นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @เขาชะงุ้ม จ.ราชบุรี

เรื่อง/ภาพ สุเทพ ช่วยปัญญา สำนักข่าวท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดราชบุรี สมาพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (สสทท.) สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) บริษัท เมืองไทย ครีเอทีฟ แอนด์ ทัวร์ จำกัด และสำนักข่าวท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม (สทส.) จัดกิจกรรม “นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @ เขาชะงุ้ม ราชบุรี” เยี่ยมชม โครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม ทำกิจกรรมปลูกหญ้าแฝก  ซื้อของฝากพืชผักสวนครัวจากร้านในโครงการเขาชะงุ้ม ชมความงามอุทยานหินเขางู กราบพระพรมน้ำมนต์ในถ้ำเขางู ถวายเทียนพรรษาที่วัดหนองหอย ดื่มกาแฟยามบ่าย @ KON RUK SUAN CAFE ขอพรเจ้าแม่กวนอิม วัดหนองหอย ช้อปสินค้าโอท็อป กาดวิถีชุมชนคูบัว ราชบุรี
คุณสัญชัย สวัสดี หัวหน้างานโฆษณาและส่งเสริมการท่องเที่ยว การรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย คุณจุไรรัตน์ ชัยทวีทวัทรัพย์ รองผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานราชบุรี  และ คุณกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) ร่วมต้อนรับนักท่องเที่ยว นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @เขาชะงุ้ม ราชบุรี สถานีจุฬาลงกรณ์ ราชบุรี นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @ เขาชะงุ้ม ราชบุรี” ทริปนี้ไม่ได้เป้น One Day Trip เหมือนที่เพชรบุรี และกาญจนบุรี แต่เป็นแบบค้าง 1 คืน 2 วัน รถไฟ KIHA 183 มาถึง สถานีจุฬาลงกรณ์ ราชบุรี ในเวลา 9.30 น. นักท่องเที่ยวจำนวน 200 คน เต็มทุกที่นั่ง ทยอยลงจากรถไฟ เพื่อเดินไปขึ้นรถบัส 5 คัน จอดรออยู่แล้วที่ข้างสถานี โดยมีเจ้าหน้าการรถไฟช่วยนักท่องเที่ยวขนกระเป๋า ชี้ป้ายบอกทางไปยังรถบัส แยกตามสีป้ายคล้องคอที่ได้รับต้อนลงทะเบียนในตอนเช้า โครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม ตามพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 จุดแรกที่มาถึงก็คือ โครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม ตามพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 นักท่องเที่ยวแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ขึ้นรถรางเข้ารับฟังการบรรยายในห้องประชุม ถึงประวัติความเป็นมาที่ได้รับบริจากมา เดิมเป็นบ่อดินลูกรังที่ถูกหน้าดินขายไปหมดแล้ว วัถตุประสงค์เพื่อทำการทดลองฟื้นฟู บำรุงดิน ให้กลับมาใช้เพาะปลูกได้ และทำกิจกรรมปลูกหญ้าแฝก ในโครงการฯ ส่วนกลุ่มที่ 2 รวมกลุ่มกันถ่ายรูปหมู่กับป้ายหน้าโครงการฯ เสร็จแล้วใครจะถ่ายรูปเช็คอินส่วนตัวก็เชิญตามสบาย จากนั้นก็นั่งรถราง ชมฐานกิจกรรมต่างๆของโครงการฯ อ่างเก็บน้ำเขาชะงุ้ม ต้นไม้ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงปลูก และแวะถ่ายรูปหมู่กันที่ฐานปลูกผักสวนครัวกันอีก 1 จุด  มื้อกลางวันทานอาหารท้องถิ่นแบบโต๊ะไทย นั่งรถรางชมฐานกิจกรรมต่างๆเสร็จแล้วก็ได้เวลา มื้อกลางวันทานอาหารท้องถิ่นแบบโต๊ะไทย เมนูประกอบไปด้วย น้ำพริงกะปิชะอมชุบไข่ทอด แกงคั่วหมูผักทอง ไข่พะโล้หมูเต้าหู้ ปลานิลทอดสมุนไพร และผัดผักรวมมิตรน้ำมันหอย ปิดท้ายด้วยของหวานกล้วยบวชชี อร่อยรสชาติ แบบท้องถิ่น ทุกเมนู กิจกรรมปลูกหญ้าแฝก ป้องกันหน้าดินพังทะลาย หลังอาหารมื้อกลางวัน นักท่องเที่ยวร่วมกันทำกิจกรรม ปลูกหญ้าแฝก ป้องกันหน้าดินพังทะลาย ตามพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 เจ้าหน้าที่โครงการฯ ได้เตรียมต้นกล้าหญ้าแฝกต้นเล็ก อยู่ในถุงดำเล็กวางเรียงรายอยู่ในร่องดินที่เจ้าหน้าที่ขุดเตรียมไว้ พร้อมปลูก นักท่องเที่ยวลงจากรถราง มาถึงก็ต้องเช็คอินถ่ายรูปกับต้นกล้าหญ้าแฝกเพื่อลงโซเซียนกันก่อน เพียงแค่แกะถุงดำออกให้เหลือแต่ต้นกล้าหญ้าแฝก แกะเสร็จก็วางลงไปในร่อง แล้วเอาดินที่ขุดเป็นร่องอยู่ข้างๆกลบต้นกล้าลงไป ใครจะปลูกกี่ต้นก็ได้ตามอำเภอใจ จากนั้นก็ไปเอาฝักบัวรดน้ำมารดให้ต้นกล้าได้ชุ่มช่ำสดชื่น มีน้ำเพียงพอในการฟื้นตัว หลังจากที่นักท่องเที่ยวปลูกหญ้าแฝกเสร็จกลับไปแล้ว แต่เจ้าหน้าก็ยังต้องดูแลให้หญ้าแฝกเจริญเติบโตต่อไปได้ อุทยานหินเขางู แหล่งระเบิดหินเก่ากลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว  อุทยานหินเขางู ตั้งอยู่ที่ ตำบลเกาะพลับพลา อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เดิมเป็นแหล่งระเบิดหินเอาไปทำปูนซีเมนต์ และทำหินผสมคอนกรีต มาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อมาภาครัฐและเอกชนมีมติให้ยกเลิกสัมปทานระเบิดหิน เพราะสภาพภูมิประเทศในบริเวณนั้นเสื่อมโทรมลงอย่างมาก เกิดเป็นแอ่งน้ำลึกไปตาม 5 ล่องเขา ต่อทางจังหวัดราชบุรีจึงได้พัฒนาเขางูให้เป็นสวนสาธารณะ และสถานที่ท่องเที่ยว แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น อุทยานหินเขางู  เช้าวันใหม่นักท่องเที่ยวทานอาหารเช้าที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางมาที่ อุทยานหินเขางู เพื่อมาถ่ายรูปหมู่ กันบนสะพานแขวงสัญลักษณ์ของอุทยานหินเขางู เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไปท่องเที่ยวตามจุดต่างๆของอุทยานฯ ซึ่งก็มีหลายจุดให้ท่องเที่ยว บางกรุ๊ปก็เดินเที่ยวชมธรรมชาติสวยงามไปตามเทรล จะเช่าเรือถีบล่องแอ่งน้ำเพลินๆ หรือซื้ออาหารปลาเลี้ยงปลาคราฟก็ได้ กราบพระรับพรมน้ำมนต์ที่ ถ้ำฤาษีเขางู  ในบริเวณ อุทยานหินเขางู ยังมี ถ้ำฤาษีเขางู ให้นักท่องเที่ยวได้มากราบพระรับพรมน้ำมนต์ได้อีกจุดหนึ่ง ด้านหน้ามีพระพุทธรูปสลักหินปางลีลาขนาดใหญ่ เต็มพื้นที่หน้าผา สร้างจากการยิงแสงเลเซอร์ลงบนหน้าผาหินให้เป็นรูปองค์พระแบบนูนตำ่ ลงรักปิดทองเหลืองงามตา เหนือพระเศียรประดับด้วยฉัตรเงิน 8 ชั้น ด้านข้างองค์พระใหญ่มีศาลเจ้าพ่อเขางู ให้กราบบูชาก่อนถึงไปยังถ้ำฤาษี  ภายถ้ำฤาษี มีพระพุทธรูปสลักหินนูนต่ำ สมัยทราวดี 2 องค์ มีพระพุทธรูปปางแสดงธรรม และปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ อยู่ที่ผนังถ้ำ นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังขอพรรับพรมน้ำมนต์จากพระสงฆ์ ที่มาจำวัดอยู่ในถ้ำนี้ได้ด้วย ถวายเทียนพรรษา วัดหนองหอย ช่วงบ่ายคณะนักท่องเที่ยวไปร่วมกันถวายเทียนพรรษาที่ วัดหนองหอย เนื่องจากวันเข้าพรรษาในวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 ที่จะเวียนมาถึง ทางวัดได้จัดเก้าอี้ให้นักท่องเที่ยวนั่งทำกิจกรรมทางสงฆ์ได้อย่างสะดวกสบาย นายสัญชัย สวัสดี หัวหน้างานโฆษณาและส่งเสริมการท่องเที่ยว การรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นประธานถวายเทียนพรรษา นางสาวจุไรรัตน์ ชัยทวีทวัทรัพย์ รองผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ถวายเครื่องอัฐบริขาร ตัวแทนคณะนักท่องเที่ยวถวายเงินบริจาค จากนักท่องเที่ยว เป็นจำนวนเงิน 27,100 บาท เสร็จแล้วถ่ายรูปหมู่กันที่บันไดหน้าศาลาการเปรียญ วัดหนองหอยเป็นอันเสร็จพิธี ดื่มกาแฟยามบ่าย @ KON RUK SUAN CAFE เสร็จจากถวายเทียนพรรษาแล้วก็มาพัก  ดื่มกาแฟยามบ่าย @ KON RUK SUAN CAFE กันได้ตามอัธยาศัย ใครใคร่ดื่ม อเมริกาโน เอสเปรสโซ ลาเต้ คาปูชิโน ชาเขียว ร้อนเย็น มีให้เลือกดื่มหลากหลายเมนู ภายในบริเวณร้านก็มีมากหลายบรรยากาศ ร้านเมนหลักรับออเดอร์ลูกค้ากว้างขวางใหญ่โต รองรับลูกค้าได้อย่างเพียงพอ ตัวอาคารติดกระจกโดยรอบให้ความโปร่งสบาย นอกจากนี้ยังมีห้องต่างๆให้ลูกค้าเลือกใช้บริการได้หลายรูปแบบ บรรยายกาศแบบการ์เดน นั่งทานกาแฟในสวน ก็มีให้นั่งถ่ายรูปเก๋ๆได้หลายมุม ขอพรเจ้าแม่กวนอิม วัดหนองหอย ราชบุรี ตรงข้ามวัดหนองหอยมี หอเจ้าแม่กวนอิม ให้นักท่องเที่ยวไปกราบขอพร ให้ชาวพุทธมามกะมาถือศิลกินเจ และมีอาหารเจให้ทานฟรี ทานเสร็จจะใส่ตู้บริจาคได้ตามกำลังศรัทธาก็สามารถทำได้  ภายใน หอเจ้าแม่กวนอิม มีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมอยู่หลายองค์ ให้นักท่องเที่ยวได้กราบขอพรอย่างทั่วถึง ทั้งองค์ใหญ่องค์เล็ก มีรูปปั้นหลวงปู่ทวด พระสังกัจจายน์ให้นักเที่ยวเสี่ยงทายโยนเหรียญ และสุดท้ายก็คือจุดชมวิวที่มองได้กว้าง 180 องศา สวยงาม ช้อปสินค้าโอท็อป กาดวิถีชุมชนคูบัว  ปิดท้ายทริปนี้ด้วยการมาซื้อของฝากที่ กาดวิถีชุมชนคูบัว ตั้งอยู่ในบริเวณ วัดโขลงสุวรรณคีรี อ.เมือง จ.ราชบุรี ลงจากรถบัสแล้วก็มาถ่ายรูปกับพระพุทธปางสมาธิองค์ใหญ่ ที่อยู่หน้ากาดกันก่อน  ทางขวาของกาดยังมี เมืองโบราณคูบัว ให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันอีก 1 จุด เมืองโบราณคูบัวเป็นเมืองเก่าสมัยทราวดี ทรงสี่เหลี่ยมพื้นผ้า มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ขุดค้นพบประติมากรรมปูนปั้น และดินเผา ที่ใช้ประดับอาคาร เช่น พระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ เทวดาหรือบุคคลชั้นสูง ปัจจุบันจัดแสดงอยู่พิพพธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี ก่อนเข้ากาดก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันอีกแล้ว ภายตลาดมีการแสดงย้อนยุคไทยวนบนเวที สินค้าโอท๊อปในชุมชนให้เลือกซื้อหลากหลาย อาหารก็มีผัดไทยกระธงดอกบัว ขนมจีนน้ำยาไข่ต้ม แต่ที่นักท่องเที่ยวตามหากันก็คือร้านหัวไชโป๊ราชบุรี เจอร้านแล้วปรากฏว่านักท่องเที่ยวพากันซื้อเหมาหมดร้านเรียบร้อย  “นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @ เขาชะงุ้ม ราชบุรี จัดขึ้นเมื่อวันที่ 22-23 กรกฎาคม 2566 

ติดตามข่าวสาร จองทริปต่อไปของรถไฟ KIHA 183 และสามารถโหลดรูปที่เจ้าหน้าที่การรถไฟถ่ายให้ในทริปนี้ ได้ทางเพจ Feacbook ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย 

Beautiful Italian, Tempo Wine Event @Le Meridien Bangkok

Italy ประเทศในฝันของใครหลายคน เป็นดินแดนที่รุ่มรวยด้วยประวัติศาสตร์และอารยธรรมโบราณของอาณาจักร Roman งดงามด้วยธรรมชาติชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสีน้ำเงินครามเข้มข้น ที่สำคัญคือ Italy เป็นเจ้าพ่อแห่งการผลิตไวน์ชั้นเลิศของโลก ทั้ง 20 แคว้น มีองุ่นสายพันธุ์ท้องถิ่นที่ใช้ผลิตไวน์ขาวและแดง อยู่ไม่น้อยกว่า 350 สายพันธุ์เลย

ค่ำคืนนี้เรากำลังจะได้สัมผัสส่วนเสี้ยวหนึ่งของ Italian Wine ชั้นเลิศ 5 ตัว ที่ Cafe’ Buongiorno บริษัทนำเข้า Boutique Wine ร่วมกับ Tempo Barโรงแรม Le Meridien Bangkok จัดคอกเทลไวน์เทสติ้ง  “Beautiful Italian” เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2023
Tempo Bar ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ของโรงแรม Le Meridien Bangkok ตกแต่งบรรยากาศหรูเรียบ เหมาะมาพบปะสังสรรค์กันในบรรยากาศเป็นกันเอง ตั้งแต่เวลา 17.00-23.00 น. พร้อมเสิร์ฟอาหารฟิวชั่น และไวน์คุณภาพเยี่ยมในแบบ Sommelier Selection ที่ใครๆ ก็ติดใจ (Contact 0-2232-8888, 0-2232-8999)
ขอบอกว่าแสงสียามค่ำคืนที่ Tempo Bar สวยงาม จับตาจับใจมาก
Mr. Dieter Ruckernbauer / General Manager, Le Meridien Bangkok ยินดีต้อนรับทุกท่าน
Mr. Marco Cammarata / Executive Chef , Le Meridien Bangkok เชฟมากฝีมือชาวอิตาเลียนแท้  รังสรรค์ความอร่อยหลากเมนูอย่างใส่ใจ ให้แขกผู้มาเยือน
คุณ Waraporn Viyanut / Senior Bartender ของ Tempo Bar คอยดูแลอาหารและเครื่องดื่มตามสไตล์ที่คุณต้องการ
คุณ Thanawan Sawangsub (Mind), Food & Beverage Manager / คุณ Nuttinee Payungwong (Tik), Marketing Communications Manager / คุณ Waraporn Viyanut, Senior Bartender Tempo Bar
Mr. Akarawit Jintanakarn / Director of Food & Beverage, Le Meridien Bangkok เตรียมอาหารและเครื่องดื่มชั้นเลิศ ไว้บริการทุกท่านอาหารชั้นเลิศ ก็ต้องคู่กับ Italian Wine ชั้นยอด
DJ เปิดเพลงสนุกสนาน สร้างบรรยากาศเพลิดเพลิน น่าจดจำที่ Tempo Bar
Mr. Akarawit Jintanakarn, Director of Food & Beverage กล่าวต้อนรับ และพูดถึง Italian Wine ทั้ง 5 ตัว ซึ่งนำเข้าโดย Cafe’ Buongiorno บริษัท Wine Importer ที่มีชื่อเสียง ทำให้เราได้สัมผัสไวน์สายพันธุ์หายากจากภูมิภาคต่างๆ ของอิตาลีไวน์ชั้นเลิศทั้ง 5 ตัวในคืนนี้ ผลิตขึ้นอย่างพิถีพิถันโดย ARRIGONI Vineyard ซึ่งทำไวน์ต่อเนื่องกันมา 4 ชั่วอายุคนแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1913 ปัจจุบันจึงมีความเก่าแก่ถึง 110 ปี ไร่องุ่นส่วนใหญ่ของเขาตั้งอยู่ในพื้นที่ World Heritage Site ของ UNESCO ด้วย (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)เรียกน้ำย่อยและสร้างความสดชื่นด้วย Sparkling Wine ตัวแรก Otello Prosecco” มาตรฐานสูงระดับ DOC มีความ Extra Dry คือหวานกลางๆ แต่ยังคงความสดชื่นหอมหวานโดดเด่นของกลิ่น Green Apple ผสานกลิ่นอัลมอนด์ และดอกไม้สีขาว เหมาะเสิร์ฟเย็นฉ่ำที่อุณหภูมิ 8-11 องศาเซลเซียส จึงสัมผัสได้ถึงความ peak ของกลิ่น รส และเนื้อสัมผัสนุ่มลื่นที่แท้จริง เนื้อไวน์สีฟางอ่อน (Pale Straw) และมีพรายฟองเล็กละเอียดน่ารักดี เหมาะรับประทานคู่กับเมนูปลา หรือ seafood

Otello Processo ผลิตที่ เมืองเทรวิโซ่ (Treviso) แคว้นเวเนโต้ (Veneto) ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี ซึ่งอากาศเย็น ภูมิประเทศเป็นหุบเขา โดยผลิตขึ้นจากองุ่นพันธุ์ เกลียร่า (Glera) ซึ่งเหมาะในการทำ Prosecco ที่สุดOtello Prosecco แพริ่งกันได้ดีกับ “ซิกเคติ” (Cicchetti) อาหารอิตาเลียนสไตล์ภาคเหนือของชาวเวเนเชียน “ซิกเคติ” แปลว่า “อาหารจานเล็ก” หรืออาหารที่เสิร์ฟมาเป็นคำเล็กๆ และยังหมายถึง “อาหารทานเล่น” หรือ “อาหารว่าง” ได้ด้วย ซิกเคติคืนนี้มีส่วนผสมหลักของปูม้า กับปลา Crostini’s Whisked Cod และน้ำมันมะกอกอย่างดี กัดคำนึง จิบ Otello Prosecco อึกนึง ช่วยเสริมรสชาติกันได้ยอดเยี่ยมเพิ่มดีกรีความสนุกกับ “MANON” ไวน์ขาวอันโด่งดังจาก แคว้นเวเนเซีย (Venezia) ผลิตที่เขตฟริอูลี (Friuli) ทางภาคเหนือของอิตาลี โดยใช้องุ่นพันธุ์ ปินอต กริจิโอ (Pinot Grigio /กลายพันธุ์มากจาก Pinot Noir) ซึ่งถือเป็น ปินอต กริจิโอ ที่ดีที่สุดของอิตาลีเลยทีเดียว ตัวนี้มาตรฐานสูงระดับ DOC ให้สีฟางอ่อน แต่กระทบแสงเป็นประกายสีทอง ตัวไวน์มีความ balance ยอดเยี่ยม ของความ Full Body กลิ่นผลไม้หอมเข้มข้น รสชาติหวานน้อย เปรี้ยวน้อย และแทบไม่ติดขมเลยเมื่อกลืนไปแล้ว ทิ้งความหอมหวานชื่นใจไว้ในปาก เหมาะรับประทานคู่กับเนื้อสีขาวอย่างปลา ไก่ หอย และ seafood เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 10-12 องศาเซลเซียส ยอดเยี่ยมที่สุดMANON Pinot Grigio เหมาะแพริ่งกับ “เซวิเช่ มิกซโต้” (Ceviche Mixto) ซึ่งมีส่วนผสมลงตัวของปลากะพง, มันเทศหวาน, เมล็ดข้าวโพด คลุกเคล้าด้วยซอส Coconut Lime เผ็ดนิดๆ ชิมแล้วให้ความละมุนลิ้น กลิ่นไม่แรง ชอบเลยครับ
เข้าสู่โหมด Red Wine ชื่อดังของโลกจาก เกาะซิซิลี (Sicily / คนอิตาเลียนเรียก “ซิซิเลีย”) SIMON B” มาตรฐานระดับ  IGT ซึ่งใช้องุ่นพันธุ์หายาก เนโร ดาโวล่า (Nero D’Avola) มาบ่มหมักอย่างใส่ใจ องุ่นแดงพันธุ์นี้มีปลูกเฉพาะที่เกาะซิซิลีเท่านั้น Character มีความ Full Body กลิ่นรสเทียบเท่าองุ่นพันธุ์คาเบอร์เน่ต์ โซวิญอง (Carbernet Sauvignon) จากแคว้นบอร์โด (Bordeaux) ของฝรั่งเศสเลยทีเดียว แต่ทิ้งความ Fruity ไว้ในปากมากกว่า น้ำไวน์สีทับทิมอมแดงเข้มข้น แทนนินนุ่มลื่น เปรี้ยวน้อย มีกลิ่น Blueberry ชัดเจน เหมาะรับประทานคู่กับเนื้อสีแดง เนื้อย่าง สเต็กเนื้อ ซี่โครงแกะย่าง รวมถึง Risotto (ข้าวผัดครีมข้นอิตาเลียน) เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 16-18 องศาเซลเซียส เริ่ดสุด

ชื่อ Nero D’Avola มาจากคำว่า “Nero” แปลว่า “สีดำ” ของผลองุ่นเมื่อแก่เต็มที่เปลือกจะกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ และ “Avola” เป็นชื่อหมู่บ้านทางชายฝั่งตะวันออกของเกาะซิซิลี ซึ่งองุ่นพันธุ์นี้ถือกำเนิดขึ้นมา Nero D’Avola จึงได้สมญามากมาย เช่น สิงห์ดำแห่งซิซิลี และองุ่นดำแห่งหมู่บ้านอะโวล่า นอกจากนี้ยังได้ฉายาว่า “The Godfather Wine” เพราะถูกนำไปโยงกับหนังเรื่อง The Godfather ของตระกูลคอร์เลโอเน่แห่งซิซิลีด้วย

จริงๆ แล้วซิซิลียังมีไวน์ดีๆ ให้ชิมอีกเพียบ ไวน์แดงยังมี Nerello Mascalese, Perricone และ Frappato ส่วนไวน์ขาวที่ห้ามพลาด เช่น Catarratto, Carricante, Insolia และ Grillo นอกจากนี้ยังมี Marsala Wine ซึ่งเป็นไวน์ปรุงแต่ง (Fortified Wine) ที่เติมแอลกอฮอล์ปริมาณสูง และค่อนข้างหอมหวาน ปกตินิยมจิบเป็นแก้วเล็กๆ จบมื้ออาหาร และเชฟทั่วโลกชอบนำไปใช้ปรุงอาหารในครัว

SIMON B Nero D’Avola แพร่ิงได้ยอดเยี่มกับ “อารันชินี่” (Arancini) คือข้าวรีซอสโตปั้นเป็นก้อน คลุกเคล้าเกล็ดขนมปัง นำไปทอด สอดไส้ด้วยเนื้อวัวตุ๋น, ถั่วพิสตาชิโอบดละเอียด ผสมกับชีสอร่อยๆ อย่าง Stracciatella Espuma ที่นิยมรับประทานกันในภาคใต้สุดของอิตาลี
เดินทางจากภาคใต้ของอิตาลี ขึ้นมาตรงรอยต่อภาคเหนือ-ภาคกลาง ณ “แคว้นทอสคานา” (Toscana หรือ ทัสคานี / Tuscany) แคว้นใหญ่ชายฝั่งตะวันตก ที่ได้รับลมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งปี กอปรกับมีภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับหุบเขา กลางวันร้อน กลางคืนหนาว เช้ามีหมอก จึงกลายเป็นยูโทเปียของการผลิตไวน์ชื่อก้องโลก

คืนนี้เราได้จิบไวน์แดง “Pietraserena In NERO” มาตรฐาน IGT ผลิตจากองุ่นพันธุ์ “เวอร์เมนติโน่ เนโร” (Vermentino Nero) ซึ่งเคยเกือบจะสูญพันธุ์ไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเพิ่งได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาจนแพร่หลายอีกครั้ง ไวน์ตัวนี้ผลิตที่ เมืองซาน จิมิกนาโน (San gimignano) ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นเนินเขา และดินมีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ เนื้อไวน์สีแดงทับทิม (Red Ruby) ค่อนไปทางสีแดงโกเมน (Garnet) เนื้อไวน์ Full Body ให้รสกลิ่นไม่ซับซ้อน ไม่หวาน แทนนินนุ่มลื่นกำลังดี เข้ากันได้ยอดเยี่ยมกับพวก Cold Meat อย่างไส้กรอก, Tuscan Pasta และพิซซ่า
คืนนี้ Pietraserena In NERO นำมาแพริ่งกับ “Pork Belly” หรือหมูสามชั้น เสิร์ฟไซต์เล็กๆ พอดีคำ โดยเชฟนำหมูสามชั้นไปทำให้สุกช้าๆ แบบ Slow-cooked นานถึง 12 ชั่วโมง ร่วมกับ Red Wine Pear แต่งกลิ่นรสเพิ่มด้วยกระเทียม และใบโหระพาอิตาเลียน จิบไวน์แดงเข้าไปก่อนนิดนึง แล้วกิน Pork Belly ตาม รสชาติเปลี่ยนไปบนลิ้น นับว่าแปลกดี ยกนิ้วให้มาถึงพระเอกของค่ำคืนนี้คือ “Poggio Al Vento” ไวน์แดงมาตรฐานสูงระดับ Chianti Colli Sensi, DOCG ซึ่งเคยได้รับรางวัลจากการประกวดมาแล้วกว่า 10 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995-2017 ไวน์แดงชั้นเลิศของแคว้นทอสคานาตัวนี้ ผลิตจากองุ่น “ซานโจเวเซ่” (Sangiovese) เพียวๆ ถือเป็นพันธุ์องุ่นที่ปลูกมากที่สุดในอิตาลี เป็นองุ่นพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของทอสคานา และได้ฉายาว่า “โลหิตแห่งพระเจ้า” (The Blood of God) ด้วยเนื้อไวน์สีแดงทับทิมเข้มข้น ฉายานี้ตั้งเป็นเกียรติแด่เทพเจ้าแห่งสายฟ้า (Zeus) หรือที่คนกรีกและโรมันเรียกว่า Jupiter หรือ Jove นั่นเอง Sangiovese เป็นองุ่นที่เกิดมาเพื่ออาหารอิตาเลียนโดยแท้ เพราะมี Acidity (ความเปรี้ยว) ค่อนข้างมาก จึงกลบความเลี่ยนของชีส พาสต้า รวมถึงเป็นไวน์ไม่กี่ชนิดที่รสชาติยังคงอยู่ เมื่อรับประทานคู่กับอาหารที่มี Tomato Sauce

Character ของไวน์แดงตัวนี้ มีกลิ่นหอมหวาน ของ Blackberry ชัดเจนมาก ร่วมกับกลิ่น Raspberry, วานิลลา, อัลมอนด์, ดอกไวโอเล็ต น้ำไวน์มีรสนุ่มลื่นราวแพรไหมเมื่อสัมผัสลิ้น กลิ่นรสซับซ้อนมาก เกิดจากการบ่มหมักเป็นเวลานานก่อนบรรจุขวด ตามข้อกำหนดเคร่งครัดของไวน์ระดับ Chianti DOCG คือ 2.5 ปี, 2 ปี, 1 ปี, 9 เดือน และ 6 เดือน หากจะลิ้มลอง Sangiovese ที่ดีที่สุด ต้องมาจากเขต Chianti ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเมือง Florence และ Siena ครับ“Poggio Al Vento Sangiovese” นำมาแพริ่งได้ยอดเยี่ยมกับ “ทาลิอาตะ” (Tagliata) หรือเนื้อวัวย่าง Medium-Rare สไตล์อิตาเลียน สไลด์เป็นชิ้นบางๆ โดยเชฟใช้เนื้อเซอร์ลอยน์สันนอก กินคู่กับแตงซูกินีย่าง มะเขือเทศ ราดซอสบัลซามิคมะกอกดำ นับว่ารสชาติเข้าคู่กับไวน์แดงขวดนี้อย่างยอดเยี่ยมสุดๆ ราวฟ้าประทานเลยเชียว!นอกจากไวน์ทั้ง 5 ตัวดังกล่าวแล้ว ที่ Tempo Bar ของโรงแรม Le Meridien Bangkok ยังมีเครื่องดื่มพิเศษอีกชนิดให้ลิ้มลอง คือ “ไวน์อุ่น” (Mulled Wine) ซึ่งแถบยุโรปนิยมดื่มกันในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ไวน์อุ่นมีประวัติย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 14 เลย ยุคนั้นมีเฉพาะพวกขุนนางชั้นสูงที่ดื่มกัน โดยบ่มหมักไวน์อุ่นในถังไม้เคลือบทองคำ ผสมด้วย ส้ม, น้ำตาล, อบเชย, กานพลู, วานิลลา เพื่อให้เกิดรสชาติกลมกล่อม ภายหลังสามัญชนได้ทดลองนำไวน์อุ่นที่เสื่อมสภาพแล้วมาปรุงใหม่ จนเป็นที่แพร่หลาย ปัจจุบันพบไวน์อุ่นได้ในหลายประเทศ อาทิ อิตาลี, เยอรมนี, สวิตเซอร์แลนด์, ชิลี, ฝรั่งเศส, สวีเดน และโรมาเนีย เป็นต้น
หากใครชอบกินไอศกรีม ลองแวะเข้าไปที่ โรงแรม Le Meridien Bangkok ชั้นล่างมี Italian Gelato อร่อยๆ ของ Cafe’ Buongiornoให้ชิมด้วย เป็นเจลาโต้ที่ผลิตขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญชาวอิตาเลียนแท้ๆ มีหลายสิบรสให้ชิม ราคาก็ไม่แพง แค่แท่งละ 90 บาทเท่านั้น ถ้านึกไม่ออกว่าจะชิมรสอะไร แนะนำ Dark Chocolate ครับสนใจชิมไวน์ทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี และสั่งซื้อไวน์อิตาเลียนหายาก ติดต่อ Cafe’ Buongiorno 

Tel. 06-2494-1649 (คุณพิม)

นั่งรถไฟ KIHA 183 เที่ยวสุขใจแหลมผักเบี้ย จ.เพชรบุรี

ภาพโดย สุเทพ ช่วยปัญญา สำนักข่าวท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม / The Way News.com
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเพชรบุรี สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) เปิดประสบการณ์ใหม่จัดทริป นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @ แหลมผักเบี้ย เพชรบุรีพานักท่องเที่ยวกว่า 400 คน นั่งรถไฟดีเซลรางขบวนพิเศษของ JR Hokkaido ประเทศญี่ปุ่น ไปปล่อยลูกปูม้า ที่หาดทรายเม็ดแรก เยี่ยมชมระบบบำบัดน้ำเสียด้วยธรรมชาติ เดินเทรลศึกษาธรรมชาติป่าโกงกาง ที่โครงการศึกษาวิจัย และพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ฟังการบรรยายการทำนาเกลือ ที่ฟาร์มทะเลตัวอย่างในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และแวะช้อปซื้อของฝากที่ โรงานลุงเอนกขนมหวานเมืองเพ็ชร์ คุณศุภมาศ ปลื้มสกุล หัวหน้ากองโฆษณาและส่งเสริมการท่องเที่ยว ศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต้อนรับคณะนักท่องเที่ยว นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @ แหลมผักเบี้ย เพชรบุรี พร้อมด้วย นางทนาดา วิจักขณะ รองผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเพชรบุรี (ททท.) นายนัทธพงศ์ วิบูลรังสรรค์ หัวหน้ากลุ่มงานกีฬา และนันทนาการ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเพชรบุรี และ นายกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย(สธทท.) ร่วมกับนักท่องเที่ยวปล่อยลูกปูม้า ที่หาดชายเม็ดแรก แหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรีเมื่อวันที่ 1-2 กรกฎาคม 2566คุณศุภมาศ ปลื้มสกุล หัวหน้ากองโฆษณาและส่งเสริมการท่องเที่ยว ศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า “โครงการท่องเที่ยวด้วย รถไฟขบวนรถเพิเศษ KIHA 183 นี้เป็นดำริของท่าน นิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ต้องการให้เกิดการมีส่วนร่วมระหว่างองค์กรท่องเที่ยวต่างๆ กับรฟท. ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด (ทกจ.) สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) และท่องเที่ยวโดยชุมชนต่างๆ อยากเห็นการท่องเที่ยวลงสู่ชุมชนด้วย”“เราได้รับ รถไฟ KIHA 183 จากเกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น มา 17 ตู้ 4 ขบวน มีเสียงออกมาว่าเอามาทำไม ซ่อมไม่คุ้ม แล้วก็ไม่รู้ว่าจะวิ่งได้หรือเปล่า ขนาดรางก็ไม่เท่ากัน แต่รฟท. ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า รถไฟ KIHA 183 ยังสามารถใช้งานได้ ตอนนี้ซ่อมเสร็จแล้ว 1 ขบวน เราก็นำมาวิ่งเป็นรถขบวนพิเศษนำเที่ยว เฉพาะวันเสาร์ และอาทิตย์ แบบ One day trip ไปเช้าเย็นกลับ บางทริปก็เป็นแบบค้างคืน 1 คืน 2 วัน เฉพาะวันเสาร์ และอาทิตย์เช่นกัน โดยในแต่ละเดือนเราจะมี Concept ที่แตกต่างกันไป ในเดือนกรกฎาคมนี้ เราใช้ สืบสาน รักษา ต่อยอด ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่เราจะไปก็จะเป็น โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 หรือชุมชนที่เดินรอยตามศาสตร์พระราชา”“อย่างวันนี้เราใช้ชื่อทริปว่า นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @ แหลมผักเบี้ย เพชรบุรี  เริ่มตั้งแต่ช่วงเช้า นักท่องเที่ยวร่วมกันทำกิจกรรมปล่อยลูกปูม้า ที่หาดทรายเม็ดแรก เสร็จเยี่ยมชม ระบบบำบัดน้ำเสียด้วยธรรมชาติ เดินเทรลศึกษาป่าโกงกาง ที่โครงการศึกษาวิจัย และพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต่อด้วยฟังการบรรยายการทำนาเกลือ ที่ฟาร์มทะเลตัวอย่างในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และแวะช้อปซื้อของฝากที่ โรงานลุงเอนกขนมหวานเมืองเพ็ชร์” รถไฟ KIHA 183 เริ่มออกเดินทางจากสถานีรถไฟหัวลำโพง เวลา 07.00 น. ถึงสถานีเพชรบุรีประมาณ 10.00 น.
นักท่องเที่ยวทยอยกันมาลงทะเบียนแต่เช้าตรู่ พร้อมการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่อย่างอบอุ่นท่านกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) กล่าว่า “นักท่องเที่ยวมาลงทะเบียนวันนี้เต็ม 200 คน ทุกที่นั่ง แสดงให้เห็นถึงกระแสความนิยมการท่องเที่ยวโดยรถไฟ ขบวนพิเศษ KIHA 183 เพื่อไปทำกิจกรรม SCR สืบสาน รักษา ต่อยอด ในโครงการพระราชดำริของจังหวัดเพชรบุรี”รถไฟ KIHA 183 เดินทางถึงสถานีเพชรบุรี เวลาประมาณ 10.00 น. พร้อมอากาศแจ่มใส เหมาะกับการท่องเที่ยวคุณประมวลวิทย์ พฤศชนะ ผู้ช่วยท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเพชรบุรี (เสื้อสีดำ) รอให้การต้อนรับคณะนักท่องเที่ยวที่มากับรถไฟ KIHA 183 ณ สถานีรถไฟเพชรบุรีจากสถานีรถไฟเพชรบุรี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ด้วยรถบัสปรับอากาศอย่างดี สู่อำเภอบ้านแหลม บริเวณ “แหลมหลวง” ซึ่งถือเป็นหาดทรายหาดแรกของฝั่งอ่าวไทย จนได้ฉายาว่า “ต้นทางทราย ปลายทางเกลือ โคลนก้อนสุดท้าย ทรายเม็ดแรก” เพราะในส่วนถัดขึ้นไปทางทิศเหนือจะเป็นหาดโคลนทั้งหมด ลูกปูนับแสนๆ ตัว ถูกจัดเตรียมไว้ในถังพลาสติก ให้นักท่องเที่ยวนำไปปล่อย เติมเต็มความสมบูรณ์ให้ท้องทะเล แหลมหลวงในช่วงกลางวันน้ำทะเลจะลดระดับลง เผยให้เห็นหาดทรายสีน้ำตาลอ่อน เหมาะทำกิจกรรม CSR ปล่อยลูกปูลงทะเล อีกทั้งจุดนี้ยังอยู่ห่างจากธนาคารปูเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้นรอยยิ้มแห่งความสุขในการปล่อยลูกปู  สืบสาน รักษา ต่อยอด เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้ท้องทะเลคุณประมวลวิทย์ พฤศชนะ ผู้ช่วยท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเพชรบุรี  ปล่อยลูกปูม้าที่บริเวณแหลมหลวง ร่วมกับนักท่องเที่ยวที่มากับขบวนรถไฟ KIHA 183ท่านกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) ร่วมกิจกรรมปล่อยลูกปูที่แหลมหลวง เมื่อปล่อยลูกปูเสร็จแล้ว คณะเดินทางต่อไปที่ “ธนาคารปูม้า” อ.บ้านแหลม แหลมผักเบี้ย ณ ร้านโอ้โหปูอร่อย ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของชุมชน เพื่ออนุรักษ์เพิ่มจำนวนปูม้า หลังจากเคยประสบภาวะเสื่อมโทรมลดจำนวนของสัตว์ทะเล ด้วยสาเหตุขาดการดูแลใส่ใจระบบนิเวศสิ่งแวดล้อม ธนาคารปูม้าแหลมผักเบี้ย รับซื้อแม่ปูไข่นอกกระดอง นำลูกปูมาอนุบาลจนแข็งแรง แล้วค่อยปล่อยลงทะเล แม่ปูม้าไข่นอกกระดอง ต้นพันธุ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ แม่ปูม้าหนึ่งตัวสามารถมีไข่ได้ถึง 200,000 ถึง 1 ล้านฟอง ได้เวลาอาหารเที่ยง ก็ถึงเวลาล้ิมลองอาหารทะเลสดอร่อยของเพชรบุรี ณ ร้านโอ้โหปูอร่อย อาหารเที่ยงแบบพื้นบ้านแสนอร่อย ประกอบด้วย ผักชะครามลวก กินกับหัวกะทิและน้ำพริกแดง, ปูม้านึ่ง, ยำสาหร่ายพวงองุ่น, ปลากะพงทอดราดน้ำจิ้มรสเด็ด, หอยตลับผัดใบโหระพา, ต้มยำปลากะพง และไข่เจียวร้อนๆ อิ่มเอมเปรมปรีกับอาหารเที่ยงแล้ว เดินทางเลียบทะเลด้วยรถบัสอีกเพียง 10 นาที ก็ถึง “โครงการศึกษาและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.​ 2534 ในความดูแลของมูลนิธิชัยพัฒนา ตามแนวพระราชดำริของพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ผู้ทรงมีสายพระเนตรยาวไกล จัดเป็นโครงการศึกษาวิจัยและบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีการธรรมชาติ พร้อมให้ความรู้ด้านระบบนิเวศป่าชายเลน จนกลายเป็นแหล่งศึกษาดูงาน และพื้นที่ดูนกสำคัญ ซึ่งนักดูนกทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดี การเยี่ยมชมพื้นที่และกิจกรรมของ โครงการฯ แหลมผักเบี้ย ใช้รถพ่วงนั่งได้คันละ 35 คน แล่นไปตามจุดต่างๆ ใช้เวลารอบละ 25 นาที จุดแรกผ่านไฮไลท์คือ “บ่อบำบัดน้ำเสียด้วยสาหร่ายสีเขียวธรรมชาติ” โดยสูบน้ำเสียจากตัวเมืองเพชรบุรีมาบำบัด พร้อมสามารถเลี้ยงปลาได้เมื่อคุณภาพน้ำดีขึ้น และจับปลาขายได้ทุก 6 เดือน ส่วนน้ำสะอาดที่บำบัดแล้ว สามารถนำไปใช้ประโยชน์หรือปล่อยลงทะเลได้ โดยไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การใช้ต้นหญ้า 7 ชนิด บำบัดน้ำเสีย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดสุดท้ายเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ (Nature Trail) ระยะทางเดินไปกลับ 1800 เมตร เพื่อศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลน จนไปถึงศาลาริมทะเลเปิดโล่ง อากาศสดชื่น นักท่องเที่ยวรถไฟ KIHA 183 เดินชมธรรมชาติ ศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลน ซึ่งเป็นทั้งกำแพงธรรมชาติป้องกันคลื่นลมทะเล และยังอนุบาลสัตว์ทะเลวัยอ่อน เพื่อออกไปเติบโตในห่วงโซ่อาหารทะเลชายฝั่งด้วย ภาพแห่งความสุขอันน่าจดจำ ในการเดินทางสู่แหลมผักเบี้ยกับ รถไฟ KIHA 183 ใครที่ไม่ได้นั่งรถพ่วงไปชมพื้นที่โครงการฯ ก็สามารถเข้าห้องประชุมติดแอร์เย็นฉ่ำ ฟังบรรยายสรุปประวัติที่มาและกิจกรรมของโครงการฯ แหลมผักเบี้ย ถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึกบริเวณด้านหน้าอาคารโครงการฯ แหลมผักเบี้ย ออกจากโครงการฯ แหลมผักเบี้ย ใช้ถนนเส้นเลียบทะเลอำเภอบ้านแหลมไปอีกไม่เกิน 15 นาที ด้านขวามือก็จะพบกับ “โครงการฟาร์มทะเลตัวอย่างแบบผสมผสานตามพระราชดำริ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” ต.บางแก้ว อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.​ 2551 โครงการฟาร์มทะเลตัวอย่างแบบผสมผสานตามพระราชดำริฯ จัดตั้งขึ้นด้วยสาเหตุที่ชาวประมงจับสัตว์ทะเลได้น้อยลง และต้องออกเรือไปไกลขึ้น พื้นที่แห่งนี้จึงศึกษาวิจัยและสาธิตเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จำเป็นทั้งเพื่อการเพาะเลี้ยงและจับสัตว์ทะเลให้มีประสิทธิภาพ และถูกสุขอนามัยมากขึ้นด้วย แต่ละปีจะมีผู้สนใจเข้าศึกษาดูงานนับหมื่นคน พื้นที่กว่า 82 ไร่ ของโครงการฯ เป็นนาเกลือร้างที่ได้รับการบริจาคมา จึงสามารถสื่อถึงเรื่องราว “การทำนาเกลือสมุทร” ด้วยวิธีดั้งเดิม เพราะอำเภอบ้านแหลม จ.เพชรบุรี มีพื้นที่นาเกลืออยู่มากที่สุดของประเทศไทย ไม่น้อยกว่า 33,000 ไร่เกลือทะเลคุณภาพสูงของอำเภอบ้านแหลม สามารถนำมาเพิ่มมูลค่าแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มากมาย โดยเฉพาะเกลือสปา แป้งร่ำเกลือจืด และอื่นๆต้นแม่พันธุ์สาหร่ายพวงองุ่น ชมการเพาะเลี้ยงและคัดแยกสาหร่ายพวงองุ่น นักท่องเที่ยว รถไฟ KIHA 183 ทดลองทำตะแกรงเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่น โครงการฟาร์มทะเลตัวอย่างฯ มีบ่อเลี้ยงสัตว์ทะเลสวยงามนานาชนิดไว้ให้ชมอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น หอยมือเสือ, ปลาดาว, กุ้งมังกร, ปลาการ์ตูน, หอยเป๋าฮื้อ, ปลาสิงโต, ปลาทู, ปลากะรัง, ปลิงทะเล และอีกมากมาย สาหร่ายทะเลสด สามารถเพาะเลี้ยง นำไปแปรรูปเป็นสาหร่ายอบกรอบ และอาหารอุดมคุณค่า

มาถึงฟาร์มทะเลตัวอย่างฯ​แล้ว ต้องไม่พลาดชิมเครื่องดื่มนวัตกรรมใหม่ “น้ำสาหร่ายผมนาง” ที่ดีต่อสุขภาพมาก น้ำรสชาตินุ่มนวล ดื่มง่าย และมีเนื้อสาหร่ายผมนางเนื้อนุ่มคล้ายเส้นเจลลี่ ผิวสัมผัสคล้ายเส้นบุกสุขภาพ แช่เย็นดื่มยิ่งอร่อย
หมุดหมายสุดท้ายของทริปนี้ คือการเดินทางกลับจากแหลมผักเบี้ยเข้าสู่อำเภอเมืองเพชรบุรี เพื่อช้อปปิ้งซื้อของฝากกลับบ้านที่ “ร้านลุงอเนก ขนมหวานเมืองเพ็ชร์” ซึ่งเป็นโรงงานผลิตขนมไทยที่มีมาตรฐานความสะอาดระดับ GHP/HACCP จากสถาบันมาตรฐาน ISO จึงมั่นใจได้เรื่องคุณภาพ ร้านลุงอเนกมีขนมพื้นบ้านไทยหลากหลายให้เลือกชิมเลือกซื้อ ทั้งทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมอาลัว ขนมหม้อแกง ขนมฝอยทองกรอบ ขนมฝอยทองรังนกน้อย กาละแม ฯลฯ ราคาไม่แพง เพราะเป็นแหล่งผลิตเอง ของใหม่สดทุกวัน ขนมหม้อแกงถ้วย เป็น Signature โด่งดังของร้านนี้  ยิ่งแช่เย็นนำมากินยิ่งอร่อย มี 6 รส คือ รสเผือก รสทุเรียน รสกล้วย รสเมล่อน รสฟักทอง และรสถั่ว ท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี (คุณวันเพ็ญ มังศรี) มาต้อนรับคณะนักท่องเที่ยว รถไฟ KIHA 183 ด้วยตนเอง

คุณวันเพ็ญ มังศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี กล่าวว่า “จังหวัดเพชรบุรีพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคน เพราะเรามีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลาย ทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วัดวาอาราม สายมูสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และอาหารการกินที่อร่อย มีไม่ซ้ำกันทั้งสามมื้อ ต้องขอขอบคุณการรถไฟแห่งประเทศไทย และนักท่องเที่ยวหลายร้อยคนในครั้งนี้ ที่เดินทางมาพร้อมรถไฟ KIHA 183 ช่วยสร้างสีสัน สร้างความคึกคัก และช่วยกระจายรายได้ให้เพชรบุรีเป็นอย่างมาก

นั่งรถไฟ KIHA 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @ แหลมผักเบี้ย เพชรบุรี” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 1- 2 กรกฎาคม 2566

สนใจเดินทางในทริปถัดไป โทร.สอบถามได้ที่ 1690 (สายด่วนการรถไฟแห่งประเทศไทย) 

นั่งรถไฟ Kiha 183 สืบสาน รักษา ต่อยอด @แหลมผักเบี้ย จ.เพชรบุรี

ภาพโดย สุเทพ ช่วยปัญญา สำนักข่าวท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม / The Way News.comการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จัดทริปรถไฟท่องเที่ยวขบวนพิเศษ KIHA 183 นำนักท่องเที่ยวกว่า 400 คน สู่ “แหลมผักเบี้ย” จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 1-2 กรกฎาคม 2565 เพื่อท่องเที่ยวพักผ่อนและทำกิจกรรม SCR สืบสาน รักษา ต่อยอด โครงการพระราชดำริแหลมผักเบี้ย กินลมชมวิวริมทะเลอากาศสดชื่น ลิ้มลองอาหารทะเลอร่อยๆ และที่สำคัญคือได้นั่งรถไฟ KIHA 183 ซึ่ง JR Hokkaido ประเทศญี่ปุ่น มอบให้ไทยมาปรับปรุงใช้งานเพื่อการท่องเที่ยว

รถไฟ KIHA 183 เริ่มออกเดินทางจากสถานีรถไฟหัวลำโพง ขบวนประกอบด้วย 4 ตู้ ในแต่ละทริปสามารถพานักท่องเที่ยวไปได้ 200 คน ทริปจังหวัดเพชรบุรีคราวนี้เริ่มออกเดินทางประมาณ 07.00 น. ถึงสถานีเพชรบุรี ประมาณ 10.00 น. นับเป็น One Day Trip ที่เที่ยวสนุกได้ทั้งครอบครัว นักท่องเที่ยวทยอยกันเข้ามาลงทะเบียนตั้งแต่เช้าตรู่ที่ สถานีรถไฟหัวลำโพง (สถานีกรุงเทพฯ) โดยมีเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับอย่างอบอุ่น คุณศุภมาศ ปลื้มสกุล หัวหน้ากองโฆษณาและส่งเสริมการท่องเที่ยว ศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)  กล่าวว่า “ประเทศญี่ปุ่นได้มอบรถไฟ KIHA 183ให้ไทยมาจำนวน 17 ตู้ 4 ขบวน ช่างของ รฟท. จึงได้นำมาปรับปรุงใหม่ โดยดัดแปลงความกว้างของช่วงล้อ ให้เหมาะสมกับการวิ่งในประเทศไทย ในส่วนของตัวรถก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์เดิมของญี่ปุ่นไว้ ไม่ว่าจะเป็นป้ายต่างๆ หรือแม้แต่ตราสัญลักษณ์ปีกสีทองที่ส่วนหัวรถไฟ ซึ่งปัจจุบันได้จัดเป็นขบวนพิเศษเพื่อการท่องเที่ยว ในวันเสาร์อาทิตย์ก่อน และให้บริการในระยะไม่เกิน 300 กิโลเมตร ผู้สนใจสามารถเข้าไปชมโปรแกรมท่องเที่ยว ที่เปลี่ยนไปทุกเสาร์อาทิตย์ ได้ที่เว็บไซต์ของ รฟท. หรือโทรสอบถามที่ 1690 ก็ได้”รถไฟ KIHA 183 เดินทางถึงสถานีเพชรบุรี เวลาประมาณ 10.00 น. พร้อมอากาศแจ่มใส เหมาะกับการท่องเที่ยวจากสถานีรถไฟเพชรบุรี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ด้วยรถบัสปรับอากาศอย่างดี สู่อำเภอบ้านแหลม บริเวณ “แหลมหลวง” ซึ่งถือเป็นหาดทรายหาดแรกของฝั่งอ่าวไทย จนได้ฉายาว่า “ต้นทางทราย ปลายทางเกลือ โคลนก้อนสุดท้าย ทรายเม็ดแรก” เพราะในส่วนถัดขึ้นไปทางทิศเหนือจะเป็นหาดโคลนทั้งหมด แหลมหลวงในช่วงกลางวันน้ำทะเลจะลดระดับลง เผยให้เห็นหาดทรายสีน้ำตาลอ่อน เหมาะทำกิจกรรม CSR ปล่อยลูกปูลงทะเล อีกทั้งจุดนี้ยังอยู่ห่างจากธนาคารปูเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น
ลูกปูนับแสนๆ ตัว ถูกจัดเตรียมไว้ในถังพลาสติก ให้นักท่องเที่ยวนำไปปล่อย เติมเต็มความสมบูรณ์ให้ท้องทะเลคุณศุภมาศ ปลื้มสกุล หัวหน้ากองประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) พร้อมด้วยหน่วยงานเครือข่ายพันธมิตรในพื้นที่และนักท่องเที่ยว เตรียมปล่อยลูกปูที่แหลมหลวงรอยยิ้มแห่งความสุขในการปล่อยลูกปู สืบสาน รักษา ต่อยอด เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้ท้องทะเลท่านกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) ร่วมกิจกรรมปล่อยลูกปูที่แหลมหลวง เมื่อปล่อยลูกปูเสร็จแล้ว คณะเดินทางต่อไปที่ “ธนาคารปูม้า” อ.บ้านแหลม แหลมผักเบี้ย ณ ร้านโอ้โหปูอร่อย ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของชุมชน เพื่ออนุรักษ์เพิ่มจำนวนปูม้า หลังจากเคยประสบภาวะเสื่อมโทรมลดจำนวนของสัตว์ทะเล ด้วยสาเหตุขาดการดูแลใส่ใจระบบนิเวศสิ่งแวดล้อม
ธนาคารปูม้าแหลมผักเบี้ย รับซื้อแม่ปูไข่นอกกระดอง นำลูกปูมาอนุบาลจนแข็งแรง แล้วค่อยปล่อยลงทะเลแม่ปูม้าไข่นอกกระดอง ต้นพันธุ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ แม่ปูม้าหนึ่งตัวสามารถมีไข่ได้ถึง 200,000 ถึง 1 ล้านฟองได้เวลาอาหารเที่ยง ก็ถึงเวลาล้ิมลองอาหารทะเลสดอร่อยของเพชรบุรี ณ ร้านโอ้โหปูอร่อย อาหารเที่ยงแบบพื้นบ้านแสนอร่อย ประกอบด้วย ผักชะครามลวก กินกับหัวกะทิและน้ำพริกแดง, ปูม้านึ่ง, ยำสาหร่ายพวงองุ่น, ปลากะพงทอดราดน้ำจิ้มรสเด็ด, หอยตลับผัดใบโหระพา, ต้มยำปลากะพง และไข่เจียวร้อนๆ ชะคราม เป็นไม้พุ่มทนแล้งขนาดเล็ก ขึ้นอยู่ตามชายทะเลและนาเกลือ ใบอ่อนนำมาลวกกินได้ เป็นยาระบายอ่อนๆ สาหร่ายพวงองุ่น เป็นอาหารที่อุดมวิตามินอันเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ปลูกเลี้ยงกันมากมายในแถบแหลมผักเบี้ย ปูม้านึ่ง เนื้อหวานเจี๊ยบ (ไซต์ 4 ตัวโลฯ) กินกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด หอยตลับผัดใบโหระพา เนื้อนุ่มหนึบบอกได้ถึงความสด ปลากะพงทอด กินกับน้ำจิ้มแสนอร่อย
ต้มยำปลากะพง ชิ้นใหญ่ เนื้อสด รสชาติชนะเลิศ
อิ่มเอมเปรมปรีกับอาหารเที่ยงแล้ว เดินทางเลียบทะเลด้วยรถบัสอีกเพียง 10 นาที ก็ถึง “โครงการศึกษาและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.​ 2534 ในความดูแลของมูลนิธิชัยพัฒนา ตามแนวพระราชดำริของพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ผู้ทรงมีสายพระเนตรยาวไกล จัดเป็นโครงการศึกษาวิจัยและบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีการธรรมชาติ พร้อมให้ความรู้ด้านระบบนิเวศป่าชายเลน จนกลายเป็นแหล่งศึกษาดูงาน และพื้นที่ดูนกสำคัญ ซึ่งนักดูนกทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดีฟังบรรยายสรุปความเป็นมาและกิจกรรมของ โครงการฯ แหลมผักเบี้ย ถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึกบริเวณด้านหน้าอาคาร การเยี่ยมชมพื้นที่และกิจกรรมของ โครงการฯ แหลมผักเบี้ย ใช้รถพ่วงนั่งได้คันละ 35 คน แล่นไปตามจุดต่างๆ ใช้เวลารอบละ 25 นาที จุดแรกผ่านไฮไลท์คือ “บ่อบำบัดน้ำเสียด้วยสาหร่ายสีเขียวธรรมชาติ” โดยสูบน้ำเสียจากตัวเมืองเพชรบุรีมาบำบัด พร้อมสามารถเลี้ยงปลาได้เมื่อคุณภาพน้ำดีขึ้น และจับปลาขายได้ทุก 6 เดือน ส่วนน้ำสะอาดที่บำบัดแล้ว สามารถนำไปใช้ประโยชน์หรือปล่อยลงทะเลได้ โดยไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมการใช้ต้นหญ้า 7 ชนิด บำบัดน้ำเสีย ได้อย่างมีประสิทธิภาพจุดสุดท้ายเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ (Nature Trail) ระยะทางเดินไปกลับ 1800 เมตร และกลับทางเดิม เพื่อศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลน จนไปถึงศาลาริมทะเลเปิดโล่ง อากาศสดชื่นเดินศึกษาพรรณไม้ชายเลนหลากหลายชนิด นักท่องเที่ยวรถไฟ KIHA 183 เดินชมธรรมชาติ ศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลน ซึ่งเป็นทั้งกำแพงธรรมชาติป้องกันคลื่นลมทะเล และยังอนุบาลสัตว์ทะเลวัยอ่อน เพื่อออกไปเติบโตในห่วงโซ่อาหารทะเลชายฝั่งด้วย ภาพแห่งความสุขอันน่าจดจำ ในการเดินทางสู่แหลมผักเบี้ยกับ รถไฟ KIHA 183ออกจากโครงการฯ แหลมผักเบี้ย ใช้ถนนเส้นเลียบทะเลอำเภอบ้านแหลมไปอีกไม่เกิน 15 นาที ด้านขวามือก็จะพบกับ “โครงการฟาร์มทะเลตัวอย่างแบบผสมผสานตามพระราชดำริ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” ต.บางแก้ว อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.​ 2551
โครงการฟาร์มทะเลตัวอย่างแบบผสมผสานตามพระราชดำริฯ จัดตั้งขึ้นด้วยสาเหตุที่ชาวประมงจับสัตว์ทะเลได้น้อยลง และต้องออกเรือไปไกลขึ้น พื้นที่แห่งนี้จึงศึกษาวิจัยและสาธิตเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จำเป็นทั้งเพื่อการเพาะเลี้ยงและจับสัตว์ทะเลให้มีประสิทธิภาพ และถูกสุขอนามัยมากขึ้นด้วย แต่ละปีจะมีผู้สนใจเข้าศึกษาดูงานนับหมื่นคนพื้นที่กว่า 82 ไร่ ของโครงการฯ เป็นนาเกลือร้างที่ได้รับการบริจาคมา จึงสามารถสื่อถึงเรื่องราว “การทำนาเกลือสมุทร” ด้วยวิธีดั้งเดิม เพราะอำเภอบ้านแหลม จ.เพชรบุรี มีพื้นที่นาเกลืออยู่มากที่สุดของประเทศไทย ไม่น้อยกว่า 33,000 ไร่ เกลือทะเลคุณภาพสูงของอำเภอบ้านแหลม นำมาเพิ่มมูลค่าแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มากมาย โดยเฉพาะเกลือสปา แป้งร่ำเกลือจืด และอื่นๆ
ชมการเพาะเลี้ยงและคัดแยกสาหร่ายพวงองุ่นต้นแม่พันธุ์สาหร่ายพวงองุ่น นักท่องเที่ยว รถไฟ KIHA 183 ทดลองทำตะแกรงเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นโครงการฟาร์มทะเลตัวอย่างฯ มีบ่อเลี้ยงสัตว์ทะเลสวยงามนานาชนิดไว้ให้ชมอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น หอยมือเสือ, ปลาดาว, กุ้งมังกร, ปลาการ์ตูน, หอยเป๋าฮื้อ, ปลาสิงโต, ปลาทู, ปลากะรัง, ปลิงทะเล และอีกมากมายสาหร่ายทะเลสด สามารถเพาะเลี้ยง และนำไปแปรรูปเป็นสาหร่ายอบกรอบและอาหารอุดมคุณค่ามาถึงฟาร์มทะเลตัวอย่างฯ​แล้ว ต้องไม่พลาดชิมเครื่องดื่มนวัตกรรมใหม่ “น้ำสาหร่ายผมนาง” ที่ดีต่อสุขภาพมาก ตัวน้ำรสชาตินุ่มนวล ดื่มง่าย และมีเนื้อสาหร่ายผมนางเนื้อนุ่มคล้ายเส้นเจลลี่ ผิวสัมผัสคล้ายเส้นบุกสุขภาพ แช่เย็นดื่มยิ่งอร่อย
หมุดหมายสุดท้ายของทริปนี้ คือการเดินทางกลับจากแหลมผักเบี้ยเข้าสู่อำเภอเมืองเพชรบุรี เพื่อช้อปปิ้งซื้อของฝากกลับบ้านที่ “ร้านลุงอเนก ขนมหวานเมืองเพ็ชร์” ซึ่งเป็นโรงงานผลิตขนมไทยที่มีมาตรฐานความสะอาดระดับ GHP/HACCP จากสถาบันมาตรฐาน ISO จึงมั่นใจได้เรื่องคุณภาพ ร้านลุงอเนกมีขนมพื้นบ้านไทยหลากหลายให้เลือกชิมเลือกซื้อ ทั้งทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมอาลัว ขนมหม้อแกง ขนมฝอยทองกรอบ ขนมฝอยทองรังนกน้อย กาละแม ฯลฯ ราคาไม่แพง เพราะเป็นแหล่งผลิตเอง ของใหม่สดทุกวันขนมหม้อแกงถ้วย เป็น Signature โด่งดังของร้านนี้ ยิ่งแช่เย็นนำมากินยิ่งอร่อย มี 6 รส คือ รสเผือก รสทุเรียน รสกล้วย รสเมล่อน รสฟักทอง และรสถั่วท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี (คุณวันเพ็ญ มังศรี) มาต้อนรับคณะนักท่องเที่ยว รถไฟ KIHA 183 ด้วยตนเอง

ท่านที่สนใจเดินทางท่องเที่ยวทุกวันเสาร์อาทิตย์ด้วย รถไฟ KIHA 183 สามารถเข้าชมโปรแกรมตลอดเดือนกรกฎาคม  โดย Scan QR Code ตามด้านล่างนี้ จะได้รีบจองและไม่พลาดการเดินทางสุดประทับใจกับ รฟท.

หรือโทร.สำรองที่นั่งได้ทาง 1690