ตามรอยศาสตร์พระราชา มุ่งหน้าสู่อีสานใต้ จ.บุรีรัมย์
ทิพยประกันภัย ร่วมกับศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) มูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และมูลนิธิธรรมดี นำคณะครูจากสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศ เรียนรู้การเกษตรแบบยั่งยืนควบคู่การอนุรักษ์ธรรมชาติ ในกิจกรรม “ทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา ท่องป่าไร่นาสวนผสมมหาชีวาลัยอีสาน สู่อุทยานการเรียนรู้” ณ จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 9 เส้นทาง 81 แหล่งเรียนรู้มีชีวิตตามรอยพ่อ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการร่วมกันสานต่อพระราชปณิธาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา “ศาสตร์พระราชา” พร้อมร่วมกันสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้และปลูกฝังคุณธรรม 4 ประการ พอเพียง วินัย สุจริต จิตอาสา ให้กับเยาวชนต่อไป

กิจกรรมครั้งนี้พาคณะครูเดินทางสู่ “มหาชีวาลัยอีสาน” อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นสถาบันภูมิปัญญาท้องถิ่นอีสาน ฟังการบรรยายจากปราชญ์ชาวบ้าน “แม่ฉวี ปรัชญพฤทธิ์” ผู้สานต่ออุดมการณ์ของครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ ปราชญ์ชาวบ้านนักทดลองด้านการเกษตรแห่งอีสานใต้ ผู้นำศาสตร์พระราชามาปรับใช้ในการปลูกป่าแบบไร่นาสวนผสมบนพื้นที่ 400 ไร่ และส่งต่อความรู้สู่ชุมชนด้วยวิถีพอเพียงมายาวนานกว่า 40 ปี มหาชีวาลัยอีสานของครูบาสุทธินันท์นอกจากจะมีแปลงเกษตรประณีตแล้ว ยังมีแปลงสมุนไพร สวนป่ายูคาลิปตัส โรงเผาถ่าน บ่อเลี้ยงปลา โรงเรือนเลี้ยงวัว เลี้ยงนกกระจอกเทศ เลี้ยงไก่ ไปจนถึงเลี้ยงปลวก เพื่อต่อยอดไปสู่การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร
ก่อนออกไปชมพื้นที่จริง ก็ต้องมาฟังบรรยายสรุปประวัติและความเป็นมาของมหาชีวาลัยอีสานกันก่อน คณะครูจากทั่วประเทศที่ได้รับการคัดเลือกมากันอุ่นหนาฝาคั่ง อบอุ่นมากๆ
จากผืนดินที่เคยแห้งแล้งไร้พืชพรรณ ด้วยการสั่งสมภูปัญญาของครูบาสุทธินันท์ ในที่สุดสภาพป่าอันอุดสมบูรณ์ก็บังเกิด
คณะครูยังได้รับประสบการณ์ใหม่จากการร่วมฐานกิจกรรม อย่างการเดินเล่นท่องป่าไร่นาสวนผสม เรียนรู้การแบ่งพื้นที่สำหรับปลูกป่า ปลูกพืชที่หลากหลาย ทั้งไม้ผล ไม้ติดแผ่นดิน ไม้เศรษฐกิจ เลี้ยงสัตว์ ทำนา รวมทั้งพื้นที่สำหรับบ่อปลา แหล่งน้ำ และพื้นที่สำหรับพักอาศัยอย่างเหมาะสม และทำน้ำมะสัง ซึ่งเป็นพืชท้องถิ่นที่มีสรรพคุณหลายอย่าง เช่น บำรุงร่างกาย แก้ท้องเดิน ท้องอืดท้องเฟ้อ สมานแผล แก้ไข้ อีกทั้งนำมาใช้ได้หลายส่วนทั้งใบ ราก ผลอ่อน แก่น

นายแพทย์จักรธรรม ธรรมศักดิ์ ประธานกรรมการ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “การเดินทางตามรอยพ่อ ศึกษาคุณธรรมศาสตร์พระราชา ณ แห่งเรียนรู้มีชีวิต จังหวัดบุรีรัมย์ ในครั้งนี้ เป็นการตามรอยพระราชา เรียนรู้พิพิธภัณฑ์มีชีวิต ณ มหาชีวาลัยอีสาน ศูนย์การเรียนรู้พ่อคำเดื่อง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นสองเส้นทางศึกษาการเรียนรู้ ในเส้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างจากหนังสือโครงการตามรอยพระราชาที่คัดสรรเป็นจำนวน 9 เส้นทาง 81 แหล่งการเรียนรู้ เพื่อให้คณะครูอาจารย์ ลงพื้นที่เรียนรู้ศึกษาศาสตร์พระราชา พร้อมทำกิจกรรมเสริมทักษะเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ เพื่อพัฒนาให้ทุกท่านได้สัมผัส เรียนรู้ เข้าใจ และเข้าถึงคุณธรรม 4.0 คือ พอเพียง วินัย สุจริต จิตอาสา นอกจากนั้นยังมีส่วนในการปลูกจิตสำนึกคนไทยให้มีความศรัทธา ความจงรักภักดี สำนึกรู้ในพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พระองค์ท่านพระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยทุกคน จนก่อเกิดเป็น “ศาสตร์พระราชา” ที่ชาวบ้านนำมาปฏิบัติตามจนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และมีความสุขมากขึ้น”
ที่มหาชีวาลัยอีสานมีเตาเผาถ่านขนาดใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน โดยนำเศษไม้หักพังล้มตายในป่ามาเผาถ่านด้วยอุณหภูมิสูงถึง 500 องศาเซลเซียส อยู่นานถึง 15 วัน จึงได้ถ่านไม้คุณภาพดี นำไปแจกจ่ายให้ผู้ที่ต้องการอย่างไม่คิดมูลค่า
ความอุดมของผืนดินและความชุ่มชื้นของผืนป่าที่มีพืชพรรณหลากหลาย เป็นทั้งแหล่งเรียนรู้ อาหาร และยารักษาโรคได้
ฐานการเรียนรู้การผลิตไฟฟ้าด้วยแผงโซล่าเซลล์ในมหาชีวาลัยอีสาน เพื่อให้เกิดการพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง
มาเยี่ยมมหาชีวาลัยอีสานแล้ว ต้องชิมน้ำกระเจี๊ยบและน้ำมะสังจากธรรมชาติ เย็นชื่นใจแถมบำรุงสุขภาพด้วย
คุณเอ๋ พรทิพย์ อัษฎาธร แห่งอุทยานดอกไม้ เพลา เพลิน พร้อมด้วยหมู่มิตรในจังหวัดบุรีรัมย์ มาร่วมกันพร้อมหน้า

จากนั้นผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ไปเยี่ยมชมและทำกิจกรรมที่ “ศูนย์การเรียนรู้บ้านพ่อคำเดื่อง” อำเภอแคนดง อาณาจักรสีเขียวพื้นที่ 200 ไร่ ที่พ่อคำเดื่อง ภาษี ปราชญ์ชาวบ้าน ได้นำศาสตร์พระราชามาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตและทำเกษตรกรรมอย่างได้ผล โดยยึดแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจนสามารถปลดหนี้ได้ และประสบความสำเร็จในวิถีเกษตรกรรมแบบธรรมชาติ ไม่ใช้ยาปราบศัตรูพืชหรือสารเคมีใดๆ อีกทั้งได้ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้กับเกษตรกรที่สนใจอย่างต่อเนื่องในแบบ “ชาวบ้านสอนชาวบ้าน”
พ่อคำเดื่องนำคณะเดินชมไร่นาสวนผสม ที่มีดอกผลให้เก็บกินตลอดปีอย่างพอเพียง ตามศาสตร์พระราชาอันชาญฉลาด
ลองเปรียบเทียบกันดู ระหว่างการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพียงชนิดเดียวอย่างยางพารา กับการปลูกป่าแบบผสมผสานที่มีพืชพรรณหลายชนิดหมุนเวียนกันออกดอกออกผลให้เก็บกินตลอดปี เหมือนซุปเปอร์มาเก็ตข้างบ้าน แบบไหนจะดีกว่า?
นี่ไม่ใช่การปลูกป่า 3 อย่าง ให้ประโยชน์ 4 อย่าง แต่พ่อคำเดื่องบอกว่าเป็นการให้ประโยชน์ทุกอย่างกับชีวิตเลยก็ว่าได้

จากนั้นคณะเดินทางสู่ อุทยานดอกไม้ เพ ลา เพลิน อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ร่วมในพิธีเปิดงาน “ทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา” ท่องป่าไร่นาสวนผสมมหาชีวาลัยอี
ผู้มีเกียรติจากหน่วยงานภาคีเข้าร่วมในพิธีเปิดอย่างพร้อมเพรียง
ร่วมกันยืนตรงร้องเพลงสรรญเสริญพระบารมี แด่พ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ผู้ทรงพระราชทานศาสตร์พระราชาไว้ให้ปวงชนชาวไทย ด้วยทรงห่วงใยในสุขทุกข์ของทวยราษฎร์อย่างแท้จริงเสมอมา ตลอด 70 แห่งการทรงครองราชย์
นางวิชชุดา ไตรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทิพยประกันภัยมีความมุ่งมั่นในการสืบสานศาสตร์พระราชาผ่านการจัดกิจกรรม ‘ตามรอยพระราชา’ อย่างต่อเนื่องในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6 ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนตลอด 70 ปีที่ทรงครองราชย์ และสอดคล้องกับปณิธานของบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจอย่างมีคุณธรรม ควบคู่ไปกับการมีส่วนร่วมอย่างจริงจังในการส่งเสริมความเจริญอย่างยั่งยืนของสังคมไทยในทุกมิติ ที่สำคัญ ในเดือนตุลาคม ยังเป็นเดือนที่เราจะได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ของพระมหากษัตริย์ไทยอีก 2 พระองค์คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในคราวเดียวกันด้วย”
บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้มอบของที่ระลึกและอุปกรณ์กีฬาให้กับโรงเรียนต่างๆ ในจังหวัดบุรีรัมย์ด้วย
คณะได้ร่วมกันพับดอกบัวเพื่อนำไปถวายความจงรักภักดีและถวายความรำลึกถึงพระมหากษัตริย์ 3 รัชกาล ที่ทรงห่วงใยอาณาประชาราษฎร์ และปกครองแผ่นดินโดยธรรม ทำให้สยามเป็นแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองมาจนทุกวันนี้
สำหรับภาคค่ำ เรายังไม่ปล่อยคณะครูให้ไปพักผ่อนกันง่ายๆ แต่ยังมีกิจกรรมสนุกๆ เพื่อถอดบทเรียนจากการไปศึกษาดูงานใน 2 แหล่งเรียนรู้ของภาคกลางวัน เกมส์เหล่านี้มิได้ให้เพียงความสนุกเท่านั้น ทว่ายังประเทืองปัญญา และนำไปสู่การสะท้อนสังคมที่มีคุณธรรมได้ในอนาคต
ดร.พีระ รัตนวิจิตร รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวเปิดกิจกรรมถอดบทเรียนสำหรับคณะครู โดยท่านได้กล่าวสรุปให้เห็นถึงภาพรวมในความสำคัญของศาสตร์พระราชา, ระบบการศึกษาไทยที่ต้องปรับปรุง และความสำคัญของคุณธรรม จริยธรรม วินัย และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในสังคมไทย
กิจกรรมถอดบทเรียน นำโดย นายอดุลย์ ดาราธรรม วิทยากรจิตอาสาจากสมาคมนักเรียนเก่าเอเอฟเอส (TRAFS) ผ่านเกมกระดานสื่อการเรียนรู้ 3 แบบ ได้แก่ “Game of Our Nation” ที่สอดแทรกคุณธรรม 4 ประการ คือ พอเพียง วินัย สุจริต จิตอาสา “The Medici Effect 9” ถอดบทเรียนและต่อยอดสร้างสรรค์เป็นนวัตกรรมจากกิจกรรมตามรอยพระราชา และ “The King’s Journey Learn English an Example of an Invention” เรียนรู้ภาษาอังกฤษจากหนังสือชุด King Bhumibol Adulyadej of Thailand
ดร.ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานมูลนิธิธรรมดี กล่าวว่า “ผู้ร่วมกิจกรรมตามรอยพระราชาทุกคนจะได้รับชุดหนังสือภาษาอังกฤษ “King Bhumibol Adulyadej of Thailand” จำนวน 3 เล่ม ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับพระราชประวัติ พระราชจริยวัตร และพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นำไปถ่ายทอดแก่นักเรียนผ่านหลักสูตรการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ให้เยาวชนรุ่นหลังได้รู้จักพระองค์ท่านและสามารถสื่อสารให้ชาวต่างชาติฟังได้ว่า ทำไมคนไทยถึงรักในหลวงรัชกาลที่ 9 ทั้งยังให้ข้อคิดในการใช้ชีวิตเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณธรรม”

องค์กรภาคีในการจัดโครงการเดินทางตามรอยพระราชา มีความปีติเป็นอย่างยิ่งที่คณะครูอาจารย์ทั่วประเทศไทย ให้การตอบรับเข้าร่วมตามรอยพ่ออย่างต่อเนื่องตลอด 6 ครั้งที่ได้จัดโครงการ เริ่มตั้งแต่ เดือนตุลาคม 2561 จวบจนปัจจุบัน และตั้งใจจะสานต่อโครงการนี้ต่อเนื่องในปีถัดไป เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสานต่อปณิธานตามรอยในหลวง รัชกาลที่ 9 อันเป็นความรู้ที่ไม่มีวันล้าสมัยสู่สังคมต่อไป
ก่อนกลับบ้านเราไม่ลืมเดินชม อุทยานดอกไม้ เพลา เพลิน ให้ทั่ว เพื่อชื่นชมมวลพฤกษามาลีดอกไม้นับร้อยชนิดที่กำลังเบ่งบานอวดความงาม เป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับพันธุ์พฤกษชาติที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสานเลยล่ะ
โรงเรือนเฟินและไดโนเสาร์ ให้บรรยากาศย้อนยุคเมื่อหลายสิบล้านปีก่อนในยุคจูราสสิก
แปลงดอกกุหลาบและอาคารห้องสมุด ที่ออกแบบได้สุด Modern จนได้รับรางวัลการออกแบบดีเด่น ปัจจุบันใช้เป็นที่ทำกิจกรรมต่างๆ สำหรับผู้เข้าชมสวน
อาคารเทิดพระเกียรติพ่อหลวง ที่สถิตอยู่เหนือเศียรเกล้าของเราชาวไทยทุกผู้ทุกนาม
อุทยานดอกไม้ เพลา เพลิน จะมีดอกไม้ชนิดต่างๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันให้ชมตลอดปี โดยเฉพาะฤดูหนาวที่มีไฮไลท์เป็นดอกทิวลิปและลิลี่สีสดใส กลิ่นหอมฟุ้งชื่นใจมาก

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท ดีซี คอนซัลแทนส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด
คุณดิศรณ์ เสนามนตรี โทร. 0-2610-2392, 09-1997-9459 / คุณอาทิตยา สุจิรสกุล โทร. 0-2610-2372, 08-7675-2365
เพ ลา เพลิน อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ โทร. 0-4463-4736-8, 08-7798-1039 / www.playlaploen.com
มหาชีวาลัยอีสาน (สถาบันภูมิปัญญาท้องถิ่นอีสาน) บ้านปากช่อง ต.สนามชัย อ.สตึก โทร. 08-1760-1337
ศูนย์การเรียนรู้พ่อคำเดื่อง บ้านโนนขวา ต.หัวฝาย อ.แคนดง จ.บุรีรัมย์ โทร. 08-1876-5906















ใครหลายคนอยากมาพักผ่อนตากอากาศ เนื่องจากเบตงเป็นเมืองในอ้อมกอดของเทือกเขาสันกาลาคีรีกั้นพรมแดนไทย-มาเลเซีย




ปัจจุบันมีการสร้างตู้ใบใหม่ที่มีขนาดใหญ่เป็น 3.5 เท่าอยู่ริมถนนหน้าศาลาประชาคม ถือเป็นตู้ไปรษณีย์ที่มีขนาดใหญ่ที่ของไทยในปัจจุบัน ตู้ทั้งสองใบสามารถใช้ส่งจดหมายได้จริงซะด้วย เท่ห์ไหมล่ะ? นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่อยากทำเก๋ ก็นิยมเขียนโปสการ์ดหรือจดหมาย ส่งกลับไปหาตัวเองหรือญาติมิตรที่บ้าน เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกไงล่ะครับ ว่าครั้งหนึ่งเราเคยมาเยือนเมืองใต้สุดแดนสยามแล้ว ว้าว 
เบตงวันนี้ไม่ใช่เมืองชายแดนธรรมดาๆ อีกต่อไป แต่มีการนำศิลปะเข้าไปเติมแต่งจนมีชีวิตชีวาน่าเที่ยวชม ทั้งตึกรามบ้านช่องร้านค้าที่พร้อมใจกันทาสีสดใส พร้อมทั้งมี




แม้ว่าปัจจุบันที่เบตงจะเปิดจุดชมทะเลหมอกใหม่ๆ อีกหลายแห่ง เช่น ทะเลหมอกไต้ต๋ง และทะเลหมอกกูนุง ซีรีปัต แต่ว่าทะเลหมอกอัยเยอร์เวงก็ยังไม่เคยเสื่อมความนิยมไปจากใจของนักท่องเที่ยว อีกทั้งในปี 2563 นี้ ยังจะมีการเปิด 



ด่านพรมแดนเบตงนี้ อยู่ติดกับประเทศมาเลเซียด้านกิ่งอำเภอปึงกาลันฮูลู รัฐเปรัค 




ทุกวันนี้เหตุการณ์สงบแล้ว อุโมงค์ปิยะมิตรกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้เราเข้าชมได้อย่างปลอดภัย ภายในปรับปรุงเป็นทางเดินเรียบและมีไฟฟ้าส่องสว่างอย่างดี ด้านในมีห้องหลบภัยห้องสะสมเสบียง เมื่อเดินทะลุกอีกฝั่งก็จะถึงทางออกในป่าทึบ
ในบริเวณเดียวกันยังมี 


นอกจากจะหาชิมไก่เบตงของแท้ได้ที่ร้านต้าเหยินแล้ว เขายังมีสุดยอดเมนูที่ต้องสั่งต้องชิมอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นกบภูเขาทอดกระเทียม, ปลาจีนนึ่งซีอิ๊ว, ซี่โครงสวรรค์, เคาหยก (หมูสามชั้นอบเผือก), ถั่วเจี๋ยน, ซุปปู, ผัดหมี่เบตง, ผักน้ำเบตงผัดน้ำมันหอย และอื่นๆ อีกมากมาย

ขอบอกว่าอาหารจีนยามเช้าในเมืองเบตงนั้นอลังการไม่ใช่เล่น เพราะที่นี่มีคนจีนอาศัยอยู่มาก ป็นชาวจีนกวางไสจากกว่างซีจ้วง และชาวจีนฮกเกี้ยน วัฒนธรรมการกินของพวกเขาจึงสืบทอดกันมา อย่างติ่มซำยามเช้าที่มีให้เลือกนับร้อยอย่าง ในเบตงมีหลายร้าน ที่มีชื่อเสียง เช่น
จะกินติ่มซำเมืองนี้ต้องขยันตื่นเช้าหน่อย และต้องกินร้อนๆ จึงจะอร่อยครบรส และอย่าลืมสั่งบักกุ๊ดเต๋มาซดน้ำซุปยาจีนให้คล่องคอด้วยล่ะ



มาถึงเบตงแล้วถ้าไม่ได้ชิม

มาถึงเบตงแล้วต้องชิม
ธรรมชาติของผักน้ำชอบอากาศหนาวเย็น และน้ำที่ใสสอาดจากภูเขาไหลผ่านตลอดเวลา แปลงปลูกผักน้ำจึงทำเป็นขั้นบันไดลดหลั่นลงมา ยิ่งถ้าเป็นน้ำที่ไหลจากที่สูงใสเย็น และเป็นดินปนทรายด้วยจะทำให้ผักน้ำยิ่งเจริญเติบโตดี ต้นจะอวบน้ำ ก้านยาว ใบสีเขียวจัด เมื่อเลี้ยงไป 45-60 วัน ก็เก็บขายได้แล้ว ราคาขายกิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 80 บาทเลยทีเดียว
ส่วนใหญ่จะนำผักน้ำมาแกงจืด หรือต้มกับกระดูกหมูหรือไก่ นอกจากนี้ยังสามารถทำผักน้ำทรงเครื่อง, ผักน้ำมันหอย, ลวกจิ้มและสลัดผัก สรรพคุณช่วยคลายร้อน แก้ร้อนใน และลดความดันโลหิตสูงได้
อีกหนึ่งความพิเศษของเมนูอาหารเมืองเบตงที่ขึ้นชื่อลือชาก็คือ 
แหล่งเพาะเลี้ยงปลาจีนในเบตงบางแห่ง ยังทำสวนผลไม้อย่างทุเรียนหมอนทองปลูกควบคู่กันไปด้วย 




ด้วยความที่หมู่บ้านนี้มีประวัติศาสตร์เกี่ยวเนื่องกับการเคยเป็นวังเก่า และมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์จึงมีการทำ
เมื่อหลายร้อยปีก่อน มีผู้นำกองทัพจากประเทศมาเลเซียผ่านมาบริเวณนี้ มีพระนามว่า 
ส่วนบ่อน้ำโบราณก็เรียกกันว่า
ภายในหมู่บ้านกาแป๊ะกอตอในมี 
เมล็ดกาแฟดิบสีขาวนวลเมื่อคั่วให้สุกบนเตาถ่านแล้ว ก็จะกลายร่างเป็นเมล็ดกาแฟสีดำปี๊แบบนี้ล่ะ แต่ยังกินไม่ได้นะยังมีอีกหลายขั้นตอนจ้า
หลังจากนั้นก็นำน้ำตาลทรายขาวน้ำตาลทรายแดงมาคั่วบนกระทะ ให้ร้อนละลายกลายเป็นคาราเมล แล้วเทเมล็ดกาแฟลงไปคลุกเคล้าให้ทั่ว เสร็จแล้วผึ่งให้แห้ง ตำบดให้ละเอียดด้วยครกไม้โบราณ ก็พร้อมชงเสิร์ฟเป็นกาแฟดำพื้นบ้าน (โกปี้) แบบฉบับบ้านกาแป๊ะกอตอในที่ขายดิบขายดี


ของกินเด่นดังอีกอย่างที่นี่คือ
ก่อนลาจากชุมชนกาแป๊ะกอตอใน ก็ต้องลองชิมอาหารพื้นบ้านอร่อยๆ รสมือแม่กันหน่อย มีทั้งปลาทอดขมิ้น ผัดผักกูด น้ำพริกกะปิผักเหนาะ และต้มยำปลา แหมประทับใจจริงๆ


สีย้อมผ้าธรรมชาติจากดินมายาหน้าถ้ำ
กิจกรรมสนุกๆ เมื่อเข้าไปเยี่ยมกลุ่มสีมายา คือเราจะได้ทดลองทำผ้ามัดย้อมฝีมือเราเอง ขั้นแรกก็ต้องนำเชือกหรือหนังสติ๊ก มามัดลงบนผืนผ้าให้เกิดลายตามต้องการ
ผ้าสีมายาลายภาพเขียนสีโบราณ 1,000 ปี



ความสนุกในการขับรถท่องเที่ยวจากตัวเมืองยะลาสู่อำเภอเบตง ระหว่างทางแนะนำให้แวะพักยืดเส้นยืดสายในปั้มน้ำมันธารโตกันก่อน ถ่ายภาพคู่กับรูปปั้นคู่รักเงาะป่าที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ และยังมีรูปปั้นไก่เบตงตัวเบ้อเริ่ม ยืนโพสต์ท่าพร้อมให้เราเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกจ้า
สำหรับคนที่ชอบ
ความสำเร็จของสวนคุณชายโอ๊คในวันนี้มิได้เกิดโดยบังเอิญ
นอกจากไม้ดอกไม้ผลต่างๆ แล้ว สวนคุณชายโอ๊คยังเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจหลายชนิดไว้ด้วย ทั้งนกยูง ไก่ฟ้า แพะเนื้อ แพะนม สามารถเที่ยวชมถ่ายภาพได้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเหล่าแพะที่เราให้อาหารได้ด้วย
กิจกรรมที่ถือว่าเป็นไฮไลท์สุดๆ ของสวนคุณชายโอ๊คคือ 

ร้านนี้โด่งดังนานกว่า 30 ปี แม้ยะลาจะไม่ติดทะเล แต่เขาก็ยังสามารถขายอาหารทะเลสดๆ ที่นำมาจากปัตตานีและนราธิวาส


อาหารเด็ดก็มีทั้ง ห่อหมกถ้วย, ยำหัวปลี, ยำผักกูด, ต้มส้มปลากระบอก, ปลากระบอกทอดกระเทียม, ไข่เจียวปูฟู, ผักเหลียงผัดไข่, แกงคั่วหอยขม, น้ำพริกกุ้งสดและอื่นๆ อีกเพียบ แค่ได้ยินชื่อเมนูก็น้ำลายสอแล้วล่ะ


แหล่งเรียนรู้นี้ชื่อเต็มว่า 
หลักฐานหนึ่งที่ยืนยันได้ดีที่สุดว่าบุรีรัมย์เคยมีนกกระเรียนพันธุ์ไทยอาศัยอยู่ ก็คือรูปถ่ายจากยุคโบราณของครอบครัวหนึ่งที่เลี้ยงนกกระเรียนไว้เป็นเพื่อน
ด้านในของศูนย์ฯ มีความโปร่งโล่งสบาย ประกอบด้วยห้องบรรยายและห้องนิทรรศการ รวมถึงทางเดินไปยังหอคอยชมวิว และมีกรงเลี้ยงนกกระเรียนพันธุ์ไทยไว้คู่หนึ่ง เพื่อศึกษาและให้ได้ชมกัน โดยนกคู่นี้เลี้ยงไว้ตั้งแต่ยังเล็ก จึงไม่สามารถปล่อยคืนสู่ธรรมชาติได้ เพราะมันจะหาอาหารกินเองไม่ได้ครับ
กรงเลี้ยงนกกระเรียนพันธุ์ไทยไว้ให้เราได้ชม

นกกระเรียนที่ปล่อยคืนสู่ธรรมชาตินั้นหากินอยู่ในระยะไกลในนาข้าวของชาวบ้าน จึงต้องใช้กล้อง
จุดที่ห้ามพลาดชมของศูนย์ฯ นี้ คือ


หลังจากช่วงกลางวันเราได้ไปเที่ยวศูนย์อนุรักษ์นกกระเรียนพันธุ์ไทยสุดน่ารักกันมาแล้ว ยามค่ำวันเสาร์-อาทิตย์ในตัวเมืองบุรีรัมย์ อย่าพลาดเดินช้อปปิ้งกันที่

อีกหนึ่ง Signature ของบุรีรัมย์ ซึ่งเรายังไม่เห็นว่ามีที่ไหนเหมือนก็คือ
ลูกชิ้นยืนกินมีขายตั้งแต่เช้าจดเย็น เป็นรถเข็นหลายสิบเจ้ามาจอดเรียงต่อกันตรงถนนทางเข้าหน้าสถานีรถไฟบุรีรัมย์ แต่ละเจ้ามีลูกชิ้นนานาชนิดละลานตาต่างกันไป รวมถึงผักสดไว้กินแกล้มด้วย ความเจ๋งคืนน้ำจิ้มแต่ละร้านมีสูตรเรียกลูกค้าต่างกัน เวลากินก็ไปหยิบมาจิ้มน้ำจิ้ม ยืนกินหน้าร้านเลยจนกว่าจะอิ่ม พอจะจ่ายตังค์ก็นับไม้ (ไม้ละ 3 บาท) สุดยอดไปเลย! หรือถ้าจะซื้อกลับบ้านก็ได้ไม่ว่ากันครับ

แนะนำอีกร้านก่อนกลับบ้านคือ
เป็ดย่างคูเมือง
ส้มตำรสเด็ด สั่งได้ตามชอบ


ภายในจัดเป็นบรรยากาศแบบ
มีมุมช้อปปิ้งสินค้าข้าวหอมมะลิตราช้างชูรวงข้าว ในรูปแบบแพ็กเกจเก๋ๆ ต่างกันมากมาย

อีกหนึ่งไฮไลท์ของ หอมมะลิ Factory คือ

อีกหนึ่งสถานที่เที่ยว ซึ่งสะท้อนวิถีชีวิตการกินอยู่ และความผูกพันกับเกษตรกรรมของคนสุรินทร์ ก็คือ 
หนึ่งในเมนูอาหารท้องถิ่นห้ามพลาดของสุรินทร์ก็คือ
ข้าวจี่ตลาดเขียว
ไก่ย่างตลาดเขียว
รอยยิ้มและเสียงพิณอันไพเราะของพ่อใหญ่ในตลาดเขียวยามเช้า
ผ้าไหมทอมือทอเครื่องหลายเนื้อหลายราคา มีให้เลือกกันละลานตาในตลาดเขียวครับ



แม่เฒ่าใช้เส้นใยจากใบไม้มาเตรียมไว้มัดเส้นไหม เตรียมลงย้อมในหม้อสีที่ต้มไว้เดือดๆ โดยย้อมทีละมัดๆ อย่างประณีต 
จากทางเข้าด้านหน้า เราค่อยๆ เดินชมนกชมไม้เข้ามาสู่โรงย้อมผ้าสีธรรมชาติ ที่มีชาวบ้านกำลังช่วยกันนำเส้นไหมลงย้อมในหม้อบนเตาฟืนควันฉุย หม้อสีครามให้สีน้ำเงินสดใส หม้อน้ำต้มครั่งได้สีแดงชาติเตะตา หม้อน้ำจากต้นเขให้สีเหลืองแจ่มกระจ่างตา สีส้มได้จากดอกคำแสด สีเขียวมะกอกได้จากแก่นขนุน สีดำได้จากผลมะเกลือ สีน้ำตาลได้จากต้นหมาก และสีม่วงได้จากต้นหว้า เป็นต้น เมื่อนำผืนผ้าสีธรรมชาติมาทอผสมผสานกับไหมยกทองโบราณ ด้วยลวดลายที่มีความพิเศษของ อาจารย์วีรธรรม แล้ว ก็ยิ่งทำให้ผ้าไหมบ้านท่าสว่างกลายเป็นแพรพรรณอันเล่อค่าจนไม่น่าเชื่อ
พอย้อมสีเส้นไหมเสร็จแล้ว ก็นำมาตากให้แห้งในที่ร่มลมโกรก 

จากเรือนย้อมผ้า เราสาวเท้าเข้าไปที่เรือนทอผ้า และก็ต้องตื่นตาอีกครั้งกับกี่ทอผ้าขนาดยักษ์ของที่นี่ เพราะกี่ทอผ้าแต่ละอันของบ้านท่าสว่างนั้นมีความสูงกว่า 2-3 เมตร แต่ละกี่ต้องใช้คนช่วยกันทอ 4-5 คน เพราะผ้าไหมบ้านท่าสว่างมีมากถึง
ช่างทอซึ่งเป็นคุณป้าคุณยายเล่าให้ฟังว่า ผ้าลายพิสดารที่อยู่บนกี่นี้ล้วนมีคนสั่งทอทั้งสิ้น ผืนหนึ่งยาว 3 เมตร ราคาก็ไม่ต่ำกว่า 1.5-2.5 แสนบาท และต้องช่วยกันทุ่มเทแรงกายแรงใจทอนานหลายเดือนเลยทีเดียว เราสอบถามท่านว่ามีลูกหลานรุ่นใหม่มาร่ำเรียนสืบทอดวิชาทอผ้าบ้างหรือไม่? คุณป้ามองหน้ากันแล้วยิ้ม ตอบว่า “แทบไม่มีคนรุ่นใหม่มาสืบทอดวิชาทอผ้าเลย! สักวันมันคงสูญหายแน่นอน” เรื่องนี้จะจริงหรือไม่ เราไม่แน่ใจ แต่คงเป็นการบ้านที่ผู้รับผิดชอบต้องช่วยกันอนุรักษ์สืบสานมรดกของชาติแขนงนี้ไว้ให้ได้ 
ลวดลายอันสวยงาม สลับซับซ้อน และวิจิตรพิสดาร ของผ้าไหมยกดิ้นทองบ้านท่าสว่าง ส่วนใหญ่จะเป็นการทำตามออร์เดอร์ โดยเฉพาะส่งเข้าวัง
พอเดินชมสาธิตวิธีการทอผ้าไหมยกดิ้นทองในโรงทอแล้ว ก็ได้เวลาออกมาเดินช้อปปิ้งผ้าไหมบ้านท่าสว่าง อุดหนุนชาวบ้าน