ปู้น ปู้น เที่ยวไปกับรถไฟหัวจักรไอน้ำโบราณ
ในยุคปี พ.ศ. นี้ คนไทยเรากำลังตื่นเต้นกับการกำลังจะก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปีหน้านี้แล้ว หลายคนกำลังฝันค้างกับรถไฟความเร็วสูงแบบหัวจรวด ที่พาผู้โดยสารจากกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ได้ในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง! แต่จะมีสักกี่คนที่คิดถึงอดีต คิดถึงบรรยกาศเก่าๆ เมื่อครั้งที่ประเทศสยามของเราเพิ่งมีรถไฟหัวรถจักรไอน้ำวิ่งเป็นครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ 5 วันนี้แทบไม่มีใครนึกภาพออกแล้วว่า หน้าตาของรถไฟหัวรถจักรไอน้ำเป็นแบบไหน?
ทุกวันนี้หัวรถจักรไอน้ำโบราณของไทยเราได้รับการนำไปเก็บรักษาไว้ที่โรงรถจักรธนบุรี ริมคลองบางกอกน้อย โดยมีอยู่ทั้งหมด 5 หัว ที่สั่งซื้อมาจากประเทศญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ หัวรถจักรแบบโมกุล (C56) มี 2 คัน คือหมายเลข 713 และ 715 หัวรถจักรแบบแปซิฟิค มี 2 คันเช่นกัน คือหมายเลข 824 และ 850 รวมถึงหัวรถจักรแบบมิกาโด หมายเลข 953 ซึ่งทั้งหมดได้รับการซ่อมใหญ่ ปรับปรุงจนมีสภาพสมบูรณ์ สามารถนำมาวิ่งรับส่งผู้โดยสารหรือวิ่งโชว์ตัวได้จริงๆ เพียงปีละ 4 วัน เป็นขบวนรถพิเศษนำเที่ยว ในวันที่ 26 มีนาคม (วันสถาปนากิจการรถไฟ), วันที่ 12 สิงหาคม (วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสริริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ), วันที่ 23 ตุลาคม (วันปิยมหาราช) และวันที่ 5 ธันวาคม (วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช)
หลายชั่วโมงผ่านไป รถไฟเราหยุดแวะที่สถานีบางปะอิน เป็นเวลา 15 นาที ปล่อยให้เราลงไปชื่นชมกับสถาปัตยกรรมยุโรปย้อนยุคอันแสนงดงาม ของ “พลับพลาที่ประทับ รัชกาลที่ 5” ซึ่งปกติไม่เคยเปิดให้ใครชมมาก่อน แต่ตอนนี้ทางจังหวัดอยุธยากำลังอยู่ระหว่างปรับปรุงเพื่อเปิดเป็น แหล่งท่องเที่ยวใหม่ พลับพลานี้รัชกาลที่ 5 ทรงเคยใช้ประทับเมื่อครั้งเสด็จพระราชวังบางปะอิน รวมถึงในหลวง รัชกาลที่ 9 พร้อมด้วยสมเด็จพระราชินี ก็ทรงเคยเสด็จประทับเช่นกัน ภายในพลับพลานี้งามด้วยกระจกสเตนกลาสจากอิตาลีแท้ๆ พร้อมด้วยการฉลุลายไม้อย่างวิจิตร แบบยุควิคตอเรียของยุโรป รวมถึงยังมีตราประจำรัชกาลของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ประดับตกแต่งอยู่ที่นี่ด้วย
ปู้นๆ ปู้นๆ เสียงสัญญาณลากยาว พร้อมกับไอน้ำสีขาวกลุ่มใหญ่พวยพุ่งออกจากหัวรถจักร เอาตอนเช้าตรู่ นำเราออกจากสถานีรถไฟหัวลำโพงมุ่งหน้าสถานีพระนครศรีอยุธยา เสียงหวูดนั้นไพเราะจับใจ จนเราอยากจดจำไว้นานๆ ลืมบอกไปว่ารถไฟของเราแล่นด้วยความเร็วแค่ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แบบ Slow Train ให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ Slow Travel อิ่มเอมกับบรรยากาศวิวทิวทัศน์ท้องทุ่งและผู้คนสองข้างทางไปตลอด
รถไฟหัวจักรไอน้ำของเราในวันนี้คือ หัวจักรแบบแปซิฟิคหมายเลข 824 ซึ่งดูแล้วบึกบึนน่าเกรงขาม สมเป็นรถไฟรุ่นคุณปู่ที่ยังคงมีสภาพสวยงามแสนคลาสสิก จนรถไฟสมัยใหม่ต้องอายไปเลย ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟหน้า ล้อเหล็กขนาดใหญ่ที่มีฟันเฟืองอะไรไม่รู้เต็มไปหมด รวมถึงท่อไอน้ำที่มักจะพ่นปู้นๆ เป็นสัญญาณอย่างที่คนรุ่นก่อนๆ คุ้นเคยกัน แต่คนรุ่นนี้คงไม่รู้จักเสียแล้ว
หลังจากรถไฟหัวจักรไอน้ำรุ่นคุณปู่นำเรามาถึงสถานีรถไฟพระนครศรีอยุธยาแล้ว ก็ได้เวลาตระเวนเที่ยวไหว้พระ 4 จังหวัด อยุธยา-สิงห์บุรี-อ่างทอง-ชัยนาท ทำบุญเสริมสร้างบารมีให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง แต่นอกจากไหว้พระแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะขอแวะเข้าไปศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยา และชมวิวท้องทุ่งนาสีเขียวสวยๆ ของชัยนาทด้วย
“ศูนย์ท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และหอศิลป์ร่วมสมัยอโยธยา” ชมประวัติความเป็นมาอันยาวนานของราชธานีโบราณ เมืองมรดกโลกอันสงบสุข ผูกพันอยู่กับสายน้ำใหญ่ถึง 3 สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำลพบุรี, แม่น้ำป่าสัก บ้านเมืองนี้จึงสมบูรณ์ มั่งคั่ง ในน้ำมีปลาในนามีข้าวมาจนถึงทุกวันนี้ ตัวอย่างเช่น เมื่อได้ไปเยือนวัดใหญ่ชัยมงคล เราคงตกตะลึงกับพระปรางค์ทรงลังกาขนาดใหญ่ที่สุดในอยุธยา ลองสังเกตพระพักตร์ของพระพุทธรูปวัดนี้ให้ดี จะพบว่ามีพุทธลักษณะอิ่มเอิบ งดงาม แลใจเย็น เป็นมิตร ทำให้ใจผู้มาเยือนจากแดนไกลอย่างเราสงบ สะท้อนว่ายุคที่อยุธยารุ่งเรืองสุดขีดนั้น บ้านเมืองคงยิ่งใหญ่ไม่แพ้ราชธานีใดบนแผ่นดินสุวรรณภูมิเลย
“ตลาดโก้งโค้ง” ชิมอาหารโบราณย้อนยุคอร่อยๆ อย่างผัดไทยกุ้งสด, ก๋วยเตี๋ยวเรือ ต่อด้วยของหวานอย่างขนมกล้วยนาบ, บัวลอยไข่หวาน และอีกสารพัด
“พระนอนวัดขุนอินทประมูล” จังหวัดอ่างทอง ซึ่งเป็นพระนอนยาวอันดับ 2 ของประเทศไทย คือยาวถึง 50 เมตร (รองจากพระนอนวัดบางพลีใหญ่กลาง สมุทรปราการ ยาว 53 เมตร และพระนอนจักรสีห์ สิงห์บุรี ยาว 47 เมตร) พระนอนองค์นี้มีพระพักตรงดงามได้สัดส่วนมาก แสดงออกถึงความเมตตา เรามากราบไหว้จึงรู้สึกสุขใจ อีกทั้งโดยรอบวัดมีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ทำให้บรรยากาศสงบร่มเย็นเป็นธรรมชาติ
“วัดไชโยวรวิหาร” อ่างทอง หรือที่ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า วัดเกษไชโย มีองค์พระประธานในโบสถ์ สูงถึง 22.65 เมตร นามว่า พระมหาพุทธพิมพ์ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสมเด็จโตวัดระฆัง แต่ต่อมาทลายลง แล้วมีการบูรณะใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 จนองค์พระมีขนาดใหญ่โตจนเราแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เรียกว่าต้องแหงนมองคอตั้งบ่ากันเลยทีเดียว
มาเยือนชัยนาททั้งที ก็อย่าลืมหาโอกาสไปล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยา ชมวิถีชีวิตสองฟากฝั่ง เส้นทางเริ่มจากวัดพระบรมธาตุวรวิหาร ไปถึงเขื่อนเจ้าพระยา ใช้เวลาแค่ 40 นาที แต่ประทับใจไปนานแสนนาน กับธรรมชาติอันงดงามตามวิถีภาคลุ่มน้ำภาคกลาง เมืองอู่ข้าวอู่น้ำ
เสร็จแล้วก็มาห่มผ้าพระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ “วัดพระบรมธาตุวรวิหาร” ซึ่งมีบ่อน้ำโบราณ เป็นบ่อน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เคยเหือดแห้ง ชาวบ้านนิยมเดินทางมานำน้ำนี้ไปอาบกินเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตมาหลายชั่วอายุคนแล้ว
“วัดปากคลองมะขามเฒ่า” จังหวัดชัยนาท ของหลวงปู่ศุข เกจิอาจารย์ชื่อดังจอมขมังเวชวิชาอาคมต่างๆ ผู้เป็นพระอาจารย์ของเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรฯ แม้หลวงหลวงปู่ศุขจะละสังขารไปนานแล้ว ทว่าชื่อเสียงของท่านยังคงอยู่ เมื่อกราบพระแล้ว ก็ต้องเข้าไปในวิหารหลังเล็ก ชมภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือของกรมหลวงชุมพรฯ แท้ๆ ที่ท่านได้วาดฝากฝีมือไว้ครั้งมาร่ำเรียนวิชาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าอยู่หลายปี เห็นแล้วเป็นบุญตาจริงๆ
“วัดหน้าพระเมรุ” วัดเดียวสมัยกรุงแตก ที่ไม่โดนพม่าเผาทำลาย เนื่องจากพม่าใช้เป็นที่ตั้งฐานทัพ แล้วใช้ปืนใหญ่ระดมยิงเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง จุดเด่นของวัดนี้คือพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่อย่างกษัตริย์ ซึ่งจะหาชมที่อื่นใดไม่ได้อีกแล้ว
Special Thanks : ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานชัยนาท, อ่างทอง, สิงห์บุรี, พระนครศรีอยุธยา และชาวจังหวัดชัยนาททุกคน ที่ช่วยสนับสนุนการเดินทางทำสารคดีเรื่องนี้เป็นอย่างดี
Traveler’s Guide
How to go : นั่งรถไฟจากหัวลำโพง ไปลงที่สถานีพระนครศรีอยุธยา แล้วนั่งรถเที่ยวต่อในเส้นทาง อยุธยา-สิงห์บุรี-อ่างทอง-ชัยนาท จากนั้นนั่งรถไฟกลับ ใช้เวลา 2 วัน 1 คืน ในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ได้สบาย ใครอยากนั่งรถไฟหัวจักรไอน้ำ มีแค่ปีละ 4 ครั้ง คือ วันที่ 26 มีนาคม, 12 สิงหาคม, 23 ตุลาคม และ 5 ธันวาคม สนใจติดต่อ การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 1690 เว็บไซต์ www.railway.co.th
Where to stay : ที่จังหวัดชัยนาท แนะนำ 111 Resort and Spa โทร. 0-5648-2113, 09-3221-1022 www.111-resort.com และ สุวรรณาการ์เด้นรีสอร์ท โทร. 0-5647-7789, 08-2177-2989
What to eat : อาหารชัยนาทเด็ดๆ มีหลายอย่าง เช่น ขนมตาล, ขนมลืมกลืน, แป้งข้าวหมาก, ผัดไทยเกี๊ยวกรอบ, ขนมจีนซาวน้ำ, ลาบส้มโอ, หมี่กรอบ, ไอศกรีมข้าวไรซ์เบอร์รี่, ส้มโอขาวแตงกวา ฯลฯ
Souvenirs : ของที่ระลึกจากชัยนาท เช่น หุ่นฟางนกเล็ก, ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกก, ผ้าทอลายโบราณลาวครั่ง, ธูปสมุนไพรไล่ยุงบ้านสระไม้แดง, กระบุงปากบาน, น้ำตาลโตนด, โตกหวาย, เก้าอี้ผักตบชวา ฯลฯ
More info : ททท. ชัยนาท-อ่างทอง โทร. 0-3552-5867, 0-3552-5880 / ททท. สิงห์บุรี โทร. 0-3677-0096-7 / ททท. พระนครศรีอยุธยา โทร. 0-3524-6076-7 / บริษัท ฟูจิ ทัวร์ โทร. 09-8273-4435