วันเดียวเที่ยว 4 เกาะ เลาะอ่าวไทย ไปทะเลชุมพร
ว้าวๆ วันนี้พี่อ๋องแห่งเว็บไซต์ www.GoTravelPhoto.com จะร่วมเดินทางไปกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานชุมพร-ระนอง ล่องเรือสปีทโบ๊ทความเร็วสูง โล้คลื่นออกไปเที่ยว “หมู่เกาะทะเลชุมพร” ฉายา เมืองหาดทรายสวย 400 ลี้ หรือประตูสู่ภาคใต้ ที่มีหมู่เกาะเรียงรายอยู่ในทะเลตามแนวทิศเหนือ-ใต้ กว่า 40 เกาะ เหมาะมากสำหรับการออกไปดำน้ำทักทายหมู่ปลาและปะการังใต้ท้องทะเลสีครามคร้าบ
ชุมพรอาจจะเป็นเพียงเมืองผ่านในสายตาใครหลายๆ คน เพราะเมื่อคิดถึงเกาะ คิดถึงทะเลสวยๆ ของภาคใต้ หลายคนก็คงเลยลงไปเที่ยวกระบี่, ตรัง, พังงา, สตูล, ภูเก็ต ฯลฯ กันหมด! ถ้าคุณเที่ยวทะเลเหล่านั้นจนทั่วแล้ว และต้องการหาที่เที่ยวแปลกใหม่ล่ะก็ ขอบอกเลยว่า “ทะเลชุมพร” คือตัวเลือกที่คุ้มค่าสุดๆ เพราะนอกจากจะเดินทางสะดวกด้วยเครื่องบินตรงจาก กทม. แล้ว ท้องทะเลของชุมพรยังงามจับใจไม่แพ้ที่ใดๆ เลย
เกาะกว่า 40 เกาะของชุมพร กระจายอยู่ในทะเลอ่าวไทยในแนวทิศเหนือ-ใต้ ไล่ตั้งแต่อำเภอปะทิว, อำเภอมืองชุมพร, อำเภอสวี, อำเภอทุ่งตะโก และอำเภอหลังสวน โดยแบ่งได้เป็น 2 โซนใหญ่ๆ คือ หมู่เกาะด้านทิศเหนือ และหมู่เกาะด้านทิศใต้ โดยด้านทิศเหนือเด่นด้วยเกาะง่ามน้อย เกาะง่ามใหญ่ เกาะทะลุ และเกาะกะโหลก ซึ่งเป็นทริป “วันเดียวเที่ยว 4 เกาะ” ของเราในครั้งนี้ ส่วนหมู่เกาะด้านทิศใต้ เด่นๆ คือ เกาะลังกาจิว และเกาะละวะ โดยส่วนใหญ่ที่กล่าวมา ล้วนเป็นสัมปทานเกาะรังนกที่ขึ้นเหยียบเกาะไม่ได้ แต่เขาอนุญาตให้ดำน้ำเล่นกันรอบๆ เกาะได้ครับ
ทริปวันเดียวเที่ยว 4 เกาะของเรา เริ่มต้นจากการนั่งเรือสปีทโบ๊ทความเร็วสูง ออกจากท่าเรือปากน้ำชุมพร แล่นไปทางตะวันออกตรงสู่เวิ้งน้ำสีครามเบื้องหน้า วันนี้ฟ้าใสแจ๋ว เป็นใจมากสำหรับการเที่ยวทะเล เรือแล่นมาประมาณ 40 นาที ก็ถึงจุดดำน้ำแรก คือ “เกาะง่ามน้อย” เกาะสัมปทานรังนกที่ไม่อนุญาตให้เหยียบเกาะได้ แต่อนุญาตให้ดำน้ำเล่นกันรอบๆ เกาะได้ โดยในนบริเวณนี้มีปะการังแข็งและปะการังโขดเป็นส่วนใหญ่
แต่ก่อนจะลงดำน้ำตื้น ก็ต้องมาเตรียมความพร้อม ความปลอดภัย กับการใส่เสื้อชูชีพที่พอดีตัว และใส่หน้ากากดำน้ำ (Marsk) ซึ่งมีท่อหายใจติดอยู่ จะได้ลงไปดำผุดดำว่าย ชมโลกใต้ทะเลได้อย่างชัดเจน
การดำน้ำตื้นที่หน้าเกาะง่ามน้อยถือว่าค่อนข้างปลอดภัย เพราะคลื่นลมไม่แรง น้ำไม่ลึก ไกด์ดำน้ำจะโยงสายเชือกยาวให้นักท่องเที่ยวเกาะตามกันไปเป็นแถว ค่อยๆ ตีขาว่ายน้ำตามไปอย่างช้าๆ ไม่รีบ น้ำบริเวณนี้ใสมาก เป็นสีเขียวมรกตไม่แพ้แถบทะเลตรังเลยสักนิดเดียว
การดำน้ำแม้ว่าจะเป็นน้ำตื้น ควรมี Buddy หรือเพื่อนรู้ใจ คอยดำน้ำเคียงกันไปข้างๆ เพื่อความอุ่นใจครับ
จุดเด่นของเกาะง่ามน้อย ซึ่งถือเป็น Landmark สำคัญ จนผู้คนทั่วไปจดจำกันชินตา ก็คือ หน้าผาหินปูนที่มีกระท่อมของคนเฝ้ารังนกอยู่บนนั้น คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเลจริงๆ นะเนี่ยะ เสียดาย ที่ขึ้นเกาะไปทักทายพี่ๆ เขาไม่ได้ ฮาฮาฮา
จากจุดดำน้ำด้านทิศตะวันตกของเกาะง่ามน้อย เราลองให้พี่กัปตันเรือ วนเรือสปีทโบ๊ทมาดูวิวด้านทิศตะวันออกกันบ้าง ก็สวยไปอีกแบบ ดูคล้ายเกาะในหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะสมัยก่อน ที่มีกระท่อมสำหรับคนติดเกาะด้วย
เกาะง่ามน้อย จากด้านทิศใต้ งามด้วยริ้วลายของผาหินปูน ที่มีต้นไม้เขียวๆ สลับแซมขึ้นมาเป็นหย่อมๆ
เกาะง่ามน้อยด้านทิศตะวันออก มองเห็นกระท่อมของคนงานเฝ้าถ้ำรังนกได้อย่างชัดเจน
กระท่อมคนเฝ้ารังนกบนเกาะง่ามน้อย ปลูกเป็นเพิงแบบง่ายๆ มุงหลังคาจาก คลาสสิกดีแท้
ที่ด้านตะวันออกของเกาะง่ามน้อย มีโขดหินโผล่พ้นน้ำอยู่หลายกอง มองทะลุลงไปในแผ่นน้ำใสแจ๋ว เห็นชัดเลยว่าใต้น้ำมีโขดปะการังที่สามารถลงไปดำน้ำชมได้อีกเพียบ
จากเกาะง่ามน้อย แล่นเรือต่อไปอีกแค่ไม่กี่อึดใจ ในที่สุดเราก็มาถึงอีกหนึ่ง Landmark สำคัญของหมู่เกาะทะเลชุมพร นั่นคือ หินฝ่ามือพระพุทธเจ้า หลายคนทำหน้างง ผมบอกเลยว่าไม่ต้องงง แค่เพ่งดูดีๆ และใช้จินตนาการประกอบครับ
นี่ไง ดูกันชัดๆ หินผาฝ่ามือพระพุทธเจ้า โดยในบริเวณหน้าผาที่เป็นสีส้มนั้น คือส่วนของใบหน้า และมีแง่งหินสีดำรูปฝ่ามือโค้งๆ โผล่ขึ้นมา ราวกับว่าพระพุทธเจ้าท่านกำลังประทานพรให้แก่ชาวเล และผู้ที่ได้มาเยือนถึงเกาะนี้ นับเป็นประติมากรรมธรรมขาติแห่งท้องทะเลที่เหมาะจะเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกจริงๆ ครับ
หินฝ่ามือพระพุทธเจ้า แห่งทะเลชุมพร
ไม่ไกลกันนัก คือที่ตั้งของ “เกาะทะลุ” เกาะมหัศจรรย์ที่มีช่องโพรงลอดทะลุขนาดใหญ่ โดยด้านบนเป็นสะพานหินธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากในอดีตเมื่อหลายแสนปีก่อน น้ำได้กัดเซาะโพรงเล็กๆ ของเกาะนี้ จนค่อยๆ ขยายขนาดทะลุถึงกันสองด้าน ดังปรากฏเป็นรูปลักษณ์ที่เห็นอยู่ทุกวันนี้
เกาะทะลุจริงๆ แล้วมีชื่อซ้ำกันหลายจังหวัด ทั้งเกาะทะลุ จ.ชุมพร, เกาะทะลุ อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ และเกาะทะลุ จ.ระยอง โดยเกาะทะลุ ชุมพร ถือเป็นจุดดำน้ำท่องเที่ยวและ Landmark ที่สำคัญ รอบๆ เกาะเต็มไปด้วยปะการังอันสวยงาม ซึ่งฝูงปลาจำนวนมหาศาลใช้เป็นที่หลบภัย หากิน และผสมพันธุ์ จนเปรียบได้กับ Oasia กลางทะเลอ่าวไทยเลยทีเดียว
เมื่อโดดลงน้ำตูม! แล้วว่ายน้ำเข้าไปตรงช่องทะลุของเกาะทะลุ เราก็ต้องตกตะลึง เพราะใต้น้ำมีฝูงปลากะตักนับแสนๆ ตัว (บางทีอาจจะถึงล้านตัว!) แหวกว่ายกันอยู่ราวกับพายุสีฟ้าใต้คลื่นคราม น้ำใสแจ๋วปล่อยให้แสงแดดทะลุลงมากระทบฝูงปลากะตักตัวสีเงิน สะท้อนไปมาเป็นแสงวูบวาบขณะที่พวกมันว่ายกลับตัวไปมา ช่างเป็นภาพมหัศจรรย์เหลือเกิน!
นอกจากฝูงปลากกะตักแล้ว ที่เกาะทะลุยังมีดอกไม้ทะเลกับปลาการ์ตูนมะเขือเทศด้วย
ฟองน้ำครก ฟองน้ำหลอด ปะการังสมอง และปะการังแผ่นนานาชนิดที่เกาะทะลุ
มหัศจรรย์แห่งโลกใต้ทะเลที่เกาะทะลุ ชุมพร
นอกจากโลกใต้ทะเลอันน่าตื่นตาแล้ว บนผิวน้ำก็มีภาพมหัศจรรย์ที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน นั่นคือ “ถ้ำรูปหัวใจ” ที่ไม่ว่าคุณจะมองจากด้านหน้า หรือด้านหลัง ก็ยังเห็นเป็นรูปหัวใจได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผมว่าจุดนี้น่าจะใช้เป็นที่บอกรัก หรือถ่ายภาพ Pre-Wedding ซึ้งๆ หวานๆ กันก็ดีนะครับ หรือไม่ก็จัดงานวิวาห์เจ้าสมุทรไปเลย เจ๋งอ่ะ
ไม่ไกลจากโพรงถ้ำรูปหัวใจ คือ “เกาะกะโหลก” 1 ใน 4 เกาะของแพ็กเกจทัวร์ดำน้ำวันนี้ ต้องขอชมคนที่มาค้นพบ และตั้งชื่อเกาะนี้เป็นคนแรก ไม่รู้ว่าเป็นชาวเลหรือเป็นโจรสลัดกันแน่ เพราะบนเกาะมีหินรูปหัวกะโหลกขนาดยักษ์ พิงอยู่กับโขดหินใหญ่! ลักษณะมีทั้งลูกตาสองข้าง จมูก ปาก ครบ ผมว่าน่าขนลุก! จุดนี้น่าจะใช้เป็นโลเกชั่นถ่ายหนังโจรสลัดได้
รอบเกาะกะโหลกไม่มีหาดทราย มีแต่โขดหินกับหน้าผาสูงชัน เราจึงทำได้เพียงวนเรือถ่ายภาพรอบๆ เท่านั้น
และแล้วก็มาถึงอีกจุดดำน้ำสำคัญ คือ “หินเจดีย์” ซึ่งจริงๆ แล้ว มีลักษณะเป็นกองหินขนาดใหญ่ ที่มีหินบางส่วนโผล่พ้นน้ำขึ้นมา ในทางนิเวศน์วิทยาทางทะเลบอกว่า กองหินเหล่านี้ถือเป็นศูนย์รวมของสรรพชีวิต เนื่องจากในทะเลที่เวิ้งว้างกว้างใหญ่ พวกสัตว์ทะเลทั้งหลายต่างพยายามหาที่พึ่ง เพื่อมาอยู่รวมกันเป็นสังคมที่จะได้พึ่งพาอาศัยกัน ใต้ท้องน้ำรอบๆ กองหินเหล่านี้ จึงมีทั้งปะการังและฝูงปลาเป็นร้อยชนิด!
หินเจดีย์มีสองก้อนครับ คือ หินเจดีย์ใหญ่ และหินเจดีย์เล็ก เราจะลงไปดำน้ำกันรอบๆ บริเวณนี้ล่ะ น้ำใสแจ๋วเป็นสีเขียวจัดราวกับมรกตเลยนะ สุดยอด!
พร้อมแล้วก็ลงน้ำกันได้เลยพวกเรา Go Go Go!บริเวณหินเจดีย์ เป็นจุดำน้ำยอดฮิต จึงมีเรือทัวร์ของหลายบริษัทนำนักท่องเที่ยวมาดำน้ำเล่นกัน ดีๆ จะได้ไม่เหงา เพื่อนๆ เพียบ
น้ำใส กับวัยสวย และช่วงเวลาอันน่าจดจำที่ทะเลชุมพรจ้า
ใต้น้ำรอบหินเจดีย์ เต็มไปด้วยโขดหิน ปะการัง และปลานานาชนิด
น้ำรอบหินเจดีย์ค่อนข้างตื้น โขดปะการังต่างๆ จึงอยู่ใกล้ผิวน้ำและตัวเรามาก เราจึงต้องว่ายน้ำด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะแขนขา ต้องระวังไม่ให้ไปถูกปะการังจนแตกหัก เพราะพวกมันใช้เวลาหลายร้อยปี ในการเติบโตขึ้นแค่ไม่กี่เซนติเมตร! นับเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนไหว เปราะบางมากครับ
ใต้น้ำรอบหินเจดีย์ มีดงดอกไม้ทะเลแผ่กว้างออกไปหลายสิบตารางเมตร! ราวกับพรมพลิ้วไหวที่มีชีวิต พัดพลิ้วไปมาตามจังหวะของกระแสคลื่น เชื่อหรือไม่ว่าดอกไม้ทะเลไม่ใช่พืช แต่เป็นสัตว์ประเภทหนึ่ง โดยพวกมันจะใช้เข็มพิษจับแพลงก์ตอนตัวเล็กๆ มากิน เราจึงห้ามใช้มือเปล่าจับต้องดอกไม้ทะเลเด็ดขาด!
ฝูงปลาการ์ตูนมะเขือเทศ สามารถอาศัยอยู่ในดงดอกไม้ทะเลที่มีพิษได้ เพราะพวกมันมีเมือกพิเศษรอบตัว จึงว่ายมุดเข้าไปหลบภัยอยู่ในกอดอกไม้ทะเลได้อย่างปลอดภัย นิสัยของปลาการ์ตูนแต่ละตัวคือ มันจะไม่ย้ายถิ่นอาศัย เพราะมันจะอยู่ประจำในกอดอกไม้ทะเลแต่ละกอ เมื่อมีคนหรือปลาตัวอื่นเข้าใกล้ มันจึงพยายามออกมาไล่ครับ
ความสวยงามใต้ผืนน้ำที่หินเจดีย์
หอยมือเสือตัวใหญ่เบ้อเริ่ม ที่หินเจดีย์
ปลาการ์ตูนมะเขือเทศ แหวกว่ายอยู่อย่างมีความสุขในผืนพรมดอกไม้ทะเลพล้ิวไหว รอบๆ หินเจดีย์
โขดปะการังหลากชนิดเติบโตขึ้นปะปนกัน กลายเป็นสังคมสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ ที่ดึงดูดให้ฝูงปลานานาชนิดเข้ามาอาศัยอยู่รวมกัน ราวกับ Oasis แห่งท้องทะเลชุมพร
จุดสุดท้ายของการล่องเรือ วันเดียว เที่ยว 4 เกาะทะเลชุมพร คือ “เกาะง่ามใหญ่” ซึ่งเป็นเกาะสัมปทานรังนกที่ห้ามขึ้นเหยียบเกาะเช่นกัน ทว่าด้วยขนาดของเกาะอันใหญ่โตมโหฬาร รวมถึงริ้วลายบนผาหิน และน้ำทะเลสีเขียวมรกตกโดยรอบ ก็มีเสน่ห์พอจะดึงดูดให้เราจอดเรือลงไปดำน้ำเล่นกันอยู่นาน บนเกาะแลเห็นหมู่กระท่อมของคนเฝ้ารังนก ปลูกเรียงกันอยู่บนเพิงพา พร้อมกับมีศาลเจ้า เอาไว้เคารพกราบไหว้กันด้วย เกาะรังนกจึงเป็นโลกลับแล ที่คนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างแท้จริง
มาเที่ยวหมู่เกาะทะเลชุมพรทริปนี้ ประทับใจจริงๆ เพราะได้พบทั้งความสวยงามน่าประทับใจของหมู่เกาะอ่าวไทย และได้ลงไปดำน้ำดูความมหัศจรรย์ของโลกใต้ทะเลชุมพร อยากให้คุณได้มาเห็นกับตาตัวเองเหลือเกินครับ แล้วคุณจะหลงรัก “ทะเลชุมพร” อย่างแน่นอน ไม่ได้โม้นะจ๊ะ
Special Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานชุมพร เลขที่ 111/11-12 ถนนทวีสินค้า ตำบลท่าตะเภา อำเภอเมืองฯ จังหวัดชุมพร โทร. 0-7750-2775-6 สนับสนุนการเดินทางทำสารคดีเรื่องนี้เป็นอย่างดี
ตื่นตาน่าสนุก! เทศกาลดูเหยี่ยวอพยพ ชุมพร 2558
ธรรมชาติเป็นสิ่งอัศจรรย์และมีเรื่องราวสนุกๆ ให้เราได้พานพบเสมอ อย่างที่จังหวัดชุมพร ทุกปีในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม จะเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง คือ “เหยี่ยวอพยพ” จากตอนเหนือของโลก เพื่อหนีอากาศหนาวจัดสุดขั้วจากประเทศจีน มองโกเลีย และไซบีเรีย ลงมาหากินยังแถบอุ่นกว่าในอินโดนีเซียและออสเตรเลีย โดยในปีหนึ่งๆ จะมีเหยี่ยวหลายสิบชนิด กว่า 200,000-400,000 ตัว บินผ่านลงมาตามคาบสมุทรภาคใต้ของไทย ผ่านจังหวัดชุมพร บริเวณเขาดินสอ จึงมีการจัด “เทศกาลดูเหยี่ยวอพยพ” กันอย่างคึกคัก นักดูนกทั้งไทยและเทศนับพันๆ คน ต่างแบกกล้องขึ้นไปดูนกกันอย่างสนุกสนาน เป็นงานที่รู้จักกันในระดับอินเตอร์ไปแล้ว แต่ว่าการขึ้นเขาดินสอ ต้องเดินระยะทาง 1.5 กิโลเมตร อาจจะเหนื่อย แต่ก็คุ้ม เพราะได้ทั้งความรู้และความสนุก แถมได้เพื่อนใหม่ด้วย
เหยี่ยว 6 ชนิดหลัก ที่บินอพยพผ่านเขาดินสอ จังหวัดชุมพร ก็คือ เหยี่ยวผึ้ง (Oriental Honey-buzzard) เหยี่ยวนกเขาพันธุ์จีน (Chinese Goshawk) เหยี่ยวนกเขาพันธุ์ญี่ปุ่น (Japanese Sparrowhawk) เหยี่ยวนกเขาชิครา (Shikra) เหยี่ยวหน้าเทา (Grey-faced Buzzard) และเหยี่ยวกิ้งก่าสีดำ (Black Baza) แต่จากการสำรวจแล้ว มีเหยี่ยวอพยพผ่านเขาดินสอถึง 26 ชนิดด้วยกัน
เหยี่ยวนกเขาพันธุ์ญี่ปุ่น มักบินผ่านมาเป็นฝูงเล็กๆ หรือตัวเดี่ยวๆ ในขณะที่ถ้าเป็นเหยี่ยวกิ้งก่าสีดำ ฝูงหนึ่งจะมาพร้อมกันเป็นร้อยๆ ตัว
ฝูงเหยี่ยวกิ้งก่าสีดำ พากันบินผ่านเขาดินสอ ลงไปตามคาบสมุทรภาคใต้ เพื่อลงไปหากินยังประเทศอินโดนีเซีย
ฝูงเหยี่ยวกิ้งก่าสีดำนับร้อยๆ ตัว บินฉวัดเฉวียนไปมากลางอากาศ โดยอาศัยมวลอากาศร้อนช่วยลอยตัวขึ้นไปในอากาศเป็นวงกลม แต่โดยนิสัยของนกชนิดนี้แล้ว พวกมันชอบบินโฉบไปมาราวกับนักยิมนาสติกกลางอากาศ
การขึ้นไปดูนกหรือถ่ายภาพนกบนเขาดินสอให้ได้สนุก อุปกรณ์จำเป็นที่สุดคือ กล้องส่องทางไกล หรือกล้องถ่ายภาพคุณภาพสูง ที่มีเลนส์ทางยาวโฟกัสเยอะๆ ตั้งแต่ 500 มิลลิเมตรขึ้นไป เรียกว่า Lens Super Tele มีตั้งแต่ 500, 600, 800 มิลลิเมตร และเพิ่มทางยาวโฟกัสขึ้นไปได้อีก เมื่อใส่ตัวขยาย 1.4X, 1.7X และ 2X เพื่อให้สามารถดูนกหรือถ่ายภาพนก ได้เต็มตัวจากระยะไกลมากๆ
กล้องส่องทางไกลที่ใช้ดูนก มี 2 แบบ คือ กล้องสองตา (Binoclar) และกล้องเลนส์เดี่ยว (Scope) โดยแบบหลังมีกำลังขยายสูงกว่า ภาพใสคมชัดกว่า แต่ต้องติดไว้บนขาตั้งกล้อง ส่วนกล้องสองตาที่นิยมใช้ดูนก คือกำลังขยาย 8X แต่ไม่เกิน 10X เพราะถ้ามากกว่านี้ ส่องดูนกนานๆ จะเวียนหัวได้นอกจากเหยี่ยวขนาดเล็กที่บินอพยพมาพร้อมกันเป็นฝูงแล้ว ถ้าสังเกตให้ดี เราจะพบเหยี่ยวขนาดใหญ่ บินแยกมาเดี่ยวๆ ด้วย เมื่อกางปีกเต็มที่โผผินอยู่บนฟ้า พวกมันช่างสง่างามเหลือเกิน เพราะมันคือนักล่าแห่งเวหาที่แท้จริง
นอกจากเหยี่ยว 6 ชนิดหลักที่บินอพยพผ่านเขาดินสอนับแสนตัวทุกปีแล้ว ยังมีเหยี่ยวอื่นๆ อีกหลายชนิด เช่น เหยี่ยวดำ, นกอินทรีเล็ก, เหยี่ยวกิ้งก่าสีน้ำตาล, นกอินทรีปีกลาย, เหยี่ยวรุ้ง, เหยี่ยวทุ่ง ฯลฯ
เหยี่ยวนกเขาพันธุ์ญี่ปุ่น (Japanese Sparrowhawk)
พระเอกของเขาดินสอ เหยี่ยวกิ้งก่าสีดำ (Black Baza)
เหยี่ยวกิ้งก่าสีดำ ชอบบินโฉบไปมา ฉวัดเฉวียนในอากาศ
เหยี่ยวกิ้งก่าสีน้ำตาล กางปีกร่อนอย่างสง่างาม โดยอาศัยลมร้อนช่วยในการลอยตัว
ฝูงเหยี่ยวกิ้งก่าสีดำ บินร่อนวนอยู่ในอากาศสูงหลายกิโลเมตรเหนือเขาดินสอ
เหยี่ยวเป็นนกล่าเหยื่อ ซึ่งในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Bird of Prey เป็นนกที่มีประสาทการรับกลิ่น และการมองเห็นที่ยอดเยี่ยมมาก นอกจากนี้ยังมีปากเป็นจงอย และกรงเล็บอันแข็งแกร่ง เพื่อใช้จับเหยื่อกินได้อย่างง่ายดาย
กิจกรรมการดูนก เป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวแบบ Eco-Tourism ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเยาวชนทุกคน เพราะช่วยให้เด็กๆ ได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ช่วยให้จิตใจอ่อนโยน และได้เปิดโลกทัศน์ เป็นวิธีการเรียนนอกห้องเรียน ที่ทั้งสนุกและได้ความรู้ไปพร้อมๆ กัน
ครอบครัวสุขสันต์ เมื่อเดินขึ้นถึงยอดเขาดินสอ
กิจกรรมดูนกเขาดินสอปี 2558 คึกคักเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะมีประชาชนทั่วไปให้ความสนใจกันอย่างล้นหลามแล้ว ยังมีนักดูนกมืออาชีพ ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ 20 ประเทศ เข้าร่วมสัมมนาหัวข้อเหยี่ยวกิ้งก่าสีดำ เพราะที่เขาดินสอเป็นจุดดูนกล่าเหยื่อที่โด่งดังไปทั่วโลกแล้วในขณะนี้
บรรยากาศการเดินขึ้นลงเขาดินสอ ทางบางช่วงอาจจะชันและลื่นบ้าง ถือว่าได้บรรยากาศของการผจญภัยเล็กๆ
Special Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานชุมพร เลขที่ 111/11-12 ถนนทวีสินค้า ตำบลท่าตะเภา อำเภอเมืองฯ จังหวัดชุมพร โทร. 0-7750-2775-6 สนับสนุนการเดินทางทำสารคดีเรื่องนี้เป็นอย่างดี
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : สำนักงานเทศบาลตำบลบางสน อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร โทร. 0-7759-1003
การเดินทางไปเขาดินสอ : จากตัวเมืองชุมพร ใช้ทางหลวงหมายเลข 3180 แล้วเลี้ยวขวาบริเวณบ้านต้นมะพร้าว เข้าถนนสายสามสี-ปะทิว อีกประมาณ 20 กิโลเมตร เมื่อถึงเขาดินสอแล้ว ต้องจอดรถไว้แล้วเดินขึ้นเขาอีก 1.5 กิโลเมตร
กระบี่เที่ยวได้ทั้งปี มีมากกว่าทะเล
พอย่างเข้าฤดูฝนทีไร หลายคนไม่รู้จะไปเที่ยวไหน เลยเก็บตัวเงียบอยู่กับบ้าน ทำให้เสียโอกาส ไม่ได้ออกไปพานพบความสวยงามของธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยวเมืองไทยซึ่งมีอยู่หลากหลายเหลือเกิน โดยเฉพาะ “ทะเลหน้าฝน” ที่หลายคนอาจคิดว่าไม่สวย เที่ยวไม่ได้ แต่แท้ที่จริงแล้วเที่ยวได้ เที่ยวง่าย แถมยังมีคนน้อย ไม่ต้องแย่งกันด้วย
ทริปนี้เราขอพาเพื่อนๆ มุ่งหน้าสู่ “จังหวัดกระบี่” ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติสวยงามตระการตา ทั้งบนบกและในทะเล ขอแอบกระซิบไว้ตรงนี้เลยว่า เขามีความเป็น UNSEEN หรือสิ่งที่คนยังไม่ค่อยรู้เก็บซ่อนอยู่อีกมากมาย!
สถานที่แรกในทริปเที่ยวทะเลกระบี่ฮาเฮสุขใจคราวนี้ เราขอพาเพื่อนๆ ไปยัง “ถ้ำพระนาง” ซึ่งต้องนั่งเรือหัวโทง หรือเรือหางยาวแบบปักษ์ใต้ จากอ่าวนางไปไม่ไกล ความ UNSEEN ของถ้ำพระนางคือ เป็นจุดที่มีโพรงถ้ำขนาดใหญ่ พร้อมด้วยศาลเทพธิดาอันศักดิ์สิทธิ์ ใครไปบนบาลศาลกล่าวแล้วได้ดั่งคำขอ ก็ต้องนำปลัดขิกไม้ไปแก้บน นอกจากนี้ ในบริเวณถ้ำพระนางยังมีหินงอกหินย้อยยิ่งใหญ่ตระการตา ยามเย็นมองเห็นอาทิตย์อัสดงหวานซึ้ง และในบางคืน น้ำทะเลบริเวณนี้จะเรืองแสงได้! เพราะพรายน้ำหรือแพลงก์ตอนนั่นเอง
เหนือถ้ำพระนางเงยหน้าแหงนมองคอตั้งบ่าขึ้นไปบนเชิงผา มีหินย้อยขนาดยักษ์และโพรงถ้ำน้อยใหญ่มากมาย นับเป็น Marine Karst หรือธรณีวิทยาหินปูนชายทะเล ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว ใกล้ๆ กับถ้ำพระนางคือ “อ่าวไร่เล” ซึ่งเป็นสถานที่ที่นักปีนผาจากทั่วโลกมารวมตัวกัน เพื่อพิสูจน์ฝีมือ ท้าทายความสูงอย่างไม่กลัวเกรง!
ออกจากอ่าวพระนาง เร่งเครื่องเรือสปีตโบ้ทความเร็วสูงจนผืนน้ำแตกกระจายเป็นฟองซ่า มุ่งหน้าตรงดิ่งสู่ UNSEEN ลำดับต่อไปของทะเลกระบี่ มองย้อนกลับไปทางถ้ำพระนาง แลเห็นเทือกเขาหินปูนตะปุ่มตะป่ำ ยอดเรียงรายสลับซับซ้อน นี่คือของขวัญจากธรรมชาติที่มอบให้กับนักแรมทางอย่างเราได้ชุ่มชื่นหัวใจ
มาถึงแล้วจ้า UNSEEN Krabi ที่โด่งดังไปทั่วไทยมานับสิบปี “ทะเลแหวก” หรือสันทรายขาวยาวเหยียด ผุดขึ้นจากน้ำทะเลยามน้ำลดระดับต่ำสุด โดยเฉพาะในวันแรม 15 ค่ำ ลักษณะเป็นสันทรายรูปตัว Y เชื่อมเกาะหม้อ เกาะทับ และเกาะไก่ เข้าด้วยกัน วันนี้น้ำใสฟ้าสวย แต่คนค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ฮาฮาฮา
ทะเลแหวก ทำให้เราสามารถเดินข้ามจากเกาะหนึ่ง ไปสู่อีกเกาะหนึ่งได้เลย มองจากระยะไกลๆ คล้ายกับว่าคนเดินอยู่บนน้ำได้ แปลกตามหัศจรรย์ดีเนอะ
สาวๆ ชวนกันโพสต์ท่าถ่ายรูปบนเนินทรายขาวของทะเลแหวก เห็นแล้วสดชื่นจริงๆ เลย
อยู่ที่ทะเลแหวกราว 40 นาที เราก็นั่งเรือเร็วอ้อมไปด้านหลังของ “เกาะไก่” พาให้ถึงบางอ้อ ว่าทำไมเขาจึงเรียกว่าเกาะไก่? เพราะที่ปลายเกาะมีแท่งหินขนาดยักษ์สูงหลายร้อยเมตรเด่นอยู่ ลักษณะเหมือนหัวของไก่ไม่มีผิดเลยนะสิ ถือเป็น Landmark สำคัญอย่างหนึ่งของทะเลกระบี่ไปแล้ว
โปรแกรมต่อไปนี่หลายคนเฝ้ารอมานาน คือการลงไปดำน้ำตื้น ว่ายน้ำป๋อมแป๋ม สัมผัสกับฝูงปลาและปะการังหลากชนิดของทะเลกระบี่ วันนี้คลื่นลมไม่ค่อยเป็นใจ คนเรือเลยแนะนำว่า ให้เปลี่ยนจากแผนเดิมจะไปดำน้ำที่เกาะสี่ มาเป็นดำน้ำที่ด้านข้างของเกาะไก่แทน มีปะการังแข็ง ปลาการ์ตูน และสรรพชีวิตสวยงามไม่แพ้กัน
ก่อนลงน้ำก็ต้องใส่เสื้อชูชีพ หน้ากากดำน้ำและท่อหายใจ รวมถึงเสื้อชูชีพให้พร้อม เพื่อความปลอดภัยเต็มร้อย จะได้เป็นการท่องเที่ยวที่สนุกและน่าจดจำไปอีกนานๆ ดูสิ นำ้สีมรกตใสแจ๋วเบื้องหน้า ช่างมีเสน่ห์ ร้องเรียกให้เรารีบโดดน้ำลงไปเร็วๆ
แม้น้ำจะไม่ใสแจ๋วเหมือนฤดูร้อน แต่วันนี้ก็มีทัศนวิสัยการมองได้ไกลพอควร ฝูงปลาเสือว่ายเข้ามาต้อนรับเรานับร้อยตัว! อย่างเป็นมิตร พวกมันคงสงสัยว่าเรามาทำอะไรกันในบ้านใต้น้ำของมัน แต่เราขอแนะนำเลยว่า เวลาไปเที่ยวทะเล ไม่ควรให้อาหารปลาเด็ดขาด! เพราะจะเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมปลาในธรรมชาติ! พวกมันจะดุขึ้น กัดกันเอง ถือเป็นการทำให้ระบบนิเวศน์ท้องทะเลเสื่อมโทรมลงอย่างช้าๆ และมีผลกระทบลึกล้ำเกินเข้าใจ!
นอกจากฝูงปลาแล้ว ใต้ผืนน้ำบริเวณนี้ยังมีโขดปะการังแข็งอีกมากมาย ซึ่งเป็นที่หลบภัย อาศัย หากิน ของฝูงปลาเล็กๆ นับไม่ถ้วน
ดำน้ำเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาเริงร่ากับทะเล ถ่ายภาพ SHARE ลง Social กันอย่างสนุกสนาน
UNSEEN ลำดับต่อมา ที่นักท่องเที่ยวทั่วไปไม่ค่อยรู้ คือจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของกระบี่ “หาดทับแขก” อยู่ห่างจากอ่าวนางไปทางใต้ประมาณ 17 กิโลเมตร เป็นชายหาดทอดยาว เงียบสงบ เป็นส่วนตัว สวยซึ้ง โรแมนติกมากๆ โดยเฉพาะในยามอาทิตย์อัสดง เปลี่ยนผืนฟ้าให้งามด้วยความอลังการของเฉดสีมหัศจรรย์!
เสน่ห์ของลอนทรายยามน้ำลด เคียงคู่อาทิตย์อัสดง ณ หาดทับแขก จ.กระบี่
การเดินทางของพวกเรายังไม่สิ้นสุด เพราะจังหวัดกระบี่มีแง่มุมให้ค้นหาไม่รู้จบ เราเลยชวนเพื่อนๆ ไปล่องเรือเที่ยวกันที่ “คลองปกาสัย” ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับโรงไฟฟ้ากระบี่แค่นิดเดียว ทว่าลำคลองสายนี้ยังมีสภาพธรรมชาติอุดมสมบูรณ์มาก แนวป่าโกงกางยังรกชัฎ ชาวประมงพื้นบ้านยังออกเรือไปหากุ้ง หอย ปู ปลา ได้เหมือนที่บรรพบุรุษของพวกเขาหลายรุ่น ดำรงชีพสืบต่อกันมา
ลำคลองปกาสัย บางช่วงก็กว้างเหมือนกับแม่น้ำไม่มีผิด ฟ้าใส แดดสวย แนวป่าก็เขียวขจี อากาศสดชื่น ลมเย็น อิจฉาตัวเองที่ได้ไปอยู่ตรงนั้นนะ เพราะรู้สึกสดชื่นมากๆ ธรรมชาติอยู่ใกล้แค่เอื้อมจริงๆ
มีแต่รอยยิ้มเปื้อนหน้าของน้องๆ และเพื่อนๆ ที่ไปเที่ยวด้วยกัน วันนี้เราได้มาเห็นความอุดมสมบูรณ์ของลำคลองปกาสัยแล้วนะ
เชื่อหรือไม่ว่า ในลำคลองเล็กๆ สายนี้ ยังมี UNSEEN อีกอย่างของกระบี่ซ่อนอยู่ นั่นคือ “การดำน้ำเก็บถ่านหิน” เพราะใต้ท้องน้ำของลำคลองปกาสัย อุดมด้วยถ่านหินลิกไนต์อยู่มากมายมหาศาล! หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วถ่านหินไม่ได้ทำให้น้ำเสียหรือปลาตายรึ? คำตอบคือ ถ่านหินที่เป็นก้อนใหญ่ๆ แข็งๆ อย่างในภาพนี้ มันจะไม่ได้ละลายลงน้ำ กุ้ง หอย ปู ปลา และต้นโกงกาง จึงยังเติบโตได้เช่นเดิม ส่วนถ่านหินที่ใช้กันในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนทั่วโลก ต้องนำไปบดให้ป่นจนเป็นผงแป้งสีดำก่อน แล้วจึงฉีดพ่นเข้าไปในเตาเผา เออ… ได้ความรู้ใหม่
คุณลุงคนขับเรือหัวโทง (เรือหางยาว) ของเรา เกิดและโตที่นี่ ดำน้ำเก็บถ่านหินมาตั้งแต่เด็ก และยืนยันเลยว่า อายุลุงปูนนี้แล้ว ลำคลองปกาสัยก็แทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย ผืนป่าชายเลนยังอุดม เอื้อต่อวิถีชีวิตชาวบ้านเช่นเดิม
ล่องเรือเที่ยวแล้ว ก็ได้เวลาทำประโยชน์ฝากไว้ให้ท้องถิ่น กับกิจกรรม CSR ปล่อยลูกปลากระพงขาวนับแสนตัว ลงสู่คลองปกาสัย ให้พวกมันแหวกว่ายออกไปเติบโต จะได้กลายเป็นอาหารและแหล่งรายได้ของชาวบ้านในอนาคต ต้องขอบคุณ EGAT ที่ช่วยสนับสนุนลูกปลาให้เราปล่อยในครั้งนี้จ้า
ไหนๆ ก็ลงเรือแล้ว วันนี้ไปเที่ยวแบบตัวเปียกกันให้ฉ่ำปอดเลยดีกว่า ฮาฮาฮา ได้เวลาไปโหดมันฮา สนุกกับการพายเรือคายัคเที่ยว “อ่าวท่าเลน” ป่าชายเลนกว้างที่มีแนวเขาหินปูนผลุบโผล่ขึ้นมา ราวกับโลกยุคล้านปี ระยะทางการพายเรือก็เบาะๆ แค่ 7 กิโลเมตรเท่านั้น ช่วงแรกเป็นการพายทวนน้ำ แต่เมื่อผ่านถ้ำจระเข้ไปแล้ว จะเป็นการพายตามน้ำ ไม่เหนื่อย พายเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบ ชมธรรมชาติมหัศจรรย์รอบๆ ตัวกันเพลินๆ จ้า
คายัคอ่าวท่าเลน ประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืมลงกับทะเลกระบี่วันนี้
หมุดหมายต่อไปในการเดินทางอันแสนสนุกของเรา คือการล่องเรือเที่ยว “เขาขนาบน้ำ” เขาหินปูนฝาแฝดที่ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองกระบี่ บริเวณแม่น้ำกระบี่ นับเป็น Landmark สำคัญของจังหวัด การเที่ยวก็แสนง่าย ลงเรือหัวโทงไปแค่ไม่เกิน 15 นาที ก็ถึงแล้ว
ระหว่างล่องเรือไปเขาขนาบน้ำ จะได้ชมความงามของเทือกเขาหินปูน ป่าชายเลนเขียวขจี และวิถีประมงพื้นบ้าน ถ้าวันไหนอากาศแจ่มใสฟ้าเปิดจริงๆ มองตรงไปบนยอดเขาหินปูนไกลลิบๆ จะมองเห็นเจดีย์สีทองของวัดถ้ำเสือได้เลย
มาถึงเขาขนาบน้ำแล้ว เราไม่ได้เที่ยวกันเฉยๆ แต่ขอทำประโยชน์ให้กับชุมชนและธรรมชาติด้วย กับ “กิจกรรมปลูกป่าชายเลน” นำต้นโกงกางฝังรากลงสู่ผืนดินที่นี่ เพื่อวันหนึ่งในอนาคต โลกนี้จะได้มีสีเขียวเพิ่มขึ้น เพราะต้นไม้คืออาหาร ยารัษาโรค เป็นผู้ผลิตก๊าซออกซิเจนให้เราหายใจ แถมเรือนรากป่าโกงกางยังเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน อีกทั้งช่วยชะลอการกัดเซาะของคลื่นลมได้ด้วย มหัศจรรย์จริงๆ จ้า!รอยยิ้มหวานๆ และอบอุ่น ของมะที่เขาขนาบน้ำ
จากเขาขนาบน้ำ พออิ่มเอมกับอาหารปักษ์ใต้แสนอร่อยบนเรือนแพแล้ว เราก็พาตัวเองล่องเรือหัวโทงผ่านป่าชายเลนร่มครึ้มอันลึกลับ เพื่อเข้าสู่แม่น้ำกระบี่ ไปสู่ “บ้านเกาะกลาง” ชุมชนบนเกาะกลางแม่น้ำที่น่าไปสัมผัส ด้วยอัตลักษณ์ของชุมชนชาวมุสลิมอันแสนสงบ และมีกิจกรรมน่าสนใจรอเราอยู่มากมาย
เกาะกลาง มีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบ ด้านที่ติดแม่น้ำกระบี่เป็นป่าโกงกาง อีกด้านติดทะเล ส่วนกลางเกาะเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ป่าเสม็ด และป่าพรุ ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นท้องนาอันทรงคุณค่า เพราะมีการนำ “ข้าวพันธุ์สังข์หยด” จากจังหวัดพัทลุงมาปลูก จนขายดิบขายดี ปีนึงๆ ไม่พอขายเลยล่ะ!
ข้าวสังข์หยด มีถิ่นกำเนิดในจังหวัดพัทลุง เป็นข้าวเมล็ดสีน้ำตาลแดงที่อุดมด้วยคุณค่าทางอาหารและวิตามิน ในระดับสูงมาก โดยเฉพาะมีสารไนอาซีนสูงกว่าข้าวแทบทุกชนิด ข้าวสังข์หยดจึงเป็นข้าวพันธุ์แรกของไทย ที่ได้รับมาตรฐาน GI หรือสินค้าบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ นับเป็นความภูมิใจของชาวสยามเรา
ข้าวสังข์หยดของบ้านเกาะกลาง จ.กระบี่ มีแพ็กขายอย่างดี สะอาด ถุงละ 100 บาทเท่านั้น (แต่ถ้าเข้ามาขายในเมือง ราคาจะสูงมาก!) มีแบบข้าวสังข์หยดกล้อง เมล็ดสีน้ำตาลแดง เป็นแบบสีเอาเฉพาะเปลือกออกเท่านั้น และมีแบบข้าวสังข์หยดขาว คือสีสองครั้ง เปลือกและสีน้ำตาลแดงจึงหลุดออกไป แบบนี้ก็จะมีคุณค่าทางอาหารลดลง
แม้ว่าจะมีเครื่องสีข้าวที่เป็นเครื่องยนต์สมัยใหม่แล้ว แต่บางบ้านยังนิยมสีข้าวด้วยการโม่แบบเก่าจ้า ได้ออกกำลังกายลดต้นแขน ต้นขา ไปในตัวด้วยเนอะ
รอยยิ้มใสๆ ของเจ้าตัวน้อย ที่บ้านเกาะกลาง
ที่บ้านเกาะกลางมีลองกองหวานฉ่ำกินด้วย แต่ไม่ได้ปลูกกันเอง รับมาอีกทีจากจังหวัดนราธิวาสจ้า
ภูมิปัญญาพื้นบ้านอันน่าภูมิใจอีกอย่างของบ้านเกาะกลาง คือ “การทำเรือหัวโทงจำลอง” เข้าไปชมได้ที่ ศูนย์การเรียนรู้ กลุ่มเรือหัวโทงจำลองเกาะกลาง ที่มี คุณสมบูรณ์ หมั่นค้า เป็นประธานกลุ่ม คุณสมบูรณ์ได้ผันตัวเองจากช่างต่อเรือหัวโทงจริงๆ มาเป็นการทำเรือหัวโทงและเรือพื้นบ้านประเภทอื่นๆ จำลอง เนื่องจากปัจจุบันในภาคใต้ เรือพื้นบ้านหลายประเภทได้ลดจำนวนหรือสาบสูญไปแล้ว! สิ่งที่จะช่วยอนุรักษ์ หรือกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่เห็นคุณค่า ไม่ลืมวิถีประมงพื้นบ้าน อันเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่อุตส่าห์สั่งสมมาหลายชั่วอายุคน ก็คือเรือหัวโทงจำลองนี่เอง
กิจกรรมสุดท้ายที่เราจะไปสัมผัสกันบนเกาะกลาง ก็คือ “การเพนท์ผ้าบาติก” แสนสวย ทั้งลวดลายและสีสันล้วนมีเอกลักษณ์ เริ่มตั้งแต่การเขียนลาย ย้อมผ้า ลงสี แค่ฟังก็น่าสนุกแล้ว รีบไปกันเถอะ
ทางกลุ่มเพนท์ผ้าบาติกเกาะกลาง ได้จัดเตรียมผ้าผืนน้อยไว้ให้พวกเราแล้ว โดยแต่ละผืนมีการปั๊มลายลงไปด้วยเทียน แล้วให้เราแสดงฝีมือ จุ่มสีระบายลงไปในช่องว่างของลายนั้น เสร็จแล้วทิ้งไว้ให้สีแห้ง นำไปต้มเพื่อเอาเทียนออก ส่วนที่เคยมีเทียนอยู่ก็จะไม่ติดสี ได้ผ้าปูโต๊ะ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ ผ้าโพกหัว และอีสารพัดผ้าบาติกแสนสวย กลับไปเป็นของที่ระลึกที่บ้านด้วยจ้า
เสร็จแล้วจ้า ผลงานของน้องเรา ฝีมือไม่ธรรมดา สีสันสดใสเลยนะเนี่ยะ
สองวัยจากโลกสองช่วงเวลา แต่โคจรมาพบกัน ณ บ้านเกาะกลาง อย่างมีความสุข
ชาวบ้านเกาะกลาง ยังกินอยู่ดำรงชีพอย่างเรียบง่ายอย่างแท้จริง โดยใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง รอบบ้านมีพืชผลหลายอย่างปลูกไว้กิน เหลือก็ขาย แบ่งปันข้างบ้านบ้าง แถมยังมีบ่อปลาด้วย
ก่อนโบกมือลากระบี่ เราได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมโรงไฟฟ้ากระบี่ ซึ่งมีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2504 แล้ว และปัจจุบันยังเดินเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าให้ภาคใต้อยู่ เฉพาะในยามจำเป็นเท่านั้น เราได้รับรู้ความจริงว่า พลังงานไฟฟ้าเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนให้ชีวิตในประเทศเดินหน้าได้ แต่ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้เราทุกคนต้องช่วยกันประหยัดมากขึ้น ส่วนผู้ผลิตก็ต้องเสาะหาแหล่งพลังงานไฟฟ้าใหม่ๆ เร่งเข้าเพิ่มเติม นี่คือภารกิจท้าทายของเราคนไทยทุกคน รวมถึงโรงไฟฟ้ากระบี่ ที่อยู่คู่จังหวัดกระบี่มาเนิ่นนานแล้ว
Special Thanks การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
สอบถามเพิ่มเติม : ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0-2354-3588 www.incom.co.th
ปั่นสองล้อเที่ยวนครพนม ชมเมืองน่ารัก
ปี 2015 เทรนการปั้นจักรยานเที่ยวกำลังมาแรง ใครที่ไม่เคยมีจักรยานก็หาซื้อกันใหญ่ ส่วนคนที่ยังไม่มีก็รีบหาซื้อมาปั่น กลัวอายเพื่อน จะว่าไปแล้วการปั่นจักรยานเป็นการเดินทางแบบ Slow Travel ที่ไม่ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เลย ทำให้นอกจากสุขภาพเราจะดีแล้ว สิ่งแวดล้อมยังสะอาดอีกด้วยนะ เป็น Low Carbon Travel ที่น่าสนับสนุนจริงๆ
วันนี้จังหวัดนครพนมได้กลายเป็น “เมืองแห่งจักรยาน” หรือ The Cycling City อย่างแท้จริงแล้ว เพราะด้วยสภาพของตัวเมืองเลียบลำน้ำโขง บรรยากาศเย็นสบาย มีจุดชมวิว และมีเลนจักรยานให้ปั่นต่อเนื่องยาวหลายกิโลเมตร อีกทั้งคนนครพนมยังนิยมปั่นจักรยานกันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว จักรยานจึงเป็นพาหนะที่ยังอยู่ในวิถีของคนที่นี่จริงๆ
เส้นทางปั่นจักรยานเที่ยวในนครพนม ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ มีอยู่ 4 เส้นทางด้วยกัน คือ 1.เส้นทางชมเมืองเก่าไชยบุรี 2. เส้นทางบ้านดอนนางหงส์ 3.เส้นทางเมืองโบราณบ้านหนองจันทร์ และ 4. เส้นทางเลียบโขงตัวเมืองนครพนม
เส้นทางเมืองเก่าไชยบุรี เป็นเส้นทางปั่นเลียบลำน้ำโขงยาวประมาณ 2 กิโลเมตร ผ่านชุมชนน่ารักๆ ที่ยังคงความเงียบสงบ มีร้านกาแฟเล็กๆ ให้นั่งพัก ใครไม่มีจักรยานไปเอง เขาก็มีบริการให้เช่าหลายสิบคันในราคาไม่กี่สิบบาท ปั่นกันเข้าไปให้น่องโป่งได้ทั้งวัน โดยเส้นทางจะผ่านวัดโบราณริมโขง 4 แห่ง ซึ่งรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรศรีโคตรบูร ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่คนยังไม่ค่อยรู้จัก ขอบอกว่าวิวริมโขงที่นี่สวยงามโปร่งโล่งสบายมากๆ จ้า
ใกล้ๆ กับเมืองเก่าไชยบุรี บริเวณพระธาตุท่าอุเทน พระธาตุประจำคนเกิดวันศุกร์ แถบนี้เป็นถิ่นที่อยู่ของชุมชนชาวไทญ้อซึ่งมีการแต่งกาย ภาษา อาหาร และวัฒนธรรมเด่นเป็นของตนเอง และแน่นอนว่าเขาก็มีเส้นทางปั่นจักรยานเที่ยวที่น่าสนใจมากทีเดียว
พระธาตุท่าอุเทนในฤดูฝน มองจากทุ่งนาเขียวขจี แลสดชื่นเย็นตาเย็นใจจริงๆ
เส้นทางปั่นจักรยานเที่ยวท่าอุเทน เริ่มต้นขึ้นที่พระธาตุท่าอุเทน ซึ่งปัจจุบันบริเวณด้านหลังองค์พระธาตุ ชุมชนได้รวมตัวกันสร้างศูนย์ข้อมูลย่านชุมชนเก่าท่าอุเทนขึ้น ในชื่อ “ภูมิ-มูนมัง ชุมชนท่าอุเทน” โดยเราสามารถเรียนรู้ประวัติของชุมชน รวมถึงรับแผ่นพับแผนที่เส้นทางการปั่นจักรยานเที่ยว ว่าบ้านแต่ละหลังเขามีอะไรให้ชมบ้าง
ในบริเวณชุมชนท่าอุเทน ยังมีเรือนไม้เก่าแบบไทญ้อแท้ๆ ให้ชมหลายหลัง และบางหลังสามารถเข้าไปเยี่ยมชม พูดคุยกับท่าเจ้าของบ้านได้ด้วยล่ะ หรือถ้ามาเป็นหมู่คณะใหญ่ ติดต่อมาก่อน เขาก็จะมีพิธีต้อนรับ มีอาหารไทญ้อให้ชิมด้วย
บอกแล้วว่านครพนมเป็นเมืองจักรยานจริงๆ ที่ท่าอุเทนเลยมีก๊วนจักรยานของเด็กๆ ปั่นเที่ยวเล่นกันไปมา เราปั่นจักรยานผ่าน “ร้านศรีอุเทน” ซึ่งปัจจุบันเป็นร้านเช่าหนังสือการ์ตูน อาคารหลังนี้โดดเด่นด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมโคโลเนียล อันเป็นยุคที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดลาวและริมโขงแถบนี้เป็นอาณานิคมนั่นเอง
บ้านเก่าบางหลังในท่าอุเทน พร้อมต้อนรับผู้มาเยือน เพื่อเข้าไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน ในลักษณะของ Living Museum หรือพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ไปมาลาไหว้ อย่าลืมสวัสดีคุณยายด้วยล่ะจ้า
นอกจากชุมชนน่ารักแล้ว บริเวณริมโขงท่าอุเทนยังมีวัดเล็กๆ อันเป็นที่ประดิษฐานพระบางจำลองอีกด้วย
ปั่นจักรยานกางร่มแบบนี้ ถ้าไม่บอกนึกว่าเป็นสาวเชียงใหม่เจ้า แต่เธอนางนี้เป็นสาวไทญ้อท่าอุเทนแท้ๆ เลยนะ
ริมโขงท่าอุเทน เป็นจุดที่มีวิวเปิดโล่งโปร่งสบาย มองเห็นวิวฝั่งลาวได้แบบสุดสายตาพาโนรามา อากาศก็เย็นสบายหายใจได้เต็มปอด การปั่นจัรกยานเที่ยวแถวนี้จึงเป็นความสุขเล็กๆ แบบ Low Carbon Happiness จริงๆ อ่ะจ้า
ห่างจากอำเภอท่าอุเทน 21 กิโลเมตร ถ้าเราปั่นจักรยานไปตามทางหลวงสาย 212 (ท่าอุเทน-บ้านแพง) ตรงช่วง กม.27 ก็จะถึง “แหล่งเรียนรู้ไดโนเสาร์ท่าอุเทน” Amazing Unseen ที่คนทั่วไปยังไม่ค่อยรู้ ว่านครพนมก็มีไดโนเสาร์ด้วยหรือ?
แหล่งเรียนรู้ไดโนเสาร์ท่าอุเทน ตั้งอยู่ที่ตำบลพนอม อำเภอท่าอุเทน อยู่ภายใต้การดูแลของกรมทรัพยากรธรณี ได้รับการค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2544 โดยบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่มาระเบิดหินบริเวณนี้ เป็นจุดที่ค้นพบรอยเท้าของ ไดโนเสาร์ นกกระจอกเทศ แล อีกัวดอน รวมทั้งรอยเท้าจระเข้ขนาดเล็ก อีก 1 ชนิด รวมแล้วกว่า 300 รอย ถือว่ามีรอยเท้าไดโนเสาร์รวมกันอยู่ในจุดเดียวเยอะที่สุดในเมืองไทยล่ะครับ!!!
วันนี้ปั่นจักรยานเที่ยวนครพนมกันมาทั้งวัน ตอนเย็นย่ำเลยขอพักแบบชิลชิล เข้าเมืองมารอชมแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์อัสดงลงริมโขง เหมือนโชคเข้าข้าง วันนี้เกิดอุกาฟ้าเหลือง! ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก แถมเรายังโชคดีได้ขึ้นชมวิวจากมุมสูงพิเศษ มองเห็นย่านชุมชนเก่า เคียงคู่กับหอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์ Landmark สำคัญของนครพนม
คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธแน่นอน ว่านครพนมเป็นเมืองริมโขงที่มีวิวสวยที่สุดแห่งหนึ่ง ดูสิ มองไปเห็นเทือกเขาหินปูนฝั่งแขวงคำม่วนในลาว ทอดยาวเป็นปราการธรรมชาติยิ่งใหญ่อลังการเหลือเกิน แสงสีแต่ละวันจึงช่วยให้วิวมหัศจรรย์นี้งามไม่ซ้ำกันเลยสักวันเดียว หลงรักนครพนมแล้วล่ะ!
พอพระอาทิตย์หายหน้าไป ไม่นานก็เกิดแสงแบบ Twilight หรือโพล้เพล้ คือในขณะที่ท้องฟ้ายังไม่มืดสนิท ถ่ายภาพออกมาจะได้เป็นสีฟ้าคราม ตัดกับแสงไฟถนนและรถยนต์ที่แล่นไปมา ช่วยให้หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์โดดเด่นมาก
เช้าวันใหม่สดใสยิ่งกว่าเก่า แสงแรกของตะวันริมลำน้ำโขงที่หน้าโรงแรม The River นครพนม ช่างน่าอัศจรรย์ งามเกินคำบรรยาย!
สายหมอกขาวลอยคลอเคลียเทือกเขาหินปูนตะปุ่มตะป่ำในฝั่งเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน ของลาว วิวน่ะเป็นของลาว แต่เวลาจะชมต้องมาดูจากฝั่งไทยนะจ๊ะ! น่าอิจฉาคนนครพนมจริงๆ ได้เห็นวิวสวยแบบนี้ทุกวันเลย
นครพนมเพิ่งมีการจัดทำเลนจักรยานใหม่เอี่ยมเสร็จเรียบร้อย เป็น Green Lane ที่อาจจะพูดได้ว่าวิวสวยที่สุดในประเทศ! นอกจากจะมองเห็นลำน้ำโขงและเทือกเขาหินปูนฝั่งลาวอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว ยังมีต้นไม้เขียวสดเย็นตา ปั่นกันเพลินๆ สบายใจ ไม่ต้องห่วงว่ารถจะเฉี่ยวชน เพราะเป็นเลนจักรยานโดยเฉพาะที่ปลอดภัยสุดๆ จริงๆ ครับ
เช้าๆ เย็นๆ อากาศแจ่มใส ชวนกันไปปั่นจักรยานเล่นกินลมชมวิวที่นครพนมดีกว่านะจ๊ะ
สุดยอดเส้นทางปั่นจักรยานนครพนมจ้า
ปั่นจักรยานผ่านตัวเมืองเก่าริมโขง ยังมีจุดแวะพักให้ถ่ายภาพเก๋ๆ กันอย่างสนุกสนานด้วย
ปั่นจักรยานอยู่บน Green Lane อย่างปลอดภัย เน้นทำตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัดครับ
เฮฮาร่าเริง กับการปั่นจักรยานเที่ยวบนเส้นทางชมตัวเมืองเก่าริมโขง นครพนม The Cycling City
ออกจากตัวเมืองนครพนม วันนี้เราไปเปลี่ยนบรรยากาศ หาที่เที่ยวใหม่ๆ แบบธรรมชาติที่คนไม่ค่อยรู้จักบ้าง ขอบอกว่าฟังชื่อครั้งแรก “อุทยานแห่งชาติภูลังกา” นึกว่าอยู่ภาคเหนือ แต่แท้ที่จริงอยู่ในอำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม ต่อเนื่องกับอำเภอเซกา จังหวัดหนองคาย ป่าผืนนี้อุดมสมบูรณ์มาก จนเป็นต้นกำเนิดของน้ำตกใหญ่ 2 แห่ง คือ น้ำตกตาดขาม และน้ำตกตาดโพธิ์ รวมถึงมีเส้นทางเดินป่า 2 วัน 1 คืน ขึ้นสู่เจดีย์กองข้าวศรีบุญเนาว์ ด้วย
น้ำตกตาดโพธิ์ งามอย่างอ่อนโยน น้ำไหลลดหลั่นลงมาเป็นขั้นๆ ผ่านผาหินทราย แวดล้อมด้วยแมกไม้เขียวขจี มีวังน้ำใหญ่ด้านหน้าให้ลงอาบแช่เล่นด้วย
บ้านดอนนางหงส์ อำเภอธาตุพนม เป็นอีกหนึ่งเส้นทางปั่นจักรยานเที่ยว สัมผัสวิถีชีวิตชุมชนแสนน่ารัก ซึ่งยังผูกพันอยู่กับนาไร่ สวนลิ้นจี่ และวิถี Slow Life ที่ใกล้ชิดพระพุทธศาสนา
หนุ่มน้อยแห่งบ้านดอนนางหงส์ มาในชุดปั่นจักรยานแบบจัดเต็ม! ดูหน่วยก้านแล้วโตขึ้นคงหนีไม่พ้นทีมชาติ!
เส้นทางปั่นจักรยานเที่ยวบ้านดอนนางหงส์ มีไฮไลท์อยู่ที่ พระธาตุมรุกขนคร พระธาตุประจำคนเกิดวันพุธกลางคืน ลักษณะคล้ายพระธาตุพนมย่อส่วน โดยองค์พระธาตุนั้นสูงถึง 50.9 เมตร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2536
เราสามารถปั่นจักรยานจากพระธาตุมรุกขนคร ไปยัง วัดดอนนางหงส์ อันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุเจดีย์ กว. วัดนี้เก่าแก่มาก สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2300 ในสมัยอาณาจักรศรีโคตรบูร สมัยพระบรมราชากู่แก้ว
บ้านดอนนางหงส์ มีชื่อเสียงเรื่องงานฝีมือที่กำลังจะสูญหายอย่างหนึ่ง คือการสลักแผ่นทองเหลือง ส่วนมากนิยมสลักเป็นรูปองค์พระธาตุหรือพุทธประวัติต่างๆ เพื่อนำไปถวายวัด หรือประดับบ้านเรือนให้เป็นสิริมงคล แต่งานประณีตศิลป์แขนงนี้ต้องอาศัยทักษะความชำนาญ และความอดทนสูงมาก จึงหาผู้สืบทอดได้ยาก
บ้านดอนนางหงส์ยังลือเลื่องชื่อเสียงในเรื่องของ งานฝีมือใบตอง ประดิษฐ์เป็นพานพุ่มขันหมากเบ็ง หรือพานบายศรี ได้งดงามในระดับจังหวัด นักท่องเที่ยวที่มาเยือนชุมชน หรือมาปั่นจักรยานสามารถแวะเรียนรู้ ทดลองทำได้ กิจกรรมนี้เองจะช่วยสืบทอดมิให้ประณีติศิลป์แห่งบ้านดอนนางหงส์สูญหาย และอยู่เป็นเอกลักษณ์คู่นครพนมตลอดไป
แหล่งท่องเที่ยวใหม่ของจังหวัดนครพนม ซึ่งเราจะขับรถขึ้นไป หรือปั่นจัรกยานเสือภูเขาทดสอบความฟิตขึ้นไปก็ได้ คือ “ลานดานสาวคอย” ในตำบลนาแก อำเภอนาแก ลักษณะเป็นลานหินทรายราบเรียบ มีต้นไม้แบบเต็งรังและเบญจพรรณขึ้นอยู่ประปราย โดยบริเวณลานดานสาวคอยนี้เป็นจุดชมวิวที่มองเห็นจังหวัดสกลนครได้ แถมยังมองเห็นองค์พระธาตุพนมอยู่ลิบๆ ด้วย นับเป็น Photo Point ที่สุดยอดไปเลย
เหตุที่ลานหินแห่งนี้ได้ชื่อว่า “ลานดานสาวคอย” เพราะมีตำนานเล่าขานว่า อดีตมีสาวงามนัดพบกับคนรักหนุ่ม ณ ที่แห่งนี้ แต่ชายหนุ่มถูกพ่อของสาวงามฆ่าตายเสียก่อน วิญญาณของสาวงามนั้นจึงมาวนเวีนยอยู่ที่นี่เพื่อรอคนรัก!
ถ้าเดินสำรวจดูดีๆ ใกล้ๆ กับลานดานสาวคอย จะมี หินทรายรูปดอกเห็ด ผุดอยู่ทั่วไป เกิดจากการัดเซาะของลม น้ำฝน และความร้อน แต่หินเหล่านี้ก็มีขนาดไม่ใหญ่โตนัก จึงมักถูกมองข้ามไป
ลานดานสาวคอยตั้งอยู่บนเทือกเขาภูพาน ปัจจุบันมี วัดภูพานอุดมธรรม อยู่ มีการสร้างองค์พระธาตุประจำวันเกิดจำลอง กระจายอู่บนลานหิน ให้ผู้มีจิตศรัทธาเดินไปสักการะ เพราะบางคนมีเวลาไม่พอ ไม่สามารถเดินทางไปสักการะพระธาตุประจำวันเกิดองค์จริงได้ครบทุกที่ มาที่นี่ที่เดียวครบเลย
พระพุทธมหามงคลบพิตรจัตุรทิศประทานพร ได้รับการนำมาประดิษฐานไว้เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2528 เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการยุติการสู้รบระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับลัทธิคอมมิวนิสต์บนเทือกเขาภูพาน จากนี้ไปจะมีแต่สันตินะจ๊ะ
เราขอจบทริปปั่นจักรยานเที่ยวนครพนม ชมเมืองน่ารัก กันที่องค์พระธาตุพนมในยามเย็น ไปกราบขอพรพระธาตุพนม ประจำคนเกิดวันอาทิตย์และปีวอก มาที่นี่ทีไรแล้วรู้สึกร่มเย็น ใจสงบ แม้ว่าโลกภายนอกจะสับสนวุ่นวายปายใดก็ตามSpecial Thanks : ขอขอบคุณ ผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ
คุณสมชาย วิทย์ดำรงค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม
คุณเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดนครพนม
คุณวสุมน เนตรกิจเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท Win Win Smile และโครงการ Self Drive Isan
คุณสิทธิพร ศิริวรเดชกุล (เปี๊ยก เสียงทิพย์) ประธานบริษัท เสียงทิพย์ไฮเทค จำกัด
คุณสมภพ ตั้งศิริ กรรมการผู้จัดการโรงแรม The River นครพนม
ขอขอบคุณ พี่ๆ เพื่อนๆ ชาว ททท. สำนักงานนครพนม ทุกคน ที่ช่วยเป็นกำลังใจให้อย่างเต็มที่
และ บริษัท Nikon Sales (Thailand) สนับสนุนอุปกรณ์ถ่ายภาพระดับมืออาชีพ
Honeymoon in Samui, the Sweetest Moment in Life
เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ไม่ได้เป็นเพียงเกาะที่มีต้นมะพร้าวมากที่สุดในเมืองไทย ไม่ได้เป็นเพียงเกาะขนาด 252 ตารางกิโลเมตร แต่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนปีละเกือบ 2 ล้านคน! และมิได้เป็นอำเภอที่มีสภาพเป็นเกาะเก่านั้น ทว่า “สมุย” ยังถือเป็นจุดหมายโด่งดังที่ทั่วโลกรู้จักดี ไม่แพ้พัทยา ภูเก็ต หรือเชียงใหม่ โดยเฉพาะคู่รักที่กำลังหาสถานที่สุดสวยสำหรับจัดงานแต่งงาน หรือฮันนีมูนกันริมหาดทรายเงียบสงบเป็นส่วนตัว สมุยถือเป็นจุดหมายที่ตอบสนองคู่รักหวานซึ้งได้ยอดเยี่ยม
เสน่ห์ของการเป็นเกาะที่อุดมด้วยทิวมะพร้าวล้อลมโอนเอน เคียงคู่เกลียวคลื่นครามและหาดทรายขาว อีกทั้งยังมีสนามบินนานาชาติตั้งอยู่ด้วย ยิ่งทำให้สมุยกลายเป็น Hub ที่เดินทางไปได้ง่ายดายจริงๆ และเมื่อมาถึงแล้ว ก็มีหาดทรายสวยเรียงรายให้เลือก ตั้งแต่หาดเฉวง หาดละไม หาดเชิงมนต์ หาดท้องยาง หาดหน้าทอน หาดพังกา หาดตลิ่งงาม ฯลฯ มีรีสอร์ทสวยสร้างกลืนไปกับทิวมะพร้าวโอนเอน ถือเป็นรางวัลของชีวิต ของทั้งตัวคุณและคู่รักอย่างแน่นอน
ไม่เฉพาะชาวไทยและชาวยุโรปเท่านั้น ที่มักเลือกเกาะสมุยเป็นสถานที่จัดงานแต่งงานน่ารักๆ ริมทะเล ทว่าเมื่อเดือนสิงหาคม 2015 ที่ผ่านมานี้ ยังมี คู่รักชาวจีนถึง 35 คู่ ที่เลือกเกาะสมุยเป็นสถานที่จัดงานฮันนีมูน White Romantic Beach Party 2015 ณ โรงแรม Vana Belle หาดเฉวงน้อย งานนี้จัดขึ้นโดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง เฉิงตู และกว่างโจว ชักนำคู่รักหวานแหว๋วมาเดินทางท่องเที่ยวในเมืองไทย ภายใต้บรรยากาศแห่งความรัก เพื่อให้ทุกคู่ดื่มด่ำกับรรยากาศแสนโรแมนติกอันไม่สิ้นสุดของทะเลสมุย
ภายใต้ธีมชุดสีขาวของ White Romantic Beach Party คู่รักทั้งหมดชวนกันลงไปเกี่ยวก้อยเดินเล่น สัมผัสผืนทรายและฟองคลื่นของหาดเฉวงน้อย พร้อมๆ กับฟ้าที่ค่อยๆ มืดลงอย่างช้าๆ และแสงเทียนที่ได้รับการจุดขึ้นให้แสงมลังเมลืองเพิ่มความโรแมนติกบนหาด รอยยิ้ม การสบตากัน การจูงมือ การโอบกอด หรือแม้แต่การจุมพิตอย่างหวานซึ้ง กลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับค่ำคืนนั้น เห็นแล้วรู้สึกอบอุ่น อดอิจฉาคู่ฮันนีมูนชาวจีนทั้ง 35 คู่ไม่ได้
กิจกรรมภายในงานเลี้ยงต้อนรับ ททท. ตกแต่งบรรยากาศงานในธีม “White Romance Beach Party” ซึ่งคู่ฮันนีมูนจะแต่งกายด้วยชุดสีขาวมาร่วมงานโดยจะมีการร่วมกิจกรรมประกวดและแชร์รูปภาพคู่ของตัวเองไปยัง Social Network ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งรูปภาพคู่ฮันนีมูนที่ได้รับคะแนน Like & Share มากที่สุดได้รับรางวัลแพ็คเกจทัวร์ทัวร์ 4 วัน 3 คืน พร้อมบัตรโดยสารเครื่องบินมาท่องเที่ยวในประเทศไทย 2 ที่นั่ง
นางศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นประธานเปิดงาน White Romance Beach Party 2015 @ เกาะสมุย จังหวัดสุราษธานี พร้อมด้วย นางบังอรรัตน์ ชินะประยูร ผอ.ททท.สำนักงานปักกิ่ง นายชูวิทย์ ศิริเวชกูล ผอ.ททท.สำนักงานเซี่ยงไฮ้ นางปิ่นนาถ เจริญผล ผอ.ททท.สำนักงานคุนหมิง นางสาวเพลินพิศ หมื่นพล ผอ.ททท.สำนักงานเฉิงตู นายสันติ แสวงเจริญ ผอ.ททท.สำนักงานกว่างโจว นางสาวสายโพยม สมสุข ผู้ช่วยผู้อำนวยการท่องเที่ยวสำนักงานสุราษฎร์ธานี หัวหน้าศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยวเกาะสมุย แขกผู้มีเกียรติ สื่อมวลจากสาธารณรัฐประชาชนจีน และสื่อมวลชนไทย ร่วมงานคับคั่ง
นอกจากนี้ยังมีการเชิญ Mr.Liu Ruijie ซึ่งเป็น Celebrity จากจีน ที่ดำเนินรายการสถานโทรทัศน์คุนหมิงทีวี และเป็นผู้ดำเนินรายการบันเทิงที่มีผู้ชมมากที่สุดในเมืองคุนหมิง มาร่วมสร้างสีสันในงานด้วย โดยภาพของคู่รักจะได้รับการแชร์ไปตาม Social Network ต่างๆ เพื่อให้โลกรับรู้ว่า สมุยคือเกาะแห่งความรัก ที่คู่รักทั่วโลกต้องมาสัมผัสให้ได้สักครั้ง
โครงการ Honeymoon in Thailand ดำเนินการโดย ททท. สำนักงานปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง เฉิงตู และกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน จัดขึ้นโดยได้รับความร่วมมือจากบริษัทนำเที่ยวพันธมิตรในสาธารณรัฐประชาชนจีน อาทิ บริษัท Shenzhen Overseas Travel Service, CTrip เป็นต้น จัดทำแพ็คเกจสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบ Luxury Product เสนอขายในราคา 20,000 – 40,000 หยวนต่อคู่ ให้กับนักท่องเที่ยวกลุ่มฮันนีมูนในตลาดจีน ที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวในเกาะสมุยและใกล้เคียง ในระยะเวลา 5 วัน 4 คืน
ทะเลสมุยยามเช้ายามเย็น แสงสวยโรแมนติกมากๆ
หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตซึ่งเป็น Landmark ของสมุย คือ หินตา หินยาย ก้อนหินรูปทรงพิสดาร อย่ามองไปทางทะลึ่ง เพราะนี่คือประติมากรรมธรรมชาติ ซึ่งธรรมชาติให้คลื่นลมสลักเสลาหินแกรนิตใหญ่ริมทะเลจนมีรูปทรงอย่างนี้
ส่วนคนที่ชอบผจญภัยท่องธรรมชาติสัมผัสพงไพร ลองชวนกันไปเล่นน้ำที่ น้ำตกหน้าเมือง
เล่นน้ำที่น้ำตกหน้าเมืองเสร็จ ยังมีทัวร์นั่งช้างล่องไพร ผจญภัยในผืนป่าดิบร่มรื่นของเกาะสมุย
พระใหญ่เกาะฟาน อยู่ใกล้ๆ กับหาดบ่อผุด เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่สุดในภาคใต้ นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนเกาะสมุย มักจะไปกราบสักการะขอพร โดยเฉพาะยามโพล้เพล้ท้องฟ้าเปลี่ยนสีสวยงาม ถ่ายภาพได้แจ่มมากๆ
Special Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โทร. 1672 เบอร์เดียวเที่ยวทั่วไทย
มหัศจรรย์พืชวงศ์ขิงข่าไทย มีดีอวดชาวโลก! จ.เชียงใหม่
เมื่อพูดถึงคำว่า “ขิงข่า” คนส่วนใหญ่อาจนึกถึงอาหารอร่อยอย่างต้มข่าไก่ หรือผัดขิง แต่ถ้าเอ่ยถึงชื่อขิงข่าในวงวิชาการพฤกษศาสตร์แล้วล่ะก็ พืชวงศ์ขิงข่า หรือ Zingiberaceae คือกลุ่มพืชเขตร้อนชื้นที่มีประโยชน์อนันต์ มากกว่าอาหารมากมายนัก เพราะขิงข่าสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในปัจจัยสี่ โดยเฉพาะอาหารและยารักษาโรค อีกทั้งยังมีความสวยงาม ใช้ประดับสวน บ้านเรือน และส่งออกทำรายได้มหาศาล! ยิ่งกว่านั้น ปัจจุบันยังมีการต่อยอด นำดอกขิงข่าบางชนิดมาสกัดน้ำหอม และทำชาสุขภาพด้วยล่ะ ว้าว!
ด้วยความสำคัญของพืชวงศ์ขิงข่าที่นำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย อีกทั้งเมืองไทยของเรายังมีพืชวงศ์นี้อยู่กว่า 300 ชนิด ใน 24 สกุล ถือเป็นจำนวน 1 ใน 4 ของพืชวงศ์ขิงข่าที่มีอยู่ในโลก! สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ จึงได้จัดสร้าง “อุทยานพืชวงศ์ขิง-ข่า” บนเนื้อที่กว่า 5 ไร่ มีการรวบรวมพืชวงศ์นี้ไว้กว่า 180 ชนิด จากทั่วทุกภาค ถือเป็นสวนที่รวมพืชวงศ์ขิง-ข่าไว้มากที่สุดแล้วในปัจจุบัน
กระเจียว (Curcuma) เป็นสกุลเด่นในพืชวงศ์ขิงข่า เพราะมีช่อดอกขนาดใหญ่ และดอกบานทนนาน มีดอกเฉพาะฤดูฝน ส่วนในฤดูอื่นๆ จะพักตัวลงหัว มีแต่ใบเขียวๆ ให้เห็นเท่านั้น
กระเจียวส้ม
ช่อดอกสีสดใสของกระเจียวที่เห็น แท้จริงคือกลีบประดับ (Bract) ที่เรียงซ้อนกันขึ้นไปเป็นช่อแนวตั้ง ส่วนดอกที่แท้จริงของกระเจียว เป็นดอกรูปทรงจงอย มีขนาดเล็ก โผล่ออกมาจากกลีบประดับอีกทีหนึ่ง
ดอกข่าลิง (Globba sp.) เป็นพืชวงศ์ของข่าที่มีดอกขนาดเล็ก รูปทรงดอกสวยงามแปลกตา มีทั้งสีเหลือง ขาว และชมพูอ่อน ดอกเข้าพรรษาที่พบในจังหวัดสระบุรี ก็อยู่ในวงศ์ข่าลิงนี้ด้วยเช่นกัน
อุทยานขิง-ข่า เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญให้กับเยาวชนจากทั่วประเทศ เพื่อให้เด็กๆ รู้ถึงคุณค่าความสำคัญ และความสวยงาม นำไปสู่ความรัก และการอนุรักษ์พืชวงศ์นี้ให้อยู่คู่ป่าไทยตลอดไป
ภายในอุทยานขิง-ข่า ร่มรื่นมาก สามารถเดินชมพรรณไม้ต่างๆ ได้อย่างเพลิดเพลิน พร้อมกับมีป้ายบอกชื่อชนิดพันธุ์ของขิงข่าเอาไว้อย่างชัดเจน แยกเป็นสกุลอย่างมีระบบระเบียบ
กระทือพิลาส หรือกระทือช้าง (Zingiber spectabile) เป็นพืชวงศ์ขิงข่าที่มีช่อดอกขนาดใหญ่มาก สีสดใสสวยงาม ตั้งแต่เหลือง ส้ม แดง ไล่เฉดกันสวยงาม ดั้งเดิมมีถิ่นกำเนิดอยู่ในป่าดิบชื้นแถบจังหวัดนราธิวาส
ดอกจริงๆ ของกระทือพิลาส มีขนาดเล็ก โผล่ออกมาจากกลีบประดับ โดยมีรูปร่างเป็นจงอยโค้งแบบนี้ล่ะ เพราะธรรมชาติได้ออกแบบดอกไม้ให้มีรูปทรงเหมาะเจาะรับกับแมลงที่มาช่วยผสมพันธุ์ให้ น่ารักมากๆ
ไพล (Zingiber sp.) เป็นพืชวงศ์ขิงข่าที่ใช้ทำอาหารและสมุนไพรในสังคมไทยมาช้านาน โดยเฉพาะในวงศ์การแพทย์แผนไทย ใช้เหง้าไพลที่แก่จัด แก้ฟกช้ำ บวม เคล็ด ยอก ปวดเมื่อย ขับลม ท้องเดิน ช่วยขับระดูหรือประจำเดือนของสตรี นิยมใช้หลังจากที่คลอดบุตรแล้ว เหง้าไพลมีน้ำมันหอมระเหย มีฤทธิ์ลดอาการอักเสบด้วย
กระทือหนู (Zingiber sp.) เป็นพืชในวงศ์ขิงข่าที่นิยมปลูกเลี้ยงประดับสวนกันทั่วไป เพราะดอกออกตลอดปี และดอกบานทน สร้างสีสันให้สวนสวยได้
ทากน้อยแอบมาอาศัยอยู่กับดอกขิงข่า อยู่อย่างพึ่งพิงอิงอาศัยกัน เป็นการเกื้อกูลในธรรมชาติอันแสนน่ารัก
ดร.สุญาณี เวสสบุตร ผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (อ.ส.พ.) เดินทางมาต้อนรับคณะสื่อมวลชน ที่มาเยี่ยมชมอุทยานขิงข่า อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
คุณเมธี วงศ์หนัก นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญพืชวงศ์ขิงข่า ผู้ที่เดินทางสำรวจรวบรวมพืชวงศ์ของข่าทั่วประเทศ มาออกแบบจัดเป็นอุทยานพืชวงศ์ขิงข่า ในสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
ดร.สุญาณี เวสสบุตร ผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (อ.ส.พ.) ให้เกียรติถ่ายภาพร่วมกับ คุณเมธี วงศ์หนัก นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญพืชวงศ์ขิงข่า และคุณน้ำค้าง PR สาวสวนแห่งสวนพฤกษศาสตร์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
มหาหงส์ (Hedychium sp.) ถือเป็นนางเอกแสนสวยของอุทยานขิงข่า เพราะปัจจุบันมีการศึกษาวิจัย จนสามารถนำดอกมหาหงส์มาผลิตเป็นน้ำหอม และชาสุขภาพ ได้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รอการผลิตออกขายในเชิงอุตสาหกรรมเท่านั้น
ตาเหิน (Hedychium sp.) เป็นพืชวงศ์ขิงข่าที่มีช่อดอกขนาดใหญ่ จัดเป็นพืชป่าหายากที่มีความสวยงามมาก
มหาหงส์ (Hedychium coronarium) เป็นพืชท้องถิ่นล้านนา ที่สาวๆ นิยมนำดอกประดับมวยผม เพื่อให้กลิ่นหอมชื่นใจ
นอกจากอุทยานขิงข่าแล้ว สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ยังมีกลุ่มอาคารเรือนกระจกเฉลิมพระเกียรติ 12 โรงเรือน จัดแสดงพืชพรรณต่างๆ ไว้ให้ชมอย่างน่าตื่นตา
โรงเรือนไม้ทะเลทรายและพืชทนแล้ง
ดอกกระเจียวขาว เบ่งบานอยู่ด้านหน้าโรงเรือนบุก-บอน
โรงเรือนไม้กินแมลง มีทั้งพืชท้องถิ่นของไทยและจากทวีปอเมริกาให้ชม
โรงเรือนกล้วยไม้และเฟิน ให้ความรู้สึกชุ่มชื้นเย็นฉ่ำ เหมือนเดินอยู่ในผืนป่าจริงๆ เลยล่ะ
โรงเรือนป่าดิบชื้น (Tropical Rainforest) เป็นอาคารหลังใหญ่ที่สุดในกลุ่มอาคารเรือนกระจก จำลองสภาพป่าดิบชื้นของไทยมาให้ชม พร้อมด้วยพืชหายากและพืชเฉพาะถิ่นอันน่าตื่นตา อย่างใบไม้สีทอง (ย่านดาโอ๊ะ), ปาล์มเจ้าเมืองตรัง, ปาล์มเจ้าเมืองถลาง, ปาล์มบังสูรย์, หมากแดง, กล้วยศรีนรา, ดาหลาขาว และอื่นๆ อีกมากมาย
ภายในโรงเรือนป่าดิบชื้น มีสะพานสูงให้เดินชมบรรยากาศจากด้านบนด้วย จะได้เห็นเรือนยอดไม้กันชัดๆ
สะพานเดินศึกษาธรรมชาติบนยอดไม้ หรือ Canopy Walkway แห่งใหม่ของไทย ที่สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นทางเดินบนยอดไม้ยาวที่สุดในเมืองไทย คือยาวถึง 500 เมตร สูงจากพื้นป่าเบื้องล่างกว่า 22 เมตร และจะเปิดให้นักท่องเที่ยวทั่วไปเที่ยวชมได้ในปลายปี 2015 ครับ
บางช่วงของ Canopy Walkway เป็นพื้นกระจกใส เข้าไปยืนแล้วให้ความรู้สึกเสียวดี แต่ที่เจ๋งกว่าคือ เหมือนกับตัวเราลอยอยู่เหนือพื้นป่า สามารถศึกษาสังคมพืชและสิ่งมีชีวิตบนยอดไม้ได้อย่างง่ายดายSpecial Thanks : ขอขอบคุณ งานประชาสัมพันธ์ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ โทร. 0-5384-1234 www.qsbg.org