ภาคกลาง ภาคตะวันตก

นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @เขาชะงุ้ม จ.ราชบุรี

เรื่อง/ภาพ สุเทพ ช่วยปัญญา สำนักข่าวท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดราชบุรี สมาพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (สสทท.) สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) บริษัท เมืองไทย ครีเอทีฟ แอนด์ ทัวร์ จำกัด และสำนักข่าวท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม (สทส.) จัดกิจกรรม “นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @ เขาชะงุ้ม ราชบุรี” เยี่ยมชม โครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม ทำกิจกรรมปลูกหญ้าแฝก  ซื้อของฝากพืชผักสวนครัวจากร้านในโครงการเขาชะงุ้ม ชมความงามอุทยานหินเขางู กราบพระพรมน้ำมนต์ในถ้ำเขางู ถวายเทียนพรรษาที่วัดหนองหอย ดื่มกาแฟยามบ่าย @ KON RUK SUAN CAFE ขอพรเจ้าแม่กวนอิม วัดหนองหอย ช้อปสินค้าโอท็อป กาดวิถีชุมชนคูบัว ราชบุรี
คุณสัญชัย สวัสดี หัวหน้างานโฆษณาและส่งเสริมการท่องเที่ยว การรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย คุณจุไรรัตน์ ชัยทวีทวัทรัพย์ รองผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานราชบุรี  และ คุณกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) ร่วมต้อนรับนักท่องเที่ยว นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @เขาชะงุ้ม ราชบุรี สถานีจุฬาลงกรณ์ ราชบุรี นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @ เขาชะงุ้ม ราชบุรี” ทริปนี้ไม่ได้เป้น One Day Trip เหมือนที่เพชรบุรี และกาญจนบุรี แต่เป็นแบบค้าง 1 คืน 2 วัน รถไฟ KIHA 183 มาถึง สถานีจุฬาลงกรณ์ ราชบุรี ในเวลา 9.30 น. นักท่องเที่ยวจำนวน 200 คน เต็มทุกที่นั่ง ทยอยลงจากรถไฟ เพื่อเดินไปขึ้นรถบัส 5 คัน จอดรออยู่แล้วที่ข้างสถานี โดยมีเจ้าหน้าการรถไฟช่วยนักท่องเที่ยวขนกระเป๋า ชี้ป้ายบอกทางไปยังรถบัส แยกตามสีป้ายคล้องคอที่ได้รับต้อนลงทะเบียนในตอนเช้า โครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม ตามพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 จุดแรกที่มาถึงก็คือ โครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม ตามพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 นักท่องเที่ยวแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ขึ้นรถรางเข้ารับฟังการบรรยายในห้องประชุม ถึงประวัติความเป็นมาที่ได้รับบริจากมา เดิมเป็นบ่อดินลูกรังที่ถูกหน้าดินขายไปหมดแล้ว วัถตุประสงค์เพื่อทำการทดลองฟื้นฟู บำรุงดิน ให้กลับมาใช้เพาะปลูกได้ และทำกิจกรรมปลูกหญ้าแฝก ในโครงการฯ ส่วนกลุ่มที่ 2 รวมกลุ่มกันถ่ายรูปหมู่กับป้ายหน้าโครงการฯ เสร็จแล้วใครจะถ่ายรูปเช็คอินส่วนตัวก็เชิญตามสบาย จากนั้นก็นั่งรถราง ชมฐานกิจกรรมต่างๆของโครงการฯ อ่างเก็บน้ำเขาชะงุ้ม ต้นไม้ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงปลูก และแวะถ่ายรูปหมู่กันที่ฐานปลูกผักสวนครัวกันอีก 1 จุด  มื้อกลางวันทานอาหารท้องถิ่นแบบโต๊ะไทย นั่งรถรางชมฐานกิจกรรมต่างๆเสร็จแล้วก็ได้เวลา มื้อกลางวันทานอาหารท้องถิ่นแบบโต๊ะไทย เมนูประกอบไปด้วย น้ำพริงกะปิชะอมชุบไข่ทอด แกงคั่วหมูผักทอง ไข่พะโล้หมูเต้าหู้ ปลานิลทอดสมุนไพร และผัดผักรวมมิตรน้ำมันหอย ปิดท้ายด้วยของหวานกล้วยบวชชี อร่อยรสชาติ แบบท้องถิ่น ทุกเมนู กิจกรรมปลูกหญ้าแฝก ป้องกันหน้าดินพังทะลาย หลังอาหารมื้อกลางวัน นักท่องเที่ยวร่วมกันทำกิจกรรม ปลูกหญ้าแฝก ป้องกันหน้าดินพังทะลาย ตามพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 เจ้าหน้าที่โครงการฯ ได้เตรียมต้นกล้าหญ้าแฝกต้นเล็ก อยู่ในถุงดำเล็กวางเรียงรายอยู่ในร่องดินที่เจ้าหน้าที่ขุดเตรียมไว้ พร้อมปลูก นักท่องเที่ยวลงจากรถราง มาถึงก็ต้องเช็คอินถ่ายรูปกับต้นกล้าหญ้าแฝกเพื่อลงโซเซียนกันก่อน เพียงแค่แกะถุงดำออกให้เหลือแต่ต้นกล้าหญ้าแฝก แกะเสร็จก็วางลงไปในร่อง แล้วเอาดินที่ขุดเป็นร่องอยู่ข้างๆกลบต้นกล้าลงไป ใครจะปลูกกี่ต้นก็ได้ตามอำเภอใจ จากนั้นก็ไปเอาฝักบัวรดน้ำมารดให้ต้นกล้าได้ชุ่มช่ำสดชื่น มีน้ำเพียงพอในการฟื้นตัว หลังจากที่นักท่องเที่ยวปลูกหญ้าแฝกเสร็จกลับไปแล้ว แต่เจ้าหน้าก็ยังต้องดูแลให้หญ้าแฝกเจริญเติบโตต่อไปได้ อุทยานหินเขางู แหล่งระเบิดหินเก่ากลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว  อุทยานหินเขางู ตั้งอยู่ที่ ตำบลเกาะพลับพลา อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เดิมเป็นแหล่งระเบิดหินเอาไปทำปูนซีเมนต์ และทำหินผสมคอนกรีต มาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อมาภาครัฐและเอกชนมีมติให้ยกเลิกสัมปทานระเบิดหิน เพราะสภาพภูมิประเทศในบริเวณนั้นเสื่อมโทรมลงอย่างมาก เกิดเป็นแอ่งน้ำลึกไปตาม 5 ล่องเขา ต่อทางจังหวัดราชบุรีจึงได้พัฒนาเขางูให้เป็นสวนสาธารณะ และสถานที่ท่องเที่ยว แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น อุทยานหินเขางู  เช้าวันใหม่นักท่องเที่ยวทานอาหารเช้าที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางมาที่ อุทยานหินเขางู เพื่อมาถ่ายรูปหมู่ กันบนสะพานแขวงสัญลักษณ์ของอุทยานหินเขางู เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไปท่องเที่ยวตามจุดต่างๆของอุทยานฯ ซึ่งก็มีหลายจุดให้ท่องเที่ยว บางกรุ๊ปก็เดินเที่ยวชมธรรมชาติสวยงามไปตามเทรล จะเช่าเรือถีบล่องแอ่งน้ำเพลินๆ หรือซื้ออาหารปลาเลี้ยงปลาคราฟก็ได้ กราบพระรับพรมน้ำมนต์ที่ ถ้ำฤาษีเขางู  ในบริเวณ อุทยานหินเขางู ยังมี ถ้ำฤาษีเขางู ให้นักท่องเที่ยวได้มากราบพระรับพรมน้ำมนต์ได้อีกจุดหนึ่ง ด้านหน้ามีพระพุทธรูปสลักหินปางลีลาขนาดใหญ่ เต็มพื้นที่หน้าผา สร้างจากการยิงแสงเลเซอร์ลงบนหน้าผาหินให้เป็นรูปองค์พระแบบนูนตำ่ ลงรักปิดทองเหลืองงามตา เหนือพระเศียรประดับด้วยฉัตรเงิน 8 ชั้น ด้านข้างองค์พระใหญ่มีศาลเจ้าพ่อเขางู ให้กราบบูชาก่อนถึงไปยังถ้ำฤาษี  ภายถ้ำฤาษี มีพระพุทธรูปสลักหินนูนต่ำ สมัยทราวดี 2 องค์ มีพระพุทธรูปปางแสดงธรรม และปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ อยู่ที่ผนังถ้ำ นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังขอพรรับพรมน้ำมนต์จากพระสงฆ์ ที่มาจำวัดอยู่ในถ้ำนี้ได้ด้วย ถวายเทียนพรรษา วัดหนองหอย ช่วงบ่ายคณะนักท่องเที่ยวไปร่วมกันถวายเทียนพรรษาที่ วัดหนองหอย เนื่องจากวันเข้าพรรษาในวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 ที่จะเวียนมาถึง ทางวัดได้จัดเก้าอี้ให้นักท่องเที่ยวนั่งทำกิจกรรมทางสงฆ์ได้อย่างสะดวกสบาย นายสัญชัย สวัสดี หัวหน้างานโฆษณาและส่งเสริมการท่องเที่ยว การรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นประธานถวายเทียนพรรษา นางสาวจุไรรัตน์ ชัยทวีทวัทรัพย์ รองผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ถวายเครื่องอัฐบริขาร ตัวแทนคณะนักท่องเที่ยวถวายเงินบริจาค จากนักท่องเที่ยว เป็นจำนวนเงิน 27,100 บาท เสร็จแล้วถ่ายรูปหมู่กันที่บันไดหน้าศาลาการเปรียญ วัดหนองหอยเป็นอันเสร็จพิธี ดื่มกาแฟยามบ่าย @ KON RUK SUAN CAFE เสร็จจากถวายเทียนพรรษาแล้วก็มาพัก  ดื่มกาแฟยามบ่าย @ KON RUK SUAN CAFE กันได้ตามอัธยาศัย ใครใคร่ดื่ม อเมริกาโน เอสเปรสโซ ลาเต้ คาปูชิโน ชาเขียว ร้อนเย็น มีให้เลือกดื่มหลากหลายเมนู ภายในบริเวณร้านก็มีมากหลายบรรยากาศ ร้านเมนหลักรับออเดอร์ลูกค้ากว้างขวางใหญ่โต รองรับลูกค้าได้อย่างเพียงพอ ตัวอาคารติดกระจกโดยรอบให้ความโปร่งสบาย นอกจากนี้ยังมีห้องต่างๆให้ลูกค้าเลือกใช้บริการได้หลายรูปแบบ บรรยายกาศแบบการ์เดน นั่งทานกาแฟในสวน ก็มีให้นั่งถ่ายรูปเก๋ๆได้หลายมุม ขอพรเจ้าแม่กวนอิม วัดหนองหอย ราชบุรี ตรงข้ามวัดหนองหอยมี หอเจ้าแม่กวนอิม ให้นักท่องเที่ยวไปกราบขอพร ให้ชาวพุทธมามกะมาถือศิลกินเจ และมีอาหารเจให้ทานฟรี ทานเสร็จจะใส่ตู้บริจาคได้ตามกำลังศรัทธาก็สามารถทำได้  ภายใน หอเจ้าแม่กวนอิม มีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมอยู่หลายองค์ ให้นักท่องเที่ยวได้กราบขอพรอย่างทั่วถึง ทั้งองค์ใหญ่องค์เล็ก มีรูปปั้นหลวงปู่ทวด พระสังกัจจายน์ให้นักเที่ยวเสี่ยงทายโยนเหรียญ และสุดท้ายก็คือจุดชมวิวที่มองได้กว้าง 180 องศา สวยงาม ช้อปสินค้าโอท็อป กาดวิถีชุมชนคูบัว  ปิดท้ายทริปนี้ด้วยการมาซื้อของฝากที่ กาดวิถีชุมชนคูบัว ตั้งอยู่ในบริเวณ วัดโขลงสุวรรณคีรี อ.เมือง จ.ราชบุรี ลงจากรถบัสแล้วก็มาถ่ายรูปกับพระพุทธปางสมาธิองค์ใหญ่ ที่อยู่หน้ากาดกันก่อน  ทางขวาของกาดยังมี เมืองโบราณคูบัว ให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันอีก 1 จุด เมืองโบราณคูบัวเป็นเมืองเก่าสมัยทราวดี ทรงสี่เหลี่ยมพื้นผ้า มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ขุดค้นพบประติมากรรมปูนปั้น และดินเผา ที่ใช้ประดับอาคาร เช่น พระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ เทวดาหรือบุคคลชั้นสูง ปัจจุบันจัดแสดงอยู่พิพพธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี ก่อนเข้ากาดก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันอีกแล้ว ภายตลาดมีการแสดงย้อนยุคไทยวนบนเวที สินค้าโอท๊อปในชุมชนให้เลือกซื้อหลากหลาย อาหารก็มีผัดไทยกระธงดอกบัว ขนมจีนน้ำยาไข่ต้ม แต่ที่นักท่องเที่ยวตามหากันก็คือร้านหัวไชโป๊ราชบุรี เจอร้านแล้วปรากฏว่านักท่องเที่ยวพากันซื้อเหมาหมดร้านเรียบร้อย  “นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @ เขาชะงุ้ม ราชบุรี จัดขึ้นเมื่อวันที่ 22-23 กรกฎาคม 2566 

ติดตามข่าวสาร จองทริปต่อไปของรถไฟ KIHA 183 และสามารถโหลดรูปที่เจ้าหน้าที่การรถไฟถ่ายให้ในทริปนี้ ได้ทางเพจ Feacbook ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย 

นั่งรถไฟ Kiha 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @แหลมผักเบี้ย จ.เพชรบุรี

ภาพโดย สุเทพ ช่วยปัญญา สำนักข่าวท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม / The Way News.comการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จัดทริปรถไฟท่องเที่ยวขบวนพิเศษ KIHA 183 นำนักท่องเที่ยวกว่า 400 คน สู่ “แหลมผักเบี้ย” จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 1-2 กรกฎาคม 2565 เพื่อท่องเที่ยวพักผ่อนและทำกิจกรรม SCR สืบสาน รักษา ต่อยอด โครงการพระราชดำริแหลมผักเบี้ย กินลมชมวิวริมทะเลอากาศสดชื่น ลิ้มลองอาหารทะเลอร่อยๆ และที่สำคัญคือได้นั่งรถไฟ KIHA 183 ซึ่ง JR Hokkaido ประเทศญี่ปุ่น มอบให้ไทยมาปรับปรุงใช้งานเพื่อการท่องเที่ยว

รถไฟ KIHA 183 เริ่มออกเดินทางจากสถานีรถไฟหัวลำโพง ขบวนประกอบด้วย 4 ตู้ ในแต่ละทริปสามารถพานักท่องเที่ยวไปได้ 200 คน ทริปจังหวัดเพชรบุรีคราวนี้เริ่มออกเดินทางประมาณ 07.00 น. ถึงสถานีเพชรบุรี ประมาณ 10.00 น. นับเป็น One Day Trip ที่เที่ยวสนุกได้ทั้งครอบครัว นักท่องเที่ยวทยอยกันเข้ามาลงทะเบียนตั้งแต่เช้าตรู่ที่ สถานีรถไฟหัวลำโพง (สถานีกรุงเทพฯ) โดยมีเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับอย่างอบอุ่น คุณศุภมาศ ปลื้มสกุล หัวหน้ากองโฆษณาและส่งเสริมการท่องเที่ยว ศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)  กล่าวว่า “ประเทศญี่ปุ่นได้มอบรถไฟ KIHA 183ให้ไทยมาจำนวน 17 ตู้ 4 ขบวน ช่างของ รฟท. จึงได้นำมาปรับปรุงใหม่ โดยดัดแปลงความกว้างของช่วงล้อ ให้เหมาะสมกับการวิ่งในประเทศไทย ในส่วนของตัวรถก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์เดิมของญี่ปุ่นไว้ ไม่ว่าจะเป็นป้ายต่างๆ หรือแม้แต่ตราสัญลักษณ์ปีกสีทองที่ส่วนหัวรถไฟ ซึ่งปัจจุบันได้จัดเป็นขบวนพิเศษเพื่อการท่องเที่ยว ในวันเสาร์อาทิตย์ก่อน และให้บริการในระยะไม่เกิน 300 กิโลเมตร ผู้สนใจสามารถเข้าไปชมโปรแกรมท่องเที่ยว ที่เปลี่ยนไปทุกเสาร์อาทิตย์ ได้ที่เว็บไซต์ของ รฟท. หรือโทรสอบถามที่ 1690 ก็ได้”รถไฟ KIHA 183 เดินทางถึงสถานีเพชรบุรี เวลาประมาณ 10.00 น. พร้อมอากาศแจ่มใส เหมาะกับการท่องเที่ยวจากสถานีรถไฟเพชรบุรี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ด้วยรถบัสปรับอากาศอย่างดี สู่อำเภอบ้านแหลม บริเวณ “แหลมหลวง” ซึ่งถือเป็นหาดทรายหาดแรกของฝั่งอ่าวไทย จนได้ฉายาว่า “ต้นทางทราย ปลายทางเกลือ โคลนก้อนสุดท้าย ทรายเม็ดแรก” เพราะในส่วนถัดขึ้นไปทางทิศเหนือจะเป็นหาดโคลนทั้งหมด แหลมหลวงในช่วงกลางวันน้ำทะเลจะลดระดับลง เผยให้เห็นหาดทรายสีน้ำตาลอ่อน เหมาะทำกิจกรรม CSR ปล่อยลูกปูลงทะเล อีกทั้งจุดนี้ยังอยู่ห่างจากธนาคารปูเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น
ลูกปูนับแสนๆ ตัว ถูกจัดเตรียมไว้ในถังพลาสติก ให้นักท่องเที่ยวนำไปปล่อย เติมเต็มความสมบูรณ์ให้ท้องทะเลคุณศุภมาศ ปลื้มสกุล หัวหน้ากองประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) พร้อมด้วยหน่วยงานเครือข่ายพันธมิตรในพื้นที่และนักท่องเที่ยว เตรียมปล่อยลูกปูที่แหลมหลวงรอยยิ้มแห่งความสุขในการปล่อยลูกปู สืบสาน รักษา ต่อยอด เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้ท้องทะเลท่านกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) ร่วมกิจกรรมปล่อยลูกปูที่แหลมหลวง เมื่อปล่อยลูกปูเสร็จแล้ว คณะเดินทางต่อไปที่ “ธนาคารปูม้า” อ.บ้านแหลม แหลมผักเบี้ย ณ ร้านโอ้โหปูอร่อย ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของชุมชน เพื่ออนุรักษ์เพิ่มจำนวนปูม้า หลังจากเคยประสบภาวะเสื่อมโทรมลดจำนวนของสัตว์ทะเล ด้วยสาเหตุขาดการดูแลใส่ใจระบบนิเวศสิ่งแวดล้อม
ธนาคารปูม้าแหลมผักเบี้ย รับซื้อแม่ปูไข่นอกกระดอง นำลูกปูมาอนุบาลจนแข็งแรง แล้วค่อยปล่อยลงทะเลแม่ปูม้าไข่นอกกระดอง ต้นพันธุ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ แม่ปูม้าหนึ่งตัวสามารถมีไข่ได้ถึง 200,000 ถึง 1 ล้านฟองได้เวลาอาหารเที่ยง ก็ถึงเวลาล้ิมลองอาหารทะเลสดอร่อยของเพชรบุรี ณ ร้านโอ้โหปูอร่อย อาหารเที่ยงแบบพื้นบ้านแสนอร่อย ประกอบด้วย ผักชะครามลวก กินกับหัวกะทิและน้ำพริกแดง, ปูม้านึ่ง, ยำสาหร่ายพวงองุ่น, ปลากะพงทอดราดน้ำจิ้มรสเด็ด, หอยตลับผัดใบโหระพา, ต้มยำปลากะพง และไข่เจียวร้อนๆ ชะคราม เป็นไม้พุ่มทนแล้งขนาดเล็ก ขึ้นอยู่ตามชายทะเลและนาเกลือ ใบอ่อนนำมาลวกกินได้ เป็นยาระบายอ่อนๆ สาหร่ายพวงองุ่น เป็นอาหารที่อุดมวิตามินอันเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ปลูกเลี้ยงกันมากมายในแถบแหลมผักเบี้ย ปูม้านึ่ง เนื้อหวานเจี๊ยบ (ไซต์ 4 ตัวโลฯ) กินกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด หอยตลับผัดใบโหระพา เนื้อนุ่มหนึบบอกได้ถึงความสด ปลากะพงทอด กินกับน้ำจิ้มแสนอร่อย
ต้มยำปลากะพง ชิ้นใหญ่ เนื้อสด รสชาติชนะเลิศ
อิ่มเอมเปรมปรีกับอาหารเที่ยงแล้ว เดินทางเลียบทะเลด้วยรถบัสอีกเพียง 10 นาที ก็ถึง “โครงการศึกษาและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.​ 2534 ในความดูแลของมูลนิธิชัยพัฒนา ตามแนวพระราชดำริของพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ผู้ทรงมีสายพระเนตรยาวไกล จัดเป็นโครงการศึกษาวิจัยและบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีการธรรมชาติ พร้อมให้ความรู้ด้านระบบนิเวศป่าชายเลน จนกลายเป็นแหล่งศึกษาดูงาน และพื้นที่ดูนกสำคัญ ซึ่งนักดูนกทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดีฟังบรรยายสรุปความเป็นมาและกิจกรรมของ โครงการฯ แหลมผักเบี้ย ถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึกบริเวณด้านหน้าอาคาร การเยี่ยมชมพื้นที่และกิจกรรมของ โครงการฯ แหลมผักเบี้ย ใช้รถพ่วงนั่งได้คันละ 35 คน แล่นไปตามจุดต่างๆ ใช้เวลารอบละ 25 นาที จุดแรกผ่านไฮไลท์คือ “บ่อบำบัดน้ำเสียด้วยสาหร่ายสีเขียวธรรมชาติ” โดยสูบน้ำเสียจากตัวเมืองเพชรบุรีมาบำบัด พร้อมสามารถเลี้ยงปลาได้เมื่อคุณภาพน้ำดีขึ้น และจับปลาขายได้ทุก 6 เดือน ส่วนน้ำสะอาดที่บำบัดแล้ว สามารถนำไปใช้ประโยชน์หรือปล่อยลงทะเลได้ โดยไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมการใช้ต้นหญ้า 7 ชนิด บำบัดน้ำเสีย ได้อย่างมีประสิทธิภาพจุดสุดท้ายเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ (Nature Trail) ระยะทางเดินไปกลับ 1800 เมตร และกลับทางเดิม เพื่อศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลน จนไปถึงศาลาริมทะเลเปิดโล่ง อากาศสดชื่นเดินศึกษาพรรณไม้ชายเลนหลากหลายชนิด นักท่องเที่ยวรถไฟ KIHA 183 เดินชมธรรมชาติ ศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลน ซึ่งเป็นทั้งกำแพงธรรมชาติป้องกันคลื่นลมทะเล และยังอนุบาลสัตว์ทะเลวัยอ่อน เพื่อออกไปเติบโตในห่วงโซ่อาหารทะเลชายฝั่งด้วย ภาพแห่งความสุขอันน่าจดจำ ในการเดินทางสู่แหลมผักเบี้ยกับ รถไฟ KIHA 183ออกจากโครงการฯ แหลมผักเบี้ย ใช้ถนนเส้นเลียบทะเลอำเภอบ้านแหลมไปอีกไม่เกิน 15 นาที ด้านขวามือก็จะพบกับ “โครงการฟาร์มทะเลตัวอย่างแบบผสมผสานตามพระราชดำริ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” ต.บางแก้ว อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.​ 2551
โครงการฟาร์มทะเลตัวอย่างแบบผสมผสานตามพระราชดำริฯ จัดตั้งขึ้นด้วยสาเหตุที่ชาวประมงจับสัตว์ทะเลได้น้อยลง และต้องออกเรือไปไกลขึ้น พื้นที่แห่งนี้จึงศึกษาวิจัยและสาธิตเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จำเป็นทั้งเพื่อการเพาะเลี้ยงและจับสัตว์ทะเลให้มีประสิทธิภาพ และถูกสุขอนามัยมากขึ้นด้วย แต่ละปีจะมีผู้สนใจเข้าศึกษาดูงานนับหมื่นคนพื้นที่กว่า 82 ไร่ ของโครงการฯ เป็นนาเกลือร้างที่ได้รับการบริจาคมา จึงสามารถสื่อถึงเรื่องราว “การทำนาเกลือสมุทร” ด้วยวิธีดั้งเดิม เพราะอำเภอบ้านแหลม จ.เพชรบุรี มีพื้นที่นาเกลืออยู่มากที่สุดของประเทศไทย ไม่น้อยกว่า 33,000 ไร่ เกลือทะเลคุณภาพสูงของอำเภอบ้านแหลม นำมาเพิ่มมูลค่าแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มากมาย โดยเฉพาะเกลือสปา แป้งร่ำเกลือจืด และอื่นๆ
ชมการเพาะเลี้ยงและคัดแยกสาหร่ายพวงองุ่นต้นแม่พันธุ์สาหร่ายพวงองุ่น นักท่องเที่ยว รถไฟ KIHA 183 ทดลองทำตะแกรงเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นโครงการฟาร์มทะเลตัวอย่างฯ มีบ่อเลี้ยงสัตว์ทะเลสวยงามนานาชนิดไว้ให้ชมอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น หอยมือเสือ, ปลาดาว, กุ้งมังกร, ปลาการ์ตูน, หอยเป๋าฮื้อ, ปลาสิงโต, ปลาทู, ปลากะรัง, ปลิงทะเล และอีกมากมายสาหร่ายทะเลสด สามารถเพาะเลี้ยง และนำไปแปรรูปเป็นสาหร่ายอบกรอบและอาหารอุดมคุณค่ามาถึงฟาร์มทะเลตัวอย่างฯ​แล้ว ต้องไม่พลาดชิมเครื่องดื่มนวัตกรรมใหม่ “น้ำสาหร่ายผมนาง” ที่ดีต่อสุขภาพมาก ตัวน้ำรสชาตินุ่มนวล ดื่มง่าย และมีเนื้อสาหร่ายผมนางเนื้อนุ่มคล้ายเส้นเจลลี่ ผิวสัมผัสคล้ายเส้นบุกสุขภาพ แช่เย็นดื่มยิ่งอร่อย
หมุดหมายสุดท้ายของทริปนี้ คือการเดินทางกลับจากแหลมผักเบี้ยเข้าสู่อำเภอเมืองเพชรบุรี เพื่อช้อปปิ้งซื้อของฝากกลับบ้านที่ “ร้านลุงอเนก ขนมหวานเมืองเพ็ชร์” ซึ่งเป็นโรงงานผลิตขนมไทยที่มีมาตรฐานความสะอาดระดับ GHP/HACCP จากสถาบันมาตรฐาน ISO จึงมั่นใจได้เรื่องคุณภาพ ร้านลุงอเนกมีขนมพื้นบ้านไทยหลากหลายให้เลือกชิมเลือกซื้อ ทั้งทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมอาลัว ขนมหม้อแกง ขนมฝอยทองกรอบ ขนมฝอยทองรังนกน้อย กาละแม ฯลฯ ราคาไม่แพง เพราะเป็นแหล่งผลิตเอง ของใหม่สดทุกวันขนมหม้อแกงถ้วย เป็น Signature โด่งดังของร้านนี้ ยิ่งแช่เย็นนำมากินยิ่งอร่อย มี 6 รส คือ รสเผือก รสทุเรียน รสกล้วย รสเมล่อน รสฟักทอง และรสถั่วท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี (คุณวันเพ็ญ มังศรี) มาต้อนรับคณะนักท่องเที่ยว รถไฟ KIHA 183 ด้วยตนเอง

ท่านที่สนใจเดินทางท่องเที่ยวทุกวันเสาร์อาทิตย์ด้วย รถไฟ KIHA 183 สามารถเข้าชมโปรแกรมตลอดเดือนกรกฎาคม  โดย Scan QR Code ตามด้านล่างนี้ จะได้รีบจองและไม่พลาดการเดินทางสุดประทับใจกับ รฟท.

หรือโทร.สำรองที่นั่งได้ทาง 1690

นั่งรถไฟ KIHA183 กระตุ้นเที่ยวฉะเชิงเทราคึกคัก ล้อ-เรือ-ราง

สนใจเดินทางท่องเที่ยว One Day Trip กับรถไฟขบวนพิเศษ​ Kiha 183 โทร. 1690 / www.railway.co.th (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)
สนใจเดินทางท่องเที่ยว One Day Trip กับรถไฟขบวนพิเศษ​ Kiha 183 โทร. 1690 / www.railway.co.th

Liguria Wine Unforgettable Experiences @Ventisi Italian Restaurant, BKK

โอกาสพิเศษมาถึงอีกครั้ง เมื่อห้องอาหาร Ventisi ชั้น 24 โรงแรม Centara Grand Central World ซึ่งมีความโดดเด่นในการนำไวน์ชั้นเลิศจากแคว้นต่างๆ ของอิตาลี มาให้เราได้ชิม จับมือกับบริษัท Importer Italian Wine รายใหญ่ Cafe’ Buongiorno คัดสรรเฉพาะไวน์จากพื้นที่ UNESCO World Heritage Sites ของอิตาลีเท่านั้น Dinner สุดพิเศษ ที่มีไวน์จาก แคว้นลิกูเรีย (Liguria) จับคู่กับอาหารอิตาเลียนโดยเชฟชื่อดัง จึงเกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2023
Italy เป็นประเทศที่คอไวน์ทั่วโลกให้การยอมรับ ว่าเป็นหนึ่งในเจ้าแห่งการผลิตไวน์ชั้นเลิศมานานหลายชั่วอายุคน  ทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี มีองุ่นพันธุ์ท้องถิ่นอยู่มากกว่า 300 ชนิด อันเกิดจากภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ที่ร้อนจัดในฤดูร้อน และมีฝนตกมากในฤดูหนาว ผสานกับดิน หิน แร่ธาตุ และวิธีการบ่มหมักไวน์อันมีเอกลักษณ์เฉพาะ ทำให้โลกของ Italian Wine เต็มไปด้วยเสน่ห์ น่าค้นหา เปรียบเหมือนการผจญภัยไม่สิ้นสุดสำหรับนักดื่ม โดยเฉพาะไวน์ทางภาคเหนือของอิตาลีที่ แคว้นลิกูเรีย (Liguria) นั้น ถือเป็นอาณาจักรของไวน์ขาว ที่ปลูกอยู่ตามเชิงเขาแอลป์ กั้นพรมแดนแคว้นโปรวองซ์ในฝรั่งเศสด้วย

Liguria เป็นแคว้นที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี  ได้ชื่อว่า “Italian Riviera” เพราะเป็นเมืองตากอากาศชายทะเล ที่มีภูมิทัศน์สวยที่สุดทางภาคเหนือ มีแดดมากถึง 300 วันต่อปี เราจะเห็นภาพชายฝั่งทะเลยาวเหยียด ชายหาด ร่ม คนนอนอาบแดด ผาหิน และหมู่บ้านชาวประมง ซึ่งด้านหลังเป็นไร่องุ่นปลูกอยู่บนเชิงผาหินปูนลาดชัน ในแบบ Cliff Vineyard หรือ Terrace Vineyard ทำให้มีความยากในการปลูก ดูแล และเก็บเกี่ยวด้วยมือล้วนๆ Liguria Wine จึงได้ฉายาว่าเป็น “Heroic Wine” (ไวน์ของผู้กล้า) เลยทีเดียว

แคว้น Liguria ทอดตัวเป็นแนวยาวตะวันออก-ตะวันตก ต่อเนื่องเข้าสู่ French Riviera ของฝรั่งเศส  ตัวแคว้น Liguria แบ่งออกเป็น 4 จังหวัด ไล่จากตะวันออกไปตะวันตก คือ ลา สเปเซีย (La Spezia), เจนัว (Genoa), ซาโวนา (Savona) และอิมพีเรีย (Imperia) โดยมีเจนัวเป็นเมืองหลวง หากจะแบ่งโซนไวน์คร่าวๆ โดยใช้เจนัวเป็นจุดกึ่งกลาง ทางทิศตะวันออก คือ La Spezia และ Genoa จะเด่นเรื่องไวน์ขาว ส่วนทางทิศตะวันตกที่ Savona และ Imperia จะเด่นเรื่องไวน์แดง โดยไวน์ขาว Signature ของ Liguria คือพันธุ์ Vermentino, Bosco และ Albarola ส่วนไวน์แดงตัว Top คือ Rossese และ Dolcetto (หรือ Ormeasco)

แต่ด้วยความที่ Liguria เป็นดินแดนที่ถูกห้อมล้อมด้วยแคว้นมากมายโดยรอบ องุ่นหลายสายพันธุ์จึงมีกระจายปลูกออกไป และเรียกชื่อต่างกันแม้จะเป็นพันธุ์เดียวกัน เช่น พันธุ์ Vermentino จริงๆ แล้วใน Liguria เรียกว่า “Pigato” ในฝรั่งเศสเรียก “Rolle” ในแคว้น Piedmont ทางตอนเหนือของ Liguria เรียก “Favorita” และที่เกาะ Sardinia เรียกว่า “Vermentino” เป็นต้น

Character ของไวน์ขาวในแคว้น Liguria จะมีความเปรี้ยวซ่ามากแบบจี๊ดจ๊าด ดื่มแล้วให้ความรู้สึกสดชื่นและสนุกสนาน สีมักเป็นสีเหลืองฟางอ่อนๆ (Pale Straw Yellow) ไปจนถึงสีเหลืองทอง (Gold Yellow) มีกลิ่นหอมของผลไม้และดอกไม้ป่าชัดเจน ร่วมกับกลิ่นมะนาว (Lime) และแอปเปิลเขียว (Green Apple) รสชาติมักติดขมนิดๆ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ บางคนบอกว่ามีสีและรสชาติคล้าย Sauvignon Blanc (โซวีญง บล็อง) แต่จัดจ้านกว่ามาก

มาตรฐานไวน์ของ Liguria มีทั้ง DOCG, DOC, IGT, VDT แต่ที่มีมากสุดน่าจะเป็นกลุ่ม DOC เพราะใช้สายพันธุ์องุ่นท้องถิ่น ปลูกในพื้นที่เฉพาะ จึงได้ไวน์ชั้นเลิศที่มีจำนวนผลิตครั้งละไม่มาก หายาก ราคาสูง และรสชาติไม่เหมือนใคร เช่น Cinque Terre DOC ผลิตอยู่เฉพาะใน 5 หมู่บ้านริมทะเลของจังหวัด La Spezia เท่านั้น และต้องบ่มหมักอย่างน้อย 2 ปี ถึงจะนำออกจำหน่ายได้ แต่ถ้าเก็บไว้ถึง 4 ปี เขาว่ารสชาติจะ peak ดีมาก / Colli di Luni DOC เป็นไวน์ขาวและไวน์แดงชั้นเลิศ มีเฉพาะในแคว้น Tuscany และ Liguria เท่านั้น / Rossese di Dolceacqua DOC ผลิตอยู่เฉพาะในพื้นที่เล็กๆ ทางตะวันตกสุดของ Liguria ติดพรมแดนฝรั่งเศส เป็นต้น ส่วนไวน์หวาน (Dessert Wine) คน Liguria ก็ชื่นชอบ มักผลิตโดยใช้องุ่น 3 สายพันธุ์ blend กัน ทั้ง Pigato, Bosco และ Albarola

Chef Andrea Montella ชาวอิตาเลียน ผู้มากประสบการณ์ พร้อมทีมงานห้องอาหาร Ventisi มารังสรรค์อาหารอิตาเลียนสไตล์ Liguria เข้าคู่กับ Liguria Wine ได้ลงตัววิวหลักล้าน ดูพระอาทิตย์ตกใจกลางกรุงเทพฯ จากห้องอาหาร Ventisi ชั้น 24 โรงแรม Centara Grand Central World
บรรยากาศโรแมนติก นั่งจิบไวน์อิตาเลียนเคล้าวิวพระอาทิตย์ตก ชิมอาหารอิตาเลียนแท้ ที่ห้องอาหาร Ventisi (ขอบคุณภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)ห้องอาหารอิตาเลียน Ventisi ในบรรยากาศหรูหรา มีชีวิตชีวา เหมาะมาพบปะสังสรรค์กัน (ขอบคุณภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com) ความโอ่โถง ตกแต่งอย่างมีเอกลักษณ์ที่ ห้องอาหาร Ventisi (ขอบคุณภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com) Cooking Corner ของเชฟและผู้ช่วย เปิดโอกาสให้เราเห็นขั้นตอนการเตรียมอาหารได้ใกล้ชิดที่ Ventisi (ขอบคุณภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)เมนูค่ำคืนนี้มี 4 คอร์ส  คอร์สเรียกน้ำย่อยเน้น Seafood เพื่อสะท้อนภูมิประเทศติดทะเลของ Liguria / คอร์สถัดมาเป็น Homemade Pasta / Main Course เสิร์ฟโรลเนื้อลูกวัว / ปิดท้ายด้วยขนมหวาน Genoa Cake ซึ่งแต่ละคอร์สมี Liguria Wine จับคู่ไว้อย่างพิถีพิถันเริ่มเรียกน้ำย่อยกับขนมปังโฮลวีทเนื้อนุ่ม กินคู่กับ Sparkling Wine ชั้นดีอย่าง Blanche Arrigoni Millesimato PAS DOSE’  เมนูเรียกน้ำย่อยหลากหลายดี  มีหมึกยักษ์คลุกน้ำมันมะกอกและสมุนไพร, แผ่นมันฝรั่งทอด, ซุปถั่วลูกไก่ (Chickpea & Bean Soup), แป้งฟอคคาเซียทอด ไส้ Stracchino Cheese และเนื้อลูกปลาชุบแป้งทอด

กินคู่กับไวน์ Blanche Arrigoni Millesimato PAS DOSE’ ปี 2018 Sparkling Wine แอลกอฮอล์นุ่ม 12.5% Body บางเบา ไวน์ตัวนี้จัดอยู่ในมาตรฐานสูงระดับ Colli di Luni DOC  ผลิตเฉพาะในแคว้น Liguria และ Tuscany เท่านั้น ใช้องุ่นพันธุ์ Pigato (หรือ Vermentino)ให้สีเหลืองฟางอ่อนๆ (Pale Straw Yellow) รสชาติต้องบอกเลยว่าเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด ให้ความรู้สึกซาบซ่า และมีความ Dry (หวานน้อย) เมื่อกลืนหมดแล้วจะทิ้งความหอมหวานไว้ในปาก แถมยังมีความขม (Bitter) นิดๆ ติดอยู่ที่โคนลิ้นด้วย แปลกดี นี่คือเอกลักษณ์ของ Liguria Wine ส่วนกลิ่นก็มีความผสมผสานของมะนาว (Lime) แอปเปิลเขียว (Green Aplle) และกลิ่นหินปูนแห้งๆ (Dry Limestone) ชัดเจนมาก เป็นคุณลักษณะเฉพาะ เสิร์ฟที่อุณหภูมิไม่เกิน 10-12 องศาเซลเซียส ดื่มสดชื่น ช่วยเสริมรสชาติ Seafood เรียกน้ำย่อยดีมาก

จานถัดมาก็เน้นแป้งตามสไตล์คน Liguria “เส้นพาสต้า Homemade” ปั้นเป็นเส้นผอมๆ ยาวๆ เนื้อแน่นนุ่มหนึบสู้ปาก ราดเพสโต้ซอส (Pesto Sauce) หรือ Green Sauce ตามแบบฉบับ Liguria แท้ๆ เพราะใช้ใบโหระพาฝรั่ง (Basil) เป็นหลัก ตามที่เขาเคลมว่า Liguria มีใบโหระพาฝรั่งอร่อยที่สุดในโลก! (ต้องลองชิมกันเองนะครับ) ส่วนผสมของ Pesto ตัวนี้จะไม่มีเนื้อสัตว์อยู่เลย คนที่กิน vegetarian จึงกินได้ ประกอบด้วย ใบโหระพาฝรั่ง เกลือ กระเทียม น้ำมันมะกอก ถั่วบด คลุกเคล้าให้เข้ากัน เวลากินก็โรยหน้าด้วยพาร์เมซานชีส (Parmesan Cheese) ฝอยๆ เพิ่มความอร่อยได้หลายเท่า ข้อดีของเมนูนี้คือซอส Pesto ไม่มันเกินไป อีกทั้งเสิร์ฟมาปริมาณกำลังดี เหลือท้องไว้สำหรับ Main Cause ที่กำลังตามมา

ไวน์ขาวที่ช่วยเสริมรสชาติพาสต้า หรือตัดเลี่ยนได้ยอดเยี่ยม คือไวน์ขาวมาตรฐานสูง Colli di Luni DOC ปี 2021 ของผู้ผลิตที่มีประวัติยาวนานในไร่องุ่น Rosadimaggio ไวน์ขาวตัวนี้ชื่อ Vermentino Superiore แอลกอฮอล์ 13.5% เหมาะในการเริ่มต้นมื้ออาหาร กินดื่มสังสรรค์ ดื่มแล้วสดชื่น ไม่มึนเร็ว ผลิตโดยใช้องุ่นพันธุ์ Vermentino (หรือ Pigato) 100% น้ำไวน์สีเหลืองทอง (Gold Yellow) กลิ่นหอมผลไม้และดอกไม้ป่าชัดเจน ผสานกลิ่นมะนาว (Lime) แอปเปิลเขียว (Green Apple) อัลมอนด์ (Almond) และส้มตระกูลเกรปฟรุต (Grapefruit) จิบแล้วเปรี้ยวกลางๆ รู้สึกถึง Body ที่นุ่มเบา แต่มีความ Waxy นิดๆ อีกทั้งยังให้รสและกลิ่นพริกไทย (Pepper) อ่อนๆ ทิ้งไว้ในปากอย่างชัดเจน ผมชอบมากในความนุ่ม และ Balance ของกลิ่นรสที่รังสรรค์ได้ลงตัวจริงๆ
Main Course วันนี้ คือ “เนื้อลูกวัวย่าง” โดยแล่เป็นแผ่นบางแล้วนำมาม้วนกับสมุนไพรอิตาเลียน เห็ด และถั่วไพน์ จากนั้นทำให้สุกแบบ Slow Cook ราดซอสซึ่งใช้เนื้อและกระดูกวัวตุ๋นนานมาก ให้ texture นุ่ม ออกมาเป็นน้ำเกรวี่รสเค็ม กินคู่กับมันฝรั่งทอด Homemade หั่นเป็นแท่งสี่เหลี่ยมยาว Deep Fried โรยด้วยพาร์เมซานชีส พริกไทย และออริกาโน่นิดหน่อย ช่วยเพิ่มรสชาติ ถ้าใครที่ชอบกินเนื้อนุ่มๆ ละเอียด แบบไม่ต้องออกแรงเคี้ยวมาก ก็คงจะชอบเมนูนี้ แต่ผมว่ารสชาติของซอสอาจจะเค็มโด่งไปหน่อยครับแน่นอนว่าเมื่อมี Main Course เป็นเนื้อลูกวัว ก็ต้องจับคู่กับไวน์แดงอย่าง O di Giotto, Liguria di Levante มาตรฐาน IGP เป็น Rosso Wine ปี 2020 ผลิตโดย Arrigoni ไร่องุ่นที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1913 ตัวนี้จัดเป็น Rosso Young Wine (ไวน์ใหม่) ซึ่งจับคู่กับอาหารได้หลากหลาย คนที่คุ้นลิ้นกับ Italian Wine จากภาคกลางและภาคใต้ อย่าง Sangiovege และ Cabernet Sauvignon  ของแคว้น Tuscany หรือ Primitivo ของแคว้น Puglia ก็อาจจะรู้สึกแปลกๆ เมื่อดื่มไวน์แดงตัวนี้ครั้งแรก จึงอยากจะขอให้เปิดใจ เพื่อเข้าใจ character ของไวน์แดงภาคเหนือดูนะครับ น้ำไวน์ขวดนี้สีแดงทับทิมเข้ม (Deep Ruby) แอลกอฮอล์กลางๆ 13.5% Body นุ่มลึก ไม่หนักเกินไป กลิ่นซับซ้อนอบอวลผลไม้ตระกูล Black Berry เจือกลิ่นรส Tannin ที่ balance ดี ยิ่งถ้าได้เปิดทิ้งไว้ก่อนเสิร์ฟสัก 1 ชั่วโมง (Decanting) กลิ่นรสจะนุ่มขึ้นอีก ไวน์ตัวนี้หวานน้อย (Dry) ดื่มได้เรื่อยๆ เข้าคู่กับเนื้อลูกวัวดีเลยของหวานปิดท้ายน่าประทับใจ เป็นเค้กผลไม้สไตล์ Liguria เรียกว่า “แพนโดลเช” (Pandolce) หรือ “เจนัวเค้ก” (Genoa Cake) เนื้อเค้กอัดตัวกันแน่น แต่ก็มีความซุยอยู่ด้านใน รสหวานอ่อนๆ มีผลไม้แห้งหลายชนิดผสมเพิ่มรสชาติและ texture ทั้งลูกเกด อัลมอนด์ เชอร์รี่ เปลือกส้ม กินคู่กับไอศกรีมวานิลลา ยิ้มได้ทุกคำที่ตักใส่ปาก

ไวน์หวาน (Dessert Wine) ที่กินคู่กับ Genoa Cake คือ Sciacchetra Cinque Terre ไวน์ชั้นเยี่ยมหายากจากปี 2006 ผลิตโดย Rosadimaggio ไร่องุ่นที่ผลิตไวน์มานานเกิน 100 ปี ในจังหวัด La Spezia ทางตะวันออกของ Liguria จัดเป็นไวน์ตัวแรกๆ ซึ่งได้รับมาตรฐาน DOC ของเขต La Spezia ผลิตโดย blend องุ่น 3 สายพันธุ์เข้าด้วยกันตามธรรมเนียม คือ Pigato, Albarola และ Bosco ถือเป็นไวน์ที่ค่อนข้างมีจำนวนจำกัด (Limited) เพราะปลูก ดูแล เก็บเกี่ยวด้วยมือล้วนๆ อีกทั้งปลูกอยู่บนผาชันริมทะเลแบบ Cliff  Vineyard ด้วย

การผลิตใช้เวลายาวนานพิเศษ โดยคัดองุ่นคุณภาพดีมาผึ่งให้แห้งอย่างช้าๆ ในที่ร่ม ไม่ใช่ผึ่งแดดจัดให้แห้งเร็ว ข้อดีของการผึ่งให้แห้งช้า คือน้ำตาลในผลองุ่นจะรวมตัวกันแน่นเข้มข้นกว่าปกติ เมื่อนำมาบ่มหมักจึงได้น้ำไวน์สีเหลืองอำพันใส (Amber Yellow) บ้างก็ว่าสีเหมือนน้ำหวานของดอกไม้ (Nectar Yellow) ส่วนกลิ่นก็มีความเฉพาะตัว มีกลิ่นน้ำผึ้งและแอปปริคอต บวกกับความหวานระดับกำลังดี กลิ่นแอลกอฮอล์ไม่ฉุนขึ้นแสบจมูก เพราะมีแอลกอฮอล์เพียง 14% จิบแล้ว รสชาตินุ่มดี Body มีความ Waxy ทิ้งความหอมหวานไว้ในปากยาวนาน  เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 18-20 องศาเซลเซียส จะอร่อยที่สุดSPECIAL THANKS
สนใจชิมไวน์ทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี และสั่งซื้อไวน์อิตาเลียนหายาก ติดต่อ Cafe’ Buongiorno Tel. 06-2494-1649 (คุณพิม)

Booking โต๊ะรับประทานอาหาร และชิม Italian Wine อย่างดีได้ที่ โทร. 02-100-6255

14 ที่เที่ยวมุมมองใหม่ สดใสกว่าเดิม @นครสวรรค์-พิจิตร

ลมหนาวพัดโชยมาแล้ว แม้ปีนี้ฝนจะตกเยอะหน่อย และอากาศยังไม่หนาวจัดมาก ทว่าคนที่รักการท่องเที่ยวแบบเราก็ยังคงออกเดินทาง ค้นหาสถานที่แปลกใหม่สวยงามทั่วเมืองไทย ทริปนี้ขอชวนไปเที่ยวง่ายๆ ไม่ไกลจากเมืองกรุงที่ “นครสวรรค์-พิจิตร” กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดมุมมองใหม่ภาคเหนือตอนล่างภาคกลางตอนบน รับรองว่าจะทำให้คุณต้องรีบเก็บกระเป๋าออกเดินทางกันเลยทีเดียว

(1). ทุ่งปอเทือง ไร่ธรรมชัย จังหวัดนครสวรรค์ (อำเภอตากฟ้า)
ทุ่งปอเทืองไร่ธรรมชัย อยู่ที่บ้านซับตะเคียน อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์  ไม่ได้มีให้ชมกันตลอดปี ต้องรีบตัดสินใจไป เพราะจะมีเฉพาะฤดูหนาวเท่านั้น ประมาณเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม หลังจากนั้นพื้นที่กลับไปเป็นทุ่งข้าวโพด และเปลี่ยนสลับมาปลูกปอเทืองและดอกทานตะวันเพื่อการท่องเที่ยว ในฤดูหนาว (ศูนย์บริการข้อมูล โทร. 0-5636-3085)
ในพื้นที่หลายร้อยไร่ ดอกปอเทืองสีเหลืองอร่ามสะพรั่งบานรับท้องฟ้าอันสดใส มีมุมถ่ายภาพเก๋ๆให้ด้านหน้า เป็นบันไดไต่ฟ้า โพสต์ท่าถ่ายภาพประทับใจไว้อวดเพื่อนๆ ได้ไม่อายใคร ค่าเข้าชมก็ไม่แพง แค่คนละ 10 บาทเท่านั้น ติดอยู่นิดเดียวตรงห้องน้ำมีน้อยและไม่ค่อยสะดวก ก่อนเข้ามาเที่ยวจึงอาจจะต้องหาที่แวะทำธุระส่วนตัวมาให้เรียบร้อยนอกจากดอกปอเทืองกับทานตะวันแล้ว ยังมี ดอกหงอนไก่ สีสดใสให้ชื่นชมด้วยทุ่งดอกคอสมอส ไร่ธรรมชัย อยู่ตรงทางเข้าก่อนถึงส่วนที่เป็นทุ่งปอเทืองแค่มองจากด้านหน้าตรงริมถนนเข้าไปใน ไร่ธรรมชัย ก็สวยตื่นตาตื่นใจแล้วล่ะ ดอกปอเทืองเป็นพืชตระกูลถั่ว ที่มีประโยชน์มากต่อเกษตรกร เพราะหลังจากเก็บเกี่ยวพืชไร่หลักเสร็จแล้ว ก็นิยมปลูกปอเทืองเพื่อบำรุงดิน ช่วยเติมไนโตรเจนและธาตุอาหารต่างๆ ให้ดินได้อย่างดี หลายคนอาจไม่รู้ว่าปอเทืองเป็นพืชที่พ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานให้เกษตรกรนะจ๊ะ จากทางเข้าด้านหน้า มีรถแทรกเตอร์พ่วงให้บริการ พานั่งชมไปรอบๆ ไร่ธรรมชัย มุมไหนสวย สามารถจอดรถลงไปเก็บภาพได้เต็มที่เลย ช่วงกลางวันแดดร้อนหน่อย แต่ก็ได้ภาพแจ่มแจ๋วดีเนอะ(2). กองเสบียงฟาร์ม จังหวัดนครสวรรค์ (อำเภอเมืองฯ)
ชื่อ “กองเสบียงฟาร์ม” ฟังดูอาจไม่คุ้นหูเพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเปิดใหม่เอี่ยมอ่องของจังหวัดนครสวรรค์ เพิ่งเปิดตัวแบบไม่เป็นทางการเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2565 นี่เอง ในพื้นที่หลายสิบไร่จัดเป็น Theme Park สไตล์ฟาร์ม เพื่อการเรียนรู้ของทุกคน โดยเฉพาะเยาวชน นำแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 มาประยุกต์ให้สัมผัสได้อย่างลงตัว มากันเป็นครอบครัวมีกิจกรรมสันทนาการแบบ Soft Adventure และมุมพักผ่อนถ่ายภาพมากมาย

(เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น. ปิดทุกวันจันทร์ / คนที่เข้ามาวิ่งออกกำลังกาย เข้าได้ตั้งแต่เวลา 07.00 น. / ที่นี่เข้าฟรี แต่กิจกรรมบางอย่างต้องเสียค่าบริการเพิ่มเล็กน้อย เช่น ยิงปืน, ขี่รถ ATV ฯลฯ / สอบถามเพิ่มเติมที่ อบต.นครสวรรค์ออก โทร. 0-5621-7863) ชื่อ “กองเสบียงฟาร์ม” มีที่มาคือพื้นที่ตรงนี้จริงๆ เป็นเขตทหารของกองเสบียง จึงนำชื่อมาใช้ให้เป็นกิมมิกเก๋ๆ สามารถเที่ยวเชื่อมโยงกับแหล่งเรียนรู้อื่นๆ ได้หลายแห่ง อาทิ ศูนย์บินฝนหลวง, ท้องฟ้าจำลองนครสวรรค์, แปลงผักออร์แกนิก ฯลฯ เรียกว่าเที่ยวไปเรียนรู้ไป สนุกแบบมีสาระกันได้ทั้งครอบครัว ทั้งหมดนี้เป็นผลงานของ อบต. นครสวรรค์ออก ซึ่งเริ่มสร้างมาตั้งแต่ปี 2561 และมาเปิดตัวในปลายปี 2565 นี่เอง กองเสบียงฟาร์ม มีมุมถ่ายภาพเก๋ๆ นำเอาธีมของความรัก Falling in Love เข้ามาเพิ่มความเก๋ให้พื้นที่
ต้นไม้แห่งความรัก Tree House of Love สามารถเดินขึ้นบันไดไปนั่งชมวิวมุมสูง หรือนั่งดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ ชมธรรมชาติแมกไม้สีเขียว
ร้านกาแฟและพี่กอริลลา เป็นมุมถ่ายภาพ Landmark ของกองเสบียงฟาร์มที่ห้ามพลาดกองเสบียงฟาร์ม มีสัตว์หลายอย่างให้เที่ยวชม ทั้งแกะ ม้า กระต่าย ปลาคาร์ป สามารถเที่ยวชมโดยใช้วิธีเดิน นั่งรถพ่วง หรือขี่รถ ATV ก็ได้ มีให้เช่าเป็นชั่วโมงหรือเป็นรอบๆ
เด็กๆ มาเที่ยวที่ กองเสบียงฟาร์ม น่าจะมีความสุขมาก เพราะมีสนามเด็กเล่นสร้างไว้ให้โดยเฉพาะเลย หนึ่งในไฮไลท์ของ กองเสบียงฟาร์ม คือ “บ่อปลาคาร์ปนับหมื่นตัว” ที่แหวกว่ายอยู่ในบ่อน้ำใสสีเขียวมรกต พร้อมด้วยซุ้มที่นั่งปิกนิกกินอาหารกันได้แบบชิวชิว ใครที่ชอบกิจกรรมผจญภัยแบบ Soft Adventure ต้องไม่พลาด ขี่รถ ATV สี่ล้อโต วนไปในถนนรอบๆ กองเสบียงฟาร์ม มีรถทั้งแบบเกียร์ออโต้ และเกียร์ธรรมดา ให้เลือกตามถนัด เสร็จแล้วอย่าลืมไปยิงปืนอัดลมต่อด้วยนะ ฝึกสมาธิและความแม่นยำได้ดีมาก
(3). ถนนคนเดินริมน้ำชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ (อำเภอชุมแสง)ด้วยระยะทางเพียงประมาณ 40 กิโลเมตร จากอำเภอเมืองนครสวรรค์ ไม่นานก็ถึง “อำเภอชุมแสง” ดินแดนที่มีแม่น้ำน่านไหลผ่าน จึงเป็นเส้นทางคมนาคมและค้าขายทางน้ำอันรุ่งเรืองเฟื่องฟูมาแต่อดีต ทุกวันนี้กลับมามีชีวิตชีวาเมื่อมี “ถนนคนเดินริมน้ำชุมแสง” เปิดภาพบางส่วนเสี้ยวของอดีตให้เราสัมผัส ท่ามกลางกลิ่นอายอดีตนั้น มีภาพความงามของศิลปะร่วมสมัยเข้ามาเจือ ช่วยเพิ่มเสน่ห์น่าเดินทอดน่องท่องเที่ยวในเวลาเย็นย่ำในชุมชนริมน้ำย่านตลาดเก่า มีการจัดมุม Check In เก๋ๆ และภาพถ่ายในอดีตของชุมแสงไว้ให้ดู ไฮไลท์ของถนนคนเดินริมน้ำชุมแสง เผยตัวขึ้นเมื่อแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ฉานฉาย ถนนคนเดินที่มีร้านรวงขายอาหารนานาชนิดเริ่มเปิดไฟ พร้อมด้วยที่นั่งเล่นริมแม่น้ำน่าน แลเห็นสะพานแขวนทอดข้ามแม่น้ำ และอาทิตย์อัสดงได้ชัดเจน ที่นี่มี Icon เป็นหน้ากากเอ็งกอ หนึ่งในการแสดงมีชื่อเสียงของนครสวรรค์ ของกินพื้นบ้านหลากหลาย เดินเที่ยวไปกินไปกันจนอิ่มแปล้แน่นอนที่ ถนนคนเดินริมน้ำชุมแสงสะพานหิรัญนฤมิต เชื่อมสองฝั่งแม่น้ำน่าน หน้าตลาดถนนคนเดินชุมแสงแสงสุดท้ายของวัน ณ ถนนคนเดินริมน้ำชุมแสงจากสะพานหิรัญนฤมิตมองกลับลงไปยังฝั่งตลาดเก่าชุมแสง แลเห็นภาพรวมของริมน้ำ ถนนคนเดิน ตลาด และอาคารบ้านเรือน ที่มีอดีต มีเรื่องเล่าเรื่องราวมากมายให้ค้นหา (4). ตลาดฟื้นอดีตบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร (อำเภอบางมูลนาก)
ใครที่โหยหาอดีตและรักงานศิลปะร่วมสมัย ถ้าได้มาเยือน “ตลาดฟื้นอดีตบางมูลนาก” คงมีความสุขล้นเหลือ เพราะที่นี่คือตัวแทนของหนึ่งในชุมชนชาวไทยจีนริมแม่น้ำน่าน ซึ่งไหลเชื่อมโยงพิจิตร-นครสวรรค์เข้าด้วยกัน บนเส้นทางค้าขายทางน้ำในอดีต ว่ากันว่าเดิมที่นี่ชื่อ “บางขี้นาก” เพราะมักมีตัวนากขึ้นมาถ่ายมูลไว้ริมตลิ่งมากมาย ชาวบ้านจึงเรียกกันติดปากว่า “บางขี้นาก” แล้วได้เปลี่ยนชื่อให้ไพเราะเสนาะหูขึ้นภายหลังว่า “บางมูลนาก” ทุกวันนี้ตลาดเก่าบางมูลนากได้พลิกฟื้นคืนสภาพ พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว บอกเล่าเรื่องราวของชุมชนผ่านมุมถ่ายภาพเก๋ๆ มีเส้นทางเดินเที่ยว Slow Life ลัดเลาะเข้าไปชมเรือนไม้เก่าสองชั้น ที่มีทั้งร้านตัดผมเก่า ร้านยาเก่า ศาลเจ้าพ่อแก้วหลังเก่า ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ชุมชน และมุมร้านกาแฟริมน้ำน่านน่านั่ง จากบริเวณหน้าศาลเจ้าพ่อแก้วหลังเก่าในชุมชนบางมูลนาก มองไปจะเห็นโค้งแม่น้ำน่านอันสวยงาม คงความสงบร่มรื่นของแมกไม้สีเขียวสองฝั่ง กำลังมีการสร้างสะพานทางเดินชมวิวและสวนหย่อมริมน้ำ นับเป็นมุมธรรมชาติที่ห้ามพลาด
ภาพ Street Art เก๋ๆ ตลอดเส้นทางเดินชมชุมชนบางมูลนาก สะท้อนกลิ่นอายวัฒนธรรมจีนของคนบางนี้ ที่บางมูลนากมีพิพิธภัณฑ์ชุมชนเปิดให้ชมและถ่ายภาพได้ฟรีทุกวัน ลองเข้าไปสัมผัสเรื่องราวความเป็นมาของชุมชนจีนริมน้ำน่าน ที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูเมื่อเกือบร้อยปีก่อน จริงๆ แล้วเสน่ห์อีกอย่างของบางมูลนากคือ ของกินอร่อยๆ รสชาติดั้งเดิม ที่นักชิมต้องตามหา ไม่ว่าจะเป็น ขนมจีบซาลาเปา เจ๊เชียร ขายมากว่า 40 ปี, น้ำแข็งใสหวานเย็นแบบโบราณ (ซอยธนาคารกสิกรไทย), ก๋วยเตี๋ยวรสเด็ด เจ๊เม้าเจ้าเก่า (มาจากสี่แยกบางมูลนาก เลยบิ๊กซีไป อยู่ขวามือ), Chang Coffee & Ice Cream, บ้าบิ่นบางมูลนาก ที่ขายมากว่า 35 ปี มีกลิ่นใบเตย กลิ่นข้าวเหนียวดำ กลิ่นนมแมวแบบโบราณ (อยู่ติดธนาคารกรุงไทย สาขาบางมูลนาก) ฯลฯ เตรียมล้างท้องมากินกันได้เลยจ้า(5). ศาลเจ้าพ่อแก้ว อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร
ห่างจากชุมชนริมน้ำบางมูลนากไปนิดเดียวคือที่ตั้งของ “ศาลเจ้าพ่อแก้ว” อันเป็นศูนย์รวมใจรวมศรัทธาของคนบางมูลนากมาหลายชั่วอายุคน ศาลเจ้าดั้งเดิมเก่าแก่ที่มีขนาดเล็กนั้น จริงๆ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่านในชุมชนบางมูลนาก ทว่าภายหลังได้มีการอันเชิญเจ้าพ่อแก้วหรือปึงเถ่ากงให้มาสถิตอยู่ในศาลใหม่แทน โดยทุกปีช่วงเดือนธันวาคมจะมีการจัดงานฉลองเจ้าพ่อแก้วอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยขบวนแห่ล่อโก๊ว สิงโต เอ๊งกอ และขบวนแห่เปียของสาวงาม ฟ้อนรำสนุกสนาน(6). ย่านเก่าวังกรด จังหวัดพิจิตร (อำเภอเมืองฯ)
หากใครเคยนั่งรถไฟสายเหนือและสังเกตให้ดีจะคุ้นชื่อ “สถานีรถไฟวังกรด” นี่คือหนึ่งในชุมชนจีนย่านการค้าตลาดที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันได้จัดท่องเที่ยวแบบน่ารักๆ ภายใต้ชื่อ “ย่านเก่าวังกรด” ฟื้นภาพอดีตร้อยปีให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง บวกกับเสน่ห์ของกินพื้นเมืองอร่อยๆ เพียบ ทำให้ย่านเก่าวังกรดมีชื่อเสียงระบือไกล แม้แต่คนในตัวอำเภอเมืองพิจิตรก็ยังขับรถมากินข้าวเที่ยงกันที่นี่เลยหอนาฬิกาหน้าสถานีรถไฟวังกรด Land Mark สำคัญของย่านเก่าวังกรดเดินทอดน่องท่องเที่ยวอย่างแช่มช้า ชมเรือนไม้โบราณในย่านร้านตลาด แวะร้านโชห่วยเก่าแก่ พูดคุยกับคุณลุงเจ้าของร้าน อดีตนักแบตมินตันมือฉมัง ฟื้นเรื่องราวอดีตน่ารักๆ ให้เราฟัง ศาลเจ้าพ่อวังกลม อันศักดิ์สิทธิ์ คือศูนย์รวมใจรวมศรัทธาของชาววังกรดมานับร้อยปีแล้ว ตัวศาลเจ้าตั้งอยู่สุดซอยริมน้ำหน้าสถานีรถไฟ แต่ทุกปีช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤศจิกายน จะมีการจัด “งานฉลองเจ้าพ่อวังกลม” หรือ “งานงิ้ว” อันเชิญเจ้าพ่อออกมาตั้งปรัมพิธีอยู่กลางตลาด ให้ลูกหลานได้สักการะ และชมงิ้วในยามค่ำกันอย่างสนุกสนาน พร้อมด้วยออกร้านของกินขึ้นชื่อย่านเก่าวังกรดนับสิบๆ เมนูงานงิ้วช่วงเดือนพฤศจิกายน ณ ย่านเก่าวังกรด เพลิดเพลินกับนาฎศิลป์จีน ที่งดงามด้วยท่ารำ บทร้อง และดนตรีจีนอันมีเอกลักษณ์ ทุกคืนจะแสดงในท้องเรื่องต่างกันไป เริ่มตั้งแต่ราวๆ หนึ่งทุ่มถึงเที่ยงคืนขึ้นชื่อว่าย่านเก่าวังกรดเป็นศูนย์รวมของกินพื้นบ้านอร่อยๆ ไว้เพียบ หนึ่งใน Signature Menu ที่หาชิมได้ตลอดปีคือ “หมูสะเต๊ะเจ๊หยี” ขายมาไม่ต่ำกว่า 30-40 ปี รสชาติอร่อยไม่เปลี่ยน เอกลักษณ์คือเนื้อหมูนุ่มมาก แต่ละไม้ขนาดพอดีคำ มีอาจาดผักและน้ำจิ้มถั่วเป็นเครื่องเคียง และด้วยขนาดแต่ละไม้ที่ไม่ใหญ่มาก ถ้ากินเพลินๆ กินให้อิ่ม คนละ 20 ไม้ก็ยังไม่พอ ขอบอกเลยว่าเจ๊หยีขายวันหนึ่งได้เป็นแสนๆ บาท เรียกว่าขายแบบนับไม้กันไม่ทันเลยล่ะในงานงิ้วประจำปีของย่านเก่าวังกรดมีของกินอร่อยๆให้ชิมหลากหลาย ทั้งข้าวต้มปลาสูตรน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวโบราณ, ปลาแม่น้ำเผาสดๆ เนื้อนุ่มหวานฉ่ำ, ขนมเบื้องโบราณ, ออส่วน, หอยจ๊อ และอาหารจีนต่างๆ เมื่อพูดถึง “บัวลอยหน้างอ” ในบรรดานักชิมอาหารพื้นบ้านชื่อดังคงไม่มีใครไม่รู้จัก “เจ๊ดม” ผู้มีชื่อเสียงแห่งวังกรด กับเมนูบัวลอยไข่หวานสูตรโบราณ ขายมานานหลายสิบปีจนโด่งดัง ด้วยวัตถุดิบคุณภาพ เนื้อแป้งนุ่มหนึบ น้ำกะทิหวานหอมกลมกล่อม ไม่หวานจัด และเม็ดบัวลอยปั้นมือเล็กๆ จุ๋มจิ๋ม กินอร่อย แต่ที่ทำให้ทุกคนจำเจ๊ดมได้ไม่ลืม คือเสียงพูดดังโววายสไตล์จริงใจ เสียงได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน บางทีขายไปด่าไปแบบน่ารัก ทำให้ลูกค้าติดใจ มายืนต่อคิวกันเนืองแน่นตลอดวัน“ผัดไทยหอยทอด ร้านเจ๊กำไล” ย่านเก่าวังกรด คืออีกหนึ่งเมนูชื่ดังที่ห้ามพลาด แป้งนุ่ม เนื้อหอยสดรสดี มีขายทุกวันจ้าไม่ไกลจากหอนาฬิกาหน้าสถานีรถไฟวังกรด เดินเลาะริมถนนมาตามย่านเรือนไม้เก่า ด้านขวามือจะพบกับร้าน “ฮะ เตี๋ยวปิ่นโต” ร้านอร่อยที่มีกิมมิกรักษ์สิ่งแวดล้อม ใช้ภาชนะแบบโบราณที่เราคุ้นเคยเสิร์ฟให้ลูกค้า เมนูเด่นในร้านบรรยากาศย้อนยุคมีทั้งก๋วยเตี๋ยวหมูแดงแห้ง-น้ำ เล็กต้มยำ บะหมี่เส้นเล็กเส้นใหญ่ ฯลฯ รวมถึงกาแฟเย็นโบราณรสชาติเข้มข้น แต่ที่ประทับใจสุดๆ ก็คือรอยยิ้มและน้ำใจไมตรรีของแม่ค้านี่ละ ของกินเล่นในย่านเก่าวังกรดมีหลายอย่าง ห้ามพลาด “สาคูไส้หมูป้าเฒ้า” ที่ขายมาไม่ต่ำว่า 40 ปี ร้านนี้เป็นบ้านไม้เก่าสองชั้นเล็กๆ แอบอยู่ด้านซ้ายมือในซอยเดินเข้าศาลเจ้าริมน้ำ เสน่ห์ของสาคูไส้หมูป้าเฒ้าคือ เนื้อแป้งหนุ่มหนึบ ลูกเล็กพอดีคำ เนื้อสาคูไม่ได้มีแต่ถั่ว ทว่ายังมีส่วนผสมของเนื้อหมูในสัดส่วนลงตัว รสชาติไม่หวานจัด กินเพลินมากฝั่งตรงข้ามร้านฮะเตี๋ยวปิ่นโต แค่ข้ามถนนมาจะพบร้านขนมหวานเจ้าดังของย่านเก่าวังกรด มีทั้งซื้อกลับบ้านและนั่งกินที่ร้าน คงเอกลักษณ์ของขนมตักใส่ถ้วยแบบโบราณ สั่งได้ตามใจชอบสามสี่อย่าง จะแต่งหน้าด้วยขนมปังหรือไม่ก็ได้ ร้านนี้ขายดีมากนะ บ่ายๆ ก็หมดแล้ว ชิมอาหารพื้นบ้านอร่อยๆ ของย่านเก่าวังกรดกันมาเพียบจนอิ่มแปล้ ต้องเผื่อท้องไว้ให้ “น้ำมะนาวดอง ร้านไซ้ลุ่ย” ด้วย ร้านนี้ขายมากว่า 50 ปี สืบทอดวิธีการดองมะนาวแบบดั้งเดิมมาจากบรรพบุรุษ เป็นอาหารแบบจีนที่หาชิมยากมากแล้วในปัจจุบัน จัดเป็นเครื่องดื่มสุขภาพที่ช่วยบำรุงร่างกายก็คงจะไม่ผิดนัก วิธีการคือคัดเลือกมะนาวแป้นอย่างดี มาดองน้ำเกลือ สลับกับการตากแห้งจนได้ที่ ใครผ่านไปผ่านมาแถวหอนาฬิกาหน้าสถานีรถไฟวังกรด จะเห็นร้านไซ้ลุ่ยไม่ยาก สั่งแบบใส่น้ำแข็งเย็นชื่นใจ เดินดูดไปเที่ยวไปได้สบายเลยจ้า
(7). ชิมฮง คาเฟ่ (Chim Hong Cafe) ย่านเก่าวังกรด จังหวัดพิจิตร (อำเภอเมืองฯ)
ร้านคาเฟ่สไตล์ Chinese Vintage สุดฮิป เปิดใหม่ ที่มาแรงแซงทางโค้งในทุกมิติของย่านเก่าวังกรด “ร้านชิมฮง คาเฟ่” นำชื่อมาจากชื่ออากงเจ้าของร้าน ใช้อาคารเก่ามาพลิกโฉมเป็นคาเฟ่น่ารักๆ สำหรับทุกคน ได้มานั่งพักผ่อนรับแอร์เย็นๆ กัน นอกจากเครื่องดื่มหลากหลายแล้ว ที่นี่ยังมีโซนห้องแอร์ และโซน Outdoor ในสวนสวยบรรยกาศดี (โทร. 09-7216-2389 / เปิดเฉพาะวันหยุด เวลาประมาณ 9.00-16.00 น.)เครื่องดื่มของชิมฮง คาเฟ่ มีให้เลือกเยอะจริงๆ เมนูพิเศษๆ เช่น กาแฟมะพร้าว และกาแฟใส่ลอดช่อง ให้กลิ่นอายโบราณแบบจีนๆ ได้ดีเยี่ยม
(8). บ้านหลวงประเทืองคดี ย่านเก่าวังกรด จังหวัดพิจิตร (อำเภอเมืองฯ) การเดินเที่ยวย่านเก่าวังกรดจะสมบูรณ์ไปไม่ได้เลย หากเราไม่ได้แวะเข้าไปชม “บ้านหลวงประเทืองคดี” อาคารทรงตึกหลังแรกของย่านเก่าวังกรด ซึ่งปัจจุบันได้รับการบูรณะดูแลอย่างดีจากเทศบาล จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชนบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของชุมชนวังกรด อาคารทรงตึกสีขาวหลังนี้เป็นของ หลวงประเทืองคดี นายกเทศมนตรีคนแรกของเมืองพิจิตร ผู้ริเริ่มสร้างตลาดวังกรดในบริเวณที่เรียกว่า “ท้องมังกร” เพราะชาวจีนเปรียบแม่น้ำน่านดุจมังกร การสร้างตลาดในบริเวณโค้งน้ำที่เป็นท้องมังกรจะทำให้การค้ารุ่งเรือง และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะตลาดวังกรดมีด้านหน้าติดทางรถไฟ มีท้ายตลาดติดแม่น้ำ แถมปัจจุบันยังมีถนนเข้าถึงได้ง่ายอีกด้วย บ้านหลวงประเทืองคดี มีความเกี่ยวโยงกับชาวเวียดนามอพยพในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย โดย นายทอง ไทยตรง และนางแจง (หรือย่าแจง) เป็นคู่สามีภรรยาชาวเวียดนาม ที่อพยพลี้ภัยเข้ามาอยู่ที่วังกรด จริงๆ แล้วนายไทยตรงคือมือขวาของท่านโฮจิมินห์นักปฏิวัติชาวเวียดนาม ต่อมาภายหลังนายไทยตรงถูกลอบสังหาร ย่าแจงได้พบรักกับหลวงประเทืองคดี และครองคู่กันมา อาคารหลังนี้จึงใช้เป็นที่อยู่อาศัยร่วมกัน รวมถึงใช้เป็นที่หลบภัยการทิ้งระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย

ในภาพถ่ายที่เห็นนี้ คือ นายแพทย์วรสิทธิ์ ทายาทรุ่นที่ 5 ซึ่งได้มอบอาคารหลังนี้ให้ทางเทศบาลดูแล เป็นสมบัติส่วนรวมของชุมชนวังกรด ใช้เพื่อการเรียนรู้ และเป็นอาคารประวัติศาสตร์สืบไป
นายแพทย์วรสิทธิ์มีอาชีพเป็นทนายความ ชั้นล่างของอาคารจึงจัดเป็นห้องทำงานของท่าน พร้อมด้วยภาพถ่ายของนายไทยตรงและคุณย่าแจง ติดอยู่ที่ฝาผนัง ส่วนสีขาวที่ทาฝาหนังนั้นจริงๆ แล้วเป็นสีขาวจากดินชนิดหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปจะกลายเป็นสีเหลืองนวลสวยงามตามธรรมชาติ ชั้นบนของอาคารคือห้องนอนของท่านเจ้าของบ้าน เครื่องเรือนที่เห็นทุกชิ้นคือของจริงดั้งเดิมแท้ๆ นักท่องเที่ยวที่มาเยือนย่านเก่าวังกรด สามารถจอดรถยนต์ส่วนตัวไว้ที่ลานจอดรถหน้าบ้านหลวงประเทืองคดี แล้วนั่งรถพ่วงของเทศบาล เข้าไปเที่ยวในชุมชนได้ฟรีเลยนะจ๊ะ(9). ล่องเรือดูหิ่งห้อย ตลาดดอกเดื่อ จังหวัดพิจิตร (อำเภอโพธิ์ประทับช้าง)
ในช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ คงจะไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ไปเปิดประสบการณ์ใหม่สัมผัส ชุมชนบ้านโพธิ์ประทับช้าง อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร ที่ร่วมกันสรรค์สร้างตลาดพื้นบ้านในชื่อ “ตลาดดอกเดื่อ” (ดอกเดื่อ เป็นชื่อเล่นของพระเจ้าเสือ พระมหากษัตริย์สมัยกรุงศรีอยุธยา ผู้ทรงประสูตรที่วัดโพธิ์ประทับช้าง ในบริเวณใกล้ๆ กันนี้) ตลาดจัดเฉพาะเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมเท่านั้น เปิดเวลาประมาณ 18.00-23.00 น. เน้นขายอาหารพื้นบ้านง่ายๆ อย่างยำส้มโอ และหม้อไฟ ปลาเผา นั่งกินไปพร้อมชมการแสดงรำวงย้อนยุคของแม่บ้าน เสร็จแล้วล่องเรือชมหิ่งห้อยในแม่น้ำพิจิตสายเก่า บรรยากาศพื้นบ้านแบบน่ารักๆ ของ ตลาดดอกเดื่ออิ่มแล้วก็ต้องล่องเรือชมหิ่งห้อยในแม่น้ำพิจิตรสายเก่า จากตลาดดอกเดื่อไปประมาณ 1 กิโลเมตร เรือลำหนึ่งนั่งได้ไม่เกิน 6-8 คน ค่าเช่าเรือเที่ยวละ 200 บาท หิ่งห้อยที่นี่ตัวใหญ่กว่าของจังหวัดสมุทรสงคราม และไม่ได้เกาะอยู่ที่ต้นลำพู เพราะที่นี่ไม่มีต้นลำพู ฝูงหิ่งห้อยจึงเกาะอยู่บนกอผักตบชวาแทน ถ้าอยากเห็นเยอะๆ ต้องมาในคืนข้างแรมที่ลมค่อนข้างสงบ เพราะถ้าลมแรงหิ่งห้อยจะบินขึ้นไปหลบตามกอไม้ริมน้ำกันหมด อีกอย่างคือการล่องเรือชมหิ่งห้อยห้ามฉีกพ่นยากันยุง เพราะสารเคมีจะไปทำอันตรายหิ่งห้อยอันบอบบางได้จ้า

(ขอโทษ ที่ไม่มีภาพหิ่งห้อยตัวจริงๆ มาให้ดูกันนะ เพราะคืนที่ไปล่องเรือฝนตกจ้า ฮาฮาฮา) (10). วัดโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร (อำเภอโพธิ์ประทับช้าง)
ฝั่งตรงข้ามตลาดดอกเดื่อแค่เพียงข้ามถนนมาก็จะพบกับ “วัดโพธิ์ประทับช้าง” วัดโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งไปเยือนครั้งใดก็ยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศขรึมขลังของความเก่าแก่ และเรื่องราวพระราชประวัติ “พระเจ้าเสือ” (หรือสมเด็จพระสุริเยนทราธิบดี หรือขุนหลวงสรศักดิ์) ที่ทรงสร้างวัดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2242-2244 เป็นอนุสรณ์ยังสถานที่ประสูติของพระองค์ ใต้ต้นมะเดื่อหน้าวัด และได้ฝังรกของพระองค์ไว้ที่นี่ด้วย พระองค์จึงมีพระนามที่ใช้เรียกเล่นๆ ว่า “เจ้าดอกเดื่อ”

ภายในพระอุโบสถของวัดโพธิ์ประทับช้าง เป็นที่ประดิษฐาน หลวงพ่อยิ้ม หรือหลวงพ่อโต พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่มาก ส่วนด้านหน้าวัดมีต้นตะเคียนยักษ์ 7 คนโอบ อายุกว่า 260 ปี ซึ่งปัจจุบันได้ตายลงเหลือแต่ตอ และกิ่งก้านได้ถูกตัดไปหมดแล้ว
(11). วัดเขากบ หรือ วัดวรนาถบรรพต จังหวัดนครสวรรค์ (อำเภอเมืองฯ)มาเที่ยวนครสวรรค์-พิจิตรทั้งที  ได้เยือนยลดินแดนแห่งสี่แม่น้ำที่มีพระพุทธศาสนารุ่งเรืองมาแต่อดีต จึงต้องหาโอกาสไปไหว้พระขอพร เพื่อความเป็นสิริมงคลกันหน่อย ที่นี่คือ “วัดวรนาถบรรพต” หรือ “วัดเขากบ” ตัววัดแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วนที่อยู่บนพื้นราบเชิงเขากบ และส่วนที่อยู่บนยอดเขากบ สูง 185.50 เมตร สามารถขับรถยนต์ขึ้นถึงได้ หรือจะเดินขึ้นบันไดไป 437 ขั้น เพื่อฝึกความเพียรก็ได้นะ บนยอดเขามีพระพุทธบาทจำลองให้สักการะสำหรับสายมูทั้งหลาย ต้องไม่พลาดไปสักการะพระราหูวัดเขากบ แม้จะเพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นาน แต่ด้วยกระแสความนิยม ก็มีผู้ศรัทธามากราบไหว้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าวัดบริเวณลานจอดรถ
ภายในวัดเขากบมีจุดสำคัญที่ต้องไปชมและสักการะหลายแห่ง อย่าง “เจดีย์โบราณสมัยสุโขทัย” สภาพค่อนข้างสมบูรณ์ สื่อถึงเรื่องราวการสร้างวัดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.​ 1962 สมัยพระยาบาลเมือง เพื่ออุทิศให้กับพระยารามผู้น้อง ซึ่งมาทำสงครามที่หัวเมืองฝ่ายใต้ แล้วสิ้นพระชนม์ลงใกล้ๆ กับเจดีย์เก่า มีองค์พระนอน ยาวประมาณ 10 วาเศษ พระพักตร์อมยิ้มท่าทางใจดี ใกล้ๆ กับวิหารพระนอน มีรูปปั้น “ตากบ” และ “ย่าเขียด” สองผู้ใจบุญ ผู้บริจาคที่ดินเพื่อสร้างวัดนี้ด้านหน้าวัดเขากบ มีวิหารหลังหนึ่งซึ่งไม่ควรมองข้าม เพราะนี่คือ “วิหารหลวงพ่อทอง” พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งเมืองนครสวรรค์ นอกจากท่านจะเป็นผู้นำการบูรณะวัดนี้ด้วยตัวเอง ใช้เวลายาวนานหลายสิบปีแล้ว เหรียญหลวงพ่อทองรุ่นต่างๆ ยังร่ำลือกันในพุทธานุภาพเข้มขลัง อย่างเหรียญหลวงพ่อทองหลังเงารุ่นแรก ก็เป็นที่นิยมของเซียนพระเครื่องทั้งหลาย ทว่าเหนืออื่นใดคือคุณความดีของท่านที่ยังคงอยู่ แม้จะละสังขารไปแล้ว(12). วัดพระพุทธบาทไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ (อำเภอไพศาลี)
สำหรับคนที่ชอบเรื่องประวัติศาสตร์และสถานที่โบราณแบบขลังๆ ผมว่าการได้ไปเยือน “วัดพระพุทธบาทไพศาลี”  จังหวัดนครสวรรค์ ถือเป็นโอกาสที่ดีจริงๆ เพราะถือว่าเป็นสถานที่ Unseen ที่ยังมีคนไปเที่ยวไม่มาก จึงคงบรรยากาศความขลังไว้อย่างเต็มเปี่ยม ทั้งตัวสถานที่ซึ่งต้องเดินผ่านบันไดนาคขึ้นเนินเขาไปนิดหน่อย ผสานกับความเงียบสงบรกชัฏของป่าละเมาะรอบๆ ยิ่งทำให้ทุกย่างก้าวที่นี่เหมือนย้อนอดีตได้เลยจริงๆวัดพระพุทธบาทไพศาลีถือเป็นโบราณสถานที่เก่าแก่ ในดีตยังไม่มีวัด แต่มีการสร้างรอยพระพุทธบาทไพศาลีขึ้นสมัยพระยาลิไท แห่งกรุงสุโขทัย จากนั้นอัญเชิญมาจากกรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พร้อมกับผู้คนที่ถูกเกณฑ์มาสร้างเมืองเวสาลี โดยนำรอยพระพุทธบาทไปประดิษฐานไว้บนยอดเขา แล้วสร้างวิหารเล็กๆ ครอบไว้รอยพระพุทธบาทไพศาลี มีอายุย้อนไปได้ราวพุทธศตวรรษที่ 22-23 สร้างด้วยแผ่นศิลากว้าง 70.5 เซนติเมตรร ยาว 169 เซนติเมตร หนา 9 เซนติเมตร รูปรอยพระบาทกว้าง 52.5 เซนติมเตร ยาว 140 เซนติเมตร มีรอยจารึกอักษรขอมสมัยอยุธยา กล่าวถึงการทำความดี และสรรเสริญพระศรีอริยเมตรไตร ซึ่งรอยพระพุทธบาทนี้เคยถูกจารกรรมหายไป แต่กรมศิลปากรตามกลับคืนมาได้ แล้วนำมาประดิษฐานไว้ที่เดิม จากวิหารพระพุทธบาทไพศาลีโบราณ มีทางเดินต่อขึ้นภูเขาไปประมาณ 200-300 เมตร (มีทางรถยนต์ขึ้นได้ด้วย แต่หนทางค่อนข้างชัน มีโค้งหักศอก) จะพบกับพระมณฑปสีขาว ซึ่งท่านเจ้าอาวาสรูปเก่า พระครูนิยุตพัฒนาพรได้นิมิตรฝันว่ามีรอยพระพุทธบาทอีกองค์หนึ่งอยู่บนภูเขานี้ จึงออกสำรวจ แล้วพบจริงดังนิมิตร เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2535 จากนั้นจึงมีการสร้างพระมณฑปครอบไว้ เปิดให้สักการะมาตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน 2540

ลักษณะของพระพุทธบาทองค์นี้เป็นรอยจารึกอยู่บนก้อนหินใหญ่ รอยค่อนข้างเลือนลาง จัดว่ามีความแปลกมาก เพราะรอยพระบาทแต่ละข้างนิ้วพระบาทชี้ไปคนละทางกัน เหมือนการเดินไปและเดินกลับ(13). Patio Boutique House จังหวัดนครสวรรค์ (อำเภอชุมแสง)เที่ยวกันมายาวไกลทั้งนครสวรรค์-พิจิตร ได้พบเห็นสถานที่แปลกใหม่สวยๆ งามๆ มากมาย อย่าเพิ่งรีบกลับบ้าน ลองหาเวลาสักคืนพักผ่อนกายใจในรีสอร์ทสวยสไตล์ Vintage British Colonial ย้อนยุค บวกความน่ารักน่าพักที่ “Patio Boutique House” ให้อารมณ์ผ่อนคลาย อบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน บริการด้วยมิตรไมตรี มีอาหาร เครื่องดื่มบริการด้วย

Patio Boutique House เลขที่ 4/1 ถนนบ้านท่าจันทร์ หมู่ 1 ตำบลพันลาน อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ 60250 โทร. 08-1919-6159  https://patioboutiquehouse.comสัมผัสแรกของ Patio Boutique House คือสถาปัตยกรรมสวยสไตล์ British บริเวณร้านอาหารด้านหน้า ที่เสิร์ฟความสุขพร้อมเครื่องดื่มและอาหารอร่อยมากมาย โดยเฉพาะอาหารปักษ์ใต้รสชาติเข้มข้นความน่ารักสไตล์ Vintage British Colonial ของ Patio Boutique House สร้างจากแรงบันดาลใจของ พี่ตั้ม เจ้าของและผู้บริหาร เคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองดาร์จีลิ่ง (Darjeeling) ทางตอนเหนือของอินเดียอยู่หลายปี จึงอยากจำลองบรรยากาศสถาปัตยกรรมอังกฤษมาให้แขกผู้เข้าพักได้สัมผัสบรรยากาศร้านอาหาร สไตล์อบอุ่นเหมือนอยู่บ้านยุโรปของ Patio Boutique House แม้จะไม่ได้เข้าพักที่นี่ลูกค้าก็สามารถมาใช้บริการได้ โดยเฉพาะยามค่ำ นั่งละเลียดชิมอาหารพร้อมจิบไวน์ดีๆ ที่ทางร้านเลือกสรรไว้ต้อนรับอาหารไทยผสมผสานหลายภาค ทั้งกลาง อีสาน ใต้ มาที่เดียวได้ชิมหลายเมนู Patio Boutique House ด้วยความคลั่งไคล้ในรถมอเตอร์ไซค์เก่าย้อนยุค Vintage Motorbike ของพี่ตั้ม เจ้าของ Patio Boutique House เราจึงมีโอกาสชมคอลเลคชั่นรถสะสมเกือบร้อยคัน ที่ล้วนมีสภาพสมบูรณ์ ยังวิ่งได้จริงเกือบทุกคัน
เดินชมบรรยากาศสถานที่สวยๆ จัดแต่งมุมถ่ายภาพเก๋ๆ ไว้ให้เลือกตามใจชอบ Patio Boutique House มีมุมสนามเด็กเล่นอย่างดีไว้บริการ คิดเผื่อไว้เสร็จสรรพสำหรับครอบครัวที่มาเที่ยวพักผ่อนที่พักของ Patio Boutique House กำเนิดขึ้นจากการที่พี่ตั้ม เจ้าของและผู้บริหาร มาปลูกบ้านอยู่ที่อำเภอชุมแสง เพื่อเป็นโยมอุปัฏฐากพระลูกชายซึ่งมาบวชอยู่ที่วัดใกล้ๆ เผลอแป๊ปเดียวไม่กี่ปี สร้างเพิ่มเติมกลายเป็นรีสอร์ท มีห้องพักหลายแบบให้เลือก ทั้งเป็นหลังๆ เป็นรถบ้าน และบ้านต้นไม้สุดเก๋ห้องพักแบบเตียงเดี่ยวขนาดใหญ่ พร้อมอ่างอาบน้ำอย่างดี ห้องพักสำหรับครอบครัว หรือเพื่อนฝูง นอนได้ 4 คน เป็นเตียงสองชั้น น่าสนุกดีPatio Boutique House ตั้งชื่อบ้านพักแต่ละหลังในคอนเซปต์เก๋ๆ มีทั้งบ้านรวมเพื่อน, บ้านเจ้าคุณ, บ้านชมสวน, บ้านไม้หอม, บ้านชมจันทร์, บ้านเจ้าหญิง, บ้านกลางไม้, บ้านต้นไม้ใหญ่ และบ้านต้นไม้เล็ก Patio Boutique House มีสระน้ำให้ความเย็น พร้อมด้วยพรรณไม้กว่า 200 ชนิด ผลิดอกออกใบให้ความร่มรื่น
ห้องพักแบบรถบ้าน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเปลี่ยนบรรยากาศแปลกใหม่ ไม่จำเจ
บ้านกลางไม้และบ้านต้นไม้ใหญ่ มีสะพานแขวนเชื่อมถึงกัน เพิ่มความสนุกน่าตื่นเต้นในการเข้าพัก สะพานแขวนจากบ้านกลางไม้ไปยังบ้านต้นไม้ใหญ่ห้องพักของบ้านต้นไม้ใหญ่ อยู่สูงจากพื้นดิน เพิ่มความเป็นส่วนตัวมากขึ้นความพิเศษอีกอย่างของ Patio Boutique House คือถ้าใครมาทำบุญที่วัดและพักค้างคืนที่นี่ เขาจะลดราคาให้ถึง 50 เปอร์เซนต์ เรียกว่าช่วยสนับสนุนกัลยาณมิตรทางธรรมด้วยความจริงใจ อย่างในภาพด้านบนนี้ พี่ตั้ม เจ้าของและผู้บริหาร Patio Boutique House ได้สร้างองค์พระสูงถึง 18 เมตร ไว้ที่วัดด้านหลังรีสอร์ท เพื่อเป็นพุทธบูชา

(14). กลับบ้าน คาเฟ่ (Klub-Baan Cafe) จังหวัดนครสวรรค์ (อำเภอพยุหคีรี)
“กลับบ้าน คาเฟ่” เป็นร้านอาหารและร้านกาแฟเก๋ไก๋น่ารัก น่านั่งพักผ่อนสบายๆ ในบรรยากาศไม่เร่งร้อน ละเลียดจิบเครื่องดื่มที่ชอบกับคนที่ใช่ ชิมขนมเบาๆ หรือจะชวนกันมาทานอาหารมื้อหลักเขาก็มีเสิร์ฟ โดยเฉพาะสปาเก็ตตี้คาโบนาร่า​ซอสปรุงเองสูตรพิเศษ ของน้องแพรว (คุณกาญจนาณัฐ) ซึ่งไปเคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่เกาะซิซิลี ประเทศอิตาลี และเยอรมนี ด้วย ทว่าในที่สุดน้องแพรวก็ได้กลับมาสร้างร้านนี้ขึ้นที่บ้านเกิด อันเป็นที่มาของชื่อ กลับบ้าน คาเฟ่

กลับบ้าน คาเฟ่ ม.4 ตำบลเขากะลา อำเภอพยุหคีรี จังหวัดนครสวรรค์ 60130 โทร. 09-4964-6394
จุดเด่นอย่างหนึ่งของ กลับบ้าน คาเฟ่ คือเขามีแปลงปลูกกัญชา Organic เองด้วย จึงนำใบกัญชาในปริมาณและสัดส่วนที่ปลอดภัย มาผสมในเครื่องดื่มต่างๆ ตามที่ลูกค้าต้องการ หรือจะสั่งเฉพาะดอกกัญชาเขาก็ขาย แต่ถ้าใครแพ้กัญชา ก็มีทางเลือกให้ อย่างเครื่องดื่มก็สั่งเป็นกาแฟใส่นมอัลมอนด์แทนได้ กินคู่กับครอฟเฟิลราดน้ำผึ้งสุขภาพ
บรรยากาศส่วนห้องอาหารติดแอร์เย็นฉ่ำของ กลับบ้าน คาเฟ่ อาหารเรียกน้ำย่อยและอาหารหลักมีมากมาย ให้เลือกสั่งได้ อย่างลูกชิ้นปลากรายนครสวรรค์, แกงส้มไหลบัว, ส้มตำไหลบัว, หมูคลุกฝุ่น, ปีกไก่ทอด, ต้มยำปลา รวมถึงของกินเล่นอย่าง เมี่ยงใบบัว ซึ่งนำวัตถุดิบมาจากบึงบอระเพ็ด แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันมีชื่อเสียงของนครสวรรค์นั่นเองของหวานแบบไทยๆ บรรจงทำเองและเสิร์ฟด้วยความตั้งใจที่ กลับบ้าน คาเฟ่ความพิเศษอีกอย่างของ กลับบ้าน คาเฟ่ คือเขามีชาหลากชนิดให้ลิ้มลอง ทั้งชาใบบัว, ชาข้าว, ชาเขียวญี่ปุ่น ฯลฯ  นอกจากนี้ยังสามารถผสมใบกัญชา Organic ลงไปได้ด้วยนะกิจกรรมสนุกๆ ของ กลับบ้าน คาเฟ่ คือ Tea Blended by Yourself ให้เรานำชาหลายชนิดมาผสมและชงดื่มเองตามใจชอบ วัตถุดิบที่เขาเตรียมไว้ให้ก็มีหลากหลาย ตั้งแต่ใบกัญชาคั่ว, คาโมมายด์,ใบเตย, มะตูม, ชาข้าวหอม, ข้าวคั่ว จากข้าวพันธุ์ กข.15 ปลูกแบบอินทรีย์ในนครสวรรค์ รวมถึงมีส่วนผสม 3 อย่างของดอกบัว คือ เกสร กลีบบัว และเมล็ดบัว ได้ดื่มชาที่ชอบ แถมดีต่อสุขภาพ ดีต่อใจด้วยชากลีบบัว เกสรบัว และเมล็ดบัว บำรุงหัวใจและสร้างความสมดุลให้ธาตุในร่างกาย Healthy มากๆ จ้า กลับบ้าน คาเฟ่ มีพื้นที่ปลูกกัญชาและกัญชงแบบ Organic ของตัวเองในชื่อ “กัญชาบ้านสวนสวรรค์” มีการนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ทั้ง Product ที่ใช้ใบ ดอก หรือแปรรูปเป็นสบู่ น้ำมันแก้ปวดเมื่อย เทียนหอม และอื่นๆ อีกมากมาย

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครสวรรค์-พิจิตร 

facebook.com/TATNakhonsawan.Phichit/

โทร. 0-5622-1811-2 

DOD Cafe & Bistro จิบกาแฟในสวนสวย ที่สามพราน

DOD Cafe & Bistro อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม โทร. 06-5242-5611 , www.facebook.com/DODcafebistro/

เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00-18.00 น.

Amici Night ค่ำคืนเอ็กซ์คลูซีฟแห่งมิตรภาพ กับอาหารอิตาเลียนชั้นเลิศ

อาหารอิตาเลียนดีๆ ไวน์ชั้นเลิศ บรรยากาศสุดคลาสสิก และเพื่อนสนิทที่มานั่งสรวนเสเฮฮากันในมื้อค่ำ วันที่ 26 ตุลาคม 2556 ณ ห้องอาหารสุดหรู VIU ชั้น 12 โรงแรม The St.Regis Bangkok คือนิยามของ “ความสุข” ที่ทำให้ AMICI NIGHT Vol.2 จัดอยู่ในความสมบูรณ์แบบ ทำให้เราประทับใจไม่รู้ลืม กับอาหาร 6 คอร์ส ที่ปรุงอย่างพิถีพิถันและสร้างสรรค์ โดยเชฟมากฝีมือ 2 ท่าน รวมถึงมีไวน์หายาก เป็น Boutique Wine ที่ควรค่าแก่การชิม อิมพอร์ตตรงเข้ามาจากอิตาลีโดย Cafe’ Buongiorno คัดสรรเฉพาะไวน์จากพื้นที่ UNESCO World Heritage Sites เท่านั้น
เชฟเกตาโน่ พาลุมโบ (Gaetano Palumbo) ที่ถือกำเนิดขึ้นจากเกาะซิซิลี ประเทศอิตาลี และ เชฟแก้ว เกศิณี ดำรงสกุล

เชฟแก้ว หัวหน้าแผนกครัว ห้องอาหาร VIU, The St.Regis Bangkok ผู้เชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งในศาสตร์อาหารไทยและตะวันตก จากความประณีตและประสบการณ์ที่สั่งสม ผ่านการร่วมงานกับภัตตาคารระดับดาวมิชลิ ทั้งในสหราชอาณาจักร ฮ่องกง และกรุงเทพฯ ถ่ายทอดความวิจิตรลงบนเมนูอาหาร สะท้อนศิลปะอาหารไทยและนานาชาติได้อย่างลงตัว จับมือกับ เชฟเกตาโน่ จากห้องอาหาร Rossini’s Sheraton Grand Sukhumvit Hotel ที่ได้รับรางวัลมิชิลินไกด์ 5 ปีซ้อน ร่วมกันรังสรรค์ค่ำคืนสุดพิเศษ ที่อบอวลด้วยบรรยากาศมิตรภาพ ผสานจิตวิญญาณแห่งอาหารและไวน์อิตาเลียนที่แท้จริงห้องอาหาร VIU, The St.Regis Bangkok ห้องอาหาร VIU, The St.Regis Bangkok พร้อมเสิร์ฟความอร่อยระดับ Fine Diningบรรยากาศโรแมนติกยามเย็นที่ ห้องอาหาร VIU, The St.Regis BangkokAMICI NIGHT Vol.2 เสิร์ฟอาหารอิตาเลียนชั้นเลิศ ด้วยวัตถุดิบคัดสรรพิเศษ ปรุงอย่างใส่ใจและ Creative รวม 6 คอร์ส  เต็มอิ่มสุดๆ เข้าคู่กับ Italian Boutique Wine หายาก ช่วยเพิ่มความสมบูรณ์แบบให้รสชาติอาหาร ทั้ง Prosecco Wine, White Wine, Red Wine และ Dessert Wine นำเข้าโดยตรงจากอิตาลีโดย Cafe’ Buongiorno มีทั้ง TERRE DI MARE Otello Prosecco, IX MIGLIO BIANCO Reserva Della Cascina (White Wine), IX MIGLIO BIANCO Reserva Della Cascina (Red Wine), TERRE DI MARE Arrigoni IL TOSCO Sangiovese อันมีชื่อเสียงจาก Toscana และ SANTITA’ Vino Liquoroso LE MADIE เป็น Dessert Wine ที่มีคาแรคเตอร์พิเศษมาก ไวน์ทั้งหมดล้วนปลูกอยู่ในพื้นที่เก่าแก่ อันเกี่ยวเนื่องกับ UNESCO World Heritage Sites ทั้งสิ้น และผลิตขึ้นโดย Wine Producer ที่ทำต่อเนื่องมานับร้อยปีเร่ิมเรียกน้ำย่อยคอร์สที่ 1 ด้วยขนมปังอิตาเลียนหน้าตาดูดี  มีความนุ่มเหนียว ใครจะถนัดจิ้มซอสเปรี้ยวในน้ำมันมะกอก หรือทาเนยถั่วแบบอิตาเลียน ก็อร่อยเข้ากันไปหมด
คอร์สแรกนี้รับประทานคู่กับ ไข่ปลาคาร์เวีย (Oscietra Caviar) เสิร์ฟมาในโถแก้วคริสตัลใส่น้ำแข็ง ด้านล่างรองด้วยเนื้อปู, Green apple jelly, Smoked cream fraiche และ Potato lavosh เมนูนี้ปรุงโดย เชฟเกศิณี ถือเป็นคอร์สโหมโรงที่ทำให้น้ำย่อยในกระเพาะทำงานอย่างรวดเร็ว และอยากรู้แล้วว่าอาหารจานต่อไปหน้าตาจะเป็นอย่างไร?คอร์สที่ 2 คือ “Salmon marinate in Earl Gray Tea” หรือ “ปลาแซลมอนหมักในชาเอิร์ลเกรย์” เพื่อลดความคาว เพิ่มความหอม และทำให้เนื้อปลาแซลมอนยิ่งนุ่มเหมือนละลายในปาก ส่วนผงสีดำที่เห็นอยู่บนเนื้อแซลมอนคือสาหร่ายทะเล กินคู่กับ Mozzarella Cheese เพื่อตัดเลี่ยนจากแซลมอน และตัวโฟมสีขาวมีส่วนผสมของบีทรูท เมื่อรับประทานทั้งหมดด้วยกันจะรู้สึกกลมกล่อมมาก

สำหรับการจับคู่อาหารจานนี้กับไวน์ชั้นเลิศทางตอนเหนือของอิตาลี ก็ต้องยกให้ TERRE DI MARE Otello Prosecco เป็นโพรเซคโก้ในหมวดของ Sparkling Wine (Extra Dry) ที่เข้าคู่กับอาหารทะเลอย่างแซลมอนได้เป็นอย่างดี คาแรคเตอร์ของไวน์ตัวนี้เมื่อดื่มที่อุณหภูมิประมาณ 8-10 องศาเซลเซียส เย็นฉ่ำชื่นใจ ถือว่าจัดจ้าน จี๊ดจ๊าด มีความเปรี้ยวหวานในดีกรีไม่ธรรมดา กลิ่นรสสร้างความสดชื่น บอร์ดี้บางเบา ดื่มเพลิน แอลกอฮอล์ต่ำเพียง 11% น้ำไวน์สีเหลืองทองหรูหราชวนมอง จิบได้ไม่เบื่อ ไวน์ตัวนี้ผลิตจากพื้นที่เมือง Treviso (เทรวิโซ) ในแคว้น Veneto ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี ซึ่งมีอากาศเย็น พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงและหุบเขา จึงมีชื่อเสียงในการผลิตไวน์ขาวชั้นเลิศ และถือเป็นดินแดนต้นกำเนิดของ Prosecco Wine ดื่มเสร็จแล้วอาจทำให้รู้สึกอยากไปเที่ยว เมืองมรดกโลกเวนิส (Venis) ที่อยู่ใกล้ๆ เลยก็ได้

แซลมอนหมักชาเอิร์ลเกรย์ ปรุงโดย Chef Gaetano คอร์สที่ 3 “Scallop Soup” หรือ “ซุปหอยเชลล์ตัวใหญ่เป้ง” ปรุงโดย เชฟเกศิณี ส่วนประกอบหลักคือหอยนางรมยักษ์ฮอกไกโด จากตอนเหนือของญี่ปุ่น นำมาเซียร์ (Searing) หรือจี่/นาบ บนกระทะร้อนๆ ด้วยความรวดเร็ว จึงสุกนอกนุ่มใน แทบไม่ต้องออกแรงเคี้ยว ละลายในปากได้เลย รสชาติเนื้อหอยเชลล์ยักษ์มีความหวานผสมเค็มนิดๆ ติดปลายลิ้น ได้ฟีลลิ่งของทะเลฮอกไกโด ส่วนซุปที่ละมุนลิ้นสุดๆ ทำจากดอกกะหล่ำบดผสมครีม ด้านบนประดับด้วยดอกไม้สีทอง ทำจากดอกกะหล่ำฝานบางๆ ทอด และแป้งรูปใบไม้ทำจากแป้งผสมชาร์โคล ใส่แม่พิมพ์ ทอดกรอบ

ไวน์ขาวที่ช่วยเพิ่มความวิเศษให้ Scallop Soup จานนี้ได้ดีเยี่ยม คือ IX MIGLIO BIANCO Reserva Della Cascina (White Wine) ปี 2018  เป็นไวน์ขาวที่ผลิตขึ้นในภาคกลางของอิตาลี ซึ่งมีความหลากหลายของชนิดพันธุ์องุ่น และผู้ผลิตรายนี้ยังอยู่ใกล้ๆ กรุงโรม (Rome) อดีตศูนย์กลางอาณาจักรโรมันอีกด้วย ชื่อไวน์ IX MIGLIO BIANCO จึงสื่อถึงถนนที่เป็นแหล่งผลิต อยู่ห่างจากกรุงโรมออกไปเพียง 9 ไมล์เท่านั้น ความพิเศษอย่างยิ่งของไวน์ตัวนี้คือเป็น “Biodynamic / Biological Wine” หมายถึง ไวน์ที่มีขั้นตอนการผลิตให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมชาติมากกว่าออร์แกนิก โดยมองถึงความสมดุลทางธรรมชาติเป็นหลัก ดื่มแล้วดีต่อสุขภาพ แอลกอฮอล์เบาๆ เพียง 12.50% เข้าถึงรสชาติได้ง่าย ดื่มเพลิน เหมาะสังสรรกับเพื่อนฝูง น้ำไวน์สีเหลืองแบบฟาง (Straw Yellow) ใสสะอาดน่าจิบ เมื่อเขย่าแก้วเบาๆ แล้วดมจะได้กลิ่นดินภูเขาไฟโบราณอันอุดมด้วยแร่ธาตุในแถบ Rome ตีขึ้นจมูกอย่างชัดเจน ผสานกับกลิ่นดอกไม้สีขาว กลิ่นส้ม และกลิ่นผลไม้เมืองร้อนที่ให้ความรู้สึกสดชื่นมาก

ความเลิศอีกอย่างของไวน์ตัวนี้คือ ผลิตขึ้นจากการ Blend องุ่นถึง 6 สายพันธุ์เข้าด้วยกัน ทั้ง Mulvasia Puntinata, Trebbiano Toscana, Malvasia Rossa, Bellone, Bombino Bianco และ Trebbiano Giallo
เดินทางมาถึง คอร์สที่ 4 “Homemade Beef Agnolotti” หรือ “พาสต้าอัญโญลอตตีไส้เนื้อวัว แบบโฮมเมด” รังสรรค์โดย Chef Gaetano จึงได้กลิ่นอายความเป็นอิตาเลียนขนานแท้ ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่า “Agnolotti” เป็นพาสต้าประเภทหนึ่งตามแบบฉบับของภูมิภาค Piedmont (พีดมอนต์ หรือ เพียมอนเต) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี ซึ่งมีอากาศเย็น อาหารชนิดนี้ทำด้วยแป้งพาสต้าชิ้นเล็กๆ แบนๆ พับทับไส้เนื้อย่าง หรือผักต่างๆ ซึ่งของเราเป็นไส้เนื้อวัวบดสูตรพิเศษ เวลารับประทานราดซอสทำจาก “Castelmagno Cheese” ที่ถือเป็น  Premium Cheese ราคาแพงและหายากมาก นอกจากนี้ยังถือเป็นชีสเก่าแก่ที่ผลิตเฉพาะขึ้นในภูมิภาคพีดมอนต์เท่านั้น มีเรื่องราวการกำเนิดชีสย้อนกลับไปได้ถึง ปี ค.ศ. 1277 นับถึงปัจจุบันก็เกือบ 750 ปีแล้ว หลังจากได้ชิมคำแรกต้องบอกเลยว่าหลงรัก เพราะพาสต้าชิ้นเล็กพอดีคำ เนื้อแป้งเหนียวนุ่มหนึบสู้ปาก ส่วนไส้เนื้อบดก็ละเอียดดี มี texture ไม่หยาบหรือละเอียดเกินไป รสชาติออกเค็มนิดๆ รับประทานคู่กับน้ำซอสจากชีสเลอค่า แล้วจะไม่ให้หลงรักได้ไง

ส่วนไวน์แดงที่แพริ่งกับคอร์สนี้ดีสุดๆ คือ IX MIGLIO BIANCO Reserva Della Cascina (Red Wine ) ปี 2018 แอลกอฮอล์ 13.50% เป็น Organic Red Wine ที่ดีต่อสุขภาพและใส่ใจสิ่งแวดล้อมในการผลิต ใช้องุ่น 3 สายพันธุ์ Blend เข้าด้วยกันจนกลมกล่อม คือ Merlot, Cabernaet Sauvignon และ Sangiovese ซึ่งองุ่นพันธุ์ “Sangiovese” (ซานโจเวเซ่) นี้เองถือว่ามีชื่อเสียงที่สุด และมีการปลูกมากที่สุดสายพันธุ์หนึ่งในอิตาลี เพราะเป็นองุ่นสายพันธุ์ท้องถิ่นดั้งเดิม ซึ่งมีการนำไปทำ Chianti Wineในระดับ DOCG และ DOC จึงนับเป็นไวน์ Top Class ตามมาตรฐานอิตาลี

รสสัมผัสของไวน์แดงตัวนี้ต้องบอกเลยว่า ใครไม่ได้ชิมจะเสียใจ  เริ่มตั้งแต่น้ำไวน์สีทับทิมเข้มข้นชวนให้หลงเสน่ห์ บวกกับมีกลิ่นผลไม้จำพวก Black Berry ชัดเจน และมีกลิ่นยาสูบ (Tobacco) เจือเข้ามานิดๆ พอให้เย้ายวน อันเป็นคุณสมบัติของไวน์แดง Full Body ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ไม่หนักเกินไป Tannin (รสฝาด) ไม่แรงจัด ละมุนลิ้น มีความหวานต่ำ (Low Sweetness) และความเป็นกรดหรือรสเปรี้ยวต่ำ (Low Acidity) ทำให้โครงสร้างโดยรวมของไวน์ตัวนี้มีความ Balance ดี เมื่อรับประทานกับ Beef Agnolotti ที่มีแป้งและชีส จึงไม่ทำให้รู้สึกเลี่ยนเลย ยิ่งรับประทานก็ยิ่งเพลินChef Gaetano มาฝนเห็ด Black Truffle on top ในเมนู Homemade Beef Agnolotti ให้เรารับประทานถึงโต๊ะ
คอร์สที่ 5 พระเอกของเรา ซึ่งถือเป็น Main Course หนักแน่นที่สุดในวันนี้ คือ “Lamb Shop marinated with Coffee” หรือ “ซี่โครงแกะหมักกาแฟ” การนำเนื้อแกะไปหมักกาแฟ ก็เพื่อลดความฝาดและกลิ่นของเนื้อแกะลง จากนั้นนำไปซูวี (Sous Vide)ให้เนื้อแกะสุกปานกลาง (Medium) ราดด้วยราสเบอร์รี่ซอส ผสมแองโชวี่ (Anchovy) รับประทานคู่กับเครื่องเคียงคือ อาร์ติโชค (Artichoke) นึ่ง เพื่อตัดเลี่ยนเนื้อแกะ ขอบอกว่าหัวอาร์ติโชคนี้มีประโยชน์มากต่อร่างกาย ช่วยบำรุงหัวใจ ลดไขมัน ลดคอเลสเตอรอล และป้องกันตับแข็งได้อีกต่างหาก  เนื้อแกะในจานปรุงมา 2 แบบ คือแบบอัดเป็นก้อน โดยแล่เนื้อซี่โครงบางส่วนออกมาอัดรวมกัน ส่วนเนื้อที่ยังติดซี่โครงอยู่จะมีการนวด หมักกาแฟ และซูวีให้สุกปานกลาง จึงมีความนุ่มละมุน เคี้ยวง่ายกว่าแบบก้อน เรียกว่าจานเดียวได้รสสัมผัสของ texture สองแบบเลย
แน่นอนว่าไวน์แดงที่เหมาะสุดๆ สำหรับเมนูเนื้อแกะแบบนี้ก็คือ TERRE DI MARE Arrigoni IL TOSCO Sangiovese ปี 2014  ผลิตจากภาคกลางอันมีอากาศอบอุ่นของอิตาลี ในบริเวณ แคว้นทัสคานี (Tuscany) หรือ Toscana  ไวน์ตัวนี้ผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ Sangiovese อันมีชื่อเสียง เป็นไวน์ Single Variety หรือใช้องุ่นสายพันธุ์เดียวผลิต บริเวณที่ผลิตชื่อหมู่บ้านซานจีมิญญาโน (San Gimignano) ลักษณะเป็นเนินเขาที่ไม่สูงนัก อากาศอุ่น แดดดี จึงผลิตไวน์แดงชั้นเลิศได้ แม้จะเป็นไวน์แดง Full Body แต่มีข้อดีคือปริมาณแอลกอฮอล์ไม่สูงเกินไป เพียง 12.50% เท่านั้น จึงไม่ทำให้รู้สึกมึนเร็ว ดื่มคู่กับอาหารจำพวกเสต็กเนื้อ และอาหารที่มีเครื่องเทศจัดจ้านได้เข้าคู่กันดี ไวน์ตัวนี้มีสีแดงทับทิมข้น กลิ่นหอมชื่นใจจากการบ่มหมักในถังไม้โอ๊คเป็นเวลานาน จิบแล้วให้ความรู้สึกนุ่มลึก รสชาติไม่ซับซ้อนเกินไป นักดื่มทั้งหน้าใหม่หน้าเก่าเข้าถึงรสชาติได้ง่าย อีกอย่างคือมีความฝาด (Tannin) ไม่มากเกินไป จัดอยู่ในระดับ Medium-High เมื่อดื่มแล้ว ยังทิ้งรสชาติความหอมหวาน และกลิ่นชวนฝันไว้ในปากอย่างยาวนาน
สำหรับคนที่ไม่ชอบรับประทานเนื้อแกะ ก็มีตัวเลือกให้ คือ “Poached Cod Fish” หรือ “ปลาคอตลวก ในซอสเนยเหลวสมุนไพร” ปรุงโดย เชฟเกศิณี นอกจากการเลือกใช้เนื้อปลาคอตคุณภาพสูงแล้ว สิ่งที่ช่วยชูรสชาติอาหารจานนี้ได้ยอดเยี่ยม คือซอสเนยเหลวที่มีสมุนไพรอิตาเลียนบดผสมเพิ่มความหอม เนื้อปลาคงความนุ่มหวานเป็นธรรมชาติ จากการเซียร์ หรือนาบบนกระทะร้อนๆ อย่างรวดเร็ว นับเป็นเมนูสุขภาพเลิศรสที่ห้ามพลาด
เดินทางมาถึงคอร์สที่ 6  เมนูสุดท้ายป็นของหวานหน้าตาน่ารัก สีสันสดใส ชื่อ “Pear Creamux” หรือ “แพร์ครีมมูส” ช่วยล้างปากดับคาวจากอาหารจานหลักทั้งหมด ทำให้รู้สึกสดชื่น ไม่แน่นท้อง และน้ำตาลจากของหวานจะช่วยในการเผาผลาญอาหารต่อไปได้อย่างดี ตัวขนมที่ทำเป็นลูกแพร์สีเขียวตรงกลาง เมื่อผ่าออกจะพบครีมมูสสีขาวนุ่มหวาน รับประทานอร่อย รองด้วยถั่วพิตาชิโอ้บดผง และมีลาเวนเดอร์ครีมมูสลูกกลมๆ สีม่วงวางประดับเป็นเครื่องเคียงไม่ให้ลูกแพร์เหงา แถมยังมีขนมเมอร์แรงสีขาวรูปดาวแฉก ไว้ให้เคี้ยวเล่นอีกด้วย

สำหรับไวน์ที่เข้าคู่กับ Pear Creamux ได้ดีสุดๆ ต้องยกให้ Arrigoni SANTITA’ Vino Liquoroso LE MADIE ซึ่งเป็น Dessert Wine (ไวน์หวาน) ที่มีคาแรคเตอร์พิเศษ เพราะนอกจากจะมีระดับแอลกอฮอล์สูงปรี๊ดถึง 16% แล้ว ยังใช้องุ่นพื้นเมืองถึง 3 สายพันธุ์ Blend เข้าด้วยกันได้ยอดเยี่ยม คือ Trebbiano, Malvasia และ Catarratto บอดี้ของไวน์หนักแน่น รสสัมผัสนุ่มลึก กลิ่นหอมหวานแรง อมรสเปรี้ยวเล็กน้อย ระดับความหวานค่อนข้างสูง (High Sweetness) และเวลาดื่มจะรู้สึกมีกลิ่นแอลกอฮอล์ตีขึ้นจมูกอย่างชัดเจน ถ้าใครดื่มเพียวๆ ไม่ไหว แนะนำให้ผสมน้ำลงไปเล็กน้อย สัดส่วน ไวน์หวาน 1 ส่วน : น้ำเปล่า 2 ส่วน แล้วเขย่าให้เข้ากัน ก็จะดื่มได้ง่ายขึ้น ถือว่าไม่ผิดธรรมเนียม

เสน่ห์อีกอย่างของไวน์ตัวนี้คือมีกลิ่นเฉพาะของถั่วฮาเซลนัต, อัลมอนด์ และโกโก้ บวกกับ น้ำไวน์สีทองอำพัน (Amber Gold) คือคาแรคเตอร์ที่ทำให้เราจดจำได้ไม่ลืมเลือนขนม Biscotti ของ Cafe’ Buongiorno เป็นขนมแป้งอบกรอบร่วน หอมหวานกำลังดี สามารถใช้จิ้มกับ Dessert Wine รับประทานได้ในแบบอิตาเลียนแท้ๆ ใช้เป็นตัวจบมื้ออาหารสนุกๆ ได้เช่นกันMr.Sam Chia (Hotel Manager, The St.Regis Bangkok) และ Mr.Anupam Banerjee (FB Director, The St.Regis Bangkok) พร้อมต้อนรับแขกทุกท่าน
เชฟเกตาโน่ (Gaetano Palumbo) และ เชฟแก้ว เกศิณี ดำรงสกุล
สนใจชิมและสั่งซื้อไวน์อิตาเลียนชั้นเลิศ ติดต่อ Cafe’ Buongiorno Tel. 06-2494-1649 (คุณพิม)

For more Informations & Reservation : The St.Regis Bangkok Hotel, VIU Restaurant 12 floor / Tel. 0-2207-7813, 0-2207-7777

AMICI NIGHT 3,800/person, add 1,400/person for Wine Paring

สธทท. ประชุมสัญจร 2565 ผลักดันนครปฐม “เมืองหลวงแห่งคาเฟ่”

เมื่อวันที่ 5-6 ตุลาคม 2565 สมาคมส่งเสริมธุริกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) หรือ TTPA ได้จัดประชุมสัญจร พร้อมสำรวจแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดนครปฐม เพื่อประชุมสรุปรายงานการทำงานในปีที่ผ่านมา พร้อมขับเคลื่อนนโยบายปีงบประมาณ 2566ให้สมาชิกพบปะผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยว โดยลงพื้นที่สำรวจสินค้าและบริการ นำองค์ความรู้ต่างๆ ไปแนะนำ ส่งเสริม พัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ให้ผู้ประกอบการทำการท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืน และกระจายรายได้สู่จังหวัดนครปฐม ด้วยแนวคิดใหม่ “นครปฐมเมืองหลวงแห่งคาเฟ่” เพราะในจังหวัดนครปฐมมีคาเฟ่อยู่กว่า 300-400 แห่งในการประชุมสัญจรครั้งนี้ ณ ฟ้าใส รีสอร์ท จังหวัดนครปฐม มี คุณอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) เป็นประธาน พร้อมด้วย คุณกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย, คุณปิยพัชร์ วงศ์โดยหวัง ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานราชบุรี, นายประสิทธิ์ ปิ่มบุญ ผู้อำนวยการสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดนครปฐม, คุณวรินทร ทองพูน ประธานที่ปรึกษาสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย, คุณศุภสินี ชื่นคำ ประธานชมรมคาเฟ่และร้านอาหารเพื่อการท่องเที่ยวจังหวัดนครปฐม ร่วมพบปะพูดคุยอย่างอบอุ่นด้วยระยะทางใกล้กรุงเทพฯ ประกอบกับมีถนนหนทางสะดวกต่อการเดินทางระยะสั้นๆ ทำให้นครปฐมเกิดมีคาเฟ่และร้านอาหารอยู่มากกว่า 300-400 แห่ง อย่างที่ DOD Cafe & Bistro อำเภอสามพราน เป็นคาเฟ่เก๋ไก๋ ที่เนรมิตขึ้นด้วยสถาปัตยกรรม Modern ผสานการจัดแต่งสวนอย่างเป็นธรรมชาติ คล้ายการเสิร์ฟวิวป่าฝนเขตร้อน เคล้ากาแฟและอาหารอร่อยๆ มากมายLandmark ซุ้มประตูสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ และบรรยากาศร้านกาแฟในป่าฝนเขตร้อนอันชุ่มฉ่ำเย็นตาเย็นใจของ DOD Cafe & Bistroกาแฟอร่อยๆ หอมกรุ่น คั่วหลายเกรดมีให้ดื่มด่ำกันที่ DOD Cafe & Bistroไก่อบโอ่งสูตรพิเศษเนื้อนุ่มหนังกรอบของ DOD Cafe & Bistroบรรยากาศน่านั่งพักผ่อนในวันสบายๆ บนชั้น 2 ของ DOD Cafe & Bistro
DOD Cafe & Bistro อำเภอสามพราน เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลาประมาณ 08.00-19.00 น. โทร. 08-7327-9983ร้าน Bubble in the Forest อำเภอสามพราน เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ยอดนิยมของจังหวัดนครปฐม เด่นด้วยการจัดแลนด์สเคปแบบซุ้มที่นั่งรอบทะเลสาบจำลองสีเขียวอมฟ้าเทอร์ควอยต์ คล้ายยกทะเลมันดีฟส์มาไว้ที่นี่Bubble in the Forest อำเภอสามพรานเครื่องดื่มหลากหลาย เสิร์ฟพร้อมวิวทะเลสาบสีเทอร์ควอยต์สวยๆ ที่ Bubble in the Forest
อาหารอร่อยหน้าตาดูดีที่ Bubble in the Forest

ร้าน Bubble in the Forest อำเภอสามพราน เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-21.00 น. โทร. 06-5727-6888 ร้าน Chill@Donwai อำเภอสามพราน ร้านค่าเฟ่บรรยากาศดีน่ารักน่านั่ง อยู่ติดแม่น้ำท่าจีน (แม่น้ำนครชัยศรี) เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00-20.00 น. โทร. 09-9296-2886
เครื่องดื่ม ขนม และอาหารหลากหลายที่ Chill@Donwai โดยเฉพาะปาท่องโก๋ทอดหน้าหมู (ภาพกลาง)
อาหาร Signature ของ ร้าน Chill@Donwai อย่างหนึ่งที่ห้ามพลาด คือ ยำเนื้อมะพร้าวอ่อน โดยนำมะพร้าวที่มีมากในท้องถิ่นมารังสรรค์เป็นเมนูแสนอร่อยร้าน Chill@Donwaiในการประชุมสัญจรครั้งนี้ ยังมีการเข้าร่วมกิจกรรม Table Top Sale ของชมรมคาเฟ่และร้านอาหารเพื่อการท่องเที่ยว จังหวัดนครปฐม ซึ่งเพิ่งจัดตั้งขึ้นเพียง 4 เดือนเท่านั้น ทว่ามีศักยภาพสูง ปัจจุบันมีสมาชิกเริ่มต้นประมาณ 30 ราย กิจกรรมนี้จัดขึ้นที่ฟ้าใส รีสอร์ท เพื่อให้ผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจนำเที่ยว และหน่วยงานด้านท่องเที่ยวต่างๆ พบปะแลกเปลี่ยนพูดคุย ผสานประโยชน์ความร่วมมือกัน มีกิจกรรม B2B ต่อยอดทั้งด้าน Demand Side และ Supply Side ภายใต้แนวคิด “นครปฐมเมืองหลวงแห่งคาเฟ่”
การประชุมสัญจร ณ ฟ้าใส รีสอร์ท ของสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) ระหว่างวันที่ 5-6 ตุลาคม 2556 ในการประชุมครั้งนี้ คุณกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจกท่องเที่ยวไทย กล่าวว่า “การมาประชุมสัญจร พร้อมสำรวจพื้นที่ท่องเที่ยว ณ ฟ้าใส รีสอร์ท จังหวัดนครปฐม เราได้มาสรุปผลงานที่ผ่านมาว่าเราทำอะไรไปบ้างแล้ว และจะทำอะไรต่อไปในปีหน้า ที่ดำเนินการไปแล้ว เช่น โครงการนำร่อง “หรอยแรง แหล่งใต้ บินตรงเบตง” กับสายการบินนกแอร์ นำนักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ กว่า 2,000 คน และจะทำโครงการดังกล่าวต่อไปร่วมกับสายการบินบางกอกแอร์เวย์ ส่วนกิจกรรมในภูมิภาคทั่วประเทศ ก็ได้มอบหมายให้รองประธานภูมิภาคทุกภาคนำไปขับเคลื่อน เช่น “โครงการเที่ยวไทย 5 ภาค กับ สธทท.” ภาคตะวันออกมีโครงการ “More Fun Feel Fin” นอกจากนี้ท่านเลขาธิการ สธทท. ยังได้ทำโครงการ “รถทัวร์เที่ยวไทย” พานักท่องเที่ยวเดินทางด้วยรถทัวร์ที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน และในปีงบประมาณ 2566 เราได้ของบประมาณไปทางรัฐบาล 98 ล้านบาท กับการนำนักท่องเที่ยวเดินทางทั่วประเทศ 100,000 คน”คุณอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย  กล่าวเปิดการประชุมสัญจร ณ ฟ้าใส รีสอร์ท จังหวัดนครปฐม
คุณปิยพัชร์ วงศ์โดยหวัง ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานราชบุรี (ดูแลจังหวัดนครปฐม) กล่าว่า “ในปีงบประมาณ 2566 นี้ เรามีโครงการ 6 โครงการ เน้นสร้าง 4 พลังบวก คือ พลังบวกด้านสายศรัทธา เที่ยวัดกราบพระเจิอาจารย์ชื่อดัง, พลังบวกด้านสุขภาพกายและอาหาร เนื่องด้วยจังหวัดนครปฐมมีคาเฟ่อยู่กว่า 300-400 ร้าน, พลังบวกด้านชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรอินทรีย์ และสุดท้ายคือ พลังบวกด้านธรรมชาติ เช่น ที่อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี นอกจากนี้จะเน้นส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยคอนเซปต์ “ล้อรางเรือ” ในจังหวัดนครปฐม ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินทางแบบไปกลับจำนวนมาก ส่วนใหญ่ขับรถยนต์มาเอง (ล้อ) เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดบนที่มีคุณภาพ และผลักดันแนวคิด “นครปฐมเมืองหลวงแห่งคาเฟ่” ก็จะยิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ดียิ่งขึ้น ส่วนการเดินทางด้วยรถไฟ (ราง) ก็มีวิ่งมาทุกวัน วันละ 5-6 รอบ จะลงที่สถานีสุดปลายทางนครปฐม หรือลงที่สถานีงิ้วราย เพื่อลงเรือเที่ยวแม่น้ำนครชัยศรี (แม่น้ำท่าจีน) ต่อก็ได้ มีเส้นทางล่องเรือเที่ยวต่อไปตลาดดอนหวายในระยะทางไม่ไกล”คุณประสิทธิ์ ปิ่มบุญ ผู้อำนวยการสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดนครปฐม กล่าวว่า “ในปีหน้าสำนักงานฯ มีงบประมาณ 10 กว่าล้านบาท ที่จะพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดนครปฐม โดยสิ่งที่เราทำอย่างหนึ่ง คือการพัฒนาบุคลากรด้านท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังจะสร้างมาตรฐานการท่องเที่ยว ยกระดับสินค้าและบริการ เราได้ดำเนินงานร่วมกับ ททท. ในหลายเรื่องของ SHA และ SHA Plus ด้วย เราจะเติมเต็มในด้าน Sport Tourism เพราะนครปฐมมีสนามกอล์ฟที่ได้มาตรฐานหลายแห่ง  และอีกเรื่องที่จะเน้นส่งเสริม คือการท่องเที่ยวชุมชน เพราะมีตลาดเก่าตลาดโบราณอยู่มากมาย”
ในการประชุมสัญจรครั้งนี้ที่ปรึกษาด้านต่างๆ ของสมาคม สธทท. ได้ผลัดกันขึ้นมาปาฐกฐาพิเศษ ให้ความรู้ด้านการท่องเที่ยวกันอย่างเต็มที่ อาทิ คุณมานิตย์ บุญฉิม ที่ปรึกษาด้านการตลาด นำเสนอ ทิศทางการท่องเที่ยวในประเทศหลังวิกฤตโควิต 2019, ดร.สุเทพ อารมณ์รักษ์ ประธานฝ่ายส่งเสริมการท่องเที่ยวภาคกลาง นำเสนอเรื่อง โครงการเที่ยวไทย 5 ภาคกับ สธทท., คุณพูลผล แพทอง ที่ปรึกษาด้านสื่อสารองค์กร นำเสนอ โครงการ More Fun Feel Fin ภาคตะวันออก 2565 และ คุณสิรินดา เอกเสถียร นำเสนอโครงการรถทัวร์เที่ยวไทย เป็นต้น นอกจากคาเฟ่ที่มีอยู่กว่า 300-400 แห่งแล้ว จังหวัดนครปฐมยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจให้สัมผัสอีกหลายแห่ง อาทิ The Salaya Leisure Park ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล รวบรวมที่พัก สปาเพื่อสุขภาพ พร้อมแหล่งเรียนรู้ แบ่งเป็น 4 โซน คือ วาริมันตราโซน (Vari Mantra), โซน Fresh Club สำหรับจัดงานอีเว้นท์ (Events by Fresh Club), โซนความบันเทิงยามค่ำคืน (Night Life) และโซนการเรียนรู้ (Education) เน้นความเป็นไทย ผสานความโมเดิร์นได้อย่างลงตัว
โซนการเรียนรู้ศิลปการทำหัวโขนของไทยที่ The Salaya Leisure Parkโซนความบันเทิงการแสดงแสงสีเสียง และนาฏลีลาร่วมสมัย The Salaya Leisure Park เรื่องรามเกียรติ์ ตอนหนุมานจับนางสุพรรณมัจฉานางสุพรรณมัจฉา The Salaya Leisure Park นครปฐมเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูง เพราะสามารถเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงได้ในแบบ “ล้อรางเรือ” จากกรุงเทพฯ สามารถขับรถยนต์มาเอง หรือนั่งรถไฟมาลงที่สถานีรถไฟงิ้วราย เดินทางสู่ “วัดงิ้วราย” อำเภอนครชัยศรี เพื่อลงเรือล่องท่องเที่ยวแม่น้ำนครชัยศรี (แม่น้ำท่าจีน) ได้อย่างง่ายดาย สัมผัสวิวธรรมชาติสวยๆ สูดอากาศบริสุทธิ์ และเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชนริมน้ำในแบบ Slow Life
จากท่าเรือวัดงิ้วราย ฝั่งตรงข้ามเป็นซุ้มประตูขนาดมหึมาของ โรงเจเปาเก็งเต็ก
รับฟังเรื่องราวย้อนอดีตของเรือโดยสารขึ้นล่องไปบางกอก จากท่าเรือวัดงิ้วราย ต้องใช้เวลาเดินทางถึงหนึ่งคืนเต็มๆสัมผัสบรรยากาศเย็นสบายวิวสวยๆ ของแม่น้ำนครชัยศรีเรือนไทยริมน้ำนครชัยศรีชุมชนเรือนไทยริมน้ำนครชัยศรีพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งของ เจษฎา เทคนิค มิวเซียม  ริมแม่น้ำนครชัยศรีเจษฎา เทคนิค มิวเซียม (JESADA Technic Museum) โฉมใหม่ริมแม่น้ำนครชัยศรี จัดแสดงรถและเครื่องบินโบราณย้อนยุค“สะพานเสาวภา” สะพานรถไฟสายใต้ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ข้ามแม่น้ำนครชัยศรี  ช่วงใกล้วัดสัมปทวน ปัจจุบันยังใช้งานได้ดีมองน้ำคาเฟ่  หนึ่งในคาเฟ่ริมน้ำน่านั่งบรรยากาศสุดชิลริมแม่น้ำนครชัยศรี ใครจะมากินอาหารร้านนี้ต้องจอดรถไว้ที่วัดสัมปทวน แล้วลงเรือรับส่งของทางร้านมาเท่านั้น
สถาปัตยกรรมย้อนยุคสวยงามน่ามอง  ของอาคารไม้ริมแม่น้ำนครชัยศรีเรือนไทยทรงคุณค่าบริเวณปากคลองมหาสวัสดิ์ บรรจบกับแม่น้ำนครชัยศรี  ลำคลองสายนี้เองที่สามารถล่องเรือต่อไปถึงสถานีรถไฟธนบุรีและบางกอกได้ศาลเจ้าจีนริมแม่น้ำนครชัยศรีใกล้ปากคลองมหาสวัสดิ์  เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งคนแถวนี้ให้ความเคารพสักการะมาหลายชั่วอายุคนสนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) หรือ Thai Tourism Promotion Association (TTPA) โทร. 08-6397-8788

ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย (ตอน 2)

สระบุรี 2 เที่ยวกันต่อในตอนที่ 2 กับแคมเปญเก๋ไก๋สไตล์ลึกซึ้ง ‘ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย’ ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพระนครศรีอยุธยา ซึ่งดูแลมาถึงพื้นที่จังหวัดสระบุรีด้วย

หลังจากเราได้ไปดูแลสุขภาพกายกันที่ Wellness Care และดูแลสุขภาพใจ กับการล่องเรือไหว้พระในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแล้ว ก็ถึงคิวเปลี่ยนบรรยากาศมายังสระบุรี เมืองแห่งขุนเขาและธรรมชาติ ซึ่งจะทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกสดชื่นสุดๆสระบุรี 3มาเติมความสุขให้ชีวิตกันที่ ‘สวนบิ๊กเต้’ อำเภอมวกเหล็ก ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสวนดอกเบญจมาศที่มีพื้นที่กว้างขวางที่สุดในเมืองไทยเลยทีเดียว เนื่องจากในพื้นที่ 100 ไร่ ของเขา จะมีดอกเบญจมาศผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเบ่งบานให้ชมตลอดปี โดยในครั้งแรกนั้นสวนแห่งนี้ไม่ได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว ทว่าปลูกเพื่อตัดดอกส่งขายในตลาดทั่วประเทศ โดยเฉพาะตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ปากคลองตลาด ฯลฯ กระทั่งเริ่มหันมาทำท่องเที่ยว เชื้อเชิญผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมความสวยงาม ได้ถ่ายภาพกับดอกไม้อันแสนสวยหลากสีหลายสายพันธุ์ สระบุรี 4น่าตื่นตาตื่นใจกับความละลานตาของดอกเบญจมาศหลายสิบชนิด ทั้งสีเหลือง ขาว ส้ม ชมพู และสีไล่โทน ดอกเล็กบ้างใหญ่บ้าง สร้างความสดชื่นเหมือนสวนสวรรค์ ค่าเข้าชมก็ถูกแสนถูก เพียงคนละ 20 บาทเท่านั้นสระบุรี 5เดินชมแปลงดอกเบญจมาศไปเพลินๆ ถ้าอยากเก็บความงามนี้ไปชื่นชมที่บ้านก็ไม่มีปัญหา เพียงเรียกคนดูแลสวนมาช่วยตัดจัดเข้าช่อให้ ต้นละ 20 บาทสระบุรี 6ยิ้มสดใสในวันสดชื่น ท่ามกลางความงามของมวลพฤกษชาติที่สวนบิ๊กเต้ (บอกไม่ถูกเลยว่า คนกับดอกไม้ใครงามกว่ากัน ฮาฮาฮา)สระบุรี 7ชมกันใกล้ๆ กับดอกเบญจมาศสีชมพูสดในสไตล์ Shocking Pink เหมาะนำไปทำเป็นไม้ประดับ ปักแจกันเพิ่มชีวิตชีวาให้บ้าน หรือจะมอบเป็นของขวัญให้กันก็สุขทั้งผู้ให้และผู้รับสระบุรี 8.1สวนเบญจมาศบิ๊กเต้ เกิดจากกลุ่มคนที่ต้องการหลีกหนีวิถีเมือง หันกลับมาทำวิถีเกษตรพอเพียงตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เคยตรัสไว้ว่า เมืองไทยเป็นเมืองเกษตร ไม่ใช่เมืองอุตสาหกรรม การหวนคืนสู่วิถีเกษตรจึงเป็นทางเลือกอันยั่งยืนให้ชีวิตบนแผ่นดินทองนี้สระบุรี 8.2นอกจากการเดินชมแปลงดอกเบญจมาศแสนงามแล้ว คนที่รักการออกกำลังกาย สูดอากาศบริสุทธิ์ ยังสามารถเข้ามาปั่นจักรยานชมธรรมชาติได้ด้วยสระบุรี 8ดอกเบญจมาศขนาดใหญ่กว่าครึ่งฟุต กลีบซ้อนกันหลายชั้นอย่างวิจิตรสระบุรี 9 สระบุรี 10เบญจมาศดอกเล็กสีชมพูหวานซึ้ง หนึ่งในสายพันธุ์ที่ปลูกมากในสวนบิ๊กเต้สระบุรี 11สระบุรี 12 สระบุรี 13โมงยามแห่งความสุข กับการถ่ายภาพเซลฟี่กลางแปลงดอกเบญจมาศ สวนบิ๊กเต้ เอาไปอวดเพื่อนๆสระบุรี 14 สระบุรี 15เดินทางเก็บเกี่ยวความสุขทางใจกันต่อ เรายังคงอยู่ในอำเภอมวกเหล็ก ที่ ‘สวนองุ่นสิริวัฒน์’ สวนองุ่นที่มีชื่อเสียงของคุณสุรชัย ธมะสุข ทนายความที่ผันชีวิตมาทำวิถีเกษตรพอเพียงตามคำสอนของในหลวง รัชกาลที่ 9 จนประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง ภายในที่ดิน 20 ไร่ มีการปลูกไม้ผลผสมกันหลายชนิด ทั้งองุ่นพันธุ์ต่างๆ มะม่วง มะละกอ ส้มโอ ส้มจี๊ด ฯลฯ จนวันนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ใครๆ ก็รู้จักสระบุรี 16ที่ถือว่าโดดเด่นทำชื่อเสียงให้สวนสิริวัฒน์มากที่สุดคือ องุ่น ไงล่ะจ๊ะ ไม่ว่าจะเป็นองุ่นกินผลสด หรือองุ่นที่นำไปทำไวน์ได้ อย่าง พันธุ์แบล็ก โอปอล (Black Opal) หรือองุ่นไร้เมล็ดที่นิยมรับประทานสด, พันธุ์แบล็กควีน (Black Queen) ราชินีดำ และ พันธุ์ชีราส (Syrah หรือ Shiraz) ซึ่งนำไปทำไวน์โดยเฉพาะ เป็นต้น

สระบุรี 17เดินเที่ยวชมสวนองุ่นอย่างมีความสุข (แต่เก็บกินจากต้นไม่ได้นะจ๊ะ) ถ่ายภาพและชื่นชมพวงองุ่นสีสดใส สลับสีเข้มเมื่อแก่จัดพร้อมเก็บสระบุรี 18องุ่นพันธุ์ Black Opal หรือองุ่นไร้เมล็ด กำลังสุกได้ที่ พร้อมเก็บไปให้ชิมกันแล้วล่ะสระบุรี 19พวงองุ่นสีสวย น่ากินจังเลยเนอะสระบุรี 20นอกจากมีผลองุ่นสดให้ชิมแล้ว สวนองุ่นสิริวัฒน์ยังมีแปลงพืชผลนานาชนิดให้ศึกษาวิถีเกษตรพอเพียง และมีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลไม้อุดมคุณค่าให้ซื้อหากลับไปเป็นของฝากด้วย ทั้งแยมมัลเบอร์รี่ (ลูกหม่อน) แยมมะม่วง และแยมเสาวรส ฯลฯสระบุรี 21ยิ่งเดินทางไปบนเส้นทางนี้ เรื่องราวก็ยิ่งเข้มข้นปนความสนุก เมื่อได้มาเยือน ‘องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อสค.)’ อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี หรือที่คนทั่วไปเรียกกันติดปากว่า ‘ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก’ นั่นเอง ผมยังจำได้เลยว่าตั้งแต่เกิดมาก็เห็นนมยี่ห้อนี้แล้ว ยังไม่เคยลืมกับโลโก้แม่วัวลูกวัวสีแดงที่ข้างกล่องนม ซึ่งแม่ให้ผมดื่มตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนทุกวัน
สระบุรี 22วันนี้ได้มาเยือนถึงฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก ต้นตำรับของแท้ รู้สึกตื่นเต้นมากๆสระบุรี 23ก่อนเข้าไปชมกิจกรรมภายใน อสค. ด้านหน้าติดถนนใหญ่เขามีร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมชนิดต่างๆ ทั้งนมกล่องและนมขวด โดยเฉพาะ นม Organic Good Morning ที่ดีต่อสุขภาพสระบุรี 24วันฟ้าสวยแดดใส ได้เวลาชวนกันขึ้นรถพ่วงเข้าชมกิจกรรมของฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก แล้ว โดยมีพี่แตน วิทยากรใจดีซึ่งทำงานอยู่ที่นี่มากว่า 30 ปี เป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้อย่างหมดเปลือกสระบุรี 25ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย ตะลุยฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก อำเภอมวกเหล็ก สระบุรีสระบุรี 26รถพ่วงแล่นมาจอด ณ ฐานเรียนรู้จุดแรก เป็นการตรวจนม เอ้ย… ตรวจคุณภาพนมวัวที่เกษตรกรนำมาส่งให้ อสค. เราเห็นรูปปั้นวัวแม่ลูกสีแดงยืนอยู่บนสนามหญ้า ก็เลยสงสัย พี่วิทยากรใจดีจึงอธิบายให้ฟังว่า สัญลักษณ์ขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย ที่ต้องเป็นวัวนมแม่ลูกสีแดง เพราะวัวสายพันธุ์แรกที่ประเทศเดนมาร์กมอบให้เรามาก็คือ วัวพันธุ์เรดเดน (Red Dane) หรือ Danish Red หรือ Red Danish แล้วแต่จะเรียก โดยวัวนมพันธุ์นี้มีต้นกำเนิดในประเทศเดนมาร์ก มีขนสีน้ำตาลแดงตลอดตัว และใช้เป็นวัวนมสายพันธุ์หลักของเดนมาร์กมาตลอด
สระบุรี 27ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระราชทานกิจการโคนมแห่งชาตินี้ ไว้ให้ปวงชนชาวไทย เมื่อปี พ.ศ. 2505 ด้วยทรงตั้งพระประสงค์ให้ชาวไทยมีน้ำนมบริโภคโดยทั่วกัน เพื่อสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์สระบุรี 28ณ ฐานตรวจคุณภาพนมโค วิทยากรผู้เชี่ยวชาญได้สาธิตวิธีการ ขั้นตอนต่างๆ ให้เราดูอย่างละเอียดสระบุรี 29แนวคิดทฤษฎีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ คือสิ่งที่ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก นำมาประยุกต์ใช้จนถึงปัจจุบัน ดังที่ปรากฏชัดเจนบนกระดานดำในฐานเรียนรู้นี้สระบุรี 30รถพ่วงของเราแล่นต่อมาจนถึงส่วนที่เป็นหัวใจของ อสค. คือ โรงเรือนเลี้ยงโคนม ทั้งพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์หลายร้อยตัว อาคารโรงเรือนเลี้ยงโคนมที่เห็นหลังคาสีแดงนี้คือโรงเรือนดั้งเดิมแท้ๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 ครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เสด็จมาเป็นองค์ประทานเปิด เราจึงรู้สึกปลื้มมากๆ ที่ได้ก้าวตามรอยพ่อมาในวันนี้สระบุรี 31ด้านหน้าโรงเรือนเลี้ยงวัวนม มีแผ่นศิลาจารึกข้อตกลงความร่วมมือในกิจการโคนม ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเจ้าเฟรดเดอริคที่ 9 กษัตริย์แห่งเดนมาร์ก เมื่อปี พ.ศ. 2505 ที่ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้เกี่ยวกับกิจการโคนมให้ชาวไทยสระบุรี 32 สระบุรี 33 สระบุรี 34หากจะย้อนอดีตกลับไปเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2503 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรา ได้ทรงเสด็จไปยังประเทศเดนมาร์ก ทรงสนพระทัยกิจการเลี้ยงโคนมของชาวเดนมาร์กเป็นอย่างมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ด้านการเลี้ยงโคนมระหว่างไทยและเดนมาร์ก กระทั่งวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2505 ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์กแห่งนี้ จึงเปิดตัวขึ้นอย่างเป็นทางการ นับเป็นฟาร์มโคนมทันสมัยแห่งแรกของเมืองไทย

สระบุรี 35คอกเลี้ยงพ่อพันธุ์วัวนมตัวใหญ่เบ้อเริ่ม!สระบุรี 36 สระบุรี 37.1แม่โคนมพันธุ์ดีที่พร้อมอยู่ในคอกรีดนมแล้วจ้า นักท่องเที่ยวคนไหนพร้อมก็เตรียมตัวมารีดนมสดๆ อุ่นๆ จากเต้ากันได้เลยสระบุรี 37ป้อนนมลูกวัวน่ารักๆ เป็นกิจกรรมสนุกๆ ที่ห้ามพลาดของฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก พวกมันจะได้โตวันโตคืนสระบุรี 38ป้าแตนวิทยากรคนเก่ง กับผู้เชี่ยวชาญด้านการรีดนมวัวของ อสค. กำลังสาธิตวิธีการที่ถูกต้อง ก่อนนักท่องเที่ยวจะลงมือทดลองกันสระบุรี 39น้ำนมอุ่นๆ จากเต้าแม่โคพันธุ์ดี พุ่งเป็นจังหวะปรี๊ดออกมาตามการบีบเค้นอย่างมืออาชีพสระบุรี 40.1 สระบุรี 40ถัดจากจุดรีดนมและป้อนนมวัว รถพ่วงก็นำเรามาถึงเวทีแสดงการขี่ม้าตามวิธีโคบาลตะวันตก ฮาฮาฮา สาวสวยของเราขึ้นขี่ควบม้าท้าทายพี่คาวบอย ให้เพื่อนๆ ถ่ายภาพแชร์กันอย่างสนุกสนานสระบุรี 41จุดนี้เขามีโชว์หลากหลายให้ชม ทั้งการควบม้าสไตล์คาวบอยตะวันตก, การควงเชือกบ่วงบาศ, การควงมีด ควงปืน และการเต้นรำกับม้าที่ไม่มีใครเหมือนสระบุรี 42.1โพนี่ (Pony) หรือม้าแคระ เป็นม้าพันธุ์จิ๋ว ซึ่งเมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดไม่สูงใหญ่เท่าม้าพันธุ์อื่น จึงน่ารักน่าชังเหมือนม้าการ์ตูน แต่ก็ต้องระวังเข้าให้ถูกทาง อย่าไปเข้าหาม้าด้านหลัง อาจถูกม้าดีดได้!สระบุรี 42มาดสุดเท่ห์ของพี่โคบาลประจำ อสค.สระบุรี 43โชว์ขี่ม้าสไตล์คาวบอย ควบกันมันสุดเหวี่ยงจนฝุ่นตลบไปหมด!สระบุรี 44โชว์ควงแส้คาวบอย เป็นแส้ที่เมื่อเหวี่ยงไปในอากาศจะทำให้เกิดเสียงดังน่าตกใจ! เพื่อใช้ไล่ต้อนฝูงวัวให้ไปในทิศทางที่ต้องการ
สระบุรี 45ปิดท้ายกิจกรรมสนุกที่ อสค. กับการลอดบ่วงบาศเข้าไปถ่ายภาพคู่กับพี่คาวบอยสุดเท่ห์ เก๋อย่าบอกใครเชียวสระบุรี 46แหล่งท่องเที่ยวสุดท้ายในแคมเปญ ‘ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย’ ในครั้งนี้ คือ ‘วัดพระพุทธฉาย’ อำเภอเมืองสระบุรี ซึ่งมีความเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อยตามความเชื่อของคนท้องถิ่น การเที่ยวให้สุขสนุก แนะนำว่าควรไปในช่วงเช้าหรือบ่ายแก่ๆ ที่แดดไม่ร้อน เพราะบนภูเขานี้ค่อนข้างโล่ง อีกทั้งเป็นหิน เมื่อแดดจัดจ้าจะร้อนมาก การเที่ยวทำได้ 2 วิธี คือจอดรถด้านล่างวัด แล้วเดินขึ้นไปกราบเงาพระพุทธฉาย หรือวิธีที่สอง คือ ขับรถขึ้นเขา เพื่อเดินไปสักการะรอยพระพุทธบาทก่อน จากนั้นค่อยเดินลงลงไปนมัสการเงาพระพุทธฉายที่เชิงเขาสระบุรี 47เราใช้วิธีที่สอง คือให้รถขึ้นไปปล่อยตัวบนเขา แล้วค่อยๆ เดินไล่ตามจุดลงมายังเชิงเขา จุดแรกที่พบคือพระมณฑปสีขาวสะอาด ซึ่งภายในประดิษฐานรอยพระพุทธบาทอันเก่าแก่ รายล้อมด้วยต้นลั่นทม (ลีลาวดี) ดอกสีขาว มองเผินๆ วิวคล้ายที่พระนครคีรี หรือเขาวัง จังหวัดเพชรบุรีเหมือนกันเนอะ
สระบุรี 48ทัศนียภาพบนยอดเขาวัดพระพุทธฉาย มองออกไปชมวิวได้กว้างไกลสุดสายตาสระบุรี 49บนยอดเขาอันเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท ด้านนอกมณฑปมีหินรูปแผนที่ประเทศไทยให้ชมด้วย จุดนี้ช่วงกลางวันจะร้อนมาก ต้องรีบขอตัวหลบเข้าไปนมัสการรอยพระพุทธบาทโดยเร็ว!สระบุรี 50รอยพระพุทธบาทวัดพระพุทธฉาย อันสีทองที่เห็นนี้คือที่สร้างขึ้นใหม่ ส่วนของเดิมคืออันเล็กที่ปัจจุบันมีการนำแผ่นกระจกมาครอบไว้แล้ว รอยพระพุทธบาทนี้สันนิษฐานกันว่าค้นพบสมัยพระเจ้าทรงธรรม แห่งกรุงศรีอยุธยา ที่ทรงได้รับข้อความจากภิกษุชาวลังกาว่า ในแผ่นดินสุวรรณภูมิมีรอยพระพุทธบาทอยู่บนยอดเขาหลายแห่ง จึงทรงรับสั่งให้มีการค้นหาจนพบรอยพระพุทธบาทบนเขาสุวรรณบรรพตที่สระบุรีก่อน จากนั้นจึงค้นพบรอยพระพุทธบาท ณ วัดพระพุทธฉาย ในภายหลังสระบุรี 51.1เดินลงมาจากยอดเขาเพียงเล็กน้อย ก็ถึงหอพระ ซึ่งภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ ไว้มากมายสระบุรี 51ด้านหลังหอพระ งามเด่นด้วยพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรขนาดใหญ่ และพุทธศิลป์ที่ประดับตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามสระบุรี 52บรรยากาศภายในหอพระ บนเขาวัดพระพุทธฉาย สระบุรีสระบุรี 53จากหอพระเดินลงเขามาเรื่อยๆ ไม่เมื่อยขา เพราะเป็นขาลง ฮาฮาฮา ไม่เกิน 10 นาที ก็จะได้สักการะเงาพระพุทธฉายกันแล้วสระบุรี 54เงาพระพุทธฉายอันศักดิ์สิทธิ์ มีลักษณะเป็นแถบสีส้มอมแดงคล้ายพระพุทธเจ้าทรงประทับยืน เหมือนเงาขององค์ท่านทาบประทับอยู่บนหน้าผาหิน ตำนานเล่าว่าในกาลก่อนพระพุทธองค์ทรงเสด็จมา เพื่อโปรดพรานฆาฏกะ จนได้บวชเรียนสำเร็จมรรคผลในร่มบวรพุทธศาสนา ก่อนเสด็จกลับไปชมพูทวีป นายพรานได้ทูลขอสิ่งที่ระลึก พุทธองค์จึงประทานเงาพระพุทธฉาย และรอยพระพุทธบาทเบื้องขวาไว้ให้บนยอดเขานี้

ถ้าไปชมของจริง แล้วเพ่งมองดีๆ เราจะเห็นว่าเงาพระพุทธฉายมีครบทั้งส่วนเศรียรและพระวรกาย โดยในส่วนยอดสุดของพระโมลีที่เป็นเปลวรัศมี ยังมีแผ่นทองคำเปลวที่พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ทรงติดไว้เป็นพุทธบูชา ครั้งเสด็จมานมัสการเงาพระพุทธฉายด้วยพระองค์เอง

สระบุรี 55ถัดจากเงาพระพุทธฉายไปนิดเดียว ภายใต้เพิงผาหินเดียวกัน เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ ยาวหลายสิบเมตร ซึ่งสร้างขึ้นภายหลัง แต่ตรงจุดนี้ต้องระวัง เพราะมีฝูงลิงกังมาป้วนเปี้ยนวนเวียนอยู่เพียบ ใครที่สะพายข้าวของขึ้นไปด้วยจึงต้องระวังให้ดีสระบุรี 56ใกล้กับเงาพระพุทธฉาย มีจารึกพระนามาภิไธยย่อของพระมหากษัตริย์ไทย และพระบรมวงศานุวงศ์จำนวนมากที่สุดในเมืองไทยให้ชม ที่เห็นในภาพ บนสุดคือพระนามาภิไธยของในหลวงรัชกาลที่ 9 เคียงคู่อยู่กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถสระบุรี 57รอยจำหลักหินพระนามาภิไธยย่อของพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 บนเพิงผาหินใกล้ๆ กับเงาพระพุทธฉายสระบุรี 58เดินลงจากเขากลับไปที่ลานจอดรถด้านล่าง ระหว่างทางอย่าลืมแวะทักทาย ถ่ายภาพความน่ารักของครอบครัวเจ้าจ๋อลิงกัง แต่อย่าเข้าใกล้ล่ะ เพราะมันหวงลูกมากทีเดียว!สระบุรี 59วันอันแสนสุขและสนุกกับหลากเรื่องราวของสระบุรี จบลงที่รีสอร์ทแสนสวย ‘มีลา การ์เด็น รีทรีท ค็อทเทจ’ (Mela Garden Retreat Cottage) อำเภอมวกเหล็ก (โทร. 09-0428-0176) ที่พักสุดหรูแสนสะดวกสบายในสไตล์อิตาลีตะวันตก บรรยากาศแสนโรแมนติก เงียบสงบเป็นส่วนตัว และเป็นธรรมชาติสุดๆ โดยคำว่า ‘Mela’ ในภาษาอิตาลี แปลว่า ‘แอปเปิล’ นั่นเอง ภายในรีสอร์ทแห่งนี้จึงมีต้นแอปเปิลปลูกอยู่ด้วย
สระบุรี 60ห้องพักของมีลา การ์เด็น กว้างขวางใหญ่โต เหมาะสำหรับการมาพักผ่อนกันเป็นครอบครัวสระบุรี 61ห้องอาหารของมีลา การ์เด็น หรูเรียบ เด่นด้วยดีไซน์ของไม้และการจัดแสงโทนอุ่น จึงน่านั่งชิลจิบไวน์กันนานๆสระบุรี 62อาหารเช้าที่มีลา การ์เด็น คือสลัดผักแสนอร่อย รับประทานคู่กับน้ำสลัดครีม ตามมาด้วยซุปผักโขม ขนมปังโฮมเมต และเครื่องดื่มร้อนๆ ต้อนรับวันใหม่อันสดใสสระบุรี 63ทริป ‘ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย’ ของเรา ปิดฉากลงอย่างชื่นมื่น พร้อมกับรอยยิ้มของทุกคน ที่ได้ใช้เวลามาดูแลกายใจ ดูแลสุขภาพ ทำจิตใจให้มีความสุข หัดเป็นคนคิดบวก เมื่อทำได้แบบนี้แน่นอนว่าร่างกายเราจะปรับตัวสร้างภูมิคุ้มกันโรคร้ายและโชคร้ายได้เอง

เราหวังว่า เรื่องราวดีๆ จากเส้นทางแห่งสุขภาวะอยุธยา-สระบุรี จะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครบางคนที่กำลังค้นหาคำตอบให้กับตัวเองในแง่สุขภาพ ได้เดินทางตามรอย คุณอาจจะค้นพบมิติใหม่ในการดูแลสุขภาพ ไม่ใช่เพื่อตัวคุณเองเท่านั้น ทว่าเพื่อคนรอบข้างที่คุณรักด้วยLOGO TATSpecial Thanks : คุณอิสสระพงษ์ แทนศิริ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพระนครศรีอยุธยา (และดูแลพื้นที่สระบุรี) สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจสอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-3524-6076-7

ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย (ตอน 1)

อยุธยา 5ยุคนี้ใครๆ ก็พูดถึงเรื่องการรักษาสุขภาพกันทั้งนั้น เพราะปัจจุบันสภาพแวดล้อมรอบตัวเราเต็มไปด้วยมลพิษนานาชนิด การหันมาดูแลสุขภาพตัวเองจึงเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ในชีวิตเลยก็ว่าได้ ทั้งเรื่องการออกกำลังกาย การกินอาหารสุขภาพที่ปลอดสารพิษ การคิดบวกทำจิตใจให้ผ่องใสมีความสุข และอื่นๆ สรุปแล้วคือต้องดูแลทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆ กัน

ทริปนี้เลยอยากชวนเพื่อนๆ ไปเที่ยวจังหวัดพระนครอยุธยาและสระบุรี ซึ่งแม้ว่าเมื่อพูดถึงสองจังหวัดนี้ เราอาจจะเห็นภาพของเมืองประวัติศาสตร์และแหล่งธรรมชาติค่อนข้างชัดเจน แต่ขอบอกเลยว่า วันนี้เรามีมุมมองใหม่มานำเสนอ เป็นทริปสุขภาพเก๋ไก๋สไตล์ลึกซึ้งที่รับรองจะ Happy ทั้งกายใจ ในชื่อ ‘ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย’ สนับสนุนโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพระนครศรีอยุธยา
อยุธยา 2ทริปสุขภาพสำหรับสาวๆ ที่รักการดูแลกายใจ เร่ิมต้นขึ้นที่เมืองสุขภาพ ‘Wellness Care’ หรือ ‘ศูนย์ธรรมชาติบำบัดเวลเนสแคร์’ โดย ‘เวลเนส ซิตี้’ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (โทร. 08-1375-1916) จัดเป็นศูนย์การดูแลสุขภาพครบวงจรระดับโลกแห่งหนึ่งของเมืองไทย ก่อตั้งขึ้นโดยคุณหมอบุญชัย อิศราพิสิษฐ์ อดีตเจ้าของโรงพยาบาลราชธานี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ปัจจุบันศูนย์ Wellness Care เปิดให้บริการหลายโซน ทั้งโซนสุขภาพ และโซนบ้านจัดสรร โดยในครั้งแรกเปิดขึ้นเพื่อให้ผู้สูงอายุมาพักผ่อนแบบ Long Stay ก่อน เพราะมีแพทย์ พยาบาล และอุปกรณ์แพทย์คอยให้ความดูแลครบ ทว่าปัจจุบันได้เปิดคอร์สล้างพิษ ตับ-กาย-จิต, คอร์สฟื้นฟูไต และคอร์สพิชิตมะเร็ง สำหรับทุกคนที่สนใจ โดยเฉพาะสาวๆ ที่ห่วงใยสุขภาพตนเอง
อยุธยา 3สำหรับนักท่องเที่ยวที่รักสุขภาพทั่วไป การเยี่ยมชม Wellness Care ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะนอกจากจะได้รับฟังบรรยายเรื่องสุขภาพแล้ว ยังมี Workshop ให้ทดลองทำอาหารสุขภาพด้วยตัวคุณเอง จึงเป็นการสอดรับกับเทรนด์ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness & Health Tourism) ที่เติบโตขึ้นกว่า 27-30 เปอร์เซนต์ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงรักสุขภาพ ซึ่งถือเป็นกลุ่ม Women Empower ที่มีจำนวนมากอยุธยา 4.1เมนูไข่ม้วนไส้ผักปลอดสารพิษเพื่อสุขภาพ ของ Wellness Care ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้ทดลองทำและชิมฝีมือตัวเองอยุธยา 4พระเอกของเมนูสุขภาพที่ Wellness Care ก็คือ น้ำผักคลอโรฟิลด์ ที่มีส่วนผสมของผักพื้นบ้าน 6 ชนิด คือ ใบหญ้าหวาน, ใบบัวบก, ใบตำลึงหวาน, ใบหม่อน, ใบชะพลู, ใบเตยหอม (อย่างละ 50 กรัม) นำมาปั่นรวมกับน้ำต้มสุก 1 ลิตร แล้วกรองให้เหลือกากนิดๆ ดื่มก่อนอาหารเป็นประจำทุกวัน ก็จะช่วยในเรื่องของเลือดลม ลำไส้ ระบบการย่อย และผิวพรรณที่ผ่องใส รวมถึงป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้ด้วย
อยุธยา 6.1น้ำผักคลอโรฟิลด์ สูตร Wellness Care ไม่เหม็นเขียว เพราะส่วนผสมแต่ละชนิดกลมกล่อม แถมยังมีความหวานธรรมชาติจากใบหญ้าหวาน มาเพิ่มความอร่อยให้ด้วย
อยุธยา 6ดูกันชัดๆ กับพืชสมุนไพรพื้นบ้านไทยที่นำมาปั่นเป็นน้ำคลอโรฟิลด์ได้ง่ายดาย ประโยชน์สูงประหยัดสุดจริงๆอยุธยา 7เมื่อทำ Workshop เสร็จแล้ว ก็ได้เวลาเที่ยงพอดี ทว่าก่อนจะรับประทานอาหารหลัก เราควรกินพืชผักผลไม้ก่อนเพื่อให้ดูดซึมคุณค่าทางอาหารได้ดีที่สุด โดยเฉพาะผักใบเขียวและผักสีเหลืองสีแดงต่างๆ สลัดผักสุขภาพถือเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งจะทำให้เรารับประทานคาร์โบไฮเดรตในปริมาณลดลง ช่วยคุมน้ำหนัก ป้องกันโรคเบาหวานได้ดีอยุธยา 8ก่อนรับประทานอาหารหลักที่ Wellness Care เขาเสิร์ฟผักม้วนสุขภาพเรียกน้ำย่อยก่อนเลย จุ๋มจิ๋มน่ารัก อุดมคุณค่าทางอาหารจริงๆ นะอยุธยา 9พ้นจากเมนูเรียกน้ำย่อยแล้ว ก็ถึงอาหารหลักเป็นข้าวกล้องกับอาหารเมนูปลา โดยเฉพาะข้าวกล้อง หรือข้าวไม่ผ่านการขัดสี ทำให้วิตามินในเมล็ดข้าวยังคงอยู่เกือบครบ รับประทานคู่กับปลาต่างๆ เพราะเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย อีกทั้งปลาหลายชนิดยังมีน้ำมันปลาที่ช่วยบำรุงสมอง และป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันได้ดีนักแล
อยุธยา 10 อยุธยา 11พออิ่มหนำสำราญกับอาหารสุขภาพกันถ้วนหน้าแล้ว ก็ได้เวลาออกไปตระเวนชมอาณาบริเวณของ Wellness City ทั้งในส่วนของแปลงปลูกพืชผักปลอดสารพิษ ไว้ให้ผู้ที่มาพักผ่อนแบบ Long Stay รับประทาน, ชมแปลงปลูกต้นหม่อน เพื่อนำใบและผลมารับประทาน, ชมฟาร์มเลี้ยงแพะ และโซนบ้านจัดสรรที่ต้องบอกเลยว่า เป็นบ้านจัดสรรที่ปลอดภัยมาก เนื่องจากอยู่ใกล้คุณหมอและพยาบาล อุ่นใจได้เรื่องสุขภาพเนอะอยุธยา 12ผลหม่อน หรือลูกมัลเบอร์รี่ (Mulberry) ดกงาม นำมาทานสดอุดมด้วยวิตามินนับสิบชนิด อาทิ วิตามินเอ, ซี, อี, เค, วิตามิน บี 2, 3, 6, โซเดียม, เบต้า-แคโรทีน, ธาตุเหล็ก ฯลฯ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ คุมน้ำตาลในเลือด ลดคลอเรสเตอรอล บำรุงสมอง ป้องกันมะเร็ง เสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันควมดันโลหิตสูง ช่วยล้างพิษ บำรุงสายตา และช่วยให้ขับถ่ายดี โอ้โห! สุดยอดจริงๆ!อยุธยา 13มาถึงฟาร์มเลี้ยงแพะของ Wellness City ที่มีแพะอยู่นับร้อยตัว กิจกรรมสนุกๆ ที่รอให้เราไปสัมผัสคือ การป้อนนมลูกแพะแสนน่ารัก เจ้าลูกแพะหน้าตาบ้องแบ้ว ตัวขาวสะอาดกลิ่นหอม จะกรูกันเข้ามารุมล้อมเรา ขอหม่ำนม (จากแม่แพะ) ให้ชื่นใจ มีความสุขทั้งคนป้อนนมและตัวที่มาดูดนม ฮาฮาฮา นัยว่าเป็นการใช้สัตว์บำบัด ช่วยสร้างรอยยิ้มสุขในใจได้ยอดเยี่ยม ฟาร์มแห่งนี้มีการดูแลความะอาดอย่างดี เดินเข้าชมได้สบายไร้กังวล
อยุธยา 14 อยุธยา 15.1พอป้อนนมลูกแพะจนพวกมันอิ่มแปร้แล้ว ทีนี้ก็ถึงคราวพวกเราอิ่มกันบ้างซิ ได้เวลาชิม ‘ไอศกรีมนมแพะ’ สูตร Wellness Care ที่ถือว่าเป็นไอศกรีมเพื่อสุขภาพ เนื่องจากนมแพะมีไขมันต่ำกว่านมวัว ไม่ทำให้อ้วน อีกทั้งนมแพะยังไม่ทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลในเลือด ช่วยพัฒนาสมองและสายตา ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ คงเพราะอย่างนี้นี่เอง ทั่วโลกถึงนิยมดื่มนมแพะกันมานานแล้วอยุธยา 15.2

อิ่มท้องแล้ว ก็ถึงคราวช้อปปิ้งหาซื้อสินค้าดีๆ เพื่อไปดูแลสุขภาพต่อที่บ้าน ขอแนะนำ ‘สบู่นมแพะ’ ที่มีส่วนผสมของนมแพะเข้มข้นกว่าแบรนด์อื่นๆ ใช้ล้างหน้า (หรือจะใช้ขัดสีฉวีวรรณทั้งตัวก็ไม่มีใครว่า) ช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่อง ลดสิว ลดฝ้า หน้าใสปิ๊งๆ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณสาวๆ ในทริปนี้จ้า
อยุธยา 15ส่วนหนึ่งของเมืองสุขภาพครบวงจร Wellness City มีโครงการบ้านจัดสรรน่ารักๆ ให้อยู่อาศัยกันในบรรยากาศแสนสงบ และอยู่ใกล้คุณหมอด้วยอยุธยา 16ห้องนอนแสนน่ารัก ใครได้พักเอนกายในห้องนี้ ถ้าไม่มีความสุขหลับฝันดี ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วล่ะอยุธยา 17ห้องรับแขกสีหวาน บรรยกาศโปร่งโล่งสบาย ช่วยเติมเต็มสุขภาพกายใจที่ Wellness Cityอยุธยา 18เมื่อดูแลสุขภาพกายกันเต็มที่จนหน้าใสกันถ้วนหน้าแล้ว เราก็เปลี่ยนบรรยากาศมาดูแลสุขภาพใจกันบ้าง กับการสัมผัสอยุธยาในมุมมองใหม่ ด้วยการล่องเรือชมวิถีชีวิตและวัดวาอารามโบราณริมน้ำ ในบริเวณ 3 เกาะ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง (ค่าเช่าเรือประมาณ 1,000 บาทต่อลำ เรือนั่งได้ไม่เกิน 7 คน) สัมผัสสายน้ำที่ยังใสบริสุทธิ์ อากาศโล่งสบาย หายใจได้เต็มปอด เหมือนการเดินทางย้อนเวลากลับเข้าสู่กรุงเก่าเล่าเรื่องอดีต
อยุธยา 19.1การล่องเรือไหว้พระ 3 วัด ของเราก็คือ วัดแคราชานุวาส (เกาะลอย) วัดช่องลม (เกาะวัดช่องลม) และวัดตองปุ (เกาะเมืองอยุธยา) ซึ่ง 3 วัดนี้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จัก เนื่องจากเป็นวัดโบราณ (บางแห่งเคยเป็นวัดร้างด้วยซ้ำ) อยู่บนเกาะเล็กเกาะน้อยใกล้เกาะเมืองอยุธยา จัดเป็นวัดที่มีเรื่องราวให้ค้นหา โดยเฉพาะผู้ที่สนใจด้านประวัติศาสตร์ และผู้ที่ศรัทธาหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดอันโด่งดังอยุธยา 19.2ระหว่างล่องเรือ เราจะได้สัมผัสวิถีชีวิตริมน้ำ ผสานกับความร่มรื่นของแมกไม้เขียวครึ้มสองฟากฝั่ง และแน่นอนว่า เรือนไทยโบราณที่บ่งบอกเอกลักษณ์ภาคกลาง ก็จะมีให้ชมตลอดทางเช่นกัน ขณะที่เรือล่องไปอย่างช้าๆ ทำให้รู้สึกว่าเข็มนาฬิกาชีวิตเดินช้าลง เหมือนได้เข้าใกล้วิถีไทยที่สงบร่มเย็น สมแล้วที่อยุธยาเป็นเมืองน้ำ เป็นเกาะที่มีแม่น้ำ 3 สายล้อมรอบ คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรีอยุธยา 19.3ล่องเรือมาไม่ถึง 15 นาที เราก็มาถึงวัดแรกบนเกาะลอย คือ ‘วัดแคราชานุวาส’ วัดสำคัญซึ่งผู้ที่เคารพศรัทธา หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด สามารถมาตามรอยองค์ท่านได้ บริเวณท่าน้ำมีรูปปั้นขนาดใหญ่ของหลวงปู่เป็นสัญลักษณ์ บรรยากาศเงียบสงบร่มเย็น เต็มไปด้วยแมกไม้ และวัดก็มีขนาดเล็ก ทว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ปัจจุบันมีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่เพียง 4-5 รูปเท่านั้นอยุธยา 19เดินจากท่าน้ำขึ้นมานิดเดียว ก็จะถึงศาลาที่มีรูปเคารพของหลวงปู่ทวดให้สักการะกันเป็นจุดแรก เพื่อความเป็นสิริมงคลอยุธยา 20ประวัติของวัดแคราชานุวาสมีบันทึกไว้ไม่ค่อยชัดเจน ที่เล่าสืบต่อกันมาว่า สมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ กษัตริย์องค์ที่ 19 แห่งกรุงศรีอยุธยา ประเทศลังกาต้องการได้กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองขึ้น แต่ไม่ต้องการให้เสียเลือดเนื้อ จึงออกอุบายให้มีการแปลธรรมะภายใน 7 วัน หากไม่มีผู้ใดแปลได้ก็จะเสียกรุง จนถึงคืนวันที่ 6 สมเด็จพระเอกาทศรถทรงพระสุบินว่า จะมีผู้แปลได้ จึงออกตามหาหลวงปู่ทวดที่ธุดงค์จากหัวเมืองพัทลุง ขึ้นมาจำพรรษาอยู่ที่วัดแค เพื่อมาศึกษาพระธรรมวินัย จึงได้นิมนต์ไปแปลธรรมะ จนสามารถช่วยปกป้องบ้านเมืองได้สำเร็จอยุธยา 21ภายในโบสถ์หลังใหม่ของวัดแคราชานุวาส มีภาพจิตกรรมฝาผนังเรื่องราวประวัติตอนต่างๆ ของหลวงปู่ทวด กราบพระขอพรแล้ว อย่าลืมแหงนหน้ามองขึ้นไปชมล่ะ แต่ถ้าไม่เข้าใจ ก็ให้ท่านเจ้าอาวาสอธิบายให้ฟังได้อยุธยา 22.1ภายในโบสถ์หลังใหม่ของวัดแคฯ มีหุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่ทวดให้สักการะ ยิ่งเพ่งพินิจใกล้ๆ ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนท่านมีชีวิตจริงเลยนะ อัศจรรย์มาก!อยุธยา 22ภาพจิตรกรรมฝาผนังร่วมสมัย เกี่ยวกับประวัติของหลวงปู่ทวด พระอริยสงฆ์ชื่อดังแห่งปักษ์ใต้ ที่มาช่วยปกป้องกรุงศรีอยุธยาสมัยพระเอกาทศรถอยุธยา 23.1ด้านนอกโบสถ์หลังใหม่ มี พระพุทธรูปหินทรายศิลปะลพบุรี ประดิษ์ฐานอยู่ แม้ว่าเศียรพระองค์เดิมจะถูกลักลอบตัดไป กรมศิลปากรก็ได้สร้างทดแทนขึ้นใหม่ เป็นหนึ่งในหลักฐานยืนยันความเก่าแก่ของวัดแคฯ แห่งนี้อยุธยา 23ใกล้กับท่าน้ำวัดแคฯ มีหอระฆังและบันไดนาคคู่ที่สวยงาม เก่าแก่ ตัวหอระฆังบ่งบอกศิลปะอยุธยาชัดเจน ส่วนบันไดนาคคงสร้างขึ้นมาภายหลังด้วยศิลปะยุคปัจจุบันอยุธยา 24แม่น้ำด้านหน้าวัดแคราชานุวาส ยังใสสะอาดมีฝูงปลาแหวกว่าย และชาวบ้านยังสามารถนำน้ำนี้ไปใช้งานได้เช่นเดียวกับยุคอดีต นี่คือความสงบร่มเย็นของเมืองน้ำอยุธยาอยุธยา 25ล่องเรือชิลชิลมาอีกแค่แป๊บเดียว เราก็แวะขึ้นกราบพระในวัดที่ 2 คือ ‘วัดตองปุ’ บนเกาะเมืองอยุธยา โดยท่าหน้าวัดนั้นตั้งอยู่บริเวณใกล้กับจุดบรรจบของแม่น้ำลพบุรีและแม่น้ำป่าสัก จึงเป็นอีกวัดหนึ่งที่สงบ ร่มเย็นมากอยุธยา 26วัดตองปุ เป็นวัดเก่าแก่มาก สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น ประมาณ พ.ศ. 1920 ประวัติเล่าว่าในอดีตที่ดินตรงนี้มีต้นกล้วยตานีขึ้นอยู่หนาแน่น เวลาชาวบ้านทั้งไทยและมอญมาทำบุญ ต่างก็ห่ออาหารด้วยใบตอง แถมยังนำใบตองมารองนั่งอีกด้วย จึงเป็นที่มาของชื่อ ‘วัดตองปุ’

ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมถึงมีชาวมอญอยู่ในบริเวณนี้ด้วย ประวัติเล่าย้อนไปถึงสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หลังจากทรงกวาดต้อนเทครัวชาวมอญ ข้ามแม่น้ำสะโตงมาจากเมืองหงสาวดีแล้ว ก็ทรงบูรณะวัดตองปุให้เป็นที่จำพรรษาของพระมหาเถรคันฉ่อง รวมถึงพระมอญรูปอื่นๆ เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีที่พระยาเกียรติ พระยาราม ชาวมอญ ได้มาเตือนพระองค์มิให้ถูกลอบสังหาร ก่อนประกาศเอกราชที่เมืองแครงนั่นเองอยุธยา 27พ้นจากท่าน้ำขึ้นมานิดเดียว ก็มีศาลาไทยเปิดโล่ง ประดิษฐาน หลวงพ่อดำ อันศักดิ์สิทธิ์แห่งวัดตองปุ เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่สมัยอยุธยาแท้ กราบไหว้ขอพรกันได้ตามอัธยาศัยเลยจ้าอยุธยา 28ร่องรอยทางโบราณดดีที่ชัดเจนในความเก่าแก่ของวัดมอญ อย่างวัดตองปุแห่งนี้ก็คือ ‘หลวงพ่อโต’ ซึ่งแต่เดิมเคยประดิษฐานอยู่ในโบสถ์มหาอุตม์ขนาดเล็ก (โบสถ์มหาอุตม์ คือ โบสถ์ที่ไม่มีหน้าต่าง มีประตูเข้าออกได้ทางเดียว นิมยมใช้เป็นสถานาที่ปลุกเสกเครื่องรางของขลังและวัตถุมงคลต่างๆ) ทว่าปัจจุบันตัวโบสถ์มหาอุตม์เดิมได้สลายไปพร้อมกาลเวลา จึงมีการสร้างศาลาครอบหลวงพ่อโตไว้แทนอยุธยา 29หอระฆังแบบมอญ บ่งชี้ร่องรอยประวัติศาสตร์สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกวาดต้อนชาวมอญจากหงสาวดีอยุธยา 30โบสถ์หลังใหม่ของวัดตองปุ งดงามตามแบบศิลปะรัตนโกสินทร์
อยุธยา 31.1ไหว้พระขอพร ทำจิตใจห้องผ่องแผ้ว กายใจจะได้ผ่องใส สมกับทริป ‘ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย’อยุธยา 31นั่งเรือข้ามฝั่งจากวัดตองปุ (ที่อยู่บนเกาะเมือง) มาแค่ไม่กี่อึดใจ เราก็มาถึงวัดช่องลมเกาะลอย’ ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ บนจุดบรรจบของแม่น้ำลพบุรีและแม่น้ำป่าสัก มีลักษณะเป็นเพียงเกาะเล็กๆ ที่มีคนอาศัยอยู่แค่ไม่กี่คน จึงอาจพูดกันเล่นๆ ได้ว่า เป็นเกาะเล็กที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทยเลยล่ะ ฮาฮาฮาอยุธยา 32จริงๆ แล้วเกาะลอยนี้ มีมากกว่าการมากราบพระขอพร ทว่ายังมีเรื่องราวพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งทรงห่วงใย ไม่ทอดทิ้งเกาะเล็กๆ นี้ แม้เกาะลอยจะมีประชากรอยู่แค่ 15 หลังคาเรือน พระองค์ท่านก็ทรงแผ่พระบารมีเมตตามาปกปักคุ้มครอง เหตุการณ์อันน่าประทับใจนี้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2556 เมื่อน้ำจากแม่น้ำได้กัดเซาะตลิ่งของเกาะลอยจนเข้าถึงตัวบ้านเรือนราษฎร  หนึ่งในลูกหลานของเกาะลอย คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นภาภรณ์ ศิริพิทักษ์ ได้เขียนจดหมายด้วยลายมือของตนเอง ถวายฎีกาแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 จากนั้นต้นปี พ.ศ. 2557 พระองค์จึงพระราชทานเงินมาให้ถึง 18 ล้านบาท เพื่อสร้างเขื่อนตรงหัวเกาะลอย ป้องกันน้ำกัดเซาะ จนประชาชน 15 หลังคาเรือน กลับมาใช้ชีวิตได้ปกติสุขอีกครั้งอยุธยา 33จากวัดช่องลมเกาะลอย มองไปเห็นวัดตองปุอยู่ใกล้นิดเดียว และยังได้ชมเขื่อนกั้นน้ำซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานให้ประชาชนบนเกาะลอยด้วยอยุธยา 34บนเกาะลอยมีวัดโบราณอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันถือเป็นวัดร้าง เหลือหลักฐานบ่งบอกเรื่องราวประวัติศาสตร์อยู่ไม่มาก ทว่าก็ยังเป็นที่รู้จักและจดจำของชาวบ้านละแวกนั้นเป็นอย่างดี โดยเฉพาะ ‘หลวงพ่อขาว’ เป็นพระประธานองค์ใหญ่สีขาว พระพักตร์อิ่มเอิบแลใจดี เชื่อหรือไม่ว่าส่วนเศียรของหลวงพ่อขาวสร้างขึ้นโดยใช้โอ่งใส่น้ำเป็นแกนภายใน เนื่องจากในสมัยโบราณชาวบ้านไม่มีวัสดุก่อสร้าง จึงต้องใช้โอ่งหรือตุ่มใส่น้ำแทนอิฐ สังเกตให้ดีจะเห็นเลยว่าเศียรหลวงพ่อขาวท่านจะค่อนข้างกลมรีจริงๆ ด้วย อยุธยา 35พระพุทธรูปสีทองด้านหน้าหลวงพ่อขาว คือ หลวงพ่อหมอ หรือพระหมอ ซึ่งชาวบ้านที่เจ็บไข้ได้ป่วย มาบนบานขอให้หายป่วย ก็จะได้ตามนั้น! อยุธยา 36ใกล้ๆ กับวิหารหลวงพ่อขาว มี ‘ศาลเจ้าพ่อดาบชัย’ สมัยกรุงศรีอยุธยาให้สักการะกันด้วยล่ะ โดยศาลนี้ตั้งอยู่ติดกับต้นโพธิ์โบราณลำต้นใหญ่หลายคนโอบ แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ถ้ายืนนิ่งๆ ลองหลับตาจินตนาการไปในอดีต จะเห็นภาพของเกาะลอยที่มีแม่น้ำไหลผ่านด้านหน้า และทิวไม้เขียวๆ เย็นตาเย็นใจจริงๆอยุธยา 37ออกจากวัดช่องลมเกาะลอยแล้ว เราก็ได้เวลาล่องเรือกันยาวๆ เกือบ 1 ชั่วโมง เรือหันหัวเร่งเครื่องออกจากลำคลองย่อยเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยาสายหลัก ผ่านวัดสำคัญๆ สองฟากฝั่ง ทั้งวัดหน้าพระเมรุ, วัดพุทไธศวรรย์, วัดไชยวัฒนาราม, เจดีย์สมเด็จพระสุริโยทัย และอีกมากมาย ถ้าเวลาเหลือ และตกลงกับนายท้ายเรือได้ ก็เพิ่มค่าเรือให้เขาหน่อย จะสามารถแวะกราบพระชำระกายใจได้เพิ่มเติม
อยุธยา 38วัดไชยวัฒนาราม หนึ่งในวัดสำคัญที่สุดและสวยงามที่สุดบนเกาะเมืองอยุธยาอยุธยา 39วัดพุทไธศวรรย์ เมื่อมองจากทางน้ำจะได้มุมมองงดงามมากอยุธยา 40วันนี้ได้สัมผัสวิถีชาวน้ำอยุธยาแบบลึกซึ้ง รู้สึกเย็นชื่นใจจากสายน้ำที่ยังใสสะอาดไหลไปไม่เคยเปลี่ยนอยุธยา 41อีกวัดหนึ่งที่ไม่ควรพลาดชมและสักการะ ในระหว่าง เส้นทางผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย ของเราก็คือ ‘วัดบางนมโค’ อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของหลวงพ่อปาน พระเกจิอาจารย์ผู้โด่งดังในด้านวัตรปฏิบัติอันงดงาม และมีคาถาอาคมแก่กล้า อีกทั้งได้ฉายาว่า ‘พระหมอ’ ช่วยรักษาอาการป่วยไข้ให้ชาวบ้านในยุคเมื่อหลายสิบปีก่อน ด้วยยาสมุนไพรพุทธคุณอันศักดิ์สิทธิ์อยุธยา 42ภายในบริเวณวัดบางนมโค มีพระเจดีย์ขนาดใหญ่ ศิลปะอยุธยาตอนปลาย สร้างแบบย่อมุมไม้สิบสอง และเหตุที่วัดนี้ได้ชื่อว่า ‘วัดบางนมโค’ เพราะอดีตแถบนี้ชาวบ้านนิยมเลี้ยงวัวควายกันมาก แม้แต่ในสมัยพม่ามาล้อมตีกรุงศรีอยุธยา ก็ยังมากวาดต้อนจับวัวควายชาวบ้านไปใช้เป็นเสบียงในกองทัพเช่นกันอยุธยา 43วิหารหลวงพ่อปานวัดบางนมโค เข้าไปสักการะกราบขอพร ปิดทองรูปเหมือนของท่านเพื่อความเป็นสิริมงคล ภายในสร้างโดยบุกระจกเงามากมาย สะท้อนแสงวิบวับ แลคล้ายวิหารที่วัดท่าซุงของหลวงพ่อฤาษีลิงดำอยุธยา 44รูปเหมือนหลวงพ่อปานวัดบางนมโค มีประชาชนศรัทธาหลั่งไหลกันมาปิดทองจนเหลืองอร่ามไปทั้งองค์อยุธยา 45หุ่นขี้ผึ้งหลวงพ่อปานวัดบางนมโค ชวนให้เรานึกถึงเรื่องราวประวัติของท่าน กล่าวสั้นๆ คือท่านเกิดเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2418 ในย่านวัดบางนมโคนี่เอง โดยท่านได้รับการอุปสมบทที่วัดบางนมโค เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2438 กับหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ โดยรู้กันดีว่าหลวงพ่อสุ่นนั้นเป็นพระที่มีวิชาอาคมแก่กล้ามาก หลวงพ่อปานจึงได้รับการถ่ายทอดวิชาต่างๆ มาด้วย

อยุธยา 46หลวงพ่อปานมรณะภาพ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 สิริรวมอายุ 63 ปี 43 พรรษา โดยอัฐิธาตุของท่านได้รับการเก็บรักษาไว้ ณ วัดบางนมโคแห่งนี้เองอยุธยา 47ท่าน้ำหน้าวัดบางนมโค อดีตเคยใช้เป็นเส้นทางสัญจรหลัก ทุกวันนี้น้ำยังใสสะอาดดีอยุธยา 48ตระเวนเที่ยวอยุธยากันมาตลอดวัน เริ่มเหนื่อยแล้ว วันนี้ขอเลือกพักผ่อนสบายๆ ชิลๆ กลางทุ่งนา ในรีสอร์ทเล็กๆ สไตล์เก๋ไก๋น่ารัก บรรยากาศผ่อนคลายเป็นกันเอง ที่ ‘พลูธยา รีสอร์ทแอนด์สปา’ อำเภอเมืองพระนครศรีอยุธยา (โทร. 09-8358-0118, 0-3570-7565-6)อยุธยา 49.1พาตัวและหัวใจไปค้นพบความสุขแบบเรียบง่าย กับเครื่องดื่มที่เราชอบ นั่งเหม่อมองท้องทุ่งสีเขียว เข้าถึงจิตวิญญาณของเมืองอู่ข้าวอู่น้ำอยุธยาในแบบน่ารักๆอยุธยา 49.2 อยุธยา 49ด้านข้างพลูธยา รีสอร์ท มีทุ่งนาผืนกว้างที่มองไปเห็นเจดีย์ของวัดใหญ่ชัยมงคลได้ชัดเจน ทั้งวิถีข้าวและวิถีพุทธอยู่ใกล้แค่เอื้อมนิดเดียวเอง มีความสุขเหลือเกินอยุธยา 50 อยุธยา 51แสงยามเย็นเมื่อแดดร่มลมตก อาบไล้ท้องทุ่งและพลูธยา รีสอร์ท ที่พักอุ่นสบายของเราในคืนนี้อยุธยา 52หน้าห้องพักมีคูน้ำและดอกบัวบาน เคียงคู่ทุ่งนาสีเขียวและท้องฟ้ากว้างๆ ไม่มีตึกอะไรมาบดบังเลย โปร่งโล่งสบายดีจัง แถมยังมีเสียงกบเขียดร้องเพลงกล่อมด้วย ฮาฮาฮาอยุธยา 53พลูธยา รีสอร์ท มีที่พักหลายโซน ทั้งริมนา ริมสระ และริมบึง ให้เลือกตามใจชอบเลยจ้าอยุธยา 54ความลงตัวในการผสมผสานความใหม่เก่า จนทำให้พลูธยา รีสอร์ท กลายเป็นที่พักบูติกเล็กๆ ช่วยสร้างมิติใหม่ให้อยุธยาได้มากเลยทีเดียวอยุธยา 55ห้องนอนโซนพักริมน้ำของพลูธยา รีสอร์ท ตกแต่งด้วยสไตล์จีน เน้นสีเหลืองแดงโทนสว่างน่าพักอยุธยา 56จุดเด่นอีกอย่างของพลูธยา รีสอร์ท ที่ ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย ชอบมาก คือมีบริการนวดไทยและสปา ผ่อนคลายกันสุดๆ เลยวันนี้อยุธยา 57และที่ขาดไม่ได้ ทำให้พลูธยา รีสอร์ท ครบเครื่อง คือเมนูอาหารไทยที่เสิร์ฟกันเต็มที่ในมื้อเย็น ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกกะปิ ปลาทูทอด แกล้มผักต่างๆ, ต้มกะทิสายบัวปลาทู, ผักทอด, แกงเขียวหวานไก่, มัสมั่นไก่ ฯลฯ เป็นกับข้าวแบบไทยๆ ที่ปู่ย่าตายายเรากินกันมานานนม

ทริป ผู้หญิงเที่ยว…อย่าหยุดสวย ของเรายังไม่จบลงเท่านี้ ยังมี ตอน 2 ให้ติดตามกันอย่างเข้มข้นสนุกสนานด้วย อย่าพลาดนะจ๊ะLOGO TATSpecial Thanks : คุณอิสสระพงษ์ แทนศิริ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพระนครศรีอยุธยา (และดูแลพื้นที่จังหวัดสระบุรี) สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจสอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-3524-6076-7