HUG ริมธาร กระบี่ ที่พักดีๆ ใกล้ชิดธรรมชาติ

เมื่อเอ่ยถึงชื่อ ‘จังหวัดกระบี่’ หลายคนคงจะนึกถึงภาพของทะเลแหวก, อ่าวนาง, เกาะพีพี, อ่าวมาหยา ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตา จนเราเกิดคำถามขึ้นในใจว่า จะมีที่ไหนไหมหนอ? ที่เงียบสงบเป็นส่วนตัวเหมาะกับการพักผ่อนจริงๆได้

ในที่สุด เราก็ได้พบกับ ‘HUG ริมธาร กระบี่’ คลองม่วง ใกล้อ่าวมาหยา รีสอร์ทสุดพิศษที่ซุ่มซ่อนอยู่ในอ้อมกอดของแมกไม้เขียวครึ้ม และลำธารใสสีมรกตที่หลากไหลมาจากผืนป่าโดยรอบ

ด้วยระยะห่างจากหาดอ่าวนางเพียง 7 กิโลเมตร ห่างจากตัวเมืองกระบี่ 18 กิโลเมตร และห่างจากสนามบินกระบี่แค่ 28 กิโลเมตร ทำให้ HUG ริมธาร กลายเป็นหนึ่งในจุดหมายใหม่สำหรับคนที่รักสงบอยากมาพักผ่อนแบบชิลๆ นั่งเล่นดื่มด่ำกับบรรยากาศธรรมชาติ เคล้าเสียงเพลงเบาๆ เหม่อมองสายน้ำไหลผ่านไปเหมือนกับจะหยุดเวลาไว้ตรงนี้จุดเด่นของ HUG ริมธาร คือสายน้ำใสไหลเย็นที่ไหลผ่านกลางรีสอร์ท ต่อเนื่องมาจากลำธารธรรมชาติใกล้ๆ กัน สามารถลงเล่นน้ำได้สบายอย่างปลอดภัย เพราะน้ำไม่ลึกจ้า

แถมยังมีที่นั่งชิลเอนกายสบายๆ ทั้งในซุ้มศาลา และในตาข่าย ที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองได้อยู่ใกล้น้ำมากๆ หัวใจหลักจริงๆ ของ HUG ริมธาร คือที่พักพิเศษไม่เหมือนใคร สร้างอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ ปัจจุบันเปิดให้บริการ 5 หลัง แต่กำลังจะเพิ่มรถบ้านเข้าไปด้วยในอนาคตอันใกล้นี้

ดูภายนอกหน้าตาอาจธรรมดาๆ แต่ลองเข้าไปดูข้างในซิ ขอบอกว่าจะทำให้อยาก Check In นอนค้างกันหลายๆ คืนเลยทีเดียว
เล็กๆ แต่หรูเรียบ สะดวกสบาย ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน แถมติดแอร์เย็นฉ่ำ มีฟรี WiFi ทีวีจอแบน ตู้เย็น ต่างๆ นาๆ ครบ ช่วยเพิ่มเสน่ห์ของ HUG ริมธาร ได้อย่างวิเศษ เปิดประตูไปหน้าห้องก็เจอป่าไม้เขียวๆ อากาศเย็นสดชื่น และทางเดินลงไปเล่นน้ำในลำธารใสน้ำเย็นเฉียบได้เลยนะ ห้องพักบางหลัง มีขนาดเล็กกะทัดรัด เหมาะสำหรับสาย Backpacker  คู่รัก  และสาย Minimal ที่ต้องการความเรียบง่าย แต่สะดวกครบทุกความต้องการ ห้องน้ำหรูดูดีขนาดนี้ ไม่บอกไม่เชื่อนะเนี่ย ว่าคือห้องพักภายในตู้คอนเทนเนอร์สุดหรูของ HUG ริมธาร WOW! มองจากหน้าห้องพัก เห็นลำธารใสไหลเย็นขนาดนี้เลย แถมมีโขดหินธรรมชาติส่วนตัว ให้ลงไปนั่งแช่น้ำเล่นได้ราวกับสระอโนดาตในตำนาน ฮาฮาฮา
ที่พักดีๆ เขามีอาหารและเครื่องดื่มดีๆ มาเติมเต็มให้วันพักผ่อนของเราสมบูรณ์แบบ ส่วนใหญ่จะเป็นพวก Soft Drink ที่ไม่เน้นแอลกอฮอล์ รวมทั้งน้ำผลไม้ปั่น และกาแฟคั่วสดในชื่อ ‘โรงคั่ว ฮัก @กระบี่’ ที่คนกระบี่รู้จักกันดี อาหารไทย อาหารฟิวชั่น และ Seafood แบบง่ายๆ สั่งทานกันได้เลยตามใจชอบ เสน่ห์ที่ใครๆ พูดถึง HUG ริมธาร คือกรุ่นกลิ่นกาแฟคั่วรสละมุนของ ‘โรงคั่ว ฮัก @กระบี่’ ที่เป็นกาแฟคั่วใหม่สดทุกวันตาม order ลูกค้า

ที่สำคัญคือใช้เมล็ดกาแฟที่ปลูกจาก ดินภูเขาไฟ อันอุดมด้วยแร่ธาตุใต้พิภพของ บ้านแผ่นดินเสมอ อำเภอคลองท่อม จ.กระบี่  นี่เอง คั่วเมล็ดกาแฟดิบจากดินภูเขาไฟกันให้ดูเห็นๆ กลิ่นหอมฟุ้งไปแปดบ้านสิบบ้าน ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 10 นาที จนเมล็ดกาแฟดิบสีขาวนวลกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม และยิ่งคั่วนานรสชาติก็จะยิ่งเข้มข้นขึ้นด้วยคั่วเสร็จแล้ว ก็นำเมล็ดกาแฟสุกมาบดเป็นผงละเอียด ชงด้วยน้ำเดือดในหม้อความดัน จนได้ กาแฟคั่ว ฮัก @กระบี่ ที่เข้มข้นหอมกรุ่นจนต้องติดใจ สำรองห้องพักได้ที่  HUG Rimtarn Resort & Restaurant  เลขที่ 172 หมู่ 6 ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่

โทร. 06-1694-5979 / ID line : art_ttt / Email : hugrimtarnresort@gmail.com

Movenpick Bangkok สุขุมวิท 15 ความสุขที่กลืนกินได้

ในย่านถนนสุขุวิท Downtown สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ อันเป็นเสมือนย่านการค้าและหัวใจของธุรกิจ Mövenpick Hotel คือหนึ่งในจุดนัดพบสำหรับการพบปะสังสรรและเข้าพักในโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว

จัดวางตำแหน่งตัวเองอยู่ในซอยสุขุมวิท 15 ที่เข้าถึงได้สะดวกง่ายดาย วันนี้เราได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจาก ‘ร้านอาหารลีลาวดี’ และ ‘Roof Top Bar’ ของโรงแรม Mövenpick Hotel กับการลิ้มลองอาหารมื้อเที่ยงและมื้อเย็นแสนอร่อย จนต้องมาบอกต่อ

โรงแรม Mövenpick สุขุมวิท 15 กรุงเทพ มีความเงียบสงบแต่ไม่ไกลจากถนนใหญ่ และมีบริการรถตุ๊กๆ ตลอด 24 ชั่วโมง ไปยังห้าง Terminal 21, BTS และ MRT การตกแต่งจะเน้นโทนสีขาวเป็นหลัก และสีเขียวซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนผ่อนคลาย “สไตล์รีสอร์ทใจกลางสุขุมวิท” 

ห้องอาหารลีลาวดี เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง โดยไฮท์ไลท์จะเป็นอาหารเมดิเตอร์เรเนียน แต่ก็ยังมีทั้งงอาหารไทย อินเตอร์ และจากสวิตเวอร์แลนด์ ให้เลือกสรรอีกด้วย เริ่มต้นกันด้วย Mixed grill (main course) เป็นเมนูนำของห้องอาหารและนอกจากคัดสรรเนื้อสัตว์คุณภาพดีแล้ว จุดเด่นอีกจุดหนึ่งอยู่ที่ Garlic sauce โดยใช้กระเทียมเป็นส่วนประกอบหลักและเป็น Gluten free โดยปกติแล้ว mixed grill จะมีแค่ kabab, lamb tenderloin, shish taouk (chicken breast) แต่ที่นี่จะเพิ่มความโดดเด่ด้วย lamb chop และ chicken wings ทานคู่กับ เฟร้นฟราย, garlic sauce สูตรพิเศษ รวมทั้งหอมใหญ่และมะเขือเทศย่าง เรียกน้ำย่อยกันด้วย Salmon Tatar (appetizer) เป็นการผสมผสานของปลาแซลมอนทั้ง 2 ชนิดและ 2 รสชาติ ทั้งความหวานมันจากแซลมอนสดและความเค็มเล็กน้อยจากแซลมอนรมควัน นอกจากนี้ยังมีรสสัมผัสหอมมันและหวานจากอะโวคาโด ไข่ขาว และมะม่วงน้ำดอกไม้สุกอีกด้วย  ทำให้จานนี้มีความพิเศษและรสชาติกลมกล่อมจากส่วนผสมที่ลงตัวในแต่ละชั้น ต่อกันด้วย ควินัน แสนอร่อย เป็นอาหารสุขภาพที่มีโปรตีนสูงแต่ไขมันต่ำ ใครอยากควบคุมน้ำหนักลดหุ่น คุณอาจหลงรักเมนูนี้ก็ได้นะ

Aish Al Saray (เอช อัล ซาราย) เป็นขนมหวานสไตล์ fusion โดยส่วนประกอบหลักคือ Mascarpone cheese ถั่ว pistachio และกลิ่นกุหลาบ (rose water) อีกด้วย โดยเมนูนี้ถือเป็น Lebanese cheesecake Rainforest Rooftop Bar อยู่บริเวณชั้น 8 ของโรงแรม คือจุดหมายต่อไปในมื้อเย็นอันแสนพิเศษของเรา

โปรโมชั่น 15 Yourself เป็นโปรโมชั่นสุดคุ้ม เพราะได้ทั้ง unlimited appetizer, main course และ dessert และยังสามารถสั่ง เครื่องดื่มได้ในราคาเพียงแก้วละ 15++ เท่านั้น

โปรโมชั่น 15 Yourself จะเริ่มต้นด้วย Unlimited Mixed Mezze ซึ่งจะเน้นไปทางอาหารสุขภาพตามแบบฉบับของ Mediterranean (Hummus, Babaghanouj, Tabouleh) เสริฟพร้อมกับ pita bread แบบไม่อั้น จากนั้นเต็มอิ่มกับ BBQ station ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง ปลา เนื้อสัตว์อื่นๆ เสิร์ฟคู่กับ garlic sauce ที่ขึ้นชื่อ1 เซท/ท่าน ตบท้ายมื้ออร่อยด้วยขนมหวาน เช่น mango cheesecake ทั้งหมดนี้ราคาเพียงคนละ 777++บาทเท่านั้น

พิเศษสุดสำหรับท่านที่ออเดอร์โปรโมชั่นนี้ คือ จะได้รับสิทธิพิเศษในการสั่งเครื่องดื่มราคาเพียงแก้วละ 15++บาท เท่านั้น ซึ่งรวมทั้งไวน์ เบียร์ คอกเทล และซอฟดริ๊งค่ะ  เหมาะมากสำหรับผู้ที่ชืนชอบเครื่องดื่มและอาหารแนวสุขภาพพร้อมทั้งสัมผัสกับบรรยากาศชิวๆที่ Rainforest Rooftop Bar โดยเปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 18.00น-22.00 น. นอกจากเมนูแสนอร่อยที่พาไปชิมกันมาแล้วนั้น ที่นี่ยังมีขนมหวานอร่อยๆให้เลือกหม่ำอีกเพียบ ลองหาเวลามาสัมผัสนะครับ แล้วคุณจะรู้ว่า ในย่านสุขุมวิท 15 ยังมีสถานที่สุดพิเศษนี้อยู่จริงๆ

Chocolate Bar (เสริฟตลอด 24 ชั่วโมงที่ห้องอาหารลีลาวดี) เครื่องดื่มแนวใหม่ กับการผสมผสานระหว่างช็อคโกแลตแท้จากสวิตเซอร์แลนด์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีให้เลือกระดับความเข้มข้นตั้งแต่ 70% 80% และ 90% นอกจากนี้ยังสามารถเลือกเป็นร้อนหรือเย็นได้อีกด้วย  เหมาะสำหรับเป็นเครื่องดื่มปิดท้ายมื้ออาหาร หรือแทนขนมหวาน มีให้เลือกกว่า 30 เมนู

Choco Castro (Hennessy V.S.O.P, Rum, Baileys Irish Cream, Swiss Chocolate, Cream) เป็นตัวแนะนำรสชาติเข้มข้นจากช็อคโกแลตแท้ๆ เป็น cocktail ร้อน ที่ค่อนข้างแรง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โรงแรมเมอเวนพิค สุขุมิวท 15 กรุงเทพ โทร. 0-2119-3100

อีเมล : hotel.sukhumvit15.reservations@movenpick.com

Facebook : https://www.facebook.com/movenpickBKK/

IG : https://www.instagram.com/movenpickbangkok/

เที่ยวสุขใจ ซาลามัตชายแดนใต้ @ปัตตานี

สามจังหวัดชายแดนใต้ ดินแดนแห่งความสดใหม่ไร้การปรุงแต่ง ดินแดนแห่งรอยยิ้มและมิตรไมตรี ดุจคำกล่าวต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคนว่า ‘ซาลามัตชายแดนใต้’ วันนี้เราได้ไปเที่ยว จังหวัดปัตตานี ดินแดนพหุวัฒนธรรมที่มีทั้งพี่น้องชาวมุสลิม จีน และไทย อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์มาช้านาน เหมาะไปเที่ยวชมกันได้ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะวัย Silver Age ที่แม้จะมีอายุมาก แต่ก็เที่ยวปัตตานีได้สบาย 1. มัสยิดกลางปัตตานี อ.เมืองปัตตานี ‘สถาปัตยกรรมงดงามตามแบบทัชมาฮาล’

 ถือเป็นมัสยิดสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของไทย และเป็นหนึ่งในมัสยิดสำคัญที่สุดของภาคใต้ เป็นศูนย์รวมใจของพี่น้องชาวมุสลิมมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2497 ที่เริ่มเปิดใช้งาน ความโดดเด่นอยู่ที่สถาปัตยกรรมการก่อสร้าง เลียนแบบทัชมาฮาลในอินเดีย ตรงกลางมีโดมขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยหอขาน (หออะซาน) 4 หอ ด้านหน้ามีสระน้ำใหญ่ ยามค่ำคืนเปิดไฟหลากสีประดับประดาอย่างงดงาม นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้อย่างใกล้ชิด แต่ต้องแต่งกายสุภาพ ไม่ส่งเสียงดังโวยวาย และต้องเคารพผู้ที่มาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาด้วย
2. มัสยิดกรือเซะ อ.เมืองปัตตานี ‘300 ปี แห่งศูนย์รวมใจพี่น้องชาวมุสลิม’

หรือ มัสยิดสุลต่านมูซัฟฟาร์ชาห์ เป็นมัสยิดเก่าแก่กว่า 300 ปี ซึ่งในอดีตเข้าใจผิดกันว่าเพราะต้องคำสาปจึงสร้างไม่เคยเสร็จ ทว่าปัจจุบันได้มีการพิสูจน์โดยนักโบราณคดีแล้วว่า โครงสร้างที่เหลือในปัจจุบัน คือร่องรอยของตัวมัสยิดที่เคยงดงามสมบูรณ์ในอดีต สันนิษฐานกันว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ด้วยการผสมผสานศิลปกรรมตะวันออกกลางและยุโรปเข้าด้วยกัน แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะมิได้ฉาบปูนทาสี แต่มัสยิดกรือเซะก็ยังทำหน้าที่เป็นโบราณสถานและศูนย์รวมใจพี่น้องชาวมุสลิมอย่างเหนียวแน่น ด้านหน้ามีแท่นปืนใหญ่โบราณ (จำลอง) ตั้งอยู่ สำรวจพบว่าเป็นที่หล่อปืนใหญ่หลายกระบอกด้วยวิทยาการล้ำสมัย
3. ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว อ.เมืองปัตตานี ‘ศาลศักดิ์สิทธิ์ ตำนานเจ้าแม่แห่งศรัทธา’

หรือศาลเจ้าเล่งจูเกียง เป็นที่ประดิษฐานรูปแกะสลักของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว พระหมอเจ้าแม่ทับทิม และองค์พระอีกหลายองค์ เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นที่เลื่อมใสของชาวไทยเชื้อสายจีน ทั้งในท้องถิ่น และจากจีน มาเลเซีย สิงคโปร์ เปิดให้เข้าสักการะได้ทุกวัน เมื่อย่างเข้าไปภายในจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความศรัทธา และเรื่องราวของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งท่านลงเรือจากเมืองจีนมาสู่ปัตตานี เพื่อติดตามพี่ชาย คือ ลิ้มโต๊ะเคี่ยม ให้กลับบ้านเกิด แต่ไม่สำเร็จ เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวจึงตัดสินใจปลิดชีวิตตนเอง ตามสัญญาที่มีกับแม่ ว่าถ้าตามพี่ชายกลับไปไม่ได้ ก็จะไม่กลับบ้านอีก ทุกปีจะมีงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ทุกเดือนกุมภาพันธ์
4. พิพิธภัณฑ์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว อ.เมืองปัตตานี ‘แหล่งความรู้คู่เมืองปัตตานี’

ตั้งอยู่ติดกับศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เพิ่งจัดสร้างขึ้นใหม่ ภายในติดแอร์เย็นฉ่ำ บอกเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของเมืองปัตตานีในอดีต ที่มีลักษณะเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ รวมทั้งมีเรื่องราวของพระหมอ, เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และอื่นๆ อีกมากมาย ใครที่สนใจด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม มาเยี่ยมชมไม่ผิดหวังแน่นอนจ้า
5. สุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว อ.เมืองปัตตานี ‘รำลึกตำนานเจ้าแม่’

ตั้งอยู่ใกล้มัสยิดกรือเซะ เป็นที่ฝังศพของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งในอดีตท่านได้ลงเรือจากเมืองจีน มาตามพี่ชาย คือ ลิ้มโต๊ะเคี่ยม ให้กลับบ้านเกิด ทว่าลิ้มโต๊ะเคี่ยมได้มีครอบครัวแต่งงานและเปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลามแล้ว เมื่อตามพี่ชายกลับบ้านเกิดไม่สำเร็จ เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวจึงตัดสินใจปลิดชีวิตตนเอง ด้วยสัญญาไว้กับแม่ว่า หากตามพี่ชายกลับไม่ได้ ก็จะไม่ไปให้เห็นหน้าอีก ปัจจุบันสถานที่นี้มีลักษณะเป็นเนินดินใหญ่ ที่มีหญ้าเขียวขึ้นปกคลุม และมีประชาชนผู้ศรัทธามาสักการะกันทุกวัน
6. CHINA TOWN ปัตตานี อ.เมืองปัตตานี ‘กือดาจีนอ เมืองเก่าเล่าเรื่องอดีต’

กือดาจีนอ ชื่อนี้อาจฟังไม่คุ้นหู แต่ถ้าบอกว่า ‘ย่านตลาดจีนเก่าของเมืองปัตตานี’ ก็คงพอมีคนรู้จัก แม้ว่าจะซบเซาไปนาน แต่บัดนี้ได้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นใหม่ ด้วยการร่วมแรงร่วมใจของหลายฝ่าย จนกลายเป็นถนนวัฒนธรรมน่าเที่ยว เดินเล่นถ่ายภาพ เรียนรู้เรื่องราวอดีตกันได้ในทุกย่างก้าว กือดาจีนอ หรือตลาดจีนเก่า นี้ แท้จริงแล้วคือถนนปัตตานีภิรมณ์เลียบแม่น้ำปัตตานี ไปจนถึงศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว สองฟากฝั่งเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องโบราณ ในลักษณะบ้านคนจีน โรงเตี๊ยม และร้านค้า มีการจัดมุมถ่ายภาพน่ารักๆ พร้อมด้วยเติมภาพวาด Street Art สวยๆ เข้าไปตามฝาผนัง ทำให้กือดาจีนอมีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง
7. Sky Walk ปัตตานี ต.รูสะลิแล อ.เมืองปัตตานี ‘Landmarkใหม่ใกล้ชิดธรรมชาติ’

น่าตื่นตาตื่นใจสุดๆ กับ Skywalk แห่งแรกของปัตตานี ตั้งอยู่ในสวนสมเด็จเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีความยาวถึง 400 เมตร สูง 12 เมตร เชื่อมต่อจากเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน โดยโครงสร้างเป็นเหล็กรับน้ำหนักได้ราวๆ 400 กิโลกรัม/ตารางเมตร มีบันไดขึ้นลง 2 ทาง พร้อมศาลาพักผ่อน 5 จุด ความน่าตื่นเต้นอยู่ตรงที่พื้นสะพานเหล็กของ Skywalk คล้ายตาข่ายเหล็กโปร่ง มองทะลุลงไปเห็นพื้นและป่าชายเลนเบื้องล่างได้แจ่มชัด น่าตื่นเต้นสุดๆ คนนิยมมาเที่ยวกันตอนเย็นๆ เพราะมองออกไปเห็นพระอาทิตย์ตกที่แหลมตาชี ได้อย่างน่าประทับใจ
8. บ้านบางปู อ.ยะหริ่ง ‘อุโมงค์โกงกางมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติ’

นี่คือชุมชนชาวมุสลิม ที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลนยะหริ่งของอ่าวปัตตานีมากว่า 100 ปี อันเป็นแหล่งที่มีปูดำอย่างชุกชุม ด้วยสภาพธรรมชาติป่าชายเลนอันอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง นอกจากวิถีประมงพื้นบ้านที่ยังเห็นได้ทุกเมื่อเชื่อวันแล้ว เขายังมีกิจกรรมล่องเรือหางยางเข้าไปเที่ยวชมระบบนิเวศป่าชายเลน หรือ Mangrove Forest โดยเฉพาะบริเวณ ‘อุโมงค์โกงกาง’ ยาว 700 เมตร ซึ่งมีต้นโกงกางสองฝั่งโอนเอนเข้าหากัน คล้ายอุโมงค์ขนาดใหญ่ร่มรื่นเย็นสบาย ให้เรือลอดเข้าไปช้าๆ ระหว่างทางเราจะได้เห็นนกนานาชนิด พร้อมด้วยกิจกรรมเก็บหอยในป่าชายเลนมาทำกับข้าวกินกัน (สนใจติดต่อ นายคมกริช เจะเซ็ง บ้านบางปู โทร. 08-8389-4508) 9. วัดช้างให้ อ.โคกโพธิ์ ‘ตำนานหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด’

เป็นวัดสำคัญและมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้ ด้วยบารมีของ ‘หลวงพ่อทอด’ ซึ่งคนไทยและคนในประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง ให้ความเคารพศรัทธาอย่างสูง ตามตำนานเล่าว่า พระยาแก้มดำเจ้าเมืองไทรบุรี ต้องการหาชัยภูมิสร้างเมืองใหม่ให้น้องสาว จึงเสี่ยงสัตย์อธิษฐานปล่อยช้างและไพร่พลเดินตามไปเมื่อถึงป่าแห่งหนึ่ง (วัดช้างให้ปัจจุบัน) ช้างก็เดินวนเวียนและร้อง 3 ครั้ง พระยาแก้มดำจึงถือว่าเป็นนิมิตที่ดีที่จะสร้างเมือง แต่น้องสาวไม่พอใจ จึงไปสร้างเมืองปัตตานีที่ริมชายทะเลแทนเมื่อหลวงพ่อทวดมรณภาพที่เมืองไทรบุรี ศิษย์ได้นำศพท่านกลับมาที่วัดช้างให้ แต่ต้องพักแรมระหว่างทางหลายวันกว่าจะถึงวัดช้างให้ เมื่อตั้งศพอยู่ที่ใด ก็จะเอาไม้ปักหมายไว้ทุกแห่ง จนกระทั่งถึงวัดช้างให้ สถานที่ตั้งศพพักระหว่างทางนี้กลายเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนมาถึงปัจจุบัน บางแห่งก่อเป็นเจดีย์หรือสถูปไว้ โดยถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ดังเช่นที่อัฐิของหลวงปู่ทวดได้บรรจุไว้ในเจดีย์ของวัดนี้ ให้คนได้สักการะกัน 10. วัดมุจลินทวาปีวิหาร (วัดหลวงพ่อดำ) อ.หนองจิก ‘ตามรอยเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง’

เป็นพระอารามหลวงที่พระยาวิเชียรสงคราม (เกลี้ยง) เจ้าเมืองหนองจิก สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2388 ภายในวัดมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เจดีย์บรรจุพระอัฐิของพระอรหันต์ และวิหารต่างๆ นอกจากนี้ยังถือเป็นแหล่งกำเนิดการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรมของมณฑลปัตตานีในอดีตด้วย เพราะมีการเปิดสอนหนังสือตามหลักสูตรประถมศึกษาครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2444 อีกทั้งเมื่อปี พ.ศ. 2433 พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ได้เคยเสด็จวัดนี้ และใช้น้ำในบ่อไปประกอบพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาด้วย
11. พิพิธภัณฑ์เครื่องถมทองและเครื่องจักสาน โรงแรมซีเอสปัตตานี อ.เมืองปัตตานี ‘พิพิธภัณธ์แห่งความภักดี’

โรงแรมซีเอส ปัตตานี เป็นโรงแรมระดับมาตรฐาน ที่ใช้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองของปัตตานีได้อย่างไม่อายใคร เพราะทั้งห้องพัก บริการ และอาหาร ก็ล้วนน่าประทับใจไปทุกสิ่งอย่าง นอกจากนี้บนชั้น 2 ของโรงแรม ยังมีการจัดเป็นห้องพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ไว้ถึง 2 ห้อง อันเกี่ยวเนื่องกับพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระพันปีหลวง และในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรา โดยห้องแรกจัดแสดงเครื่องจักสาน และห้องที่สองจัดแสดงเครื่องถมทองตามแบบภาคใต้ ที่มีความละเอียดประณีตงดงามอย่างยิ่ง สนใจขอเข้าชมได้ทุกวัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (ติดต่อ โทร. 0-7333-5093)
สิ่งที่ห้ามพลาดชมด้วยประการทั้งปวง คือ ชุดเครื่องถมทองเป็นชุดเครื่องเขียนที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานให้กับประธานาธิบดี ชาร์ล เดอโกล ของฝรั่งเสศในอดีต จากนั้นเจ้าของโรงแรมซีเอส ปัตตานี ได้ไปพบในร้านขายของเก่าแห่งหนึ่งในต่างประเทศโดยบังเอิญ จึงซื้อกลับมาแสดงไว้ให้คนไทยได้ชื่นชม12. หอนาฬิกาเมืองปัตตานี ‘Landmark สำคัญกลางใจเมือง’

มีชื่อเล่นว่า ‘หอนาฬิกา 3 วัฒนธรรม’ สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2554-2555 เปิดใช้เป็นทางการปี พ.ศ. 2556 สร้างขึ้นด้วยการผสมผสานศิลปกรรมของ 3 วัฒนธรรม คือ มุสลิม จีน และไทย สะท้อนถึงความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ที่มีชนหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์มาเนิ่นนาน
13. ร้านอาหารบ้าน เดอ นารา อ.เมืองปัตตานี ‘ต้นตำรับอาหารปัตตานีที่น่าลิ้มลอง’

เที่ยวปัตตานีกันมาเกือบทั่วแล้ว ชักจะหมดแรง ได้เวลาไปเติมพลังกันที่ ‘ร้านบ้าน เดอ นารา’ (17/239 ซอย 21 ถ.เจริญประดิษฐ์ ต.รูสะมิแล อ.เมือง จ.ปัตตานี 94000 โทร. 0-7333-7031) อิ่มอร่อยกับอาหารปักษ์ใต้ต้นตำรับ พร้อมด้วยอาหารไทยนานาชนิด ในบรรยากาศบ้านโบราณอันสวยงาม สั่งได้เลยทุกเมนู ไม่ว่าจะเป็นปลาทอดขมิ้น, กุ้งทอดตะไคร้, ทอดมันเดอนารา, แกงเหลืองกะทิ, แกงมัสมั่นไก่, พริกหยวกสอดไส้, บูดูทรงเครื่อง และอีกมากมาย แค่คิดก็น้ำลายสอแล้วสิ

SPECIAL THANKS โครการ ‘ซาลามัตชายแดนใต้’ จ.นราธิวาส-ยะลา-ปัตตานี

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ททท สำนักงานนราธิวาส-ยะลา-ปัตตานี โทร. 0-7352-2411 , 0-7354-2345