในโลกเลยนะเนี่ย กิจกรรมถัดมา เป็นสิ่งที่สาวๆ หลายคนรอคอยมาทั้งวัน นั่นคือการใส่ชุดฮันบก ซึ่งเป็นชุดประจำชาติของเกาหลี เพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เลือกกันได้ตามใจชอบเลยจ้า ผู้ชายหน้าหวานกับดอกซากุระบนหมวก เขาคือนักปราชญ์ราชบัณฑิตหรือขุนนางจากยุคไหนไม่มีใครรู้ รู้แต่แน่ๆ ว่า มีแต่คนเหลียวมองชายผู้นี้ ตลอดเวลาที่เขาสวมหมวกใบนั้น!!!
พี่น้องสองสาว ในชุดฮันบกสีสดใส บันทึกภาพนี้ไว้ในความประทับใจตลอดไปเลยยิ้มกว้างขนาดนี้ เขินหรือว่าดีใจที่ได้ใส่ชุดฮันบกจ๊ะพี่หุย? ฮาฮาฮา
เย็นมากแล้ว เวลาผ่านไปไม่รอท่า ได้เวลาเช็คอินเข้าพักในบ้านโบราณ ตอนนี้เจ้าบ้านแต่ละหลังมารอรับพวกเราอยู่แล้ว บางบ้านมีบริการพาเรานั่งรถเล่นด้วย น่าอิจฉาจังคู่นี้ค่ำวันนั้น ทางเกาหลีได้จัดงานเลี้ยงส่ง Farewell Party ให้กับคณะ 34 ชีวิตของ TEATA ที่มาเยี่ยมชมและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในทริปนี้ บรรยากาศงานเลี้ยงเต็มไปด้วยความสนุกสนานเฮฮา และเครื่องดื่มพื้นบ้านแบบเกาหลีหลายชนิด จนใครหลายคนมึนจัด หลงทาง เดินกลับบ้านพักไม่ถูกันเลยทีเดียว! ฮาฮาฮา
ในงานเลี้ยง มีการเชิญศิลปินแห่งชาติด้านการขับร้อง มาร้องเพลงอารีรัง (คนไทยรู้จักในชื่อเพลง อารีดัง) ให้เราฟังกันสดๆ ขอบอกว่าไพเราะจับใจมากจริงๆ ฟังจบปุ๊ปรู้สึกเลยว่ามาถึงเกาหลีแล้วการเดินทางมาเกาหลีเป็นเวลา 5 วัน ในครั้งนี้เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันระหว่างสองประเทศ ประสบความสำเร็จตามเป้าประสงค์อย่างดีเยี่ยม เช้าวัดสุดท้ายก่อนบินกลับไทย จึงเป็นวาระสำคัญยิ่งที่ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) จะได้เซ็นต์บันทึกความเข้าใจ (MOU) กับ สภาส่งเสริมการท่องเที่ยวชนบทเกาหลี (Korean Rural Experience Village Council : KREVC) ซึ่งเป็นโอกาสที่พิเศษมาก เพราะไม่เคยเกิดบรรยากาศการทำงานร่วมกันในลักษณะนี้มาก่อน จึงถือเป็นมิติใหม่และความหวังใหม่ในการดำเนินงานท่องเที่ยวโดยชุมชนให้ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง ระหว่างสองประเทศ โดยมี TEATA เป็นหัวหอกสำคัญเช้าวันสุดท้ายของการเดินทาง คณะ TEATA ทั้งหมดจึงเดินทางไปยังสถานที่จัดประชุมใกล้หมู่บ้านเวอัม พบปะตัวแทนด้านการท่องเที่ยวคนสำคัญๆ ของเกาหลี โดยเฉพาะ Mr. Lee Kyujeong ตำแหน่ง President of Korean Rural Experience Village Council และ Mr. Choi Bong-soon ตำแหน่ง Director of Rural Industry Division สังกัดกระทรวงเกษตร, อาหาร และกิจการชนบทเกาหลีบรรยากาศการประชุมอันอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยความเข้าใจ ในการทำงานสู่ทิศทางเดียวกัน ก่อนที่จะมีการเซ็นต์ MOU
คุณนีรชา วงศ์มาศา นายกสมาคม TEATA เป็นตัวแทนเซ็นต์ ​MOU ร่วมกับ Mr. Lee Kyujeong (President of Korean Rural Experience Village Council) ซึ่งมีเครือข่ายท่องเที่ยวหมู่บ้านกว่า 1,000 แห่งทั่วเกาหลี
ผลจากการเซ็นต์ MOU ครั้งนี้ มีข้อผูกพันระหว่างกันหลายประการ ไม่ว่จะเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการทำท่องเที่ยวชุมชนให้ยั่งยืน, การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ดูงาน, การฝึกอบรมบุคลากรร่วมกัน รวมถึงการจัดทริปเหย้าเยือนนักท่องเที่ยวระหว่างกันด้วย เป็นต้น โดยในเดือนพฤศจิกายน 2561 ที่จะถึงนี้ คณะทำงานจากเกาหลีก็จะเดินทางมาเยี่ยมเยือนประเทศไทยด้วย เตรียมตัวต้อนรับกันให้ดีนะครับหลังจากเซ็นต์ MOU เสร็จเรียบร้อย คุณนีรชา วงศ์มาศา นายกสมาคม TEATA ก็ได้นำเสนอความเป็นมา เป้าหมาย แนวคิด การทำงาน และผลงานของ TEATA ให้กับทางเกาหลีฟัง โดยได้รับความสนใจเป็นอย่างดีคุณนีรชา วงศ์มาศา ายกสมาคม TEATA ประเทศไทย มอบของที่ระลึกให้กับ Mr. Choi Bong-soon และทั้งหมดนี้ คือกิจกรรมสนุกๆ ของ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) ที่ไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาวงการท่องเที่ยวไทยให้ยั่งยืน บัดนี้เราได้ก้าวออกสู่เวทีโลกอย่างสง่าผ่าเผย และจะนำองค์ความรู้ ประสบการณ์ที่ได้ มาต่อยอดสร้างสรรค์พัฒนาวงการท่องเที่ยวไทยอย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรมต่อไป

แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้านะครับ บ้ายบายสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) โทร. 08-3250-9343 (คุณน้ำ)

เที่ยวเกาหลีสไตล์ TEATA ไร่ชา Bohyang Da Won (ตอน 4)

วันที่ 4 ของการเดินทางท่องเที่ยวอันแสนสนุกและไม่เหมือนใครในเกาหลีกับ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) เรานั่งรถยนต์มุ่งหน้ากลับขึ้นฝั่งจากเกาะนัมเฮ (Namhe Island) สู่หมุดหมายต่อไป ซึ่งขอบอกเลยว่าไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะเป็นไร่ชาที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในเกาหลี คือ ‘หมู่บ้านไร่ชาโพยาง ดาวอน’ (Boseong Da Won Tea Farm Village) ดำเนินกิจการต่อกันมาถึง 5 ชั่วอายุคนแล้ว โดยเริ่มปลูกผลไม้และชามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1937 จนสามารถพาธุรกิจของตัวเองยกระดับโด่งดังไปทั่วโลกด้วยชื่อ Bohyang Tea แม้จะเป็นไร่ชาแบบดั้งเดิมที่ยังคงสืบทอดวิธีปลูกและผลิตชาด้วยกรรมวิธีโบราณ ทว่าการจัดสถานที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวกลับดูเก๋ไก๋ น่ารัก โมเดิร์น ราวกับว่าเราอยู่ในยุโรปกลายๆ ยิ่งยามนี้เป็นฤดูร้อนด้วย ดอกไม้นานาชนิดจึงเบ่งบานละลานตาเชียวมุมเล็กๆ อันแสนน่ารัก เติมสีสันการท่องเที่ยวในไร่ชาโพยาง ดาวอน ให้สมบูรณ์แบบผึ้งตัวน้อยดื่มกินน้ำหวาน พร้อมกับช่วยผสมเกสรดอกไม้ ที่ไร่ชาโพยาง ดาวอนตามธรรมเนียม เมื่อแขกมาถึงบ้าน เจ้าบ้านก็ต้องกล่าวต้อนรับอย่างเป็นทางการ นอกจากการเรียนรู้วิถีชีวิตชาวไร่ชาแล้ว เรายังได้ฝึกฝนวิธีการทำความเคารพแบบคนเกาหลี ที่ถูกต้องด้วย สะท้อนถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน น่ารักดีครับ
อุ่นเครื่องกันได้ที่แล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาออกไปเก็บชากันล่ะ แต่ละคนจะได้รับแจกกระจาดเล็กๆ คนละอัน เอาไว้ไปใส่ยอดชาเขียวที่เก็บได้
ป้ายแสดงความมั่นใจให้ผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวว่า โร่ชาแห่งนี้ปลูกด้วยวิธี Organic ครับ คือไม่ใช้สารเคมีในทุกขั้นตอนคุณ Choi Yeong-Gi เจ้าของไร่ชาโพยาง ดาวอน มาสาธิตวิธีการเก็บยอดชาเขียวให้เราดูด้วยตนเองคุณชอยสอนว่าให้ดูยอดชาที่มี 3 ใบ ตรงส่วนบนสุดของลำต้น โดยสองใบจะแผ่ออก แต่ใบที่สามจะมีลักษณะเป็นปลายแหลมคล้ายหอก เด็ดมาเลยทั้ง 3 ใบ เอาพอเต็มกระจาด เข้าใจแล้วก็เริ่มต้นเก็บยอดชากันทันที ไม่จำกัดเวลานะครับ แต่เอาแค่พอเต็มกระจาด เพื่อนำไปคั่วต่อ การเดินในไร่ชาที่เปิดโล่ง อากาศบริสุทธิ์ มองเห็นทัศนียภาพเนินเขากว้างไกล และมีต้นสนซีดาร์กระจายอยู่ห่างๆ กัน ถือเป็นกำไรของชีวิต เพราะเป็นการพาตัวและหัวใจออกมาสัมผัสกลิ่นอายธรรมชาติบ้าง หลังจากถูกเมืองใหญ่ดูดกลืนพลังชีวิตไปซะเยอะแล้ว ฮาฮาฮาได้แล้วยอดขาเขียวสามใบ ตามที่คุณชอยสอนพี่หุยครับ เขาให้มาเก็บยอดชานะครับ ไม่ได้ให้มาเซลฟี่ ฮาฮาฮา (อ๋อ ดูในกระจาดเก็บได้เยอะแล้ว เลยเปลี่ยนจากยอดชา มาเก็บภาพเป็นที่ระลึกแทน อิอิ)โมงยามแห่งความสุข ของสมาชิกชาว TEATA ในไร่ชาโพยาง ดาวอนค่อยๆ เก็บยอดชาไป ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบร้อน เดี๋ยวก็เต็มกระจาดเองนั่นล่ะ มืออาชีพมากๆ ได้มาเพียบ เตรียมเอาไปทำกิจกรรมที่สองต่อเลย คือการคั่วใบชาเขียวครับผลงานการเก็บยอดชาเขียวคุณภาพ โดยน้องๆ ทีมงานจากนครพนม น่ารักอ่ะไม่รอช้า ต่อเนื่องเข้าสู่กิจกรรมที่สองกันเลย คือ ‘การคั่วยอดใบชาเขียว’ แต่ก่อนอื่นต้องฟังสรุปวิธีการคั่วใบชาที่ถูกวิธีจาก Tea Master กันก่อน
ผ้ากันเปื้อนและถุงมือกันร้อน คืออุปกรณ์สำคัญสำหรับทุกคนในกิจกรรมนี้ เพราะเราต้องใช้มือทั้งสองคั่วใบชาเขียวในกระทะขนาดใหญ่ ด้วยไฟร้อนถึง 150 องศาเซลเซียส น่ะสิเตรียมพร้อม เอายอดใบชาเขียวลงกระทะคั่วครับ‘การคั่วใบชา’ ผลที่ได้จะแตกต่างกัน ทั้งชาเขียว (Green Tea) และชาดำ (Black Tea) ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีและอุณหภูมิในการคั่ว วันนี้ผู้เชี่ยวชาญพาเราคั่วชาเขียว โดยนำยอดชาสดที่เพิ่งเก็บได้มาเทรวมกันใส่กระทะเหล็กใบใหญ่ที่อุณหภูมิราว 150 องศาเซลเซียส จากนั้นก็ใส่ถุงมือกันร้อน ช่วยกันใช้มือคั่ว คลุกเคล้าใบชาไปมาอย่างเป็นจังหวะ 3 เสต็ป ตั้งแต่เบาๆ นุ่มนวล ไปจนถึงเร็วและหนักหน่วงขึ้น จากนั้นก็นำใบชามาแผ่บนโต๊ะ แล้วนวดคลุกเคล้าต่อไปจนมันเย็น โห เพิ่งรู้ว่ากว่าจะได้ชาเขียวหอมกรุ่นดีๆ สักจอก ต้องใช้แรงเยอะเหมือนกันนะเนี่ยะ ต่อไปจะไม่ต่อราคาแล้ว เมื่อคั่วใบชาเขียวในกระทะจนได้ที่ ก็นำมาแผ่บนโต๊ะให้เย็นตัว แล้วแบ่งเป็นกองๆ นวดคลึงคลุกเคล้าไปมาอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความหอม และสารเคมีต่างๆ ในใบชาถูกกระตุ้นให้พร้อมออกมาเต็มที่ยามชงใส่น้ำร้อน เสร็จขั้นตอนคั่วและนวดคลึงใบชา ก็ได้เวลา Tea Master มาตรวจการบ้าน ว่าใน 5 กลุ่มของพวกเรา กลุ่มไหนคั่วใบชาเขียวได้เก่งที่สุด ดีที่สุด หอมที่สุด???
กลุ่ม 5 คว้ารางวัลชนะเลิศ สำหรับกิจกรรมคั่วใบชาเขียวในวันนี้ครับ รับรางวัลกันไป กับผลิตภัณฑ์ชาหลากชนิดของไร่ชาออร์แกนิก โพยาง ดาวอนนี่คือหน้าตาของชาแบบโบราณ ทั้งชาแผ่น ชาเหรียญ และชาก้อน เป็นการนำใบชามาอัดเป็นรูปทรงตากแห้งไว้ เพื่อใช้ในการเก็บไว้กินตลอดปี หรือเพื่อในการขนส่งไปค้าขายระยะทางไกลๆ หรือเพื่อติดตัวไปยามเดินทางได้สะดวก ซึ่งชาก้อนลักษณะนี้จริงๆ เราก็จะเห็นในประเทศจีนและญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน เรียกว่า ชาก้อน (Brick Tea)
คืนนี้เราจะเข้าพักค้างคืนที่ไร่ชาโพยาง ดาวอน ทว่าเขามีให้แต่ที่พัก (แบบง่ายๆ และมีจำนวนจำกัด) และไม่ได้มีอาหารรวมอยู่ในแพ็กเกจด้วย เราจึงต้องขับรถออกมาประมาณ 15 นาที สู่ตัวเมืองโพยาง (Bohyang) เพื่อกินอาหารเย็น ร้านนี้ไม่ธรรมดา เพราะเด่นด้วยเนื้อหมูเบอร์เกอร์ เสิร์ฟมาพร้อมอาหารเกาหลีขนานแท้หลากหลายรสชาติ เป็นอีกหนึ่งมื้อที่เรามีความสุขมากๆ
เรากลับจากร้านอาหารสู่ไร่ชาโพยาง ดาวอน เกือบสองทุ่ม เพื่อมารวมตัวกันและเริ่มกิจกรรมสุดท้ายของวันนี้ คือ พิธีชงชา’ (Tea Ceremony) ซึ่งต้องมี ‘ปรมาจารย์การชงชา’ หรือ Tea Master มาเป็นผู้นำ วันนี้คุณ Choi Yeong-Gi เจ้าของไร่ชา โพยอง ดาวอน ในเจนเนอร์เรชั่นที่ 4 มาสาธิตการชงชาให้เราชมด้วยตนเองเลย

การชงชาแบบเกาหลีนั้นจะดูเกร็งๆ น้อยกว่าของญี่ปุ่น คือของเกาหลีเขาให้เราจับคู่นั่งตรงข้ามกัน ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ชง อีกฝ่ายเป็นผู้ดื่ม แล้วผลัดกัน โดยวิธีการรับส่งแก้วและยกขึ้นดื่มจะต้องกระทำอย่างช้าๆ และมีเสต็ปเฉพาะ  การดื่มชาจริงๆ แล้วเป็นทั้งการดื่มดม และทำสมาธิไปในตัว ขณะดื่มก็ต้องคิดแต่สิ่งดีๆ แบบ Positive Thinking ให้เราสัมผัสลึกล้ำทั้งรูป รส กลิ่น เสียง ของน้ำชาที่ค่อยๆ ไหลลงคอแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย พร้อมกับมีการเสิร์ฟขนมหวานชิ้นเล็กๆ ให้กินคู่กันด้วย คุณ Choi Yeong-Gi เล่าให้ฟังว่าไร่ชาของเขามีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อยู่ตลอดเวลา มิใช่แค่ต้องการขายให้คนเกาหลีได้ดื่มเองในประเทศเท่านั้น แต่บุกตลาดไปทั่วโลก เพื่อให้คนทั่วโลกได้รับรู้ถึงวัฒนธรรมเกาหลีผ่านชาคุณภาพนี่ล่ะ ยิ่งกว่านั้นเขายังมีการคิดค้น ‘ชาทองคำ’ (Golden Tea) สำเร็จเป็นเจ้าแรกด้วย คือเขาได้วิจัยจนสามารถใช้กระแสไฟฟ้าละลายทองคำก้อนให้กลายเป็น ‘น้ำทองคำ’ จากนั้นก็นำไปรดต้นชา ให้ต้นชาดูดน้ำทองคำเข้าไปเก็บไว้ แล้วก็นำใบชานั้นมาผลิตเป็นชาทองคำ ขายราคากล่องละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ! ตอนนี้มีออร์เดอร์จากทั่วโลก โดยเฉพาะจากผู้นำหลายประเทศ รวมถึงดาราเซเลปก็สั่งชาทองคำไปดื่ม เพราะผลวิจัยพบว่าเมื่อร่างกายเรามีทองคำสะสมอยู่ถึงปริมาณหนึ่ง ร่างกายจะสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งได้โดยเองอัตโนมัติ! โห ฟังแล้วตาโต (แต่ไม่มีตังค์ซื้อ!) คุณนีรชา วงศ์มาศา นายกสมาคม TEATA มอบของที่ระลึกน่ารักๆ ให้กับคุณชอยและภรรยา วันเวลาในเกาหลีทำไมช่างผ่านไปรวดเร็วอย่างนี้นะ? เหลืออีกแค่วันเดียวก็ต้องกลับบ้านแล้ว และเราก็มุ่งหน้าเข้าใกล้กรุงโซลเข้าไปทุกทีๆ โปรดติดตามตอนสุดท้าย ว่าสมาชิก TEATA ของเราจะต้องไปผจญภัย หรือพบเจออะไรสนุกๆ อีกบ้าง บ้ายบายสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) โทร. 08-3250-9343 (คุณน้ำ)

เที่ยวเกาหลีสไตล์ TEATA หมู่บ้านดารังงี (ตอน 3)

วันที่สองของการเดินทางท่องเที่ยวในเกาหลีกับ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) เรายังตระเวนกันอยู่บนเกาะนัมเฮ (Namhe Island) เกาะใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งทางภาคใต้ของเกาหลี โดยในช่วงเช้าหลังจากเราเดินป่าขึ้นเขาไปไหว้พระและชมวิวบนภูเขากวมซาน (Mt. Geumsan) แล้ว ช่วงบ่ายก็ได้เวลามาทำความรู้จักกับหมู่บ้านแสนน่ารักอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาชมวิวบวกกับวิถีชีวิตอันน่าสนใจ นั่นคือ ‘หมู่บ้านดารังงี’ (Darangyi Village) จังหวัดคยองซาน (Geongsang)คอนเซ็ปต์ของการท่องเที่ยวที่นี่คือ ‘Ocean Village’ คล้ายๆ กับหมู่บ้านดูโมที่เราไปเยือนมาเมื่อวานนั่นแหละ ด้วยว่าหมู่บ้านดารังงีตั้งอยู่ริมทะเล มีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับเกษตรกรรมและประมงพื้นบ้าน อีกทั้งยังมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ผู้คนที่เริ่มอพยพเข้ามาตั้งรกราก ปรับพื้นที่ลาดเอียงของเนินเขา ให้เป็นนาขั้นบันไดอันสวยงามและมีชื่อเสียง ถ่ายภาพได้แจ่ม ก้อนหินจากการปรับพื้นที่นาก็เอามาสร้างบ้าน กลายเป็นหมู่บ้านน่ารักที่สร้างไล่เรียงลดหลั่นกันไปตามเนินเขาเตี้ยๆ ทัศนียภาพสวยงามจับใจจริง แต่การจะเข้าถึงหมู่บ้านไม่ใช่เรื่องหมูซะแล้ว เพราะรถบัสของเราวิ่งลงไปตามถนนแคบๆ ไม่ได้ จึงต้องออกแรงลากกระเป๋าเดินลงไปเกือบ 1 กิโลเมตร สู่ใจกลางหมู่บ้านที่อยู่ริมทะเลตรงโน้นนนนนนนน!โชคดี คุณคิม (Mr.Kim) ผู้นำท่องเที่ยวหมู่บ้านดารังงี มารอต้อนรับเราอยู่แล้ว จึงพาเราเข้าไปนั่งพักในศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวประจำหมู่บ้าน ติดแอร์เย็นฉ่ำ พร้อมมีชากาแฟอร่อยๆ ไว้ต้อนรับ
หมู่บ้านดารังงีได้รับงบสนับสนุนด้านท่องเที่ยวจากรัฐบาลกลางเกาหลี จึงนำมาปรับปรุงภูมิสถาปัตย์ให้งดงาม สะอาดสะอ้าน และมีเรื่องราวแฝงอยู่ในนั้น โดยแต่ละบ้านจะมีป้าย หรือมีรูปวาดไว้ตามหลังคา กำแพง ผนังบ้าน สื่อถึงจุดเด่นของบ้านแต่ละหลัง เช่น บางบ้านปลูกกระเทียม ก็มีรูปกระเทียม บางบ้านปลูกฟักทอง ก็มีรูปดอกและผลฟักทอง ส่วนบางบ้านเลี้ยงวัวไว้ไถนา ก็จะมีรูปวัว เป็นต้นด้วยว่าภูมิประเทศแทบทั้งหมดของหมู่บ้านดารังงีเป็นเนินเขาลาดเอียงลงสู่ทะเลสีคราม บ้านเรือนจึงสร้างลดหลั่นลงไปตามเนินเขาลาดชันอย่างสวยงามนอกจากภาพวาดตามฝาฟนัง หรือ Wall Painting ที่มีกระจายอยู่ทั่วหมู่บ้านแล้ว ในช่วงฤดูร้อนอย่างนี้ก็จะมีดอกไม้ประดับเบ่งบานแทบทุกบ้านเลย สดชื่นดีจัง ภาพชีวิตประจำวันอันแสนน่ารักของชาวดารังงี นอกจากอาชีพหลักคือปลูกข้าวและประมงแล้ว ยังนิยมปลูกกระเทียมด้วย เพราะกระเทียมบนเกาะนัมเฮนี้ว่ากันว่ารสชาติดีที่สุดในเกาหลี เพราะมีลมทะเลพัดมาเพิ่มความอร่อย จริงไม่จริงต้องไปพิสูจน์กันเองนะครับชื่อหมู่บ้านดารังงี มีความหมายสื่อถึงนาขั้นบันไดที่ลดหลั่นลงไปตามเชิงเขา โดยปัจจุบันมีนาขั้นบันไดอยู่กว่า 680 ผืน รวมเป็นพื้นที่ไม่น้อยกว่า 20 เฮกตาร์ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวมาสัมผัส ต่างกันไปในแต่ละฤดูกาล ซึ่งก็อิงอยู่กับวิถีเกษตรของชาวบ้านนั่นเอง อย่างในช่วงฤดูร้อน ก็จะมีกิจกรรมไถนา (ที่นี่ใช้วัวไถนานะครับ), ปลูกข้าว, จับหอยทาก,​ จับตั๊กแตน รวมไปถึงการเกี่ยวข้าวในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เป็นต้นพอพักกันจนหายเหนื่อยแล้ว คุณคิมก็เริ่มให้เราทำกิจกรรมแรกเพื่อทำความรู้จักกับหมู่บ้านดารังงีให้ดีขึ้น นั่นคือ ‘Running Man’ เป็นการวิ่งหา RC ตามคำถามที่ให้มา ใครหาครบก่อน และมาส่งให้กรรมการได้ก่อน (ต้องหา RC ถูกต้องด้วย) ก็จะได้รับรางวัลไปครับ กิจกรรมนี้สร้างชื่อเสียงให้หมู่บ้านดารังงีโด่งดังไปทั่วเกาหลี และถือเป็น Unique Program ที่สร้างสรรค์ขึ้นอย่างมีเอกลักษณ์เริ่มต้นเกมส์ Running Man ด้วยการแบ่งพวกเราออกเป็น 5 ทีม แล้วแจกแท๊ปเลทให้ทีมละเครื่อง ในนั้นมีคำถามอยู่ 10 ข้อ เพื่อให้เราออกไปค้นหาในหมู่บ้าน เช่น ให้ไปหาคนที่อายุมากที่สุดในหมู่บ้าน,​ให้ไปหาทุ่งนาขนาดเล็กที่สุดในหมู่บ้าน, ให้ไปหาหินรูปร่างเหมือนหินตา-หินยาย ของไทย อะไรทำนองนี้ พอพบ RC แต่ละข้อแล้ว ก็ให้ใช้แท็ปเลทถ่ายภาพทุกคนในทีมคู่กับสิ่งนั้น จนครบ แล้วเอาไปส่งกรรมการครับ สนุกล่ะงานนี้!
ใช่ว่าหมู่บ้านดารังงีจะเล็กซะเมื่อไหร่ เราเลยต้องวิ่งหากันทั่ว แถมยังต้องวิ่งขึ้นลงเนินกลางแดดยามบ่าย จะว่าสนุกก็ใช่ แต่ขอโทษนะพี่ เล่นเอาหอบเลยอ่ะ!!!
พบแล้ว คุณลุงคุณป้าผู้มีอายุมากที่สุดในหมู่บ้านดารังงี ขอถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกหน่อยน้าระหว่างเล่นเกมส์ Running Man เท่ากับเราได้ทำความรู้จักกับหมู่บ้านดารังงีในแง่มุมต่างๆ ไปโดยไม่รู้ตัว วิ่งกันเหนื่อย ก็หยุดถ่ายภาพคู่กับ Wall Painting สวยๆ ที่มีอยู่ทั่วหมู่บ้านร้านกาแฟน่ารักในหมู่บ้าน มองเห็นวิวทะเล และมีสีสันของดอกไม้ฤดูร้อนแต่งแต้มเติมชีวิตชีวา พบแล้ว ทุ่งนาผืนเล็กที่สุดในหมู่บ้าน แต่ตอนนี้ไม่มีต้นข้าว มีแต่ดอกไม้สีขาวเบ่งบานหอมชื่นใจในหมู่บ้านมีมุมถ่ายภาพเก๋ไก๋สไลเดอร์อยู่มากมาย สดชื่นดีจังเจอแล้ว หินตา หินยาย ที่สื่อถึงการกำเนิดและความอุดมสมบูรณ์ของชีวิต ขอถ่ายภาพไว้เอาไปส่งกรรมการด่วนนาขั้นบันไดที่มีอยู่ไม่น้อยกว่า 108 ชั้น ไล่เรียงลดหลั่นลงมาตามลาดเนินเขาของดารังงี กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและจุดถ่ายภาพยอดฮิตไปโดยปริยาย เกมส์ Running Man วิ่งๆๆๆๆๆ ใครไม่ฟิต อาจหน้ามืดได้ง่ายๆ ฮะ ฮาฮาฮาสภาพพวกเราหลังจบเกมส์ Running Man ภาพนี้ไร้คำบรรยาย!!!เมื่อทั้ง 5 ทีม มาส่งการบ้านครบ คุณคิมก็เริ่มตรวจว่าหา RC กันครบ และถูกต้องหรือไม่นะ?
ลุ้นกันใหญ่ เพราะอยากได้รางวัลของรางวัลแด่ทีมผู้ชนะครับ
รางวัลแห่งความภูมิใจ The Running Man (Girls)เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันนี้เหนื่อยสุดๆ ได้เวลาเข้าพักในบ้าน Homestay กับคุณป้าใจดี ที่จัดห้องไว้ให้เรา 2 ห้อง แยกหญิงชาย (บ้านเราพักกัน 4 คน) แต่กว่าจะถึงบ้านก็ต้องหอบอีกรอบ เพราะบ้านตั้งอยู่บนเนิน ต้องเดินลากกระเป๋าใบใหญ่ แล้วยกขึ้นบันไดไปอีกนิด โอ้วแม่เจ้า!รอยยิ้มอันอบอุ่นของคุณป้าเจ้าของบ้าน ทำให้เราหายเหนื่อย เพราะรู้สึกเหมือนได้เห็นหน้าแม่ ที่มาคอยดูแลสารทุกข์สุขดิบให้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะการเข้าครัวเตรียมอาหารเย็นอย่างขมักเขม้น จะไปขอช่วยก็ไม่ยอม อีกอย่างคือป้าเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เราจึงต้องใช้ภาษากายสื่อสารกัน ซึ่งก็น่าแปลกว่าสามารถเข้าใจกันได้ในระดับหนึ่ง
ห้องนอนชายหนุ่ม มีทีวี แอร์ และเครื่องนอนแบบง่ายๆ เตรียมไว้ให้ คุณป้าเจ้าของบ้านเขากลัวเราหนาว เลยเปิดฮีตเตอร์ที่พื้นบ้านไว้ให้ด้วย เรียกว่าอุ่นจนร้อนเลย นี่ผมเพิ่งเล่นเกมส์ Running Man มานะครับคุณป้า จะหนาวได้ไง เหงื่อท่วมออกขนาดนี้ ฮาฮาฮา!
ระหว่างที่เราอาบน้ำเปลี่ยนชุด คุณป้าก็จัดเตรียมอาหารเย็นชุดใหญ่ให้ในห้องรับแขก
เมนูผักทอด เป็นอะไรที่ดูง่ายๆ แต่อร่อยมากในยามนี้ซุปกิมจิหม้อใหญ่ ผัดหมูเกาหลี กิมจิก้านกระเทียมใส่ปลาตัวเล็ก ไส้กรอกทอด ผักทอด ปลาชุบแป้งทอด สาหร่ายแผ่น และข้าวสวยร้อนๆ คืออาหารเย็นง่ายๆ แต่ได้ใจเราไปเลยเต็มๆหน้าตาอาหารเช้าของบ้านนี้ อลังการยิ่งกว่าอาหารเย็นซะอีก โดยเฉพาะปลาทอดแสนอร่อย โชว์ความเจ๋งของดารังงีที่เป็นหมู่บ้านติดทะเลเอาล่ะ ไม่รีรอ หิววววววว กินแล้วนะค่ำวันนี้ยังมีกิจกรรมพิเศษรออยู่อีก แต่ก่อนอื่น เขาแจกกระติกน้ำเรืองแสงให้เราคนละอันไว้ประจำตัว เพราะเราต้องเดินจากศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวประจำหมู่บ้าน ไปยังโรงเรียนประจำหมู่บ้าน เพื่อทำกิจกรรมอะไรหนอ? เขาไม่ยอมบอก ปล่อยให้เรางง
เดินเรียงแถวกันไปสู่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน ผ่านทุ่งนาขั้นบันไดและวิวทะเล ซึ่งตอนนี้แสงหมด ถ่ายภาพไม่ได้ กะว่าตอนเช้าจะมาเก็บภาพซ้ำครับณ โรงเรียนประจำหมู่บ้านซึ่งปัจจุบันไม่ได้ใช้งานแล้ว เพราะนักเรียนกับวัยรุ่นเข้าไปเมืองใหญ่กันหมด! แต่เขาก็ไม่ได้ปล่อยให้มันร้าง ใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมยามค่ำให้นักท่องเที่ยว เริ่มด้วยเกมส์วิ่งหอยโข่ง ซึ่งเขาบอกว่าเป็นเกมส์โบราณที่ไม่ค่อยได้เห็นกันแล้ว เส้นที่วาดไว้บนพื้นจะเป็นเกลียวขดคล้ายลู่วิ่ง ให้สองทีมจัดคนวิ่งมาปะกัน แล้วเป่ายิ้งฉุบ ถ้าแพ้ก็ตายไปทีละคน ข้าวมื้อเย็นที่กินมาหมดไปเลยกับเกมส์นี้!เกมส์โบราณ แบ่งทีมทอยเส้น และโยนไม้ไปให้หลักของอีกฝ่ายล้ม คล้ายเกมส์สะบ้าของบ้านเรา เกมส์นี้ไม่เหนื่อยแต่ฝึกความแม่น สายตา การกะระยะ และน้ำหนักการโยนครับ
คุณคังจากหมู่บ้านดูโมที่เราไปพักเมื่อวาน ขับรถมาร่วมกิจกรรมยามค่ำกับเราด้วย แถมยังช่วยออกแบบท่าประจำกลุ่มอันแสนฮาและน่ารัก  เมื่อเล่นเกมส์ต่างๆ กันไปครบชั่วโมงนึง จนเหงื่อชุ่มโชกไปทั่วสารพางกายแล้ว ก็ได้เวลา Relax กับการลอยโคมอธิษฐานแบบเกาหลี เสร็จสิ้นการลอยโคมแล้ว แม้จะเร่ิมง่วง แต่หลายคนยังมีแรงเหลือ โดยเฉพาะคุณแม่คุณลูกแสนน่ารักคู่นี้ครับ
ก่อนเข้านอน เราใช้เวลาอีกราวหนึ่งชั่วโมง นั่งล้อมวงจับเข่าคุยกัน แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และปัญหาในการทำท่องเที่ยวชุมชน ทำให้รู่ว่ากว่าหมู่บ้านดารังงีจะประสบความสำเร็จเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อทำอย่างต่อเนื่องด้วยความสามัคคี และเติมความคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่ลงไป ในที่สุดก็ได้โปรแกรมการท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากมาย ทั้งจากจีน ยุโรป เอเชีย และคนเกาหลีเอง พี่หุย คุณนีรชา วงศ์มาศา นายกสมาคม TEATA ไม่ปล่อยให้ความรู้และข้อมูลดีๆ จากการพูดคุยผ่านเลย สมุดบันทึกคู่ใจจึงอยู่ข้างกายตลอดเวลาก่อนเข้านอน เพื่อให้กิจกรรมคืนนี้สมบูรณ์แบบ ก็ต้องทำมันหวานเผากินกันให้อุ่นท้องก่อนหมู่บ้านดารังงี คือตัวอย่างของวิถีชุมชนอันเรียบง่าย มีเอกลักษณ์ และประสบความสำเร็จด้านการท่องเที่ยวบนพื้นฐานของความสามัคคี สามารถดึง DNA หรือจุดเด่นของตนเองออกมาสร้างเป็นกิจกรรมสนุกๆ ได้มากมาย เป็นการขายความแตกต่าง ขายเอกลักษณ์ ขายเสน่ห์ ความน่ารัก ที่คนเมืองใหญ่โหยหา กลิ่นอายทะเลสีครามที่พัดโชยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน บวกกับต้นข้าวอ่อนสีเขียวสดที่พลิ้วไหวไปมาตามกระแสลม คือจิตวิญญาณของหมู่บ้านดารังงี ที่เราชาวสมาคม TEATA จะไม่มีวันลืมเลยจ้าสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) โทร. 08-3250-9343 (คุณน้ำ)

เที่ยวเกาหลีสไตล์ TEATA เดินป่าปีนเขา Geumsan (ตอน 2)

วันที่สองของทริปเกาหลีที่แตกต่างโดย TEATA เรายังอยู่บนเกาะนัมเฮม (Namhe Island) เกาะใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งทางภาคใต้ของเกาหลี หลังจากโบกมือลาหมู่บ้านดูโม (Dumo Village) แล้ว เราก็นั่งรถกันมาชั่วโมงกว่า จนถึง Hallyeo Haesang National Park เพื่อเดินป่าระยะสั้นขึ้นไปชมภูมิประเทศผาหินแปลกตา ชมพืชพรรณ ดอกไม้ และได้กราบพระที่วัดบนยอดเขาด้วย งานนี้ใครไม่ฟิตมีหอบแน่นอน!!!
ตัว Mascot น่ารักๆ ของอุทยาน เชิญชวนให้เราเข้าไปสัมผัสได้ทั้ง 4 ฤดู
ก่อนเดินขึ้นเขา ก็ต้องมาฟังบรรยายสรุปเส้นทางและจุดชมวิวเด่นๆ กันก่อน โดยวันนี้เราจะเดินกันไป-กลับ เป็นระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ไกด์บอกว่าทางไม่ชัน ส่วนใหญ่เป็นทางราบ (จะเชื่อได้จริงเหรอ???)วันนี้แดดไม่ร้อนจัด ประกอบกับผืนป่าก็ร่มรื่น ทำให้การเดินเทรกกิ้งในช่วงแรกเป็นไปอย่างชิลชิล สบายๆ ใครเดินเร็วก็นำไปก่อนเลย ส่วนผมเดินช้าเพราะต้องถ่ายภาพ และชอบชื่นชมต้นไม้ใบหญ้า ก็รั้งท้ายเช่นเคยระหว่างทางมีจุดให้นั่งพักผ่อนชมธรรมชาติด้วย อย่าลืมพกน้ำและขนมขึ้นไปกินล่ะ เพราะถ้าเที่ยวกันแบบจริงจัง ต้องใช้เวลากันเป็นวันทีเดียวบนภูเขาลูกนี้เดินมาได้ครึ่งทาง ภูมิทัศน์ก็เปิดมากขึ้น เราโผล่ออกจากแนวป่ามาสู่จุดชมวิวโล่ง เลยขอรวมตัวเก็บภาพไว้สักช๊อต ก่อนที่ทุกคนจะหอบกันไปมากกว่านี้ครับ!ภูเขาที่เรากำลังเดินเทรกกิ้งอยู่นี้ ชื่อ ‘ภูเขากวมซาน’ (Mt. Geumsan) สูง 705 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง เป็นยอดเขาสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในภาคใต้ของเกาหลี เพราะมีภูผาหินขนาดใหญ่รูปทรงแปลกตาผลุบโผล่ให้เห็นอยู่มากมาย โดยเฉพาะในส่วนยอดเขาบนสุด ซึ่งสามารถมองเห็นได้จาก ‘อาราม Boriam’ ที่เรากำลังมุ่งหน้าไปสักการะ บนภูเขาลูกนี้มีจุดชมวิวอยู่ไม่น้อยกว่า 38 แห่ง กระจายอยู่ตามหน้าผาและเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่คดเคี้ยวไปในราวไพร อยู่ที่ว่าคุณมีแรงมากพอจะเก็บแต้มได้มากแค่ไหนเท่านั้นเอง
ถ้าค่อยๆ เดินช้าๆ สังเกตผืนป่าสองข้างทางไปด้วย เราจะพบกับความหลากหลายของพืชและสัตว์มากมาย เขาบอกว่าในอุทยานแห่งชาตินี้มีพืชอยู่กว่า 1,142 ชนิด เช่น สนแดง (Red Pine), สนดำ (Black Pine), ต้นคามิเลีย (Camellia), ต้นโอ๊กซีเร็ตต้า (Serrata Oak) และต้นค็อกโอ๊ก (Cork Oak) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีก 25 ชนิด นก 115 ชนิด แมลง 1,566 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 16 ชนิด และเหล่าปลาอีกมากมาย เพราะอุทยานแห่งชาตินี้มีเนื้อที่กว้างใหญ่กว่า 545.63 ตารางกิโลเมตร กินพื้นที่ทั้งบนบกและในทะเลด้วยช่วงนี้เป็นฤดูร้อนในเกาหลี ระหว่างทางเดินเทรกกิ้งขึ้นเขาจึงมีดอกไม้ป่านานานชนิดเบ่งบาน สดชื่นมาก และแน่นอนว่ามันทำให้สปีตการเดินของเราลดลงด้วย เพราะต้องหยุดถ่ายภาพกันบ่อยมาก (ดีได้พักเหนื่อยไปด้วยนิ) สมาชิก TEATA หยุดชักภาพดอกไม้ตลอดทาง เธอคนนี้ผู้มีหัวใจรักธรรมชาติสุดๆ ครับจากแนวป่ามองทะลุยอดไม้ขึ้นไปเห็นยอดเขาหินตั้งตระหง่าน ในขณะที่หนทางก็เริ่มทวีความชันเป็นเนินยาวขึ้นเรื่อยๆ
เห็นเต็มตาขึ้นเมื่อใกล้ยอดเขา กับภูผาหินขนาดมหึมา ชวนให้จินตนาการไปเป็นรูปทรงต่างๆ พี่เอื้องกับน้องโม นี่คือหยุดนั่งเล่นชมธรรมชาติ หรือนั่งพักเหนื่อยจ๊ะ? เสียงหายใจแรงเชียว! (ล้อเล่นนะครับ)น้องจิ้น น้องโม น้องโอปอ นี่ก็หยุดพักชมธรรมชาติเช่นกัน!ในที่สุดก็มาถึงแล้ว ‘อาราม Boriam’ ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของยอดเขา Geumsan อารามนี้ถือเป็น 1 ใน 3 อารามที่มีผู้คนนิยมมาสักการะและสวดมนต์มากที่สุดในภาคใต้ของเกาหลีเลยล่ะ (อีก 2 แห่งคือ วัด Ganghwado Bomunsa และวัด Naksansa Hongryeonam) ใครจะขอพรอะไรก็เชิญตั้งจิตอธิษฐานได้เลยตามอัธยาศัยครับจาดยอดเขามองเห็นยอดเขา Geumsan ตั้งตระหง่านน่าเกรงขามอยู่ด้านหลัง โดยมีทางเดินป่าขึ้นไปประมาณ 1 กิโลเมตร จนถึงจุดที่มีสะพานเหล็กเชื่อมยอดเขาหินสองลูกไว้ด้วยกัน อันเป็นจุดชมวิวพาโนรามาสุดตระการตา และนักท่องเที่ยวนิยมเก็บภาพกันมากที่สุดครับความงามในรายละเอียดของสถาปัตยกรรมและพุทธศิลป์แบบเกาหลี ที่ต้องชื่นชม สมาชิก TEATA บางท่าน ไม่ได้ไปเดินเทรกกิ้งต่อขึ้นยอดเขา Geumsan แต่ใช้เวลาคุ้มค่าด้วยการนั่งสมาธิอย่างสงบ ข้าน้อยขอคารวะ!จริงๆ แล้วก่อนเข้าไปกราบพระในอาราม เราต้องล้างมือให้สะอาดด้วยนะจ๊ะ เขาเตรียมน้ำบริสุทธิ์ไว้ให้แล้ว
จากอารามมีจุดชมวิวขึ้นไปทางทิศเหนือ แลเห็นภูผาหินขนาดมหึมาโผล่ทะลุผืนพรมสีเขียวของพงไพรขึ้นมา ไม่ต่างจากยักษ์ปักษ์หลั่นอันน่าเกรงขาม ทำให้เราสำเหนียกในความเล็กกระจ้อยร่อยของตัวเรา ซึ่งมิอาจเทียบได้กับธรรมชาติผู้สร้างสรรค์สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ระหว่างเดินขึ้นเขา พบ ดอกโรโดเดนดรอน (กุหลาบพันปี) สีชมพูเบ่งบานอยู่เป็นดงใหญ่ ในเมืองไทยก็มี แต่พบทางภาคเหนือและภาคอีสานบนภูเขาที่ความสูงเกิน 1,000 เมตรขึ้นไปเท่านั้นครับยืนเหม่อมองทะเลภูเขาเรียงรายสลับซับซ้อนเวลายังเหลือ ถ้าจะหยุดอยู่แค่ที่วัดก็กระไรอยู่ เราหนุ่มสาวชาว TEATA จึงชวนกันเดิน (ปีนป่าย) ขึ้นเขาต่อไป เพื่อหวังไปให้ถึงจุดที่เป็นบันไดเหล็กเชื่อมภูเขาหินสองลูก ทว่าหนทางก็มิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทางเรียบๆ กลับกลายเป็นบันไดชันนับร้อยๆ ขั้น เราจึงต้องรวบรวมพละกำลังอีกครั้ง ค่อยๆ ก้าวเดินเป็นจังหวะและหายใจให้สม่ำเสมอ อีกทั้งปล่อยให้สีเขียวของผืนป่ารอบกายช่วยดึงดูดชักนำเราไปอย่างได้ผลทางชันต่อเนื่องขึ้นเขา พิสูจน์ใจ พิสูจน์กาย และพิสูจน์ศรัทธาของเราเองหนทางเดินลัดเลี้ยวผ่านไปในราวป่าเปลี่ยว มีเพียงเสียงหัวใจของเราเองพูดคุยกับธรรมชาติ ณ วินาทีนี้ เราลืมบางสิ่งที่เคยเจ็บปวด ปล่อยให้แมกไม้เยียวยาหัวใจอันบอบช้ำ (โห Drama มากๆ ฮาฮาฮา)ใบเมเปิลในฤดูร้อนเปล่งประกายเป็นสีเขียวสดใสเมื่อต้องไอแดดอุ่น ผิดกับในฤดูใบไม้ร่วงช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ที่พวกมันจะผลัดใบเป็นสีเหลือง ส้ม แดง ฉูดฉาดบาดตายิ่งนักเปลือกไม้บางต้นก็สวยงามราวกับภาพวาดศิลปะชั้นเยี่ยม ที่แอบมีคนมาเติมแต้มเอาไว้ผีเสื้อกลางคืน (ชีปะขาว) หรือ Moth ตัวน้อย เกาะพักหลับอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้รก ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็คงไม่เห็นใบเฟินอ่อนคลี่ออกรับแดดอุ่น ช่วยดูดซับความชื้นไว้ทำให้ราวป่าทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำขนาดยักษ์สองสาว TEATA พี่อ้อ น้องน้ำ เดินชมธรรมชาติบนภูเขา Geumsan กันเพลิน (หรือหลงทางครับ???)ทางเดินบางช่วงบนยอดเขา งดงามราวภาพวาดที่ดูแล้วสงบดีจัง
พื้นทางเดินหลายๆ ช่วง ปูลาดไว้ด้วยเชือกมะนิลา ที่ถูกถักทอสานกันเป็นผืนใหญ่ ช่วยป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวลื่น เป็น IDEA ที่ดี น่าเอามาทำบ้างในบ้านเรานะครับ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น ในที่สุดก็ถึงยอดเขา Geumsan สูง 705 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง บนนี้เป็นลานหินขรุขระเปิดโล่ง ล้อมรอบด้วยแมกไม้เขียว และวิวสุดสายตาพาโนรามาของอุทยาน ก้อนหินกลมคล้ายหัวกะโหลกบนยอดเขานี้มีขนาดมหึมาจนเราตะลึง มันถูกเชื่อมไว้ด้วยสะพานเหล็กแข็งแรง ให้นักทอ่งเที่ยวเดินข้ามไปมาระหว่างผาหินสองยอด ซึ่งถ้ามองลงไปเบื้องล่างก็สุดเสียวเพราะคือเหวดีๆ นี่เอง! ใช้เวลาไปกว่าครึ่งวันบนภูเขา Geumsan เรียกว่าทั้งสนุกสนานและได้ความรู้ในเรื่องราวของธรรมชาติกันไปเต็มๆ Late Lunch มื้อนี้ เราชวนกันไปล้ิมลองอาหารประจำชาติเกาหลีสุดฮิตเมนูหนึ่ง ที่ร้านเจจู (Jeju Restaurant) ร้านมีชื่อเสียงมากในแถบนี้ เมนูที่ว่าคือ ‘บิบิมบับ’ (Bibimbap) หรือจะเรียกง่ายๆ ว่า ‘ข้าวยำเกาหลี’ ก็คงไม่ผิด เป็นอาหารสุขภาพและอาหารที่สาวๆ หลายคนกินตอนลดความอ้วนครับ เพราะไม่มีเนื้อสัตว์เลย มีแต่ไข่และพืชผักนานาชนิด ราดด้วยซอสเกาหลีไว้ด้านบน เวลาจะกินก็คลุกเคล้าทุกอย่างให้เข้ากันจนเนียนเหมือนข้าวยำปักษ์ใต้บ้านเรานั่นล่ะ แต่ถ้าไม่อยากกินข้าวเยอะ ก็ให้ตักข้าวออกก่อนส่วนหนึ่งได้ ไม่ว่ากันบิบิมบับช่วยเรียกพลังเรากลับมาได้อย่างวิเศษ บ่ายนี้นั่งรถต่อไปหมู่บ้านดารังงี บนเกาะนัมเฮ ต้องหลับแน่ๆ แต่ไม่เป็นไร เพราะไม่มีอะไรเร่งร้อน Happy ดีจังทริปนี้สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) โทร. 08-3250-9343 (คุณน้ำ)

เที่ยวเกาหลีสไตล์ TEATA หมู่บ้านดูโม (ตอน 1)

เมื่อเอ่ยถึงชื่อประเทศ ‘เกาหลี’ หลายคนคงจะนึกถึงกิมจิ ผักดองแสนอร่อย, ย่านเมียงดง ถนนคนเดินช้อปปิ้งชื่อดังที่สุดในกรุงโซล, นึกถึงนักร้องหน้าใสวง Boy Band และนึกถึงละครซีรีส์เรื่องโปรด ที่ทำให้หลายคนออกเดินทางตามรอยพระเอกนางเอกที่ตนชื่นชอบไปยังประเทศนี้ ทว่าแท้จริงแล้วเกาหลียังมีเรื่องน่าสนใจอื่นๆ อีกมากมายให้เราค้นหาได้ไม่สิ้นสุด อย่างเช่นการเดินทางสุดพิเศษของ ‘สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย’ หรือ TEATA ในครั้งนี้ ที่กำลังนำเราไปรู้จักเกาหลีในมุมมองอันแตกต่าง

ทริปนี้ผมโชคดี ต้องขอบคุณ คุณนีรชา วงศ์มาศา นายสมาคม TEATA ที่มอบโอกาสให้ผมได้เป็นส่วนหนึ่งของคณะ 34 ชีวิต เดินทางไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ใน Study Trip ของ 4 หมู่บ้านชนบทเกาหลี ระหว่างวันที่ 7-11 มิถุนายน 2561 ด้วยความร่วมมือและสนับสนุนอย่างดีจาก Korea Rural Village Experience Council (KRVEC) ซึ่งมีเครือข่ายสมาชิกท่องเที่ยวหมู่บ้านกว่า 1,000 แห่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศเกาหลี และกำลังเป็นเทรนด์ท่องเที่ยวมาแรง ไม่ต่างจากการท่องเที่ยวโดยชุมชน (Community-based Tourism) ของไทยเลยสักนิดเดียว คงเพราะคนปัจจุบันเบื่อหน่ายสังคมเมืองอันสับสนวุ่นวาย จึงโหยหาความสงบ ธรรมชาติ และเสน่ห์ของวิถีผู้คนในชุมชนท้องถิ่นนั่นเองครับ
วันแรกเราบินตรงจากไทยไปยังสนามบินปูซาน แล้วนั่งรถยนต์ต่ออีก 2 ชั่วโมงครึ่ง สู่ เกาะนัมเฮ (Namge Island) เกาะใหญ่ทางภาคใต้ของเกาหลี เยี่ยมเยือนหมุดหมายแรกที่เราตั้งใจ คือ ‘หมู่บ้านดูโม’ (Dumo Village) เมืองนัมเฮ (Namhe) จังหวัดคยองซาง (Geongsang) ที่มีชื่อเสียงในแง่ว่า ตัวหมู่บ้านแม้มีเนื้อที่ไม่มาก ทว่าถูกโอบล้อมด้วยป่าสน แถมอาชีพหลักของชาวบ้านคือทำนาปลูกข้าว เราจึงได้เห็นนาข้าวแบบผืนน้อยกับทะเลสีฟ้าครามอยู่คู่กันอย่างแปลกตา หาไม่ได้ง่ายๆ การมาเที่ยวหมู่บ้านดูโมจึงมีคอนเซปต์ที่ว่า ‘Farm & Fishing’ คือเราสามารถเที่ยวสัมผัสได้ทั้งวิถีเกษตรกรรม นาข้าว และวิถีประมง ท้องทะเล ในเวลาเดียวกัน เริ่ดจริงๆ อ่ะ
พอไปถึงปั๊ป ผู้นำชุมชนก็มารับเราไปทานอาหารเที่ยงกันก่อนเลยวันนี้ผู้นำชุมชนและหน่วยงานท่องเที่ยวชนบทของเกาหลีหลายท่าน มาต้อนรับเราด้วยตนเอง โดยเฉพาะ Mr. Lee Kyujeong (ประธาน The Korean Rural Village Experience Council / คนใส่แว่น เสื้อสีฟ้า)
อาหารมื้อแรกในเกาหลีน่าประทับใจ เพราะเป็นอาหารแดนกินจิแท้ๆ นั่งกินกับพื้น มีเครื่องเคียงนานาชนิดยกมาเสิร์ฟ พร้อมด้วยซุปผัก ผัดหมูเกาหลี กินกับข้าวสวยร้อนๆ โดยใช้ช้อนและตะเกียบเหล็กแบบเกาหลี ทำให้รสชาติอาหารที่ว่าดีอยู่แล้ว อร่อยขึ้นอีกเป็นกองเลย ทีเด็ดคือ เครื่องเคียงทุกอย่างเติมได้ไม่อั้นครับ ฮาฮาฮากิมจิ ผักดองเพื่อสุขภาพ เป็นเครื่องเคียงที่ขาดไม่ได้ในทุกมื้ออาหารของคนเกาหลี แต่ละบ้านล้วนมีสูตรของตนเอง เมื่อกินบ่อยๆ จะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ขับถ่ายดี เพราะผักดองกิมจิมีเอนไซม์ที่เป็นประโชน์ต่อร่างกายมากเครื่องเคียงนานาชนิด เติมได้ไม่อั้น แค่กินเครื่องเคียงอย่างเดียวก็อิ่มแปร้แล้วมั้ง ฮาฮาฮาวัฒนธรรมการกินแบบเกาหลี คือต้องกินอาหารกับช้อนและตะเกียบเหล็กแบบนี้ ทีแรกอาจไม่ค่อยถนัด แต่พอสักพักจะรู้สึกว่าตักคีบอะไรได้มั่นคงดีมาก จึงทำให้ Speed การกินเราไม่ตกเลย อิอิห้องรับประทานอาหารรวม ของหมู่บ้านดูโม ไม่ใหญ่โต แต่อบอุ่นด้วยมิตรไมตรีของคุณป้าๆ ที่มาคอยดูแลเราอย่างใกล้ชิด ไม่ขาดตกบกพร่อง โดยคนที่มาท่องเที่ยวหมู่บ้านดูโม ทั้งแบบ One Day Trip และ Overnight (ค้างคืน) ก็จะต้องมากินอาหารรวมกันที่นี่ทั้ง 3 มื้อครับ อาหารก็มีให้กินกันอิ่มแปร้ ไม่ต้องห่วงตัวหมู่บ้านดูโมมีที่ราบไม่มากนัก นาข้าวส่วนใหญ่อยู่ในหุบเขาหว่างกลาง มีแนวภูเขาขนาบสองด้าน จากใจกลางหมู่บ้านเราเดินหรือปั่นจักรยานชิลชิล ผ่านผืนนาไปแค่ไม่ถึง 10 นาที ก็จะถึงท่าเรือแล้ว ที่นี่เขาจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนกันเองอย่างน่ารัก มีการแบ่งหน้าที่กันทำ และรับนักท่องเที่ยวในปริมาณที่พอเหมาะ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวถูกใช้เป็นทั้งที่ให้ข้อมูล ที่กินอาหาร และด้านบนเป็นที่พักแบบง่ายๆ ซอยเป็นห้องๆห้องพักแต่ละห้อง พักได้ 3-5 คน พร้อมห้องน้ำในตัว วิธีการนอนก็เป็นแบบเกาหลีแท้ คือปูฟูกบางๆ นอนบนพื้น จากห้องเปิดประตูไปมองเห็นนาข้าวและทิวเขา ได้ยินเสียงกบเขียด แมลง หรีดเรไร และนกต่างๆ ร้องระงม ใกล้ชิดธรรมชาติ อากาศก็สดชื่นสุดๆ ชีวิตชาวบ้านที่ยังผูกพันอยู่กับผืนนา และความพอเพียงต้นข้าวเขียวขจี รับไอแดดอุ่นของฤดูร้อนริมทะเล บนเกาะนัมเฮ แห่งนี้ในนาข้าวยังมีกบ เขียด แมลงปอ แมลงต่างๆ และลูกอ๊อดว่ายไปมา บ่งบอกว่าผืนนาที่นี่เป็น Organic หรืออินทรีย์แท้ๆวิวโล่งโปร่งสบายของหมู่บ้านดูโม สร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนแปลงกายเป็นพระเอกเกาหลี ไปโพสต์ท่าถ่ายภาพเก็บไว้ความน่ารักอีกอย่างของหมู่บ้านดูโม คือเขามีการวาด ภาพบนฝาผนัง หรือ Wall Painting สวยๆ น่ารักๆ ไว้มากมาย เพื่อเพิ่มสีสัน เติมชีวิตชีวา และใช้เป็นฉากถ่ายภาพของนักท่องเที่ยวได้อย่างไม่รู้เบื่อเลย โดยภาพแต่ละอันก็สะท้อนเรื่องราว ความโดดเด่น หรือประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านภาพนี้คือหัวกระเทียมครับ ที่เขาบอกว่าหัวกระเทียมของเกาะนัมเฮอร่อยที่สุดในเกาหลี รสชาติเหมือนแอปเปิล! เพราะดินดี และลมทะเลพัดเข้ามาโดนต้นกระเทียม ทำให้รสชาติต่างจากที่อื่นๆสองสาวฮิปสเตอร์ โพสต์ท่าถ่ายภาพอย่างสนุกสนานภาพ Wall Painting บนกำแพงของบางบ้าน ก็ละเอียดยิบ และสวยงามจนต้องหยุดเก็บภาพกันอย่างนานเลยจะหล่อไปไหนเนี่ยะ พี่เล็ก?! นอกจากการปั่นจักรยานเที่ยวชมรอบๆ หมู่บ้านแล้ว กิจกรรมยอดฮิตที่ทำให้หมู่บ้านดูโมโด่งดังมาก ในประเทศเกาหลีคือ ‘การพายเรือคายัคในทะเล’ (Sea Kayak) โดยเขาจะมีไกด์ท้องถิ่นให้ความรู้ สอนก่อนว่าต้องพายยังไง มีเสื้อชูชีพให้ แล้วนำเราพายเรือคายัคจากท่าเรือเลาะเลียบชายฝั่งออกไปยังเกาะใกล้ๆ คลื่นลมไม่แรง พายสนุก ชมวิวเพลินๆ ใครเหนื่อยก็พายกลับได้เลย ไม่มีการบังคับกัน โดยกิจกรรมนี้ใช้เวลาราวๆ 1.30 ชั่วโมง นับเป็นกิจกรรม Eco-tourism ที่ไม่รบกวนธรรมชาติ อีกทั้งทำให้เราได้ใกล้ชิดทะเลแบบเอื้อมมือแตะน้ำได้เลย สนุกสนานกันใหญ่กับการพายเรือคายัคในทะเลจริงๆ เทคนิคการพายง่ายๆ คือ ให้พายพร้อมกัน ซ้าย ขวา โดยให้คนหลังดูจังหวะคนหน้าเป็นหลัก วันนี้โชคดีคลื่นลมไม่แรง เลยไม่เหนื่อยมาก ชิลๆ จากนั้นก็เป็นกิจกรรมนั่งเรือประมงออกไปตกปลาในทะเลแบบ Fishing with the Fisherman ที่สนุกสนาน และปลอดภัย เพราะเรือประมงของเกาหลีเขาดูทันสมัย สะอาดสะอ้านมากเรื่อเร่งเครื่องตัดผืนทะเลเรียบสีฟ้าครามสะอาดตา ออกสู่เวิ้งอ่าวเบื้องหน้า ที่มีเกาะน้อยใหญ่เรียงรายรอเราอยู่แค่ 10 นาที ก็มาถึงจุดเหมาะ ที่กัปตันคิดว่ามีปลาให้เราได้ตกแล้วกัปตันใจดี สาธิตการตกปลาด้วยสายเอ็นเกี่ยวเบ็ดอย่างง่ายๆ หย่อนลงไปในน้ำลึกราวๆ 3 เมตร กระตุกเอ็นขึ้นลง ประเดี๋ยวเดียวก็ได้ปลาตัวเขื่องติดเบ็ดขึ้นมา แต่เราไม่ได้เอามันไปกินนะ ปล่อยมันกลับลงทะเลดีกว่า เหยื่อที่ใช้เกี่ยวเบ็ด ลักษณะคล้ายไส้เดือนหรือหนอนทะเลก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ คือ เป็นเหยื่อที่ปลาชอบกินมาก (กัปตันบอก)ใช้เวลาแค่ไม่ถึง 5 นาที ก็ได้ปลาตัวเบ้อเริ่ม! บ่งบอกถึงความอุดสมบูรณ์ของท้องทะเลแถบนี้ ที่ไม่ต้องแล่นเรือออกไปไกลฝั่งเลยหน้าตาน้องปลาที่กำลังตกใจ ก่อนเราปล่อยเขากลับคืนลงสู่ท้องทะเลดังเดิมพอตกปลากันหอมปากหอมคอแล้ว เรือประมงก็พาเราแล่นวนรอบเกาะใหญ่ ให้ได้ชมภูมิประเทศชายฝั่งโขดหินแปลกตา ทั้งสีสันและรูปทรง นี่คือเสน่ห์ของชายฝั่งทะเลตอนใต้ของเกาหลีล่ะ เย็นย่ำแล้ว อาบน้ำเปลี่ยนชุดซะหอมฉุย ตอนนี้ได้เวลาอาหารค่ำแบบง่ายๆ แต่แสนอร่อยแล้ว มีครบทั้งคาร์โบไฮเดรต ผัก ปลา เนื้อสัตว์ สมกับที่มีคนบอกว่าอาหารเกาหลีเป็น Healthy Food จริงๆมื้อนี้มีปลาแดดเดียวทอดราดซอสพริกด้วย ออกจะเค็มๆ นะ ต้องกินคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ถึงจะพอดี แต่ตอนกินต้องระวังก้างด้วยชุมชนหมู่บ้านดูโม มีการแบ่งงานแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน และทำท่องเที่ยวใน scale ที่พอเหมาะเท่าที่ตนเองรับไหว ไม่เกินขีดจำกัด อย่างคุณป้าแม่ครัวก็จะผลัดเวรกันมาดูแลนักท่องเที่ยว เข้าครัว ทำความสะอาด ส่วนเวลาปกติก็กลับไปทำงานบ้านของตน ทำนาทำไร่ และช่วยสามีในอาชีพประมง เขาจึงทำท่องเที่ยวได้อย่าง Happy มีรอยยิ้ม เพราะใช้การท่องเที่ยวเป็นอาชีพเสริมเท่านั้น นี่สิ ถึงจะก่อให้เกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริงคุณคัง (Mrs. Kang) หญิงแกร่งหญิงเก่ง ผู้เป็นหัวหอกสำคัญกลับมาพัฒนาท่องเที่ยวในบ้านเกิดของเธอ จากที่ดูโมเคยทำอาชีพปลูกข้าวและประมงเท่านั้น ใช้เวลา 3-4 ปี กลับมีชื่อเสียงในแง่การท่องเที่ยวชุมชน ที่ดึงจุดเด่นของตนเองออกมาพัฒนาเป็นโปรแกรมท่องเที่ยวอันมีเอกลักษณ์ คือ Farm & Fishing บวกกับกิจกรรมพายเรือคายัคในทะเล ที่โด่งดังไปทั่วเกาหลี นี่คือความภูมิใจของคนทำงานและรักบ้านเกิดอย่างแท้จริง
พี่หุย คุณนีรชา นายกสมาคม TEATA มอบของที่ระลึกให้คุณคัง ต่อไปนี้เราเป็นเพื่อนและเป็นเครือข่ายกันแล้วนะจ๊ะผลิตภัณฑ์อย่างหนึ่งที่คุณคังได้คิดค้นพัฒนาขึ้นเองมานานแล้วก็คือ ‘ชาดอกไม้’ (Flowers Tea) เพราะในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของหมู่บ้านดูโม ในป่าบนภูเขาหรือตามท้องทุ่ง จะมีดอกไม้เบ่งบานละลานตา เธอจึงนำมาผลิตเป็นชาดอกไม้หลากชนิด ที่ให้กลิ่น สี และรสชาติต่างกัน กลายเป็นของที่ระลึกของหมู่บ้านดูโม ที่หมู่บ้านอื่นๆ บนเกาะนัมเฮทำเลียนแบบกันเพียบเลยในปัจจุบัน
ค่ำคืนในหมู่บ้านดูโมผ่านไปอย่างรวดเร็ว อากาศยามค่ำและยามเช้าตรู่ที่เย็นสบายกำลังดี ทำให้ไม่ต้องเปิดพัดลม แอร์ หรือเครื่องทำความร้อนแต่อย่างใด ผมตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า ขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นอย่างงัวเงีย แต่ธรรมชาติบริสุทธิ์ของดูโม กลับทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกิดแรงบันดาลใจในการออกไปปั่นจักรยานชมหมู่บ้านยามเช้าอันสดใสเบิกบานเช่นนี้ชาวนาที่ดูโมตื่นเช้ากว่าผมอีก ตอนนี้ถึงเวลาซ่อมต้นกล้า เติมน้ำเข้านา และถอนวัชพืชออกจากท้องนา อากาศเย็นสบาย มีสายหมอกบางๆ โรยตัวลงอย่างอ่อนโยนปั่นจักรยานแค่ไม่ถึง 10 นาที จากใจกลางหมู่บ้านที่เป็นทุ่งนา มาสู่ท่าเรือที่เราออกไปพายคายัคกันเมื่อวาน ขณะนี้ท้องน้ำนิ่งสงบ ไร้คลื่นลม พาให้จิตใจสงบไปด้วย ผมพบแล้วมุมแห่งความสุขที่ค้นหามานาน!อาหารเช้าสไตล์หมู่บ้านดูโม มื้อนี้มีปลาแดดเดียวตัวใหญ่ทอดมาให้ชิมด้วย ว้าว!
ได้เวลาอำลาหมู่บ้านนารักนามว่า ดูโม แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพียง 1 วัน 1 คืน แต่ก็เกิดภาพประทับใจและความทรงจำดีๆ มากมายที่นี่ น้ำใจไมตรีของชาวบ้าน รอยยิ้มอันอบอุ่น และผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง นำพาดูโมไปในทิศทางที่ควรจะเป็น โดยสามารถรักษาเอกลักษณ์และวิถีของตนไว้ได้อย่างเต็มร้อย ถ้ามีโอกาส ผมต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งแน่นอนครับ
ก่อนจากลา พี่เอื้อง ท่านผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานอุบลราชธานี มอบของที่ระลึกเก๋ไก๋ไว้ให้คุณคัง แล้วพบกันใหม่นะจ๊ะSimple Smile @Dumo Village. I Never Forgot it!สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) โทร. 08-3250-9343 (คุณน้ำ)

Explore Mie, Miracle of Kansai (Episode 4)

อิกะ นินจา 001วันสุดท้ายของการเดินทางท่องเที่ยวใน จังหวัดมิเอะ (Mie) ความสนุกสนานเข้มข้นก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย แต่ยิ่งทวีความน่าสนใจขึ้น จนเราต้องรีบตื่นเช้านั่งรถขึ้นไปทางตอนเหนือของจังหวัดมิเอะ เข้าสู่เขตภูเขาสูงที่ปกคลุมด้วยผืนป่าร่มรื่นที่ เมืองอิงะ (Iga) เพราะที่นี่คือ ‘ต้นกำเนิดนินจาญี่ปุ่น’ ซึ่งราเห็นกันในหนังนั่นแหละ!
อิกะ นินจา 002นินจาคือใคร และใครคือนินจา? พวกเขาคือนักรบนิรนามที่ทำงานในทางลับ เป็นภารกิจซ่อนเร้นอำพราง สอดแนม ล้วงความลับ โขมย ลอบฆ่า ที่โชกุนหรือไดเมียวในยุคอดีตสั่งให้ทำ ถือเป็นงานสกปรกที่ต้องปิดบังซ่อนเร้น ผิดกับงานของเหล่าซามูไรที่ดูมีเกียรติในสังคม และสามารถเปิดเผยตัวออกสู่โลกได้ ทว่างานของนินจาก็สำคัญยิ่งยวด เพราะเป็นงานที่ช่วยให้เจ้านายของตนรบชนะ หรือคงอยู่ในอำนาจต่อไปได้ พวกนินจาจึงต้องฝึกฝนวิชากันอย่างหนักหน่วง ทั้งการต่อสู้ด้วยมือเปล่า การใช้อาวุธนานาชนิด การใช้ยาพิษ การรักษาโรคด้วยยาสมุนไพร ฝึกเทคนิคการอำพรางกาย การไต่ปีนที่สูง หรือแม้แต่การเดินบนผิวน้ำก็มีจริง ไม่ใช่เรื่องโกหก (เขามีรองเท้าชนิดพิเศษ ทำให้เดินบนผิวน้ำได้ ปัจจุบันจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์นินจาหมู่บ้านอิงะ)อิกะ นินจา 003วันนี้เรามาเที่ยวชม ‘หมู่บ้านนินจาอิงะ’ (Iga Ninja Village) ซึ่งถือเป็นพื้นที่ดั้งเดิมแท้จริง ของนินจา 1 ใน 2 สำนัก ที่โด่งดังที่สุดในแดนอาทิตย์อุทัย สายแรกคือ อิงะนินจา (Iga Ninja) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในจังหวัดมิเอะ และสายที่สองคือ โคงะนินจา (Koga Ninja) โดยนินจาเหล่านี้ได้เริ่มปรากฏชื่อขึ้นบนหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยนาราและสมัยคามาคุระ เมื่อผู้นำทางศาสนาในศาลเจ้าชินโตต่างๆ เร่ิมเสื่อมอำนาจ เพราะถูกทางการปฏิรูประบบศาสนา เหล่าพระและนักบวชจึงพัฒนาการบำเพ็ญตบะตามป่าเขาห่างไกล ให้กลายเป็นวิชานินจาขึ้นมา นำนินจาในสังกัดไปออกรบรับใช้โชกุนและไดเมียว เพื่อรักษาฐานอำนาจตนอิกะ นินจา 004กระทั่งถึงยุคโชกุนโตกุกาวา อิเอยาสุ ถือเป็นยุคทองของเหล่านินจา เพราะโชกุนองค์นี้ได้นำนินจากว่า 200 คนจากก๊กของฮัตโตริ ฮันโซ เข้ามาใช้งาน ภาระกิจลับของนินจาจึงแพร่หลาย และถูกใช้งานรับใช้นายเพื่อความมั่นคงทางการเมือง กระทั่งล่วงเข้าปี ค.ศ. 1606 เมื่อโชกุนองค์อื่นๆ มีอำนาจขึ้นแทน ก็เลิกใช้งานนินจา เพราะถือว่าเป็นนักรบไร้เกียรติ เรื่องราวของนินจาอิงะและโคงะจึงค่อยๆ เลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ และลดความสำคัญลงจนกระทั่งปัจจุบัน จนบางคนถึงกับกล่าวเย้ยหยันว่า เรื่องของนินจาเป็นเพียงตำนาน!!!อิกะ นินจา 005แม้วิถีทางของนินจาจะดูไร้เกียรติและทำงานสกปรกในสายตาใครบางคน แต่ชื่อ ‘นินจา’ ก็ดูมีเสน่ห์ลึกลับเสมอ สามารถดึงดูดความสนใจผู้คนได้ทุกยุคสมัย วันนี้เราได้มาถึงหมู่บ้านนินจาอิงะแล้ว และได้ชมการแสดงของนินจารุ่นใหม่ เหมือนการปลุกชีวิตนินจาอิงะขึ้นมาให้ได้ชมอย่างสนุกตื่นเต้น!

อิกะ นินจา 006นินจาเป็นนักรบในเงามืดที่ต้องเชี่ยวชาญการใช้อาวุธทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นดาบ มีด เคียว กระบองคู่ หอก ง้าว สามง่าม หน้าไม้ ธนู มีดสั้น เข็มพิษ ลูกดอกอาบยาพิษ ดาวกระจาย และอีกมากมาย โดยนินจาอิงะจะแบ่งเป็น 3 ระดับความเก่ง ไล่ตั้งแต่เก่งมากสุดไปจนถึงเก่งน้อย คือ โจนิน (Jonin) เป็นพวกเก่งสุด ชูนิน (Chunin) เป็นพวกเก่งกลางๆ และ เงนิน (Genin) เป็นพวกเก่งน้อยสุด ต้องฝึกอีกเยอะว่างั้น
อิกะ นินจา 007การปีนป่ายขึ้นที่สูงด้วยอุปกรณ์ง่ายๆ อย่างเชือกและตะขอ รวมถึงการปีนด้วยตัวเปล่า (คล้ายวิชาตัวเบาในหนังจีน) คือสิ่งที่นินจาทุกคนต้องฝึกจนชำนาญอิกะ นินจา 008ดาวกระจายคมกริบ คืออาวุธสังหารที่ถือเป็น Signature ของนินจาเลยก็ว่าได้ เพราะสามารถซัดได้จากระยะไกล ทั้งเพื่อป้องกันตัว ใช้ถ่วงเวลาเพื่อหนี ทำให้ศัตรูหวาดกลัว และเพื่อสังหาร! การแสดงของอิงะนินจาวันนี้ เขาใช้ดาวกระจายจริงๆ ที่คมกริบ ทดลองซัดให้ดูเห็นๆ ขอบอกเลยว่าถ้าคนโดนเข้าไปคงไม่รอด!
อิกะ นินจา 009ในการรบของนินจา อาวุธทำลายล้างแรงสูงชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กัน คือ ธนูติดระเบิด! ใครโดนเข้าไป แหลกชัวร์!!!
อิกะ นินจา 0010โชว์การต่อสู้ของนินจา ต้องอาศัยความทักษะ ความว่องไว และความกล้าอย่างมาก เพราะใช้อาวุธจริงกันเลยนิ
อิกะ นินจา 0011แค่มีเชือกเส้นเดียวก็สามารถแย่งดาบจากศัตรูมาได้ และท้ายที่สุดสามารถสังหารศัตรูได้ด้วยดาบของศัตรูเอง นี่คือสุดยอดนินจาอิงะอิกะ นินจา 0012โชว์น่าตื่นเต้นอีกอย่างคือ การสาธิตใช้ดาบคาตานะ (ดาบซามูไรญี่ปุ่น) ฟันท่อนฟางให้ขาด 3 ท่อน แบบเนียนๆ ภายในพริบตาแค่ไม่เกิน 3 วินาที!!!อิกะ นินจา 0013ตลอด 30 นาที ของการดูโชว์ เต็มไปด้วยความสนุก ตื่นเต้น เร้าใจ ปนอารมณ์ขัน ไม่มีคำว่าน่าเบื่อเลย แต่เขาห้ามถ่ายภาพนะครับ เพื่อไม่ให้ไปรบกวนสมาธินักแสดง เพราะเขาใช้อาวุธจริงแสดงทั้งหมด ใครที่พาเด็กไปดูด้วย ก็ต้องจับลูกหลานคุณไว้ให้ดี ส่วนใครที่อยากถ่ายภาพจริงๆ ก็ต้องขออนุญาตให้ถูกต้องก่อน
อิกะ นินจา 0014เมื่อชมโชว์นินจาจบแล้ว ก็ได้เวลาเข้าชมบ้านของนินจา ซึ่งต่างจากบ้านคนธรรมดานะจะบอกให้ เพราะในบ้านมีค่ายกล ห้องลับ และที่หลบซ่อน ทางหนีมากมาย จนศัตรูที่บุกเข้ามางงงวย นินจาจึงหนีออกไปได้ หรือสามารถย้อนกลับมาจัดการกับผู้บุกรุกได้สบายๆอิกะ นินจา 0015แม้แต่พื้นบ้านของนินจาก็ใช้แอบซ่อนดาบสั้น ดาวกระจาย เงิน และตะปูเรือใบ เพื่อใช้ในการต่อสู้หรือหลบหนีแบบฉุกเฉิน ถ้าคุณคิดจะบุกเข้าไปฆ่านินจาในบ้านของพวกเขาด้วยดาบคาตานะอย่างยาวล่ะก็ อย่าหวัง เพราะบ้านนี้มีเพดานเตี้ยมาก และมีคานเพดานถี่ การใช้ดาบยาวในบ้านจึงไม่คล่องตัว ต้องใช้ดาบสั้นแทนนะจ๊ะอิกะ นินจา 0016ก่อนอำลา ถ่ายภาพกับเหล่านินอิงะนินจา โดยเฉพาะพี่นินจาชุดดำ แหม ทาคิ้วเข้มเหมือนกับจะไปเล่นงิ้วแน๊ะ ฮาฮาฮาmitzui outlet park 001ออกจากหมู่บ้านนินจาอิงะ เรานั่งรถยิงยาวขึ้นไปทางเหนือของมิเอะ จนถึง เมืองคุวานะ (Kuwana) เพื่อกินข้าวเที่ยง และช้อปปิ้งรอ เตรียมขึ้นเครื่องบินกลับบ้านที่สนามบินนาโงย่าในตอนค่ำ และคงจะไม่มีสถานที่ไหนดีไปกว่าการไปช้อปปิ้งทิ้งท้ายที่ Mitsui Outlet Park Jazz Dream Nagashima เอาท์เล็ทที่มีสินค้าแบรนด์เนมละลานตาในราคาพิเศษ ให้เลือกกันอย่างจุใจ
mitzui outlet park 002 mitzui outlet park 003เอาท์เล็ทแห่งนี้เปรียบเสมือนเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง ที่เราสามารถเดินช้อปปิ้งกันได้ทั้งวัน เพราะมีสินค้าทั้งของเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง ผู้ชาย ให้เลือกกันนับร้อยๆ แบรนด์mitzui outlet park 004ใช้เวลาอยู่ที่นี่อย่างต่ำต้อง 3-4 ชั่วโมง หรือต้องจัดให้ครึ่งวันไปเลย จะได้สะใจ ไม่ต้องรีบร้อนNabana No Sato 001เย็นมากแล้ว เรามุ่งหน้าไปอำลามิเอะกันที่แหล่งท่องเที่ยวสุดอลังการงานสร้าง ซึ่งมีการประดับประดาไฟในฤดูหนาวอย่างยิ่งใหญ่ ถือว่าสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นเลย คือ Nabana No Sato สวนพฤกษศาสตร์สวย 4 ฤดู ที่เที่ยวชมได้ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยเฉพาะจุดเด่นคือ ‘อุโมงค์ไฟฤดูหนาว’ ที่เหมือนช่องทางเดินขึ้นสู่สวรรค์Nabana No Sato 002แต่ก่อนฟ้าจะมืดและไฟจะเปิดโชว์เต็มที่ ก็ได้เวลา Dinner ปิ้งย่างส่งท้ายทริปกันซะก่อนNabana No Sato 003ร้านอาหารของ Nabana No Sato บรรยากาศดีเยี่ยมNabana No Sato 004ยกมาเสิร์ฟแล้ว กับสารพัดเมนูปิ้งย่าง ที่เติมได้ตลอดNabana No Sato 005 Nabana No Sato 006Nabana No Sato เป็นสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ งดงามทั้ง 4 ฤดู มีดอกไม้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเบ่งบานให้ชมไม่รู้เบื่อ อย่างดอกไฮเดรนเยียในต้นฤดูร้อน ทุ่งคอสมอสในต้นฤดูใบไม้ร่วง และช่วงฤดูใบไม้ผลิเด่นด้วยดอกซากุระ ทิวลิป กุหลาบ แด๊ฟโฟดิล ฯลฯ บานสะพรั่ง ทว่าไฮไลท์จริงๆ อยู่ที่ การประดับไฟในฤดูหนาว (Winter Illumination) ที่มีหลอดไฟกว่า 200 ล้านหลอด และอุโมงค์ไฟอันน่าตื่นตา!Nabana No Sato 007 Nabana No Sato 008โรแมนติกสุดๆ ถ้ามาเป็นคู่Nabana No Sato 009 Nabana No Sato 0010เดินเที่ยวชมภายในสวนอันกว้างใหญ่ ทุกแห่งหนล้วนประดับไฟสว่างไสวเรืองรองNabana No Sato 0011 Nabana No Sato 0012แม้แต่สวนดอกไม้ก็ยังเที่ยวชมได้ในยามราตรี เมื่อมีแสงไฟมาช่วยเติมแต่งให้สว่างไสวขึ้นNabana No Sato 0013 Nabana No Sato 0014ภาพนี้บอกไม่ถูกเลย ว่าคนหรือดอกไม้ ใครสวยกว่ากันNabana No Sato 0015เดินเที่ยวสวน Nabana No Sato ในคืนพระจันทร์เต็มดวง อากาศเย็นสบายกำลังดี และมีดอกไม้เบ่งบานอยู่รอบๆ ตัว นี่สวรรค์หรือโลกมนุษย์กันแน่นะ?Nabana No Sato 0016อีกจุดที่มีชื่อเสียงโด่งดังของ สวน Nabana No Sato คือโรงเรือนปลูกต้นบีโกเนีย (Begonia) เขาไม่ได้ปลูกกันแค่ต้นสองต้น แต่ะปลูกกันเป็นหมื่นๆ ต้น! ทั้งแบบใส่กระถางลงดิน และแบบห้อยระย้าลงมาจากเพดาน ละลานตาด้วยสีสัน Colorful ทำให้รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่งเลยก็ว่าได้Nabana No Sato 0017จะเดินถ่ายภาพให้จุใจ หรือนั่งเฉยๆ ปล่อยอารมณ์ไปกับดอกบีโกเนียรอบตัว ก็เอาที่สบายใจเลยNabana No Sato 0018สวยจริง สวยจัง ทั้งดอกไม้ทั้งคนNabana No Sato 0019 Nabana No Sato 0020 Nabana No Sato 0021 Nabana No Sato 0022 Nabana No Sato 0023 Nabana No Sato 0024นอกจากดอกบีโกเนียแล้ว ในโรงเรือนอื่นๆ ก็ยังมีดอกไม้นานาชนิดให้ชื่นชม โดยเฉพาะดอกทิวลิปหลากสีNabana No Sato 0025 Nabana No Sato 0026มุมน่ารักๆ เก๋ๆ มีให้เดินเก็บภาพนับไม่ถ้วนNabana No Sato 0027สุดท้ายคือโรงเรือนพรรณไม้เขตร้อน จำพวกเฟิน (Fern) อย่างในภาพนี้คือ เฟินต้น (Tree Fern) เป็นเฟินขนาดใหญ่มีลำต้นสูงเหมือนมะพร้าว และจัดเป็นเฟินโบราณที่มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่ยุคจูราสสิก ครั้งที่ยังมีไดโนเสาร์เดินดุ่มๆ อยู่บนโลกโน่นเลย!Nabana No Sato 0028 Nabana No Sato 0029มาถึงแล้ว ไฮไลท์ของสวนพฤกษศาสตร์ Nabana No Sato คือ อุโมงค์ไฟ Winter Illumination ที่จะประดับประดาให้ชมกันเฉพาะฤดูหนาวเท่านั้น โดยอุโมงค์ไฟนี้ยาว 200-300 เมตร เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวถ่ายภาพกันมากที่สุด จึงต้องแบ่งๆ กันนะจ๊ะ ใจเย็นๆ จะได้ภาพสวยกันครบทุกคน
Nabana No Sato 0030ภาพแห่งความประทับใจของเราสองคนเนอะNabana No Sato 0031ไฮไลท์อีกอย่างของ Nabana No Sato คือสวนไฟนับแสนๆ ดวง ที่จัดแสดงเป็นภาพเคลื่อนไหวควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ โดยปีนี้มีคอนเซ็ปต์นำตัวการ์ตูนชื่อดัง Kumamon เจ้าหมีสีดำแก้มแดงอันแสนน่ารัก มาเป็นตัวพระเอกดำเนินเรื่อง นำเราท่องเที่ยวมิเอะใน 4 ฤดู งดงามอลังการ หาชมได้ยากจริงๆ
Nabana No Sato 0032 Nabana No Sato 0033 Nabana No Sato 0034นอกจากอุโมงค์ไฟ สวนไฟ และโรงเรือนดอกไม้นับร้อยๆ ชนิดแล้ว การเดินชมแสงไฟที่ประดับอยู่ทั่วสวนและสระน้ำในยามราตรี ก็เป็นอีกหนึ่งความประทับใจที่หาชมไม่ได้ในบ้านเรา
Nabana No Sato 0035หอคอยจานบิน (อันนี้เราตั้งชื่อเอง) ให้คนขึ้นไปอยู่ข้างบน จากนั้นเสาจะยกตัวขึ้น พร้อมกับจานบินหมุนไปรอบๆ อย่างช้าๆ กลางอากาศ ให้เราได้ชมวิว 360 องศา ของดวงไฟนับล้านที่ประดับสวนในยามราตรี Amazing!Nabana No Sato 0036 Nabana No Sato 0037 Nabana No Sato 0038 Nabana No Sato 0039ปิดท้ายลงอย่างน่าประทับใจ กับทริปเที่ยวจังหวัดมิเอะ 4 วัน 3 คืน ทำให้เราได้เห็นญี่ปุ่นในมุมมองที่ต่างไป ภาพของธรรมชาติงดงาม มิตรไมตรีของผู้คน อาหารแสนอร่อย ที่พักอุ่นสบาย และการช้อปปิ้งสุดมันส์ ทำให้เราบอกตัวเองว่า ต้องกลับมามิเอะอีกรอบแล้วรอบเล่า เพราะที่ได้สัมผัสมาใน 4 วันนี้ มันแค่เสี้ยวเดียวของมิเอะ ยังมีสถานที่แปลกใหม่น่าสนใจรอเราอยู่อีกนับไม่ถ้วน

แล้วเราจะกลับมาอีกนะ ดินแดนอันแสนน่ารักนามว่า ‘มิเอะ’logo World Pro

Special Thanks : บริษัท เวิล์ดโปร แทรเวิล จำกัด (World Pro Travel Co., Ltd.) สนับสนุนการเดินทางจัดทำสารคดีเรื่องนี้เป็นอย่างดีเยี่ยม

สนใจไปเที่ยวมิเอะ ติดต่อ โทร. 0-2026-3372, line id : wpoutbound หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.worldprotravel.com/tour-program

และ www.facebook.com/WorldProTravel หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ outbound@worldprotravel.com