Pietraserena Tuscany Wine Dinner @Ventizi Centara Grand Central World

Story ชาธร โชคภัทระ / Photos สุเทพ ช่วยปัญญา

กลิ่นขนมปังหอมกรุ่นที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ ไวน์สีแดงทับทิมเข้มข้นที่ถูกรินใส่แก้วทรงสูง อาหารอิตาเลียนสไตล์ทัสคานีแสนอร่อย และผองเพื่อนสนิทที่มารวมตัว นั่งพูดคุยสรวนเสเฮฮากันอีกครั้ง คือบรรยากาศพิเศษที่ คาเฟ่ บวนจอร์โน่ (Cafe’ Buongiorno) รังสรรค์ให้เกิดขึ้น ในค่ำคืนวันที่ 20 กันยายน 2023 ณ ห้องอาหาร หรู Ventizi ชั้น 24 โรงแรม Centara Grand Central World Bangkokหลังจาก Cafe’ Buongiorno ได้ชวนเรามาลิ้มลอง Boutique Wine ชั้นเลิศจากแคว้นต่างๆ ของอิตาลีแล้วหลายครั้ง คืนนี้ก็ถือว่าพิเศษไม่แพ้ครั้งไหนๆ เพราะเรากำลังจะพาตัวและหัวใจบินลัดฟ้าสู่ แคว้นทัสคานี (Tuscany) หรือ ทอสคานา (Toscana) สวรรค์ของการผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงของโลกมาช้านาน บวกกับอาหารอิตาเลียนแท้ๆ จาก Chef Andrea Montella แห่งห้องอาหาร Ventizi ก็ยิ่งช่วยให้ความสุขอบอวลอยู่ในทุกอณู อาหารคืนนี้แพริ่งกับ White & Red Wine ได้ยอดเยี่ยม ตั้งแต่ Otello Prosecco ที่ซู่ซ่าสดชื่นกำลังดี ตามาด้วยไวน์ขาว Vigna del Sole ซึ่งใช้องุ่นพันธุ์หายาก Vernaccia จากนั้นก็เป็นไวน์แดงรสเปรี้ยวนำอย่าง Poggio Al Vento ใช้องุ่นยอดฮิต Sangiovese และปิดท้ายด้วยพระเอกของคืนนี้ ที่ดูจะเข้มข้นสุด คือ Caulio ไวน์แดงผสมองุ่น 3 สายพันธุ์ ทั้ง Sangiovese, Malvasia Nera และ Syrah ช่วยให้อาหารอร่อยขึ้นอีกล้านเท่า
ห้องอาหาร Ventizi ชั้น 24 โรงแรม Centara Grand Central World Bangkok บรรยากาศดีวิวหลักล้าน มองเห็นพระอาทิตย์ตกของกรุงเทพฯ มุมสูง น่าประทับใจมาก Mr.Robert F. Maurer-Loeffler, General Manager and Corporate Director of Operations โรงแรม Centara Grand Central World Bangkok พร้อมต้อนรับทุกท่าน
บรรยากาศส่วน VIP ของห้องอาหาร Ventizi หรูหราและมีความเป็นส่วนตัวดีมาก เหมาะมานั่งสังสรรค์กันเพลินๆ ห้องอาหาร Ventizi มีหลายมุมหลายบรรยากาศให้เลือก คนที่ชอบวิวโปร่งโล่งสบายตา เลือกโต๊ะตรงมุมกระจก มองเห็นตึกระฟ้า และแสงยามเย็นของกรุงเทพฯ ได้น่าประทับใจ โต๊ะส่วนตัวแบบโรแมนติกกันสองคนก็มี

เรียกน้ำย่อยด้วย ขนมปังฟอคคาเซีย” (Focaccia) เนื้อนุ่มหนึบ กลิ่นหอมแป้งสาลีผสมน้ำมันมะกอก เป็นขนมปังคู่บ้านคนอิตาเลียน ที่กินเมื่อไหร่ก็อร่อย มีเครื่องเคียงเป็นซอสถั่ว และมะเขือเทศคลุกน้ำมันมะกอก กินคู่กับ Sparkling Wine ชั้นเลิศจากทางภาคเหนือของอิตาลี Otello Prosecco DOC ของ Arrigoni Vineyard การจะเรียกไวน์ตัวใดว่าเป็น “โปรเซคโก้” (Prosecco Wine) ได้อย่างแท้จริง ต้องผลิตมาจากเขตโปรเซคโก้ ที่ปลูกอยู่ในแคว้นเวเนโต (Veneto) เท่านั้น Prosecco เป็นชื่อหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในแคว้นนี้ และนิยมใช้องุ่นพันธุ์ เกลียร่า (Glera) ในการทำมากที่สุด

เริ่มต้นด้วย Sparkling Wine Otello Prosecco จากเมืองเทรวิโซ่ (Treviso) ตัวนี้ มีความ Balance ของรสชาติเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเสิร์ฟเย็นเจี๊ยบ 8-10 องศาเซลเซียส เนื้อไวน์ละมุนสีเหลืองฟางอ่อน (Pale Straw) แอลกอฮอล์ต่ำ 11% ดื่มง่าย มีความ Extra Dry (หวานกลางๆ) เด่นด้วยกลิ่นดอกไม้ป่า อัลมอนต์ และแอปเปิลเขียวชัดเจน จิบแล้วทิ้งความหอมหวานไว้ทั่วปาก และทิ้งรสขมนิดๆ ไว้ที่โคนลิ้น เหมาะกินคู่กับ Starters กุ้งหอยปูปลานานาชนิด ถือเป็นไวน์ที่ Body ไม่ Waxy พรายฟอง (Bubbles) เล็กๆ เบาๆ ซู่ซ่ากำลังดี จิบเพลินไวน์ทั้งหมดที่เสิร์ฟในคืนนี้มาจาก Arrigoni Wine Producer ที่มีชื่อเสียง และเก่าแก่กว่า 110 ปีแล้ว ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1913 ผลิตไวน์ต่อเนื่องกันมา 4 ชั่วอายุคน โดยเริ่มในแคว้นลิกูเรีย (Liguria) และทัสคานี (Tuscany) ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกองุ่นในแคว้นเวเนโต (Veneto) ด้วย ภูมิประเทศเป็นภูเขา เนินเขา สลับทุ่งหญ้า กลางวันแดดเจิดจ้า กลางคืนหนาว ช่วงเช้ามีหมอก นี่คือยูโทเปียในอุดมคติของการปลูกองุ่น (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)ไวน์ขาวและไวน์แดงที่เราได้ลิ้มลองในคืนนี้เป็นไวน์มาตรฐานสูง DOC และ DOCG ผลิตขึ้นจากไร่ Pietraserena Vinyard ของตระกูล Arrigoni ไร่ตั้งอยู่ใจกลาง เมืองซาน จิมิกนาโน่ (San Gimignano) จังหวัดเซียน่า (Siena) แคว้นทัสคานี เป็นเมืองโบราณสมัยยุคกลาง เป็นมรดกโลกของ UNESCO ด้วย เพราะยังมีหอคอยหินสูงเด่น และบ้านสไตล์โบราณ ล้อมรอบด้วยเนินเขาที่มีไร่ไวน์ทอดไกลออกไป โดยเฉพาะองุ่นพันธุ์ Vernaccia ถือเป็นพันธุ์เฉพาะถิ่นหายากของที่นี่ รำ่ลือกันว่าเป็นไวน์ขาวเนื้อสัมผัสนุ่มดุจแพรไหม! (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/) ไร่องุ่น Pietraserena คือพื้นที่หัวใจสำคัญของเมืองโบราณมรดกโลก San Gimignano (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)เมนูเรียกน้ำย่อยในวันนี้มีหลากหลาย ทั้งซุปมะเขือเทศช็อต, หอยแมลงภู่ดำอิตาเลียนอบชีส สไตล์ Viareggio, Tuscan Salami เกรดพรีเมียม, ขนมปังถั่วลูกไก่ ท็อปปิ้งด้วยซาลามี่หมู Colonnata, ขนมปัง Classic Brucetta เนื้อหนานุ่ม โรยหน้าด้วยมะเขือเทศซอยละเอียด คลุกเคล้าน้ำมันมะกอก กระเทียม และโหระพาอิตาเลียน ว่ากันว่า Tuscan Salami ที่เสิร์ฟในคืนนี้ เป็นหนึ่งในซาลามี่ดีที่สุดในอิตาลีเลยก็ว่าได้ ลองชิมแล้วเนื้อมีความนุ่มละมุน กลิ่นหอมขึ้นจมูก รสไม่เค็มจัด กินคู่กับไวน์ขาว Vigna del Sole มีความสุขใจทุกจิบเลยล่ะ ซุปมะเขือเทศในแก้วช็อต เสิร์ฟมาพร้อม หอยแมลงภู่ดำอิตาเลียนอบชีส สไตล์วิอาเร็กจิโอ้ (Viareggio) เมืองชายทะเลของแคว้นทัสคานี จิบ Vigna del Sole ตามเข้าไป เสริมรสชาติกันยอดเยี่ยม ทำให้นึกถึงน้ำทะเลสีฟ้าครามของที่นั่นไวน์ขาวอันโด่งดัง Vigna del Sole มาตรฐานสูงสุดระดับ DOCG ปี 2022 จากไร่ Pietraserena เมือง San Gimignano ผลิตจากองุ่นพันธุ์หายาก “เวอร์แน๊กเชีย” (Vernaccia) ซึ่งมีปลูกเฉพาะในแคว้นทัสคานีเท่านั้น เคยโด่งดังมากในช่วงศตวรรษที่ 13-14 เพราะเสิร์ฟขึ้นโต๊ะพระกระยาหารของกษัตริย์เท่านั้น กวีดังแห่งอิตาลี ดังเต้ (Dante) รวมถึงสถาปนิกชื่อก้องโลก มีเกลันเจโล (Michelangelo) ก็เคยกล่าวถึงองุ่นชนิดนี้ไว้เช่นกัน

Vigna del Sole เคยได้รับรางวัลจากการประกวดมากถึง 11 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1994-2017 ถือเป็น Boutique Wine ระดับเหรียญทองที่มี Character เฉพาะตัวมาก น้ำไวน์สีฟางเข้ม Medium Body ให้กลิ่นขนมปัง วานิลลา และอัลมอนด์ ชัดเจน ทิ้งความหอมหวานอมเปรี้ยวเพียงเล็กน้อยไว้ในปาก ถือว่ามีความผสมผสานลงตัว เหมาะดื่มกับ Starter จำพวก seafood ต่างๆ
คอร์สที่สองพิเศษมาก Ricotta Cheese Dumpling” ปั้นเป็นก้อนกลม กินคู่กับซอสครีมเห็ดทรัฟเฟิลฤดูร้อน น้ำซอสนุ่มนวล รสเค็มเพียงเล็กน้อย ความข้นมันกำลังดี ส่วนเนื้อรีคอตต้าชีสก็นุ่มละมุน ละลายในปากแบบไม่ต้องเคี้ยวเลย เป็นอาหารเบาๆ กินคู่กับไวน์แดง Poggio Al Vento ที่มีความเปรี้ยวนำ เสริมรสชาติกันเหมือนเนื้อคู่

Poggio Al Vento เป็นไวน์แดงชั้นเลิศระดับ DOCG ปี 2020 ผลิตจากองุ่นพันธุ์ ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ซึ่งเป็นองุ่นที่ปลูกมากที่สุดในแคว้นทัสคานีและอิตาลี ลักษณะเด่นคือมีความเปรี้ยวนำ (High Acidity) จึงสามารถคงรสชาติ และกลบความมันของพาสต้า ชีส หรือซอสมะเขือเทศ ในอาหารอิตาเลียนได้อย่างยอดเยี่ยม นอกจากนี้ Poggio Al Vento ยังเป็นไวน์แดงจำพวก “เคียนติ” (Chianti Wine) ซึ่งผลิตในพื้นที่พิเศษเรียกว่า “เคียนติ” ในแคว้นทอสคานา (อยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองฟลอเรนส์และเซียน่า) โดยแบ่งออกเป็น 7 sub-zone ใช้องุ่นพันธุ์ซานโจเวเซ่ผลิตไวน์แดงเป็นหลัก แบ่งระดับมาตรฐานตามระยะเวลาการบ่มหมัก (Aging Classification) คือ 2.5 ปี, 2 ปี, 1 ปี, 9 เดือน และ 6 เดือน ตามลำดับ ไวน์ที่ได้จึงมีราคาสูงต่ำและคุณภาพต่างกัน ไล่ตั้งแต่เลิศสุด Grand Seleczione, Riserva, Classico, Superior และ Chianti ธรรมดา
Ricotta Cheese Dumpling ตัวนี้แท้จริงก็คือ “เวย์ชีส” (Whey Cheese) ซึ่งก็คือน้ำที่เหลือจากการผลิตชีส เรียกว่า “Whey” เป็นตัวเดียวกับเวย์โปรตีนที่เอาไปสกัดเป็นผงชงให้นักกีฬาหรือคนป่วยกินนั่นล่ะ คำว่า “Ricotta” แปลว่า “Recooked” โดยครั้งแรกเอาชีสไปต้มให้เหลือ Whey แล้วเอา Whey ไปต้มอีกครั้ง จนได้ตะกอนนิ่ม กลายเป็น Fresh Cheese จำพวกเเดียวกับ Mozzarealla Cheese แต่เก็บได้นานกว่า เพราะมีการเติมเกลือ และส่วนใหญ่ก็เป็นโปรตีน ไม่มีครีม ความคึกคักของห้องอาหาร Ventizi กับ Pietraserena Tuscany Wine Dinner มาถึง Main Course ที่กินกับไวน์แดงได้อร่อยล้ำ “สตูแก้มเนื้อวัววากิว” ตุ๋นนานถึง 24 ชั่วโมง แบบ Slow Cook ราดซอสพริกไทยดำผสมไวน์แดงเคียนติ

ไวน์แดงที่ใช้แพริ่งกับเมนูนี้ต้องยกให้ Caulio, Chianti DOCG ปี 2018 อันโด่งดัง เคยได้รับรางวัลจากการประกวดไม่ต่ำกว่า 9 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993-2017 Blend จากองุ่น 3 สายพันธุ์ ทั้ง Sangiovese, Malvasia Nera และ Syrah ในสัดส่วนเหมาะเจาะลงตัว น้ำไวน์จึงมีสีทับทิมเข้มข้น Full Body หนักแน่น แต่มีความ Balance เป็นเลิศ แทนนินลื่นเหมือนแพรไหม รสชาติไม่ Fruity แอลกอฮอล์ 14% นุ่มลึกดี จิบแล้วทิ้งกลิ่นวานิลลาและผลไม้ป่าไว้ในปาก กินคู่กับสตูแก้มวัววากิวเนื้อนุ่ม ไวน์ยังทิ้งรสเปรี้ยวนิดๆ ไว้ที่โคนลิ้นด้วย เพราะมีองุ่นซานโจเวเซ่ผสมอยู่นั่นเอง
ก่อนกินก็ต้องราดซอสพริกไทยดำ ผสม Chianti Red Wine ซะก่อนปิดท้ายค่ำคืนแห่งความสุข กับเมนูของหวานโบราณจากเมืองฟลอเรสซ์ ซึ่งยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้ คือ “Zuccotto Fiorentino” เป็นเค้กเนื้อฟองน้ำนุ่มนิ่มรูปโดม ไส้ตรงกลางเป็นครีม ชีส Tiramisu หรือไอศกรีมรสชาติต่างๆ และ Ricotta ครีมช็อกโกแลต กินพร้อมผลไม้รสหวาน ว่ากันว่ารูปร่างโดมของเค้กนี้มาจากยอดโดม Florence Cathedral มหาวิหารหลักของเมืองฟลอเรนซ์ เค้กนี้กินคู่กับ Pompelmocello หรือน้ำองุ่นเปรี้ยวอมหวาน รสชาติคล้าย Limoncello ช่วยล้างความคาวออกจากปากได้หายเกลี้ยง
Mr.Nicolas Loreau, Director of Food & Beverage กล่าวขอบคุณแขกทุกท่านที่มาร่วมรับประทานอาหารและไวน์ชั้นเลิศในค่ำคืนนี้Chef Andrea Montella แห่งห้องอาหาร Ventizi กล่าวถึงอาหารอิตาเลียนสไตล์ทัสคานีที่เสิร์ฟในคืนนี้ และไวน์มาตรฐานสูงจาก Pietraserena Vinyard ของตระกูล Arrigoni อันเก่าแก่ นับเป็นการแพริ่งสุดวิเศษ และเราจะพบกันใหม่เร็วๆ นี้แน่นอนสนใจชิมไวน์ทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี และสั่งซื้อไวน์อิตาเลียนหายาก ติดต่อ Cafe’ Buongiorno Tel. 06-2494-1649 (คุณพิม)

Booking โต๊ะรับประทานอาหาร และชิม Italian Wine ชั้นเลิศได้ที่ โทร. 02-100-6255

Pizza, Pasta and More @Le Meridien Bangkok

โรงแรม Le Meridien Bangkok โรงแรมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะ ตั้งอยู่ในย่านสีลมอันคึกคักของกรุงเทพฯ ชวนนักชิมทุกท่านมาอร่อยกับ “Pizza, Pasta and More” อาหารบุฟเฟ่ต์นานาชาติแบบไม่อั้น All-You-Can-Eat ชวนน้ำลายสอ ที่ ห้องอาหาร Latest Recipe ได้แล้วตั้งแต่วันนี้

“Pizza, Pasta and More” ให้บริการตั้งแต่วันพุธ-อาทิตย์  แบบกินได้ไม่จำกัด นำเสนออาหารน่าทึ่งมากมายจากทั่วโลก เน้นความพิเศษของพิซซ่า พาสต้า ทาร์ทา ซุป และอีกหลากหลาย โดยเชฟประจำห้องอาหาร คัดสรรวัตถุดิบระดับพรีเมียม เช่น เห็ดทรัฟเฟิล ปลาแซลมอน และเนื้อปูแน่นๆ ปรุงตามสั่งที่สเตชั่นปรุงอาหารได้ตามต้องการ

Mr. Marco Cammarata / Executive Chef , Le Meridien Bangkok เชฟมากฝีมือชาวอิตาเลียน รังสรรค์ความอร่อยหลากเมนูให้ห้องอาหาร Latest Recipe

เริ่มต้นมื้อพิเศษแบบไม่อั้นที่ สลัดบาร์”  ซึ่งเต็มไปด้วยสีสันและผักสดกรอบ ต่อด้วย สเตชั่นทาร์ทา” ที่จัดขึ้นโดยเฉพาะ ให้เราเลือกรับประทานและปรุงในแบบที่ตัวเองชอบได้ มีทั้ง ทาร์ทาปลาแซลมอน ปลากะพง ปลาทูน่า เนื้อชั้นดี และไข่ออร์แกนิก รวมทั้ง Cold Cut” ที่มีให้เลือกหลายแบบ ชีส เครื่องเคียง และเครื่องผสมอีกมากมาย

ใครที่ชื่นชอบอาหารอิตาเลียนต้องตรงไปที่ สเตชั่นพาสต้า” ของเชฟ Marco โดยในแต่ละวันจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป เช่น ทากลิโอนีโฮมเมดกับหอยลาย เฟตตูชินีกับซอสเห็ดทรัฟเฟิลดำ และลิงกวินีฉู่ฉี่เนื้อปูทะเลสไตล์ไทย  หรือเราจะรังสรรค์ในแบบของตัวเองก็ได้ อีกมุมจะพบกับ พิซซ่าโฮมเมด” ทั้งหน้ามาร์เกอริต้า หน้าดิอาโวลา หน้าซีฟู้ดแบบไทย และอีกมากมาย  อีกมุมคือ “Friggitoria” ของทอดตามแบบฉบับดั้งเดิมของอิตาลี เชฟจะปรุงขนาดพอดีคำตามสั่ง เช่น ปูนิ่มทอดซิซิเลียน, อารันชินี ข้าวผสมเนื้อสับทอด, คาลามารีปลาหมึกทอด, หอยแมลงภู่ชุบแป้งทอด ฯลฯ

From Chef’s Pan อร่อยกับเมนคอร์สที่ปรุงสดๆ สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปไม่ซ้ำ อาทิ กราแตงปูอะลาสก้ากับมันฝรั่งและเนยกรุยแยร์ ซี่โครงแกะย่างกับโหระพาไทยและกระเทียม หอยแมลงภู่เดนมาร์กนึ่งซอสเนยไวน์ขาว หมูกรอบแบบไทย และอกเป็ดเคลือบซอส ฯลฯ

แน่นอน ทุกมื้อจบลงที่ของหวาน มีให้เลือกมากมาย อาทิ เค้กช็อกโกแล็ตลาวา ทีรามิสุ และเครมบรูเล่

Pizza, Pasta and More พร้อมน้ำเปล่า ราคาเพียง 722++ ต่อท่าน

อาหารค่ำ ทุกวันพุธ – วันเสาร์  เวลา 18:00 น. – 22:00 น.

อาหารกลางวัน ทุกวันอาทิตย์  เวลา 12:00 น. – 15:00 น.

สอบถามเพิ่มเติม และสำรองที่นั่ง โทร. 0-2232-8888

E-mail : service.lmbkk@lemeridien.com

Website :  http://www.lemeridienbangkoksurawong.com/

Facebook : https://www.facebook.com/LeMeridienBangkok/

Line : @lemeridienbangkok

สอบถามเพิ่มเติม ติดต่อ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด (ณัฐธินี พยุงวงค์) โทร. 0-2232-8826, 08-9145-5422

E-mail : nuttinee.payungwong@lemeridien.com

Beautiful Italian, Tempo Wine Event @Le Meridien Bangkok

Italy ประเทศในฝันของใครหลายคน เป็นดินแดนที่รุ่มรวยด้วยประวัติศาสตร์และอารยธรรมโบราณของอาณาจักร Roman งดงามด้วยธรรมชาติชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสีน้ำเงินครามเข้มข้น ที่สำคัญคือ Italy เป็นเจ้าพ่อแห่งการผลิตไวน์ชั้นเลิศของโลก ทั้ง 20 แคว้น มีองุ่นสายพันธุ์ท้องถิ่นที่ใช้ผลิตไวน์ขาวและแดง อยู่ไม่น้อยกว่า 350 สายพันธุ์เลย

ค่ำคืนนี้เรากำลังจะได้สัมผัสส่วนเสี้ยวหนึ่งของ Italian Wine ชั้นเลิศ 5 ตัว ที่ Cafe’ Buongiorno บริษัทนำเข้า Boutique Wine ร่วมกับ Tempo Barโรงแรม Le Meridien Bangkok จัดคอกเทลไวน์เทสติ้ง  “Beautiful Italian” เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2023
Tempo Bar ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ของโรงแรม Le Meridien Bangkok ตกแต่งบรรยากาศหรูเรียบ เหมาะมาพบปะสังสรรค์กันในบรรยากาศเป็นกันเอง ตั้งแต่เวลา 17.00-23.00 น. พร้อมเสิร์ฟอาหารฟิวชั่น และไวน์คุณภาพเยี่ยมในแบบ Sommelier Selection ที่ใครๆ ก็ติดใจ (Contact 0-2232-8888, 0-2232-8999)
ขอบอกว่าแสงสียามค่ำคืนที่ Tempo Bar สวยงาม จับตาจับใจมาก
Mr. Dieter Ruckernbauer / General Manager, Le Meridien Bangkok ยินดีต้อนรับทุกท่าน
Mr. Marco Cammarata / Executive Chef , Le Meridien Bangkok เชฟมากฝีมือชาวอิตาเลียนแท้  รังสรรค์ความอร่อยหลากเมนูอย่างใส่ใจ ให้แขกผู้มาเยือน
คุณ Waraporn Viyanut / Senior Bartender ของ Tempo Bar คอยดูแลอาหารและเครื่องดื่มตามสไตล์ที่คุณต้องการ
คุณ Thanawan Sawangsub (Mind), Food & Beverage Manager / คุณ Nuttinee Payungwong (Tik), Marketing Communications Manager / คุณ Waraporn Viyanut, Senior Bartender Tempo Bar
Mr. Akarawit Jintanakarn / Director of Food & Beverage, Le Meridien Bangkok เตรียมอาหารและเครื่องดื่มชั้นเลิศ ไว้บริการทุกท่านอาหารชั้นเลิศ ก็ต้องคู่กับ Italian Wine ชั้นยอด
DJ เปิดเพลงสนุกสนาน สร้างบรรยากาศเพลิดเพลิน น่าจดจำที่ Tempo Bar
Mr. Akarawit Jintanakarn, Director of Food & Beverage กล่าวต้อนรับ และพูดถึง Italian Wine ทั้ง 5 ตัว ซึ่งนำเข้าโดย Cafe’ Buongiorno บริษัท Wine Importer ที่มีชื่อเสียง ทำให้เราได้สัมผัสไวน์สายพันธุ์หายากจากภูมิภาคต่างๆ ของอิตาลีไวน์ชั้นเลิศทั้ง 5 ตัวในคืนนี้ ผลิตขึ้นอย่างพิถีพิถันโดย ARRIGONI Vineyard ซึ่งทำไวน์ต่อเนื่องกันมา 4 ชั่วอายุคนแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1913 ปัจจุบันจึงมีความเก่าแก่ถึง 110 ปี ไร่องุ่นส่วนใหญ่ของเขาตั้งอยู่ในพื้นที่ World Heritage Site ของ UNESCO ด้วย (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)เรียกน้ำย่อยและสร้างความสดชื่นด้วย Sparkling Wine ตัวแรก Otello Prosecco” มาตรฐานสูงระดับ DOC มีความ Extra Dry คือหวานกลางๆ แต่ยังคงความสดชื่นหอมหวานโดดเด่นของกลิ่น Green Apple ผสานกลิ่นอัลมอนด์ และดอกไม้สีขาว เหมาะเสิร์ฟเย็นฉ่ำที่อุณหภูมิ 8-11 องศาเซลเซียส จึงสัมผัสได้ถึงความ peak ของกลิ่น รส และเนื้อสัมผัสนุ่มลื่นที่แท้จริง เนื้อไวน์สีฟางอ่อน (Pale Straw) และมีพรายฟองเล็กละเอียดน่ารักดี เหมาะรับประทานคู่กับเมนูปลา หรือ seafood

Otello Processo ผลิตที่ เมืองเทรวิโซ่ (Treviso) แคว้นเวเนโต้ (Veneto) ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี ซึ่งอากาศเย็น ภูมิประเทศเป็นหุบเขา โดยผลิตขึ้นจากองุ่นพันธุ์ เกลียร่า (Glera) ซึ่งเหมาะในการทำ Prosecco ที่สุดOtello Prosecco แพริ่งกันได้ดีกับ “ซิกเคติ” (Cicchetti) อาหารอิตาเลียนสไตล์ภาคเหนือของชาวเวเนเชียน “ซิกเคติ” แปลว่า “อาหารจานเล็ก” หรืออาหารที่เสิร์ฟมาเป็นคำเล็กๆ และยังหมายถึง “อาหารทานเล่น” หรือ “อาหารว่าง” ได้ด้วย ซิกเคติคืนนี้มีส่วนผสมหลักของปูม้า กับปลา Crostini’s Whisked Cod และน้ำมันมะกอกอย่างดี กัดคำนึง จิบ Otello Prosecco อึกนึง ช่วยเสริมรสชาติกันได้ยอดเยี่ยมเพิ่มดีกรีความสนุกกับ “MANON” ไวน์ขาวอันโด่งดังจาก แคว้นเวเนเซีย (Venezia) ผลิตที่เขตฟริอูลี (Friuli) ทางภาคเหนือของอิตาลี โดยใช้องุ่นพันธุ์ ปินอต กริจิโอ (Pinot Grigio /กลายพันธุ์มากจาก Pinot Noir) ซึ่งถือเป็น ปินอต กริจิโอ ที่ดีที่สุดของอิตาลีเลยทีเดียว ตัวนี้มาตรฐานสูงระดับ DOC ให้สีฟางอ่อน แต่กระทบแสงเป็นประกายสีทอง ตัวไวน์มีความ balance ยอดเยี่ยม ของความ Full Body กลิ่นผลไม้หอมเข้มข้น รสชาติหวานน้อย เปรี้ยวน้อย และแทบไม่ติดขมเลยเมื่อกลืนไปแล้ว ทิ้งความหอมหวานชื่นใจไว้ในปาก เหมาะรับประทานคู่กับเนื้อสีขาวอย่างปลา ไก่ หอย และ seafood เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 10-12 องศาเซลเซียส ยอดเยี่ยมที่สุดMANON Pinot Grigio เหมาะแพริ่งกับ “เซวิเช่ มิกซโต้” (Ceviche Mixto) ซึ่งมีส่วนผสมลงตัวของปลากะพง, มันเทศหวาน, เมล็ดข้าวโพด คลุกเคล้าด้วยซอส Coconut Lime เผ็ดนิดๆ ชิมแล้วให้ความละมุนลิ้น กลิ่นไม่แรง ชอบเลยครับ
เข้าสู่โหมด Red Wine ชื่อดังของโลกจาก เกาะซิซิลี (Sicily / คนอิตาเลียนเรียก “ซิซิเลีย”) SIMON B” มาตรฐานระดับ  IGT ซึ่งใช้องุ่นพันธุ์หายาก เนโร ดาโวล่า (Nero D’Avola) มาบ่มหมักอย่างใส่ใจ องุ่นแดงพันธุ์นี้มีปลูกเฉพาะที่เกาะซิซิลีเท่านั้น Character มีความ Full Body กลิ่นรสเทียบเท่าองุ่นพันธุ์คาเบอร์เน่ต์ โซวิญอง (Carbernet Sauvignon) จากแคว้นบอร์โด (Bordeaux) ของฝรั่งเศสเลยทีเดียว แต่ทิ้งความ Fruity ไว้ในปากมากกว่า น้ำไวน์สีทับทิมอมแดงเข้มข้น แทนนินนุ่มลื่น เปรี้ยวน้อย มีกลิ่น Blueberry ชัดเจน เหมาะรับประทานคู่กับเนื้อสีแดง เนื้อย่าง สเต็กเนื้อ ซี่โครงแกะย่าง รวมถึง Risotto (ข้าวผัดครีมข้นอิตาเลียน) เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 16-18 องศาเซลเซียส เริ่ดสุด

ชื่อ Nero D’Avola มาจากคำว่า “Nero” แปลว่า “สีดำ” ของผลองุ่นเมื่อแก่เต็มที่เปลือกจะกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ และ “Avola” เป็นชื่อหมู่บ้านทางชายฝั่งตะวันออกของเกาะซิซิลี ซึ่งองุ่นพันธุ์นี้ถือกำเนิดขึ้นมา Nero D’Avola จึงได้สมญามากมาย เช่น สิงห์ดำแห่งซิซิลี และองุ่นดำแห่งหมู่บ้านอะโวล่า นอกจากนี้ยังได้ฉายาว่า “The Godfather Wine” เพราะถูกนำไปโยงกับหนังเรื่อง The Godfather ของตระกูลคอร์เลโอเน่แห่งซิซิลีด้วย

จริงๆ แล้วซิซิลียังมีไวน์ดีๆ ให้ชิมอีกเพียบ ไวน์แดงยังมี Nerello Mascalese, Perricone และ Frappato ส่วนไวน์ขาวที่ห้ามพลาด เช่น Catarratto, Carricante, Insolia และ Grillo นอกจากนี้ยังมี Marsala Wine ซึ่งเป็นไวน์ปรุงแต่ง (Fortified Wine) ที่เติมแอลกอฮอล์ปริมาณสูง และค่อนข้างหอมหวาน ปกตินิยมจิบเป็นแก้วเล็กๆ จบมื้ออาหาร และเชฟทั่วโลกชอบนำไปใช้ปรุงอาหารในครัว

SIMON B Nero D’Avola แพร่ิงได้ยอดเยี่มกับ “อารันชินี่” (Arancini) คือข้าวรีซอสโตปั้นเป็นก้อน คลุกเคล้าเกล็ดขนมปัง นำไปทอด สอดไส้ด้วยเนื้อวัวตุ๋น, ถั่วพิสตาชิโอบดละเอียด ผสมกับชีสอร่อยๆ อย่าง Stracciatella Espuma ที่นิยมรับประทานกันในภาคใต้สุดของอิตาลี
เดินทางจากภาคใต้ของอิตาลี ขึ้นมาตรงรอยต่อภาคเหนือ-ภาคกลาง ณ “แคว้นทอสคานา” (Toscana หรือ ทัสคานี / Tuscany) แคว้นใหญ่ชายฝั่งตะวันตก ที่ได้รับลมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งปี กอปรกับมีภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับหุบเขา กลางวันร้อน กลางคืนหนาว เช้ามีหมอก จึงกลายเป็นยูโทเปียของการผลิตไวน์ชื่อก้องโลก

คืนนี้เราได้จิบไวน์แดง “Pietraserena In NERO” มาตรฐาน IGT ผลิตจากองุ่นพันธุ์ “เวอร์เมนติโน่ เนโร” (Vermentino Nero) ซึ่งเคยเกือบจะสูญพันธุ์ไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเพิ่งได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาจนแพร่หลายอีกครั้ง ไวน์ตัวนี้ผลิตที่ เมืองซาน จิมิกนาโน (San gimignano) ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นเนินเขา และดินมีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ เนื้อไวน์สีแดงทับทิม (Red Ruby) ค่อนไปทางสีแดงโกเมน (Garnet) เนื้อไวน์ Full Body ให้รสกลิ่นไม่ซับซ้อน ไม่หวาน แทนนินนุ่มลื่นกำลังดี เข้ากันได้ยอดเยี่ยมกับพวก Cold Meat อย่างไส้กรอก, Tuscan Pasta และพิซซ่า
คืนนี้ Pietraserena In NERO นำมาแพริ่งกับ “Pork Belly” หรือหมูสามชั้น เสิร์ฟไซต์เล็กๆ พอดีคำ โดยเชฟนำหมูสามชั้นไปทำให้สุกช้าๆ แบบ Slow-cooked นานถึง 12 ชั่วโมง ร่วมกับ Red Wine Pear แต่งกลิ่นรสเพิ่มด้วยกระเทียม และใบโหระพาอิตาเลียน จิบไวน์แดงเข้าไปก่อนนิดนึง แล้วกิน Pork Belly ตาม รสชาติเปลี่ยนไปบนลิ้น นับว่าแปลกดี ยกนิ้วให้มาถึงพระเอกของค่ำคืนนี้คือ “Poggio Al Vento” ไวน์แดงมาตรฐานสูงระดับ Chianti Colli Sensi, DOCG ซึ่งเคยได้รับรางวัลจากการประกวดมาแล้วกว่า 10 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995-2017 ไวน์แดงชั้นเลิศของแคว้นทอสคานาตัวนี้ ผลิตจากองุ่น “ซานโจเวเซ่” (Sangiovese) เพียวๆ ถือเป็นพันธุ์องุ่นที่ปลูกมากที่สุดในอิตาลี เป็นองุ่นพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของทอสคานา และได้ฉายาว่า “โลหิตแห่งพระเจ้า” (The Blood of God) ด้วยเนื้อไวน์สีแดงทับทิมเข้มข้น ฉายานี้ตั้งเป็นเกียรติแด่เทพเจ้าแห่งสายฟ้า (Zeus) หรือที่คนกรีกและโรมันเรียกว่า Jupiter หรือ Jove นั่นเอง Sangiovese เป็นองุ่นที่เกิดมาเพื่ออาหารอิตาเลียนโดยแท้ เพราะมี Acidity (ความเปรี้ยว) ค่อนข้างมาก จึงกลบความเลี่ยนของชีส พาสต้า รวมถึงเป็นไวน์ไม่กี่ชนิดที่รสชาติยังคงอยู่ เมื่อรับประทานคู่กับอาหารที่มี Tomato Sauce

Character ของไวน์แดงตัวนี้ มีกลิ่นหอมหวาน ของ Blackberry ชัดเจนมาก ร่วมกับกลิ่น Raspberry, วานิลลา, อัลมอนด์, ดอกไวโอเล็ต น้ำไวน์มีรสนุ่มลื่นราวแพรไหมเมื่อสัมผัสลิ้น กลิ่นรสซับซ้อนมาก เกิดจากการบ่มหมักเป็นเวลานานก่อนบรรจุขวด ตามข้อกำหนดเคร่งครัดของไวน์ระดับ Chianti DOCG คือ 2.5 ปี, 2 ปี, 1 ปี, 9 เดือน และ 6 เดือน หากจะลิ้มลอง Sangiovese ที่ดีที่สุด ต้องมาจากเขต Chianti ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเมือง Florence และ Siena ครับ“Poggio Al Vento Sangiovese” นำมาแพริ่งได้ยอดเยี่ยมกับ “ทาลิอาตะ” (Tagliata) หรือเนื้อวัวย่าง Medium-Rare สไตล์อิตาเลียน สไลด์เป็นชิ้นบางๆ โดยเชฟใช้เนื้อเซอร์ลอยน์สันนอก กินคู่กับแตงซูกินีย่าง มะเขือเทศ ราดซอสบัลซามิคมะกอกดำ นับว่ารสชาติเข้าคู่กับไวน์แดงขวดนี้อย่างยอดเยี่ยมสุดๆ ราวฟ้าประทานเลยเชียว!นอกจากไวน์ทั้ง 5 ตัวดังกล่าวแล้ว ที่ Tempo Bar ของโรงแรม Le Meridien Bangkok ยังมีเครื่องดื่มพิเศษอีกชนิดให้ลิ้มลอง คือ “ไวน์อุ่น” (Mulled Wine) ซึ่งแถบยุโรปนิยมดื่มกันในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ไวน์อุ่นมีประวัติย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 14 เลย ยุคนั้นมีเฉพาะพวกขุนนางชั้นสูงที่ดื่มกัน โดยบ่มหมักไวน์อุ่นในถังไม้เคลือบทองคำ ผสมด้วย ส้ม, น้ำตาล, อบเชย, กานพลู, วานิลลา เพื่อให้เกิดรสชาติกลมกล่อม ภายหลังสามัญชนได้ทดลองนำไวน์อุ่นที่เสื่อมสภาพแล้วมาปรุงใหม่ จนเป็นที่แพร่หลาย ปัจจุบันพบไวน์อุ่นได้ในหลายประเทศ อาทิ อิตาลี, เยอรมนี, สวิตเซอร์แลนด์, ชิลี, ฝรั่งเศส, สวีเดน และโรมาเนีย เป็นต้น
หากใครชอบกินไอศกรีม ลองแวะเข้าไปที่ โรงแรม Le Meridien Bangkok ชั้นล่างมี Italian Gelato อร่อยๆ ของ Cafe’ Buongiornoให้ชิมด้วย เป็นเจลาโต้ที่ผลิตขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญชาวอิตาเลียนแท้ๆ มีหลายสิบรสให้ชิม ราคาก็ไม่แพง แค่แท่งละ 90 บาทเท่านั้น ถ้านึกไม่ออกว่าจะชิมรสอะไร แนะนำ Dark Chocolate ครับสนใจชิมไวน์ทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี และสั่งซื้อไวน์อิตาเลียนหายาก ติดต่อ Cafe’ Buongiorno 

Tel. 06-2494-1649 (คุณพิม)

Arrigoni & Trappolini Wine Dinner @Ventisi Bangkok 2023

ในโลกของคนรักไวน์ การมีโอกาสชิมไวน์แปลกใหม่ในบรรยากาศดีๆ มีเพื่อนฝูงที่รู้ใจร่วมโต๊ะด้วย คือความสุขที่ยากจะอธิบาย วันนี้เป็นอีกครั้งที่เราได้มาพบปะสังสรรค์กัน โดยมี Cafe’ Buongiorno บริษัทนำเข้า Boutique Wine ชั้นเลิศจากอิตาลี ร่วมกับ ห้องอาหารอิตาเลียน Ventisi ชั้น 24 โรงแรม Centara Grand Central World จัดค่ำคืน Dinner สุดพิเศษ เสิร์ฟ Premium Italian Wine จาก 2 ไวเนอร์รี่ระดับตำนาน คือ Arrigoni และ Trappolini นับเป็นซีรี่ส์ที่ 18 ของห้องอาหาร Ventisi แล้ว ที่นำไวน์จากแคว้นต่างๆ ของอิตาลีมาให้เราได้ลิ้มลองไวน์ 4 Labels ในคืนนี้ : 2 ตัวแรกเป็น Sparkling Wine (Prosecco) และ White Wine จากภาคเหนือของอิตาลี  ซึ่งมีอากาศเย็น ในแคว้นเวเนโต (Veneto) และแคว้นเวเนเซีย (Venezia) เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเริ่มต้นมื้ออาหาร จากนั้น Red Wine 2 ตัว มาจากภาคกลางของอิตาลี ในแคว้นลาซิโอ (Lazio) ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุงโรม และแคว้นอุมเบรีย (Umbria) ที่มีภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนอันอบอุ่น และมีแร่ธาตุดินภูเขาไฟอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีแหล่งมรดกโลก UNESCO World Heritage Site จำนวนมากอีกด้วย
ยินดีต้อนรับสู่ห้องอาหาร Ventisi (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)
บรรยากาศเปี่ยมความสุข พร้อมบริการระดับห้าดาว ที่ห้องอาหาร Ventisi (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)Cooking Corner ของห้องอาหาร Ventisi (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)มอบความสุขให้ตัวเอง ด้วยไวน์อิตาเลียนชั้นเลิศ และวิวพาโนรามากรุงเทพฯ ยามเย็น (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)วิวหลักล้าน ดูพระอาทิตย์ตกใจกลางกรุง จากห้องอาหาร Ventisi ชั้น 24 Centara Grand Central World
มุมดินเนอร์สุดโรแมนติก ที่ Ventisi (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)Chef Andrea Montella ชาวอิตาเลียน ผู้มากประสบการณ์ พร้อมทีมงานห้องอาหาร Ventisi มารังสรรค์อาหารอิตาเลียนแท้ให้ชิมในค่ำคืนนี้เมนูวันนี้มี 4 คอร์ส พร้อมด้วยไวน์ระดับพรีเมี่ยม จากภาคเหนือและภาคกลางของอิตาลีเริ่มต้นเรียกน้ำย่อยด้วย ขนมปังฟอคคาเซีย” (Focaccia) เนื้อนุ่มหนึบ กลิ่นหอมแป้งสาลีผสมน้ำมันมะกอก เป็นขนมปังคู่บ้านคนอิตาเลียน ที่กินเมื่อไหร่ก็อร่อย มีเครื่องเคียงเป็นซอสถั่ว และมะเขือเทศคลุกน้ำมันมะกอก กินคู่กับ Sparkling Wine ชั้นเลิศจากทางภาคเหนือของอิตาลี Otello Prosecco DOC ของ Arrigoni Vineyard ซึ่งเป็น Wine Producer ที่เก่าแก่และมีชื่อเสียง นับอายุย้อนไปได้ถึงปี ค.ศ. 1913 การจะเรียกไวน์ตัวใดว่าเป็น “โปรเซคโก้” (Prosecco Wine) ได้อย่างแท้จริง ต้องผลิตมาจากเขตโปรเซคโก้ ที่ปลูกอยู่ในแคว้นเวเนโต (Veneto) หรือ แคว้นฟริอูลิ เวเนเซีย จูเลีย (Friuli Venezia Giulia) เท่านั้น ซึ่ง Prosecco เป็นชื่อหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในแคว้นนี้ และนิยมใช้องุ่นพันธุ์ เกลียร่า (Glera) ในการทำมากที่สุด

โปรเซคโก้จากเมืองเทรวิโซ่ (Treviso) ตัวนี้ มีความ Balance ของรสชาติเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเสิร์ฟเย็นเจี๊ยบราวๆ 8-10 องศาเซลเซียส เนื้อไวน์ละมุนสีเหลืองฟางอ่อน (Pale Straw) แอลกอฮอล์ต่ำ 11 เปอร์เซนต์ Body นุ่มลึก มีความ Extra Dry (หวานกลางๆ) เด่นด้วยกลิ่นดอกไม้ป่า อัลมอนต์ และแอปเปิลเขียวชัดเจน จิบแล้วทิ้งความหอมหวานไว้ทั่วปาก และทิ้งรสขมนิดๆ ไว้ที่โคนลิ้น เหมาะกินคู่กับ Starters และกุ้งหอยปูปลานานาชนิด ถือเป็นไวน์ที่ Body ไม่ Waxy เกินไป พรายฟอง (Bubbles) เล็กๆ เบาๆ ซู่ซ่ากำลังดี จิบเพลิน Arrigoni Vineyard  เป็น Wine Producer ที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่กว่า 110 ปีแล้ว ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1913 ผลิตไวน์ต่อเนื่องกันมา 4 ชั่วอายุคน โดยเริ่มในแคว้นลิกูเรีย (Liguria) และทัสคานี (Tuscany) ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกองุ่นในแคว้นเวเนโต (Veneto) ด้วย ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับไวน์ขาวชั้นเลิศ เพราะอากาศเย็น อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำ พื้นที่เป็นภูเขา เนินเขา สลับทุ่งหญ้า กลางวันแดดเจิดจ้า กลางคืนหนาว ช่วงเช้ามีหมอก นี่คือยูโทเปียในอุดมคติของการปลูกองุ่น (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1913 ครอบครัว Arrigoni ใช้ความหลงใหลในการทำไวน์ สร้าง Vineyard ขึ้นในดินแดนภาคเหนือของอิตาลี  ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสร์ ธรรมชาติ และมีแหล่ง UNESCO World Heritage Site มากมาย อาทิ Botanical Garden (Orto Botanico), City of Verona, City of Vicenza, Venice และ Padua’s Fresco Cycle เป็นต้น (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)ดินและหินของแคว้น Veneto อุดมด้วยแร่ธาตุที่เหมาะต่อการเจริญงอกงามขององุ่น อีกทั้งช่วยให้ไวน์มีรสชาติพิเศษตามแบบฉบับภาคเหนือ (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)นอกจาก Prosecco และ White Wine ชั้นเลิศแล้ว Arrigoni Vineyard ยังมีไวน์อีกหลาย Categoriesให้เลือกชิม เช่น Vermentino Colli di Luni, Chianti Colli Senesi, Cinqueterre e Cinqueterre Sciacchetrà, Vernaccia di San Gimignano, Brunello di Montalcino, Morellino di Scansano, Vinsanto del Chianti เป็นต้น (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)Starter Menu แสนอร่อยสไตล์อุมเบรีย (Umbria) ทางภาคกลางของอิตาลี ประกอบด้วยซุปถั่ว Lentil เนื้อข้น เสิร์ฟแบบร้อนในแก้วช๊อต กินคู่กับแป้งทอดไส้ชีส / มะเขือยาวผัดกับมะเขือเทศ ในสไตล์คล้ายราตาตูย (Ratatouille) วางทับบนขนมปัง / ซาลามี่เกรดพรีเมี่ยมนำเข้าจากอิตาลี หั่นบางๆ กินคู่กับแตงกวาดอง รสเค็มกำลังดี / หอยแมลงภู่ดำ (Black Mussel) จากอิตาลี ผัดซอสรสเปรี้ยวนิดๆ ทั้งหมดกินคู่กับไวน์ขาวชั้นเลิศ Manon Friuli DOC ปี 2021Arrigoni Manon Friuli DOC ปี 2021 แอลกอฮอล์ 12.5 เปอร์เซนต์ เป็นไวน์ขาวชั้นสูง ที่ผลิตโดยควบคุมคุณภาพเข้มงวด ในพื้นที่เฉพาะ และใช้องุ่นพันธุ์ท้องถิ่นของอิตาลีเท่านั้น คือพันธุ์ “ปินอต กริจิโอ้” (Pinot Grigio) ซึ่งเป็นการกลายพันธุ์ย่อยขององุ่น Pinot Noir นั่นเอง และในบางพื้นที่ก็เรียกว่า Pinot Gris ด้วย องุ่นปินอต กริจิโอ้ ได้ชื่อภาษาอิตาเลียนมาจากคำว่า “กรวยสีเทา” เพราะผลออกเป็นพวงรูปกรวยสีเทา หรือม่วงอมเทาเข้มห้อยระย้า

องุ่นพันธุ์ Pinot Grigio ปรากฏชื่อครั้งแรกเมื่อศตวรรษที่ 13 ในแคว้นเบอร์กันดี (Burgundy) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส จากนั้นค่อยๆ แพร่เข้าสู่เยอรมนี ฮังการี สวิตเซอร์แลนด์ และทางภาคเหนือของอิตาลี ตัวที่เราได้ชิมในคืนนี้ผลิตจาก เมืองฟริอูลี” (Friuli) ซึ่งถือเป็นปิโนต์ กริโจ้ ที่ดีที่สุดของอิตาลีเลยทีเดียว ไวน์ขาวตัวนี้เป็นสีฟางอ่อน (Pale Straw) แต่มีความวาวสะท้อนแสงเป็นสีทอง จิบแล้วให้กลิ่นผลไม้เข้มข้น หอมหวนติดจมูก เนื้อไวน์ Full Body รสชาติซับซ้อนนุ่มลึก มีสมดุลระหว่างความหวานน้อยนิด (Low Sweetness) กับความเปรี้ยวน้อย (Low Acidity) ที่ยอดเยี่ยม เสิร์ฟอุณหภูมิ 10-12 องศาเซลเซียส เหมาะกินคู่กับ Straters Set นี้ที่สุดเรียกน้ำย่อยด้วย มะเขือยาวผัดกับมะเขือเทศ ในสไตล์คล้ายราตาตูย (Ratatouille) วางทับบนขนมปัง / ซาลามี่เกรดพรีเมี่ยมนำเข้าจากอิตาลี หั่นบางๆ กินคู่กับแตงกวาดอง รสเค็มกำลังดี ซุปถั่ว Lentil เนื้อข้น เสิร์ฟแบบร้อนในแก้วช๊อต กินคู่กับแป้งทอดไส้ชีส เรียกน้ำย่อยได้ดีจังหอยแมลงภู่ดำ (Black Mussel) จากอิตาลี ผัดซอสรสเปรี้ยวนิดๆ จิบไวน์ขาวตาม เสริมรสชาติกันได้ยอดเยี่ยมเชฟใส่ใจทุกรายละเอียดของการปรุง และตกแต่ง ก่อนยกมาเสิร์ฟจานแรกวันนี้คือ Pasta Strozzapreti ผัดกับไส้กรอกอิตาเลียน และเห็ด Black Truffle ความพิเศษคือเส้น Homemade Italian Pasta ในสไตล์ เส้นฟูซิลลี่ (Fusilli Pasta) บิดเกลียว และมีความยาวมากกว่าปกติ ชิมแล้วรสชาติลงตัว ไม่เค็มจัดเกินไป ยิ่งได้จิบไวน์แดงตาม ก็ยิ่งชูรสพาสต้าให้อร่อยล้ำขึ้นอีกหลายเท่า

เส้น Fusilli Homemade Pasta ที่ยาวและบิดเกลียวสวยเป็นพิเศษ ยิ่งทำให้หน้าตาจานนี้น่ากินขึ้นมาก เนื้อไส้กรอกบดก็เคี้ยวง่าย โรยหน้าด้วยพาร์เมซานชีสอย่างดีตามสไตล์อิตาเลียนแท้ไวน์แดงชั้นเลิศที่เหมาะกินคู่กับ Pasta จานนี้คือ Trappolini IL Piccolo IGP ปี 2016 ผลิตที่แคว้นอุมเบรีย (Umbria) ฉายา “The Green Heart of Italy” เพราะอยู่ตอนกลางของอิตาลีพอดี แถบนี้ไม่มีทางออกทะเลในลักษณะ Land Lock จึงเต็มไปด้วยภูเขาสลับลาดเนิน ดินภูเขาไฟอุดมแร่ธาตุ และอยู่ใกล้ภูเขาพีเกลีย (Peglia Mountain) ด้วย จึงมีภูมิอากาศที่จำเพาะเป็นของตัวเอง (Micro-Climate) ในหุบเขาต่างๆ ซึ่งต้นองุ่นชอบมาก

Red Wine ตัวนี้ผลิตขึ้นจากองุ่นพันธุ์ “ชีราส” (Shiraz) หรือจะอ่านว่า “ซีราห์” (Syrah) ก็ได้ องุ่นพันธุ์นี้เก่าแก่ย้อนไปได้ถึงยุคกรีกโรมัน ต้นกำเนิดจากแคว้นโรน (Rhone) ของฝรั่งเศส เป็นการผสมกันของ 2 พันธุ์องุ่นโบราณ คือ Dureza สีแดงเข้ม เเละ Mondeuse Blanche สีขาว ผลที่ได้คือองุ่นแดงที่ให้น้ำไวน์สีทับทิมเข้มข้น รส กลิ่น มีเครื่องเทศจัดจ้าน แทนนินฝาดชัดเจน และค่อนข้างจะเปรี้ยวมาก ข้อดีคือเหมาะจะเก็บไว้นานๆ (Ageing) นอกจากนี้ยังเหมาะกินกับเนื้อสัตว์สีแดง และไวน์ก็ช่วยลดความเลี่ยนของชีสและพาสต้าได้ดีมากRed Wine ตัวนี้เป็น Single Syrah 100% ให้สีทับทิมเข้มงดงามน่าหลงใหล (Deep Ruby) กลิ่นหอมไม้โอ๊คจากการบ่มหมัก มีกลิ่นดินนิดๆ (Earthy) รวมถึงได้กลิ่นผลไม้รสหวานเข้มข้น เมื่อจิบแล้วไม่บาดคอ มีความสมดุล ลุ่มลึก เนื้อสัมผัส Full Body ดีมาก เป็น Old World Syrah ที่แทนนิน Smooth นุ่มลื่น ความเปรี้ยว (Acidity) ต่ำ และกลิ่นรสเครื่องเทศไม่จัด จิบเพลิน ต่างกับ New World Syrah ที่รสค่อนข้างแรง บาดคอ และมีกลิ่นเครื่องเทศจัดจ้านร้อนแรง ไวน์ตัวนี้เสิร์ฟที่ประมาณ 18 องศาเซลเซียส กลิ่นรสจะ Peak มาก
IL Piccolo IGP ผลิตขึ้นโดยตระกูล Trappolini ซึ่งทำไวน์ติดต่อกันมา 3 ชั่วอายุคนแล้ว พวกเขาสร้าง Vineyard ชื่อเดียวกันขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1961 นอกจากไวน์แดงชั้นเลิศ ยังผลิตไวน์ขาวชั้นยอดได้ด้วย ไร่องุ่นอยู่ในแคว้นอุมเบรีย (Umbria) และแคว้นลาซิโอ (Lazio) มีดินภูเขาไฟอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำไทเบอร์ (Tiber River) และเทือกเขาแอเพนไนน์ (Apennines) เรียกว่าธรรมชาติให้ทรัพยากรมาดี ก็ใช้ผลิตไวน์ได้ชื่อเสียงโด่งดัง (Thank you for picture from www.trappolini.com)จิบไวน์ให้อารมณ์ดี พูดคุยสรวนเสเฮฮากัน (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)เชฟช่วยกันรังสรรค์ Main Course อย่างตั้งอกตั้งใจMain Course พระเอกในวันนี้คือ Traditional Lamb Abbacchio Roman Style หรือเนื้อลูกแกะ ปรุงตามแบบฉบับดั้งเดิมของกรุงโรม เข้ากันได้ดีกับไวน์แดงจากภูมิภาคเดียวกัน

จานนี้ใช้ Baby Lamb ของฝรั่งเศส เฉพาะส่วนขา ตุ๋นเล็กน้อย แล้วนำไปซูวี (Sous Vide – การทำให้อาหารสุกช้าๆในน้ำที่อุณหภูมิไม่ถึงจุดเดือด เพื่อไม่ทำให้วัตถุดิบแข็งหรือเหนียวเกินไป ส่วนใหญ่ใช้อุณหภูมิ 50-70 องศาเซลเซียส) เสร็จแล้วใส่เตาอบ เพื่อให้รสและเนื้อสัมผัสมีความ balance ยิ่งขึ้น จากนั้นเลาะกระดูกออก หั่นเอาเฉพาะส่วนเนื้อล้วนให้สวย เนื้อลูกแกะที่เสิร์ฟในหนึ่งจาน จะมีทั้งส่วนเนื้อต้นขาและปลายขา จึงมีทั้งชิ้นใหญ่และเล็กอย่างพิถีพิถัน ราดซอสเกรวี่ Red Wine เคี่ยวกับน้ำสต็อก โดยนำเนื้อทั้งหมดมาตุ๋นแบบ Long Cooking ให้เนื้อเปื่อย และซึมซับความหอมของหัวหอม โรสแมรี่ เซเลอรี่ คั้นเอาเฉพาะน้ำอย่างเดียวไปเคี่ยวกับ Red Wine จนได้ซอสที่ Unique มาก!

Baby Lamb เนื้อนุ่มๆ กินคู่กับมันฝรั่งสูตรพิเศษ โดยหั่นมันฝรั่งเป็นแผ่นบางๆ นำมาซ้อนกันเป็นชั้นๆ กดให้แน่น แช่เย็นไว้ จากนั้นนำออกมาเซียร์ (Searing – การทำให้ผิวอาหารด้านนอกสุกโดยใช้ไฟแรง จนผิวค่อนข้างแข็ง เป็นสีน้ำตาล แต่เนื้อด้านในยังนุ่มละมุนลิ้น) โรยเกลือ พริกไทย เมื่อลองเคี้ยวจะสัมผัสได้ถึงความหอมของมันฝรั่ง ที่ผสมกลมกลืนกับเครื่องเทศได้อย่างลงตัว

Red Wine ของ Trappolini ที่เหมาะกินคู่กับ Baby Lamb ต้องยกให้ ROSSO Acadia Crogneto IGT ปี 2020 จากแคว้นลาซิโอ (Lazio) แอลกอฮอล์ดุดัน 15 เปอร์เซนต์ จึงถือเป็นพี่ใหญ่ของคืนนี้ เป็นการ Blend องุ่นชั้นเลิศ 2 สายพันธุ์ คือ “ซานโจเวเซ่” (Sangiovese) และ “มอนเตพูลชิอาโน่” (Montepulciano) ซึ่งทั้งสองถือเป็นระดับเรือธงสุดคลาสสิกของอิตาลี สำหรับองุ่น Sangiovese ได้นิกเนมว่า “โลหิตแห่งพระเจ้า” เพราะสีแดงข้น รสจัดจ้าน เนื้อแน่นเข้ม มี Acidity ค่อนข้างสูง และมีกลิ่น Tannin นิดๆ เหมาะดื่มคู่กับอาหารอิตาเลียนแท้ๆ

ส่วนองุ่น Montepulciano ชอบอากาศร้อน จึงปลูกมากในอิตาลีภาคกลางและภาคใต้ ให้น้ำไวน์ที่มีเนื้อสัมผัส กลิ่น และรสยอดเยี่ยม สีแดงราวกับผลเชอร์รี่ แต่ใสมาก กลิ่นอบอวลด้วยผลไม้สีแดงและสีดำนานาชนิด ทั้ง Black Berry, Black Current, Raspberry, Dark Chocolate, วานิลลา, เชอร์รี่ และใบยาสูบ เมื่อนำทั้ง 2 สายพันธุ์มา Blended กัน จึงได้ไวน์แดงที่ซับซ้อนเย้ายวน มีเสน่ห์น่าค้นหามากคำว่า “ROSSO” ในภาษาอิตาเลียนหมายถึง “สีแดง” บ่งบอกได้ดีว่าไวน์ ROSSO Acadia Crogneto มีสีแดงทับทิมเข้มข้นและใสเหลือเชื่อ กลิ่นมี Tannin หอมหวานชื่นใจ แกว่งแก้วไปมาดูขาไวน์ถี่ยิบ เป็นเส้นสวยมากเหมือนผมนางฟ้า เพราะมีแอลกอฮอล์สูงถึง 15 เปอร์เซนต์ ลองจิบแล้วรู้สึกว่า Body และรสชาติ Smooth นุ่มลื่นมาก มีกลิ่นลูกพลัมและเครื่องเทศอ่อนๆ ขึ้นจมูก แบบ Fruit Based Wine ถือเป็นไวน์ที่ห้ามพลาดเลยล่ะ และคนอิตาเลียนบอกว่าเป็นไวน์ที่กินกับอะไรก็อร่อยไปหมดทุกอย่าง

ส่วนตัว ผมถือว่าเป็น Elegant Wine ที่มีความ Balance ของ Body, Alcohol, Tannin, Sweetness และ Acidity สุดยอดตัวหนึ่ง เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 18 องศาเซลเซียส จะได้ความ Peak สุดยอดครับ กินขนมหวานล้างปากก่อนกลับบ้าน ด้วยโดนัทอิตาเลียน “เซปโปลา” (Zeppola หรือ Zeppole) เป็นขนมท้องถิ่นของแถบกรุงโรม (Rome) และเมืองเนเปิลส์ (Naples) เนื้อนุ่มมาก ข้างในสอดไส้ครีมหวานๆ กินคู่กับน้ำเลมอนต์ Homemade Limoncello Trolley ช่วยล้างรสอาหารคาวออกจากปาก และให้ความรู้สึกสดชื่นจี๊ดจ๊าดChef Andrea Montella ออกมาทักทาย และกล่าวถึงความพิเศษของอาหารอิตาเลียนคืนนี้ ที่ Paring กับไวน์ได้ยอดเยี่ยม สร้างความประทับใจให้ทุกคนความสุขในหมู่เพื่อนฝูง ที่มีไวน์จาก Cafe’ Buongiorno เชื่อมโยงเราไว้ด้วยกัน วันนี้ผมได้ตกหลุมรัก Boutique Wine สี่ตัวจากอิตาลีเข้าแล้ว หวังว่าอีกไม่นานเราจะได้พบกันใหม่ See You Soon My Friends.สนใจชิมไวน์ทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี และสั่งซื้อไวน์อิตาเลียนหายาก ติดต่อ Cafe’ Buongiorno Tel. 06-2494-1649 (คุณพิม) Booking โต๊ะรับประทานอาหาร และชิม Italian Wine อย่างดีได้ที่ โทร. 02-100-6255

Anyavee Krabi Beach Resort ความทรงจำดีๆ ที่หาดคลองม่วง

ไปเที่ยวจังหวัดกระบี่ทีไร อดไม่ได้ที่ต้องหารีสอร์ทเก๋ๆ ริมทะเลนอนฟังเสียงคลื่น เหม่อมองทะเลดูพระอาทิตย์ตก และชิม Seafood อร่อยๆ สดใหม่จากทะเล ดูเหมือนสิ่งที่เราต้องการจะมีครบครันที่ “Anyavee Krabi Beach Resort” หาดคลองม่วง ซึ่งอยู่ห่างจากอ่าวนางเพียงประมาณ 14 กิโลเมตรเท่านั้น ถ้ารู้สึกต้องการแสงสีเมื่อไหร่ก็ขับรถไปแป๊ปเดียวถึง เสน่ห์ของหาดคลองม่วงคือความ Cozy & Peaceful เงียบสงบเป็นส่วนตัว หาดทรายกว้างทอดยาว และมีรีสอร์ทดีๆ ให้อิงกายพักผ่อน

Anyavee Krabi Beach Resort จึงเป็นคำตอบสุดลงตัวสำหรับเรา เพราะอยู่ติดทะเล จะวิ่งลงไปเล่นน้ำเมื่อไหร่ก็ได้
รีสอร์ทริมหาดคลองม่วงในเครือ Anyavee Resort Group เน้นความเป็นธรรมชาติ ด้วยห้องพักรวม 56 ห้อง แบ่งเป็น Bamboo Cottage 28 หลัง ทั้ง Beach Front, Garden View และ Family เป็นที่นิยมและชื่นชอบมากสำหรับชาวยุโรป รวมถึงมีห้องพักในตัวอาคารอีก 28 ห้อง กว้างขวาง สะดวกสบาย เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัวมองจากหาดทรายเข้าไปเห็น Anyavee Krabi Beach Resort สร้างกลมกลืนอยู่กับธรรมชาติ แมกไม้ร่มรื่น และต้นมะพร้าวสูงลิ่วจะเล่นน้ำสระก็ได้ หรือจะเล่นน้ำทะเล ก็ใกล้แค่เดินไม่กี่ก้าว (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Beach Front Cottage Beach Front Cottage Beach Front Cottage Beach Front Cottage      Standard Cottage Standard CottageGarden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Garden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Garden Cottage Garden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Garden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Garden Cottage Garden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Garden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Garden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Garden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Modern Building Room

ห้องพักในตัวอาคารมี 28 ห้อง ขนาด 65 ตารางเมตร กว้างขวาง เหมาะกับคนที่ต้องการความสะดวกสบาย ทั้งห้อง Deluxe Pool Access, Deluxe Family สำหรับครอบครัว 4-5 คน และ Deluxe Seaview สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เน้นความเรียบง่าย กับคอนเซปท์ที่คงความเป็นธรรมชาติ แต่มีความเก๋ในตัวเองDelux Pool Access Delux Pool Access Delux Family RoomDelux Family RoomDelux Family RoomDelux Room เรียบง่ายแต่ดูดีในสไตล์ MinimalDelux Room Delux RoomSwimming Pool สระว่ายน้ำสุดชิว มองเห็นวิวทะเลสวยๆ ได้ตลอดเวลา (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Swimming Pool กล้ๆ สระว่ายน้ำ มีห้องอาหารที่เปิดบริการ ตั้งแต่เช้าจนถึงสี่ทุ่ม (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Swimming Pool (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Swimming Pool (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Beach Front Restaurant ห้องอาหารสร้างด้วยไม้ไผ่ดีไซน์เก๋ กลมกลืนกับธรรมชาติ ให้ความรู้สึก Friendly มากๆ (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Beach Front RestaurantBeach Front Restaurant เหมาะพาคนรู้ใจไปนั่งทำซึ้ง (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Set อาหารเมนูใหม่ ต้อนรับปี 2023 อิ่มอร่อยกับ Seafood สดอร่อยรสเลิศจากทะเลกระบี่ ราคาเพียง 700 บาท สำหรับ 2 ท่าน

ประกอบด้วย ปูนิ่มทอดกระเทียม, แกงปูใบชะพลู, ปลากะพงทอด ซอสยำมะม่วง, หมึกย่าง, กุ้งซอสมะขาม พร้อมด้วยข้าวสวยและน้ำดื่ม

สำรองห้องพักได้ที่ Anyavee Krabi Beach Resort

หาดคลองม่วง ต.หนองทะเล อ.เมือง จ.กระบี่ โทร. 06-3879-2642, 0-7581-7256 / anyaveekrabi.com

Liguria Wine Unforgettable Experiences @Ventisi Italian Restaurant, BKK

โอกาสพิเศษมาถึงอีกครั้ง เมื่อห้องอาหาร Ventisi ชั้น 24 โรงแรม Centara Grand Central World ซึ่งมีความโดดเด่นในการนำไวน์ชั้นเลิศจากแคว้นต่างๆ ของอิตาลี มาให้เราได้ชิม จับมือกับบริษัท Importer Italian Wine รายใหญ่ Cafe’ Buongiorno คัดสรรเฉพาะไวน์จากพื้นที่ UNESCO World Heritage Sites ของอิตาลีเท่านั้น Dinner สุดพิเศษ ที่มีไวน์จาก แคว้นลิกูเรีย (Liguria) จับคู่กับอาหารอิตาเลียนโดยเชฟชื่อดัง จึงเกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2023
Italy เป็นประเทศที่คอไวน์ทั่วโลกให้การยอมรับ ว่าเป็นหนึ่งในเจ้าแห่งการผลิตไวน์ชั้นเลิศมานานหลายชั่วอายุคน  ทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี มีองุ่นพันธุ์ท้องถิ่นอยู่มากกว่า 300 ชนิด อันเกิดจากภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ที่ร้อนจัดในฤดูร้อน และมีฝนตกมากในฤดูหนาว ผสานกับดิน หิน แร่ธาตุ และวิธีการบ่มหมักไวน์อันมีเอกลักษณ์เฉพาะ ทำให้โลกของ Italian Wine เต็มไปด้วยเสน่ห์ น่าค้นหา เปรียบเหมือนการผจญภัยไม่สิ้นสุดสำหรับนักดื่ม โดยเฉพาะไวน์ทางภาคเหนือของอิตาลีที่ แคว้นลิกูเรีย (Liguria) นั้น ถือเป็นอาณาจักรของไวน์ขาว ที่ปลูกอยู่ตามเชิงเขาแอลป์ กั้นพรมแดนแคว้นโปรวองซ์ในฝรั่งเศสด้วย

Liguria เป็นแคว้นที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี  ได้ชื่อว่า “Italian Riviera” เพราะเป็นเมืองตากอากาศชายทะเล ที่มีภูมิทัศน์สวยที่สุดทางภาคเหนือ มีแดดมากถึง 300 วันต่อปี เราจะเห็นภาพชายฝั่งทะเลยาวเหยียด ชายหาด ร่ม คนนอนอาบแดด ผาหิน และหมู่บ้านชาวประมง ซึ่งด้านหลังเป็นไร่องุ่นปลูกอยู่บนเชิงผาหินปูนลาดชัน ในแบบ Cliff Vineyard หรือ Terrace Vineyard ทำให้มีความยากในการปลูก ดูแล และเก็บเกี่ยวด้วยมือล้วนๆ Liguria Wine จึงได้ฉายาว่าเป็น “Heroic Wine” (ไวน์ของผู้กล้า) เลยทีเดียว

แคว้น Liguria ทอดตัวเป็นแนวยาวตะวันออก-ตะวันตก ต่อเนื่องเข้าสู่ French Riviera ของฝรั่งเศส  ตัวแคว้น Liguria แบ่งออกเป็น 4 จังหวัด ไล่จากตะวันออกไปตะวันตก คือ ลา สเปเซีย (La Spezia), เจนัว (Genoa), ซาโวนา (Savona) และอิมพีเรีย (Imperia) โดยมีเจนัวเป็นเมืองหลวง หากจะแบ่งโซนไวน์คร่าวๆ โดยใช้เจนัวเป็นจุดกึ่งกลาง ทางทิศตะวันออก คือ La Spezia และ Genoa จะเด่นเรื่องไวน์ขาว ส่วนทางทิศตะวันตกที่ Savona และ Imperia จะเด่นเรื่องไวน์แดง โดยไวน์ขาว Signature ของ Liguria คือพันธุ์ Vermentino, Bosco และ Albarola ส่วนไวน์แดงตัว Top คือ Rossese และ Dolcetto (หรือ Ormeasco)

แต่ด้วยความที่ Liguria เป็นดินแดนที่ถูกห้อมล้อมด้วยแคว้นมากมายโดยรอบ องุ่นหลายสายพันธุ์จึงมีกระจายปลูกออกไป และเรียกชื่อต่างกันแม้จะเป็นพันธุ์เดียวกัน เช่น พันธุ์ Vermentino จริงๆ แล้วใน Liguria เรียกว่า “Pigato” ในฝรั่งเศสเรียก “Rolle” ในแคว้น Piedmont ทางตอนเหนือของ Liguria เรียก “Favorita” และที่เกาะ Sardinia เรียกว่า “Vermentino” เป็นต้น

Character ของไวน์ขาวในแคว้น Liguria จะมีความเปรี้ยวซ่ามากแบบจี๊ดจ๊าด ดื่มแล้วให้ความรู้สึกสดชื่นและสนุกสนาน สีมักเป็นสีเหลืองฟางอ่อนๆ (Pale Straw Yellow) ไปจนถึงสีเหลืองทอง (Gold Yellow) มีกลิ่นหอมของผลไม้และดอกไม้ป่าชัดเจน ร่วมกับกลิ่นมะนาว (Lime) และแอปเปิลเขียว (Green Apple) รสชาติมักติดขมนิดๆ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ บางคนบอกว่ามีสีและรสชาติคล้าย Sauvignon Blanc (โซวีญง บล็อง) แต่จัดจ้านกว่ามาก

มาตรฐานไวน์ของ Liguria มีทั้ง DOCG, DOC, IGT, VDT แต่ที่มีมากสุดน่าจะเป็นกลุ่ม DOC เพราะใช้สายพันธุ์องุ่นท้องถิ่น ปลูกในพื้นที่เฉพาะ จึงได้ไวน์ชั้นเลิศที่มีจำนวนผลิตครั้งละไม่มาก หายาก ราคาสูง และรสชาติไม่เหมือนใคร เช่น Cinque Terre DOC ผลิตอยู่เฉพาะใน 5 หมู่บ้านริมทะเลของจังหวัด La Spezia เท่านั้น และต้องบ่มหมักอย่างน้อย 2 ปี ถึงจะนำออกจำหน่ายได้ แต่ถ้าเก็บไว้ถึง 4 ปี เขาว่ารสชาติจะ peak ดีมาก / Colli di Luni DOC เป็นไวน์ขาวและไวน์แดงชั้นเลิศ มีเฉพาะในแคว้น Tuscany และ Liguria เท่านั้น / Rossese di Dolceacqua DOC ผลิตอยู่เฉพาะในพื้นที่เล็กๆ ทางตะวันตกสุดของ Liguria ติดพรมแดนฝรั่งเศส เป็นต้น ส่วนไวน์หวาน (Dessert Wine) คน Liguria ก็ชื่นชอบ มักผลิตโดยใช้องุ่น 3 สายพันธุ์ blend กัน ทั้ง Pigato, Bosco และ Albarola

Chef Andrea Montella ชาวอิตาเลียน ผู้มากประสบการณ์ พร้อมทีมงานห้องอาหาร Ventisi มารังสรรค์อาหารอิตาเลียนสไตล์ Liguria เข้าคู่กับ Liguria Wine ได้ลงตัววิวหลักล้าน ดูพระอาทิตย์ตกใจกลางกรุงเทพฯ จากห้องอาหาร Ventisi ชั้น 24 โรงแรม Centara Grand Central World
บรรยากาศโรแมนติก นั่งจิบไวน์อิตาเลียนเคล้าวิวพระอาทิตย์ตก ชิมอาหารอิตาเลียนแท้ ที่ห้องอาหาร Ventisi (ขอบคุณภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)ห้องอาหารอิตาเลียน Ventisi ในบรรยากาศหรูหรา มีชีวิตชีวา เหมาะมาพบปะสังสรรค์กัน (ขอบคุณภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com) ความโอ่โถง ตกแต่งอย่างมีเอกลักษณ์ที่ ห้องอาหาร Ventisi (ขอบคุณภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com) Cooking Corner ของเชฟและผู้ช่วย เปิดโอกาสให้เราเห็นขั้นตอนการเตรียมอาหารได้ใกล้ชิดที่ Ventisi (ขอบคุณภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)เมนูค่ำคืนนี้มี 4 คอร์ส  คอร์สเรียกน้ำย่อยเน้น Seafood เพื่อสะท้อนภูมิประเทศติดทะเลของ Liguria / คอร์สถัดมาเป็น Homemade Pasta / Main Course เสิร์ฟโรลเนื้อลูกวัว / ปิดท้ายด้วยขนมหวาน Genoa Cake ซึ่งแต่ละคอร์สมี Liguria Wine จับคู่ไว้อย่างพิถีพิถันเริ่มเรียกน้ำย่อยกับขนมปังโฮลวีทเนื้อนุ่ม กินคู่กับ Sparkling Wine ชั้นดีอย่าง Blanche Arrigoni Millesimato PAS DOSE’  เมนูเรียกน้ำย่อยหลากหลายดี  มีหมึกยักษ์คลุกน้ำมันมะกอกและสมุนไพร, แผ่นมันฝรั่งทอด, ซุปถั่วลูกไก่ (Chickpea & Bean Soup), แป้งฟอคคาเซียทอด ไส้ Stracchino Cheese และเนื้อลูกปลาชุบแป้งทอด

กินคู่กับไวน์ Blanche Arrigoni Millesimato PAS DOSE’ ปี 2018 Sparkling Wine แอลกอฮอล์นุ่ม 12.5% Body บางเบา ไวน์ตัวนี้จัดอยู่ในมาตรฐานสูงระดับ Colli di Luni DOC  ผลิตเฉพาะในแคว้น Liguria และ Tuscany เท่านั้น ใช้องุ่นพันธุ์ Pigato (หรือ Vermentino)ให้สีเหลืองฟางอ่อนๆ (Pale Straw Yellow) รสชาติต้องบอกเลยว่าเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด ให้ความรู้สึกซาบซ่า และมีความ Dry (หวานน้อย) เมื่อกลืนหมดแล้วจะทิ้งความหอมหวานไว้ในปาก แถมยังมีความขม (Bitter) นิดๆ ติดอยู่ที่โคนลิ้นด้วย แปลกดี นี่คือเอกลักษณ์ของ Liguria Wine ส่วนกลิ่นก็มีความผสมผสานของมะนาว (Lime) แอปเปิลเขียว (Green Aplle) และกลิ่นหินปูนแห้งๆ (Dry Limestone) ชัดเจนมาก เป็นคุณลักษณะเฉพาะ เสิร์ฟที่อุณหภูมิไม่เกิน 10-12 องศาเซลเซียส ดื่มสดชื่น ช่วยเสริมรสชาติ Seafood เรียกน้ำย่อยดีมาก

จานถัดมาก็เน้นแป้งตามสไตล์คน Liguria “เส้นพาสต้า Homemade” ปั้นเป็นเส้นผอมๆ ยาวๆ เนื้อแน่นนุ่มหนึบสู้ปาก ราดเพสโต้ซอส (Pesto Sauce) หรือ Green Sauce ตามแบบฉบับ Liguria แท้ๆ เพราะใช้ใบโหระพาฝรั่ง (Basil) เป็นหลัก ตามที่เขาเคลมว่า Liguria มีใบโหระพาฝรั่งอร่อยที่สุดในโลก! (ต้องลองชิมกันเองนะครับ) ส่วนผสมของ Pesto ตัวนี้จะไม่มีเนื้อสัตว์อยู่เลย คนที่กิน vegetarian จึงกินได้ ประกอบด้วย ใบโหระพาฝรั่ง เกลือ กระเทียม น้ำมันมะกอก ถั่วบด คลุกเคล้าให้เข้ากัน เวลากินก็โรยหน้าด้วยพาร์เมซานชีส (Parmesan Cheese) ฝอยๆ เพิ่มความอร่อยได้หลายเท่า ข้อดีของเมนูนี้คือซอส Pesto ไม่มันเกินไป อีกทั้งเสิร์ฟมาปริมาณกำลังดี เหลือท้องไว้สำหรับ Main Cause ที่กำลังตามมา

ไวน์ขาวที่ช่วยเสริมรสชาติพาสต้า หรือตัดเลี่ยนได้ยอดเยี่ยม คือไวน์ขาวมาตรฐานสูง Colli di Luni DOC ปี 2021 ของผู้ผลิตที่มีประวัติยาวนานในไร่องุ่น Rosadimaggio ไวน์ขาวตัวนี้ชื่อ Vermentino Superiore แอลกอฮอล์ 13.5% เหมาะในการเริ่มต้นมื้ออาหาร กินดื่มสังสรรค์ ดื่มแล้วสดชื่น ไม่มึนเร็ว ผลิตโดยใช้องุ่นพันธุ์ Vermentino (หรือ Pigato) 100% น้ำไวน์สีเหลืองทอง (Gold Yellow) กลิ่นหอมผลไม้และดอกไม้ป่าชัดเจน ผสานกลิ่นมะนาว (Lime) แอปเปิลเขียว (Green Apple) อัลมอนด์ (Almond) และส้มตระกูลเกรปฟรุต (Grapefruit) จิบแล้วเปรี้ยวกลางๆ รู้สึกถึง Body ที่นุ่มเบา แต่มีความ Waxy นิดๆ อีกทั้งยังให้รสและกลิ่นพริกไทย (Pepper) อ่อนๆ ทิ้งไว้ในปากอย่างชัดเจน ผมชอบมากในความนุ่ม และ Balance ของกลิ่นรสที่รังสรรค์ได้ลงตัวจริงๆ
Main Course วันนี้ คือ “เนื้อลูกวัวย่าง” โดยแล่เป็นแผ่นบางแล้วนำมาม้วนกับสมุนไพรอิตาเลียน เห็ด และถั่วไพน์ จากนั้นทำให้สุกแบบ Slow Cook ราดซอสซึ่งใช้เนื้อและกระดูกวัวตุ๋นนานมาก ให้ texture นุ่ม ออกมาเป็นน้ำเกรวี่รสเค็ม กินคู่กับมันฝรั่งทอด Homemade หั่นเป็นแท่งสี่เหลี่ยมยาว Deep Fried โรยด้วยพาร์เมซานชีส พริกไทย และออริกาโน่นิดหน่อย ช่วยเพิ่มรสชาติ ถ้าใครที่ชอบกินเนื้อนุ่มๆ ละเอียด แบบไม่ต้องออกแรงเคี้ยวมาก ก็คงจะชอบเมนูนี้ แต่ผมว่ารสชาติของซอสอาจจะเค็มโด่งไปหน่อยครับแน่นอนว่าเมื่อมี Main Course เป็นเนื้อลูกวัว ก็ต้องจับคู่กับไวน์แดงอย่าง O di Giotto, Liguria di Levante มาตรฐาน IGP เป็น Rosso Wine ปี 2020 ผลิตโดย Arrigoni ไร่องุ่นที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1913 ตัวนี้จัดเป็น Rosso Young Wine (ไวน์ใหม่) ซึ่งจับคู่กับอาหารได้หลากหลาย คนที่คุ้นลิ้นกับ Italian Wine จากภาคกลางและภาคใต้ อย่าง Sangiovege และ Cabernet Sauvignon  ของแคว้น Tuscany หรือ Primitivo ของแคว้น Puglia ก็อาจจะรู้สึกแปลกๆ เมื่อดื่มไวน์แดงตัวนี้ครั้งแรก จึงอยากจะขอให้เปิดใจ เพื่อเข้าใจ character ของไวน์แดงภาคเหนือดูนะครับ น้ำไวน์ขวดนี้สีแดงทับทิมเข้ม (Deep Ruby) แอลกอฮอล์กลางๆ 13.5% Body นุ่มลึก ไม่หนักเกินไป กลิ่นซับซ้อนอบอวลผลไม้ตระกูล Black Berry เจือกลิ่นรส Tannin ที่ balance ดี ยิ่งถ้าได้เปิดทิ้งไว้ก่อนเสิร์ฟสัก 1 ชั่วโมง (Decanting) กลิ่นรสจะนุ่มขึ้นอีก ไวน์ตัวนี้หวานน้อย (Dry) ดื่มได้เรื่อยๆ เข้าคู่กับเนื้อลูกวัวดีเลยของหวานปิดท้ายน่าประทับใจ เป็นเค้กผลไม้สไตล์ Liguria เรียกว่า “แพนโดลเช” (Pandolce) หรือ “เจนัวเค้ก” (Genoa Cake) เนื้อเค้กอัดตัวกันแน่น แต่ก็มีความซุยอยู่ด้านใน รสหวานอ่อนๆ มีผลไม้แห้งหลายชนิดผสมเพิ่มรสชาติและ texture ทั้งลูกเกด อัลมอนด์ เชอร์รี่ เปลือกส้ม กินคู่กับไอศกรีมวานิลลา ยิ้มได้ทุกคำที่ตักใส่ปาก

ไวน์หวาน (Dessert Wine) ที่กินคู่กับ Genoa Cake คือ Sciacchetra Cinque Terre ไวน์ชั้นเยี่ยมหายากจากปี 2006 ผลิตโดย Rosadimaggio ไร่องุ่นที่ผลิตไวน์มานานเกิน 100 ปี ในจังหวัด La Spezia ทางตะวันออกของ Liguria จัดเป็นไวน์ตัวแรกๆ ซึ่งได้รับมาตรฐาน DOC ของเขต La Spezia ผลิตโดย blend องุ่น 3 สายพันธุ์เข้าด้วยกันตามธรรมเนียม คือ Pigato, Albarola และ Bosco ถือเป็นไวน์ที่ค่อนข้างมีจำนวนจำกัด (Limited) เพราะปลูก ดูแล เก็บเกี่ยวด้วยมือล้วนๆ อีกทั้งปลูกอยู่บนผาชันริมทะเลแบบ Cliff  Vineyard ด้วย

การผลิตใช้เวลายาวนานพิเศษ โดยคัดองุ่นคุณภาพดีมาผึ่งให้แห้งอย่างช้าๆ ในที่ร่ม ไม่ใช่ผึ่งแดดจัดให้แห้งเร็ว ข้อดีของการผึ่งให้แห้งช้า คือน้ำตาลในผลองุ่นจะรวมตัวกันแน่นเข้มข้นกว่าปกติ เมื่อนำมาบ่มหมักจึงได้น้ำไวน์สีเหลืองอำพันใส (Amber Yellow) บ้างก็ว่าสีเหมือนน้ำหวานของดอกไม้ (Nectar Yellow) ส่วนกลิ่นก็มีความเฉพาะตัว มีกลิ่นน้ำผึ้งและแอปปริคอต บวกกับความหวานระดับกำลังดี กลิ่นแอลกอฮอล์ไม่ฉุนขึ้นแสบจมูก เพราะมีแอลกอฮอล์เพียง 14% จิบแล้ว รสชาตินุ่มดี Body มีความ Waxy ทิ้งความหอมหวานไว้ในปากยาวนาน  เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 18-20 องศาเซลเซียส จะอร่อยที่สุดSPECIAL THANKS
สนใจชิมไวน์ทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี และสั่งซื้อไวน์อิตาเลียนหายาก ติดต่อ Cafe’ Buongiorno Tel. 06-2494-1649 (คุณพิม)

Booking โต๊ะรับประทานอาหาร และชิม Italian Wine อย่างดีได้ที่ โทร. 02-100-6255

DOD Cafe & Bistro จิบกาแฟในสวนสวย ที่สามพราน

DOD Cafe & Bistro อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม โทร. 06-5242-5611 , www.facebook.com/DODcafebistro/

เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00-18.00 น.

Amici Night ค่ำคืนเอ็กซ์คลูซีฟแห่งมิตรภาพ กับอาหารอิตาเลียนชั้นเลิศ

อาหารอิตาเลียนดีๆ ไวน์ชั้นเลิศ บรรยากาศสุดคลาสสิก และเพื่อนสนิทที่มานั่งสรวนเสเฮฮากันในมื้อค่ำ วันที่ 26 ตุลาคม 2556 ณ ห้องอาหารสุดหรู VIU ชั้น 12 โรงแรม The St.Regis Bangkok คือนิยามของ “ความสุข” ที่ทำให้ AMICI NIGHT Vol.2 จัดอยู่ในความสมบูรณ์แบบ ทำให้เราประทับใจไม่รู้ลืม กับอาหาร 6 คอร์ส ที่ปรุงอย่างพิถีพิถันและสร้างสรรค์ โดยเชฟมากฝีมือ 2 ท่าน รวมถึงมีไวน์หายาก เป็น Boutique Wine ที่ควรค่าแก่การชิม อิมพอร์ตตรงเข้ามาจากอิตาลีโดย Cafe’ Buongiorno คัดสรรเฉพาะไวน์จากพื้นที่ UNESCO World Heritage Sites เท่านั้น
เชฟเกตาโน่ พาลุมโบ (Gaetano Palumbo) ที่ถือกำเนิดขึ้นจากเกาะซิซิลี ประเทศอิตาลี และ เชฟแก้ว เกศิณี ดำรงสกุล

เชฟแก้ว หัวหน้าแผนกครัว ห้องอาหาร VIU, The St.Regis Bangkok ผู้เชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งในศาสตร์อาหารไทยและตะวันตก จากความประณีตและประสบการณ์ที่สั่งสม ผ่านการร่วมงานกับภัตตาคารระดับดาวมิชลิ ทั้งในสหราชอาณาจักร ฮ่องกง และกรุงเทพฯ ถ่ายทอดความวิจิตรลงบนเมนูอาหาร สะท้อนศิลปะอาหารไทยและนานาชาติได้อย่างลงตัว จับมือกับ เชฟเกตาโน่ จากห้องอาหาร Rossini’s Sheraton Grand Sukhumvit Hotel ที่ได้รับรางวัลมิชิลินไกด์ 5 ปีซ้อน ร่วมกันรังสรรค์ค่ำคืนสุดพิเศษ ที่อบอวลด้วยบรรยากาศมิตรภาพ ผสานจิตวิญญาณแห่งอาหารและไวน์อิตาเลียนที่แท้จริงห้องอาหาร VIU, The St.Regis Bangkok ห้องอาหาร VIU, The St.Regis Bangkok พร้อมเสิร์ฟความอร่อยระดับ Fine Diningบรรยากาศโรแมนติกยามเย็นที่ ห้องอาหาร VIU, The St.Regis BangkokAMICI NIGHT Vol.2 เสิร์ฟอาหารอิตาเลียนชั้นเลิศ ด้วยวัตถุดิบคัดสรรพิเศษ ปรุงอย่างใส่ใจและ Creative รวม 6 คอร์ส  เต็มอิ่มสุดๆ เข้าคู่กับ Italian Boutique Wine หายาก ช่วยเพิ่มความสมบูรณ์แบบให้รสชาติอาหาร ทั้ง Prosecco Wine, White Wine, Red Wine และ Dessert Wine นำเข้าโดยตรงจากอิตาลีโดย Cafe’ Buongiorno มีทั้ง TERRE DI MARE Otello Prosecco, IX MIGLIO BIANCO Reserva Della Cascina (White Wine), IX MIGLIO BIANCO Reserva Della Cascina (Red Wine), TERRE DI MARE Arrigoni IL TOSCO Sangiovese อันมีชื่อเสียงจาก Toscana และ SANTITA’ Vino Liquoroso LE MADIE เป็น Dessert Wine ที่มีคาแรคเตอร์พิเศษมาก ไวน์ทั้งหมดล้วนปลูกอยู่ในพื้นที่เก่าแก่ อันเกี่ยวเนื่องกับ UNESCO World Heritage Sites ทั้งสิ้น และผลิตขึ้นโดย Wine Producer ที่ทำต่อเนื่องมานับร้อยปีเร่ิมเรียกน้ำย่อยคอร์สที่ 1 ด้วยขนมปังอิตาเลียนหน้าตาดูดี  มีความนุ่มเหนียว ใครจะถนัดจิ้มซอสเปรี้ยวในน้ำมันมะกอก หรือทาเนยถั่วแบบอิตาเลียน ก็อร่อยเข้ากันไปหมด
คอร์สแรกนี้รับประทานคู่กับ ไข่ปลาคาร์เวีย (Oscietra Caviar) เสิร์ฟมาในโถแก้วคริสตัลใส่น้ำแข็ง ด้านล่างรองด้วยเนื้อปู, Green apple jelly, Smoked cream fraiche และ Potato lavosh เมนูนี้ปรุงโดย เชฟเกศิณี ถือเป็นคอร์สโหมโรงที่ทำให้น้ำย่อยในกระเพาะทำงานอย่างรวดเร็ว และอยากรู้แล้วว่าอาหารจานต่อไปหน้าตาจะเป็นอย่างไร?คอร์สที่ 2 คือ “Salmon marinate in Earl Gray Tea” หรือ “ปลาแซลมอนหมักในชาเอิร์ลเกรย์” เพื่อลดความคาว เพิ่มความหอม และทำให้เนื้อปลาแซลมอนยิ่งนุ่มเหมือนละลายในปาก ส่วนผงสีดำที่เห็นอยู่บนเนื้อแซลมอนคือสาหร่ายทะเล กินคู่กับ Mozzarella Cheese เพื่อตัดเลี่ยนจากแซลมอน และตัวโฟมสีขาวมีส่วนผสมของบีทรูท เมื่อรับประทานทั้งหมดด้วยกันจะรู้สึกกลมกล่อมมาก

สำหรับการจับคู่อาหารจานนี้กับไวน์ชั้นเลิศทางตอนเหนือของอิตาลี ก็ต้องยกให้ TERRE DI MARE Otello Prosecco เป็นโพรเซคโก้ในหมวดของ Sparkling Wine (Extra Dry) ที่เข้าคู่กับอาหารทะเลอย่างแซลมอนได้เป็นอย่างดี คาแรคเตอร์ของไวน์ตัวนี้เมื่อดื่มที่อุณหภูมิประมาณ 8-10 องศาเซลเซียส เย็นฉ่ำชื่นใจ ถือว่าจัดจ้าน จี๊ดจ๊าด มีความเปรี้ยวหวานในดีกรีไม่ธรรมดา กลิ่นรสสร้างความสดชื่น บอร์ดี้บางเบา ดื่มเพลิน แอลกอฮอล์ต่ำเพียง 11% น้ำไวน์สีเหลืองทองหรูหราชวนมอง จิบได้ไม่เบื่อ ไวน์ตัวนี้ผลิตจากพื้นที่เมือง Treviso (เทรวิโซ) ในแคว้น Veneto ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี ซึ่งมีอากาศเย็น พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงและหุบเขา จึงมีชื่อเสียงในการผลิตไวน์ขาวชั้นเลิศ และถือเป็นดินแดนต้นกำเนิดของ Prosecco Wine ดื่มเสร็จแล้วอาจทำให้รู้สึกอยากไปเที่ยว เมืองมรดกโลกเวนิส (Venis) ที่อยู่ใกล้ๆ เลยก็ได้

แซลมอนหมักชาเอิร์ลเกรย์ ปรุงโดย Chef Gaetano คอร์สที่ 3 “Scallop Soup” หรือ “ซุปหอยเชลล์ตัวใหญ่เป้ง” ปรุงโดย เชฟเกศิณี ส่วนประกอบหลักคือหอยนางรมยักษ์ฮอกไกโด จากตอนเหนือของญี่ปุ่น นำมาเซียร์ (Searing) หรือจี่/นาบ บนกระทะร้อนๆ ด้วยความรวดเร็ว จึงสุกนอกนุ่มใน แทบไม่ต้องออกแรงเคี้ยว ละลายในปากได้เลย รสชาติเนื้อหอยเชลล์ยักษ์มีความหวานผสมเค็มนิดๆ ติดปลายลิ้น ได้ฟีลลิ่งของทะเลฮอกไกโด ส่วนซุปที่ละมุนลิ้นสุดๆ ทำจากดอกกะหล่ำบดผสมครีม ด้านบนประดับด้วยดอกไม้สีทอง ทำจากดอกกะหล่ำฝานบางๆ ทอด และแป้งรูปใบไม้ทำจากแป้งผสมชาร์โคล ใส่แม่พิมพ์ ทอดกรอบ

ไวน์ขาวที่ช่วยเพิ่มความวิเศษให้ Scallop Soup จานนี้ได้ดีเยี่ยม คือ IX MIGLIO BIANCO Reserva Della Cascina (White Wine) ปี 2018  เป็นไวน์ขาวที่ผลิตขึ้นในภาคกลางของอิตาลี ซึ่งมีความหลากหลายของชนิดพันธุ์องุ่น และผู้ผลิตรายนี้ยังอยู่ใกล้ๆ กรุงโรม (Rome) อดีตศูนย์กลางอาณาจักรโรมันอีกด้วย ชื่อไวน์ IX MIGLIO BIANCO จึงสื่อถึงถนนที่เป็นแหล่งผลิต อยู่ห่างจากกรุงโรมออกไปเพียง 9 ไมล์เท่านั้น ความพิเศษอย่างยิ่งของไวน์ตัวนี้คือเป็น “Biodynamic / Biological Wine” หมายถึง ไวน์ที่มีขั้นตอนการผลิตให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมชาติมากกว่าออร์แกนิก โดยมองถึงความสมดุลทางธรรมชาติเป็นหลัก ดื่มแล้วดีต่อสุขภาพ แอลกอฮอล์เบาๆ เพียง 12.50% เข้าถึงรสชาติได้ง่าย ดื่มเพลิน เหมาะสังสรรกับเพื่อนฝูง น้ำไวน์สีเหลืองแบบฟาง (Straw Yellow) ใสสะอาดน่าจิบ เมื่อเขย่าแก้วเบาๆ แล้วดมจะได้กลิ่นดินภูเขาไฟโบราณอันอุดมด้วยแร่ธาตุในแถบ Rome ตีขึ้นจมูกอย่างชัดเจน ผสานกับกลิ่นดอกไม้สีขาว กลิ่นส้ม และกลิ่นผลไม้เมืองร้อนที่ให้ความรู้สึกสดชื่นมาก

ความเลิศอีกอย่างของไวน์ตัวนี้คือ ผลิตขึ้นจากการ Blend องุ่นถึง 6 สายพันธุ์เข้าด้วยกัน ทั้ง Mulvasia Puntinata, Trebbiano Toscana, Malvasia Rossa, Bellone, Bombino Bianco และ Trebbiano Giallo
เดินทางมาถึง คอร์สที่ 4 “Homemade Beef Agnolotti” หรือ “พาสต้าอัญโญลอตตีไส้เนื้อวัว แบบโฮมเมด” รังสรรค์โดย Chef Gaetano จึงได้กลิ่นอายความเป็นอิตาเลียนขนานแท้ ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่า “Agnolotti” เป็นพาสต้าประเภทหนึ่งตามแบบฉบับของภูมิภาค Piedmont (พีดมอนต์ หรือ เพียมอนเต) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี ซึ่งมีอากาศเย็น อาหารชนิดนี้ทำด้วยแป้งพาสต้าชิ้นเล็กๆ แบนๆ พับทับไส้เนื้อย่าง หรือผักต่างๆ ซึ่งของเราเป็นไส้เนื้อวัวบดสูตรพิเศษ เวลารับประทานราดซอสทำจาก “Castelmagno Cheese” ที่ถือเป็น  Premium Cheese ราคาแพงและหายากมาก นอกจากนี้ยังถือเป็นชีสเก่าแก่ที่ผลิตเฉพาะขึ้นในภูมิภาคพีดมอนต์เท่านั้น มีเรื่องราวการกำเนิดชีสย้อนกลับไปได้ถึง ปี ค.ศ. 1277 นับถึงปัจจุบันก็เกือบ 750 ปีแล้ว หลังจากได้ชิมคำแรกต้องบอกเลยว่าหลงรัก เพราะพาสต้าชิ้นเล็กพอดีคำ เนื้อแป้งเหนียวนุ่มหนึบสู้ปาก ส่วนไส้เนื้อบดก็ละเอียดดี มี texture ไม่หยาบหรือละเอียดเกินไป รสชาติออกเค็มนิดๆ รับประทานคู่กับน้ำซอสจากชีสเลอค่า แล้วจะไม่ให้หลงรักได้ไง

ส่วนไวน์แดงที่แพริ่งกับคอร์สนี้ดีสุดๆ คือ IX MIGLIO BIANCO Reserva Della Cascina (Red Wine ) ปี 2018 แอลกอฮอล์ 13.50% เป็น Organic Red Wine ที่ดีต่อสุขภาพและใส่ใจสิ่งแวดล้อมในการผลิต ใช้องุ่น 3 สายพันธุ์ Blend เข้าด้วยกันจนกลมกล่อม คือ Merlot, Cabernaet Sauvignon และ Sangiovese ซึ่งองุ่นพันธุ์ “Sangiovese” (ซานโจเวเซ่) นี้เองถือว่ามีชื่อเสียงที่สุด และมีการปลูกมากที่สุดสายพันธุ์หนึ่งในอิตาลี เพราะเป็นองุ่นสายพันธุ์ท้องถิ่นดั้งเดิม ซึ่งมีการนำไปทำ Chianti Wineในระดับ DOCG และ DOC จึงนับเป็นไวน์ Top Class ตามมาตรฐานอิตาลี

รสสัมผัสของไวน์แดงตัวนี้ต้องบอกเลยว่า ใครไม่ได้ชิมจะเสียใจ  เริ่มตั้งแต่น้ำไวน์สีทับทิมเข้มข้นชวนให้หลงเสน่ห์ บวกกับมีกลิ่นผลไม้จำพวก Black Berry ชัดเจน และมีกลิ่นยาสูบ (Tobacco) เจือเข้ามานิดๆ พอให้เย้ายวน อันเป็นคุณสมบัติของไวน์แดง Full Body ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ไม่หนักเกินไป Tannin (รสฝาด) ไม่แรงจัด ละมุนลิ้น มีความหวานต่ำ (Low Sweetness) และความเป็นกรดหรือรสเปรี้ยวต่ำ (Low Acidity) ทำให้โครงสร้างโดยรวมของไวน์ตัวนี้มีความ Balance ดี เมื่อรับประทานกับ Beef Agnolotti ที่มีแป้งและชีส จึงไม่ทำให้รู้สึกเลี่ยนเลย ยิ่งรับประทานก็ยิ่งเพลินChef Gaetano มาฝนเห็ด Black Truffle on top ในเมนู Homemade Beef Agnolotti ให้เรารับประทานถึงโต๊ะ
คอร์สที่ 5 พระเอกของเรา ซึ่งถือเป็น Main Course หนักแน่นที่สุดในวันนี้ คือ “Lamb Shop marinated with Coffee” หรือ “ซี่โครงแกะหมักกาแฟ” การนำเนื้อแกะไปหมักกาแฟ ก็เพื่อลดความฝาดและกลิ่นของเนื้อแกะลง จากนั้นนำไปซูวี (Sous Vide)ให้เนื้อแกะสุกปานกลาง (Medium) ราดด้วยราสเบอร์รี่ซอส ผสมแองโชวี่ (Anchovy) รับประทานคู่กับเครื่องเคียงคือ อาร์ติโชค (Artichoke) นึ่ง เพื่อตัดเลี่ยนเนื้อแกะ ขอบอกว่าหัวอาร์ติโชคนี้มีประโยชน์มากต่อร่างกาย ช่วยบำรุงหัวใจ ลดไขมัน ลดคอเลสเตอรอล และป้องกันตับแข็งได้อีกต่างหาก  เนื้อแกะในจานปรุงมา 2 แบบ คือแบบอัดเป็นก้อน โดยแล่เนื้อซี่โครงบางส่วนออกมาอัดรวมกัน ส่วนเนื้อที่ยังติดซี่โครงอยู่จะมีการนวด หมักกาแฟ และซูวีให้สุกปานกลาง จึงมีความนุ่มละมุน เคี้ยวง่ายกว่าแบบก้อน เรียกว่าจานเดียวได้รสสัมผัสของ texture สองแบบเลย
แน่นอนว่าไวน์แดงที่เหมาะสุดๆ สำหรับเมนูเนื้อแกะแบบนี้ก็คือ TERRE DI MARE Arrigoni IL TOSCO Sangiovese ปี 2014  ผลิตจากภาคกลางอันมีอากาศอบอุ่นของอิตาลี ในบริเวณ แคว้นทัสคานี (Tuscany) หรือ Toscana  ไวน์ตัวนี้ผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ Sangiovese อันมีชื่อเสียง เป็นไวน์ Single Variety หรือใช้องุ่นสายพันธุ์เดียวผลิต บริเวณที่ผลิตชื่อหมู่บ้านซานจีมิญญาโน (San Gimignano) ลักษณะเป็นเนินเขาที่ไม่สูงนัก อากาศอุ่น แดดดี จึงผลิตไวน์แดงชั้นเลิศได้ แม้จะเป็นไวน์แดง Full Body แต่มีข้อดีคือปริมาณแอลกอฮอล์ไม่สูงเกินไป เพียง 12.50% เท่านั้น จึงไม่ทำให้รู้สึกมึนเร็ว ดื่มคู่กับอาหารจำพวกเสต็กเนื้อ และอาหารที่มีเครื่องเทศจัดจ้านได้เข้าคู่กันดี ไวน์ตัวนี้มีสีแดงทับทิมข้น กลิ่นหอมชื่นใจจากการบ่มหมักในถังไม้โอ๊คเป็นเวลานาน จิบแล้วให้ความรู้สึกนุ่มลึก รสชาติไม่ซับซ้อนเกินไป นักดื่มทั้งหน้าใหม่หน้าเก่าเข้าถึงรสชาติได้ง่าย อีกอย่างคือมีความฝาด (Tannin) ไม่มากเกินไป จัดอยู่ในระดับ Medium-High เมื่อดื่มแล้ว ยังทิ้งรสชาติความหอมหวาน และกลิ่นชวนฝันไว้ในปากอย่างยาวนาน
สำหรับคนที่ไม่ชอบรับประทานเนื้อแกะ ก็มีตัวเลือกให้ คือ “Poached Cod Fish” หรือ “ปลาคอตลวก ในซอสเนยเหลวสมุนไพร” ปรุงโดย เชฟเกศิณี นอกจากการเลือกใช้เนื้อปลาคอตคุณภาพสูงแล้ว สิ่งที่ช่วยชูรสชาติอาหารจานนี้ได้ยอดเยี่ยม คือซอสเนยเหลวที่มีสมุนไพรอิตาเลียนบดผสมเพิ่มความหอม เนื้อปลาคงความนุ่มหวานเป็นธรรมชาติ จากการเซียร์ หรือนาบบนกระทะร้อนๆ อย่างรวดเร็ว นับเป็นเมนูสุขภาพเลิศรสที่ห้ามพลาด
เดินทางมาถึงคอร์สที่ 6  เมนูสุดท้ายป็นของหวานหน้าตาน่ารัก สีสันสดใส ชื่อ “Pear Creamux” หรือ “แพร์ครีมมูส” ช่วยล้างปากดับคาวจากอาหารจานหลักทั้งหมด ทำให้รู้สึกสดชื่น ไม่แน่นท้อง และน้ำตาลจากของหวานจะช่วยในการเผาผลาญอาหารต่อไปได้อย่างดี ตัวขนมที่ทำเป็นลูกแพร์สีเขียวตรงกลาง เมื่อผ่าออกจะพบครีมมูสสีขาวนุ่มหวาน รับประทานอร่อย รองด้วยถั่วพิตาชิโอ้บดผง และมีลาเวนเดอร์ครีมมูสลูกกลมๆ สีม่วงวางประดับเป็นเครื่องเคียงไม่ให้ลูกแพร์เหงา แถมยังมีขนมเมอร์แรงสีขาวรูปดาวแฉก ไว้ให้เคี้ยวเล่นอีกด้วย

สำหรับไวน์ที่เข้าคู่กับ Pear Creamux ได้ดีสุดๆ ต้องยกให้ Arrigoni SANTITA’ Vino Liquoroso LE MADIE ซึ่งเป็น Dessert Wine (ไวน์หวาน) ที่มีคาแรคเตอร์พิเศษ เพราะนอกจากจะมีระดับแอลกอฮอล์สูงปรี๊ดถึง 16% แล้ว ยังใช้องุ่นพื้นเมืองถึง 3 สายพันธุ์ Blend เข้าด้วยกันได้ยอดเยี่ยม คือ Trebbiano, Malvasia และ Catarratto บอดี้ของไวน์หนักแน่น รสสัมผัสนุ่มลึก กลิ่นหอมหวานแรง อมรสเปรี้ยวเล็กน้อย ระดับความหวานค่อนข้างสูง (High Sweetness) และเวลาดื่มจะรู้สึกมีกลิ่นแอลกอฮอล์ตีขึ้นจมูกอย่างชัดเจน ถ้าใครดื่มเพียวๆ ไม่ไหว แนะนำให้ผสมน้ำลงไปเล็กน้อย สัดส่วน ไวน์หวาน 1 ส่วน : น้ำเปล่า 2 ส่วน แล้วเขย่าให้เข้ากัน ก็จะดื่มได้ง่ายขึ้น ถือว่าไม่ผิดธรรมเนียม

เสน่ห์อีกอย่างของไวน์ตัวนี้คือมีกลิ่นเฉพาะของถั่วฮาเซลนัต, อัลมอนด์ และโกโก้ บวกกับ น้ำไวน์สีทองอำพัน (Amber Gold) คือคาแรคเตอร์ที่ทำให้เราจดจำได้ไม่ลืมเลือนขนม Biscotti ของ Cafe’ Buongiorno เป็นขนมแป้งอบกรอบร่วน หอมหวานกำลังดี สามารถใช้จิ้มกับ Dessert Wine รับประทานได้ในแบบอิตาเลียนแท้ๆ ใช้เป็นตัวจบมื้ออาหารสนุกๆ ได้เช่นกันMr.Sam Chia (Hotel Manager, The St.Regis Bangkok) และ Mr.Anupam Banerjee (FB Director, The St.Regis Bangkok) พร้อมต้อนรับแขกทุกท่าน
เชฟเกตาโน่ (Gaetano Palumbo) และ เชฟแก้ว เกศิณี ดำรงสกุล
สนใจชิมและสั่งซื้อไวน์อิตาเลียนชั้นเลิศ ติดต่อ Cafe’ Buongiorno Tel. 06-2494-1649 (คุณพิม)

For more Informations & Reservation : The St.Regis Bangkok Hotel, VIU Restaurant 12 floor / Tel. 0-2207-7813, 0-2207-7777

AMICI NIGHT 3,800/person, add 1,400/person for Wine Paring

นางลอยข้ามสมุทร ที่สุดแห่ง Thai-Fusion!

นานๆ ทีจะได้มีโอกาสออกมาสังสรรค์กับเพื่อนสนิท และได้ชิมอาหารสไตล์ Private Chef Table ที่มีเชฟมืออาชีพชื่อดัง มาปรุงให้ทานในห้องส่วนตัว เพราะตอนนี้เป็นยุคโควิด เราเลยไม่ต้องการไปนั่งกินอาหารกับคนเยอะๆ ในที่แออัด พอได้ข่าวว่าเว็บไซต์ Potioneer เขาเปิดตัว เป็นสื่อกลาง platform ในการจอง Private Dining ที่ซอยสุขุมวิท 24 เราเลยไม่รอช้า ลองกดจองเข้าไปชิมอาหารไทยที่ชอบ โดยเลือกเป็นมื้อเย็นกินกับเพื่อนๆ รวม 12 คน สถานที่คือชั้นสองของอาคาร Curator ที่มีบรรยากาศอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน
จริงๆ แล้ว Potioneer ก็เป็นเหมือน Hub หรือสื่อกลางที่นำเชฟชื่อดังตามโรงแรมต่างๆ รวมถึงเชฟหน้าใหม่ที่มีความสามารถ มาพบกับลูกค้า โดยเลือกเชฟที่ชอบ อาหารที่ชอบ เวลาที่ใช่ ในราคาจับต้องได้ และที่สำคัญคือสามารถกดจองทุกอย่างผ่าน online ได้อย่างสะดวกง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นทาง App บนมือถือ หรือจะเข้าเว็บไซต์ Potioneer ก็ได้ นี่คือประสบการณ์พิเศษที่เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ ที่อยากมี Once in a life time กับ Chef Table Dining อันน่าจดจำวันนี้ เราเลือกชิมอาหารไทยฟิวชั่นที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร และอัดแน่นด้วยความคิดสร้างสรรค์ ของ เชฟฮูโต๋ (Chef Huto) หรือคุณเชฏฐ์ภูชิชย์ เถกิงศักดิ์ เชฟรุ่นใหม่ผู้โด่งดังจากรายการ Top Chef Thailand มีความสามารถพิเศษในการนำวัตถุดิบของอาหารไทยหลากหลายท้องถิ่น มารังสรรค์เป็นเมนูแปลกใหม่ได้อย่างลงตัวสุดๆ เชฟ Huto เป็นคนเกาะเกร็ด จ.นนทบุรี โดยกำเนิด จึงคุ้นเคยกับอาหารไทยมาตั้งแต่เล็ก และความภาคภูมิใจมากๆ อย่างหนึ่งของเขาก็คือ ได้เคยดูแลพระกระยาหารของราชวงศ์จิ๊กมี่ แห่ง Bhutan คราวเสด็จเยือนประเทศไทยมาแล้ว
หลายๆ คนคงจะเข้าใจว่าการรับประทานอาหารแบบ Chef  Table เป็นอะไรที่ต้องจ่ายเงินแพงหูฉี่ แต่วันนี้ Potioneer ได้ทำให้ความฝันของใครหลายคนเป็นจริง ในงบประมาณที่เอื้อมถึง แต่ยังคงกลิ่นอายของ ความเป็นส่วนตัว (Private) และความ Luxury เล็กๆ จนทำให้เรายิ้มได้ ในแว่บแรกที่เห็นห้องจัดเลี้ยง การจัดโต๊ะอาหาร และความตั้งใจของทีมงานเชฟ Huto ที่ขมักเขม้นจัดเตรียมอาหารอร่อยๆ รอเราอยู่ ถือว่าบรรยากาศแบบนี้เหมาะทั้งการนั่งสังสรรค์กับเพื่อนๆ เลี้ยงวันเกิด มานั่งทำซึ้งกับคนรัก หรือพาลูกค้ามาเลี้ยงก็ได้ เพราะไม่ว่าจะมากันแค่ 1-2 คนเขาก็พร้อมต้อนรับ โดยรับสูงสุดครั้งละไม่เกิน 20 คน เพื่อคงคอนเซปต์ Private เอาไว้ ก่อนเร่ิมรับประทานอาหารค่ำกัน ทางทีมงานก็มีกิมมิคเก๋ๆ ให้เล่นสนุกก่อน โดยให้เรา load App บนมือถือ แล้ว scan ส่วนต่างๆ ของ Menu Card, ที่รองจาน, ที่รองแก้ว ก็จะเกิดภาพ AR สามมิติเคลื่อนไหวได้ ลอยขึ้นมาบนหน้าจอมือถือ WOW Amazing! คอนเซปต์ของภาพ 3D ที่ว่าก็เกี่ยวข้องกับชื่อเมนูสำรับอาหารไทยในวันนี้ด้วยคือ “นางลอยข้ามสมุทร” โดยภาพ 3D จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไปบนภาพคลื่นน้ำในมหาสมุทร ที่มีลายเส้นแบบไทยผสมผสานตะวันตก น่ารักเก๋ไก๋สไลเดอร์สุดติ่งไปเลยฮะ 555555 พระเอกของวันนี้ที่เราจะมาชิมกัน คือสำรับอาหารไทยชื่อเก๋ไก๋ “นางลอยข้ามสมุทร” ที่เชฟ Huto บรรจงรังสรรค์ขึ้นด้วยความตั้งใจ โดยคอนเซปต์คือเป็นอาหาร Thai Fusion ที่มีความ Sexy เพราะเป็นการนำวัตถุดิบจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์และสมุทรสงคราม มาผสานผสมให้กลมกลืนลงตัว ทั้งรสชาติ เครื่องปรุง และหน้าตา โดยรสชาติของนางลอยข้ามสมุทร จะมีความเป็นไทยสูง เผ็ดลึกและหวานซ่อนเปรี้ยวในทุกเมนู และต้องบอกเลยว่าวัตถุดิบจากทั้ง 2 จังหวัดดังกล่าว ถือว่ามีความรักจืด รักเค็ม เพราะเป็นพื้นที่ 3 น้ำ (น้ำจืด น้ำกร่อย น้ำเค็ม) ที่บ่มเพาะให้วัตถุดิบต่างๆ มีรสเลิศเกินจะห้ามใจ

แรงบันดาลใจในการรังสรรค์สำรับ “นางลอยข้ามสมุทร” ของเชฟ Huto มาจากหนึ่งในวรรณกรรมของรามเกียรติ์ชื่อ “นางลอย” โดยมีเรื่องราวที่น่าสนใจจากการที่ นางลอยใช้อิทธิฤทธิ์จำแลงตัวเป็นศพนางสีดา ลอยข้ามสมุทรผ่านแม่น้ำ  เพื่อให้พระรามเข้าใจผิดคิดว่านางสีดาตายแล้ว แต่พระรามเกิดจับได้ จากร่างที่ยังคงกลิ่นหอม ยังสวยอยู่ แตกต่างจากร่างของมนุษย์ทั่วไป แถมนางลอยก็ยังลอยทวนน้ำด้วย อีกความหมายของ “นางลอย” ในพุทธชาดก คือนางเมขลาลอยมาจากฟ้า ช่วยให้พระมหาชนกข้ามมหาสมุทรได้ ที่มาของ “นางลอย” ทั้ง 2 ไอดอล จากภาคพื้นทะเลและแผ่นดิน จึงนำมาสู่ไอเดียการคัดเลือกวัตถุดิบในคอร์สอย่าง ปู ปลา กุ้ง ปลาวง ปลาหวาน เครื่องปรุงรส และผลไม้ประจำฤดูกาล ทีนี้ก็ได้เวลาชิมกันแล้วล่ะ

เมนูแรก “จับไม้ปู” ซึ่งมีความต่างจากจับไม้ (ทอดมันเสียบไม้ย่าง) ทั่วไปโดยสิ้นเชิง เพราะเชฟ Huto ใช้เนื้อปูนิ่ม คลุกเคล้าเครื่องแกงเผ็ดร้อนกำลังดี หอมเตะจมูก และกรอบนอกนุ่มใน ทานกับซอสกระเทียมใช้แทนน้ำอาจาดสไตล์ครีมมี่ ชูกลิ่นกระเทียมได้ดีมาก ส่วนตัวจับไม้แทนที่จะใช้ไม้ไผ่ธรรมดา เชฟใช้หน่อกะลาเกาะเกร็ดกินแกล้มกันได้ ร่วมกับใบติ้วผักอีสาน ถือว่าเป็นการ Mix and Match ที่ดีงามซะจริงๆ

 เมนูที่สอง “แกงคั่วลิ้นจี่เนื้อย่าง กับปลาหวาน” เป็นจานที่เต็มไปด้วยความ Creative เพราะเชฟ Huto ใช้น่องลายตุ๋น กินแกล้มกับลิ้นจี่สมุทรสาครซึ่งออกมากในช่วงเดือนพฤษภาคม เมื่อใช้มีดตัดลงไปตรงกลางจะเป็นเนื้อตุ๋นเย็นๆ โดยใช้เอ็นตุ๋นของน่องลายล้วนๆ เลย เจลาตินที่เกิดขึ้นมาจากน่องลายของเนื้อวัวเอง และเนื้อวัวเป็นของวิทยาลัยเกษตรกำแพงแสน จ.นครปฐม หลังจากชิมเลเยอร์แรกของน่องลายไปแล้ว เชฟจะเอาซอสแกงคั่วสีเหลืองหอมกรุ่นมาราดเพิ่มให้ จนเกิดเป็น texture การกินที่แตกต่าง และวิเศษอย่างยิ่ง บอกเลยว่าเนื้อวัวนุ่มสุดๆ แทบไม่ต้องออกแรงเคี้ยว กินคู่กับไวน์แดงดีๆ สักแก้ว ก็ถือว่าเข้าคู่ Pairing กันได้อย่างแนบเนียน แต่สำหรับคนที่กินเผ็ดไม่ค่อยได้ ก็ต้องราดซอสแกงคั่วน้อยๆ เพราะกินไปสักพักจะรู้สึกเผ็ดร้อนลิ้นอยู่พอสมควร (คนที่ไม่กินเนื้อวัว แจ้งเชฟล่วงหน้าทาง App Potioneer ตอนทำ Booking เขาจะเปลี่ยนเป็นเนื้อหมูให้ ไม่มีปัญหา)

เมนูที่ 3 “ต้มสับปะรดหมึกแห้งมะพร้าวอ่อน” เป็นเมนูซดคล่องคอที่เกินความคาดหมาย ทีแรกเห็นหน้าตาธรรมดาๆ แต่รสชาติทำให้ทุกคนเอ่ยปากชมกันไม่หยุด เมนูนี้เชฟ Huto ใช้หัวและก้นสับปะรด มาต้มเคี่ยวกับหมึกจนนุ่ม เชฟเลือกใช้หมึกแดดเดียวที่มีไข่ เราว่าความโดดเด่นจริงๆ ของเมนูนี้คือการได้ลิ้มลองสัมผัสความจัดจ้านของน้ำซุป ที่มาจากการเคี่ยว สับปะรดพันธุ์ Siam Gold (หรือ พันธุ์หอมสุวรรณ) ถือเป็นสับปะรดที่ปลูกมากในอำเภอหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และได้รับความนิยม จึงได้น้ำซุปหวานอมเปรี้ยวลงตัว ซดร้อนๆ ชื่นใจมาก

เมนูที่ 4 “ยำไตกุ้ง กับปลาวง” ชื่อแปลกๆ จนเชฟ Huto ต้องอธิบายให้ฟังว่า “ไตกุ้ง” จริงๆ แล้วก็คือน้ำเคย โดยชาวบ้านจะเอากุ้งมาตากแดด จนกว่าจะแห้งกลายเป็นกะปิอย่างที่เราคุ้นกัน น้ำที่ออกมาระหว่างขั้นตอนดังกล่าวนี้เอง ชาวบ้านจะเก็บไว้ใช้ในครัวเรือนแทนน้ำปลา รสชาติจะหวานและเค็มอ่อนๆ กำลังดี เชฟเอามาเคี่ยว แล้วหมักกับส่า คือเนื้อข้าวหมาก ซึ่งใช้ในการทำกุ้งสะดุ้งของภาคกลาง กิบแกล้มกับผักเคียงของอีสาน อย่างยอดกระโดน และตาลปัตรฤาษี ที่เข้ากันได้อย่างวิเศษ ตักกินไปเป็นชั้นๆ มีรสหวานซ่อนเปรี้ยว ตบท้ายด้วยเค็มนิดๆ ไม่เคยชิมที่ไหนมาก่อน ส่วนเนื้อกุ้งก็สดสู้ปากดีแท้

เมนูที่ 5 “ข้าวมันกะทิ กับน้ำดอกดาหลา” เป็นเมนูข้าวจานน้ำ ภูมิปัญญาของคนไทยนิยมกินกันมาตั้งแต่โบราณ ในช่วงรอยต่อฤดูร้อน-ฝน ซึ่งคนมักจะปรับตัวกับสภาพอากาศไม่ทันจนป่วยบ่อย เพราะเกิดอาการ Heat Stroke เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เมนูข้าวจานน้ำจริงๆ คล้ายข้าวแช่ชาววัง โดยกินกับปลาสลิด ปลาแห้ง น้ำพริก หรือเครื่องยำที่เหลือในสำรับ ใส่น้ำเย็นลงไป กินแล้วย่อยง่าย มีฤทธิ์ทำให้ร่างกายเย็นลง ข้าวสวยใช้หางกะทิในการหุง จึงมีความหอม หวาน มัน กินคู่กับปลาวง ปลาหวาน กระเทียมโทนดอง ใช้ตัดแกล้มตัดเลี่ยนได้เหมาะเจาะลงตัว ส่วนน้ำที่ใช้เทลงไปในข้าวจานน้ำ เชฟ Huto ใช้ “น้ำดอกดาหลา” ที่สกัดเอง กลิ่นรสเป็นน้ำดอกไม้หอมชื่นใจ อ่อนโยน บางเบา ไม่ต่างจากการกินข้าวแช่ชาววังเลย

น้ำดอกดาหลา สไตล์เชฟ Huto

กินคาวกันไป 5 เมนูแล้ว ก็ได้เวลาล้างปากกับของหวานที่ไม่ธรรมดา “ส้มฉุนน้ำข้าวหมาก” ซึ่งต้องบอกเลยว่าจัดจานมาดู Inter สีสันเย้ายวนชวนให้ตักเข้าปากซะจริงๆ

            ต้องอธิบายก่อนว่า จริงๆ แล้ว “ส้มฉุน” เป็นเมนูของเปรี้ยวที่คนไทยสมัยก่อนนิยมนำมาแช่อิ่มเก็บไว้ ช่วงเวลาที่ร้อนๆ กระหายน้ำ หรือเหงาปาก ก็มักจะเอามากินแทนเมี่ยง โดยเอาการบูรโรยกินกับขนมแช่อิ่ม ให้ความสดชื่นในฤดูร้อน หรือวันที่อบอ้าว ทว่าปัจจุบันการบูรไม่สามารถกินได้แล้ว เพราะเป็นการบูรสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ เชฟ Huto จึงใช้ความสดชื่นจากการแช่เย็นก่อนเสิร์ฟแทนการบูร และใช้ผลไม้แช่อิ่มตามฤดูกาล ทั้งมะม่วงสุก มะยงชิด และลูกพีช (ของภาคเหนือที่กำลังล้นตลาด) เมนูนี้พอดีเป็นช่วงที่มะยงชิดวายไปแล้ว เชฟ Huto จึงใช้ลูกพีช กินคู่กับเจลลี่ข้าวหมาก แกล้มกับเม็ดทับทิม ขิงอ่อนซอย และผิวส้มฉุนฝาน Topping มาอย่างจุ๋มจิ๋มน่ารัก

ส้มฉุน (Bitter Orange) พืชวงศ์ส้มที่หายากราคาสูงในปัจจุบัน แต่ครัวไทยนิยมนำผิวมาแต่งกลิ่นอาหาร ส้มฉุนมีกลิ่นเฉพาะตัว อยู่กึ่งกลางระหว่างมะกรูดกับมะนาว ทางจังหวัดเพชรบุรีนิยมใช้ใบอ่อนส้มฉุนใส่แกงคั่วหัวตาล ปัจจุบันถือว่าส้มฉุนเป็นพืชหายาก เพราะปลูกค่อนข้างยาก ชอบขึ้นอยู่ในบริเวณน้ำกึ่งแห้งกึ่งแฉะPrivate Dining ของเราในวันนั้น เต็มไปด้วยความสนุกสนานและอิ่มอร่อย เป็นประสบการณ์ดีๆ ครั้งหนึ่งที่ยากจะลืม โดยเฉพาะรอยยิ้มและมิตรไมตรีจากเพื่อนสนิท เคล้าเคียงกับรสชาติอาหารได้อย่างวิเศษ จนเวลาล่วงเลยไปดึกดื่นก็ต้องร่ำลา แต่สัญญากันไว้ว่าจะกลับมาพบกันอีกแน่นอน

สนใจจองรับประทานอาหาร และสอบถามข้อมลูเพิ่มเติมได้ที่
บริษัท โพชั่นเนียร์ (ประเทศไทย) จํากัด

Paparitk@potioneer.com  Instagram.com/potioneerth. Facebook.com/potioneer

คุณพาพฤทธิ์ กาญจน์เกียรติกุล (แน็ก) โทร. 081-424-7887  Yanisat@potioneer.com
คุณญาณิศา ธรี กีรติกุล (เจ) โทร. 062-447-4249

“Potioneer” Private Dining New Experience!

เมื่อวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2565 บริษัท โพชั่นเนียร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดงาน Soft Opening platform ใหม่ “Potioneer” ที่ Potioneer House Curator ซอยสุขุมวิท 24

บริษัท โพชั่นเนียร์ (ประเทศไทย) จํากัด ก่อตั้งโดย คุณพิตนิตสันติ์ สันติวราคม (พล) คุณถาวร กมลสิทธุ์ (อาร์ม)

คุณพาพฤทธิ์ กาญจน์เกียรติกุล (แน็ก) และ คุณปีติภัทร คูตระกูล (แบม) ร่วมสร้างนวัตกรรมเพื่อพลิกโฉมวงการอาหาร Gastronomy ในประเทศไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล

Potioneer มีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนวงการอาหารไทย สู่ความเป็นผู้นําระดับภูมิภาค และระดับสากล โดยเป็นศูนย์กลางการเสริมสร้างและต่อยอดวิชาชีพให้เชฟทุกระดับ

Potioneer เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยอํานวยความสะดวกให้กับคนรักอาหาร ทั้งฝ่ายเชฟและผู้รับประทาน

ด้วยระบบการจองมื้ออาหารส่วนตัว (Private Dining) ที่ง่ายและสะดวกรวดเร็ว

นอกจากนั้นยัง เป็นแพลตฟอร์มที่ส่งเสริมวงการอาหารผ่านพื้นที่ที่เปิดกว้างให้เชฟได้แสดงความสามารถ และความคิด สร้างสรรค์ของตน เสมือนศูนย์กลางที่เชฟสามารถใช้สร้างอาชีพ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น

เพื่อการพัฒนาศักยภาพสู่ ระดับสากล

Potioneer เป็นระบบการจองมื้ออาหารส่วนตัว (Private Dining Booking Platform)

ที่เปิดโอกาสให้เชฟเข้ามารังสรรค์คอร์สเมนู เพื่อนําเสนอเอกลักษณ์ของเชฟแต่ละท่าน การจองลักษณะนี้เหมาะสําหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ต้องการเฉลิมฉลองโอกาสพิเศษ

หรือต้องการสัมผัสประสบการณ์การรับประทานอาหารที่แปลกใหม่จากเดิม โดยลูกค้าสามารถเลือกสถานที่รับประทานอาหารได้ทั้งที่ Potioneer House Curator สุขุมวิท 24 ร้านอาหารของเชฟ บ้านของลูกค้า หรือพื้นที่อื่นๆ ตามที่ลูกค้าต้องการ

นอกจากนี้ทาง Potioneer ยังได้ร่วมมือกับ พระราชวังพญาไท เพื่อมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้ผู้รับประทานอาหาร

Potioneer ไม่ได้เป็นเพียงแค่ระบบการจองมื้ออาหารเท่านั้น แต่เรายังมีความตั้งใจสร้างสังคม ของเชฟ หรือ Chef Community ให้เป็นเวทีสําหรับเชฟทุกรูปแบบ ทั้งเชฟที่มีร้านอาหารเป็นของตนเองและเชฟอิสระ โดยเชฟทุกท่านจะได้มีโอกาสแสดงศิลปะการทําอาหาร ความเชี่ยวชาญ และความเป็น เอกลักษณ์ของแต่ละท่าน พร้อมทั้งสร้างพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ถ่ายทอดองค์ความรู้ระหว่างเชฟมืออาชีพและเชฟหน้าใหม่ เปิดโอกาสในการสร้างความร่วมมือใหม่ๆ เช่น Chef Collaboration ที่เหล่าเชฟ สามารถผสมผสานความคิดสร้างสรรค์ ฝีมือ และเอกลักษณ์ของตนเอง เพื่อบุกเบิกศิลปะการทําอาหารรูปแบบ ใหม่ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย

นอกจากนี้ Potioneer ยังมีการจัดสัมมนา Masterclass โดยเชิญชวนวิทยากร ที่มีความเชี่ยวชาญ เฉพาะทาง

และมีประสบการณ์มาถ่ายทอดความรู้ให้กับเชฟ ไม่ว่าจะเป็น วิธีการจัดอาหารให้สวยงาม การสร้างคอนเซ็ปต์และความเป็นเอกลักษณ์ของเชฟแต่ละท่าน การตลาด รวมถึง แนะแนวทางการสร้างอาชีพ ฯลฯ

สอบถามข้อมลูเพิ่มเติมได้ที่
บริษัท โพชั่นเนียร์ (ประเทศไทย) จํากัด

Paparitk@potioneer.com

Instagram.com/potioneerth

Facebook.com/potioneer

คุณพาพฤทธิ์ กาญจน์เกียรติกุล (แน็ก) โทร. 081-424-7887  Yanisat@potioneer.com
คุณญาณิศา ธรี กีรติกุล (เจ) โทร. 062-447-4249