5 ที่พักภูเก็ตอัพเดทใหม่ ต้องลองไปสักครั้ง
เรื่องฮอตๆ ใหม่ๆ ใครๆ ก็ชอบ เราเลยต้องรีบมาบอกที่พักในภูเก็ตสุดฮิตที่คนฮอตๆ จะต้องไปเช็คอิน…หากได้มีโอกาสไปเที่ยวภูเก็ตก็ต้องลองไปพักกับ 5 โรงแรมนี้ดูสักครั้ง ใครมีพักร้อนยาวๆ รีบจัด ใครยังไม่รู้จะไปเที่ยวไหนก็รีบจอง เพราะที่พักภูเก็ตราคาไม่แรง ไม่ได้ว่างกันง่ายๆ เช็คราคา ตรวจสอบห้องว่างกันล่วงหน้าได้ที่ Traveloka นอกจาก 5 ที่พักในภูเก็ตสวยๆ ที่เรากำลังจะมาแนะนำแล้ว ยังมีที่พักอื่นๆ ให้ได้เลือกกันอีกเพียบ จองที่พักล่วงหน้าเพื่อแผนเที่ยวที่ราบรื่น เพราะภูเก็ตจะเที่ยวฤดูไหนก็ได้ นอกจากทะเลสวยๆ ก็ยังมีย่านเมืองเก่าให้ได้เดินเล่น มีของอร่อยๆ ให้ได้ชิมกันทั้งวันทั้งคืน ถ้าไม่รีบจับจองไว้ก่อนที่พักภูเก็ตสวยๆ อาจจะเต็มได้นะคะ
1. หลับดี ภูเก็ต ป่าตอง (Lub D Phuket)
ขึ้นชื่อว่าเป็นโฮสเทลใหญ่ที่สุดในเอเชีย เปิดได้ไม่นานอยู่ในย่านป่าตอง ใกล้สถานบันเทิงดังยามค่ำคืน อย่าง ‘บางลา’ หรือแม้แต่ห้างจางซีลอน ตอบโจทย์สำหรับคนที่ชื่นชอบความมีสีสันช่วงเวลากลางคืน “หลับดี ภูเก็ต ป่าตอง” โดดเด่นด้วยการบริการที่ครบวงจรระดับโรงแรม มาพร้อมราคาเบาๆ อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และมีกิจกรรมให้ทำมากมายเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
- ราคาเริ่มต้นประมาณ 5XX บาท
- รายละเอียดเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/LubdHostel/
- ทางไปจอง: https://www.traveloka.com/th-th/hotel/thailand/lub-d-phuket-patong-3000010014632
2. มาซิ ดีไซน์ โฮเทล (Mazi Design Hotel)
เพราะอยู่ใจกลางเมืองภูเก็ตย่านป่าตอง ทำให้โรงแรมนี้มีที่จอดรถค่อนข้างน้อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ใช้บริการรถสาธารณะ โดดเด่นด้วยการดีไซน์ของโรงแรมนี่แหละ มีความเก๋ตั้งแต่ด้านหน้าล็อบบี้เลย พอเดินผ่านล็อบบี้เข้าไปด้านในคุณจะได้เจอกับสระว่ายน้ำขนาดยาวถึงแม้ว่าจะไม่กว้างมาก แต่ก็มีน้ำตกเล็กๆ ให้ได้เล่นเพลินๆ เป็นไอเท็มเพิ่มเติมทำให้ผู้เข้าพักอย่างเราๆ มีความสุขได้ไม่น้อย ส่วนห้องพักก็ตกแต่งไว้อย่างเท่ๆ เรียบง่ายเน้นโทนสีเทา ขาว ดำ เตียงกว้างขวางนอนกัน 3 คนได้สบาย
- ราคาเริ่มต้นประมาณ 1,0XX บาท
- รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.facebook.com/Mazihotel/
- ทางไปจอง: https://www.traveloka.com/th-th/hotel/thailand/mazi-design-hotel-by-kalima-1000000549821
3. ลิตเติ้ล ยอนย่า (Little Nyonya Hotel)
เป็นอีกหนึ่งโรงแรมที่สวยงามและราคาไม่แพง โดดเด่นด้วยการตกแต่งสไตล์ชิโน-โคโลเนียล เพื่อให้เข้ากับสถาปัตยกรรมชื่อดังของภูเก็ตอย่าง ‘ชิโน-โปรตุกีส’ เน้นโทนสีขาว ให้ความสะอาดและสบายตา เฟอร์นิเจอร์ที่ตกแต่งมีความน่ารัก อบอุ่น เป็นกันเอง อย่างปลอกหมอนในห้องก็เป็นลายดอกไม้เพื่อให้แขกผู้มาพักรับรู้ได้ถึงความสดชื่น ที่นี่มีห้องพักเพียง 10 ห้องเท่านั้น หากสนใจเข้าพัก เหมือนเดิมคือแนะนำให้จองล่วงหน้า
- ราคาเริ่มต้นประมาณ 1,3XX บาท
- รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.facebook.com/pg/lnyhotel/photos/
- ทางไปจอง: https://www.traveloka.com/th-th/hotel/thailand/little-nyonya-hotel-1000000508083
4. บลู มังกี้ ฮับ แอนด์ โฮเต็ล (Blue Monkey Hub and Hotel)
ที่นี่หาไม่ยาก อยู่ในย่านป่าตองเช่นกัน หาไม่เจอถามคนย่านนั้นรู้จักกันหมด ถ้าเห็นตึกสูงๆ เท่ๆ แสดงว่าคุณเจอแล้ว ที่นี่เน้นการตกแต่งด้วยโทนสีขาว-ดำ ให้ความรู้สึกเรียบง่ายแต่โก้ ด้านหน้าโรงแรมจะมีป้ายชื่อ “บลู มังกี้ ฮับ แอนด์ โฮเต็ล” จัดเรียงไว้อย่างน่าสนใจ คล้ายๆ เกมส์ Cross Word ยิ่งเวลากลางคืนจะเปิดไฟที่ตัวหนังสือสวยงามมากเลยทีเดียว เราลองมาเซลฟี่กับป้ายชื่อโรงแรมด้วย แต่ว่าไม่สวยเท่าไร ถ่ายแล้วหน้ามันจะเกิดอาการมืดๆ หน่อย และหากทาร์เก็ตของคุณคือ ชาวต่างชาติสาย ฝ. ไม่ว่าจะหญิงหรือชายแนะนำว่าที่นี่คือเป้าหมายควรคู่มาพักจริงๆ งานดีทั้งนั้น 10 10 10 ไปเลยจ้า
- ราคาเริ่มต้นประมาณ 1,7XX บาท
- รายละเอียดเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/blumonkeyhotels/
- ทางไปจอง: https://www.traveloka.com/th-th/hotel/thailand/blu-monkey-phuket-phang-nga-road-1000000544218
5. หนุกดี บูทิก รีสอร์ท (Nook Dee Boutique Resort)
สนุกสมชื่อสำหรับ “หนุกดี บูทิก รีสอร์ท” ไม่ว่าใครหากได้มาพักก็สัมผัสได้ถึงความสุข ความสนุกกันทั้งนั้น นอกจากตั้งอยู่ที่ย่านหาดกะตะ ขึ้นชื่อเรื่องน้ำทะเลสวย หาดทรายขาวแล้ว ดังนั้นเรื่องวิวคือสวยเริ่ด! อีกทั้งการตกแต่งแบบไทยร่วมสมัยก็ทำให้ผู้ที่เข้าพักมีความสุนทรีย์มากขึ้นไปด้วย ทุกมุม ทุกโซน สวย มีเสน่ห์แบบไทยๆ สามารถเก็บภาพประทับใจไว้ได้มากมาย ไปเที่ยวพักผ่อนถ่ายรูปปีนี้มีอัพโซเชียลได้ถึงปีหน้ากันไปเลย
- ราคาเริ่มต้นประมาณ 4,5XX บาท
- รายละเอียดเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/nookdeephuket/
- ทางไปจอง: https://www.traveloka.com/th-th/hotel/thailand/nook-dee-boutique-resort-by-andacura-1000000545484
ท่องเที่ยววิถีไทยสไตล์อินเทรนด์ ที่พักดีต้องบอกต่อ ใครกำลังอยากเที่ยว เริ่มต้นง่ายๆ กับภูเก็ต เมืองเก่าแต่คลาสสิค ถ่ายรูปก็ได้ ศึกษาวัฒนธรรมก็ดี มีประเพณีมากมายให้ได้เรียนรู้ จะมัวช้าอยู่ทำไม ไปเที่ยวภูเก็ตกันเล๊ยยย
The Best of Iran, Heart of the Persian
(1). หมู่บ้านมาชูเล่ห์
(2). หมู่บ้านอะบียาเน่ห์
(3). สวน Egoil เมืองทาบริส
(4). สะพานคาจู เมืองอิสฟาฮาน
(5). อิหม่าม สแควร์ เมืองอิสฟาฮาน
(6). สุสานกษัตริย์ นัคเซรอสตัม
(7). เมืองโบราณ Percepolis
(8). หอคอย Azadi กรุงเตหะราน
(9). พระราชวังโกเลสตาน กรุงเตหะราน
(10). พระราชวังเนียวาราน กรุงเตหะราน
(11). Pink Mosque เมืองชีราส
(12). ตลาดวากิล บาซาร์ เมืองชีราส
(13). ป้อมการิมข่าน หอคอยเอียง เมืองชีราส
(14). สุสานท่านฮาเฟส เมืองชีราส
(15). อนุสรณ์สถานท่านอาลี เมืองชีราส
(16). Blue Mosque เมืองทาบริส
(17). พระราชวังเซเฮลโชตุน เมืองอิสฟาฮาน
(18). บ้านเศรษฐีเก่า The Historic House เมืองคาชาน
(19). โรงอาบน้ำโบราณ The Historic Bath House เมืองคาชาน
(20). ทุ่งกุหลาบ ตำบลกำซา เมืองคาชาน
(21). คฤหาสถ์ Naranjestane Ghavam เมืองชีราส
(22). Grand Bazar เมืองทาบริส
(23). บ้านรู Kandovan เมืองทาบริส
(24). มัสยิดกลาง เมืองทาบริส
(25). ร้านพรมเปอร์เชียแท้ Carpet Lover Club เมืองอิสฟาฮาน
(26). National Museum กรุงเตหะราน
Tana Toraja Land of Life & Dead, Indonesia
สุลาเวสี (Sulawesi) ชื่อนี้หลายคนอาจไม่คุ้นเคย แต่ถ้าจับแผนที่หมู่เกาะของประเทศอินโดนีเซียมากางดู จะรู้ว่าสุลาเวสี คือหนึ่งในเกาะใหญ่ที่สุดทางตะวันออกของอินโดนีเซีย อยู่ถัดจากเกาะชวา เกาะบาหลี และลอมบอก ออกไป เกาะนี้เป็นแหล่งปลูกข้าวสำคัญ เพราะมีดินภูเขาไฟอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งมีเทือกทิวเขาสลับซับซ้อน มีภูเขาสูงเกินพันเมตรหลายลูก อากาศเย็นฉ่ำ กลายเป็นแหล่งปลูกกาแฟ โกโก้ วานิลลา และที่สำคัญคือ สุลาเวสียังได้ชื่อว่าเป็น “หมู่เกาะเครื่องเทศ” ในอดีตอีกด้วย
เมื่อเดินทางไปถึงตอนใต้ของเกาะสุลาเวสี ที่บริเวณ Tana Toraja เราจะได้ชื่นชมวิถีชีวิตการปลูกข้าว ที่ผูกพันกับผู้คนมาหลายร้อยปี
และแน่นอนว่า เมื่อมีการเกษตรกรรมปลูกข้าว ควายก็คือเพื่อนแสนดีที่ชาวนาใน Tana Toraja สนิทที่สุด ทว่าด้วยความเชื่อในเรื่อง ‘ชีวิตหลังความตาย’ ควายจึงถูกนำไปเปรียบเสมือนพาหนะที่จะนำพาวิญญาณของผู้วายชนม์ไปสู่สุขติ ใน Tana Toraj จึงมีการบูชายัญควายในพิธีศพด้วย อีกทั้งยังมี ‘ตลาดควาย’ หรือ Buffalo Market ที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย ทุกวันเสาร์และวันอังคาร จะมีควายหลายพันตัวมาสู่ตลาดซื้อขายนี้
เอกลัษณ์อย่างหนึ่งของชาว Torajan ที่อาศัยอยู่ในเขต Tana Toraja ของเกาะสุลาเวสีตอนใต้ ก็คือการสร้างบ้านหลังคาโค้งหน้าจั่วแหลมสูงที่เรียกว่า ‘ตองโกนัน’ (Tongkonan) โดยเหตุที่เขาต้องสร้างหลังคาในลักษณะนี้ก็เพราะ บรรพบุรุษของชาว Torajan ได้ล่องเรืออพยพมาจากกัมพูชาและจีนตอนใต้ เมื่อมาถึงเกาะสุลาเวสี ก็ล่องเรือลึกเข้ามาในแผ่นดินตามแม่น้ำสายใหญ่ และเมื่อเริ่มตั้งรกรากฐาวร ไม่อาศัยอยู่ในเรืออีกแล้ว จึงสร้างตัวแทนเรือไว้เป็นหลังคาบ้านแบบนี้ล่ะครับ โดยบ้านรุ่นเก่าจะมุงหลังคาด้วยไม้ไผ่และฟาง ส่วนเสาบ้านใช้ต้นปาล์มป่า หรือไม้เนื้อแข็งสี่เหลี่ยม บนบ้านมีไม่เกิน 4 ห้อง อาศัยอยู่ได้แค่ 4-5 คน
หมู่บ้านปาลาวา (Palawa Village) เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่สุดของชาว Torajan ซึ่งยังมีบ้าน Tonganan ในลักษณะดั้งเดิมให้ชมหลายสิบหลัง ด้านนอกตัวบ้านจะมีการสลักไม้เป็นลวดลายต่างๆ ทั้งพระจันทร์ พระอาทิตย์ ไก่ ทุ่งนา ควาย ฯลฯ ล้วนสะท้อนถึงวิถีชีวิตเกษตรกรรม อีกทั้งเมื่อมีคนในบ้านเสียชีวิตลง ช่วงแรกเขาก็จะเก็บศพไว้ในบ้าน ทำทีว่าผู้นั้นยังมีชีวิต มีการจัดข้าวปลาอาหารเลี้ยงดูปกติ จากนั้นก็จะห่อศพคล้ายมัมมี่เก็บไว้ โดยในพิธีศพจะมีการเชือดควายบูชายัญมากน้อยตามฐานะผู้ตาย
ทิวเขา สายหมอก ป่าไม้ บ้าน Tongonan วัวควาย และทุ่งนา คือลมหายใจและจิตวิญญาณที่แท้จริงของ Tana Toraja
รีสอร์ทบางแห่งสร้างห้องพักเลียนแบบบ้าน Tongonan อันมีเอกลักษณ์
ชาว Torajan ในปัจจุบันปรับตัวมาใช้ชีวิตแบบคนเมืองแล้ว ส่วนใหญ่เปิดให้ท่องเที่ยว และขึ้นชมบ้านได้ รวมทั้งจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองที่หาชมที่อื่นไม่ได้แน่นอน
การเต้นรำพื้นเมืองแบบ Torajan หาชมได้เฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญ หรือในโรงแรมใหญ่ๆ
สาว Torajan ดูแทบไม่ออกเลยว่าบรรพบุรุษของเธอคือชาวกัมพูชา และคนจีนตอนใต้ที่อพยพสู่เกาะสุลาเวสี
การเดินทางจากเมืองไทยไป Tana Toraja บนเกาะสุลาเวสีไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไป ช่วงแรกต้องบินจาก กทม.-จาการ์ต้า แล้วเปลี่ยนเครื่องภายในประเทศ จาการ์ต้า-มาคาซาร์ (Makassar) จากนั้นต้องนั่งรถยนต์อีก 300 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 8-10 ชั่วโมง จนถึงเขต Tana Toraja ตรงจุดกึ่งกลางครึ่งทางมีร้านกาแฟให้นั่งแวะพัก บริเวณ ภูเขาโนน่า (Gunung Nona)
เมื่อถึงเขต Tana Toraja ก็จะต้องผ่านเข้าสู่ประตู Toraja Gate เสียก่อน
ก่อนที่จะเดินทางถึง เมืองมาคาเล่ (Makale) เมืองหลวงของ Tana Toraja เราจะผ่านหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรม และความศรัทธาของชาวคริสต์ที่นี่ (เนื่องจากคนเกิน 60 เปอร์เซนต์ ของ Toraja ปัจจุบันนับถือศาสนาคริสต์) คือ ‘รูปปั้นพระเยซูคริสต์แห่งมานาโด้’ (Jesus of Manado) ซึ่งมีความยิ่งใหญ่ไม่แพ้รูปปั้นพระเยซูคริสต์ที่บราซิลเลยแม้แต่น้อย
ลงจากยอดเขา Jesus of Lemo สู่ ตัวเมือง Makale เพื่อเดินทางต่อไปยังเขตทะเลภูเขาสลับซับซ้อนของ Tana Toraja
Land Above the Cloud หรือ แผ่นดินสูงเหนือเมฆ คือจุดชมวิวสวยที่สุดในยามเช้าของเขต Toraja
จาก Land Above the Cloud มองลงไปเบื้องล่าง งามไม่ต่างจากสวรรค์!
ที่ Land Above the Cloud มีจุดกางเต็นท์และจุดชมวิวให้นักท่องเที่ยวเลือกหลายแห่ง วิวตรงหน้าก็จะงามต่างกันไป
ด้วยความสูงไม่ต่ำกว่า 1,300-1,600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ทำให้ภูเขาในแถบ Tana Toraja กลายเป็นแหล่งปลูกกาแฟอะราบิก้าคุณภาพดีที่สุดแห่งหนึ่งของอินโดนีเซีย ส่งออกไปทั่วโลก
ต้องหากาแฟ Toraja Cofee ร้อนๆ ดื่มแก้หนาวกันหน่อยล่ะ
กาแฟ และผงโกโก้เข้มข้น ที่นี่หาซื้อง่าย แม้แต่ใน ตลาดเช้า หรือ Morning Market ก็มีให้เลือกซื้อเพียบ
บรรยากาศตลาดเช้าของเมือง Makale คึกคักทุกวัน พืชผักผลไม้มีให้เลือกซื้อหลากหลายจริงๆ สะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน
การจะเข้าถึง Tana Toraja ให้ได้แบบถึงกึ๋นลึกซึ้ง เราต้องไปเยี่ยมชมสถานที่เกี่ยวกับ ‘ชีวิตหลังความตาย’ กันหน่อย! อย่าเพิ่งตกใจ เพราะคนที่นี่เขามองเรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดา เหมือน Cycle of Life นั่นล่ะ ที่ Tana Toraja จะไม่มีการเผาศพหรือฝังศพเด็ดขาด แต่จะใช้วิธีห่อศพคล้ายมัมมี่ แล้วนำไปเก็บไว้ตามถ้ำ ตามหน้าผา หรือสร้างบ้าน Tongonan หลังเล็กๆ เก็บไว้แทน เพื่อให้ลูกหลานได้รำลึกถึงบรรพบุรุษ อย่างที่ ‘ถ้ำลีโม่’ (Lemo Cave) จะมีการเจาะโพรงไว้บนหน้าผาสูงชัน หรือนำศพคนตายไปเก็บไว้ในถ้ำต่างๆ
หน้าผาเก็บศพแห่งลีโม่ มีการแกะสลักตุ๊กตาไม้ตัวแทนผู้ตาย ให้คนที่ยังอยู่ได้รำลึกถึง ตุ๊กตาเหล่านี้มีขนาดเท่าคนจริง เรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า ‘เตา-เตา’ (Tao-Tao)
ที่ ‘หมู่บ้านทัมปัง อัลโล’ (Tampang Allo Village) มีต้นไม้โบราณอยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งชาวบ้านใช้เก็บศพเด็กทารกที่ตายก่อนจะมีฟันน้ำนมขึ้น โดยเขาจะนำศพเด็กห่อผ้าเหมือนมัมมี่ นำไปใส่ไว้ในโพรงต้นไม้ เพราะต้นไม้นี้มียางขาวคล้ายน้ำนม วิญญาณเด็กจะได้ดื่มน้ำนมแล้วมาเกิดใหม่ มันจึงกลายเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่มีการเก็บกินผลเด็ดขาด ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงต้นเดียว ภายในบรรจุศพเด็กทารกไว้หลายสิบศพ
ที่หมู่บ้าน Tampang Allo ยังมีอีกหนึ่งสถานที่น่าขนลุกซึ่งไม่ควรพลาดชม นั่นคือ ‘ถ้ำเก็บศพแห่งทัมปัง อัลโล่’ ภายในถ้ำขนาดใหญ่ที่เย็นชื้นและโบราณนี้ เต็มไปด้วยหัวกะโหลก โครงกระดูก โลงศพไม้โบราณ และตุ๊กตาเตา-เตา นับร้อยๆ ตัว วางระเกะระกะอยู่ทั่วไปในทุกซอกหลืบ บ้างแขวนอยู่บนเพิงผาหินปูนสูงชัน ปัจจุบันเหลือถ้ำเก็บศพลักษณะนี้อยู่ใน Tana Toraja เพียงไม่กี่แห่ง โดยส่วนใหญ่จะเป็นศพของชนชั้นปกครองหรือคนรวย
ภายในถ้ำเก็บศพทัมปัง อัลโล่ คือที่พำนักสุดท้ายอันสงบสงัดของผู้วายชนม์!
ตุ๊กตาเตา-เตา ภายในถ้ำเก็บศพทัมปัง อัลโล่
หากคุณมีโอกาส และต้องการเดินทางสู่ดินแดนแปลกใหม่ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่ในโลก หรือต้องการผจญภัยในดินแดนห่างไกลที่แทบจะไม่เคยมีใครย่างเหยียบไปถึง เราขอแนะนำ ดินแดน Tana Toraja แห่งเกาะสุลาเวสี ที่สุดแห่งการเดินทางครั้งหนึ่งในชีวิต!
อพท ชวนเที่ยวเชื่อมโยง ตราด-เกาะกง กัมพูชา
“สุดปลายทางคือความเชื่อมโยง” นี่คือวลีเด็ดของ อพท. ตราด ที่ยังก้องอยู่ในความทรงจำของผม เพราะทุกวันนี้เราเปิดเสรีอาเซียนแล้ว การเดินทางเชื่อมโยงทั้งท่องเที่ยวและติดต่อธุรกิจค้าขาย ภายในกลุ่ม 10 ประเทศอาเซียน จึงเป็นไปได้แทบไร้ขีดจำกัด เรียกว่า ASEAN One Destination เลยทีเดียว คือหมายความว่า ไม่ว่าเราจะไปเริ่มต้นเดินทางท่องเที่ยว ณ จุดใดในอาเซียน ก็จะสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้เสมอ
คุณสุธารักษ์ สุนทรวิภาต รักษาการผู้จัดการสำนักงานพื้นที่พิเศษหมู่เกาะช้างและพื้นที่เชื่อมโยง ของ อพท. ได้กล่าวว่า ตราด เป็นอีกหนึ่งจังหวัดชายแดนสุดปลายทางบูรพา (ทิศตะวันออก) ของสยาม เชื่อมโยงเข้าสู่จังหวัดเกาะกง ของกัมพูชา โดยสองพื้นที่นี้มีความคล้ายคลึงกันทั้งด้านชีวิตชุมชน ที่ยังผูกพันอยู่กับวิถีเกษตรและประมง รวมถึงมีอาณาเขตติดทะเล ธรรมชาติสวยสดงดงาม การเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงตราด-เกาะกง โดย อพท. (องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) จึงเป็นการเปิดประตูสู่มิติใหม่อย่างแท้จริง
การเดินทางของเราเริ่มต้นขึ้น ณ “พิพิธภัณฑสถานเมืองตราด” เป็นอาคารไม้โบราณทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง เพราะเคยทำหน้าที่เป็นศาลากลางจังหวัดหลังเก่า ทว่าเมื่อมีการย้ายศูนย์ราชการไป อาคารหลังนี้ก็ถูกทิ้งทรุดโทรม เพิ่งมีการบูรณะให้กลับมีชีวิตฟื้นคืนสภาพ จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าเรื่องราวของเมืองตราดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กรมศิลปากรจึงได้อนุรักษ์เรือนไม้หลังนี้ให้เป็นโบราณสถานเรียบร้อยแล้ว
เพียงก้าวย่างแรกขึ้นสู่อาคารด้านบน ก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนเดินย้อนคืนสู่อดีต คงเพราะแทบทุกส่วนสัดล้วนสร้างด้วยไม้ จึงทำให้เย็นสบาย อีกทั้งตามชายคาและหัวเสาก็มีการฉลุลายไม้เอาไว้ บ่งบอกถึงความประณีตบรรจงในงานช่างสมัยก่อน ชวนให้จินตนาการไปถึงห้วงเวลาที่อาคารนี้ยังเป็นศาลากลางจังหวัด คงจะมีผู้คนขึ้นมาเดินกันขวักไขว่เพื่อติดต่อราชการแบบหัวกระไดไม่แห้งทีเดียว
จากระเบียงทางเดินด้านหน้าที่โปร่งโล่งสบาย ตอนนี้ก็ถึงเวลาเดินไปทางซ้าย เพื่อเข้าสู่ห้องนิทรรศการภายในที่ติดแอร์เย็นฉ่ำ และมีบอร์ดนิทรรศการ พร้อมแสง สี เสียง ให้ชมอย่างดีเยี่ยม
ภายในนี้แบ่งห้องนิทรรศการเป็น 6 โซน คือ มรดกธรรมชาติและวัฒนธรรมแห่งตราด, ผู้คนเมืองตราด ภูมิศาสตร์ อากาศ ทรัพยากรธรรมชาติ, ลำดับทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์เมืองตราด, เหตุการณ์สำคัญสมัยในหลวงรัชกาลที่ 5 อาทิ การพระราชทานพระแสงราชศาสตราประจำเมือง และการเสด็จประพาสเมืองตราด ฯลฯ, ยุธนาวีที่เกาะช้าง และบรรยากาศตลาดเก่าเมืองตราด จากวันวานถึงวันนี้
ชีวิตคนตราดสมัยก่อน กินอยู่กันอย่างเรียบง่าย ตั้งเป็นชุมชนใหญ่สุดในเขตอำเภอเมืองใกล้แม่น้ำตราด เกิดมีย่านตลาดการค้าอันคึกคัก ที่มีชาวจีนเป็นฟันเฟืองหลักในด้านเศรษฐกิจ
จะว่าไปแล้ว ตราดในสมัยก่อนถือเป็น HUB หรือเมืองศูนย์กลางการค้าขายของชายทะเลตะวันออกเลยทีเดียว เพราะทำเลที่ตั้งอยู่ติดทะเล จึงมีเรือ พ่อค้าวาณิชย์ และผู้คนหลายเชื้อชาติ เข้ามาตั้งรกรากอาศัยอยู่ปะปนกันอย่างกลมกลืน เกิดเป็นเบ้าหลอมทางวัฒนธรรมที่นำมาสู่อัตลักษณ์ความเป็น ‘เมืองตราด’ ทุกวันนี้ คือมีทั้งชาวจีน ชาวชอง ชาวมุสลิม ชาวญวน (เวียดนาม) และไทย รวม 5 เชื้อชาติอาศัยเหมือนญาติ ร่วมกันสร้างตราดขึ้น
หากสืบคืนไปให้ดีจะพบว่าแท้จริงแล้วตราดเป็นดินแดนที่เก่าแก่มาก เนื่องจากมีร่องรอยของผู้คนเข้ามาอาศัยตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์แล้ว ดังปรากฏการขุดพบ ‘กลองมโหระทึก’ หล่อด้วยสำริด อายุตั้งแต่ 500-1,000 ปีก่อนคริสตกาล อยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งที่แหล่งโบราณคดีบ้านท้ายไร่ ตำบลวังกระแจะ อำเภอเมืองตราด และแหล่งโบราณคดีบ้านสามง่าม ฯลฯ ซึ่งลวดลายดาวแฉกรัศมีบนกลองนี้บ่งบอกถึงอิทธิพลของวัฒธรรมดองซอน (เป็นวัฒนธรรมในยุคสำริด กำเนิดขึ้นในพื้นที่ราบลุ่มใกล้แม่น้ำแดงของเวียดนามเหนือ) ที่พบได้ทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ช่วง 4,000 ปีก่อนคริสตกาล
ค่อยๆ เดินไล่ชมไปทีละห้องอย่างตั้งใจ บางห้องก็จัดแสดงหม้อไหจานชามแบบจีนจากยุคอดีตที่ขุดพบตามวัดต่างๆ ในเมืองตราด
มีมุมจัดแสดงสินค้าพื้นถิ่นที่ทำรายได้ให้ตราดในอดีต คือเครื่องเทศต่างๆ โดยเฉพาะกระวาน หรือ Cardamom, กานพลู และพริกไทย ที่เป็นทั้งพืชสมุนไพรและใช้ประกอบอาหาร ส่งออกไปในหลายสิบประเทศทั่วโลก
จำลองบรรยากาศตลาดเก่าในอดีตใกล้ๆ แม่น้ำตราด
เดินทางกันต่อไปในอำเภอเมืองตราด ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑสถานเมืองตราด นั่งรถต่อไปแค่ไม่กี่อึดใจเราก็มาถึงวัดเก่าแก่ที่สุดของตราด คือ ‘วัดบุปผาราม’ (วัดปลายคลอง) โดยประวัติกล่าวว่าสร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2175 (บางตำราว่า พ.ศ. 2191 บางตำราว่า 2195) ในรัชกาลพระเจ้าปราสาททอง สมัยกรุงศรีอยุธยา เล่าสืบต่อกันมาว่าในครั้งที่มีการเสาะหาพื้นที่สร้างวัด เมื่อชาวบ้านเดินทางมาถึงจุดนี้ก็ได้กลิ่นดอกไม้หอมตลบอบอวลไปทั่ว แต่หาที่มาของกลิ่นไม่พบ จึงถือเป็นนิมิตรดี ช่วยกันสร้างวัดขึ้น แล้วตั้งชื่อให้ว่า ‘วัดบุปผาราม’ แปลว่า ‘อารามแห่งดอกไม้’ ชื่อไพเราะไม่ใช่เล่นเลย นับแต่นั้นวัดบุปผารามก็ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของคนตราดเรื่อยมา
จุดห้ามพลาดชมของวัดบุปผารามมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นศาลกาการเปรียญไม้ศิลปะอยุธยา ที่สร้างขึ้นด้วยเงินเพียง 1,500 บาท, พระบุทอง-เงิน และพระพุทธรูปทรงเครื่อง, วิหารพระพุทธไสยาสน์, พิพิธภัณฑ์, พระอุโบสถซึ่งมีภาพจิตรกรรมฝาผนังพระพุทธเจ้าปางแสดงธรรมอันงดงาม, กุฎิเดี่ยวสำหรับพระภิกษุสงฆ์ปฏิบัติกัมมัฏฐาน ที่มีความกว้างเพียง 2 เมตร ยาว 4.50 เมตร, อนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน รวมถึงหอระฆังสูงอันมีเอกลักษณ์
ความเก่าแก่ของพระอุโบสถเก่าศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้นที่ผ่านกาลเวลามานับร้อยปี กำลังได้รับการบูรณะ เพื่อให้กลับมาสวยงามดังเดิม
บนศาลาการเปรียญมีรูปหล่อโลหะของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โดยทรงถอดพระมาลา (หมวก) ออก วัดบุปผารามอาจจะเป็นแห่งเดียวในเมืองไทยก็ได้ ที่มีรูปหล่อลักษณะนี้อยู่
กุฎิไม้โบราณของพระสงฆ์ เพื่อใช้ในการปฏิวัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน มีขนาดกว้างเพียง 2 เมตร ยาว 4.50 เมตร เรียกว่าขนาดพระสงฆ์พออยู่ได้รูปเดียว เพื่อแสวงหาความสงบวิเวกอย่างแท้จริง
พระบุเงินบุทองศิลปะพม่า และพระพุทธรูปทรงเครื่องเหลืองอร่ามงามตา
ภายในพระอุโบสถหลังเก่า ประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ พร้อมด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างท้องถิ่น สะท้อนเรื่องราววิถีชีวิตและศิลปะจีนที่เข้ามาเจือปน
พระประธานในพระอุโบสถหลังเก่า พระพักตร์อิ่มเอิบเปี่ยมเมตตา น่าเลื่อมใสมาก เบื้องหลังพระประธานมีภาพจิตรกรรมฝาผนังรูปดอกไม้เครือเถา ให้เข้าคู่กับชื่อวัดบุปผาราม
ภาพจิตรกรรมฝาผนังไฮไลท์ของวัดบุปผาราม พระพุทธเจ้าปางแสดงธรรม
ภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดบุปผาราม งดงามด้วยศิลปะจีนที่เข้ามาเจืออยู่กับศิลปะไทย บ่งบอกได้ถึงผู้บูรณะที่ต้องมีเชื้อสายจีนแน่นอน
พิพิธภัณฑ์วัดบุปผาราม เก็บรักษาโบราณวัตถุล้ำค่าไว้นับพันๆ ชิ้น เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาอดีตความเป็นมาของเมืองตราดนี้
จานชามเครื่องเคลือบแบบจีนโบราณที่มีลวดลายวิจิตรสวยงาม ภายในพิพิธภัณฑ์วัดบุปผาราม
จากอำเภอเมืองตราด เราใช้ทางหลวงหมายเลข 3 แล่นไปทางตะวันออกมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึง ‘ชุมชนบ้านไม้รูด’ อำเภอคลองใหญ่ ซึ่งเป็นชุมชนวิถีประมงเข้มแข็ง ที่ทาง อพท. ได้เข้าไปเป็นพี่เลี้ยง ให้ชาวบ้านสามารถดำเนินวิถีชีวิตของตนไปได้ ควบคู่กับ การท่องเที่ยวแนวนิเวศพิพิธภัณฑ์ หรือ Eco Museum คือนักท่องเที่ยวจะต้องเข้าไปอย่างเคารพชุมชน มีการเข้าไปพักค้างแรมกับชาวบ้าน กินอาหารพื้นถิ่น และทำกิจกรรมร่วมกับชุมชน เรียกว่าเป็นการท่องเที่ยวที่ต้องลงไปใช้ชีวิตกับชาวบ้านจริงๆ ที่เขาเรียกว่าเป็นแนว Experiences ให้ได้ประสบการณ์ตรง มาบอกเล่ากัน
ชุมชนบ้านไม้รูด มีความโดดเด่นในเรื่องการจับปูม้า ปูทะเล และปูดำที่อยู่ตามป่าชายเลน เพราะเขามีภูมิปัญญาท้องถิ่นสั่งสมกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จึงมีความเข้าใจในวิถีทะเลอย่างลึกซึ้ง ทุกวันเราจะเห็นภาพของเรือประมงที่แล่นเข้ามา ขนถ่ายกุ้งหอยปูปลาสดๆ ที่จับได้ขึ้นมาขาย บางบ้านนั่งแกะปูเตรียมส่งให้ร้านที่จะมารับซื้อ เป็นวิถีเรียบง่าย สงบงาม ที่ทำรายได้ให้อย่างยั่งยืน ตราบที่คนไม้รูดยังดูแลทะเลไว้อย่างดี
อพท. คือหน่วยงานหลักที่เป็นพี่เลี้ยงชาวบ้านไม้รูด ให้จัดตั้ง ‘ธนาคารปู’ เพื่ออนุรักษ์พันธุ์ปูม้าไว้ในทะเลตราดมิให้สูญหาย หากชาวประมงรายใดจับปูไข่นอกกระดองได้มาขาย ก็จะไม่มีการรับซื้อ แต่มีข้อตกลงของชุมชนเป็นกฎกติการ่วมกันว่า ต้องนำแม่ปูไข่นอกกระดองไปให้ธนาคารปู เพื่อฟักและอนุบาลเป็นตัวอ่อน แล้วปล่อยคืนลงสู่ทะเลต่อไป ขอปรบมือให้เลยครับ
ธนาคารปูของบ้านไม้รูด ตั้งอยู่ในบริเวณสะพานปลา โดยการนำแม่ปูไข่นอกกระดองมาเลี้ยง ให้มีการสลัดไข่ลงในถังอนุบาล แม่ปูแต่ละตัวจะมีไข่ได้มากถึง 100,000-200,000 ฟอง แต่เมื่อปล่อยคืนสู่ทะเลแล้ว อัตราการรอดก็คงจะไม่เกิน 10 เปอร์เซนต์ เพราะลูกปูตัวจิ๋วเหล่านี้มีลักษณะเป็นแพลงก์ตอนที่ล่องลอยไปในน้ำ จึงตกเป็นอาหารของสัตว์ทะเลอื่นๆ ตามห่วงโซ่อาหาร เติมเต็มระบบนิเวศน์ทะเลตราดให้สมบูรณ์ต่อไป
มีกิจกรรมสนุกๆ และได้ประโยชน์สำหรับคนที่มาเยือนบ้านไม้รูด คือ ‘การปล่อยปูคืนสู่ทะเล’ แต่ที่นี่เขาไม่ได้ปล่อยปูตัวโตๆ ทว่าปล่อยลูกปูตัวจิ๋วเท่าหัวเข็มหมุด ที่ฟักออกจากแม่ปูไข่นอกกระดอง แล้วนำมาอนุบาลไว้ระยะหนึ่งที่ธนาคารปู การปล่อยปูจะใช้วิธีต่อท่อตรงลงสู่น้ำทะเล ในช่วงเวลาที่น้ำลงต่ำสุด เพื่อให้กระแสน้ำพัดพาเหล่าลูกปูนับล้านๆ ตัว ออกไปสู่ผืนทะเลกว้างในอ่าวตราดต่อไป
แม่ปูไข่นอกกระดอง ที่ธนาคารปูบ้านไม้รูดนำมาเลี้ยง รอให้ไข่ฝักออกเป็นตัว
ดูกันชัดๆ เลยครับ แม่ปูไข่นอกกระดอง คือตัวเมียที่ท้องแก่เต็มที่ จะมีไข่ไม่ต่ำกว่า 200,000 ฟอง ฟูออกมาแบบนี้ และเมื่อไข่สุกเป็นสีดำสนิท ลูกปูกตัวน้อยก็จะฟักออกจากไข่ ว่ายน้ำล่องลอยไปในทะเล
ภาพเปรียบเทียบปูม้าตัวผู้ (ตัวบน ขาสีฟ้า) กับแม่ปูม้าไข่นอกกระดอง (ตัวล่าง ขาสีส้ม)
จากอบต.บ้านไม้รูด และสะพานปลา ถ้าเดินมาอีกแค่ไม่กี่ร้อยเมตร เราก็จะได้ตื่นตากับธรรมชาติหาดทรายอันเงียบสงบเป็นธรรมชาติของ ‘หาดไม้รูด’ ซึ่งมีลักษณะเป็นอ่าวรูปครึ่งวงกลม ทอดยาวหลายร้อยเมตร แต่ที่พิเศษสุดเป็น Unssen เลยก็คือ ที่ปลายสุดหาดด้านทิศตะวันออกจะมี ‘หาดทรายสองสี’ ทอดตัวท้าทายทุกสายตา คือมีทั้งส่วนที่เป็นทรายสีขาวสะอาดเนื้อละเอียดยิบ และทรายสีน้ำตาลอมแดงเนื้อหยาบกว่า ทั้งสองมาบรรจบกัน อยู่ติดกับแนวโขดหินและป่าละเมาะร่มรื่น น่ามาพักผ่อนหย่อนใจที่สุด
ดูกันชัดๆ หาดทรายสองสีบ้านไม้รูด อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด มีเนื้อทรายสองแบบมาบรรจบกันอย่างน่าอัศจรรย์
จากแนวโขดหินริมทะเล มองกลับเข้าไปบนฝั่ง จะเห็นหาดทรายสองสีได้แจ่มเต็มตา โดยเฉพาะในยามน้ำลดช่วงกลางวัน
เดินถัดจากหาดทรายสองสีเลียบชายหาดไปทางตะวันออกอีกราวๆ 300 เมตร เราก็มาถึงอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ + ธรรมชาติ ที่น่าสนใจ และ Amazing มากๆ นั่นคือ ‘บ่อญวน’ เป็นบ่อน้ำจืดธรรมชาติที่ผุดขึ้นมาอยู่ติดชายหาดหลังวัดไม้รูดเลยล่ะ โดยน้ำจืดบ่อนี้มีรสจืดสนิท และไม่เคยเหือดแห้ง!
ประวัติบันทึกไว้ว่าในอดีตยุคจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม ครั้งที่ญวน (เวียดนาม) ทำสงครามขับไล่ฝรั่งเศสออกจากประเทศตน ซึ่งขณะนั้นฝรั่งเศสตั้งฐานทัพอยู่ที่เกาะกง กัมพูชา ระหว่างตั้งทัพอยู่ที่เกาะกงเกิดขาดแคลนอาหารและน้ำ คนบ้านไม้รูดจึงได้ช่วยหาเสบียงกรังให้ มีนายทหาร 10 คน ออกหาแหล่งน้ำ ด้วยวิธีโบราณคือถือกะลามะพร้าวไปคว่ำไว้ตรงจุดที่ตนคิดว่ามีน้ำอยู่ จนกระทั่งไปพบบ่อญวนเข้า ทหารกว่า 300 คน จึงได้ดื่มน้ำจากบ่อนี้ นับเป็นเรื่องจริงที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
หลังจากเยี่ยมชมธนาคารปูม้า กิจกรรมของชาวบ้าน รวมถึงหาดทรายสองสี และบ่อญวนอายุกว่า 70 ปีแล้ว ก็ได้คิวพักเที่ยงชิมอาหารท้องถิ่นอร่อยๆ เขาบอกว่าหาทานยาก นั่นคือ ‘ก๋วยเตี๋ยวกั้ง’ ซึ่งหลายคนอาจรู้สึกกลัว ไม่กล้ากิน คงเพราะหน้าตารูปร่างของกั้งมันออกจะแปลกๆ สักหน่อย แต่ขอบอกว่า ถ้าได้ชิมแล้วจะติดใจต้องต่อชามสอง! เนื่องจากเนื้อกั้งสดใหม่จากทะเลนี้ มีความเหนียวนุ่ม เนื้อหวาน ไม่คาว ไม่ต่างจากการกินเนื้อกุ้งเลย ในแต่ละชามนั้นนอกจากเนื้อกั้งที่ใส่กันไม่อั้นแล้ว ยังมีเนื้อปลา กุ้ง และหมึก เสริมเติมทัพเข้ามาอีก ร้านนี้อยู่ที่ฝั่งตรงข้ามธนาคารปูนั่นเอง (ชื่อร้านป้านา)
ชุมชนบ้านไม้รูด เขาไม่ได้มีชื่อเสียงเฉพาะก๋วยเตี๋ยวกั้งหรอกนะครับ แต่ยังมีกะปิแท้อย่างดี บรรจุในแพ็กเกจสวยงาม รอให้เราไปอุดหนุนกระจายรายได้
ตบท้ายของหวานแบบบ้านๆ แต่เลิศรสในมื้อนั้น ด้วยขนมจากบ้านไม้รูด ที่ใส่มะพร้าวเยอะ เข้มข้น หอมหวนชวนรับประทานเป็นอย่างยิ่ง ปิ้งมาใหม่ๆ สดๆ ร้อนๆ แหม กินกันไปคนละเกือบสิบอัน ฮาฮาฮา
อิ่มหนำกันโดยทั่วหน้า ก็ได้เวลาโบกมือลาอำเภอคลองใหญ่และบ้านไม้รูด เลียบทะเลตะวันออกใกล้ด่านชายแดนบ้านหาดเล็กเข้าไปทุกขณะ ลองสังเกตให้ดีทางด้านซ้ายมือจะเห็นจุดท่องเที่ยวเป็น Landmark ใหม่ล่าสุด คือ จุดถ่ายภาพ TRAT ตั้งอยู่บนเนินเขาด้านซ้ายมือ เพราะจุดนี้ถือเป็น ‘จุดแคบที่สุดในประเทศไทย’ มีความกว้างจากชายทะเลขึ้นไปถึงสันเขา (จุดแบ่งเขตแดนไทย-กัมพูชา) กว้างเพียง 450 เมตร ลบล้างข้อมูลเก่าที่เคยเรียนกันมาว่า จุดแคบสุดในเมืองไทยอยู่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ทว่าก่อนจะถึงจุดถ่ายภาพนี้ ก็ต้องเดินขึ้นบันไดไปหลายสิบขั้น เป็นบันไดค่อนข้างชัน เล่นเอาหอบแฮ๊กนิดๆ เหมือนกันนะ
จากริมทางหลวงหมายเลข 3 ที่มุ่งหน้าจากอำเภอเมืองตราด-ด่านชายแดนบ้านหาดเล็ก มองไปทางซ้ายจะเห็น Landmark TRAT จุดแคบสุดในประเทศไทยอย่างเด่นชัด จอดถ่ายรูปกันสักนิด อย่าผ่านเลย
จากบนเนินเขา Landmark จุดแคบสุดในเมืองไทย มองออกไปในทะเลตะวันออก แลเห็นเกาะกูดทอดตัวอยู่ที่เส้นขอบฟ้าสีครามอย่างนิ่งสงบ สวยงาม เย้ายวนให้ออกไปสัมผัส
ในที่สุดก็มาถึงแล้ว ‘ด่านชายแดนบ้านหาดเล็ก’ เป็นจุดผ่านแดนถาวรเชื่อมต่ออำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด – จังหวัดเกาะกง ของกัมพูชา ขอเตือนว่าอย่าลืมเอา Passport ติดตัวไปด้วยล่ะ เพราะต้องใช้ประทับตราตรวจคนเข้าเมืองผ่านแดน ทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา
วันนี้ตลาดชายแดนบ้านหาดเล็กในฝั่งไทยดูคึกคักผิดหูผิดตา คงเพราะตรงกับช่วงฤดูผลไม้ภาคตะวันออกสุกงอมพอดี มีทั้งทุเรียนนานาพันธุ์ เงาะ มังคุด มะไฟ และอีกสารพัดผลไม้ บวกกับอาหารทะเลตากแห้ง อย่างกุ้งแห้งราคาไม่แพง รอให้ไปอุดหนุน
เดินลึกจากริมถนนใหญ่เข้าไปตามซอยในตลาดชายแดน ก็มีเครื่องมือช่าง, เครื่องใช้ไฟฟ้า, โทรศัพท์, กระเป๋าแบรนด์เนม, รองเท้า, เสื้อผ้า, แว่นตา, นาฬิกา, น้ำหอม และอีกนานาสารพัดสินค้าราคาไม่แพงให้จับจ่าย เป็นเสน่ห์ของการกระจายรายได้ ก่อนข้ามแดนเข้าสู่เกาะกงของกัมพูชา หรือใครจะไปเที่ยวเกาะกงก่อน แล้วค่อยมาแวะช้อปปิ้งในตอนขากลับบ้านก็ดีเหมือนกัน
ตลาดชายแดนบ้านหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด สวรรค์ของนักช้อปราคาประหยัด
เมื่อเดินไปสุดตลาดบ้านหาดเล็ก ก็จะไปจรดกับชายทะเลน้ำสีมรกตเคียงคู่ฟ้าสีคราม
เมื่อรถของเราแล่นผ่านด่านตรวจเอกสารของทั้งฝั่งไทยและกัมพูชามาแล้ว ก็เข้าสู่เขตแดนของ ‘จังหวัดเกาะกง’ โดยสมบูรณ์ ภาพแรกที่เห็นคือธงชาติคู่ไทย-กัมพูชา พร้อมพี่ทหารชักธงต้อนรับ ฮาฮาฮา
จากจุดผ่านแดนมาแค่ไม่กี่ร้อยเมตร ทางขวามือคืออาคารทรงโรมันขนาดใหญ่ ไม่ต้องสงสัย นี่คือคาสิโนและโรงแรมหรูห้าดาวของเกาะกง สำหรับนักเดินทางอย่างเราซึ่งมีจุดหมายอยู่ที่อื่น ก็สามารถจอดรถแวะเข้าห้องน้ำ หรือเดินเข้าไปช้อปปิ้งสินค้า Duty Free ด้านในได้นะครับ เขา Open มาก
ฝั่งตรงข้ามคาสิโนเกาะกง เป็นซอยเล็กๆ ที่มีร้านค้าปลอดภาษีของชาวบ้านเรียงรายสองฟากฝั่ง แต่ดูๆ ไป ไม่คึกคักเท่าฝั่งไทย อีกทั้งสินค้าก็คล้ายๆ กับบ้านเราด้วย แนะนำว่าซื้อของที่นี่ต้องต่อราคาให้ดี และสามารถใช้เงินไทยซื้อได้เลย ไม่จำเป็นต้องแลกเงินเรียวของกัมพูชาแต่อย่างใด
ถึงแล้ว ‘เกาะกง’ หรือ ‘เมืองปัจจันตคีรีเขตร’ ดินแดนซึ่งเคยเป็นของไทย และรัชกาลที่ 4 ทรงมีพระบรมราชโองการให้เกาะกงเป็นส่วนหนึ่งของเมืองตราด โดยพระราชทานนามว่า ‘ปัจจันตคีรีเขตร’ ให้คล้องจองกับชื่อเมืองประจวบคีรีขันธ์ เพราะทั้งสองเมืองนี้ตั้งอยู่บนแนวเส้นรุ้ง (เส้นละติจูด) เดียวกัน
ต่อมาในสมัยพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 เมื่อฝรั่งเศสยึดเมืองตราดไว้เป็นประกัน หากไทยต้องการคืนจะต้องแลกเปลี่ยนด้วยการยอมยกดินแดนประเทศกัมพูชา ในส่วนมณฑลบูรพา คือ เมืองพระตะบอง, เมืองเสียมราฐ และเมืองศรีโศภณ ให้ ทว่าต่อมาฝรั่งเศสก็มิได้คืนเมืองปัจจันตคีรีเขตร (เกาะกง) ให้สยามตามเงื่อนไข จนกระทั่งเกาะกงกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศกัมพูชามาจนปัจจุบันจากด่านชายแดนบ้านหาดเล็ก วิ่งรถไปราวๆ 30 นาที ก็ถึงแม่น้ำเกาะกง เป็นแม่น้ำใหญ่ที่ไหลไปออกทะเล แต่เดี๋ยวก่อน ขณะข้ามสะพานเหลียวมองไปทางด้านขวา จะพบกับ ‘เจดีย์ขุนช้างขุนแผน’ โบราณสถานอายุกว่า 900 ปี ที่คนเกาะกงนับถือศรัทธาว่าศักดิ์สิทธิ์มาก จึงมีชาวบ้านมากราบไหว้ขอพรให้สมหวัง ค้าขายร่ำรวย ทำมาค้าขึ้น
ตำนานเล่าว่า มีลูกสาวชาวบ้านชื่อ ทับทิม เป็นหญิงที่รักของขุนแผน ส่วนขุนช้างที่มีรูปร่างไม่งามทว่าร่ำรวยเงินทอง ครอบครัวของทับทิมจึงจับนางแต่งงานกับขุนช้าง หลังจากนั้นด้วยความที่ไม่ได้รักขุนช้าง เธอจึงไปรักกับผู้บัญชาการทหารชื่อ คุณเพ็ญ เมื่อขุนช้างรู้จึงนำความไปกราบทูลพระมหากษัตริย์ จึงมีพระบรมราชโองการให้ประหารตัดร่างนางทับทิมออกเป็นสองท่อน! ร่างของเธอถูกฝังไว้ ณ ลานประหาร หลังจากนั้นขุนช้างรู้สึกผิด อยากให้วิญญาณของเธอไปเกิดใหม่ จึงสร้างเจดีย์ขึ้นเพื่อรำลึกถึงความรักที่มีต่อนาง เป็นเจดีย์สูงประมาณ 4 เมตร ภายในบรรจุข้าวของมีค่าและพระพุทธรูปไว้ โดยเจดีย์นี้ยังคงยืนหยัดอยู่มาถึงปัจจุบัน อยู่ห่างจากตัวเมืองเกาะกงเพียง 1 กิโลเมตร คนละฝั่งแม่น้ำกันจากเจดีย์ขุนช้างขุนแผน ข้ามสะพานเกาะกงมาก็ถึงตัวเมืองเกาะกงแล้ว เชื่อหรือไม่ว่าสะพานแห่งนี้สร้างขึ้นโดยความช่วยเหลือของทหารช่างไทย เมื่อปี ค.ศ. 2007
ยามเย็นย่ำอาทิตย์อัสดง นั่งเหม่อมองแสงสีบนฟากฟ้าจากฝั่งตัวเมืองเกาะกง เต็มไปด้วยความโรแมนติกและคลาสสิกสุดๆ นี่ถ้าชวนคนพิเศษของเราไปด้วยก็คงวิเศษเลย
ยามโพล้เพล้อาทิตย์เพิ่งลาลับ ก่อนท้องฟ้าจะมืดสนิทชวนกันไปเก็บภาพสะพานเกาะกง เริ่มเปิดไฟสะท้อนน้ำวิบวับมลังเมลือง แลแปลกตาดี
ไฮไลท์ของการท่องเที่ยวเชื่อมโยงตราด-เกาะกง ในทริปนี้ คือการล่องเรือเข้าสู่น้ำตกที่โดยส่วนตัวขอบอกเลยว่า ยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งใน ASEAN เลยทีเดียว! (ความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ครับ ฮาฮาฮา) นั่นคือ การเดินทางสู่ ‘น้ำตกตาไต’ ที่ต้องล่องเรือของชาวบ้านเข้าไปประมาณ 30 นาที
น้ำตกตาไตอยู่ห่างจากตัวเมืองเกาะกงไปทางตะวันออกประมาณ 20 กิโลเมตร มีถนนสองเลนลาดยางอย่างดีไปจนถึงท่าเรือ โดยค่าล่องเรือเขาคิดคนละ 50 บาท แต่ถ้ามากันไม่กี่คน หรือไม่อยากแจมกับนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น อยากจะเหมาลำก็ต่อรองราคากันเองได้ที่ท่าเรือมีแผงขายผลไม้นานาชนิด รีบปรี่เข้าไปซื้อชิม อ้าว! มาจากฝั่งไทยทั้งนั้นเลย ฮาฮาฮา
ได้เวลาผจญภัยเที่ยวท่องล่องเรือชมธรรมชาติกันแล้ว วันนี้พลขับนายท้ายของเราเป็นหนุ่มน้อยชาวเกาะกง ที่มาช่วยพ่อขับเรือเครื่อง หน้าตาเข้มขรึมและผิวพรรณที่กร้านแดดลมของเขา นับว่าหล่อเหลาเอาการในสไตล์หนุ่มเขมรแท้ วันนี้เรามากันหลายคน เลยต้องใช้เรือประมาณ 4 ลำ ลำหนึ่งนั่งได้ไม่เกิน 10 คน เพื่อความปลอดภัย (ในเรือมีเสื้อชูชีพให้ครับ)
ระหว่างทางเข้าน้ำตก ช่างเป็นเวลา 30 นาทีที่เต็มไปด้วยความสุข เพราะธรรมชาติแมกไม้สีเขียวสองฟากฝั่งนั้นอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก น้ำใสแจ๋วเย็นเจี๊ยบ อากาศปลอดโปร่งโล่งสบายหายใจได้เต็มปอด ถ่ายภาพกันสนุกเลย
น้ำใสไหลเย็นของแม่น้ำเกาะกง คือสายน้ำที่ถือกำเนิดมาจากเทือกเขาบรรทัด ทอดยาวกางกั้นชายแดนไทย-กัมพูชา และกินอาณาบริเวณเข้ามาในเกาะกงด้วย โดยแม่น้ำสายนี้เป็นน้ำกร่อย จึงมีทั้งต้นโกงกาง ป่าจาก และพืชหลายชนิดที่ทนน้ำกร่อยได้งอกงามอยู่หนาแน่นรกชัฏ
รากหายใจของต้นไม้ในเขตชายคลองน้ำกร่อยชูขึ้นเหนือผิวน้ำริมตลิ่งตื้น สะท้อนผิวน้ำวูบไหวไปมาราวกับภาพศิลปะของศิลปินเอกที่ชื่อ “ธรรมชาติ”
วิถีชีวิตชาวบ้านเกาะกง ยังคงมีเรือแจวตามแบบ Slow Life ให้เห็น น่ารักจริงๆ
นักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาที่กลับจากเที่ยวน้ำตกตาไต โบกไม้โบกมือทักทายเราพร้อมรอยยิ้ม เห็นแล้วอบอุ่นหัวใจจัง
ธรรมชาติพิสุทธิ์ได้กลืนกินหัวใจพวกเราไปจนหมดสิ้นแล้ว
พ้นโค้งน้ำสุดท้ายมา ในที่สุด “น้ำตกตาไต” ก็ปรากฏต่อสายตาเรา เผยความงามบริสุทธิ์ออกมาให้เห็นทีละน้อยๆ ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน!
น้ำตกตาไตแห่งเกาะกง กัมพูชา เห็นกับตาแล้ววันนี้ ขอตั้งฉายาให้เลยว่า “น้ำตกไนแองการ่าแห่งเกาะกง” เพราะแม่น้ำทั้งสายทิ้งตัวลดระดับลงผ่านแก่งหินยักษ์ เสียงน้ำดังสนั่น ละอองน้ำเย็นฉ่ำปลิวว่อนเป็นละอองไอไปทั่ว ถ้าใครเคยไปเที่ยวน้ำตกคอนพะเพ็งที่เมืองปากเซ ของลาวใต้มาแล้ว จะรู้สึกเลยว่า น้ำตกตาไตเป็นฝาแฝดกับน้ำตกคอนพะเพ็ง ฮาฮาฮา
ต้นฤดูฝนแบบนี้ สายน้ำที่น้ำตกตาไตไหลถาโถมอิ่มเอมเย็นฉ่ำ ปิดแก่งหินใหญ่มากมายไว้ใต้ม่านน้ำขาว แต่ถ้ามาเท่ียวช่วงฤดูแล้ง น้ำน้อย จะเห็นแผ่นหินเรียงรายจนขึ้นไปเดินเที่ยวได้เลยล่ะ
น้ำตกตาไต เป็นน้ำตกขนาดใหญ่มากจริงๆ แบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นแรกสูงราวๆ 5-6 เมตร และชั้นที่สองสูง 12-15 เมตร ปัจจุบันถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่คนยังรู้จักน้อย แต่ก็มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทว่าการจัดการยังไม่ดีเท่าที่ควร ระหว่างทางยังพบขยะทิ้งอยู่ในป่าสองข้างทางน้ำตกมากมาย น่าเป็นห่วงมากๆ ครับ! กลัวว่าถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป น้ำตกตาไตอันยิ่งใหญ่และงดงามจะหมองลงน่ะสิ
จากจุดจอดเรือ มีทางเดินป่าระยะทางประมาณ 300 เมตร เลียบตลิ่งขึ้นไปจนถึงหัวน้ำตกชั้นแรก ซึ่งถ่ายภาพได้ใกล้ชิด มองข้ามไปอีกฝั่งจะเห็นเพิงพักของชาวบ้านที่มาปลูกไว้แบบชั่วคราว เพื่อใช้เป็นแคมป์ตกปลา
ด้านหน้าน้ำตกตาไต มีจุดถ่ายภาพเจ๋งๆ แจ่มๆ ให้เลือกนับไม่ถ้วน แต่ต้องระวังลื่นด้วยล่ะ! แนะนำให้ถอดรองเท้าเลยดีกว่า ชัวร์ดี
น้ำตกตาไต มีตำนานเล่าว่า ผู้ชายชื่อตาไต (ตาไท) และลูกชายได้ไปหาปลาที่น้ำตกนี้ เพราะเป็นจุดที่น้ำจืดและน้ำเค็มมาบรรจบกัน แต่อยู่ดีๆ ก็มีพายุฝนตกหนักจนน้ำท่วมฉับพลันพัดลูกตาไตหายไป หลังจากนั้น 4-5 วัน มีคนพบลูกตาไตในจุดที่หายไปนั่นเอง เด็กชายเล่าว่า มีคนพาเขาไปในสถานที่ลี้ลับ เพื่อหนีอะไรสักอย่างที่กำลังตามฆ่าเขา แต่ก็มีนักบวชปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยเหลือ หลังจากตาไตและเมียรู้เรื่อง จึงเชื่อว่าฤาษีได้มาช่วยลูกชายตนไว้ นับแต่นั้นมา น้ำตกแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า “น้ำตกตาไต” หรือ “น้ำตกฤาษี”
ม่านน้ำสีขาวอันอ่อนโยน ของน้ำตกตาไตยามต้นฤดูฝน
ม่านน้ำของน้ำตกตาไตแผ่กว้างออกนับร้อยเมตร ขวางลำน้ำไว้ทั้งสาย ยิ่งใหญ่มาก
การเดินทางของเราในทริปนี้สิ้นสุดลงแล้ว ทว่าความประทับใจในการท่องเที่ยวแบบเชื่อมโยงยังคงไม่จบสิ้น เหมือนดังที่ อพท. หรือ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) ได้กล่าวไว้ไม่มีผิด เพราะมันคือการเชื่อมโยงวิถีชีวิตชุมชน ธรรมชาติ และวัฒนธรรมอันหลากหลายเข้าด้วยกัน ผ่านการเดินทางเรียนรู้โลกกว้างในอาเซียน ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์และหลากหลาย จนทั่วโลกอิจฉา ฮาฮาฮา
ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.dasta.or.th / โทร. 0-2357-3580-7
Top 10 Akita เสน่ห์ Tohoku Japan
1.อะคิตะ ดินแดนแห่งหิมะขาว (Akita the Snow Country of Tohoku) อาบอิ่มด้วยความฉ่ำเย็นทางภาคเหนือ หรือภูมิภาคโทโฮขุ (Tohoku) ของแดนอาทิตย์อุทัย นั่งรถกระเช้าขึ้นไปบนสกีรีสอร์ท ชมวิว ถ่ายภาพ เล่นสกี เล่นสโนว์บอร์ด เก็บเกี่ยวควาทรงจำดีๆ เอาไว้ในใจตลอดไป หิมะขาวของ Akita จะโปรยปรายให้ชื่นชม ระหว่างปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนมีนาคม
2. ทะเลสาบทาซาวะ (Tazawa Lake) เมืองเซนโบขุ (Senboku) เป็นทะเลสาบลึกที่สุดของญี่ปุ่น คือลึกกว่า 420 เมตร ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นทะเลสาบในปากปล่องภูเขาไฟเก่าที่ดับสนิทแล้วนั่นเอง เราจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมในช่วงฤดูหนาวที่หิมะตกหนัก น้ำในทะเลสาบจึงไม่จับตัวเป็นน้ำแข็ง คงเพราะมีความร้อนจากใต้พิภพผุดขึ้นมาจากก้นทะเลสาบนั่นเอง
ทะเลสาบทาซาวะมีตำนานความรักของเจ้าหญิง Tatsuko กับ Hachiro อันอบอุ่น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมน้ำในทะเลสาบแห่งนี้จึงไม่เคยเป็นน้ำแข็งเลย! ลองไปสัมผัสเรื่องราวเหล่านี้ด้วยตัวเอง แล้วจะรู้สึกเลยถึงความโรแมนติก คลาสสิก เหมาะกับการถ่ายภาพ ชมวิวสวยๆ แสนประทับใจ
3. สึรุโนะยุ ออนเซน (Tsurunoyu Secret Onsen) เมืองเซนโบขุ (Senboku) เป็น 1 ใน 8 ที่พักไสตล์ออนเซนเรียวกังของย่าน นิวโตะ (Nyuto Onsen) สึรุโนะยุ ออนเซน เป็นบ่อน้ำแร่ร้อนออนเซนอันลี้ลับกลางหุบเขาหนาวเย็น ซึ่งไดเมียวและเหล่าซามูไรเคยมาอาบแช่เมื่อหลายร้อยปีก่อน นับเป็นหนึ่งในออนเซนที่คนญี่ปุ่นทั้งประเทศต้องการมาอาบแช่สักครั้งในชีวิต เพราะน้ำสีนมเทอร์ควอยต์ของที่นี่อุดมด้วยแร่ธาตุมากมาย ได้อาบแช่แล้วสบาย ผ่อนคลายกายใจ ช่วยให้สุขภาพดี
4. เทศกาลดอกไม้ไฟ ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น (Omagari Firework Festival) ช่วงเสาร์สุดท้ายของเดือนสิงหาคมทุกปี ที่ เมืองโอมาการิ (Omagari City) ในจังหวัดอะคิตะ จะมีการจัดงานเทศกาลดอกไม้ไฟที่ยิ่งใหญ่อลังการที่สุดในญี่ปุ่น เพราะดินแดนโทโฮขุแถบนี้เป็นแหล่งผลิตดอกไม้ไฟอันมีชื่อเสียงมาแต่โบราณ งานนี้คนญี่ปุ่นเรียกว่า Hanabi Taikai เป็นช่วงซึ่งที่พักหายากมาก อาจต้องจองข้ามปีกันเลยทีเดียว
งานนี้เราจะได้ตื่นตาตื่นใจกับการแข่งขันจุดพลุและดอกไม้ไฟ จากสุดยอดช่างทำพลุของญี่ปุ่น ที่มาโชว์ฝีมือแข่งกันอย่างเต็มที่
5. หมู่บ้านซามูไร คาคุโนดาเตะ (Kakunodate Samurai Village) ใน เมืองเซนโบขุ (Senboku) เป็นย่านซามูไรอันเก่าแก่ของญี่ปุ่นที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี ทำให้เราสัมผัสได้ถึงก้าวย่างสู่อดีตของญี่ปุ่นก่อนยุคเมจิ (ญี่ปุ่นสมัยใหม่) มีซามูไรกว่า 80 ตระกูล อาศัยทำการค้าขายอยู่ในแถบนี้ จึงมีเรื่องราวประวัติศาสตร์ให้เรียนรู้ ปัจจุบันมีบ้านซามูไร 6-8 หลัง เปิดให้เข้าชมทั้งภายนอกภายใน แถมยังมีร้านให้เช่าชุดกิโมโนและชุดซามูไร ใส่เดินเที่ยวถ่ายรูปได้ตลอดวัน สลับกับการนั่งพักดื่มชา หรือชิมอาหารอร่อยๆ ในย่านนี้ Happy จริงๆ เนอะ
หมู่บ้านซามูไรแห่งคาคุโนดาเตะ แบ่งเป็น 2 โซนใหญ่ๆ คือ โซนหมู่บ้านซามูไร (Samurai District) และโซนค้าขาย (Merchant District) สร้างมาตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1620 ใครที่โหยหาอดีตย้อนยุค มาเที่ยวที่นี่ไม่ผิดหวังแน่นอน โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ผลิ ดอกซากุระสีชมพูสองข้างถนนจะพร้อมใจกันเบ่งบานอลังการสุดๆ เลยล่ะ
6. เทศกาลโคมไฟ (Akita Kanto Festival) ถือเป็นเทศกาลโคมไฟที่ยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุดในญี่ปุ่น จัดกันที่จังหวัดอะคิตะในเมือง Akita City เป็นประจำทุกปีช่วงวันที่ 3-6 สิงหาคม โดยงานนี้ถือเป็น 1 ใน 6 เทศกาลใหญ่สุดของภูมิภาคโทโฮขุ จัดขึ้นเพื่อให้เกิดโชคดีสำหรับฤดูเก็บเกี่ยว โคมไฟแต่ละอันจะผูกติดอยู่กับก้านไม้ไผ่ยาวตั้งแต่ 2-6 เมตร! กวัดแกว่งไปมาอย่างพลิ้วไหวประดุจรวงข้าวต้องลม ผู้ถือโคมไฟจึงต้องมีทักษะความชำนาญในการ Balance หรือถืออย่างไรให้สมดุล โคมไฟไม่ตกลงมาซะก่อน
7. อะคิตะ ดินแดนต้นกำเนิดนามาฮาเกะ (Namahake) เทพเจ้าหรือปีศาจแห่งขุนเขา ที่ออกมาหาผู้คนในช่วงปีใหม่ของญี่ปุ่น เพื่อคอยย้ำเตือนให้ผู้คนทำดี และในวันสิ้นปีนามาฮาเกะจะไปตามบ้านเพื่อหาเด็กขี้เกียจ! เอกลักษณ์ของตัวนามาฮาเกะนั้น จะสวมหน้ากากออกแนวน่ากลัว ห่มคลุมด้วยชุดฟางข้าว มือถือมีดอีโต้ขนาดใหญ่ นามาฮาเกะถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของจังหวัดอะคิตะ พบเห็นได้ทั่วไปทั้งในแบบรูปปั้น ภาพวาด ของที่ระลึก หรือแม้แต่ขนมกินเล่น นอกจากนี้ที่ เมืองโอกะ (Oga) ยังมีพิพิธภัณฑ์นามาฮาเกะ และศาลเจ้าต้นกำเนิดนามาฮาเกะ ให้ไปเที่ยวชมอีกด้วย
ทุกปีช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ จะมี งานเทศกาลนามาฮาเกะ เซนโด เป็นขบวนแห่นามาฮาเกะลงมาจากเขาหิมะอันน่าตื่นตาตื่นใจ (ปี 2017 งาน Namahake Sedo Festival จัดวันที่ 10-12 กุมภาพันธ์ ที่ศาลเจ้านามาฮาเกะ)
8. สนุกกับกิจกรรม นำเปลือกไม้ซากุระอันมีลวดลายสวยงาม มาประดิษฐ์ประดอยเป็นของที่ระลึกเก๋ไก๋น่ารัก (Sakura Bark Handmade Souvenir DIY) เป็นการนำเปลือกไม้จากต้นยามะซากุระ ซึ่งเติบโตอยู่บนภูเขาสูงและหายาก มาประดิษฐ์เป็นรูปทรงหรือตัวอักษรติดลงบนแผ่นไม้ จากนั้นรีดด้วยเหล็กร้อนจนเกิดกาวธรรมชาติ ผนึกเปลือกซากุระจนติดแน่น เก็บไว้ดูเป็นที่ระลึกเก๋ไก๋ ไปสนุกกันได้ที่ เมืองคาคุโนดาเตะ (Kakunodate) จ้า
ทั้งนี้งานศิลปะจากเปลือกไม้ซากุระ ถือเป็นหนึ่งในงานหัตศิลป์ที่คิดค้นขึ้นโดยเหล่าซามูไรในสมัยโบราณ เห็นไหมล่ะว่า ไม่ใช่แต่เก่งฟันดาบอย่างเดียวนะ ซามูไรยังต้องทำงานฝีมือ หรือแต่งกลอนเป็นด้วยล่ะ อย่างเมื่อมีเวลาว่า ซามูไรจะทำกล่องใส่ของไว้ใช้เอง เช่น กล่องอาหารเบนโตะ เป็นต้น
9. อะคิตะ แหล่งผลิตเส้นโซบะสดและเส้นอูด้งแสนอร่อยของญี่ปุ่น (Yummy Soba & Udon) อะคิตะเป็นแหล่งผลิตเส้นโซบะและเส้นอูด้งที่ดีที่สุด 1 ใน 3 แห่งของญี่ปุ่น เนื้อเส้นเหนียวนุ่ม ละมุนลิ้น กินกับน้ำซุปร้อนๆ ช่วยให้ร่างกายอุ่นขึ้นท่ามกลางอากาศหนาวเย็น หาชิมได้ทั่วไปในร้านอาหารทั้งเล็กใหญ่จ้า
10. อะคิตะ แหล่งผลิตเครื่องดื่มสาเกคุณภาพเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น (Unique Sake of Japan) ผลิตโดยใช้ข้าวพันธุ์ท้องถิ่น นำมาบ่มหมักด้วยกรรมวิธีแบบโบราณ และด้วยความที่อากาศแถบนี้หนาวเย็นยาวนาน ทำให้ยีสที่ใช้ในการผลิตสาเก บ่มหมักไปอย่างช้าๆ เครื่องดื่มสาเกที่ได้จึงมีรสไม่ขม ทว่านุ่มลื่น ออกหวานนิดๆ นับเป็นรสชาติเฉพาะตัวของสาเกอะคิตะเลยทีเดียว โรงงานเครื่องดื่มสาเกหลายแห่งเปิดให้เข้าชมด้วย นับเป็นการเปิดประสบการณ์ที่หาได้ยาก
More info Contact : ปารี เทรเวล www.pareetravel.com และ Facebook.com/pareetravel
เที่ยว TOKYO เหนือความคาดหมาย!
เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา องค์การ TCVB หรือ Tokyo Convention & Visitors Bureau ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง เกี่ยวกับการดูแลและส่งเสริมการท่องเที่ยวมหานครโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้เดินทางมานำเสนอแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ อันน่าสนใจ ให้กับสื่อมวลชน และผู้ประกอบการท่องเที่ยวของไทย ได้รับฟัง เพื่อเป็นแนวทางผสานประโยชน์ นำนักท่องเที่ยวไทยที่ต้องการสัมผัสโตเกียวในแง่มุมแปลกใหม่ เดินทางสู่จุดหมายปลายทางนี้ให้เพิ่มมากขึ้น
ในงานนี้ TCVB ได้เปิดตัวแคมเปญเก๋ไก๋ &Tokyo ซึ่งได้ดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้วในญี่ปุ่น กล่าวคือ นำแง่มุมอันน่าสนใจต่างๆ ของโตเกียวออกมานำเสนออย่างน่ารัก เช่น Cuisine & Tokyo (อาหารอร่อย), Hospitality &Tokyo (ความมีน้ำใจไมตรีของผู้คน), Photo &Tokyo (การท่องเที่ยวถ่ายภาพ) และ Adventure &Tokyo (การท่องเที่ยวผจญภัย) เป็นต้น ซึ่งหลายแง่มุมนับเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่นักท่องเที่ยวยังไม่เคยทราบกัน อาทิ ภูเขาทาคาโอ (Mt. Takao) ที่อยู่ใกล้กับโตเกียวนั้น เป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติสุดชิล ที่สามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีอันน่าตื่นตาได้ในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม อีกทั้งเป็นจุดเดินป่าเทรกกิ้งชมธรรมชาติสุดวิเศษ แถมยังมีบ่อน้ำแร่ร้อนออนเซนอันมีชื่อเสียงให้สัมผัสอีกด้วย โดยเราสามารถนั่งรถไฟจากสถานีชินจูกุไปเพียง 50 นาทีเท่านั้น เป็นต้น
นอกจากนี้ บริษัท KEIO Corporation เจ้าของกิจการเดินรถไฟและเครือโรงแรม KEIO Hotel ขนาดใหญ่ในญี่ปุ่น ยังได้มานำเสนอการท่องเที่ยวเชื่อมโยง ในแบบ Connectivity Route จากโตเกียวไปยังภูมิภาอื่นของญี่ปุ่นได้อย่างง่ายดาย ด้วยรถไฟ Local Train และรถไฟหัวจรวดครามเร็วสูงชิงงันเซน เช่น รถไฟสายตะวันตกจากโตเกียว ด้วยบริการของ KEIO Railway Line ก็จะมีแหล่งท่องเที่ยวระหว่างทางให้แวะชมมากมาย หรือจะเที่ยวเชื่อมโยงขึ้นไปยังภาคเหนือของญี่ปุ่น ในภูมิภาคโทโฮคุ จากโตเกียวสู่จังหวัดอาคิตะ (Akita) ด้วยรถไฟก็สะดวกง่ายดายมาก
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รักญี่ปุ่น รักการเดินทางท่องโลก และต้องการหาหมุดหมายใหม่ให้ชีวิต ทริปต่อไปอย่าลืม Tokyo นะครับ
สนใจค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.gotokyo.org/th/ , https://tcvb.or.jp/en/ , www.keio.co.jp