ชิม Seafood ร้านบ้านมะหญิง เขาขนาบน้ำ จ.กระบี่
บ้านมะหญิง ร้านอาหารบนกระชังปลาในลำคลองกลางป่าชายเลนของแม่น้ำกระบี่ อยู่ใกล้เขาขนาบน้ำแค่ไม่กี่อึดใจ ได้ชื่อว่าโดดเด่นในเรื่องอาหารทะเลรสเลิศ สดสุดๆ และมีกลิ่นอายของรสชาติวันวาน ในสไตล์คุณแม่ คุณย่า คุณยาย ปรุงให้เราทาน พิถีพิถันคัดวัตถุดิบและเครื่องปรุงคุณภาพมาก ประทับใจจริงๆ ครับ
มื้อนี้ต้องเรียกว่าลาบปากจริงๆ นะจ๊ะ น้องตั๊ก
แกงส้มปลากะพงอ้อดิบ เนื้อปลาสดหวาน อ้อดิบกรอบอร่อย น้ำแกงไม่เผ็ดเกินไป คนกรุงเทพฯ กินได้ โดยน้ำแกงยังคงความเผ็ดแบบปานกลาง และหอมกลิ่นขมิ้นแบบปักษ์ใต้ กินกับข้าวสวยร้อยๆ สุดยอด!
ต้มตะไคร้หอยตลับ น้ำหวานเจี๊ยบ ซดร้อนๆ คล่องคอ ชื่นใจ เนื้อหอยก็สด ไม่มีกลิ่นคาวเลยแม้แต่น้อย เพราะเป็นหอยตลับธรรมชาติที่ตัวใหญ่จนเรางง!!!
ส้มตำปลาทอดแสนอร่อย
ปูม้านึ่งตัวเบ้อเริ่ม จิ้มน้ำจิ้ม Seafood รสเด็ด
กุ้งลายเสือราดซอสมะขาม เนื้อแน่นแต่นุ่ม คัดมาเฉพาะกุ้งตัวใหญ่เกือบเท่าฝ่ามือ!
ให้อาหารปลาในกระชังหน้าร้านอาหารกันอย่างสนุกสนาน
อิ่มแล้วเริ่มมีแรง ชวนกันไปพายเรือคายัคล่องป่าชายเลน โดยทางร้านบ้านมะหญิงเขามีเรือให้ยืมด้วยจ้า
Eating Guide
Address : ร้านบ้านมะหญิง บ้านเกาะกลาง หมู่ 1 (ท่าหิน) อำเภอเมืองฯ จังหวัดกระบี่
Opening Time : เปิดตั้งแต่เวลาประมาณ 08.00-17.00 น.
Contact : โทร. 08-1271-6102, 08-6690-1054 อี-เมล bdm1111222@hotmail.com
โรตีน้ำแกงรสเลิศ ร้านบางนรา จ.กระบี่
ชอบมาก เพราะร้านนี้ไม่ได้มีแต่โรตีน้ำแกงแสนอร่อยให้ชิมเท่านั้น แต่ยังมีอาหารอิสลามอื่นๆ อีกหลายเมนู ทั้งข้าวยำ, ผัดหมี่กะทิ, ไก่ทอดเกลือ, ข้าวหมกไก่, แกงเนื้อแพะ ฯลฯ ชิมได้เลย อร่อยทุกอย่างจริงๆ นะ
ยกมาแล้วจ้า โรตีน้ำแกง Signature ที่ใครมาก็ต้องชิมของร้านบางนรา
อากาศเมืองกระบี่จะร้อนแค่ไหน แต่ก็ยังแพ้ความเย็นฉ่ำของชาชักเย็นแก้วนี้
ร้านบางนรา โปร่งโล่งสบาย สีสวยสดใสน่านั่ง แถมสะอาดสะอ้านมากๆ ด้วย
Eating Guide
Address : ร้านบางนรา ถนนอุตรกิจ ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองฯ จังหวัดกระบี่ 81000 จากลานปูดำที่ริมแม่น้ำกระบี่ (ท่าเรือไปเขาขนาบน้ำ) เดินข้ามถนนมาแค่นิดเดียวก็ถึงร้านแล้ว
Opening Time : เปิดตั้งแต่ 06.00 น. จนถึงบ่ายๆ ก็หมดแล้ว
Contact : โทร. 08-1478-8486 เฟสบุ๊ค www.facebook.com/pages/โรตี-บางนรา-ณ-กระบี่
ดูสายหมอกหยอกล้อทุ่งกระเจียวบาน ป่าหินงาม จ.ชัยภูมิ
เมื่อสายฝนเย็นฉ่ำพร่างพรมลงบนทุ่งหญ้าบนเทือกเขาพังเหย แห่งอำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ระหว่างเดือนมิถุนายน-สิงหาคม ก็จะเกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ธรรมชาติ ทุ่งดอกกระเจียวบานรับสายฝน นับแสนๆ ดอก แข่งกันอวดความงาม!
ในอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม อำเภอเทพสถิต มีการจัดทำเป็นสะพานยกระดับเตี้ยๆ ให้นักท่องเที่ยวเดินชมทุ่งกระเจียว จะได้ไม่ลงไปเดินมั่ว เหยียบย่ำทุ่งกระเจียวจนเสียหาย
ดอกกระเจียว หรือบัวสวรรค์ เป็นพรรณไม้ในวงศ์ขิงข่าที่สวยงาม กลีบสีชมพูที่เห็นแท้จริงไม่ใช่ดอก แต่เป็นใบประดับ (ภาษาวิชาการพรรณไม้เรียกว่า Bract) ส่วนดอกจริงๆ เป็นดอกเล็กๆ สีขาวนั่นเอง กระเจียวในป่าหินงาม จะขึ้นอยู่คู่กับหญ้าเพ็กในป่าเต็งรังบนเขาพังเหย
แอบสังเกตใกล้ๆ จะมีแมลงหลายชนิดแอบมาดูดกินน้ำหวานจากดอกกระเจียวด้วย น่ารักมากๆ
ดอกข่าลิงสีเหลือง เป็นพรรณไม้ในวงศ์ขิงข่าอีกชนิด ที่มักจะออกดอกในฤดูฝนเมื่อความชุ่มชื้นพอเพียง พบมากตามเส้นทางจากทุ่งกระเจียวไปสู่ผาสุดแผ่นดิน
ผาสุดแผ่นดิน เป็นจุดสูงสุดของเทือกเขาพังเหยในอำเภอเทพสถิต สูงประมาณ 846 เมตรจากน้ำทะเล ถือเป็นจุดแบ่งภาคกลางและภาคอีสานออกจากกัน
นั่งชมสายหมอกขาวลอยฟุ้งขึ้นมาจากหุบเขาเบื้องล่าง สู่ผาสุดแผ่นดิน
มาทำซึ้งกันที่ผาสุดแผ่นดิน น่าอิจฉาจัง!
หินรูปถ้วยฟุตบอลโลก ในป่าหินงาม มองจากมุมนี้เหมือนมากๆ เลย
อีกมึมหนึ่งของหินถ้วยฟุตบอลโลก กับเด็กๆ ที่เข้าไปเดินเที่ยวศึกษาธรรมชาติในป่าหินงาม
หินรูปจานเรด้าห์ในป่าหินงาม
จากลานจอดรถ เวลาจะเข้าไปเที่ยวทุ่งกระเจียวและป่าหินงาม ต้องนั่งรถพ่วงของทางอุทยานต่อเข้าไป เพื่อไม่ให้เกิดจราจรติดขัด ความวุ่นวาย และควันพิษรบกวนธรรมชาติ
Traveler’s Guide
Best season : ดอกกระเจียวบานเยอะและสวยที่สุดช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม ทุกปี
How to go : รถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านจังหวัดสระบุรีไปทางสามแยกพุแค แล้วเลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 21 สู่บ้านลำนารายณ์ จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 205 เส้นทางลำนารายณ์-ลำสนธิ-เทพสถิต-หนองบัวโคก-นครราชสีมา ระยะทางประมาณ 48 กิโลเมตร ก่อนถึงที่ว่าการอำเภอเทพสถิตประมาณ 1 กิโลเมตร ให้เลี้ยวซ้ายไปอำเภอหนองบัวระเหวตามทางหลวง หมายเลข 2354 ไป 15 กิโลเมตร แล้วแยกซ้ายเข้าบ้านไร่เป็นระยะทางอีก 14 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม และทุ่งกระเจียวบาน
Where to stay : แนะนำ บ้านทุ่งดอกกระเจียว ไฮแลนด์รีสอร์ท จองผ่าน www.booking.com หรือ www.agoda.co.th / เทพสถิตวิวล์ รีสอร์ท โทร. 08-0372-8811, 0-4485-5255 www.thepsatitview.com
What to eat : ใกล้ๆ กับทุ่งกระเจียวมีร้านอาหารเยอะมาก เลือกชิมได้ตามสะดวก อาทิ ครัวป่ากระเจียว, ครัวบุญพร้อม, และครัวอีสาน ฯลฯ ตามริมทางมักมี “ข้าวโพดตักหงาย” ต้มขายอยู่ อย่าลืมแวะซื้อกิน อร่อยมาก หวานมัน หาชิมได้เฉพาะช่วงฤดูฝนนี้เท่านั้น
Souvenirs : ที่ปากทางเข้าทุ่งกระเจียว มีของที่ระลึกเก๋ๆ เป็นดอกกระเจียวประดิษฐ์สำหรับตั้งโชว์ ทำโดยกลุ่มแม่บ้านอำเภอเทพสถิต นอกจากนี้ยังมีพันธุ์ดอกกระเจียวบ้านใส่กระถางหรือถุงเพาะชำวางขาย ราคาไม่แพง ส่วนงานหัตถกรรมพื้นบ้านน่าสนใจของจังหวัดชัยภูมิ แนะนำ “ผ้าไหมบ้านเขว้า” เป็นผ้าไหมแน่นเนียน มันวาว เมื่อนำมาซักเนื้อผ้าไม่ยุบซึ่งถือเป็นลักษณะพิเศษของผ้าไหมที่นี่ ผ้าไหมมัดหมี่ลายขอน้อยเป็นงานที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยสีที่นิยม คือ สีน้ำเงิน สีน้ำทะเล และสีเทา
More info : อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ โทร. 0-4489-0105 / อุทยานแห่งชาติไทรทอง อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ โทร. 0-4473-8428, 08-9282-3437 / การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานชัยภูมิ-นครราชสีมา โทร. 0-4421-3030, 04421-3666 อีเมลล์ tatsima@tat.or.th
Thailand International Balloon Festival 2013
ในชีวิตคนเดินดินธรรมดาๆ อย่างเรา จะมีโอกาสสักกี่ครั้งที่ได้ขึ้นไปบินอยู่บนท้องฟ้า มองโลกกลับลงมาจากมุมมองของวิหค การนั่งเครื่องบินก็ถือว่าใช่ แต่ยังมีกระจกหน้าต่างเครื่องบินเป็นอุปสรรคขวางกั้นเรากับท้องฟ้าภายนอก จะมีพาหนะใดรึเปล่านะ ที่พาเราขึ้นไปลอยละลิ่วอยู่บนฟากฟ้า โดยไม่มีอะไรกั้นตัวเรากับมวลอากาศเบื้องบนไว้เลย? นี่คงเป็นความฝันของใครหลายๆ คน เช่นเดียวกับตัวผมที่ฝันว่าอยากบินได้เหมือนนกมาตั้งแต่เด็กแล้ว
เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปี ในที่สุดความฝันของผมก็เป็นจริง! เมื่อ บริษัท เอิร์ท วินด์ แอนด์ ไฟร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการบินบอลลูนเพื่อการท่องเที่ยวหนึ่งเดียวในเมืองไทย มีฐานอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยพันธมิตรหลายภาคส่วนทั้งรัฐและเอกชน ร่วมกันจัดงาน Thailand International Balloon Festival 2013 ขึ้น ณ จังหวัดเชียงใหม่ อันเป็นโลเกชั่นที่มีภูมิประเทศสวยงาม อากาศเย็นสบาย โดยในปีนี้เป็นการจัดงานบอลลูนนานาชาติในเมืองไทยครั้งที่ 7 แล้ว เช่นเดียวกับ 6 ครั้งที่ผ่านไป นับว่าประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม ได้รับการตอบรับอย่างดี ทั้งในส่วนของผู้เข้าร่วมจัดงาน นักท่องเที่ยวไทยและเทศ รวมถึงนักบินบอลลูนมืออาชีพจากทั่วโลก ซึ่งในครั้งที่ 7 นี้ มีนักบินบอลลูนจาก 8 ประเทศเข้าร่วม ทั้งสเปน, รัสเซีย, โครเอเชีย, อังกฤษ, มาเลเซีย, เยอรมนี, เบลเยี่ยม และไทย พร้อมด้วยบอลลูนกว่า 15 ลูก เป็นบอลลูนลูกใหญ่ 10 ลูก และบอลลูนลูกเล็กอีก 5 ลูก มาช่วยกันสร้างสีสัน ให้น่านฟ้าเชียงใหม่มีชีวิตชีวา พาให้ชาวเมืองเชียงใหม่ตื่นเต้น ขานรับการมาถึงของพาหนะลอยฟ้าแสนน่ารัก
การบินบอลลูนเริ่มต้นขึ้นในเวลาเช้าตรู่ประมาณ 05.30 น. เมื่อนักบินและลูกทีมเร่งนำบอลลูนของตน มากางออกบนพื้นสนามหญ้า จากนั้นใช้พัดลมขนาดใหญ่เป่าลมเย็นเข้าไปให้บอลลูนพองตัวออกพอเป็นรูปทรง เมื่อพองได้ที่ ก็ถึงเวลาเป่าลมร้อนเข้าไปให้ลูกบอลลูนพองเต็มที่แล้วเริ่มตั้งขึ้น โดยก๊าซที่ใช้เป่าเข้าไปในลูกบอลลูนคือ ก๊าซ LPG (Liquid Petroleum Gas) หรือก๊าซหุงต้ม เหมือนที่ใช้กันอยู่ในครัวบ้านเรานี่เองครับ ซึ่งเขาวิจัยกันมาแล้วว่าปลอดภัย
“บอลลูนลมร้อน” หรือ “Hot Air Balloon” ถือเป็นพาหนะเก่าแก่ที่สุดซึ่งสามารถพามนุษย์บินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้สำเร็จอย่างปลอดภัย ก่อนที่จะมีการประดิษฐ์ปีกและเครื่องบิน โดยการบินบอลลูนครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1783 เหนือน่านฟ้ามหานครปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดย 2 นักบิน คือ Jean-François Pilâtre de Rozier และ François Laurent d’Arlandes ต่อมาการบินบอลลูนก็ได้พัฒนากลายเป็นกีฬา, ภารกิจเพื่อการทหาร, การขนส่ง, การท่องเที่ยว, เพื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ และอื่นๆ อีกหลายจุดประสงค์ เราต้องถือว่าบอลลูนลมร้อนเป็นพาหนะที่พิเศษสุดๆ เพราะเป็นพาหนะชนิดเดียวในโลก ที่เมื่อขึ้นบินแล้ว ไม่สามารถบอกได้ว่าจะร่อนลงจอดที่ใด!? เนื่องจากต้องอาศัยกระแสลมเป็นตัวพัดพาไปเท่านั้น การเลือกสถานที่และฤดูกาลในการบินบอลลูนลมร้อน จึงต้องพิถีพิถันสรรหากันอย่างถี่ถ้วนเพื่อความปลอดภัย
เมื่อก๊าซร้อนอัดเข้าไปในลูกบอลลูนจนเต็มพิกัด ก็ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งบอลลูนไม่ให้ลอยขึ้นได้อีกต่อไป ลูกบอลลูนของผมค่อยๆ ลอยสูงขึ้นจากพื้นโลกอย่างช้าๆ จาก 5 เมตร เป็น 10 เมตร เป็น 100 เมตร จนกลายเป็นหลายร้อยเมตรในที่สุด! เรามองเห็นยอดไม้ทอดต่อเนื่องไปเป็นผืนพรมสีเขียวอยู่เบื้องล่าง มองเห็นตัวคน วัดวาอาราม บ้านเรือน รถยนต์ กลายเป็นขนาดเล็กจิ๋วราวกับของเล่นเด็ก ตอนบอลลูนลอยสูงขึ้นทีแรกใจเริ่มหวิวๆ แต่สัก 10 นาที ก็ปรับตัวได้ ผมตื่นเต้นสุดๆ กับวิวพาโนรามา 360 องศารอบตัวที่มองเห็น ตัวเมืองเชียงใหม่ยามเช้าช่างสงบงาม แลเห็นสายหมอกขาวลอยคลอเคลียดอยสุเทพ วัด เจดีย์ แม่น้ำปิง บ้านเรือน ป่าไม้ และทุ่งข้าวสีทองที่เก็บเกี่ยวไปแล้วบางส่วน เมื่อมองไปทางทิศตะวันออก อาทิตย์ดวงกลมโตค่อยๆ ลอยเด่นขึ้น เห็นกลุ่มบอลลูนน้อยใหญ่ลอยละลิ่วไปตามแรงลม ช่างเป็นภาพมหัศจรรย์จริงๆ
ใช้เวลาบินอยู่เหนือน่านฟ้าเชียงใหม่กว่า 1 ชั่วโมง ผมก็ร่อนลงในทุ่งข้าวอำเภอสารภีอย่างปลอดภัย แต่ที่สนุกมากอีกอย่างคือ การช่วยนักบินเก็บบอลลูนขึ้นรถกลับนี่สิ ทั้งสนุกทั้งเหนื่อยมาก ได้รสชาติของชีวิต นี่คือหนึ่งประสบการณ์ที่ผมจะต้องจดจำไป อีกนานแสนนาน
ไฮไลท์ของงานไม่ได้อยู่ที่การขึ้นบินบอลลูนชมเมืองเชียงใหม่เท่านั้น ทว่าในบริเวณงาน ช่วงเย็นยังมีการจัดแสดงบอลลูนเรืองแสง (Balloon Night Glow) ประกอบแสงสีเสียงและการจุดพลุสุดอลังการ พร้อมด้วยการคัดเลือกผู้โชคดี 100 คนในงาน ให้ได้ขึ้นบอลลูนผูกยึดอยู่กับที่ (Tethered Balloon) โดยลอยสูงขึ้นจากพื้นประมาณ 5-10 เมตร นอกจากนี้ยังมีการแสดงมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชั้นนำ ปาล์มมี่, ฮิวโก้, การ์ธ เทย์เลอร์ จากเมืองโจฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้ ฯลฯ สร้างสรรค์ให้งานทั้งสนุกและน่าชม
Traveler’s Guide
When to go : งานบอลลูนนานาชาติในประเทศไทย จัดเป็นประจำทุกปีช่วงฤดูหนาว ประมาณเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม โดยเปลี่ยนสถานที่จัดงานไปเรื่อยๆ ตามความเหมาะสม แต่ดูเหมือนว่าจะจัดที่เชียงใหม่บ่อยสุด สนใจเข้าร่วมงานกรุณาโทรสอบถามล่วงหน้า
Contact : บริษัท เอิร์ท วินด์ แอนด์ ไฟร์ จำกัด หมู่ที่ 6 158/60 ตำบลเชิงดอย อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ 50220 โทร. 0-5329-2224 / การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ โทร. 0-5327-6141
Balloon International Festival 2010 @นครนายก
สำหรับโลกยุคปัจจุบันที่ทุกอย่างจะดูทันสมัยไปซะหมด และเทคโนโลยีล้ำยุคได้เข้ามาชี้นำชีวิตของเรา การเดินทางด้วยพาหนะต่างๆจึงรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาเหมือนในอดีต แต่เราก็ต้องแลกมาด้วยการใช้พลังงานที่ปลดปล่อยก๊าซเรือกระจกออกมาสร้างภาวะโลกร้อน ถ้ามานั่งคิดดูให้ดี ก็เหลือพาหนะอยู่ไม่กี่แบบที่ยังคงใช้พลังงานธรรมชาติอย่างแท้จริง โดยเฉพาะพลังงานลม “บอลลลูน” (Balloon) คือหนึ่งในพาหนะชนิดนั้น ที่มนุษย์ตัวเล็กๆอย่างเราคิดค้นขึ้นมา ด้วยความหวังว่าจะบินได้เหมือนนก !
สำหรับคนไทย บอลลูนอาจเป็นพาหนะแปลกประหลาดราวกับจานบินแห่งฟากฟ้า ทว่าสำหรับประเทศในแถบยุโรปและอเมริกา เขารู้จักพาหนะชนิดนี้มาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1700 แล้ว กระทั่งล่วงเข้าถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 บอลลูนจึงมีการพัฒนาให้ล้ำยุค สามารถใช้ขนส่งคน ส่ิงของ สอดแนมทางทหาร และใช้เพื่อการพาณิชย์หรือท่องเที่ยวในเวลาต่อมา แต่ถ้าจะถามว่าชาติใดสามารถคิดค้นบอลลูนได้เป็นชาติแรกของโลก คำตอบคือ “จีน” นั่นเอง ส่วนพี่ไทยก็คงจะมีโคมลอยแถวภาคเหนือเท่านั้นล่ะที่พอจะใกล้เคียงบอลลูนบินได้ของยุโรปมากที่สุด
บอลลูนแบ่งเป็นหลายประเภท อาทิ บอลลูนลมร้อน (Hot Air Balloon) ที่เติมลมร้อนเข้าไปจึงบินได้ แต่บินไม่ค่อยสูงนัก ส่วนที่บินได้สูงจริงๆ และมีการปรับระดับความสูงขึ้นลงได้ อีกทั้งยังบินได้ไกลมากก็คือ บอลลูนก๊าซ (Gas Balloon) ที่ใช้ก๊าซฮีเลียม (ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมเนื่องจากติดไฟง่ายเกินไป) ไฮโดรเจน (ได้รับความนิยมสูง แต่ราคาแพง) โพรเพน (เป็นก๊าซเติมบอลลูนที่ปลอดภัยกว่าสองชนิดแรก) ฯลฯ อัดเข้าไปในลูกบอลลูนเส้นใยสังเคราะห์ ซึ่งเจ้าพวกนี้เองที่มาทำการบินอยู่ในจังหวัดนครนายกของเรา
การบินบอลลูนในเมืองไทยยังรู้จักกันในหมู่คนจำกัด ไม่แพร่หลาย เพราะผู้ที่จะเป็นเจ้าของและทำการบินได้ต้องมีงบประมาณส่วนตัวสูงลิบ เข้าขั้นสิบล้านบาท ส่วนนักท่องเที่ยวที่อยากได้รับประสบการณ์บินบอลลูนสักครั้งในชีวิต ก็ต้องควักกระเป๋าจ่ายครั้งละไม่ต่ำกว่า 6,000-8,800 บาท ต่อการบินบอลลูนเพียง 1 ชั่วโมง ด้วยเหตุนี้เองงานเทศกาลบอลลูนนานาชาติจึงเปิดโอกาสให้คนทั่วไปได้สัมผัสบอลลูนของจริงอย่างใกล้ชนิด
ในเช้าตรู่วันที่อากาศดี ฟ้าปลอดโปร่ง ลมไม่แรงจัด นักบินบอลลูนจะทำการตรวจข่าวพยากรณ์อากาศ จากนั้นก็ปล่อยบอลลูนตรวจอากาศลูกเล็กๆ เรียกว่า Spy Ball ขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อดูว่าลมบนแรงแค่ไหนและพัดไปทางทิศใด เมื่อเห็นว่าเหมาะสมแล้ว นักบินพร้อมทีมลูกเรือก็จะช่วยกันกางบอลลูนขึ้น โดยบอลลูนแต่ละลูกจะแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก คือ ส่วนของลูกโป่งอัดก๊าซหรือลมร้อน และส่วนตะกร้าผู้โดยสารที่ห้อยอยู่ด้านใต้ การเตรียมการทั้งสองส่วนนี้จะทำพร้อมกันอย่างรวดเร็วตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อแข่งกับอุณหภูมิอากาศที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ เพราะหากปล่อยให้สาย เที่ยง หรือบ่ายแล้ว อากาศเมืองไทยเราจะร้อนเกินไป บอลลูนจะลอยไม่ค่อยขึ้น หรือถ้าลอยขึ้นก็บินไปไหนไม่ได้ไกล เนื่องจากการที่บอลลูนบินได้ก็ด้วยเหตุที่มีความต่างของอุณหภูมิภายนอกและในบอลลูนนั่นเอง พูดง่ายๆคือ บอลลูนเบากว่าอากาศภายนอก มันจึงล่องลอยไปไหนมาไหนได้พร้อมกระแสลม
เมื่อตะกร้าถูกติดสลิงขึงไว้กับลูกบอลลูนที่พองตัวขึ้นเต็มที่แล้ว กัปตันก็จะเติมก๊าซร้อนเข้าไปจนเต็ม ทำให้บอลลูนสีสดใสค่อยๆลอยขึ้นอย่างช้าๆ ผู้โดยสารที่มาคอยอยู่แล้วจึงต้องรีบขึ้นบอลลูนให้ทัน วันนี้โชคไม่ดี เราไม่สามารถปล่อยตัวบอลลูนจากหน้าเขื่อนขุนด่านปราการชลได้ เนื่องจากเกิดลมหมุนในอากาศ จึงต้องมาปล่อยตัวกันบริเวณสนามกีฬาจังหวัดนครนายก เมื่อลูกโป่งยักษ์ค่อยๆลอยขึ้นเหนือพื้นอย่างเชื่องช้า ทีแรกจะเกิดความรู้สึกหวิวเล็กน้อย แต่เมื่อผ่านไปสักพักเราก็จะชินกับสายลมอ่อนๆ บนท้องฟ้าใส ได้เห็นวิวภูเขา ทุ่งนา บ้านเรือนผู้คน มีฝูงนกออกบินหากินในยามเช้า พร้อมกับแสงอาทิตย์อ่อนๆ สาดส่องมาอาบบอลลลูนและตัวเราจนอบอุ่น ขณะที่บอลลูนถูกพัดพาไปตามกระแสลม ดูวิวไปเพลินๆ และถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก ก็ลองมาสำรวจในตะกร้าผู้โดยสารกันบ้าง ตะกร้าของบอลลูนสานขึ้นจากหวายเส้นใหญ่เป็นทรงสี่เหลี่ยม สูงประมาณ 150 เซนติเมตร ถ้าเป็นตะกร้าเล็กจะจุคนได้ไม่เกิน 4 คน แต่ถ้าเป็นตะกร้าใหญ่ก็ไม่เกิน 6 คน
การบินระยะทางใกล้ๆ จะใช้ก๊าซ 2 ถัง ส่วนการบินไกลๆ อย่างการบินข้ามเทือกเขาแอลป์ในยุโรป ก็ต้องใช้ถังก๊าซไม่น้อยกว่า 4 ถัง และมีการสำรวจจุดลงไว้ล่วงหน้า บนบอลลูนของเรายังมีเครื่องวัดความสูง และความเร็วลมอยู่ด้วย บวกกับประสบการณ์ของกัปตัน จึงไม่ต้องกังวล เพราะเขาคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ทำให้เราสนุกกับการล่องลอยไปพร้อมกระแสลมครั้งนี้ สิ่งที่รู้สึกได้ก็คือ “ความอิสระเสรี” มีเพียงตัวเรากับความสูงและความเวิ้งว้างของอากาศรอบๆตัว ไม่มีกระจกกั้นเหมือนนั่งเครื่องบิน ได้สูดอากาศบริสุทธิ์เบื้องบน ผิวหนังได้สัมผัสความเย็นของอากาศ อีกทั้งได้ชมวิวรอบตัวแบบ 360 องศา สุดสายตาพาโนรามา สุดยอดจริงๆเลย
ก่อนจะลงจอดบนพื้น กัปตันบอลลูนชาวอเมริกาที่ไปอาศัยอยู่ในอิตาลีมกว่าสิบปี และปัจจุบันเป็นครูสอนบินบอลลูนด้วยบอกว่า ในโลกปัจจุบันนี้มีพาหนะอยู่เพียง 2 อย่างที่ยังอาศัยพลังธรรมชาติเพื่อการเดินทางอย่างแท้จริง คือ เรือใบและบอลลูน โดยทั้งสองอย่างนี้พึ่งพลังงานลมด้วยกันทั้งคู่ ถ้าเราสามารถนำพลังงานสะอาดชนิดนี้มาทดแทนน้ำมันได้ก็คงดี
ประมาณ 1 ชั่วโมงที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า ไปพร้อมกับบอลลูนอีกเกือบยี่สิบลูก และเพื่อนๆที่ขึ้นบินบอลลูนพร้อมกัน มันช่างรวดเร็วเหมือนฝัน ทำไมนะ เวลาแห่งความสุขจึงหมดไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ แต่มันก็เป็นสุดยอดประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ลืมไม่ลงจริงๆ
Traveller’s Guide
Best season : ปัจจุบันบินได้ตลอดปีในช่วงเากาศเหมาะสม แต่ดีที่สุดคือฤดูหนาว-ต้นฤดูร้อน ประมาณปลายเดือนตุลาคม-ต้นเดือนมีนาคม โดยเทศกาลงานบอลลูนนานาชาติ จะหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปตามจังหวัดต่างๆ ที่มี location เหมาะสม โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่
More info : บริษัท เอิร์ท วินด์ แอนด์ ไฟร์ จำกัด โทร. 0-5329-2224 เว็บไซต์ www.thailandadventuresports.com