เที่ยวทั่วโลก

เที่ยวเกาะแดนไวกิ้ง Lovund Island

%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%b0-lovund-%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%97%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%a2%e0%b9%8c%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%99

ดินแดนสแกนดิเนเวียหรือยุโรปตอนเหนือใกล้ขั้วโลก เป็นที่ที่ใครหลายคนใฝ่ฝันอยากไปเยือน เพราะเป็นแถบที่มีภูมิทัศน์ธรรมชาติยิ่งใหญ่ตระการตา อีกทั้งเป็นดินแดนแห่งความหนาวเย็น จึงให้ความรู้สึกแปลกตาสำหรับคนเมืองร้อนอย่างเราๆ นอร์เวย์ (Norway) ก็เป็นประเทศหนึ่งในนั้น เพราะเราสามารถไปเที่ยวชมความงามของตัวเมืองอันเก่าแก่ แถมด้วยพระอาทิตย์เที่ยงคืน และยังมีแสงเหนือบนฟากฟ้ายามราตรีอันสุดมหัศจรรย์ในบางฤดูกาลให้ชมด้วย

_nor1116

การเดินทางทริปนี้ต้องอาศัยเสื้อกันหนาวหนาๆ หมวก ถุงมือ และแบตสำรองของกล้องค่อนข้างเยอะ เพราะอากาศที่เย็นเฉียบขนาดอุณหภูมิเลขตัวเดียวของนอร์เวย์ ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้เราสั่นสะท้านได้ง่ายๆ ผมบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปลงที่ออสโล (Oslo) เมืองหลวงอันสวยงามของนอร์เวย์ จากนั้นต่อเครื่องบินเล็กแบบใบพัด จุผู้โดยสารได้ไม่เกิน 20 คน บินผ่านทะเลเหนือที่กำลังจะเป็นน้ำแข็ง ไปลงที่เมืองแซเนสเชิน (Sandessjøen) แล้วลงเรือสู่ เกาะลูวุนด์ (Lovund Island) ตามที่วางแผนไว้

%e0%b8%97%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b8%ad-1

ถามว่าที่เกาะลูวุนด์มีอะไรให้ชม ก็ต้องบอกเลยว่ามันคือที่ที่สามารถดูพระอาทิตย์เที่ยงคืนได้สวยที่สุด เกาะหนึ่งของนอร์เวย์ อีกทั้งยังจัดว่าเป็นอาณาจักรแห่งปลาแซลมอนเลยก็ว่าได้ เพราะในอดีตประเทศนอร์เวย์ไม่ได้เลี้ยงปลาแซลมอนส่งออกไปทั่วโลกดังเช่นทุกวันนี้ แต่อยู่ดีๆ ก็มีคนหัวใสบนเกาะลูวุนด์ ทดลองนำลูกปลาแซลมอนฝูงแรกขึ้นเครื่องบินไปทดลองทำฟาร์มเลี้ยงในทะเล จนประสบความสำเร็จเกินคาด เนื่องจากทะเลแถบนี้มีน้ำเย็นกำลังดี และมีอาหารในน้ำอุดมสมบูรณ์ ธุรกิจปลาแซลมอนในนอร์เวย์อันโด่งดังจึงถือกำเนิดขึ้นที่นี่ล่ะ ส่วนตัวผมเป็นคนชอบกินปลาแซลมอนอยู่แล้ว การได้มาเยือนถิ่นแซลมอนจริงๆ จึงเป็นเรื่องน่าประทับใจไม่น้อย

_nor1177

หมู่เกาะและทะเลแถบนี้จะว่าไปแล้วงามเหมือนภาพในเทพนิยาย เพราะเกาะส่วนใหญ่มักจะมียอดเขาแหลมๆ โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำทะเลสีครามเข้ม เต็มไปด้วยโขดหินแปลกๆ แถมยังมีป่าเปลี่ยนสีขึ้นเป็นแนวอยู่ตามชายฝั่ง บางเกาะมีหอคอยประภาคารโผล่ขึ้นมา เคียงคู่กับท่าเรือ และหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งนิยมสร้างบ้านด้วยไม้สนทาสีแดงเป็นหลัก บวกกับความเงียบสงบเป็นธรรมชาติสุดๆ ทำให้ตลอดระยะเวลาที่นั่งเรือเร็วจากเมืองแซเนสเชินสู่เกาะลูวุนด์ ช่างมีความสุขมาก

ประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงเกาะลูวุนด์ เกาะเล็กๆ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของนอร์เวย์ ที่มีประชากรอยู่แค่ 400 คน คนที่อยู่บนเกาะนี้ดั้งเดิมจึงรู้จักกันหมด เหมือนสังคมขนาดเล็กที่เอื้ออารีต่อกัน ตัวเกาะที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ จึงเดินหรือปั่นจักรยานเที่ยวได้ง่าย เพื่อชมบ้านเรือนและฟาร์มแกะเล็กๆ แสนน่ารัก หลายบ้านจัดสวนสวยเอาไว้ชื่นชม ทำให้นักเดินทางจากแดนไกลอย่างเรารู้สึกสดชื่นเมื่อได้มาเห็น

_nor1181

คนบนเกาะลูวุนด์มักพูดว่า คุณจะไม่มีวันหลงทางบนเกาะแห่งนี้!” ที่เป็นอย่างนั้นเพราะเกาะมีพื้นที่เพียง 4.9 ตารางกิโลเมตร และมีถนนสายหลักวนรอบเกาะอยู่เส้นเดียว การหลงทางบนเกาะนี้จึงไม่น่าจะมีโอกาสเกินขึ้นอย่างที่เขาว่าจริงๆ ฮาฮาฮา ชื่อเกาะนี้ก็น่าสนใจ คือคำว่า ‘Lovund’ นั้น เป็นศัพท์ภาษา Old Norse ของคำว่า ‘lauf’ (แปลว่า ใบไม้) และ ‘-und’ (แปลว่า ดินแดน) ชื่อเกาะลูวุนด์จึงหมายถึง ‘เกาะแห่งป่าไม้’ เพราะบนลาดเขาทางตะวันตกของเกาะมีป่าไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น

_nor1119

บนเกาะลูวุนด์มีที่พักอยู่แห่งเดียวชื่อ Lovund Rorbu Hotel ซึ่งจัดว่าเป็นบูติกโฮเทลเล็กๆ หรูเรียบ น่ารักอย่างแท้จริง ผู้ก่อตั้งโรงแรมแห่งนี้ก็คือผู้ที่นำปลาแซลมอนฝูงแรกมาเลี้ยงบนเกาะนั่นเอง และปัจจุบันได้มอบให้รุ่นลูกชายดูแลกิจการแทน โรงแรมริมทะเลวิวสวยสุดๆ แห่งนี้ จึงมีเรื่องราวความเป็นมา และต้อนรับแขกผู้เข้าพักอย่างเป็นกันเองเหมือนญาติสนิท ที่สำคัญคือในร้านอาหารของเขามีเมนูแซลมอน ให้เราชิมคู่กับไวน์ชั้นเลิศของนอร์เวย์อย่างจุใจ จากระเบียงห้องพักหรือจากกระจกใสของร้านอาหาร เราจะเห็นเวิ้งทะเลเหนือทอดออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา โดยมีเกาะเล็กๆ เรียงตัวอยู่ห่างๆ กันอย่างงดงาม

_nor1129 _nor1189lovund-rorbu-hotel

กิจกรรมที่ถือว่าเจ๋งสุดบนเกาะลูวุนด์ ที่ถือว่าห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง คือการชม พระอาทิตย์เที่ยงคืน หรือ Midnight Sun เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติมหัศจรรย์ เมื่อเราสามารถเห็นพระอาทิตย์ลอยค้างเติ่งอยู่บนท้องฟ้าตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า กล่าวกันว่าสถานที่ชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนได้ง่ายที่สุดจุดหนึ่งในนอร์เวย์ คือ เมืองทรมเซอ ระหว่างวันที่ 16 พฤษภาคม ถึง 27 กรกฎาคม รวมถึงเมืองสฟาลบาร์ กลางมหาสมุทรอาร์กติก ระหว่างวันที่ 19 เมษายน ถึง 23 สิงหาคม แต่ถ้าใครอยากชมพระอาทิตย์เที่ยงคืน และได้ดูการจับคู่ทำรังของนกพัฟฟินด้วย ก็ต้องเกาะลูวุนด์นี่ล่ะ

ปรากฏการณ์ พระอาทิตย์เที่ยงคืน’ จะเกิดขึ้นในฤดูร้อนของทวีปยุโรปและบริเวณใกล้เคียง ทางตอนเหนือของเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล (Arctic Circle : เส้นละติจูด 66°33′45.8″ ทางเหนือของเส้นศูนย์สูตร) โดยดวงอาทิตย์ยังคงมองเห็นได้ตอนเที่ยงคืน และเห็นตลอด 24 ชั่วโมง นอร์เวย์เคยมีพระอาทิย์เที่ยงคืนนานที่สุดในโลกถึง 73 วัน ที่เมืองสฟาลบาร์ รีบวางแผนเดินทางมาชมกันเลย

%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%9f%e0%b8%b1%e0%b8%9f%e0%b8%9f%e0%b8%b4%e0%b8%99-%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%b0-lovund

นอกจากการมาเที่ยวชมวิถีชีวิตของผู้คนบนเกาะอันสงบงาม และได้ชิมปลาแซนมอนสดๆ อร่อยล้ำแล้ว กิจกรรมที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงก็คือ การสะพายกล้องส่องทางไกล ออกไปซุ่มดูนกหายากในแถบโขดหินทางตอนเหนือของเกาะ พวกมันคือ นกพัฟฟินแอตแลนติก’ (Atlantic Puffin) แสนน่ารัก ที่จับกลุ่มทำรังเลี้ยงลูกอยู่บนหน้าผาหินริมทะเลนับพันๆ หมื่นๆ ตัว นกพัฟฟินชนิดนี้เป็นนกทะเลขนาดเล็ก จากหัวถึงหางยาวแค่ 30 กว่าเซนติเมตรเอง และปีกก็สั้น ไม่ใช่นกทะเลปีกยาวที่มักร่อนไปมาในอากาศเพื่อหาเหยื่อ ทว่านกพัฟฟินเป็นนกที่ชอบว่ายน้ำ และดำน้ำจับปลา ได้อย่างแคล่วคล่องว่องไวด้วยปากสั้นๆ แต่ทรงพลังของมัน โดยปากของมันจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสดใส เพื่อใช้ดึงดูดเพศตรงข้ามในฤดูผสมพันธุ์ ยิ่งกว่านั้นบางเกาะในทะเลแถบนี้ของนอร์เวย์ ยังยกย่องนกพัฟฟินโดยนำมันมาใช้เป็นตราสัญลักษณ์ทางราชการของเกาะเลยก็มีครับ

nova-sea-industry %e0%b8%9f%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%a1%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b9%81%e0%b8%8b%e0%b8%a5%e0%b8%a1%e0%b8%ad%e0%b8%99-%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%a5

ภาพแห่งความบริสุทธิ์ของธรรมชาติบนเกาะน้อยๆ ในแดนไวกิ้งแห่งนี้ช่างน่าประทับใจ และผมหวังว่า คุณจะได้มาเห็นด้วยตัวเอง แล้วคุณจะรู้สึกว่า สวรรค์บนพื้นโลกมีอยู่จริง!

%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%99%e0%b8%b9%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b9%81%e0%b8%8b%e0%b8%a5%e0%b8%a1%e0%b8%ad%e0%b8%99

Lovund Guide

– ช่วงที่ 1 บินตรงไทย-ออสโล (เมืองหลวงของนอร์เวย์) โดยสายการบิน Scandinavian Airlines (www.flysas.com/en/th/) หรือ Thai Airways International (www.thaiairways.co.th) ใช้เวลาเดินทาง 10 ชั่วโมง 30 นาที แล้วบินต่อด้วยเครื่องบินเล็กจากออสโล-เมืองแซเนสเชิน (Sandessjøen)

ช่วงที่ 2 นั่งเรือโดยสารจากเมืองแซเนสเชิน-เกาะลูวุนด์ เป็นเรือเฟอร์รี่ของบริษัท The Nordland Express Boat เช็คตารางเดินเรือและจองตั๋วได้ที่ www.nordnorge.com

– ที่พักบนเกาะ Lovund มีแห่งเดียว คือ Lovund Rorbu Hotel ติดต่อ www.lovund.no

จากนครพนม-เวียดนาม Beauty of the Far East

%e0%b8%aa%e0%b8%b0%e0%b8%9e%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e-%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%9e%e0%b8%99%e0%b8%a1-1

สำหรับเส้นทางท่องเที่ยวจากไทยสู่อาเซียนด้านทิศตะวันออก คงจะไม่มีเส้นทางไหนฮิตเกินจาก จังหวัดนครพนม-ลาว-เวียดนามกลาง เพราะเป็นเสมือน ‘ประตูสู่อาเซียนแห่งใหม่’ หลังจากสะพานมิตรภาพไทย-ลาว 3 เปิดใช้ ก็ช่วยให้คนสามประเทศนี้ไปมาหาสู่กันสะดวกยิ่งขึ้น %e0%b8%aa%e0%b8%b0%e0%b8%9e%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e-%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%9e%e0%b8%99%e0%b8%a1-2

เส้นทางเชื่อมโยง 3 ประเทศนี้มีศักภาพสูงมาก อุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติหลากหลาย แต่ที่พิเศษจริงๆ คือระยะทางยาวเพียง 367 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางขาไปแค่ 1 วันเท่านั้น เริ่มจากจังหวัดนครพนม ขับรถข้ามแม่น้ำโขงโดยสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 เข้าสู่เมืองท่าแขก แขวงคำม่วนของลาว แล้วเข้าสู่เวียดนามทางด่านน้ำพาว-กาวแจว ไปเมืองวินห์ เมืองฮาติงห์ เมืองดงเหย จากนั้นกลับเข้าไทยทางด่านนครพนม หรือมุกดาหารก็ได้ตามสะดวก %e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b9%88%e0%b8%ad-lao-1

การขับรถเที่ยวบนเส้นทางนี้ไม่ลำบากแล้ว เพราะถนนดี อีกทั้งไม่ต้องทำวีซ่า ถนนช่วงแรกจากนครพนมเข้าลาวจะลัดเลาะไปตามภูเขาเตี้ยๆ มีป่าไม้และเรือกสวนไร่นาเขียวชอุ่ม ไฮไลท์อยู่ที่ ‘เขาหนามหน่อ’ เขตอนุรักษ์ธรรมชาติซึ่งเด่นด้วยเทือกเขาหินปูนยอดแหลมตะปุ่มตะป่ำนับแสนๆ ยอด ต่อเนื่องเข้าไปจนถึงเวียดนาม โดยมีจุดแวะพักริมทาง ให้เราได้จอดรถชมวิวถ่ายภาพกันอย่างเต็มอิ่ม%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%ae%e0%b8%b2%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%87-2

เมื่อข้ามแดนจากลาวเข้าเวียดนาม เราจะได้สัมผัส 3 เมืองหลักในภาคกลางค่อนไปทางภาคใต้ คือ เมืองวินห์ (Vinh) เมืองฮาติงห์ (Ha Tinh) และ เมืองดงเหย (Dong Hoi) โดยสองเมืองแรกอยู่ในจังหวัดแหงะอาน และเมืองสุดท้ายอยู่ในจังหวัดกวางบิงห์ อันเป็นที่หมายตาของนักแบกเป้เที่ยว ที่ต้องการชื่นชมความบริสุทธิ์ของชายทะเลตะวันออกเวียดนาม%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%b8%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b9%8c%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%ae-%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a7%e0%b8%b4

เมืองวินห์ เมืองหลวงของจังหวัดแหงะอาน (Nghe An Province) ได้ฉายาว่าเป็น ‘ประตูสู่ภาคใต้ของเวียดนาม’ สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญคือ ‘จัตุรัสโฮจิมินห์’ ซึ่งมีอนุสาวรีย์ของลุงโฮ หรือประธานาธิบดีคนแรกของเวียดนาม สูงถึง 18 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่ เพราะเมืองวินห์คือบ้านเกิดของท่าน โดยท่านเป็นผู้นำเวียดนามทวงคืนเอกราชจากฝรั่งเศสได้สำเร็จ และเมื่อขับรถออกไปนอกเมืองที่ ‘หมู่บ้านฮว่างจู่ ก็จะได้เยี่ยมชมบ้านเกิดจริงๆ ของท่านโฮจิมินห์ด้วย

%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%b8%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b9%8c%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%ae-%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a7%e0%b8%b4 %e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%ae-1 %e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%ae-2%e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%97%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b7%e0%b9%8b%e0%b8%ad%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%ad-2

จากตัวเมืองวินห์นั่งรถออกไปแค่ 16 กิโลเมตร ก็ถึง ‘ชายหาดเกื๋อหล่อ’ ชายทะเลสวยที่สุดของเวียดนามกลาง หาดทรายที่นี่สงบ มีทิวมะพร้าวโอนเอน พร้อมด้วยร้านอาหารให้นั่งชิล %e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%97%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b7%e0%b9%8b%e0%b8%ad%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%ad-1%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%ae%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b9%8a%e0%b8%81-3

จากชายหาดเกื๋อหล่อขับรถไปอีกไม่ไกลก็จะถึง ‘วัดเฮืองติ๊ก’ วัดที่คนเวียดนามนิยมไปไหว้เจ้าแม่กวนอิม ทว่าการจะไปถึงวัดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย (แต่ก็คุ้มค่า) เพราะต้องนั่งเรือข้ามทะเลสาบ แล้วเดินป่า 2 กิโลเมตร เพื่อจะไปขึ้นกระเช้าสู่ยอดเขา แล้วเดินต่ออีก 500 เมตร จนถึงที่ตั้งของวัด %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%ae%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b9%8a%e0%b8%81-4 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%ae%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b9%8a%e0%b8%81-5%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%ae%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b9%8a%e0%b8%81-1 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%ae%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b9%8a%e0%b8%81-2%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b9%81%e0%b8%a2%e0%b8%81%e0%b8%94%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%81-1

เมื่อขับรถเลียบทะเลลงมาทางทิศใต้เรื่อยๆ เราก็มาถึง ‘เมืองฮาติงห์’ เมืองท่าที่สวยงามอีกแห่ง ซึ่งยังคงมีอาคารยุคโคโลเนียลให้ชม คือบ้านมักสร้างเป็นทรงหน้าจั่ว และมีหอระฆังโบสถ์ยอดแหลมแบบโกธิค แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของฮาติงห์ คือ ‘สามแยกด่งหลก’ แหล่งประวัติศาสตร์ยุคสงครามเวียดนาม เพราะจุดนี้เป็นช่องเขาสำคัญ ที่ทหารเวียดมินห์ใช้ขนยุทธปัจจัยไปสู่กับทหารอเมริกันผู้รุกราน เครื่องบินอเมริกันจึงทิ้งระเบิดสามแยกด่งหลกเป็นว่าเล่น จนเกิดวีรกรรม 10 ทหารหญิงผู้พลีชีพอันโด่งดัง %e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b9%81%e0%b8%a2%e0%b8%81%e0%b8%94%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%81-2 %e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b9%81%e0%b8%a2%e0%b8%81%e0%b8%94%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%81-3 %e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b9%81%e0%b8%a2%e0%b8%81%e0%b8%94%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%81-4%e0%b8%94%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a2-4

จากเมืองฮาติงห์ ขับรถเลียบชายทะเลตะวันออกเวียดนาม จนมาถึง ‘เมืองดงเหย’ (Dong Hoi) เขตอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึกใหม่ ทว่าก็ยังมีท่าเรือและตลาดปลาแบบบ้านๆ ให้เราเดินชมกันอย่างสนุก ยามที่มีเรือประมงเทียบท่า จะเห็นแม่ค้ารีบวิ่งกรูเข้าไปประมูลซื้อกุ้งหอยปูปลาแข่งกัน สะท้อนถึงความอุดมของทะเลเวียดนาม %e0%b8%94%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a2-5%e0%b8%94%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a2-1 %e0%b8%94%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a2-2%e0%b8%94%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a2-6 %e0%b8%94%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a2-7%e0%b8%96%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%9f%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%8d%e0%b8%b2-5

และเมื่อเที่ยวในตัวเมืองจนอิ่มแล้ว ก็ต้องไปสัมผัส ‘ถ้ำฟองญา’ ถ้ำน้ำลอดที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก จนได้เป็นมรดกโลกไปเรียบร้อยแล้ว การเที่ยวถ้ำนี้ต้องนั่งเรือเข้าไป ภายในประกอบด้วยโถงถ้ำและหินงอกหินย้อยขนาดยักษ์นับไม่ถ้วน จนเราแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง! %e0%b8%96%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%9f%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%8d%e0%b8%b2-6%e0%b8%96%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%9f%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%8d%e0%b8%b2-1 %e0%b8%96%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%9f%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%8d%e0%b8%b2-2 %e0%b8%96%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%9f%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%8d%e0%b8%b2-3 %e0%b8%96%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%9f%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%8d%e0%b8%b2-4

เส้นทางนี้ถ้าเที่ยวให้สนุกแบบไม่รีบ ควรใช้เวลา 4-5 วัน คุณจะได้ค้นพบความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ และชีวิตผู้คน บนถนนสายอาเซียนตะวันออก ที่ยังคงความบริสุทธิ์มากจริงๆ

จากสงขลา ถึงเคดาห์ Charming of the South

%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%94%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b9%88-2

คาบสมุทรมลายู คือดินแดนที่เต็มไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประเพณี โดยภาคใต้ของไทยก็คือส่วนหนึ่งของคาบสมุทรมลายู ต่อเนื่องเข้าไปในประเทศมาเลเซีย ผู้คนสองประเทศนี้มีการเดินทางติดต่อค้าขายฉันท์พี่น้อง สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%94%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b9%88-1

จังหวัดสงขลา คือเมืองใหญ่ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ศูนย์กลางของภาคใต้ปลายด้ามขวานทอง’ เพราะเป็นเมืองเศรษฐกิจ คึกคักด้วยการค้าขาย และตัวเมืองใหญ่ที่คนมาเลเซียก็ยังนิยมเข้ามาช้อปปิ้งกันทุกๆ สุดสัปดาห์ นอกจากนี้สงขลายังมีด่านชายแดนถาวรถึง 3 แห่ง เชื่อมพรมแดนสองประเทศ คือ ด่านสะเดา อำเภอสะเดา ติดต่อกับด่านบูกิตกายูฮิตัมห์ รัฐเคดาห์, ด่านบ้านประกอบ อำเภอนาทวี ติดต่อกับด่านบ้านดูเรียนบูรง อำเภอปาดังเตอร์รับ รัฐเคดาห์ และสุดท้าย ด่านปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา ติดต่อกับด่านปาดังเบซาร์ รัฐเปอร์ลิส นักท่องเที่ยวไทยที่มีเวลาน้อย สามารถข้ามไปช้อปปิ้งในร้าน Duty Free แต่ถ้าคุณเวลาเยอะ เราขอแนะนำให้พาตัวและหัวใจเข้าไปสัมผัสมาเลเซียให้ลึกซึ้ง แล้วคุณจะหลงรักประเทศนี้

%e0%b8%95%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b8%94%e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b9%81%e0%b8%94%e0%b8%99-%e0%b8%aa%e0%b8%87%e0%b8%82%e0%b8%a5%e0%b8%b2dsc_0006

ทริปนี้เราเข้ามาเลเซียทางด่านอำเภอสะเดา กล่าวคำทักทาย “ซาลามัต ดาตัง” กับ รัฐเคดะห์ (Kedah) รัฐใหญ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือสุด ซึ่งจริงๆ แล้วติดต่อกับทั้งจังหวัดสงขลาและยะลาของไทย เคดาห์มีชื่อเดิมว่า ‘ดารุลอามัน’ แปลว่า ‘ถิ่นที่อยู่แห่งสันติภาพ’ ก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 ดินแดนนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ทว่าเมื่ออังกฤษเข้ามาล่าอาณานิคม เราก็ต้องเสียรัฐเคดาห์ (หรือรัฐไทรบุรี) ไป รัฐนี้เป็นที่ราบซึ่งใช้ปลูกข้าวได้ดี จนอาจกล่าวได้ว่า ‘เคดาห์คืออู่ข้าวอู่น้ำของมาเลเซีย’ เลยทีเดียว dsc_0033%e0%b9%80%e0%b8%84%e0%b8%94%e0%b8%b0%e0%b8%ab%e0%b9%8c-life-4 %e0%b9%80%e0%b8%84%e0%b8%94%e0%b8%b0%e0%b8%ab%e0%b9%8c-life-1 %e0%b9%80%e0%b8%84%e0%b8%94%e0%b8%b0%e0%b8%ab%e0%b9%8c-life-2 %e0%b9%80%e0%b8%84%e0%b8%94%e0%b8%b0%e0%b8%ab%e0%b9%8c-life-3 dsc_233 dsc_516 dsc_250

นอกจากความสงบงามของทุ่งนาป่าเขาที่เราจะได้ชมแล้ว หมู่บ้านตามชนบทห่างไกล ของเคดาห์ก็ยังมีวิถีชีวิตแบบมาเลย์แท้ๆ ให้สัมผัสนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหารการกิน หรือเรือนปั้นหยามาเลย์ที่มุงหลังคากระเบื้องว่าว และเก็บรักษาข้าวของเก่าแก่ไว้มากมาย โดยเฉพาะในชุมชนชาวไทยสัญชาติมาเลเซียที่อยู่ในรัฐนี้มาตั้งแต่ยุครัชกาลที่ 5 กว่า 80,000 คน เราสามารถเข้าไปเที่ยวชมได้ที่อำเภอเปินดังและอำเภอกัวลามูดา จะได้สัมผัสซึ้งถึงวิถีความเป็นไทยแท้ๆ บนแผ่นดินอื่น โดยเฉพาะในแง่พุทธศาสนา ที่ชาวไทยในมาเลเซียยังยึดมั่นเหนียวแน่น น่าชื่นชมมาก %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%84%e0%b8%97%e0%b8%a2-%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%84%e0%b8%94%e0%b8%b0%e0%b8%ab%e0%b9%8c dsc_158balai-bezar-%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b9%88%e0%b8%b2

แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอื่นๆ ของรัฐเคดาห์ คือ พระราชวังบาไลเบอซาร์ (Balai Besar) สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1735 โดยสุลต่านโมฮาหมัด ยิวา (Mohamad Jiwa) สุลต่านองค์ที่ 19 ของรัฐเคดาห์ ด้วยแรงบันดาลใจที่เคยไปเยือนเมืองปาเลมบังบนเกาะสุมาตรา วังนี้สร้างขึ้นอย่างประณีตด้วยเสา หลังคา และปูพื้นด้วยไม้ แต่โชคไม่ดีเคยถูกเพลิงเผาทำลาย ทว่าได้รับการบูรณะขึ้นใหม่เพื่อใช้สำหรับการเข้าเฝ้า งานราชาภิเษก งานแต่งงาน และราชพิธีของสุลต่ารัฐเคดาห์%e0%b8%ab%e0%b8%ad%e0%b8%84%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b8%ad%e0%b8%a5%e0%b8%ad%e0%b8%aa%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%8c

อีกที่ซึ่งห้ามพลาดชม คือ ‘หอคอยอลอร์สตาร์’ (Alor Setar Tower) หอคอยสูง 165.5 เมตร ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นหอคอยโทรคมนาคมสื่อสารสูงอันดับ 19 ของโลก เราสามารถขึ้นลิฟท์ไปได้ บนชั้นชมวิว ความสูง 88 เมตร พร้อมด้วยห้องอาหาร ห้องประชุม ที่มองออกไปเห็นวิวพาโนรามากว้างไกล สุดลูกหูลูกตา เห็นตัวเมือง มัสยิด แม่น้ำ ถนนหนทาง รวมถึงถึงภูเขาที่ผุดขึ้นบนที่ราบเขียวขจีdsc_836 dsc_838 dsc_840 dsc_845 dsc_849

ที่กล่าวมาล้วนเป็นเพียงส่วนน้อยในความน่าสนใจของรัฐเคดาห์ อัญมณีเม็ดงามแห่งมาเลเซีย ซึ่งพร้อมต้อนรับคุณอยู่แล้วในวันนี้

ล้านใบไม้เปลี่ยนสีที่ Kyoto

%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-1

“ในสายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วง ใบหญ้าโดดเดี่ยว สั่นสะท้าน… ใบไม้ร่วง ร่วงหล่นล่องลอยมาจากที่ใด ฤดูใบไม้ร่วงได้สิ้นสุดลงแล้ว” บทกวีไฮกุโบราณของญี่ปุ่นพรรณนาถึงบรรยากาศและอารมณ์อันหลากหลาย ของฤดูใบไม้ร่วงที่เปี่ยมด้วยสีสัน เมื่อลมหนาวพัดโชย อากาศเยือกเย็นลง และหิมะขาวใกล้โปรยปราย เมื่อนั้นใบไม้ทั่วแดนอาทิตย์อุทัยก็เริ่มผลัดใบกลายเป็นสีเหลือง แดง ส้ม ก่อนที่จะร่วงโรยปลิดปลิวลงจากต้น รอวันให้หิมะขาวโปรยมาทักทาย หมุนเวียนเช่นนี้ทุกปี ดินแดนจึงเปี่ยมเสน่ห์ไม่ต่างจากสวรรค์บนพื้นพิภพ %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-2

ทุกปีในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน หรือธันวาคม แล้วแต่สภาพอากาศ ก่อนที่ฤดูหนาวจะมาถึง ญี่ปุ่นจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง โดยปกติใบไม้จะเริ่มผลัดใบเปลี่ยนสีมาจากภาคเหนือก่อน แล้วค่อยๆ ไล่ลงสู่ภาคใต้ ยามที่ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดง ปรากฏการณ์นี้ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “โมะมิจิ” หรือ “โคโย” นอกจากจะเป็นห้วงเวลาที่มากด้วยลีลาของสีสันแล้ว ยังกลายเป็นฤดูท่องเที่ยวคึกคักสุดๆ เลยล่ะ %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-3ทริปนี้ผมให้รางวัลตัวเอง ด้วยการบินไปไกลถึง “เกียวโต” (Kyoto) หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า “เคียวโตะ” เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นที่ได้รับการประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลก เมื่อไปสัมผัสเกียวโตด้วยตัวเองจึงรู้สึกได้ทันทีถึงความขลัง เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในยุคซามูไรและโชกุน เห็นสาวๆ หน้าใสใส่ชุดกิโมโนเดินไปมาตามท้องถนน แต่งตัวกันน่ารักคิกคุอาโนเน๊ะ แต่หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เกียวโตเกือบโดนทิ้งระเบิดปรมาณูโดยสหรัฐฯ มาแล้ว! ทว่าโชคดี ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีทรูแมนเคยมาฮันนีมูนที่เกียวโต เคยเห็นถึงความสวยงาม และคุณค่าทางประวัติศาสต์ ศิลปวัฒนธรรมของนครโบราณนี้ จึงไปทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองนางาซากิแทน! มิฉะนั้นเราก็คงจะไม่มีเมืองใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆ อย่างเกียวโต ไว้ให้ไปเที่ยวชมกันแล้วล่ะ

%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-4

การเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีในเกียวโตเป็นเรื่องง่ายดาย เพียงเลือกไปชมที่วัดใดวัดหนึ่งซึ่งมีสวนสวยๆ ล้อมรอบอาณาบริเวณ เท่านี้ก็จะได้ตื่นตากับภาพผืนพรมใบไม้สีสวยแล้วล่ะ โดยเฉพาะวัดใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียง อย่างเช่น วัดคินคาคูจิ วัดคิโยะมิสุ และวัดเรียวอันจิ ที่ว่ามาล้วนอลังการด้วยต้นเมเปิลและต้นกิงโกะสีสด แบบที่เห็นแล้วต้องตกตะลึงพรึงเพริดกันเลยทีเดียว! %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-5

วัดแรกที่ผมไปเยือนคือ “วัดทอง” (Golden Pavilion) วัดที่มีชื่อเสียงสุดของเกียวโต หรือในอีกชื่อว่า “วัดคินคาคูจิ” (Kinkakuji Temple หรือ วัดโรคูออนจิ : Rokuon-ji Temple) ถ้าใครเคยดูการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง “เณรน้อยเจ้าปัญญา อิคคิวซัง” คงพอจะจำได้ถึงภาพพระราชวังสีทองตั้งอยู่ริมสระน้ำใหญ่ บนยอดปราสาทมีนกสีทองตั้งเด่นเป็นสง่า และเป็นที่ประทับของโชกุนโยชิมิตสุ (Yoshimitsu) นั่นล่ะวัดทองซึ่งมีตัวตนอยู่จริง เมื่อแรกสร้างไม่ใช่วัด แต่เป็นปราสาทที่โชกุนประทับ เพื่อบริหารราชการและใช้พบปะข้าวราชการ กระทั่งโชกุนโยชิมิตสุสิ้นพระชนม์ เมื่อ ค.ศ.1408 ปราสาทแห่งนี้จึงได้เปลี่ยนสถานะกลายเป็นวัดนิกายเซน (Zen) ตามที่ท่านโชกุนมีดำริไว้

วัดคินคาคูจิที่เห็นในวันนี้งามสง่าราวเทพเทวานฤมิตร ตัวปราสาทสีทองสามชั้นเมื่อต้องแสงอาทิตย์ พลันสะท้อนแดดส่องประกายสีทองอร่ามเรืองรอง เงาของมันสะท้อนลงไปในทะเลสาบกว้างเบื้องหน้า เกิดเป็นเงาเสมือนจริงล้อกันอย่างน่าชม ยามนี้แมกไม้นานาพันธุ์โดยรอบกำลังผลิใบเปลี่ยนสีรับฤดูหนาว จึงมีพุ่มไม้เมเปิลและกิงโกะสีแดง สีส้ม สีเหลือง เข้มบ้างอ่อนบ้าง สอดแซมสลับอยู่ตามพุ่มสนเขียวสด เป็นจังหวะจะโคนลงตัว คล้ายภาพวาดของศิลปินเอกระดับโลกก็ไม่ปาน %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-6%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-7จุดชมวิวสวยที่สุดของวัดคินคาคูจิอยู่ตรงด้านหน้าใกล้ทางเข้า บริเวณริมทะเลสาบจำลองนั่นล่ะ ในทะเลสาบมีปลาคาปหลากสีแหวกว่าย ร่วมกับเป็ดแมนดารินฝูงหนึ่งที่ว่ายน้ำอวดโฉม แต่ถ้าจะให้ดี ต้องเดินอ้อมไปด้านหลังตัวปราสาทด้วย จะมีดงต้นเมเปิลผลัดใบสีเหลืองสีแดงฉาน หยุดทุกสายตาไว้ตรงนั้น ในขณะเดียวกันเราก็ต้องไม่ลืมที่จะพิจารณารายละเอียดอันแสนวิจิตพิสดารของปราสาทสีทองด้วย เพราะนอกจากจะสร้างด้วยไม้ทั้งหลังแล้ว ชั้นสองและสามยังบุด้วยแผ่นทองแท้อันประเมินค่ามิได้! เชื่อหรือไม่ว่าปราสาททองแห่งนี้เคยถูกไฟไหม้พินาศสิ้นเมื่อ ค.ศ.1950 แต่ก็ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว จนเสร็จสมบูรณ์ใกล้เคียงของเก่าเมื่อ ค.ศ.1955 กลายเป็นมรดกมรดกโลกมาจนทุกวันนี้  %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-8 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-9

เส้นทางนำเราเดินวนขึ้นไปด้านหลังปราสาทผ่านป่าเมเปิลที่กำลังอวดสีสัดสุดอลังการ จนถึงกระท่อมน้อยหลังหนึ่ง มุงหลังคาด้วยหญ้าแบบโบราณ จุดนี้ใช้เป็นสถานที่นั่งดื่มน้ำชาของท่านโชกุน กับซามูไร เรียกว่า “เซกกะเตอิ” (Sekkatei Tea House) ซึ่งแปลว่า “กระท่อมงามยามบ่าย” เพราะจากจุดนี้เมื่อมองกลับไปยังปราสาททองในยามบ่ายแล้ว แสงจะทำมุมสวยที่สุด น่าอิจฉาท่านโชกุนจริงๆ %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-10 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-11 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-12 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-13 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-14 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-15%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-1

จากวัดทองที่มีผู้คนคลาคล่ำ ผมเที่ยวเตร็ดเตร่ไปจนถึง วัดเรียวอันจิ” (Ryoanji Temple) หรือที่เรียกกันให้จำง่ายว่า “วัดสวนเซน” (Zen Garden Temple) หรือ “วัดสวนหิน” (Rock Garden Temple) ผมรักวัดนี้มาก เพราะสงบ ร่มรื่น คนน้อย เดินเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีได้สบาย ไม่ต้องเร่งร้อน ตลอดทางเดินเข้าสู่ตัววัด รวมถึงภายในวัด และสวนด้านหลัง ล้วนอุดมด้วยป่าเมเปิลหลากสายพันธุ์ ที่พากันผลัดใบอวดสีงดงามสุดขีด จริงๆ แล้วเมเปิลมีทั้งชนิดใบสามแฉก ห้าแฉก และใบเจ็ดแฉก บางชนิดต้นใหญ่ บางชนิดต้นเล็ก บางสายพันธุ์ผลัดใบเป็นสีเหลืองสด แต่บางพันธุ์ก็ผลัดใบเป็นสีแดงเข้มปรี๊ดจนแทบไม่เชื่อสายตา! ยามสายที่แดดส่องลงมาในแนวเฉียง ต้องใบเมเปิลเหล่านี้ สีของพวกมันจึงเจิดกระจ่างขึ้นจนเห็นทุกรายละเอียดเส้นใบ รวมถึงประกายสีเจิดจ้า หรือแม้แต่ในยามที่พวกมันต้องลม สั่นระริกเป็นจังหวะพลิ้วไหวไปมาพร้อมกัน ก็ไมต่างจากโอเปร่าแห่งสีสัน ที่ฉันได้บันทึกภาพนั้นไว้ในก้นบึ้งของหัวใจเรียบร้อยแล้ว %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-2 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-3

จุดเด่นของวัดเรียวอันจิอยู่ที่ใจกลางวัด ซึ่งมีการจัดเป็น สวนหิน หรือสวนเซน ที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยสวนแห่งนี้ยาว 25 เมตร กว้างเพียง 10 เมตร ทอดตัวจากทิศตะวันออก-ตะวันตก และมีแนวกำแพงโบราณขนาบอยู่ด้านหนึ่ง สวนหินโรยหน้าพื้นดินด้วยกรวดสีขาว และมีหินขนาดต่างๆ กัน 15 ก้อน ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่จัดวางอย่างจงใจ บนพื้นกรวดมีการใช้คราดกวาดไปเป็นริ้วลายต่างๆ คล้ายคลื่น และเส้นสายให้เกิดจังหวะพื้นผิวน่ามอง โดยรวมมีนัยทางธรรมสะท้อนถึงความสงบ สมาธิ และการหลุดพ้น ตามแนวคิดของพุทธนิกายเซน ซึ่งเน้นให้ตัวเรากลับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และเข้าสู่สภาวะธรรม หรือบรรลุธรรมอย่างฉับพลัน การชมสวนหินแห่งนี้ห้ามลงไปเดินย่ำเด็ดขาด เขาจัดพื้นที่ระเบียงไม้ด้านหนึ่งไว้ให้นั่งชมอย่างสงบ หรือบางคนก็มาทำสมาธิชำระจิตกันที่นี่ด้วยนะ %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-4 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-5 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-6 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-7 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-8 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-9%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-1

บ่ายแก่ของวันนั้น ผมนั่งรถแท็กซี่ต่อไปชมใบไม้เปลี่ยนสีในวัดที่โด่งดังที่สุดอีกแห่งของเกียวโต คือ วัดคิโยะมิสุ (Kiyomizu Temple) หรือ วัดคิโยมิสุ-เดระ (Kiyomizu-dera) หรือที่คนไทยรู้จักในนาม “วัดน้ำใส” เหตุที่ชื่อวัดน้ำใสก็เพราะมีธารน้ำใสสะอาดจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ไหลผ่านวัดนั่นเอง วัดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกเรียบร้อยแล้ว ความโดดเด่นอยู่ที่ตัววัดซึ่งสร้างด้วยไม้ มี 9 อาคาร แต่ที่เจ๋งสุดคืออาคารหลักขนาดมหึมาสร้างยื่นออกไปจากหน้าผา โดยใช้เสาไม้ซุงยักษ์สูงถึง 13 เมตร หลายสิบต้น ค้ำยันตัวอาคารไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ประกอบกับรอบๆ มีป่าเมเปิลสีแดงฉานพื้นที่กว้างใหญ่ ผลัดใบปกคลุมหุบเขาและเนินเขาโดยรอบ ทำให้ภูมิทัศน์ของวัดน้ำใสกลายเป็นสวรรค์ของคนรักธรรมชาติ อย่างไม่กล้าปฏิเสธ วัดนี้มีคนเดินทางมาสักการะนับหมื่นคนทุกวัน โดยเฉพาะสาวๆ ที่นิยมสวมชุดกิโมโนสีสวย หลากลวดลายมาเดินอวดกัน ยิ่งเพิ่มเติมสีสันวันใบไม้เปลี่ยนสีให้ดูสดชื่นขึ้นอีก สาวคนไหนอยากแต่งกิโมโน แต่ไม่มี ก็ไม่ต้องกลัว เพราะก่อนทางขึ้นวัดมีร้านให้เช่าชุดกิโมโนเพียบ แปลงโฉมให้เหมือนสาวเจแปนได้ไม่ยาก %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-2 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-3 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-4 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-5 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-6 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-7

จากอาคารหลักของวัด มีทางเดินเลียบภูเขาวนไปอีกด้านหนึ่ง เพื่อให้สามารถมองกลับมาเห็นตัวอาคารหลักที่ใช้ไม้ซุงยักษ์ค้ำยันได้ชัดเจนมาก ต่ำลงมาก็คือป่าเมเปิลแดงสุดอลังการ ที่กำลังเปล่งประกายสีแดงเจิดจ้ารับแสงสุดท้ายยามเย็น ตอนนี้ญี่ปุ่นกำลังจะเข้าฤดูหนาว แค่ห้าโมงเย็น ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว การเก็บภาพจึงต้องทำด้วยความรวดเร็ว มองผ่านป่าเมเปิลแดงออกไปไกลลิบๆ เห็นเมืองเกียวโต หอคอยเกียวโต และแนวเทือกเขายาวเหยียดโอบล้อมเมืองโบราณนี้ไว้ ฉันอิจฉาตัวเองเหลือเกินที่ได้มายืนอยู่ที่นี่ ณ เวลานี้ %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-8 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-9 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-10 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-11 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-12 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-13 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-14 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-15 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-16 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-17

เดินกลับลงมาจากวัดคิโยะมิสุฟ้าก็มืดซะแล้ว แต่ด้วยความที่วัดนี้ตั้งอยู่บนภูเขา และนักท่องเที่ยวก็เยอะ จึงหารถแท็กซี่ยาก ฉันตัดสินใจเดินลัดเลาะผ่านตรอกซอกซอยโบราณ ที่คดเคี้ยวราวเขาวงกต ผ่านร้านรวงขายของที่ระลึกละลานตา ค่อยๆ ลงเขามาอย่างสุขใจ และระหว่างทางเดินขาลงนั้นเองที่ผมรู้สึกว่า ได้ถูกจิตวิญญาณแห่งเกียวโตนครโบราณ กลืนกินตัวตนของผมไปจนหมดสิ้น มีเพียงถนนสายเก่า ตัวผม ความเย็นเยือกของอากาศ และภาพใบไม้เปลี่ยนสี ที่ตรึงอยู่ในก้นบึ้งหัวใจฉันอย่างแนบแน่น

%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-18kanra-hotel-kyoto

Kyoto Guide

Best season : ใบไม้เปลี่ยนสีในเกียวโตสวยสุด ประมาณต้นเดือนตุลาคม ถึงปลายเดือนพฤศจิกายน

Getting there : จากไทยบินตรงไปลงที่สนามบินราริตะ โตเกียว แล้วต่อรถไฟหัวจรวดความเร็วสูง ชิงกังเซ็น (Shinkansen) ไปเกียวโตได้เลย ส่วนการท่องเที่ยวในเมืองเกียวโต ถ้าระยะทางใกล้ๆ สามารถนั่งรถบัส หรือปั่นจักรยานเที่ยวได้ แต่ถ้าไกลๆ แนะนำให้นั่งรถแท็กซี่ หรือเช่ารถยนต์ขับเองได้สบาย

Overnight : แนะนำโรงแรมห้าดาว Hotel Kanra Kyoto เพราะสะดวกสบาย ตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นร่วมสมัย อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลจาก Kyoto Tower และสถานีรถไฟ Kyoto Station เดิน 10 นาทีถึง จองห้องพักติดต่อ http://hotelkanra.jp/en/ หรือ โทร. +81-75-344-3815

Cuisine : อาหารในเกียวโตมีให้เลือกหลากหลายมาก แต่เนื่องจากเป็นเมืองไกลทะเล จึงมีเมนูปลาไม่เยอะ อาหารเด่นของเกียวโตคือ เต้าหู้รสเลิศ รวมไปถึงผักดอง, ข้าวหน้าปลาไหล, ราเมน อูด้ง, ขนมปังแกง ฯลฯ

Souvenirs : เกียวโตเป็นเมืองแห่งศิลปะและงานหัตถกรรม จึงมีสินค้าให้ซื้อละลานตา เช่น ผ้ากิโมโน, ผ้าห่อของลายญี่ปุ่น, พัด, ปิ่นปักผม, กล่องข้าวเบนโตะทำด้วยไม้, พวงกุญแจ, รองเท้าเกี๊ยะไม้, ภาพวาดญี่ปุ่น, เต้าหู้เกียวโต, ปลาแห้ง, บ๊วยเค็ม บ๊วยหวาน, ถ้วยจานชามเซรามิค, ไม้แกะสลัก, เครื่องจักสาน, เครื่องแก้ว ฯลฯ

More info : http://kyoto.travel/en และ www.japan-guide.com/e/e2158.html

Taiwan 6 : อู่หลิงฟาร์ม หุบเขาแห่งซากุระบาน

wuling farm 2

อู่หลิงฟาร์ม (Wuling Farm) เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตทางภาคเหนือของไต้หวัน โดยตั้งอยู่บนภูเขาสูง ในแนวเทือกเขาแกนกลางของประเทศ เขตตำบล Heping จังหวัด Taichung (จังหวัดนี้ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของไต้หวัน รองจาก New Taipei City และ Kaohsiung) ฟาร์มแห่งนี้มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ.1963 แล้ว โดยมีชื่อเสียงเรื่องพืชผลการเกษตร โดยเฉพาะแอปเปิล ลูกท้อ และลูกแพร์ ปัจจุบันยังเป็นจุดชมซากุระบานอันโด่งดังอีกด้วย ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม จึงมีนักท่องเที่ยวนับแสนคนหลั่งไหลไปสัมผัสความงามของป่าซากุระบานกัน
wuling farm 3 wuling farm 4

แม้แต่ที่ลานจอดรถด้านหน้าของ Wuling Farm ก็ยังมีซากุระพื้นเมืองสีชมพูเข้ม เบ่งบานหนาตาขนาดนี้ ใครเห็นก็พากันตื่นเต้น จอดรถถ่ายภาพกันจนเพลินเลยล่ะwuling farm 5

นอกจาก Wuling Farm จะเป็นแหล่งปลูกพืชพักผลไม้เมืองหนาว ทำนองแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรบนที่สูง หรือ Highland Agro-Tourism อันมีชื่อเสียงของไต้หวันแล้ว ยังมีสภาพธรรมชาติอุดมสมบูรณ์มาก ทั้งพืช สัตว์ นก ผีเสื้อ ดอกไม้นานาพันธุ์ คนรักธรรมชาติชวนกันมาแค้มปิ้งได้มีความสุขทั้งครอบครัว
wuling farm 6.1

ป้ายตรงทางเข้าด้านหน้า Wuling Farmwuling farm 6

จากลานจอดรถและร้านอาหารด้านหน้าฟาร์ม ถ้าขับรถขึ้นเขามาเรื่อยๆ ไม่ไกล ในที่สุดเราก็จะถึง ส่วนบ้านพัก และจุดกางเต็นท์ หรือ Camp Site ที่มองออกไปรอบด้านเห็นภูเขาสูงตระหง่านโอบล้อม ช่างเป็นวิวที่ตระการตาจริงๆ ส่วนบ้านพักเป็นหลังๆ ในลักษณะ log cabin นั้น ก็ต้องจองล่วงหน้านะครับ เพราะคิวค่อนข้างยาว
wuling farm 7

จากจุดกางเต็นท์ ขับรถเที่ยวเล่นเย็นใจลึกเข้ามาในพื้นที่ของ Wuling Farm ก็จะเริ่มมีผู้คนบางตา แลเห็นป่าเขา รวมถึงแปลงเกษตรที่จะมีพืชผลหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนให้ชม ให้ชิม ให้ซื้อ ตามฤดูกาลwuling farm 8

จากระเบียงด้านหน้าบ้านพักหลังน้อย มองออกไปจะเห็นหุบเขาและเทือกเขาขนาดใหญ่เป็นวิวสวย ทักทายเราอยู่เบื้องหน้า อากาศเย็นฉ่ำ รับรองนอนไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศเลยจ้าwuling farm 9

ใครที่ไม่นิยมนอนบ้านเป็นหลังๆ Wuling Farm เขาก็จัดพื้นที่กางเต็นท์อย่างดีไว้บริการด้วยจ้า พื้นที่ก็ไม่ใช่เล็กๆ ในแต่ละล็อค มีพื้นที่กางเต็นท์และลานจอดรถของเราไว้ให้คู่กันเลย สะดวกสบายมากwuling farm 10

เต็นท์ขนาดต่างๆ ถูกางเรียงราย พร้อมด้วยเครื่องครัวและเครื่องนอน ที่แต่ละคนตระเตรียมกันมา นี่คือความสุขของคนรักธรรมชาติ รักการใช้ชีวิตกลางแจ้ง ณ Wuling Farmwuling farm 11.1

ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่กันมานาน ตอนนี้ก็ได้เวลาปล่อยกายใจให้เพลิดเพลินกับท้องทุ่ง ป่าเขา ดอกซากุระ และอากาศเย็นสบาย วันเวลาแห่งความสุขที่ Wuling Farm สร้างความประทับใจให้เราได้เสมอ
wuling farm 11.2

มีความสุขท่ามกลางดอกซากุระบานwuling farm 11

นอกจาก Wuling Farm จะมีป่าซากุระและธรรมชาติงดงามจนได้รับฉายาว่า “จิ่วจ้ายโกวแห่งไต้หวัน” แล้ว ลำธารในป่าเขาแถบนี้ ยังเป็นที่อยู่ของปลาหายากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก! คือ “แซลมอนไต้หวัน” (ชื่อวิทยาศาสตร์ Oncorhynchus masou formosanus / ชื่อสามัญภาษาอังกฤษ Formosan Landlocked Salmon) เป็นแซลมอนที่ไม่ได้ว่ายน้ำออกไปหากินในทะเล แล้วกลับมาวางไข่ในแหล่งน้ำจืดแบบปลาแซลมอนชนิดอื่น มันจึงเป็น Landlock Salmon ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีwuling farm 12

ริมลำธารบางจุดใน Wuling Farm มีการจัดทำที่ยืนไว้ให้ชม Formosan Landlocked Salmonwuling farm 13

ลำธารน้ำใสแจ๋ว อุณหภูมิเย็นเฉียบ ที่ Formosan Landlocked Salmon ชอบอาศัยอยู่
wuling farm 14

ในจุดที่ใกล้ๆ กับแก่งหิน น้ำไหลแรง ฝูงปลา Formosan Landlocked Salmon ก็มักจะไปรวมตัวกันอยู่เพื่อหากินwuling farm 15

มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีชมพูแต่งแต้มอยู่ทั่วไปหมด นี่คือแดนสวรรคืหรือโลกมนุษย์กันแน่นะ?
wuling farm 16

ป่าซากุระบานแล้วที่ Wuling Farm
wuling farm 17

ความงามอ่อนหวานของซากุระที่ Wuling Farmwuling farm 18

ซากุระอาบแสงยามเช้า งามจับใจ!wuling farm 19

ดอกซากุระสายพันธุ์ไต้หวัน (ชื่อวิทยาศาสตร์ Prunus campanulata) นิยมเรียกกันด้วยชื่อสามัญภาษาอังกฤษว่า Taiwan Cherry หรือ Formosan Cherry หรือ Bellflower Cherry สีเข้มกว่าซากุระญี่ปุ่นwuling farm 20

ดอกซากุระสายพันธุ์ไต้หวันแท้ จะมีสีชมพูเข้มจี๊ดจ๊าด โดดเด่นกว่าดอกซากุระสีชมพูหวานทั่วไป อย่างชัดเจนwuling farm 21

ดอกซากุระเบ่งบานทั่วหุบเขาของ Wuling Farm ปีหนึ่งมีครั้งเดียว คือในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม
wuling farm 22

ดอกซากุระญี่ปุ่น ที่ Wuling Farmwuling farm 23

ดอกท้อเบ่งบานแข่งกับดอกซากุระในช่วงเวลาเดียวกัน
wuling farm 24

ดอกไม้ประจำชาติไต้หวัน คือ ดอก Meihua ก็มีให้ชมใน Wuling Farm ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ดอกไม้ชนิดนี้อยู่ในตระกูลเดียวกับพวกเชอร์รี่ ท้อ และพลัมนั่นเอง
wuling farm 25

ดอกกุหลาบพันปี หรือโรโดเดนดรอนสีชมพูอมม่วงสดใส พบได้เฉพาะบนเขาสูงอากาศหนาวเย็น อย่าง Wuling Farmwuling farm 26Special Thanks : บริษัท Magic on Tour ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวไต้หวัน สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจ โทร. 02-444-3173, 08-9219-0822  

http://www.magic-ontours.com

logo_Magic_Final[createoutline]

Taiwan 5 : สวนซากุระเมืองหลี่ซาน

สวนซากุระหลี่ซาน 2

ไต้หวันในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ผมว่างามราวสวนสวรรค์ อันนี้ไม่ได้โม้! เพราะเป็นห้วงเวลาที่ดอกไม้นานาชนิด รวมถึงดอกซากุระสายพันธุ์ต่างๆ พากันสะพรั่งบานแต่งแต้มหุบเขา ป่าไม้ และสวนสวยทั่วไต้หวัน หลายมุมถ่ายภาพมาถ้าไม่บอก ก็นึกว่าเป็นญี่ปุ่นชัดๆ! แต่ดูเหมือนว่าสวนซากุระของไต้หวันจะยังไม่ได้รับการโปรโมทมากนัก คนในประเทศเขาเลยเก็บไว้เที่ยวกันเองซะส่วนใหญ่
สวนซากุระหลี่ซาน 3

สวนซากุระเมืองหลี่ซาน (Li Shan Cherry Blossom Garden) ในจังหวัดไทจง (Taichung) ทางตอนเหนือของไต้หวัน เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนจำนวนมาก เพราะมีซากุระหลายพันต้นเบ่งบานพร้อมกัน จนแลไปเหมือนผืนพรมสีชมพู สดชื่น แถมโรแมนติกไม่น้อย

เส้นทางนี้สามารถขับรถเที่ยวเชื่อมโยง จากไทเป-สถานีรถไฟโบราณเมืองเชอเฉิน-ฟาร์มแกชิงจิ้ง-สวนซากุระหลี่ซาน ชมธรรมชาติภูเขาตระการตา และผืนป่าบริสุทธิ์ของไต้หวันได้งามจับใจสวนซากุระหลี่ซาน 4

สวนซากุระเมืองหลี่ซาน ไม่เสียค่าเข้าชม เปิดตลอดเวลา ในสวนนี้เด่นด้วยซากุระสีชมพูหวานซึ้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในพรรณพื้นเมืองของไต้หวัน มีการจัดเส้นทางปูนให้เดินชมได้สะดวก พร้อมด้วยจุดนั่งพักท่ามกลางป่าซากุระ
สวนซากุระหลี่ซาน 5

ซากุระอาบแสงยามเช้า น่ามอง
สวนซากุระหลี่ซาน 6 สวนซากุระหลี่ซาน 7

เส้นทางเดินชมซากุระท่ามกลางขุนเขาโอบล้อมรอบด้าน บรรยกาศของ เมืองหลี่ซาน (Li Shan) ช่างน่าอภิรมย์ซะจริงๆ เมืองนี้ยังได้รับฉายาว่าเป็น “หุบเขาแห่งลูกแพร์” อีกด้วยนะจ๊ะ ไปเที่ยวแล้วอย่าลืมชิมล่ะ
สวนซากุระหลี่ซาน 8

บรรยากาศหวานจ๋อย โรแมนติกซะขนาดนี้ เหมาะจะชวนคนรักของเราไปทำซึ้งกันที่สุดแล้วล่ะ
สวนซากุระหลี่ซาน 9.1

ถ่ายภาพ Pre-Wedding ที่สวนซากุระเมืองหลี่ซาน รับรองภาพออกมางดงามอลังการล้านแปด! สวนซากุระหลี่ซาน 9 สวนซากุระหลี่ซาน 10 สวนซากุระหลี่ซาน 11 สวนซากุระหลี่ซาน 12

วิธีชมดอกซากุระให้ถูกต้อง คือ ดูแต่ตา มืออย่าต้อง ปล่อยให้ความงามนั้นอยู่คู่ธรรมชาติต่อไป อย่าเด็ด อย่าทำลาย เพื่อให้คนอื่นได้ชื่นชมบ้างสวนซากุระหลี่ซาน 13

ในสวนซากุระหลี่ซาน มีซากุระสายพันธุ์ไต้หวันแท้ ที่มีสีชมพูเข้มปรี๊ด ให้ชมกันด้วย โดยแต่ละต้นจะมีขนาดดอกและสีสันเข้มอ่อนต่างกันไปตามความสมบูรณ์ ก็คงเหมือนคนเรานั่นล่ะ ที่มีหน้าตาผิวพรรณผิดแผกกันไปสวนซากุระหลี่ซาน 14 สวนซากุระหลี่ซาน 15

เพ่งพินิจกันใกล้ๆ ให้เห็น detail รายละเอียดของดอกซากุระอันบอบบาง แต่ละดอกมี 5 กลีบ พร้อมด้วยช่อเกสรตัวผู้เป็นพุ่มฟูขึ้นมาจากกลางดอก ตรงปลายมีติ่งละอองเกสรที่พร้อมจะผสมพันธุ์ โดยใช้แมลงต่างๆ มาช่วยตามธรรมชาติ
สวนซากุระหลี่ซาน 16 สวนซากุระหลี่ซาน 17Special Thanks : บริษัท Magic on Tour ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวไต้หวัน สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจ โทร. 02-444-3173, 08-9219-0822  

http://www.magic-ontours.com
logo_Magic_Final[createoutline]

Taiwan 4 : สถานีรถไฟโบราณเมืองเชอเฉิน

สถานีรถไฟ เชอเฉิน 2

ไปเที่ยวไต้หวัน ใช่ว่าจะมีแต่อาหารอร่อย แหล่งช้อปปิ้งละลานตา และเมืองใหญ่ที่สุดแสนจะ Modern ทันสมัยเท่านั้นนะประเทศนี้เขาผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก จึงมีร่องรอยของยุคอดีตให้สัมผัสเยอะอยู่ โดยเฉพาะยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และยุคที่เพิ่งเริ่มพัฒนาประเทศ

สำหรับคนที่ชอบเที่ยวแบบย้อนยุค โหยหากลิ่นอายอดีต เราขอแนะนำ “สถานีรถไฟโบราณ เมืองเชอเฉิน” (Old Train Station of Checheng) ตั้งอยู่ในจังหวัดหนานโถว (Nantou) บนภูเขาสูงสลับซับซ้อนใจกลางประเทศไต้หวัน และเป็นเขตที่ไม่มีทางออกทะเลซะด้วยครับ แต่ขอบอกว่าไปเที่ยวไม่ยาก ถ้าเช่ารถขับเองจากสนามบินไทเป ประมาณ 5 ชั่วโมงก็ถึงแล้วครับ
สถานีรถไฟ เชอเฉิน 3

สถานีรถไฟเชอเฉิน ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับอุตสาหกรรมสัมปทานทำไม้ซุง ช่วงปี ค.ศ.1919 โดยเฉพาะการตัดไม้ส่งไปขายญี่ปุ่น สถานีรถไฟแห่งนี้จึงเป็นจุดรวมไม้ซุงเพื่อส่งไปยังท่าเรือที่อยู่ไกลออกไป โดยถือเป็นสถานีแรกของทางรถไฟสาย Jiji Railway สถานีรถไฟที่สร้างด้วยไม้ซุงแห่งนี้ จึงมีชื่อว่า Jiji Train Station
สถานีรถไฟ เชอเฉิน 4ตัวสถานีรถไฟเชอเฉินเต็มไปด้วยกลิ่นอายอดีตและความน่ารัก ไม้ซุงจากบนเขาจะถูกนำมารวมไว้ในเมือง ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟ โดยนำไปแช่น้ำไว้ในทะเลสาบเล็กๆ เพื่อให้ต้นไม้ปล่อยยางไม้ออกมา นัยว่าเพื่อให้เนื้อไม้แกร่งขึ้น ก่อนใช้เครนยักษ์ 3 ตัว ขนขึ้นรถไฟไปยังท่าเรือ

สถานีรถไฟ เชอเฉิน 5

เมื่ออุตสาหกรรมสัมปทานทำไม้ซุงถูกสั่งห้ามโดยรัฐบาลไต้หวัน ในปี ค.ศ.1986 สถานีรถไฟเล็กๆ แห่งนี้ก็ซบเซาลง จนถึงปี ค.ศ.1999 เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในไต้หวัน ตัวสถานีถูกทำลายพังพินาศ แต่ก็ได้รับการบูรณะขึ้นอย่างรวดเร็ว ให้คล้ายของเดิมมากที่สุด จนกระทั่งพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดน่ารักในปัจจุบัน

ย่ิงถ้าได้ไปเที่ยวในฤดูซากุระบาน ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม บรรยากาศจะเหมือนอยู่ญี่ปุ่นยังไงยังงั้นเลยล่ะ
สถานีรถไฟ เชอเฉิน 6

ฤดูซากุระบาน รอบๆ สถานีรถไฟเชอเฉินจะงดงามจนน่าตื่นตะลึง เพราะมีสีชมพูของซากุระแต่งแต้มไปทั่ว แม้แต่นกน้อยก็ยังแวะเวียนมาดูดกินน้ำหวานจากซากุระอย่างสำราญบานใจ แต่สำหรับหนุ่มสาวหลายคู่ ที่นี่ก็เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายภาพ Pre-Wedding สุดเจ๋งล่ะครับ
สถานีรถไฟ เชอเฉิน 7

ทะเลสาบกลางเมือง ช่างเย็นตาเย็นใจ เหมาะจะชวนกันไปเดินเล่นรอบๆ ถ่ายภาพ หรือดูนกยางหลายชนิดที่พากันมาจับปลากินเป็นอาหาร ที่นี่คือเมืองเล็กๆ Slow town อันเงียบสงบ เหมาะมาพักผ่อนจริงๆ
สถานีรถไฟ เชอเฉิน 8

ด้านข้างสถานีรถไฟ ใต้ร่มไม้ใหญ่ ในช่วงกลางวันมีการแสดงสนุกๆ ให้ชมด้วยนะครับ ดูเสร็จแล้วก็อย่าลืมบริจาคเงินให้เป็นกำลังใจกับพี่เขาด้วยนะ จะได้อยู่สร้างสีสันกับสถานีรถไฟเชอเฉินไปอีกนานๆ
สถานีรถไฟ เชอเฉิน 9

ช่วงหัวค่ำ มีรถไฟขบวนน่ารักวิ่งเข้ามาเทียบชานชาลาสถานี เหมือนรถไฟการ์ตูนที่เราเคยเห็นในหนังสมัยเด็กๆ เลย
สถานีรถไฟ เชอเฉิน 10

สถานีรถไฟที่สร้างด้วยไม้แบบโบราณช่างมีเสน่ห์ในทุกแง่มุม เหมือนกับการพาตัวเองย้อนกลับไปสู่อดีต หรือทำให้เราหวนคิดถึงวันวานสมัยยังเด็กได้ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความสนุกสนานจึวอวลอยู่ทั่วไปที่เชอเฉิน
สถานีรถไฟ เชอเฉิน 11

สวยตั้งแต่เช้าจรดเย็น สถานีรถไฟโบราณเชอเฉินเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายภาพ Pre-Wedding หวานๆ จี๊ดๆสถานีรถไฟ เชอเฉิน 12 สถานีรถไฟ เชอเฉิน 13

ด้านหลังสถานีรถไฟ คือตัวเมืองเก่าเชอเฉิน ที่สร้างไล่เรียงขึ้นไปบนเนินเขาเตี้ยๆ ตัวเมืองเล็กมาก จนใช้เวลาเดินเที่ยวไม่ถึงชั่วโมงก็ทั่ว ลองชวนกันไปเดินลัดเลาะตามตรอกซอกซอย ชมภาพวาดน่ารักๆ บนผนังบ้านเก่า เล่าเรื่องอดีต
สถานีรถไฟ เชอเฉิน 14

มาถึงเชอเฉินแล้ว อาหารอร่อยที่ถือเป็น Signature ของเมืองนี้ นักท่องเที่ยวทุกคนต้องลิ้มลอง ก็คือ ข้าวเบนโตะในถังไม้แสนน่ารัก! แถมด้วยน้ำชาหอมๆ อีก 1 แก้ว แต่ถ้าใครจะซื้อน้ำแอปเปิลกับน้ำมะเน็ต (น้ำมะนาว) มาดื่มเพิ่มก็ยิ่งดี
สถานีรถไฟ เชอเฉิน 15

ข้าวในถังไม้กินได้หนึ่งอิ่มพอดีสำหรับผู้ใหญ่หนึ่งคน ราคาก็ไม่แพง แค่ถังละสองร้อยกว่าบาท เลือกหน้าได้ มีทั้งหน้าหมูซีอิ๊ว หน้าไก่ และอื่นๆ พอกินเสร็จไม่ต้องคืนถังไม้นะครับ เพราะเขาให้เรากลับบ้านเป็นที่ระลึกเลยจ้าสถานีรถไฟ เชอเฉิน 16Special Thanks : บริษัท Magic on Tour ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวไต้หวัน สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจ โทร. 02-444-3173, 08-9219-0822  

http://www.magic-ontours.com

logo_Magic_Final[createoutline]

Taiwan 3 : อุทยานแห่งชาติอาลีซาน เมื่อสวรรค์จุมพิตพื้นโลก!

อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 2.1ในบรรดาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ TOP 5 ของประเทศไต้หวัน ดูเหมือนว่า “อุทยานแห่งชาติอาลีซาน” (Alishan National Park) จะเป็นอุทยทานแห่งชาติที่โด่งดังที่สุด สวยงามที่สุด และมีนักท่องเที่ยวไปเยือนมากที่สุด! แม้แต่คนจีนแผ่นดินใหญ่เองก็ยังกล่าวว่า ในชีวิตหนึ่งต้องมาเที่ยวอาลีซานให้ได้! โดยเฉพาะในช่วงดอกไม้บาน ประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม และช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ราวๆ เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 2

ในช่วงที่อากาศอบอุ่น ประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ดอกซากุระนับไม่ถ้วนจะพร้อมใจกันเบ่งบาน ประดับพงไพรบนภูเขาสูงเกือบ 3,000 เมตร ของอาลีซาน นั่งท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศหลั่งไหลไปชมความงาม ซึ่งจะปรากฏต่อสายตาเพียงปีละครั้งเท่านั้น!อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 4

อาลีซานจึงได้รับการเปรียบเปรยให้เหมือน “สวรรค์บนพื้นพิภพ” ที่คนทั่วไปอย่างเราๆ เข้าไปสัมผัสได้จริงอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 5

ผืนป่าอาลีซาน บนความสูงกว่า 2,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นที่รู้จักมาตั้งยุคปี ค.ศ.1900 เมื่อญี่ปุ่นซึ่งปกครองไต้หวันอยู่ในขณะนั้น ได้สร้างทางรถไฟสาย Alishan Forest Railway สำเร็จในปี ค.ศ.1912 เพื่อใช้เป็นเส้นทางขนส่งไม้ซุงจากอุตสาหกรรมทำไม้ เพราะในป่าเขาสลับซับซ้อนแถบนี้ เป็นแหล่งใหญ่ที่สุดของไม้สนซีด้า และไม้สนไซเปรส ต้นใหญ่มหึมา อายุหลายพันปี! อันเป็นไม้ล้ำค่าที่ญี่ปุ่นต้องการอย่างยิ่ง
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 6

กระทั่งถึงยุคปี ค.ศ.1970 อุตสาหกรรมทำไม้ซุงในไต้หวันถูกรัฐบาลสั่งยกเลิก ผืนป่าอาลีซานจึงได้รับการอนุรักษ์ และพัฒนามาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันน่าตื่นตาตื่นใจ
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 7

ในช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ามาตัดไม้สนซีดา และสนไซเปรส ในป่าอาลีซาน ต้นไม้ยักษ์นับไม่ถ้วนถูกโค่นลง แต่ก็ดูเหมือนว่าธรรมชาติพยายามเยียวยาตัวเอง มีต้นใหม่งอกขึ้นมาจากตอของต้นแม่เดิมอย่างน่าอัศจรรย์!อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 8

การท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติอาลีซานของเรา เร่ิมขึ้นในเช้ามืดอันหนาวเย็นกว่า 12 องศาเซลเซียส ของวันหนึ่งในเดือนมีนาคม ทริปวันนี้ต้องตื่นเช้าเป็นพิเศษเพื่อรีบมาซื้อตั๋วขึ้นรถไฟโบราณ ไปยังจุดชมวิว Jhushan ซึ่งจะมองเห็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน และยอดเขาสูงที่สุดของไต้หวันได้ด้วยอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 9

เข้าคิวซื้อตั๋วรถไฟโบราณอย่างเป็นระเบียบตามนิสัยคนไต้หวัน เช้านี้นักท่องเที่ยวเยอะ เขาเลยจัดรถไฟไว้ 2 ขบวน แต่ถ้าวันไหนคนน้อย ก็อาจเหลือ 1 ขบวนเท่านั้น (สำหรับไปชมพระอาทิตย์ขึ้น) ส่วนใครที่ไม่ชอบตื่นเช้า ก็ยังมีขบวนรถไฟวิ่งขึ้นเขาตลอดวัน ทำนองว่าไปชมวิวแบบชิลๆ ไม่ต้องการแสงแรกก็ได้น่ะอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 10

รถไฟขบวนแรกออกไปแล้ว เราจึงได้ขึ้นรถไฟขบวนที่ 2 แต่ก็ยังถือว่าเช้ามาก เพราะนี่ยังไม่ 6 โมงเลยนะพวกเราอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 11

เมื่อถึงชานชาลา ก็ต้องเข้าคิวอย่างเป็นระเบียบอีกครั้งเพื่อตรวจตั๋ว
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 12

สถานีรถไฟนี้ยังอนุรักษ์บรรยากาศแบบโบราณเอาไว้ คือสร้างด้วยไม้สน แลคลาสสิกไม่เบา ส่วนการยืนเข้าคิวรอรถไฟก็ไม่ให้ยืนมั่วซั่วสะเปะสะปะ แต่มีเป็นช่องเป็นแถว เพื่อให้ผู้โดยสารขึ้นไปยังตู้โบกี้รถไฟที่กำหนดเอาไว้เลย จะได้ไม่ต้องแย่งกันให้วุ่นวาย
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 13

ตีห้าครึ่ง รถไฟขบวนที่สองก็เข้าเทียบชานชาลา วันนี้ไม่ใช่หัวรถจักรไอน้ำอย่างที่เราตั้งใจ แต่ก็ไม่เป็นไร อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 14

หัวจักรรถไฟโบราณของอาลีซาน ในอดีตเคยใช้ขนไม้ซุง ทว่าปัจจุบันเปลี่ยนหน้าที่มาขนส่งนักท่องเที่ยวแล้วจ้า
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 15

รถไฟใช้เวลาประมาณ 30 นาที วิ่งฝ่าความหนาวเย็นผ่านป่าสนมืดสลัวขึ้นไปอย่างเชื่องช้า หลายคนขอใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์ในการเล่นเกมส์ซ่อนตาดำ พักเอาแรงก่อนถึงยอดเขา ฮาฮาฮาอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 1

ในที่สุด เราก็ได้มาชมแสงแรกของอรุณเบิกฟ้า ณ จุดชมวิว Jhushan มองออกไปเห็น ยอดเขา Datashan สูง 2,663 เมตร และ ยอดเขา Yushan สูง 3,952 เมตร ซึ่งเป็นยอดเขาสูงที่สุดของไต้หวัน อาบแสงยามเช้าอย่างชัดเจน จุดนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักถ่ายภาพ ทั้งมืออาชีพและสมัครเล่น ที่จะได้ภาพอัศจรรย์ของแสงสี ที่ต่างกันทุกวันเลยล่ะ

อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 16

เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แสงสีบนท้องฟ้าจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวหลายร้อยคนที่ขึ้นรถไฟมายังยอดเขาในเช้านี้ ก็สลายตัวไปในเกือบจะทันทีเช่นกัน คงเพราะอีกไม่เกิน 10 นาที รถไฟลงเขาขบวนแรกจะออกแล้วนั่นเอง แต่ถ้าไม่รีบ ก็อยู่กินชาร้อน หรือบะหมี่ร้อนๆ สักถ้วนก่อนก็ยังได้
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 17

ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ในช่วงลงเขา หากมีโอกาสลงที่สถานีระหว่างทาง แล้วรอรถไฟขบวนต่อไปวิ่งลงมา เราก็จะได้เห็นหัวรถไฟโบราณแล่นผ่านดงต้นซากุระสีขาวแบบญี่ปุ่น ช่างน่าประทับใจเหลือเกิน มุมนี้ขอมอบใจให้ไปเลย หลงรักอาลีซานเข้าเต็มเปา!อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 18พอดูระไฟโบราณวิ่งผ่านดงซากุระเสร็จแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลาออกแรง ชวนกันเดินป่าตามเส้นทาง Giant Trees Trail เพื่อไปชมป่าสนซีด้า และสนไซเปรส อายุหลายพันปี! ระหว่างทางผ่านสะพานและมุมสวยๆ ให้เก็บภาพกันอย่างไม่รู้เบื่อ
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 19

มุมสวยๆ แจ่มๆ แบบนี้ ใช่ว่าจะมาสัมผัสกันง่ายๆ ของใช้เวลาไม่เร่งรีบ เก็บเกี่ยวความสุข ณ เวลานี้ให้เต็มที่ใน Alishan Forest Park สวนป่าที่มีซากุระเบ่งบานนับพันต้น!อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 20 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 21 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 22 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 23

ซากุระสายพันธุ์ไต้หวันแท้ มีดอกขนาดเล็ก ออกเป็นช่อละหลายดอก แต่ละดอกสีชมพูเข้มจี๊ดจ๊าด!อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 24

ซากุระสายพันธุ์ไต้หวันแท้
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 25

ใน Giant Trees Trail มีการจัดทำเส้นทางเดินเล็กๆ ลัดเลาะเข้าไปในป่าสนแน่นทึบ โดยสนที่เห็น ส่วนหนึ่งเกิดใหม่ตามธรรมชาติ ผสมกับที่ปลูกเพิ่ม ขนาดลำต้นจึงไม่ใหญ่โตมากนัก เพราะต้นสนดั้งเดิมที่มีอายุนับพันๆ ปี ได้ถูกตัดส่งไปขายให้ญี่ปุ่นหมดแล้วในอดีต ป่าสนแห่งอาลีซานจึงค่อยๆ ฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้งอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 26

ต้นสนยักษ์ของป่าอาลีซาน คือ ต้นสนไซเปรส (Cypress) ชนิด Chamaecyparis formosensis (ชื่อสามัญภาษาอังกฤษ Formosan Cypress หรือ Taiwan Cypress) เป็นชนิดที่พบได้บนเกาะไต้หวันเท่านั้น มันชอบเติบโตอยู่บนภูเขาสูง 1,000-2,900 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อากาศชุ่มชื้นเย็นฉ่ำตลอดปี ต้นที่โตเต็มที่สูงได้ถึง 55-60 เมตร! เส้นรอบวงยาวกว่า 7 เมตร! จึงถือเป็นต้นสนยักษ์ผู้ครองความเป็นใหญ่แห่งป่าอาลีซานมาช้านานอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 27

ร่องรอยจากการตัดไม้สนไซเปรสเพื่อส่งออกในอดีตยังปรากฏอยู่ทั่วไปตลอดทางเดินป่านี้ พบรากและโคนสนไซเปรสขนาดยักษ์ ชวนให้จินตนาการได้เลยว่า ต้นของมันต้องมหึมาเพียงใด!?
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 28

โคนสนไซเปรสบางต้น มีขนาดใหญ่จนเป็นโพรงคล้ายถ้ำที่คนมุดเข้าไปข้างในได้เลย! แต่ใช่ว่าพอถูกตัดแล้วต้นแม่จะตาย ด้านบนตอไม้ยังมีต้นสนใหม่ถือกำเนิดขึ้นทดแทนต้นเก่าตามธรรมชาติด้วย สู้ๆ นะต้นสนไซเปรส!
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 29

พ้นออกจากป่าสนช่วงแรก เราก็ถึงบ่อน้ำเล็กๆ แห่งหนึ่ง ชื่อ “บ่อน้องสาว” (Sister Pond) ซึ่งมีตำนานเล่าว่า พี่น้องคู่หนึ่งดันไปรักชายหนุ่มคนเดียวกัน ทั้งสองเลยมากระโดดน้ำตาย น้องสาวโดดบ่อนี้ ส่วนพี่สาวไปโดดบ่อใหญ่ ซึ่งเราจะเดินต่อไปเจอในทางข้างหน้าอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 30

นอกจากป่าสนสวยๆ แล้ว บางจุดยังมีทางเดินแยกไปวัดด้วย โดยวัดเหล่านี้บางแห่ง ญี่ปุ่นเป็นคนมาสร้างไว้ตั้งแต่ยุคสัมปทานทำไม้ซุงโน่นเลยอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 31

ถึงแล้ว “บ่อพี่สาว” คล้ายทะเลสาบสีมรกตในโอบล้อมของป่าสนและหุบเขาโดยรอบ จากฝั่งมีสะพานทอดยาวเข้าสู่ศาลากลางน้ำให้นั่งเล่นด้วยอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 32

เมื่อพ้นสระน้ำทั้งสองมาแล้ว ทางเดินในป่าสนจะค่อยๆ ลาดลงไปตามไหล่เขา กลับลงสู่ที่ราบเบื้องล่างอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 33.1

ระหว่างทาง มี ดอกแม็กโนเลีย (Manolia) สีชมพูอมม่วง และสีขาว เบ่งบานอยู่สองข้างทาง ดอกไม้ตระกูลนี้หายากในเมืองไทย เพราะเป็นดอกไม้ของเมืองหนาว คนไต้หวันและคนจีนเรียกดอกไม้ชนิดนี้ว่า “มู่หลาน”อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 33.2
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 33

ผ่านป่าสนและดงดอกแมกโนเลียออกมา เราก็พบกับวัดขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ชื่อ “วัด Shoujhen” เป็นวัดขนาดใหญ่ที่สุดในเขตอุทยานแห่งชาติอาลีซาน แถมยังเป็นวัดบนพื้นที่สูงที่สุดของไต้หวันอีกด้วย คืออยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,150 เมตรเลยทีเดียว! อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 34

ตั้งแต่ได้รับการบูรณะเมื่อปี ค.ศ.1969 วัดนี้ก็เนืองแน่นไปด้วยเหล่าผู้ศรัทธา ต่างเดินทางมากราบไหว้ขอพร จากเทพต่างๆ โดยเฉพาะเทพเจ้าแห่งความยุติธรรม (Syuantian Emperor), เทพเจ้าแห่งการค้าขาย (Fude God), เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ (Jhusheng Goddess) และอื่นๆ

อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 35 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 36.1 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 36.2

สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขี้น ณ วัด Shoujhen ก็คือ ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม ตามปฏิทินจันทรคติของทุกปี ซึ่งตรงกับงานฉลองวันเกิดของเทพแห่งความยุติธรรม (Syuantian Emperor) จะมีผีเสื้อกลางคืนขนาดใหญ่จำนวนนับพันๆ หมื่นๆ ตัว แต่ละตัวมีปีกกว้างกว่า 15 เซนติเมตร (เรียกว่า Alishan kuciouluowun Moths) บินมาเกาะอยู่ที่รูปปั้นของเหล่าเทพเจ้า เป็นเวลานานถึง 15 วัน! โดยพวกมันไม่กินอะไรเลย

สันนิษฐานกันว่า ช่วงดังกล่าวตรงกับเวลาผสมพันธุ์ของผีเสื้อกลางคืนพวกนี้ อีกทั้งมันยังถูกดึงดูดด้วยกลิ่นธูป และแสงไฟจากวัดด้วย แต่ก็ไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัด ยังเป็นความลับของธรรมชาติต่อไป!อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 36.3 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 36

ด้านข้าง วัด Shoujhen มีร้านค้าเรียงราย ใครหิวก็แวะเติมพลังก่อนได้นะ เพราะจากจุดนี้ยังต้องเดินเที่ยวป่าต่ออีก แนะนำชาร้อนๆ กับขนมต่างๆ เพิ่มน้ำตาลให้กระแสเลือดนิดนึง ฮาฮาฮาอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 37.1

เนื่องจากพื้นที่ป่าอาลีซานมีน้ำและอากาศบริสุทธิ์มาก จึงสามารถปลูกวาซาบิได้ดีไม่แพ้ญี่ปุ่น มีขายทั้งแบบหัวสด และบดเป็นผงไปผสมน้ำกิน คนที่ชอบหม่ำปลาดิบ ลองซื้อไปไม่ผิดหวังครับ
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 37

สระมรกตด้านข้าง วัด Shoujhenอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 38

จาก วัด Shoujhen ใครที่ไม่อยากเดินต่อ เขาก็มีบริการรถบัสรับส่งไปยังปากทางเข้าอุทยานด้วย
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 39

ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว ขอเที่ยวให้ครบให้ทั่วกันเลย จะได้ไม่คาใจ จาก วัด Shoujhen พวกเราเดินป่าต่อไปยังจุดที่เป็นไฮไลท์ของ Trail เส้นนี้ เพื่อชมต้นสนไซเปรสยักษ์อายุนับพันปี บางต้นส่วนตอไม้ที่ตายแล้วมีลักษณะคล้ายใบหน้าของช้าง มีครบทั้งตาสองข้าง และงวง แปลกพิลึกดี!อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 40

โคนสนไซเปรสบางต้น มีรูปร่างคล้ายหัวหมู เอ้อ… เหมือนจริงๆ ด้วย โอว! แม่เจ้าโว้ย!
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 41

โคนสนบางต้น ก็เปิดออกเป็นโพรงขนาดใหญ่คล้ายถ้ำลอด
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 42

ส่วนสนไซเปรสบางต้นที่เคยถูกตัดต้นดั้งเดิมไปแล้ว แต่มันกลับไม่ตาย พยายามต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอด โดยเกิดสนรุ่นใหม่งอกขึ้นมาบนตอเดิม อย่างต้นนี้ มีสนงอกขึ้นมาใหม่ถึง 2 ชั่วรุ่น รวมต้นแม่เดิมก็เป็น 3 รุ่น Amazing มากๆ!
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 43

ในที่สุดเราก็มาถึงต้นสนไซเปรสยักษ์อายุมากที่สุดต้นหนึ่งของอาลีซาน! ด้วยอายุกว่า 2,000-2,500 ปี ยืนตระหง่านท้าแดดลมมาเนิ่นนาน แต่ว่ากันว่าในป่าบริเวณนี้ยังมีสนอีกต้นอายุถึง 3,000 ปี ชื่อ Alishan Sacred Tree ถือเป็น 1 ใน 10 ต้นไม้อายุมากที่สุดของโลกด้วยล่ะ!
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 44

สนยักษ์แห่งอาลีซาน ต้องแหงนมองคอตั้งบ่าเลยล่ะกว่าจะเห็นส่วนยอด การถ่ายภาพก็ต้องใช้เลนส์มุมกว้างพิเศษ จึงจะเก็บภาพได้หมดทั้งต้น!อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 45 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 46

พ้นจากจุดชมต้นสนยักษ์ ไม่ไกลก็ถึงจุดสุดท้ายของเส้นทางเดินป่า เป็นสวนซากุระส่งท้ายให้ชื่นใจหายเหนื่อยอุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 47 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 48 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 49 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 50.1 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 50 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 51 อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 52วันนี้ตั้งแต่ตีสี่จนถึงเที่ยง เราใช้เวลาชื่นชมธรรมชาติในป่าอาลีซานกันจนเต็มอิ่ม ถึงเวลาเติมพลังให้อิ่มกายกันบ้าง กับอาหารเที่ยงมื้อใหญ่เป็นการฉลอง จากนั้นต่อด้วยการไปชิมชาเลื่องชื่อของไต้หวัน จะมีอะไรสุขกว่านี้อีกนะ ฮาฮาฮา
อุทยานแห่งชาติ อาลีซาน 53Special Thanks บริษัท Magic on Tour ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวไต้หวัน สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจ โทร. 02-444-3173, 08-9219-0822  

http://www.magic-ontours.com

logo_Magic_Final[createoutline]

Taiwan 1 : เที่ยวสวนดอกเผือก อุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน

สวนดอกเผือก 2

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ห่างจากเมืองหลวงของไต้หวัน คือเขต Taipei City ไม่ไกล จะมีพื้นที่ธรรมชาติอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งอุดมสมบูรณ์ถึงขั้นได้เป็นอุทยานแห่งชาติ คนไต้หวันและนักท่องเที่ยวต่างชาตินับแสนคนหลั่งไหลไปสัมผัสธรรมชาติกันทุกปี แน่นอน เรากำลังพูดถึง “อุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน” (Yangmingshan National Park) เป็นหนึ่งในอุทยานแห่งชาติเพียงไม่กี่แห่งของโลก ที่อยู่ใกล้เมืองหลวงมากที่สุด!

คนไต้หวันจึงตั้งชื่อเล่นนิกเนมให้หยางหมิงซานว่าเป็น “สวนหลังบ้านของไทเป” (Backyard of Taipei) ไปโดยปริยาย
สวนดอกเผือก 3

นอกจากจะเป็นเขตป่าเขาสวยงาม 4 ฤดู เที่ยวได้ทั้ง 12 เดือนแล้ว หยางหมิงซานยังมีดินอุดม จนกลายเป็นแหล่งใหญ่ของการปลูกไม้ตัดดอกส่งขาย โดยเฉพาะ “ดอกเผือก” (คนไต้หวันเรียกว่า ไฮ่ยี่) ถือเป็นไม้เศรษฐกิจของแถบนี้เลย ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างก็มีแปลงดอกเผือกของตัวเอง ส่วนหนึ่งตัดส่งขาย และอีกส่วนเปิดแปลงให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชม เก็บเงินนิดหน่อย ส่วนนักท่องเที่ยวก็สามารถเด็ดดอกเผือกกลับบ้านได้ด้วย เจ๋งไหมล่ะ?
สวนดอกเผือก 4

ดอกเผือกของหยางหมิงซาน จะบานตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม นักท่องเที่ยวเข้าไปเด็ดกลับบ้านได้ โดยจ่ายเพียงดอกละ 10 หยวนเท่านั้น เมื่อเก็บแล้ว ทางสวนจะห่อพลาสติกใสให้ถือกลับบ้านอย่างสะดวกเชียวสวนดอกเผือก 5

ก่อนเข้าชมสวน ก็ต้องดูแผนที่กันซะหน่อยสวนดอกเผือก 6

สวนดอกเผือกแต่ละแห่งมีเสน่ห์ต่างกัน แต่ที่เหมือนกันคือจะมีการปลูก 2 แบบ คือ ปลูกในน้ำ กับปลูกบนดิน เดินให้ดี อย่าเซตกลงไปในน้ำล่ะ ฮาฮาฮาสวนดอกเผือก 7

เริงร่ากับการชื่นชมและเก็บดอกเผือกกลับบ้าน เทคนิคการเด็ดคือ ต้องเด็ดตรงโคนที่ติดพื้นดินเลย จะได้ก้านยาวๆ ถือง่าย ปักแจกันง่ายครับสวนดอกเผือก 8

ดอกเผือกที่นักท่องเที่ยวเก็บเสร็จแล้ว ก็จะมี Package หน้าตาแบบนี้สวนดอกเผือก 9

สวนนี้ส่วนใหญ่ปลูกดอกเผือกในน้ำสวนดอกเผือก 10

เขตป่าเขาของอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน มีต้นซากุระกระจายอยู่ทั่วไป ทั้งแบบสีชมพูเข้ม สีชมพูอ่อน และสีขาวสะอาดตา ไม่ต้องไปญี่ปุ่นให้เสียเวลา มาเที่ยวไต้หวันได้ Feel เหมือนกันเลยครับสวนดอกเผือก 11 สวนดอกเผือก 12

แม้แต่ที่ลานจอดรถ ก่อนเข้าสวนดอกเผือก ก็ยังมีต้นซากุระให้ชมสวนดอกเผือก 13 สวนดอกเผือก 14

ดอกซากุระ มองใกล้ๆ น่ารักน่าชัง น่าถนุถนอมจังสวนดอกเผือก 15

ชมดอกเผือกแล้ว ได้กำไรอีกต่อ คือชมดอกซากุระที่เบ่งบานอยู่รอบๆ สวน ถ่ายภาพกันได้ไม่เบื่อสวนดอกเผือก 16 สวนดอกเผือก 17 สวนดอกเผือก 18 สวนดอกเผือก 19

นอกจากดอกเผือก และซากุระแล้ว ในแถบนี้ยังมีเกษตรกรปลูกดอกไม้สวยๆ ใส่กระถางขายให้นักท่องเที่ยวด้วย คนที่รักธรรมชาติ ชอบดอกไม้ พรรณไม้ ลองมาสัมผัสอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซานสักครั้ง แล้วคุณจะหลงรักที่นี่ครับ

Special Thanks : บริษัท Magic on Tour ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวไต้หวัน สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจ โทร. 02-444-3173, 08-9219-0822

http://www.magic-ontours.com

logo_Magic_Final[createoutline]