ดูเหยี่ยวอพยพ ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร
มีคนเคยบอกว่า ธรรมชาติคือครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เราสามารถเรียนรู้บทเรียนอันมีค่ามากมายจากธรรมชาติ ทั้งในด้านสว่างและด้านมืด แม้แต่พระพุทธองค์เองก็ยังทรงเรียนรู้สัจธรรมความจริงจากธรรมชาติ แล้วนำมาประกาศ เพื่อให้ปุถุชนที่ยังไม่ได้ละวางทางโลกสามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข สำหรับตัวผมเอง เป็นคนที่นิยมเรียนรู้ชีวิตและโลกกว้างจากการท่องไปในธรรมชาติ หลายครั้งได้เห็นแง่มุมสุดจะงดงาม ซึ่งผู้คนทั่วไปมิอาจเข้าไปพานพบ และบางครั้งก็พบกับความโหดร้ายที่ธรรมชาตินำเราเข้าไปเผชิญ แต่ก็นั่นล่ะ ทั้งหมดคือ “บทเรียนชีวิต” ที่ครูธรรมชาติสอนให้เราเข้าใจโลกและชีวิตมากขึ้น
ทุกปีในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม บริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร จะเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าชม ของการอพยพครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดรูปแบบหนึ่งในเมืองไทยเรา คือเหยี่ยวสิบๆ ชนิดจากซีกโลกเหนือแถบมองโกเลียและไซบีเรีย นับแสนๆตัว! จะพากันบินอพยพลงสู่ซีกโลกใต้ เพื่อหนีความหนาวเย็นลงมาหากิน โดยบินผ่านเหนือผืนดินของทวีปเอเชียลงสู่หมู่เกาะอินโดนีเซีย และมีบางกลุ่มที่บินเหินฟ้ายาวไกลไปถึงออสเตรเลียเลยก็มี พวกมันอาศัยความทรงจำจากเหยี่ยวรุ่นบรรพบุรุษ ที่ฝังอยู่ในส่วนลึกสุดของยีนส์และเซลล์สมอง บวกกับสัญชาติญาณดิบและแรงแม่เหล็กโลกที่จับได้ บินจากเหนือลงใต้โดยไม่ผิดพลาดผิดเพี้ยน บินมาพร้อมกันทั้งเหยี่ยวตัวผู้ ตัวเมีย และตัวเด็กๆ สู่ดินแดนที่ไม่รู้จัก ดำเนินเป็นจังหวะแห่งธรรมชาติเช่นนี้มั่นคงมานับร้อยนับพันชั่วรุ่น สืบสานเผ่าพงษ์เหยี่ยวให้อยู่คู่โลกต่อไป
ก่อนไปดูเหยี่ยวอพยพในช่วงเวลาดังกล่าว เราลองมาทำความรู้จักกับนกชนิดนี้กันนิดหน่อยก่อนดีกว่า “เหยี่ยว” (ในภาษาอังกฤษใช้หลายคำด้วยกัน เช่น Falcon, Hawk, Kite, Kestrel แล้วแต่ขนาดและลักษณะ) พวกมันเป็นนกนักล่าที่ปราดเปรียวที่สุดบนฟากฟ้า ธรรมชาติได้มอบเครื่องมือสำหรับการล่าไว้ให้พวกมันครบ ทั้งสายตาที่มองได้กว้างไกล ขนาดไกลเป็นกิโลเมตรยังเห็นได้! แถมยังมีกรงเล็บแหลมคมไว้จับเหยื่อ นอกจากนี้ยังมีจงอยปากงองุ้มใช้จิก คาบ และฉีกเหยื่อได้อย่างง่ายดาย รวมทั้งยังมีเรียวปีกแผ่กว้าง บินได้ไกล บินได้สูง บินแบบฉลัดเฉวียนราวนักกายกรรมก็ได้ และสุดท้ายคือมีกรงเล็บอันทรงพลัง ใช้จับเหยื่อได้มั่นคง ไม่มีโอกาสหนีรอดเลย! นี่ล่ะครับนักล่าที่ชื่อเหยี่ยว ซึ่งในเมืองไทยของเรามีอยู่เกือบ 60 ชนิดเลยทีเดียว ทั้งเหยี่ยวขนาดใหญ่และเหยี่ยวขนาดเล็ก ลืมบอกไปว่าอาหารโปรดของพวกมันคือหนู งู กิ้งก่า และนกขนาดเล็ก เรียกว่าเป็นสัตว์ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร ช่วยควบคุมประชากรสัตว์เล็กให้สมดุล ถ้าวันใดเหยี่ยวลดจำนวนหรือหมดไป ก็จะเกิดผลกระทบทางธรรมชาติเป็นลูกโซ่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปกติในเมืองไทยเรามีเหยี่ยวที่อยู่ประจำถิ่นตลอดปีหลายชนิดด้วยกัน พบเห็นได้ไม่ยากอย่างเหยี่ยวแดง, เหยี่ยวรุ้ง นกออก เหยี่ยวนกเขาหงอน เหยี่ยวนกเขาชิครา เหยี่ยวผึ้ง เหยี่ยวนกกระจอกเล็ก และเหยี่ยวปีกแดง เป็นต้น เหยี่ยวบางพวกชอบอยู่โดดเดี่ยว ออกล่าตัวเดียว แต่บางพวกก็ชอบรวมฝูงเป็นร้อยตัว นักดูนกบอกว่าการจำแนกชนิดเหยี่ยวถือว่ายาก (ถ้าไม่ชำนาญจริง) เพราะลวดลายสีสันบนตัวพวกมันคล้ายๆ กัน ต้องอาศัยประสบการณ์จดจำนานหลายปี อีกทั้งต้องมีอุปกรณ์พวกกล้องส่องทางไกลคุณภาพดีช่วยอีกแรงหนึ่ง ส่วนเครื่องแต่งกายก็ควรเป็นสีพราง อย่างสีเขียวเข้ม น้ำตาล หรือเทาเข้มๆ ให้ตัวเรากลืนไปกับธรรมชาติ
การเริ่มต้นดูเหยี่ยวทั้งประจำถิ่นและอพยพ อย่างแรกคงต้องทำการบ้านสักนิดว่าพวกมันอยู่ที่ไหน? จะพบเห็นได้บ่อยที่สุดในเดือนอะไร? ส่วนช่วงเวลาที่เหมาะในการเฝ้าดูคือตอนเช้าและสาย ประมาณ 08.00-10.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แดดยังไม่ร้อนจัด เหยี่ยวจะบินค่อนข้างต่ำ ไม่ห่างพื้นมาก แต่พอเร่ิมใกล้เที่ยงไปถึงบ่ายแก่ๆ ราวๆ 11.00-16.00 น. แดดที่ร้อนจัดจะทำให้เกิดมวลอากาศร้อนลอยตัวขึ้นสูง ลักษณะเป็นวงกลม เหยี่ยวจึงใช้มวลอากาศนี้ช่วยประหยัดแรงไม่ต้องกระพือปีกมาก ลอยตัวขึ้นพร้อมอากาศร้อน บางครั้งในระดับสูงลิบหลายกิโลเมตรจากพื้นดิน การเฝ้าสังเกตพวกมันจึงทำได้ยาก ยกเว้นช่วงฤดูอพยพผ่าน ที่จะมาพร้อมกันนับพันๆ ตัว และมักบินผ่านยอดเขาต่างๆ ให้เห็นแบบไม่อายกันเลยครับ
บนเขาเรดาห์ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อันเป็นเขตรอยต่อกับจังหวัดชุมพร ผมและเพื่อนๆ ขับรถขนอุปกรณ์ถ่ายภาพนกขึ้นไปดักรอเก็บภาพฝูงเหยี่ยวอพยพครั้งยิ่งใหญ่ ทว่าโชคร้าย วันแรกที่ไปถึงฝนถล่มหนักราวพายุ ทำให้เราต้องถอนทัพลงมาตั้งหลักใหม่ วันที่สองฟ้าเร่ิมเป็นใจ พวกเราจึงได้ทีรีบขึ้นไปเฝ้ารอพวกมันแต่เช้า นอกจากพวกเรายังมีกลุ่มชาวบ้าน นักดูนกมืออาชีพ มือสมัครเล่น นักท่องเที่ยว และนักเรียนนักศึกษาอีกเป็นร้อยคน บางคนมีแค่กล้องอันเล็กๆ ผิดกับบางคน (รวมทั้งพวกเรา) ที่มีกล้องและเลนส์อันยาวเท่าแขนไว้เก็บภาพนกโดยเฉพาะ จึงเกิดความเหลื่อมล้ำในการมองเห็นอย่างชัดเจน ไม่นานนักเหยี่ยวฝูงแล้วฝูงเล่าก็ปรากฏตัวออกจากกลุ่มเมฆบนท้องฟ้า โดยใช้มวลอากาศร้อนพาพวกมันโผผินไป กลุ่มละเป็นร้อยๆตัว ทว่าพวกมันบินสูงอยู่เหนือยอดเขาเรดาห์ขึ้นไปบนท้องฟ้าหลายกิโลเมตร ภาพที่ได้จึงเล็กจิ๋ว
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป พวกผมเปลี่ยนโลเกชั่นดูนกเหยี่ยวไปยังเขาดินสอในจังหวัดชุมพร ซึ่งจุดนี้มีความยากลำบากกว่าเขาเรดาห์ที่ประจวบฯ เพราะรถขึ้นไม่ถึงยอด เราจำเป็นต้องพาตัวเอง แบกอุปกรณ์ถ่ายภาพหนักอึ้งนับสิบกิโลกรัมเดินขึ้นเขาไปเป็นระยะทาง 1.5 กิโลเมตร ยอมรับว่าเหนื่อย หนัก แต่ก็มีความสุข เพราะนี่คือชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งเราเลือกแล้ว และโชคดีที่เพื่อนๆ ใจดีช่วยแบกอุปกรณ์ให้ด้วย บนยอดเขาเราพบนักดูนกหลายสิบคน บ้างมาจากมาเลเซีย สิงคโปร์ และแถบยุโรป ได้พบเพื่อนใหม่ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน และแล้วธรรมชาติก็ให้รางวัลแก่เรา มีเหยี่ยวนับร้อยตัวบินโฉบผ่านไปในระยะที่สามารถเก็บภาพได้ไม่ยาก ภาพยุงที่เคยเห็นที่เขาเรดาห์ในจังหวัดประจวบฯ บัดนี้ปรากฏเด่นชัดในช่องมองภาพของกล้องและเลนส์ คือภาพเหยี่ยวอพยพแผ่ปีกร่อนลมแสนสง่างาม บางตัวบินฉวัดเฉวียนอย่างเสรี เริงร่า บ้างก็มีการเกี้ยวพาราศรี และบ้างก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่ต่างจากสังคมมนุษย์เลยสักนิดเดียว
ธรรมชาติสอนให้เรารู้จักรอคอยจังหวะอันเหมาะเจาะ รอคอยด้วยความเข้าใจและอดทน เพื่อให้ได้พานพบสิ่งที่ดีที่สุด ณ สถานที่และห้วงเวลาอันดีที่สุด ตราบใดที่เราไม่ละความพยายาม ตราบนั้นรางวัลชีวิตคงอยู่ไม่ไกล จงอย่ายอมแพ้เหมือนเหยี่ยวเหล่านี้ จงสู้ และบินฝ่าระยะทางยาวไกลแห่งชีวิต มิฉะนั้นคุณก็จะเป็นผู้แพ้ และไม่มีสิทธิ์ได้โผบินอีกเลย!
ขอขอบคุณ บริษัท Nikon Sales (Thailand) Co., Ltd. สนับสนุนเลน์ 500 มิลลิเมตร f4 Nan0 สุดยอดเลนส์ระดับมืออาชีพ เพื่อการบันทึกภาพนกโดยเฉพาะ
สนใจติดต่อ โทร. 0-2633-5100 / แฟ็กซ์ 0-2633-5191 (Office) / 0-2633-5192 (Service) www.nikon.co.th
Bird Watching Guide :
– เขาดินสอ จังหวัดชุมพร จากตัวเมืองชุมพร-อำเภอปะทิว ใช้ทางหลวงหมายเลข 3180 ประมาณ 20 กิโลเมตร ผ่านหมู่บ้านสะพลีถึงสี่แยกต้นมะขาม เลี้ยวขวาไปผ่านอ่าวบางสน แล้วจะมีซอยแยกซ้ายขึ้นเขาดินสอได้เลย สอบถามเพิ่มเติมที่ ททท. สำนักงานชุมพร-ระนอง โทร. 0-7750-1831-2 , 0-7750-2775-6
– เขาเรดาห์ ตำบลบ้านไชยราช อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ช่วงรอยต่อประจวบฯ-ชุมพร ถ้ามาจากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ก่อนถึงศูนย์บริการทางหลวงเขาโพธิ์ จะเห็นซอยเลี้ยวซ้ายเข้าเขาเรดาห์ สนใจติดต่อ อบต. ไชยราช โทร. 0-3269-4619 และ ททท. ประจวบคีรีขันธ์ โทร. 0-3251-3885, 0-3251-3871, 0-3251-3854
ครั้งหนึ่งในชีวิต ล่องเรือใบอ่าวพังงา!
Traveler’s Guide
When to go : เที่ยวได้ตลอดปี แต่ฟ้าปลอดโปร่ง คลื่นลมสงบที่สุด ช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน
How to go : จากกรุงเทพฯ บินตรงสู่ภูเก็ตได้ทุกวัน จากนั้นเดินทางด้วยรถยนต์สู่ท่าเรือ Yacht Haven Marina แหลมพร้าว ลงเรือ June Bahtra ล่องอ่าวพังงา รับผู้โดยสารได้เที่ยวละไม่เกิน 10 คน แพ็กเกจ One Day Trip เริ่มเวลา 07.00-18.00 น. พื้นที่อ่าวพังงา, เกาะปันหยี, เขาตาปู, เขาพิงกัน, เกาะห้อง, เกาะพนัก, ถ้ำลอด
Where to stay : ที่ภูเก็ต แนะนำ The Village Resort & Spa หาดกะรน โทร. 0-7639-8200-5 www.thevillageresortandspa.com ที่พักหรูห้าดาว อาหารอร่อย สปาเยี่ยม มีสระว่ายน้ำอยู่หน้าห้องเลยล่ะ
What to eat : แนะนำ ร้านวันจันทร์ ถนนเทพกระษัตรี อำเภอเมืองภูเก็ต โทร. 0-7635-5909, 08-8659-5636 เมนูเด็ด แกงส้มปลากะบอกยอดมะพร้าวอ่อน, น้ำพริกกุ้งเสียบ, หมูฮ้อง, แกงปูใบชะพลู, ผักเหมียงผัดไข่กุ้งเสียบ, สะตอผัดกะปิกุ้ง, กุ้งผัดซอสมะขาม, ก้ามปูผัดมะนาว และคอหมูย่างคั่วพริกเกลือ
Souvenirs : ล่องเรืออ่าวพังงาทริปนี้มีของฝากหลายอย่าง ทั้งไข่มุกแท้, น้ำพริกกุ้งเสียบ, กะปิ, ผ้าบาติก ฯลฯ
More info : โทร. 08-3540-9529, 08-8809-7047, 08-1496-4516 เว็บไซต์ www.asian-oasis.com
ร้านวันจันทร์ ภูเก็ต
ได้ไปเที่ยวภูเก็ตมาก็หลายรอบ ทำให้รู้ว่าเมืองนี้มีอาหารอร่อยให้ชิมนับไม่ถ้วน และหนึ่งในร้านอาหารยอดฮิต ซึ่งโด่งดังด้วยเมนูอาหารพื้นบ้านแสนอร่อย ก็คือ “ร้านวันจันทร์” ซึ่งคุณปรางค์เจ้าของร้าน ที่แท้จริงก็คือหลานสาวแท้ๆ ของคุณป้ากุหลาบ “ร้านระย้า” ร้านอาหารชื่อดังในเขต Phuket Old Town ที่หลายคนรู้จักคุ้นลิ้นกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เมนูพิเศษๆ หลายอย่างรวมถึงเมนูใหม่ๆ จึงได้รับการคิดค้นถ่ายทอดมาสู่ “ร้านวันจันทร์”
เริ่มตั้งแต่แกงปูใบชะพลู, ก้ามปูผัดมะนาว, แกงส้มปลากระบอกยอดมะพร้าว, หมูฮ้อง, ผักเหมียงผัดไข่กุ้งเสียบ, สะตอผัดกะปิกุ้ง, น้ำพริกกุ้งเสียบ, กุ้งผัดมะขาม และคอหมูย่างคั่วพริกเกลือ เหล่านี้กินกับข้าวสวยร้อนๆ นุ่มๆ รับรองว่าต้องหม่ำกันจนพุงกาง
“ก้ามปูผัดมะนาว” สุดยอดอาหารของร้านวันจันทร์ที่เราไม่เคยชิมที่ไหนมาก่อน เนื้อปูก้ามใหญ่อัดแน่นชนิดคัดพิเศษ ถูกนำมาผัดกับน้ำมะนาวคั้นสด ได้รสชาติเปรี้ยวอมหวานกลมกล่อมกำลังดี ตักเข้าปากคำแรกถึงกับยิ้ม เพราะเนื้อปูสู้ปาก เคี้ยวตุ้ยๆ เลย!
“แกงปูใบชะพลู” เห็นเนื้อปูแล้วตกใจ! เพราะเนื้อปูก้อนใหญ่เนื้ออัดแน่น และสดหวานมากๆ บวกกับเครื่องแกงปักษ์ใต้ในน้ำกะทิสดข้นมาก กินกับเส้นหมี่ขาวลวก (หมี่หุ้น) โอ้วแม่เจ้า! เครื่องแกงเขาไม่เผ็ดเกินไป คนกรุงเทพฯ กินได้สบาย แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงความหอมอร่อยของน้ำแกงแบบใต้อยู่ เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม!
“กุ้งผัดซอสมะขาม” เป็นเมนูที่ทำให้ร้านวันจันทร์โด่งดังมาก ชิมแล้วต้องบอกว่ารสชาติสมคำร่ำลือ เนื่องจากเขาใช้กุ้งตัวใหญ่คัดพิเศษผัดกับซอสมะขามจนกลมกล่อม ได้สามรส มีเปรี้ยวนำ หวานตาม และเค็มปิดท้ายนิดๆ เนื้อกุ้งก็แน่นสู้ปากเหลือเกิน แถมมีดอกอัญชัญแต่งหน้ามาด้วย กินแกล้มแล้วช่วยลดความดันดีเยี่ยม ไม่ต้องไปกินยาเคมีให้เสียสุขภาพจ้า
“สะตอผัดกะปิกุ้ง” อาหารใต้ที่หลายคนชื่นชอบ ด้วยสะตอสดเม็ดใหญ่ อวบ เต่งตึง ผัดกับกุ้งตัวเบ้อเริ่ม! ผัดกับกะปิชั้นดีในปิมาณพอเหมาะ ทำให้กลิ่นไม่แรงจนเกินไป เห็นแค่ตาไม่รู้ดีเท่าชิมจริงๆ ตักคำโตใส่ปากแล้วกินข้าวร้อนๆ ตาม ว้าว! หรอยจังหู! ต้องชมกันเป็นภาษาใต้แบบนี้เลย รับรองว่าคงเสน่ห์ปักษ์ใต้ไว้ครบ มีเผ็ด หวาน เค็ม มัน กำลังดี แต่เมนูนี้ใครไม่ชอบกินสะตอหรือกินสะตอไม่เป็น ก็เลือกกินกุ้งตัวอ้วนไปแทนละกันนะจ๊ะ
“แกงส้มปลากระบอกยอดมะพร้าวอ่อน” เมนูเนื้อปลาสดๆ ที่หาชิมอย่างนี้กินในกรุงเทพฯ ไม่ได้แน่นอน น้ำแกงเหลืองปักษ์ใต้ข้นไปด้วยขมิ้น บวกกับมะพร้าวอ่อน และอ้อดิบ (ทางใต้บางจังหวัดเรียก บอน, คูน) กินกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยล้ำ ไม่เผ็ดจนเกินไป เพราะเขาปรับรสชาติไว้แล้ว เสร็จสรรพสำหรับนักท่องเที่ยว โดยไม่ขาดตกบกพร่องเลยสักนิด
เมนูห้ามพลาดแห่งร้านวันจันทร์ คือ “น้ำพริกกุ้งเสียบ” ที่ใช้กุ้งตัวใหญ่ ผัดมาอย่างเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมผักเหนาะ (ผักแกล้ม) นานาชนิด ตักมาคลุกข้าวสวยร้อนๆ กินกันเพลินเจริญอาหาร ขอบอกว่าอาหารไทยแบบนี้กินไม่อ้วนนะ เพราะมีแต่สมุนไพร กินแล้วสุขภาพแข็งแรง
“ผักเหมียงผัดไข่กุ้งเสียบ” (ผักเหมียง ทางจังหวัดระนองเขาเรียก “ผักเหรียง” เป็นชนิดเดียวกัน) เมนูปักษ์ใต้แท้ที่นำความสดอร่อยของผักพื้นบ้าน มาผสานกับสุดยอดน้ำพริกกุ้งเสียบภูเก็ต ผัดแห้งด้วยน้ำมันน้อย จนไม่รู้จะพูดว่าอะไรนอกจากคำว่า หรอยอย่างแรง! (อร่อยมาก!)
“หมูฮ้อง” อาหารภูเก็ตแท้ๆ ลักษณะคล้ายหมูพะโล้ แต่ข้นกว่า ใช้หมูสามชั้นติดเนื้อแดงมาเคี่ยวนานกว่า 5 ชั่วโมง กับพริกไทยดำ กินแล้วละลายในปาก ได้ความหอมเผ็ดร้อนนิดๆ ของพริกไทยขึ้นจมูก ติดปากติดลิ้น เหมาะสำหรับคนที่ไม่กลัวอ้วนอย่างผมพอดี ฮาฮาฮา
“คอหมูย่างคั่วพริกเกลือ” ก็เด็ดไม่แพ้เมนูอื่น คอหมูย่างไม่ติดมันเยอะเกินไป นำมาคั่วกับพริกเกลือปักษ์ใต้ ให้ความหอม เผ็ด และเค็มกำลังดี จะกินกับข้าวร้อนๆ หรือกินเล่นเป็นกับแกล้มกับเครื่องดื่มเย็นๆ ก็สุดยอดจริงๆ
Eating Guide
Address : ร้านวันจันทร์ เลขที่ 48/1 ถนนเทพกระษัตรี อำเภอเมืองภูเก็ต ตรงข้ามโรงแรมภูเก็ตทาวว์อินน์
Open : เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-22.00 น.
Contact : โทร. 0-76355-9090, 08-8659-5636 เฟสบุ๊ค www.facebook.com/OneChunPhuket
ผจญภัยโลกใต้น้ำ เกาะจันทร์ ระยอง
จำได้ว่าสมัยเป็นนักศึกษาเรียนมหาวิทยาลัยอยู่แถวชายทะเลชลบุรี ช่วงปิดเทอมใหญ่ ผมกับเพื่อนๆ ชอบไปเที่ยวทะเลระยองกัน เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เกาะยอดฮิตของพวกวัยรุ่นงบน้อยอย่างเราก็คือ “เกาะเสม็ด” แห่งทะเลระยองนี่ล่ะครับ เพราะว่าสมัยนั้นเสม็ดเป็นเกาะที่ยังเงียบสงบ สวยงาม มีสภาพธรรมชาติ ทั้งบนบกและในทะเลรอบๆ งดงามอุดมสมบูรณ์มาก และยิ่งถ้าย้อนไปเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน เราคงเคยได้ยินตำนานฤาษีเกาะเสม็ด ซึ่งในภาพยนตร์ตลกเรื่องกลิ่นสีและกาวแป้งเคยนำมาทำหนังด้วยซ้ำ! ขอบอกว่าฤาษีตนนี้มีตัวตนอยู่จริงซะด้วย เพราะเป็นพ่อของเพื่อนผมเอง! เสม็ดในยุคหนึ่งจึงเป็นเสมือน “เกาะใกล้กรุง” ที่คนงบน้อยและคนทุกเพศทุกวัยสามารถเดินทางไปพักผ่อนได้ แม้มีเวลาไม่มาก
ได้ไปเที่ยวเสม็ดอีกครั้ง แต่คราวนี้เน้นไปที่โลกใต้ทะเลมากกว่าบนบกครับ จากท่าเรือบ้านเพเราขนอุปกรณ์ดำน้ำมากมายใส่เรือโดยสารสองชั้น แล่นอย่างเชื่องช้ามุ่งหน้าสู่เกาะใหญ่ที่ทอดตัวอยู่นิ่งสงบอยู่เบื้องหน้า เรือค่อยๆ วิ่งเลาะไปทางด้านฝั่งตะวันตกของเกาะเสม็ด ผ่านอ่าวพร้าวลงไปจนสุดปลายเกาะ แล้วเลยไปจนถึงเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่งที่ตั้งอยู่เคียงคู่กับเกาะสันฉลาม สายลมเย็นๆ และกลิ่นอายทะเลพัดพรูเข้ามาบนดาดฟ้าเปิดโล่งชั้นสอง ทำให้เรารู้สึกสดชื่น บัดนี้เรามาถึงแล้ว “เกาะจันทร์” หนึ่งเกาะสำคัญอันเป็นแหล่งดำน้ำลึก (SCUBA) ยอดฮิตของอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด คนเรือบอกว่าเกาะจันทร์และเกาะสันฉลาม เป็นเกาะเล็กๆ ที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ จริงๆ มีลักษณะคล้ายกองหินโผล่พ้นน้ำมากกว่าเกาะซะอีก ในบางฤดูจะมีฝูงนกนางนวลมาทำรังวางไข่ ส่วนใต้น้ำมีปลาค่อนข้างชุกชุม โดยเฉพาะปลาอินทรีย์ที่จะแวะเวียนเข้ามาหากินเสมอ นักดำน้ำที่ไปสำรวจโลกใต้ทะเลฝั่งอันดามันกันมาจนปรุแล้ว และต้องการหาโลเกชั่นดำน้ำใหม่ทางอ่าวไทยบ้าง ก็ไม่ควรลืมชื่อเกาะจันทร์ไปอย่างเด็ดขาด
ก่อนจะโดดลงน้ำ Dive Leader ซึ่งเป็นหัวหน้าทัวร์ดำน้ำในครั้งนี้ ได้เรียกประชุมเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อสรุปลักษณะการดำน้ำให้ฟัง เพราะบริเวณเกาะจันทร์แม้มีปะการังสวย แต่กระแสน้ำค่อนข้างแรง ต้องให้ไต้ก๋งเรือซึ่งชำนาญพื้นที่หาจุดปล่อยตัวตรงบริเวณน้ำเชี่ยวน้อยสุด เพื่อนๆ หลายคนที่เป็นนักดำน้ำมืออาชีพและพกกล้องถ่ายภาพใต้น้ำตัวใหญ่มาด้วย ง่วนอยู่กับการประกอบกล้อง เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดใดๆ ใต้น้ำขึ้นได้เด็ดขาด ส่วนคนอื่นๆ ก็ Re-Check อุปกรณ์ดำน้ำทุกชิ้นอีกครั้ง ตั้งแต่หน้ากาดำน้ำและท่อหายใจ (Mask) ถังดำน้ำบรรจุก๊าซออกซิเจนบริสุทธิ์ (Oxygen Tank) เสื้อชูชีพ (BCD) ชุดดำน้ำ (Wet Suit) ตีนกบ (Fins) รวมถึงอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น ไฟฉายใต้น้ำ, มีด, ทุ่นลอย ฯลฯ
ฟังดูเหมือนว่ากีฬาดำน้ำลึกจะเป็นอะไรที่ยุ่งยากซับซ้อน แต่จริงๆ เมื่อเราสอบผ่านเบื้องต้นในระดับ Open Water และได้บัตรดำน้ำสากลไว้ประจำตัวจากสถาบัน PADI แล้ว เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น ทุกอย่างมันก็จะง่ายไปเองครับ เราจะสามารถใช้อุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว เหมือนเป็นอัตโนมัติ แต่ที่สำคัญคือเวลาไปดำน้ำต้องมีคู่บัดดี้หรือคู่หูด้วยทุกครั้งตามกฎสากลเพื่อความปลอดภัย มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันทันท่วงที และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การอยู่ใต้น้ำต้องไม่ตื่นตกใจกลัวง่าย (Panic) ต้องพยายามตั้งสมาธิ รวมสติให้ได้เสมอ กีฬาดำน้ำจึงได้ประโยชน์มากกว่าความสนุกหรือท่องเที่ยว แต่ยังได้ฝึกกายฝึกจิตให้เข้มแข็งขึ้นด้วยครับ
วันนี้เป็นวันข้างแรม ฟ้าใส พอเรือจอดสนิทได้สัญญาณ นักดำน้ำก็ค่อยๆ ทยอยกันโดดลงน้ำทีละคน เสียงดังตูมน้ำแตกกระเซ็น แต่น้ำทะเลค่อนข้างขุ่นมีตะกอนมาก เราจึงต้องเกาะกลุ่มไว้กันหลงทาง ไม่นานนักเราก็เริ่มปล่อยลมออกจากเสื้อชูชีพจนหมด ตะกั่วถ่วงเอวค่อยๆ ทำหน้าที่เพิ่มน้ำหนัก ทำให้ตัวเราจมลงสู่ห้วงลึกอย่างช้าๆ น้ำทะเลสีเขียวเริ่มอมสีฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ตามระดับความลึกที่เพิ่มขึ้น เราได้ยินแต่เสียงหายใจของตัวเองผ่านท่อหายใจ และมีเพียงเสียงความเงียบรอบข้าง ผสานกับเสียงฟองอากาศขาวพุ่งลอยออกไปทุกครั้งที่หายใจ Dive Leader ให้สัญญาณชี้ทิศทางดำน้ำเลียบไปตามโขดหินใต้น้ำของเกาะจันทร์ ซึ่งมีลักษณะหลายแบบ ทั้งโขดหินปะการังใหญ่ พื้นทราย และบางจุดเป็นกำแพงหน้าผาหักชันลงไปในเหวลึก พวกเราเลือกดำน้ำไปในส่วนตื้นเลียบเกาะ ห่างออกจากฝั่งประมาณ 10 เมตร เพราะตรงนี้ไม่ลึกจนเกินไป กระแสน้ำไม่แรงนัก และมีโลกใต้ทะเลสวยๆ แอบซ่อนอยู่ให้ค้นหา
สิ่งแรกที่เห็นคือพื้นทรายสีขาวอมน้ำตาล และตะกอนจำนวนมากมายมหาศาลที่ล่องลอยอยู่ในน้ำ รวมถึงหอยเม่นสีดำตัวเขื่องที่เกาะอยู่ตามโขดหิน ภาวะน้ำทะเลร้อนอันเกิดจากภาวะโลกร้อน ได้ทำให้ปะการังแข็งส่วนใหญ่ที่เกาะจันทร์ตายไปเกือบหมด! ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันผมเชื่อว่าเป็นระยะฟื้นตัว สิ่งมีชีวิตน่าสนใจที่เราพบในวันนี้มีไม่น้อย อาทิ ม้าน้ำจิ๋วตัวสีน้ำตาลกลืนไปกับสีปะการังและสีทรายที่มันอยู่ ถ้าไม่สังเกตให้ดีคงไม่เห็น เชื่อหรือไม่ว่าแม้ว่าม้าน้ำจะมีรูปร่างไม่เหมือนปลาเลยก็ตาม แต่มันก็ถูกจัดอันดับไว้ในวงศ์วานเดียวกับพวกปลากระดูกแข็ง โดยมีกระดูกหรือเปลือกแข็งห่อหุ้มลำตัว แทนเกล็ด หลายคนสงสัยว่าม้าน้ำเคลื่อนที่ได้อย่างไร? คือมันมีครีบหลังและครีบท้องอันเล็กๆ ครับ ใช้โบกสะบัดถี่ๆ ในการเคลื่อนตัวขึ้นลงหรือไปข้างหน้าได้อย่างช้าๆ ปกติม้าน้ำเป็นสัตว์อาศัยอยู่เป็นหลักแหล่ง ตัวผู้เป็นฝ่ายเลี้ยงลูกแทนตัวเมีย คือในช่วงผสมพันธุ์ตัวเมียจะฉีดไข่ลงในถุงหน้าท้องตัวผู้ จากนั้นตัวผู้ก็จะฉีดน้ำเชื้อออกมาผสมกันภายใน แล้วฟักไข่อยู่นานราว 2 สัปดาห์ จึงได้ลูกม้าน้ำตัวจิ๋วออกมา
ในวันนั้นเรายังได้พบฟองน้ำครกสีแดง ทากทะเลสีขาว ดงหอยเม่น หอยมือเสือ และดอกไม้ทะเลกับปลาการ์ตูน ซึ่งอาศัยพึ่งพิงกันได้อย่างกลมกลืนน่ารัก ปลาการ์ตูนที่เราพบเป็นชนิด “ปลาการ์ตูนอินเดียนแดงสีชมพู” (Pink Skunk Clownfish) ที่มีลักษณะเด่นคือตัวยาวประมาณ 10 เซนติเมตร สีชมพูอมส้มอ่อนๆ และมีลายเส้นสีขาว พาดจากหน้าผากผ่านหัว สันหลัง ไปถึงโคนปลายหาง และอีกจุดคือมีเส้นสีขาว 1 เส้น พาดอยู่ข้างแก้ม เห็นชัดเจนครับ เจ้านี่เป็นปลาสวยงามที่คนนิยมเลี้ยงกัน แต่ก็ยังไม่ฮิตเท่าปลาการ์ตูนส้มขาวหรือนีโม่ แต่โดยส่วนตัวผม คิดว่าการได้ดำน้ำลงมาเห็นปลาการ์ตูนในสภาพธรรมชาติ ว่ายน้ำหากินปกป้องถิ่นอาศัยเล็กๆ ในกอดอกไม้ทะเลของมันนี้ คือช่วงเวลาพิเศษของชีวิตที่ผมจะไม่ลืมเลือนตลอดไป นี่คือข้อพิสูจน์ว่าเกาะจันทร์และท้องทะเลตะวันออก ยังมีสิ่งมีช่วิตที่สวยงามอาศัยอยู่มากมาย เรามนุษย์ซึ่งมักเรียกตัวเองว่าสัตว์ประเสริฐผู้เจริญแล้ว จึงมีหน้าที่ปกป้องสิ่งมีชีวิตอันแสนบอบบางในระบบนิเวศนี้ ให้คงอยู่ตลอดไป เพื่อความสมดุลของธรรมชาติ
เราขึ้นจากน้ำด้วยความปลอดภัยทุกคนพร้อมความชื่นมื่น ทริปนี้ไม่ธรรมดา เพราะมีเรื่องเล่า มีประสบการณ์ดีๆ พกกลับบ้านไปเล่ากันเพียบ นี่ล่ะครับ เสน่ห์ของเกาะจันทร์แห่งท้องทะเลระยอง
Traveler’s Guide
Best season : ดำน้ำได้ดี คลื่นลมสงบ น้ำใสสุด ช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน
How to go : ลงเรือโดยสารหรือเรือสปีตโบ๊ทจากท่าเรือบ้านเพ ฝั่งจังหวัดระยอง ใช้เวลา 40 นาที จนถึงเกาะเสม็ด เกาะจันทร์อยู่ใกล้หินสันฉลาม ทางปลายด้านใต้สุดของเกาะเสม็ด เหมาะสำหรับการดำน้ำลึก ผู้ที่จะไปดำน้ำต้องมีบัตร PADI และมีประสบการณ์ดำน้ำเบื้องต้นมาพอสมควร น้ำบริเวณนี้ลึก 4-6 เมตร กระแสน้ำค่อนข้างแรง ควรสอบถามจากคนเรือก่อนลงดำน้ำทุกครั้ง
Where to stay : แนะนำ Lima Coco อ่าวพร้าว เกาะเสม็ด โทร. 08-9814-9843, 08-9105-7080 www.limasamed.com
What to eat : แนะนำสุดยอดร้านอาหารทะเลระยอง แหลมเจริญซีฟู้ด ปากน้ำระยอง โทร. 0-3894-0094 http://laemcharoenseafood.com ต้องไม่พลาดชิมปลากะพงทอดราดน้ำปลา เมนูขึ้นชื่อของร้านนี้
SCUBA Tour : บริษัททัวร์ที่จัดแพ็กเกจดำน้ำในเขตทะเลระยอง เกาะเสม็ด เกาะจันทร์ เกาะมันกลาง เกาะมันนอก ติดต่อ The Toy Tour โทร. 0-3863-9099 / Follow Me Tour โทร. 0-3864-7374 / Villa Bali โทร. 0-3863-8080 / เรือโชคหิรัญนาวี โทร. 08-1578-6082
More info : ททท. สำนักงานจังหวัดระยอง โทร. 0-3865-5420-1, 0-3866-4585
เที่ยวสานสายใยสองแผ่นดิน นครพนม-คำม่วน ลาว
เมื่อวันที่ 11 เดือน 11 (พฤศจิกายน) ค.ศ. 2011 เวลา 11 นาฬิกา 11 นาที คือวันหนึ่งที่คนไทยต้องจดจำ เพราะเป็นวันสำคัญยิ่งที่ “สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3” จะเปิดอย่างเป็นทางการ เชื่อมโยงผู้คน วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว ของไทย-ลาว-เวียดนาม-จีน เข้าด้วยกัน จังหวัดที่ดูเหมือนจะเงียบๆ อย่างนครพนมจึงกลายเป็น HUB หรือเมืองหน้าด่านสำคัญขึ้นมาทันที และเมื่อโฟกัสจุดสนใจลงไปที่ “การท่องเที่ยว” แล้ว ก็นับว่าสดใสมากๆ คนจากทั้ง 4 ประเทศ จะได้ไปมาหาสู่กันอย่างสะดวกโยธิน เช่นเดียวกับสินค้าไทยที่คนลาว เวียดนาม จีน ชื่นชอบในคุณภาพ ก็จะส่งออกได้เพิ่มขึ้นทวีคูณ ส่วนอาหารทะเลสดๆ จากชายทะเลเวียดนามกลาง ก็จะส่งตรงสู่นครพนมทุกวัน
สมัยโบราณตัวเมืองนครพนมเดิมตั้งอยู่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขงของไทย-ลาว ชื่อ “อาณาจักรศรีโคตรบูร” กระทั่งเจ้าเมืองคนสุดท้ายย้ายเมืองกลับไปฝั่งลาวทั้งหมด ต่อมาถึงยุคฝรั่งเศสบุกยึดนครพนมเป็นอาณานิคม จึงวางผังเมืองอันสวยงาม และสร้างตึกทรงโคโลเนียลไว้ให้ชมกันจนทุกวันนี้ พร้อมกับมีชาวเวียดนามที่นับถือคริสตศาสนาย้ายเข้ามาด้วย กระทั่งถึงยุคสงครามเวียดนาม ทหารอเมริกันใช้นครพนมเป็นฐานทัพ และใช้ย่านชุมชนริมน้ำโขงเป็นที่พักผ่อน มีร้านนั่งดื่มสไตล์อเมริกันเพียบ เมื่อสงครามเวียดนามสงบนครพนมจึงค่อยๆ พัฒนาจนมีหน้าตาเฉกเช่นปัจจุบัน จึงสรุปได้ชัดเจนว่า นครพนมมีความเป็น “เมืองหน้าด่านสำคัญ” มาทุกยุคสมัยไม่เคยเปลี่ยน
ริมโขงนครพนมในยามฤดูแล้งช่างสวยงามเหมือนสวรรค์สรรค์สร้าง น้ำโขงลดระดับ เผยให้เห็นเนินทราย และริ้วทรายสวยงาม เรียกว่า หาดทรายทองศรีโคตรบูร
วัดนักบุญอันนาหนองแสง เป็นโบสถ์คริสต์ขนาดใหญ่ริมโขงในเมืองนครพนม ที่นี่เป็นศูนย์รวมใจของชาวไทยคริสต์ในแถบนี้ล่ะครับ ซึ่งส่วนหนึ่งมีเชื้อสายญวน หรือเวียดนาม นั่นเอง
แม้ว่ามุกปีนครพนมจะมีประเพณีไหลเรือไฟใหญ่ อันยิ่งใหญ่อลังการ แต่เขาก็ยังอนุรักษ์การไหลเรือไฟโบราณลำเล็กๆ น่ารัก เพื่อสะเดาะเคราะห์ และขอขมาลาโทษพระแม่คงคาในลำน้ำโขง
งานประเพณีไหลเรือไฟนครพนม ยิ่งใหญ่อลังการ ปลุกท้องน้ำโขงยามราตรีให้สว่างไสว มีชีวิตชีวา โดยเขาจะจัดกันในช่วงวันออกพรรษา (เดือนตุลาคม) นั่นเอง
สาวหนุ่มชาวผู้ไทนครพนม แข่งกันดูดอุ สานสัมพันธ์ให้แนบแน่น
เมืองเก่านครพนม ตั้งเรียงรายอยู่ริมโขง ปัจจุบันได้รับการปรับปรุงเป็นร้านน่านั่งบรรยากาศชิลสุดๆ
หอนาฬิกาในเมืองเก่านครพนม วันเสาร์ อาทิตย์ จะปิดเป็นถนนคนเดินน่ารักๆ
ตลาดยามค่ำที่เมืองนครพนม เต็มไปด้วยจังหวะแห่งชีวิตและสีสันพรรณไม้ไหว้พระ
พระธาตุนคร ตั้งอยู่ริมโขงหน้าเมืองนครพนมในวัดมหาธาตุ เป็นพระธาตุประจำคนเกิดวันเสาร์
นครพนมเป็นเพียงจังหวัดเดียวในเมืองไทย ที่มีพระธาตุประจำคนเกิดครบ 7 วัน จึงสามรถเช่ารถสามล้อสกายแลป ให้วิ่งพาไปสักการะได้ทั่วถึง
สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 นครพนม-คำม่วน
นั่งเรือข้ามโขง จากนครพนมไปคำม่วน เชื่อมความสัมพันธ์สองแผ่นดิน
ถ้ามีเวลาค้างคืนในแขวงคำม่วน ขอแนะนำให้ตื่นแต่เช้า ไปรอใส่บาตรข้าวเหนียว สัมผัสวิถีอันเรียบง่าย งดงาม และเนิบช้าของเมืองที่ยังบริสุทธิ์แห่งนี้
แหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ห้ามพลาดในเมืองท่าแขกคือ “พระธาตุศรีโคตรบอง” (คนไทยเรียก พระธาตุศรีโคตรบูร) พระธาตุองค์สำคัญที่สุดของแขวงนี้ สันนิษฐานว่าสร้างสมัยเดียวกับพระธาตุอิงฮัง แขวงสะหวันนะเขตของลาว พระธาตุศรีโคตรบองมีความงดงามมาก ส่วนฐานสีขาว ส่วนปลียอดสีทองอร่าม ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ คือ พระกะกุสันโท พระโกนาคะมะโน พระกัดสะโบ และพระโคตะโม การสักการะที่ถูกต้อง ควรซื้อดอกไม้ธูปเทียนและหมากเบง (พุ่มบายศรี) ที่แม่ค้าลาวนำมาขาย แล้วนำขึ้นไปสักการะองค์พระธาตุ โดยต้องแต่งกายให้สุภาพ ห้ามนุ่งกางเกงขาสั้น ผู้ชายยังพออนุโลม แต่สุภาพสตรีที่นุ่งสั้นมา จำเป็นต้องเช่าผ้าถุงของทางวัดนุ่งให้เรียบร้อยก่อน
ร้านอาหารส่วนใหญ่เมืองท่าแขก พอกินเสร็จแล้ว สาวเสิร์ฟจะเริ่มเปลี่ยนหน้าที่มาเต้นบาสโลบ แล้วก็จะชวนเราเข้าไปร่วมวงด้วย
ตลาดในเมืองท่แขกแขวงคำม่วน มีสินค้าให้ช้อปปิ้งเพียบ โดยเฉพาะซิ่นของแม่หญิงลาวหลากสีหลายลาย ละลานตา!
ถนนหนทางในเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน ร่มรื่นมาก ยิ่งถ้าเป็นฤดูฝนด้วยยิ่งเขีนวสดชื่นสุดๆ
“กำแพงยักษ์” (The Great Wall) แหล่งท่องเที่ยวใหม่ Unseen เมืองลาว ที่ใครเห็นก็ต้องตะลึง กับกำแพงหินยักษ์ยาว 15 กิโลเมตร สูงกว่า 5-6 เมตร สร้างด้วยหินล้วนๆ บางก้อนใหญ่เท่ารถสิบล้อทั้งคัน! สร้างขึ้นสมัยอาณาจักรศรีโคตรบองราวๆ พุทธศตวรรษที่ 9 ปัจจุบันตั้งอยู่กลางป่ารกลึกลับมาก
ถ้ำนางแอ่น เป็นถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งจนติดอันดับในเอเชีย ยิ่งเดินลึกเข้าไปในถ้ำก็ยิ่งตื่นตา เพราะแต่ละโถงแต่ละห้องหับช่างใหญ่โตอลังการซะจริงๆ
Traveler’s Guide
How to go : เส้นทางนครพนม สะพานมิตรภาพไทย ลาว 3 – เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน (ลาว) สามารถใช้ได้ทั้งรถเก๋ง รถตู้ และรถบัส เพราะถนนหนทางสะดวกแล้ว
Where to stay : ไทย แนะนำ โรงแรมนครพนมริเวอร์วิว โทร. 0-4252-2333-40 และ iHotel โทร. 08-6450-9693, 0-4254-3355 ลาว (เมืองท่าแขก) Hotel Riveria โทร. 008-856-51250000
More info : ททท. จังหวัดนครพนม-สกลนคร-มุกดาหาร โทร. 0-4251-3490, คุณธารินทร์ พันธุมัย ผู้เชี่ยวชาญการท่องเที่ยว จ.นครพนม โทร. 08-1380-4673, ล่องเรือลำโขงนครพนม โทร. 08-6230-5560
เหินฟ้าเหนือหิมาลัยที่ Nepal
ไกลออกไปราว 200 กิโลเมตร ทางตะวันตกของ กรุงกาฐมาณฑุ (Kathmandu) เมืองหลวงของเนปาล เฉียงขึ้นไปทางเหนือใกล้กับแนวเทือกเขาหิมาลัยสูงล้ำค้ำฟ้า ณ ที่นั้นคือ เมืองโปขรา (Pokhara) เมืองมีเสน่ห์ ที่งามเด่นด้วยธรรมชาติ และกิจกรรมผจญภัยหลากหลายชนิด ทั้งล่องแก่ง ขี่ช้าง ปีนเขา เดินเทรกกิ้ง โดดร่มดิ่งพสุธา ขึ้นเครื่องร่อน นั่งเครื่องบินเล็ก ปั่นจักรยานเสือภูเขา ฯลฯ จนโปขราได้รับฉายาสุดเก๋ว่า “เมืองหลวงแห่งการผจญภัยในเนปาล” หรือ The Capital of Nepal’s Adventure เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
โดยเฉพาะในช่วงไฮท์ซีซันฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-มกราคม โปขราก็จะยิ่งคึกคักคลาคล่ำ ไปด้วยนักผจญภัยมากหน้าหลายตาจากทั่วโลก ต่างแต่งกายเตรียมพร้อมสำหรับวิถีชีวิตผจญภัยกลางแจ้ง ยิ่งคนคอเดียวกันมาเจอกัน มิตรภาพระหว่างคนต่างเชื้อชาติ ศาสนา เพศวัย หรือแม้แต่ทวีป ก็ไม่เป็นอุปสรรค พวกเขาพูดคุยด้วยภาษาเดียวกันคือ “ภาษาแห่งการผจญภัย” ที่มีหัวใจและโชคชะตาเป็นเดิมพัน
Prepare Yourself for Flying : (เตรียมตัวก่อนบิน)
1. ก่อนขึ้นบินหนึ่งคืน ควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อป้องกันอาการเวียนหัวขณะบิน
2. ควรเตรียมถุงพลาสติกไป 1-2 ใบ เพื่อใช้ในกรณีเกิดเมาเครื่อง อยากจะอาเจียน
3. ขณะทำการบิน ไม่ควรหัวหน้ามองไปมาซ้ายขวาอย่างรวดเร็วเกินไป เพราะอาจทำให้เมาเครื่องได้ ควรทำช้าๆ
4. ขณะขึ้นบิน ควรสวมเสื้อกันหนาว หรือเสื้อแจ็กเก็ตบางๆ ให้ร่างกายอบอุ่นไว้
5. นำอุปกรณ์ถ่ายภาพเท่าที่จำเป็นขึ้นไป ควรเช็คแบตเตอร์รี่และเมโมรี่ของกล้องให้เพียงพอต่อการบิน 30-60 นาที
ผมเคยไปโปขราครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2000 และได้ขึ้นไปเดินเทรกกิ้งบนเทือกเขาอันนาปุรณะ (Annapurna Ranges) อันมีชื่อเสียงมาแล้ว ด้วยระยะทางสั้นๆ 5 วัน 4 คืน มันคือประสบการณ์สุดวิเศษที่ยังแจ่มชัดในใจ กระทั่งวันนี้ 12 ปีผ่านไป ผมก็ได้หวนคืนโปขราอีกครั้ง แต่คราวนี้จะขอบินเหมือนกกับบริษัท Avia Tours & Travels ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินเครื่องบินเล็กและเครื่องร่อนเหนือหิมาลัย เราไปร่วมกันเหินฟ้า ขึ้นไปพานพบประสบการณ์สุดพิเศษหนึ่งเดียวในชีวิต พร้อมๆ กัน ณ บัดนี้
โดยปกติแล้ว เครื่องบินและเครื่องร่อนของบริษัท Avia Tours & Travels Nepal จะทำการบินเฉพาะ ช่วงเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนมิถุนายนเท่านั้น เพราะนอกนั้นเป็นช่วงมรสุม มีพายุฝน อากาศไม่ดีบินไม่ได้ ส่วนในฤดูทำการบินจะบินเฉพาะเวลา 06.00-10.00 น. เพราะเป็นยามเช้าที่อากาศเหนือเทือกเขาหิมาลัยลมสงบ ไม่อันตรายต่อการบินท่องเที่ยว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาก็จะเช็คสภาพอากาศเป็นรายวันอีกที ส่วนค่าบริการก็อยู่ที่ 100 ยูเอสดอลลาร์ สำหรับการบิน 30 นาที ทั้งเครื่องบินเล็กติดใบพัดสองที่นั่ง และเครื่องร่อนติดใบพัดยนต์ (Utralight) ซึ่งอย่างหลังนี่ดูน่าตื่นเต้นกว่า เพราะไม่มีกระจกกั้นตัวเรากับภูเขาและอากาศภายนอกเลย อย่างไรก็ตาม บริษัทเขาก็มีเส้นทางบินให้เลือกหลายเส้น ตั้งแต่ 30 นาที, 60 นาที ไปจนถึงหลายชั่วโมง
ในเช้าวันที่ผมขึ้นบิน นักบินบอกว่าโชคดีอย่างประหลาด เพราะเป็นวันที่อากาศดีที่สุดในรอบ 20 วัน! อีกทั้งยังเป็นวันก่อนสุดท้ายที่จะปิดฤดูการบินด้วย! ผมจึงโชคดีสองชั้น อาจเพราะคืนก่อนนั้น ผมสวดขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนหิมาลัย ท่านคงเห็นใจให้ได้รูปสวยๆ
06.00 น. ตรงเผง เครื่องก็ทะยานขึ้นจากรันเวย์สนามบินโปขรา เครื่องค่อยๆ ไต่ระดับความสูงขึ้นช้าๆ จนมองเห็นตึกรามบ้านช่องเบื้องล่างเล็กจิ๋วราวของเล่น เครื่องบ่ายหน้าไปทางทิศตะวันตกเหินเหนือยอดเขา ซึ่งมีผืนป่าเขียวขจีมองเห็นยอดไม้เป็นพรมสีเขียวแผ่ปก ข้ามยอดเขาซารังกอต (Sarangkot) อันเป็นจุดชมวิวแสงยามเช้าอาบเทือกเขาอันนาปุรณะ จนกระทั่งเรามุ่งหน้าตรงเข้าหาแนวเทือกเขาน้ำแข็งหิมะ เล่นเอาใจเต้มตูมตามด้วยความตื่นเต้นดีใจ เพราะภาพที่เห็นเบื้องหน้าช่างยิ่งใหญ่อลังการจริงๆ ทำให้เรารู้สึกตัวเล็กลีบไปเลย ขุนเขามีพลังมาก ยิ่งมองเห็นจากมุมมองทางอากาศอย่างนี้ด้วยแล้ว ยิ่งประทับใจ
ยอดเขาอันนาปุรณะ หรือมัจฉาปูชเร (Fish Tail) เป็นยอดเขาสุดพิเศษแห่งอันนาปุรณะ เพราะส่วนยอดแตกออกเป็น 2 แฉกเหมือนหางปลาเดี๊ยะเลย
นักบินสะกิดให้ดูหุบเขาโลกพระจันทร์ตะปุ่มตะป่ำเบื้องล่าง นั่นคือ “หัวใจแห่งขุนเขา” (Heart of the Mountain) ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่มีมนุษย์คนใดเดินเท้าเข้าถึงได้ ต้องชื่นชมจากทางอากาศท่านั้น! เบื้องหน้าผมตอนนี้คือยอดเขาหิมะขาวโพลนเรียงราย ไล่ความสูงตั้งแต่ 6,000-8,000 กว่าเมตร! อาทิ ยอดเขามัจจาปูชเร (Matchapuchare) หรือยอดเขาหางปลา (Fish Tail ความสูง 6,993 เมตร) ซึ่งโด่งดังก้องโลก ใครๆ ก็อยากมาชม ต่อด้วยยอดเขาอันนาปุรณะใต้ (Annapurna South), ยอดเขาอันนาปุรณะ I, II, III, IV, ยอดเขาหิอุนชูลี (Hiunchuli) และยอดเขาลัมจุงหิมัล (Lamjung Himal) แสงอาทิตย์ยามเช้าเพ่ิงพ้นเหลี่ยมเขา สาดเป็นลำพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเบื้องสูง น่าตื่นตาอย่างที่สุด กระทั่งเราวนเข้าใกล้ยอดเขามัจจาปูชเร โดยเบี่ยงไปทางด้านตะวันตก เผยให้เห็นรูปทรงยอดเขาประหลาดที่ส่วนบนสุดแตกเป็น 2 แฉก! ทว่าตอนนี้น้ำมันหมดไปครึ่งถังแล้ว กัปตันเลยวนเครื่องกลับโปขรา
Light of God แสงแห่งพระเจ้าเหนือเทือกเขาอันนาปุรณะ
ผมสามารถสื่อสารกับนักบินได้ด้วยหูฟังและไมโครโฟนที่สวมหัวอยู่ จึงรู้ว่ากัปตันกำลังพาไปบินวน เหนือทะเลสาบเฟวา (Phewa Lake) เพื่อให้ชม Land Mark สำคัญของเมืองนี้ จากอากาศเบื้องสูง แลเห็นผืนน้ำสีน้ำเงินเข้มและเทือกเขาเขียวๆ รายรอบอาบแสงอุ่นยามเช้า มีท่าเรือและเรือจำนวนมากลอยลำ พร้อมมองเห็นตัวเมืองโปขราทอดขนานไปกับทะเลสาบด้านตะวันออก ตามถนนยาว 3 กิโลเมตร
บ้านเรือนในเมืองโปขรากระจายอยู่ห่างๆ กันในทุ่งนาสีเขียว ก่อเกิดจากดินตะกอนอันอุดมที่เทพีแห่งอันนาปุณะประทานมาให้
ทะเลสาบเฟวาจากมุมสูง แลน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย
ในที่สุดล้อเครื่องบินก็แตะรันเวย์อย่างปลอดภัย ผมจะไม่มีวันลืมช่วงเวลาสุดพิเศษนี้เลยชั่วชีวิต
Special Thank : บริษัท Nikon Sales (Thailand) Co., Ltd. สนับสนุนสุดยอดอุปกรณ์ถ่ายภาพระดับมืออาชีพ
สนใจติดต่อ โทร. 0-2633-5100 / แฟ็กซ์ 0-2633-5191 (Office) / 0-2633-5192 (Service) www.nikon.co.th
Traveler’s Guide
Best season : โปขราเที่ยวได้ตลอดปี แต่อากาศเย็นสบาย ฟ้าเปิดที่สุด ช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม
How to go : จากไทยบินตรงสู่กาฐมาณฑุ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที แนะนำ การบินไทย โทร. 0-2288-7000 www.thaiair.com และ Nepal Airlines โทร. 02-2667146-7 www.nepalairlines.com.np จากนั้นไปโปขรา สามารถต่อเครื่องบิน (30 นาที) หรือนั่งรถบัส (ใช้เวลา 1 วันเต็ม) แล้วแต่สะดวก
Where to stay : เมืองโปขรา แนะนำที่พักอย่างดี Hotel Barahi โทร. 977-61-461572 www.barahi.com, info@barahi.com / กรุงกาฐมาณฑุ แนะนำโรงแรม 5 ดาวที่สีที่สุด คือ Hotel Annapurna โทร. 977-1-4221711 www.annapurna-hotel.com, hotel@annapurna.com.no
What to eat : อยากให้ล้ิมลองอาหารเนปาลีแท้ๆ ดูสักมื้อ ลองสั่ง Chicken Curry (แกงไก่) กินกับข้าวสวย (Steam Rice / Plain Rice) โดยมีเนปาลีสลัด (Nepali Salad) เป็นเครื่องเคียง สลัดนี้เป็นผักดิบฝานบางๆ บีบมะนาวราด ประกอบด้วยมะเขือเทศ แตงกวา แครอท พริกสด และหอมแดงลูกใหญ่ ตบท้ายด้วย ชาใส่นม (Nepali Tea)
More info : เหินฟ้าเหนือหิมาลัยกับ บริษัท Avia Tours & Travels โทร. 977-1-4267633 เว็บไซต์ www.aviatoursnepal.com อี-เมล์ info@aviatoursnepal.com / จัดทริปไปเนปาลกับ บริษัท Himalayan Holiday โทร. 0-2235-7583-4, 0-2235-7572 เว็บไซต์ www.himalayanbkk.com อี-เมลล์ info@himalayanbkk.com