เที่ยวสุดยอด Unssen กาฬสินธุ์ ถิ่นอีสาน (ตอน 2)

กาฬสินธุ์ 48

ต่อจากความเดิม ในการท่องเที่ยวถิ่นอีสานกาฬสินธุ์ ชมสถานที่ Unseen และชุมชนน่ารักๆ ของชาวผู้ไทยกันไปแล้ว ในตอน 2 นี้ เราก็ยังขอพาแฟนๆ ตามรอย Go Travel Photo ไปเยือนกาฬสินธุ์เมืองน่ารักกันต่อเลยจ้า

1. สิมวัดอุดมประชาราษฎร์ บ้านนาจารย์ ตำบลนาจารย์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ เป็นวัดที่เริ่มสร้างเมื่อ พ.ศ. 2448 จนเสร็จสมบูรณ์เมื่อ พ.ศ. 2476 โดยผู้นำคือ ญาคูบุปผา เจ้าอาวาสในสมัยนั้น ร่วมกับญวนสองพี่น้อง คือ นายทองคำ จันทร์เจริญ และนายคำมี จันทร์เจริญ โดยสร้างขึ้นตามลักษณะของสิม (โบสถ์อีสาน) ในอดีต คือมีขนาดเล็ก ก่ออิฐถือปูน มุงหลังคากระเบื้องหรือไม้เกล็ด ความพิเศษอยู่ตรงภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่วาดอยู่บนผนังด้านนอกสิมทุกด้าน รวมถึงภายในด้วย เกี่ยวกับพุทธประวัติ เรื่องชาดก และวิถีชีวิตของคนอีสานในอดีต เช่น การละเล่นหัวล้านชนกัน, งานศพ, ภาพตลกขบขัน ฯลฯ โดยมีอักษรธรรมเขียนกำกับไว้ ช่างผู้วาดภาพเหล่านี้คือ อาจารย์ผาย ชาวอำเภอสหัสขันธ์
กาฬสินธุ์ 49

รอบสิมเต็มไปด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังลายเส้นง่ายๆ ดูแล้วสนุก สะท้อนถึงความเชื่อ วิถีชีวิตแบบเก่า คาดว่าน่าจะใช้สีธรรมชาติมาระบายแต้ม สีสันจึงไม่ฉูดฉาด ทว่าติดทนนานมาก
กาฬสินธุ์ 50

บนผนังด้านนอกสิม มีการปั้นเป็นอาร์ค (Arch) คล้ายซุ้มโค้ง ที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนังอยู่ภายใน งดงามมากกาฬสินธุ์ 51

ภายในสิม ประดิษฐานพระประทานโบราณ หลังพระประธานเป็นฮูปแต้ม (ภาพจิตรกรรมฝาผนัง) ภาพมังกรกลางผนัง ล้อมรอบด้วยภาพพระเวสสันดรชาดก เทวดา และอื่นๆ นับเป็นความงามอย่างเรียบง่าย ที่ให้ความรู้สึกขรึมขลังดีแท้กาฬสินธุ์ 52การเดินทางไปชมสิมวัดอุดมประชาราษฎร์ : จากตัวเมืองกาฬสินธุ์ ใช้ทางหลวงหมายเลข 213 (กาฬสินธุ์-สมเด็จ) จนถึงบ้านนาจารย์ เมื่อผ่านโรงเรียนชุมชนนาจารย์วิทยาแล้ว มีแยกขวาพร้อมป้ายบอกทางไปวัด ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้าน รวมระยะทางจากตัวเมือง เพียง 15 กิโลเมตร เท่านั้น
กาฬสินธุ์ 54

2. วัดป่ารังสีปาลิวัน ตำบลบ้านโพน อำเภอคำม่วง เป็นเจดีย์ในวัดป่าอันสงบ ร่มรื่น เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแด่ หลวงปู่เขียน ฐิตสีโล พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้มีวัตรปฏิบัติเคร่งครัด งดงาม ท่านเป็นสหายธรรมกับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) และพระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน) ตั้งแต่ครั้งสมัยที่ท่านทั้งสามยังมีอายุพรรษาไม่มากนัก
กาฬสินธุ์ 55

ปัจจุบันภายในเจดีย์วัดป่ารังสีปาลิวัน เป็นที่ประดิษฐานหุ่นขี้ผึ้งเหมือนจริง ของพระอริสงฆ์แห่งอีสานไว้หลายท่าน รวมถึงยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังปริศนาธรรม และพระบรมธาตุ อัฐิธาตุอันศักดิ์สิทธิ์มากมายให้กราบสักการะกาฬสินธุ์ 56 กาฬสินธุ์ 57 กาฬสินธุ์ 58

3. วิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่คนทั่วไปยังไม่ค่อยทราบ เหมาะสำหรับการเข้าเยี่ยมชมเป็นหมู่คณะ ใครรักชอบนาฏศิลป์ไทยถิ่นอีสาน เข้ามาดูการเรียนการสอน เพื่อสืบสานวัฒนธรรมการร่ายรำ ดนตรี ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ เร่ิมต้นด้วยการไปกราบสักการะพระพิฆเนตร เทพผู้ให้การปกปักรักษาและให้พรกับผู้ที่ทำงานด้านศิลปะ
กาฬสินธุ์ 62 กาฬสินธุ์ 63วิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ เป็นวิทยาลัยนาฏศิลป์ 1 ใน 12 แห่งของไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2524 ในสังกัดกองศิลปศึกษา กรมศิลปากร เปิดรับนักเรียนที่มีความสนใจในศิลปการแสดงดั้งเดิมของอีสาน และของไทย เพื่อสืบสานให้คงอยู่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ ไม่ว่าจะเป็นละคร, โขน, การแสดงพื้นบ้าน, ปี่พาทย์ (ระนาด ฆ้องวง ปี่), เครื่องสาย (ซออู้ ซอด้วง จระเข้), คีตศิลป์ (ขับร้องเพลงไทย), ดนตรีสากล (เครื่องดนตรีสากลทุกชนิด) และที่ขาดไม่ได้แน่นอน คือ ดนตรีพื้นบ้าน (เครื่องดนตรีอีสานทุกประเภท โดยเฉพาะโปงลาง สัญลักษณ์สำคัญของกาฬสินธุ์)

กาฬสินธุ์ 64

อนุสาวรีย์ของท่าน ผอ. สำเริง จิตรจง อดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ ผู้มีคุณูปการเอนกอนันต์ต่อสถาบันแห่งนี้ แม้ว่าท่านจะได้อำลาโลกไปแล้ว ทว่าคุณงามความดีของท่านยังคงอยู่ ทุกปีจะมีการจัดงานรำลึกแด่ท่านด้วย
กาฬสินธุ์ 65

น้องๆ นักเรียนนาฏศิลป์ ตั้งใจฝึกซ้อมกันอย่างขยันขันแข็ง นับเป็นภาพอันน่าชื่นใจ ว่ายังมีเยาวชนอีกกลุ่มหนึ่งให้ความสำคัญต่อศิลปของชาติ เข้ามาเรียน เข้ามาฝึกฝนเต็มเวลา ไม่ปล่อยให้กระแสโลกาภิวัฒน์ของโลก พาพวกเขาไหลบ่าไปกับอารยธรรมตะวันตกจนหมด ขอปรบมือให้ดังๆ เลยครับกาฬสินธุ์ 66

โปงลาง เครื่องดนตรีสัญลักษณ์ของจังหวัดกาฬสินธุ์ แน่นอนว่าต้องมีการเรียนการสอนที่นี่ด้วย
กาฬสินธุ์ 67

ฝึกรำบ่อยๆ และดัดมือ จนมืออ่อนโค้งงอน สะท้อนความอ่อนช้อยของนาฏศิลป์ถิ่นไทยจ้า

กาฬสินธุ์ 68

สนใจเข้าชมวิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ : ติดต่อล่วงหน้า โทร. 0-4381-1317, 08-5455-1501กาฬสินธุ์ 69

4. แหล่งขุดค้นไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว พิพิธภัณฑ์สิรินธร อำเภอสหัสขันธ์ อยู่บริเวณเชิงเขาภูกุ้มข้าว วัดสักกะวัน เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องไดโนเสาร์สัตว์โลกล้านปี ที่ไม่ได้มีชื่อเสียงเฉพาะในเมืองไทย หรือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เท่านั้น ทว่ายังมีชื่อเสียงในระดับโลก เพราะค้นพบโครงกระดูกไดโนเสาร์มากถึง 700 ชิ้นเป็นอย่างน้อย เป็นซากไดโนเสาร์ 7 ตัว อายุกว่า 130 ล้านปี ในยุคครีเตเชียสตอนต้น

อีกอย่างที่ทำให้ภูกุ้มข้าวโด่งดังมาก เพราะมีการค้นพบไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ของโลกเกือบ 10 ชนิด โดยเฉพาะไดโนเสาร์กินพืชตัวใหญ่ ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ ทำให้ทั่วโลกตื่นเต้น โดยซากโครงกระดูกจริงของมัน ยังไปชมได้ที่หลุมขุดค้น สภาพคล้ายมันนอนคว่ำม้วนหางเป็นวง
กาฬสินธุ์ 70

จำลองไดโนเสาร์ ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ ตั้งชื่อให้เป็นเกียรติตามพระนามของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
กาฬสินธุ์ 71

พิพิธภัณฑ์สิรินธร มิได้เป็นแหล่งเรียนรู้เฉพาะเรื่องไดโนเสาร์เท่านั้น ทว่ายังมีการจัดพิพิธภัณฑ์เป็น 8 โซน อย่างดี เล่าเรื่องราวของกำเนิดโลก, ธรณีวิทยา, ไดโนเสาร์, การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม, สัตว์ทะเลโบราณ และอื่นๆ อีกมากมาย ไปเที่ยวกันได้ตลอดปี ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จ้า
กาฬสินธุ์ 72

ขอแนะนำว่า พิพิธภัณฑ์สิรินธรมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ถ้าจะเดินชมแบบไม่รีบ ศึกษาหาความรู้ไปด้วย ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง อย่างในภาพนี้ คือห้องแรกๆ ที่จัดแสดงยุคทางธรณีวิทยาของโลก และตัวอย่างหินต่างๆกาฬสินธุ์ 73

หนึ่งในไฮไลท์ของการมาเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์สิรินธร คือการเดินเข้าสู่ห้องโถงกลาง ซึ่งจำลองโครงกระดูกทั้งตัว ของไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่ คล้ายฉากในหนังฮอลีวูดเรื่อง Jurassic Park น่าตื่นตาตื่นใจสุดๆ! แต่ไม่ได้น่าตื่นเต้นอย่างเดียว เขายังมีป้ายให้อ่านเพิ่มความรู้ใส่สมองอย่างละเอียดด้วยนะกาฬสินธุ์ 74

ซากฟอสซิลใหม่ล่าสุด ซึ่งพิพิธภัณฑ์สิรินธรได้นำมาจัดแสดงเพิ่มเติมจากพวกไดโนเสาร์ตัวใหญ่ก็คือ ซากฟอสซิลปลาโบราณจาก ภูน้ำจั้น บ้านดงเหนือ ตำบลเหล่าใหญ่ อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีการขุดพบซากฟอสซิลปลากินพืชที่สูญพันธุ์ไปพร้อมๆ กับยุคไดโนเสาร์เมื่อกว่า 65 ล้านปีก่อน สังเกตลักษณะเกล็ดปลาโบราณ จะเป็นสี่เหลี่ยม ไม่เป็นเกล็ดกลมมนเหมือนปลาปัจจุบัน ซากฟอสซิลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า อีสานคือผืนดินโบราณ ที่เคยมีสัตว์ดึกดำบรรพ์อยู่เต็มไปหมด!กาฬสินธุ์ 75

ณ หลุมขุดค้นจริง เราจะได้ชมซากไดโนเสาร์ ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ ในจุดที่มันนอนตายอยู่จริงๆ น่าตื่นเต้นดี สนใจสอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-4387-1014, 0-4387-1394, 0-4387-1613
กาฬสินธุ์ 76

5. สวนไดโนเสาร์ อบจ. กาฬสินธุ์ ห่างจากพิพิธภัณฑ์สิรินธรเพียง 3 กิโลเมตร ริมทางหลวงหมายเลข 227 เป็นสวนสาธารณะที่ไม่เหมือนใคร เพราะนอกจากจะมีสนามหญ้า และไม้ดอกไม้ใบร่มรื่นให้ไปนั่งปิกนิกกันได้แล้ว ยังมีไดโนเสาร์จำลองขนาดยักษ์หลายสิบชนิด ยืนจังก้าคล้ายกับว่ามีชีวิต! ให้เราตื่นเต้นเล่นๆ ฮาฮาฮา ถ่ายภาพมาได้บรรยากาศเหมือนย้อนอดีตไปเมื่อ 65 ล้านปีก่อนเลยล่ะ!
กาฬสินธุ์ 77 กาฬสินธุ์ 78

6. ปาท่องโก๋ไดโสเสาร์ ตลาดโรงสี อำเภอเมืองกาฬสินธุ์  ใครที่ชอบตื่นเข้า ไปเที่ยวกาฬสินธุ์รับรองมีรางวัลให้ชีวิต เพราะหลังจากได้ไปชมไดโนเสาร์จำลองตัวเบ้อเริ่มกันมาแล้วที่พิพิธภัณฑ์สิรินธร อำเภอสหัสขันธ์ เช้าวันต่อมาเรายังได้ชิม “ปาท่องโก๋ไดโนเสาร์” ตัวจิ๋วน่ารัก เหมือนลูกไดโนเสาร์สีทองลองฟ่องอยู่ในน้ำมันร้อนฉ่า! สั่งมาหลายๆ ตัวกินกับน้ำเต้าหู้ร้อนๆ แค่ตัวละ 5 บาทเท่านั้น เป็นอาหารเช้าของคนหัวใส สร้างกิมมิคให้เข้าคู่กับเมืองแห่งไดโนเสาร์ กาฬสินธุ์ได้อย่างเยี่ยมยอด
กาฬสินธุ์ 79 กาฬสินธุ์ 80

7. หมูทุบบ้านนาจารย์ ตำบลนาจารย์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ เป็นของกินเล่นกินจริง ที่กำลังโด่งดังทำเงินทำทองให้คนบ้านนาจารย์อย่างเป็นล่ำเป็นสัน เพราะเนื้อหมูทุบของที่นี่รสชาติเป็นเลิศ เนื้อหนานุ่ม เคี้ยวมัน เคี้ยวเพลิน จะกินเล่น กินจริง หรือกินกับข้าวสวยร้อนๆ กินเป็นกับแกล้มได้ทั้งนั้น เหมาะจะซื้อเป็นของฝากกัน เพราะเก็บไว้ได้นาน สนใจติดต่อ คุณอัจฉรา เดชพรรณา ประธานกลุ่มแปรรูปเนื้อสัตว์บ้านนาจารย์ โทร. 08-7215-8459
กาฬสินธุ์ 81 กาฬสินธุ์ 82 กาฬสินธุ์ 83

นอกจากหมูทุบแสนอร่อยแล้ว บ้านนาจารย์ยังมีสุดยอดแจ่วบอง (และแจ่วบองแมงดา) ให้ลองชิมด้วย เห็นคนที่ชอบๆ เขาไม่ได้ซื้อกันกระปุกเดียว แต่ซื้อกันทีละครึ่งโหล! กลิ่นหอมหวนชวนรับประทานเป็นที่สุด!
กาฬสินธุ์ 84

8. ไส้กรอกปลากาฬสินธุ์ (ห้างหุ้นส่วนจำกัด กาฬสินธุ์ผลิตภัณฑ์อาหาร) ถนนผ้าขาว ตำบลกาฬสินธุ์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ โทร. 0-4381-5255, 08-7863-3344, 08-1261-6091
กาฬสินธุ์ 85

ทุกวันนี้ อาหารฝรั่งอย่างไส้กรอกกำลังได้รับความนิยมมาก แต่หลายคนกังวลว่าถ้ากินไส้กรอกหมูบ่อยๆ จะอ้วน เพราะมีไขมันเยอะ ความกังวลนี้คงจะหมดไปล่ะ ถ้าเราได้ลองชิม “ไส้กรอกปลากาฬสินธุ์” เป็นไส้กรอกปลาสุขภาพที่มีชื่อเสียง ได้รับการตรวจประเมินคุณภาพจากหลายสถาบันเรียบร้อยแล้ว จึงส่งขายทั้งในเมืองไทย และส่งออกต่างประเทศแข่งกับไส้กรอกหมูเยอรมันต้นตำรับได้สบาย ฮาฮาฮากาฬสินธุ์ 86

ไส้กรอกปลากาฬสินธุ์ เป็นไส้กรอกสไตล์เยอรมัน แฟรงเฟอเธอร์ แต่นำปลาน้ำจืดของบ้านเรามาดัดแปลง แทนหมู วัว และไก่ โดยใช้ไขมันปลาและไขมันพืชแทน ในอัตราส่วนไม่เกิน 15 เปอร์เซนต์ ไม่ผสมแป้ง ไม่ใส่สารกันเสีย และใช้ไส้สังเคราะห์จากคอลลาเจนในการบรรจุ ทำให้คนห่วงใยเรื่องอาหารสุขภาพมั่นใจได้เลยจ้ากาฬสินธุ์ 87logo123-300x300Special Thanks : ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคอีสาน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานขอนแก่น ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-4322-7714-5

เที่ยวสุดยอด Unseen กาฬสินธุ์ ถิ่นอีสาน (ตอน 1)

กาฬสินธุ์ 1

เมื่อเอ่ยถึงชื่อ “ทุ่งกุลาร้องไห้” หลายคนคงร้องอ๋อ เพราะจำได้ว่าสมัยเด็กๆ ครูเคยสอนว่าเป็นเขตแห้งแล้งของภาคอีสาน รวมกว้างๆ อยู่ในเขตจังหวัดสุรินทร์, มหาสารคาม, บุรีรัมย์, ศรีสะเกษ, ยโสธร, ร้อยเอ็ด และบางส่วนของกาฬสินธุ์ ความทรงจำจากหนังสือเรียนสมัยเด็ก ทำให้ใครหลายคนไม่อยากย่างกรายไปอีสาน ทว่านั่นคือความเข้าใจผิดมาก!

เพราะแท้จริงแล้วทุ่งกุลาร้องไห้ที่อาจจะดูเปลี่ยวเหงาในฤดูแล้ง เมื่อได้ไปเยือนในฤดูฝน ภาพอีกภาพหนึ่งจะปรากฏให้เห็น เป็นภาพแห่งความเขียวขจีในผืนนานับล้านไร่! เนื่องจากดินบริเวณนี้เหมาะเจาะอย่างยิ่งสำหรับการปลูกข้าวหอมมะลิพันธุ์ดีเกรด Premium ส่งขายไปทั่วไทยและทั่วโลก!

ทริปนี้เราได้มาเยือนส่วนเสี้ยวหนึ่งของทุ่งกุลาร้องไห้ “กาฬสินธุ์ ถิ่นไดโนเสาร์” และอดีตเมืองโบราณอาณาจักรฟ้าแดดสงยาง สถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองเฟื่องฟูที่สุดแห่งหนึ่งบนผืนดินอีสาน ลองมาชมกันซิว่า วันนี้กาฬสินธุ์ยังสบายดีอยู่ไหมจ๊ะ? ฮาฮาฮากาฬสินธุ์ 21. พระธาตุยาคู หรือพระธาตุใหญ่ อำเภอกมลาไสย เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองโบราณอาณาจักรฟ้าแดดสงยาง (อายุประมาณ 2,200 ปี) ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงเหลี่ยมก่ออิฐ สร้างซ้อนทับบูรณะกันมาถึง 3 สมัย ชาวบ้านเชื่อว่าภายในบรรจุพระธาตุอัฐิของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่ชาวเมืองฟ้าแดดสงยางเคารพนับถือ สังเกตได้จากเหตุการณ์เมื่อเมืองเชียงโสมชนะสงคราม ได้ทำลายทุกอย่างในเมืองฟ้าแดดสงยาง แต่ไม่ทำลายพระธาตุยาคู ปัจจุบันจึงเป็นโบราณสถานที่ยังคงสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ โดยชาวบ้านจะจัดให้มีงานบุญบั้งไฟช่วงเดือนพฤษภาคมทุกปี เพื่อเป็นการขอฝนและความร่มเย็นแก่หมู่บ้าน

ส่วนคำว่า “ยาคู” แท้จริงมาจากคำในภาษาอีสานว่า “ญาคู” หมายถึง “พระสงฆ์ผู้ใหญ่ในวัด” นั่นเองกาฬสินธุ์ 3

ในบริเวณใกล้ๆ องค์พระธาตุยาคูมีพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก จัดแสดงใบเสมาหินทรายขนาดใหญ่ ที่ขุดค้นพบในบริเวณเมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง และรอบๆ พระธาตุยาคู โดยค้นพบมากถึง 130 แผ่น นับเป็นแหล่งที่ขุดพบมากที่สุดในเมืองไทยก็ว่าได้ บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา ความยิ่งใหญ่ของเมืองฟ้าแดดสงยาง และยังเผยให้เห็นถึงรูปแบบวิธีคิดของคนในอดีตอีกด้วยกาฬสินธุ์ 4 กาฬสินธุ์ 52. ไม่ห่างจากพระธาตุยาคูมากนัก ณ ทางเข้าของเมืองฟ้าแดดสงยางโบราณ ปัจจุบันคือที่ตั้งของ “วัดโพธิ์ชัยเสมาราม” หรือ “วัดบ้านก้อม” เป็นวัดเก่าที่ชาวบ้านได้นำใบเสมาหินทรายที่ขุดพบในเขตเมืองฟ้าแดดสงยางมารวบรวมไว้ ลักษณะเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่น่าสนใจมาก ใบเสมาบางอันขนาดใหญ่กว่า 2 เมตร สูงท่วมหัวคน! จำหลักเป็นภาพนูนต่ำเรื่องราวพุทธประวัติตอนต่างๆ และเรื่องชาดก

อาทิ ตอนพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากกรุงกบิลพัสดุ์ พร้อมด้วยพระเจ้าสุทโธทนะ ภาพแสดงให้เห็นพระราหุลและพระนางยโสธราพิมพา เข้าเฝ้าสักการะด้วยการสยายพระเกศา (ผม) เช็ดพระบาทพระพุทธเจ้า เรียกว่า “เสมาหินพิมพาพิลาป” ซึ่งใบเสมาหลักจริงได้นำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่นแล้ว ใครที่รักชอบเรื่องโบราณคดี มาวัดบ้านก้อมไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
กาฬสินธุ์ 6 กาฬสินธุ์ 7 กาฬสินธุ์ 8 กาฬสินธุ์ 9

3. มาลัยไม้ไผ่ ประณีตศิลป์แห่งชนเผ่าผู้ไทย บ้านกุดหว้า อำเภอกุฉินารายณ์ ณ ที่นี้คือชุมชนเผ่าผู้ไทยอันมีอัตลักษณ์เฉพาะตน งดงาม น่าชื่นชม โดยเฉพาะเมื่อย่างเข้าเดือนเก้าและเดือนสิบ ในช่วงบุญข้าวประดับดินและบุญข้าวสาก ตามวิถีฮีต 12 ของชาวอีสาน ผู้ไทยบ้านกุดกว้าก็จะรวมตัวกันสืบสานงานประเพณี “มาลัยไม้ไผ่” ซึ่งถือเป็นวิจิตรศิลป์เพื่อพุทธบูชาแห่งชาวกุดหว้าทั้งมวล
กาฬสินธุ์ 10 กาฬสินธุ์ 11

นอกจากมาลัยไม้ไผ่ดอกเล็กๆ แล้ว ชาวกุดหว้ายังประดิษฐ์มาลัยวิจิตรศิลป์อันตระการตา ขึ้นมาประกวดประชันกันด้วยกาฬสินธุ์ 12

เมื่อใกล้ถึงกำหนดวันงานบุญพวงมาลัย คณะกรรมการหมู่บ้านจะนำมาลัยไม้ไผ่ไปแจกจ่ายให้ชาวบ้าน ใช้เป็นเครื่องผูกร้อยพืชพรรณธัญญาหารตามฤดูกาล หรือสิ่งของอุปโภคบริโภค พร้อมด้วยดอกไม้ ธูป เทียน เป็นเครื่องไทยธรรม นำไปประกอบพิธีแห่มาลัยไม้ไผ่รอบโบสถ์ ก่อนจะนำมาแขวนรวมกันเป็นต้นกัลปพฤกษ์ถวายเป็นพุทธบูชากาฬสินธุ์ 13 กาฬสินธุ์ 14

ยิ้มง่ายๆ งามๆ แสนจริงใจ ของสาวผู้ไทยบ้านกุดหว้า
กาฬสินธุ์ 15

สาวผู้ไทยบ้านกุดหว้าในช่วงงานมาลัยไม้ไผ่ จะแต่งกายสวยสุดๆ โดยจะสวมเสื้อแขนกระบอกเข้ารูปสีดำหรือครามเข้ม พาดเฉวียงบ่าด้วยผ้าไหมแพรวาลายงามวิจิตร อีกทั้งยังตกแต่งเรือนกายด้วยดอกมาลัยไม้ไผ่ มีตั้งแต่เข็มกลัด, ต่างหู, ปิ่นปักผม ซึ่งล้วนสร้างสรรค์ขึ้นจากไม้ไผ่ไร่ในหมู่บ้าน นำมาจักสานอย่างประณีตบรรจง
กาฬสินธุ์ 16

ดอกมาลัยไม้ไผ่ ประดิษฐ์จากไม้ไผ่ไร่ซึ่งตัดทิ้งไว้ 15 วัน ให้แห้งสนิทดีซะก่อน จากนั้นนำมาตัดเป็นท่อนๆ ผ่าซีก เหลาให้บาง ความกว้างและยาวขึ้นอยู่กับขนาดดอก โดย 1 ดอก ใช้ไม้ไผ่ที่เหลาแล้ว 6 ชิ้น นำมาหักพับสลับฟันปลาแบ่งระยะความห่างช่องไฟให้พอดี สวยงาม เท่าๆ กัน พร้อมกับผ่าออกเป็นซี่เล็กๆ นำมาประกบเข้าคู่อย่างประณีต จนมีรูปร่างเป็นดอกไผ่ ใช้แขวนในพิธีทำบุญพวงมาลัยนั่นเองกาฬสินธุ์ 17 กาฬสินธุ์ 18

เข็มกลัดดอกไผ่
กาฬสินธุ์ 19

ต่างหูดอกไผ่กาฬสินธุ์ 20

ปิ่นปักผมดอกไผ่กาฬสินธุ์ 21

เมื่อพร้อมแล้ว ชาวบ้านก็จะนำขบวนมาลัยไม้ไผ่มาจัดขบวน เดินแห่แหนร่ายรำกันไปอย่างสนุกสนาน 3 รอบโบสถ์วัดกกต้องกุดกว้า ทั้งลูกเด็กเล็กแดง ผู้สาว แม่ใหญ่ ต่างมาร่วมงานกันอย่างชื่นมื่นอิ่มบุญกาฬสินธุ์ 22 กาฬสินธุ์ 23

ชาวบ้านกุดหว้า ออกมาร่วมงานมาลัยไม้ไผ่ พ่อเพลงหมอแคนต่างแสดงฝีมือกันเต็มที่ เพราะงานนี้มีปีละครั้งเดียว
กาฬสินธุ์ 24

4. วัดวังคำ บ้านนาวี ตำบลสงเปือย อำเภอเขาวง เป็นวัดสำคัญที่สุดของชาวผู้ไทยในเขตอำเภอเขาวง ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างขึ้นในเนื้อที่ 8 ไร่ เมื่อปี พ.ศ. 2539 สิ่งสำคัญที่สุดในวัดคือ นอกจากมีองค์พระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังมีวิหารที่จำลองแบบมาจากวัดเชียงทอง (มรดกโลก) ณ เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว หากได้ไปเยือนในยามค่ำคืน จะมีการเปิดไฟแสงสีประดับอย่างน่าตื่นตา อีกทั้งผนังด้านนอกส่วนหลังวิหาร มีการจำลองแบบต้นไม้แห่งชีวิต Tree of Life ประดับกระจกสี เฉกเช่นเดียวกับวัดเชียงทองอีกด้วย
กาฬสินธุ์ 25 กาฬสินธุ์ 26

ภายในวิหารวัดวังคำ งามอลังการดุจเทพนฤมิตร! เด่นด้วยสีแดงชาติและสีทองสุกปลั่งเหลืองอร่าม ทว่าภายในวิหารนี้ห้ามมิให้สตรีเข้าไปนะครับ เข้าได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้นกาฬสินธุ์ 27

ในการไปเยือนวัดวังคำ ศูนย์กลางชุมชนชาวผู้ไทยบ้านนาวี หากมีการติดต่อล่วงหน้า และเข้าเยี่ยมชมเป็นหมู่คณะ เขาก็จะมีการจัดงานต้อนรับอย่างเอิกเริก ทั้งในส่วนของชุดผู้ไทยที่มีการใช้ผ่าเบี่ยงพาดบ่า เป็นผ้าไหมแพรวาลวดลายวิจิตร รวมถึงการจำลองวิถีชีวิตของชาวผู้ไทยในแง่มุมต่างๆ ให้ชมกันอย่างใกล้ชิดครับกาฬสินธุ์ 28 กาฬสินธุ์ 29

สาธิตการประดิษฐ์ขันหมากเบ็ง หรือที่คนไทยภาคกลางเรียกว่าพานบายศรีนั่นเอง โดยขันหมากเบงนี้ชาวบ้านจะใช้ในขบวนแห่ในงานประเพณี หรือนำไปถวายวัดเป็นพุทธบูชา
กาฬสินธุ์ 30

สาวน้อยน่ารักชาวผู้ไทย โปรยยิ้มหวานต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือน พร้อมกับการแต่งกายย้อนยุคอันมีเอกลักษณ์
กาฬสินธุ์ 31

สาธิตการทำเครื่องจักสาน อีกหนึ่งสาขางานประณีตศิลป์ที่ชาวผู้ไทยบ้านนาวีชำนาญกาฬสินธุ์ 32 กาฬสินธุ์ 33 กาฬสินธุ์ 34

ข้าวแดกงา ขนมพื้นบ้านของชาวผู้ไทยบ้านนาวี เป็นการนำข้าวเหนียวและงาที่เพิ่งเก็บเกี่ยวใหม่ๆ มาตำรวมกันอย่างง่ายๆ จนได้แผ่นแป้งที่เห็น แล้วนำถั่วลิสงกับถั่วแดงใส่เป็นไส้ จากนั้นม้วนเป็นแท่งกลม กินเป็นขนมทานเล่นได้อร่อยดี เพราะเป็นของธรรมชาติล้วนๆ ทว่าขนมแดกงาจะมีให้ชิมเฉพาะช่วงฤดูหนาวเท่านั้น ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวบ้านเพิ่งเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จใหม่ๆ ข้าวและงาที่ได้จึงหอมหวลเป็นพิเศษกาฬสินธุ์ 35

แม่ใหญ่ชาวผู้ไทย ยิ้มหวานอย่างภาคภูมิในชุดประจำชนเผ่าของตน หวังว่าวัฒนธรรมการแต่งกายอันงดงาม มีเอกลักษณ์เช่นนี้ จะมีให้เราเห็นต่อไปอีกนานๆ นะครับ
กาฬสินธุ์ 36

ขบวนแห่รอบวิหารวัดวังคำ จัดเต็มมากันในชุดผู้ไทยสวยสุดๆ พร้อมด้วยขันหมากเบ็ง ต้นดอกไม้ และเครื่องพุทธบูชานานาชนิด
กาฬสินธุ์ 37

แห่ต้นดอกไม้ รอบวิหารวัดวังคำ 3 รอบ ก่อนนำต้นดอกไม้เข้าไปถวายสักการะหน้าพระประธานในวิหารกาฬสินธุ์ 38 กาฬสินธุ์ 39 กาฬสินธุ์ 40 กาฬสินธุ์ 41 กาฬสินธุ์ 42

แม่ใหญ่แห่งบ้านนาวี ยังคงมีรอยยิ้มเปื้อนหน้า เมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามาชื่นชมวัฒนธรรมอันดีงามของตนกาฬสินธุ์ 43

หลังจากพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว เหล่านักท่องเที่ยวก็ยังไม่หนีหายไปไหน แต่มารวมตัวกันทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ โดยหมอขวัญผู้ไทยแห่งบ้านนาวี เป็นพิธีที่สะท้อนความโอบอ้อมอารี ความห่วงใย และความรักที่มีต่อกันกาฬสินธุ์ 44

ตอนผูกข้อไม้ข้อมือ เราต้องถือไข่ต้มไว้ด้วย 1 ฟอง เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคดีและความสมบูรณ์พูนสุขกาฬสินธุ์ 45

เสร็จจากพิธีบายศรีสู่ขวัญ ก็ได้เวลาที่นักท่องเที่ยวทุกคนรอคอย คือการนั่งล้อมวงกินพาแลง (อาหารเย็น) ด้วยกัน แน่นอนว่าอาหารมื้อนี้ล้วนเป็นเมนูพื้นบ้านแสนอร่อยของชาวผู้ไทย ป้าดดดด! น้ำลายไหล!กาฬสินธุ์ 46เราคือแขกผู้เข้าไปเยือนชุมชนชาวผู้ไทย แห่งบ้านนาวี อำเภอเขาวง เราได้ประจักษ์แล้วถึงความน่ารัก ความโดดเด่น และความเข้มแข็งของชุมชน ที่ยังคงใส่ใจสืบสานภูมิปัญญาจากปู่ย่าตาทวด นี่คืออีกหนึ่งชุมชนน่ารัก แห่งดินแดนอีสานอันแสนกว้างใหญ่ ซึ่งเรามิอาจปฏิเสธได้เลยว่า พวกเขาคือทูตแห่งวัฒนธรรม ผู้เก็บรักษาสมบัติล้ำค่าจากอดีต ให้ข้ามผ่านกาลเวลาไปสู่อนาคตได้อย่างแท้จริง
กาฬสินธุ์ 47

logo123-300x300Special Thanks : ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคอีสาน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานขอนแก่น ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-4322-7714-5

ปราสาทรวงข้าว ปราสาทแห่งศรัทธากาฬสินธุ์

ปราสาทรวงข้าว 2“หลงรักอีสาน” นี่คือความรู้สึกของฉันเมื่อได้ไปเยือนแผ่นดินอันมีเสน่ห์นี้ เพราะอีสานเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้ม ความโอบอ้อมอารี และวัฒนธรรมอันรุ่มรวย หยั่งรากลึกสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน แม้วันนี้โลกจะเปลี่ยนไป วัฒนธรรมเก่าแก่หลายอย่างเริ่มเลือนหาย ทว่าคนอีสานก็ยังรักบ้านเกิด พากันสืบสานภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ

เช่นเดียวกับเมื่อสายลมหนาวมาเยือนต่อกับต้นฤดูร้อน ผืนนาอีสานถึงกาลเก็บเกี่ยวเสร็จเรียบร้อย ลอมฟางถูกกองทับสูงส่งกลิ่นหอม วัวควายได้เวลาพักจากการหว่านไถ ทว่าชาวบ้านต้อน ตำบลเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ กลับยังไม่ได้พักผ่อน ต่างมารวมตัวกันที่วัดเศวตวันวนาราม ร่วมแรงร่วมใจกันจัดงาน “บุญบายศรีสู่ขวัญข้าวคูนลาน” เพื่อรำลึกบุญคุณพระแม่โพสพผู้ให้ชีวิต อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่พวกเขาร่วมแรงร่วมมือกันจัดสร้าง “ปราสาทรวงข้าว” ขึ้นเป็นตัวแทนแห่งศรัทธา ปรากฏเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งขวัญข้าว เพียงแห่งเดียวบนผืนดินสยาม!ปราสาทรวงข้าว 3

ปราสาทรวงข้าว คืองานศิลป์แห่งวิถีศรัทธาสามัคคีของชาวบ้านกาฬสินธุ์ ในการประกอบพิธีบุญบายศรีสู่ขวัญข้าวคูนลาน หรือบุญคูนลานตามวิถีฮีตสิบสองของชาวอีสาน ซึ่งจะประกอบพิธีหลังฤดูเก็บเกี่ยว เพื่อระลึกถึงคุณพระแม่โพสพ อีกทั้งยังเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูต่อแผ่นดินที่ให้ผลผลิตเพื่อการยังชีพ ให้เกิดสิริมงคลแก่ชีวิต และการเพาะปลูก ตลอดจนเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้คงอยู่สืบไปปราสาทรวงข้าว 4

ด้วยรวงข้าวน้อยที่งอกงามขึ้นจากผืนดินอีสานกาฬสินธุ์ คือตัวแทนแห่งความอุดมของธรรมชาติ ที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คน บัดนี้ได้รับการนำมาเนรมิตเป็นงานศิลป์ประจำท้องถิ่นในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี เพื่อสร้างเป็น ปราสาทรวงข้าว
ปราสาทรวงข้าว 5

ชาวบ้านและพระสงฆ์จะช่วยกันนำรวงข้าวมามัดเป็นกำๆ แล้วนำไปผูกติดกับโครงไม้ไผ่ที่ขึ้นรูปไว้เป็นปราสาทรวงข้าวปราสาทรวงข้าว 6

ปราสาทรวงข้าว ในประเพณีบุญบายศรีสู่ขวัญข้าวคูนลาน มีจุดเริ่มต้นสร้างครั้งแรกเมื่อ ปี พ.ศ. 2537 โดยในขณะนั้น เมื่อถึงช่วงเวลาประกอบพิธีบุญคูนลาน แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังนวดข้าวไม่เสร็จ จึงนำมัดข้าวที่ยังไม่ได้แยกเมล็ดข้าวออกจากฟางมาถวายวัด จนเกิดแนวคิดการนำมามัดรวมสร้างเป็นปราสาทรวงข้าวขึ้น จนมีการพัฒนารูปแบบให้งดงาม น่าศรัทธา ดังเช่นปัจจุบัน โดยระยะเวลาในการสร้างปราสาทรวงข้าวแต่ละครั้ง ใช้เวลาถึง 2 เดือนทีเดียว
ปราสาทรวงข้าว 7

สวยสง่า เปี่ยมด้วยพลังแห่งศรัทธาในทุกอณู สะท้อนถึงความผูกพันของผู้คน ธรรมชาติ และพระพุทธศาสนาปราสาทรวงข้าว 8 ปราสาทรวงข้าว 9 ปราสาทรวงข้าว 10 ปราสาทรวงข้าว 11 ปราสาทรวงข้าว 12.1 ปราสาทรวงข้าว 12

ชาวบ้านในละแวกวัดเศวตวันวนาราม นำกับข้าวมาเตรียมตักบาตรในยามเช้าตรู่ปราสาทรวงข้าว 13

ตามปกติแล้ว งานบุญบายศรีสู่ขวัญข้าวคูนลาน จะจัดกันไม่ต่ำกว่า 4 วัน โดยวันแรก ชาวบ้านจะนำข้าวเปลือกมากองรวมกันที่วัดในปราสาทรวงข้าว แล้วรับบริจาคจตุปัจจัยตลอดวัน มีพิธีทำบุญตักบาตร 108 และบูชาข้าวเปลือกมงคลคูนลาน พร้อมด้วยขบวนแห่พานบายศรี แห่ปราสาทรวงข้าวจำลอง และแห่เครื่องบูชาพระแม่โพสพ ปิดท้ายด้วยการแสดงบวงสรวงบูชาพระแม่โพสพสมโภชกันอย่างสนุกสนานชื่นบาน

ปราสาทรวงข้าว 14

ในวันถัดไป ก็จะมีการทำบุญตักบาตร, บายศรีสู่ขวัญข้าวคูนลาน รวมถึงการแข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ บริเวณหนองสาหร่าย ซึ่งอยู่ติดกับวัดเศวตวันวนาราม นั่นเอง
ปราสาทรวงข้าว 15

หนุ่มสาวหน้าใสในชุดพื้นเมืองโบราณกาฬสินธุ์ มาร่วมทำบุญตักบาตรกันอย่างชื่นบานปราสาทรวงข้าว 16 ปราสาทรวงข้าว 17

ร่วมทำบุญตักบาตรสืบสานพลังแห่งศรัทธา ณ วัดเศวตวันวนาราม ในงานบุญคูนลาน ปราสาทรวงข้าว 18 ปราสาทรวงข้าว 19 ปราสาทรวงข้าว 20

ตักบาตรเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาฟังเทศน์ฟังธรรม รับศีลรับพร ให้ชีวิตมีแต่มงคลตลอดไปนะจ๊ะปราสาทรวงข้าว 21.1 ปราสาทรวงข้าว 21

จากนั้นก็ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ หน้าตาอาหารพื้นบ้านแท้ๆ เห็นแล้วน่าทานไปซะทุกสิ่งอย่าง อุดมด้วยพืชผักพื้นบ้านที่ส่วนใหญ่ปลอดสารพิษทั้งนั้นเลยล่ะปราสาทรวงข้าว 22 ปราสาทรวงข้าว 23 ปราสาทรวงข้าว 24

สาวงามหนุ่มหล่อ ก็ต้องมาถ่ายภาพคู่กับปราสาทรวงข้าวไว้เป็นที่ระลึก
ปราสาทรวงข้าว 25

การได้มาร่วมงานบุญคูนลาน และเห็นปราสาทรวงข้าวอันงดงามตั้งอยู่ตรงหน้า ทำให้เราสำนึกในทันทีว่า แท้จริงแล้วข้าวมิใช่เป็นเพียงแค่อาหาร หรือเป็นข้าวในกระสอบที่ใช้เงินทองแลกเปลี่ยนซื้อขายกันเท่านั้น! ข้าวคือแม่ คือผลผลิตแห่งพระแม่ธรณีที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตผองเราชาวไทยมาหลายชั่วอายุคน และปราสาทรวงข้าว ก็คือตัวแทนแห่งความนอบน้อม ความขอบคุณ ต่อพระคุณของเมล็ดข้าว แม้เพียงเมล็ดเดียวก็สูงค่ายิ่งแล้ว
ปราสาทรวงข้าว 26

คำว่า “หลงรักอีสาน” คือคำที่จะตรึงอยู่ในใจฉันไปอีกนาน เพราะวันนี้ ฉันมีความสุขเหลือเกินที่ได้มาเยือน ปราสาทรวงข้าว แห่งกาฬสินธุ์ ถิ่นคนงามน้ำใจดี บ้ายบาย.logo123-300x300Special Thanks : ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคอีสาน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานขอนแก่น ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-4322-7714-5

ผ้าไหมแพรวา ราชินีแห่งแพรพรรณไทย

ผ้าแพรวา 1

เมื่อพูดถึงเรื่องการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อไปชื่นชมความงามของผืนผ้าแพรพรรณในเมืองไทยเรา ก็ต้องยอมรับว่าเป็นสวรรค์ของคนรักผ้า รักงานศิลป์อย่างแท้จริง เพราะในแทบทุกจังหวัด แทบทุกภูมิภาค ล้วนมีผ้าทอเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของตนเองด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะในดินแดนภาคอีสาน ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว มิใช่ดินแดนแห้งแล้งอย่างที่หลายคนเข้าใจ ทว่าอีสานคือดินแดนอันรุ่มรวยด้วยวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตผู้คนหลายเผ่าหลากพันธุ์

ในทริปนี้ เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับ “ราชินีแห่งผ้าไหมไทย ผ้าไหมแพรวา” แห่งอำเพอบ้านโพน จังหวัดกาฬนสินธุ์ผ้าแพรวา 2

ผ้าไหมแพรวา ได้รับการยกย่องให้เป็นราชินีแห่งไหมไทย! เพราะเป็นผ้าไหมที่มีลวดลายวิจิตพิสดาร ประณีต สวยงาม อย่างที่ใครเห็นก็ไม่กล้าปฏิเสธ! ทั้งในส่วนของสีสันอันเตะตา ซึ่งแต่เดิมใช้สีหลักเป็นสีแดงจากตัวครั่ง รวมถึงลวดลายทรงเรขาคณิตแบ่งจังหวะลวดลายบนผืนผ้าอย่างลงตัว ผืนผ้ามีความแวววาว สูงค่าน่าสวมใส่ ทำให้ผ้าไหมแพรวาเป็นที่ต้องการของทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ อย่างที่ผลิตกันแทบไม่ทันในปัจจุบัน!ผ้าแพรวา 3

แต่ก่อนจะไปลงลึกถึงเรื่องผ้าแพรวากันมากกว่านี้ เราคงต้องมาทำความรู้จักกับ “ชาวผู้ไทย” หรือ “ภูไท” กันสักเล็กน้อยก่อน เพราะว่าชาวผู้ไทยนี้เอง คือเจ้าของผ้าไหมแพรวาอันเลื่องชื่อ โดยแต่เดิมในอดีตนั้น ชาวผู้ไทยอาศัยอยู่ในแคว้นสิบสองจุไทย (ดินแดนตอนเหนือของลาวและเวียดนาม ซึ่งต่อกับจีนตอนใต้) จากนั้นในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ก็ถูกภัยสงคราม กวาดต้อนเข้ามาสู่แผ่นดินสยามหลายระลอก โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งชาวผู้ไทยได้ถูกกวาดต้อนเข้ามาสู่แถบจังหวัดกาฬสินธุ์ สกลนคร และนครพนม (เทือกเขาภูพาน) มากที่สุด ทว่าชาวผู้ไทยในแต่ละจังหวัดก็แต่งกายต่างกัน อย่างเช่นผู้ไทย อำเภอบ้านโพน กาฬสินธุ์ก็จะแต่งกายด้วยผ้าพื้นสีดำเป็นหลัก ส่วนผู้ไทยอำเภอเรณูนคร นครพนม ก็จะแต่งกายด้วยสีฟ้าครามเป็นหลัก เป็นต้น

ชาวผู้ไทยจากลาวที่เข้ามาตั้งรกรากใหม่อยู่บนผืนดินอีสาน จริงๆ แล้วถือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีจำนวนมากที่สุด รองจากคนลาวเลยก็ว่าได้ ลักษณะของชาวผู้ไทยคือเป็นชนเผ่าที่มีอารยธรรมค่อนข้างสูง นิสัยรักสงบ ยิ้มแย้ม หน้าตาดี ผิวพรรณดี โอบอ้อมอารี และมีฝีมือทางด้านงานถักทอผ้าแพรวา นำติดตัวเข้ามาสืบสานจนถึงปัจจุบันผ้าแพรวา 4

ผ้าไหมแพรวาของชาวผู้ไทยจะใช้เทคนิคการจกและขิดผสมกัน โดยแต่เดิมผืนผ้านั้นมีความยาวเพียง 1 วา หรือ 1 ช่วงแขน ใช้สำหรับคลุมไหล่หรือห่มสไบเฉียง เรียกว่า “ผ้าเบี่ยง” ใช้พาดบ่าไปวัดไปวาในโอกาสงานเทศกาลบุญประเพณี หรือเทศกาลงานสำคัญ กระทั่งถึงปี พ.ศ. 2520 ครั้งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยี่ยมราษฎรผู้ไทย บ้านโพน กาฬสินธุ์ ทรงเห็นสาวชาวบ้านห่มผ้าเบี่ยงมารอรับเสด็จ จึงทรงสนพระทัยมาก จากนั้นจึงมีการส่งเสริมให้มีการทอเพิ่มหน้ากว้างและเพิ่มความยาวของผ้าแพรวา เพื่อนำไปตัดชุด ทำประโยชน์ได้หลากหลายมากขึ้น ให้สอดรับวิถีชีวิตและการใช้งานยุคปัจจุบัน ผ้าแพรวาจึงได้ประกาศความยิ่งใหญ่ในวงการผ้าไทย มาถึงทุกวันนี้
ผ้าแพรวา 5

ลายหลักของผ้าไหมแพรวา เป็นทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน สลับด้วยลายคั่นเป็นเส้นทางยาว ไล่ไปจนถึงลายเชิงหรือปลายสุดของผ้าผ้าแพรวา 6

ลวดลายบนผืนผ้าแพรวา เกิดจากการใช้เทคนิคการจกและขิด ในอดีตใช้สีธรรมชาติ แต่ปัจจุบันมีการเปลี่ยนมาใช้สีเคมีบ้างตามความนิยมของยุคสมัย จากที่เคยนิยมทอแต่สีแดง เหลือง ขาว ดำ ทุกวันนี้มีให้เลือกทุกสีแล้วล่ะผ้าแพรวา 7.1

กลุ่มสตรีทอผ้าไหมแพรวาบ้านโพน สหกรณ์ศูนย์ศิลปาชีพทอผ้า ผ้าไหมแพรวาบ้านโพน ตั้งอยู่เลขที่ 173 หมู่ 5 ตำบลบ้านโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ โทร. 0-4385-6204, 08-3338-3956ผ้าแพรวา 7

กลุ่มทอผ้าไหมแพรวาบ้านโพน เขาผลิตกันเองในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ปลูกต้นหม่อน เลี้ยงไหม สาวไหม ไปจนถึงการทอ และทำการตลาดขายกันอย่างเป็นระบบ นักท่องเที่ยวสามารถเข้าเยี่ยมชมขั้นตอนเหล่านี้ได้ตลอดปีเลยจ้าผ้าแพรวา 8

เส้นไหมดิบจะมีสีเหลืองทองอร่ามอย่างนี้เอง ว้าว!
ผ้าแพรวา 9

ตัวหนอนไหม กำลังกินใบหม่อนอย่างเอร็ดอร่อย เพื่อสะสมพลังงานและสารอาหารไว้ ก่อนที่มันจะเข้าสู่ระยะดักแด้ ที่มีการสร้างรังไหมสีทองห่อหุ้มตัวไว้ โดยในระยะนั้นนั่นล่ะ ที่เราจะได้เส้นไหมจากรังดักแด้ของมัน นำมาทอผ้า
ผ้าแพรวา 10

นำรังไหมมาต้ม แล้วสาวไหมออกมาทีละเส้น ปั่นรวมกันเป็นเส้นไหม พร้อมใช้ทอผ้าต่อไปผ้าแพรวา 11 ผ้าแพรวา 12.1

ต้มรังไหมให้ร้อนได้ที่ ค่อยๆ สาวเส้นไหมออกไปปั่นรวมกัน
ผ้าแพรวา 12

ปั่นเส้นไหมเข้ากระสวย เตรียมนำไปใช้งานผ้าแพรวา 13 ผ้าแพรวา 14

บางครั้งก็ต้องมีการย้อมสีเส้นไหม หรือเส้นฝ้าย ก่อนนำไปทอเป็นผืน เพื่อให้เกิดความหลากหลายของสีสันมากขึ้น
ผ้าแพรวา 15 ผ้าแพรวา 16

เส้นไหมที่ผ่านกระบวนการย้อมมาเรียบร้อยแล้ว มีหลายสิบสี อีกไม่นานเมื่อผ่านมือช่างทอผ้าแพรวาผู้ชำนาญการ ก็จะกลายมาเป็นผืนผ้าอันสูงค่า มีราคาตั้งแต่หลักพันบาท ไปจนถึงหมื่นบาท และแสนบาท! ตามความยากของการทอ โดยลวดลายในปัจจุบัน ยังมีการอนุรักษ์ลายโบราณไว้นับร้อยลายผ้าแพรวา 17 ผ้าแพรวา 18

หนึ่งในเสน่ห์การทอผ้าแพรวาที่ไม่มีใครเหมือน ก็คือการใช้ปลายนิ้วก้อยเกี่ยวเส้นยืนของเส้นไหมบนกี่ขึ้นมา แล้วสอดเส้นไหมอีกแนวหนึ่งเข้าไป ผูกให้เกิดลายตามต้องการ โดยลายเหล่านี้จริงๆ แล้วแต่ละครอบครัว แต่ละคน ก็มีลายเฉพาะของตนเอง ที่แม่จะสอนต่อให้ลูกสาวสืบกันมาเป็นรุ่นๆ ในภาษาอีสานเรียกว่า “พ่อแม่พาทำ”ผ้าแพรวา 19

การผูกลายอันสลับซับซ้อนของผ้าแพรวา ต้องใช้เวลาเรียนรู้กันนานหลายปี จึงต้องใช้ช่างทอที่มีใจรักในงานศิลป์อย่างแท้จริง โชคดีที่มีโครงการศิลปาชีพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เข้ามาโอบอุ้ม ทำให้ผ้าแพรวาไม่สูญหายไปจากผืนดินสยาม
ผ้าแพรวา 20 ผ้าแพรวา 21 ผ้าแพรวา 22

ผ้าไหมแพรวาลายจกผ้าแพรวา 23

ผ้าไหมแพรวาลายจกผ้าแพรวา 24

ผ้าไหมแพรวาลายจกผ้าแพรวา 25

เมื่อทอเสร็จแล้ว ก็จะได้ผ้าไหมแพรวาอันเลอค่า นิยมสวมใส่กันตั้งแต่ประชาชนทั่วไป จนถึงเจ้านายในวังหลวง รวมถึงสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็ทรงโปรดผ้าไหมแพรวาอย่างมาก
ผ้าแพรวา 26

สาวผู้ไทยบ้านโพน ในชุดการแต่งกายแบบดั้งเดิม เสื้อทรงกระบอกสีดำเข้ารูป และมีผ้าแพรวาหน้าแคบพาดบ่า พร้อมกับยิ้มอันจริงใจ คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคนผ้าแพรวา 27

ที่บ้านโพนมีผ้าไหมแพรวาให้เลือกชมเลือกซื้อกันอย่างจุใจ ราคาอาจจะสูงหน่อย แต่ขอร้องว่าอย่าต่อเลยนะ เพราะกว่าจะได้มาสักผืน ต้องใช้ความอุตสาหะอย่างมาก นับเป็นงานศิลป์ที่ควรค่าแก่การซื้อมาใช้และสะสมไว้ประดับตัวผ้าแพรวา 28

เห็นแล้วก็น้ำลายไหล อยากซื้อทุกผืนเลย!!!ผ้าแพรวา 29

ผ้าไหมแพรวา เคยประกาศศักดาความงามในงานกาล่าดินเนอร์ที่จังหวัดกาฬสินธุ์จัดขึ้น เป็นการนำผ้าแพรวามาดีไซน์ใหม่ให้ดู Modern จนต้องตะลึง!!!
ผ้าแพรวา 30 ผ้าแพรวา 31 ผ้าแพรวา 32 ผ้าแพรวา 33 ผ้าแพรวา 34 ผ้าแพรวา 35 ผ้าแพรวา 36 ผ้าแพรวา 37

ในตัวอำเภอบ้านโพน มีร้านจำหน่ายผ้าแพรวาอยู่หลายร้าน เมื่อเยี่ยมชมศูนย์การผลิตของชาวบ้านแล้ว ก็ลองแวะเลือกชมเลือกซื้อกันได้ตามอัธยาศัยนะครับ
ผ้าแพรวา 38 ผ้าแพรวา 39 ผ้าแพรวา 40 ผ้าแพรวา 41 ผ้าแพรวา 42logo123-300x300Special Thanks : ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคอีสาน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานขอนแก่น ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-4322-7714-5

Let’s Go to ปาย

ปาย 2

เมื่อสายลมหนาวมาเยือน ก็ได้เวลางัดเสื้อกันหนาวและผ้าพันคอสวยๆ ออกมาใส่ซะที หลังจากต้องเก็บอยู่ในตู้มาเกือบปีแล้ว ทริปนี้ขอแต่งตัวสวยๆ นั่งเครื่องบินและนั่งรถต่อขึ้นเหนือสู่ อำเภอปาย เมืองน้อยในหุบเขาใหญ่ทางตอนเหนือของแม่ฮ่องสอน เป็นเมืองติดชายแดนพม่าที่โอบกอดด้วยธรรมชาติ ม่านหมอกขาวอันหนาวเย็น และมีสายน้ำลำธารใสไหลหล่อเลี้ยงผู้คน และวิถีวัฒนธรรมแห่งปายให้คงอยู่มาหลายชั่วอายุคน

แม้ในรอบหลายปีที่ผ่านมา หลายคนจะบ่นว่าปายบอบช้ำจากธุรกิจคนเมือง ที่นำวิถีอันวุ่นวายเข้าไปทำให้ปายเปลี่ยนไป แต่เชื่อเถอะว่า จิตวิญญาณที่แท้จริงของปายยังคงอยู่ รอยยิ้มของผู้คนที่นี่ยังน่ารัก เปี่ยมสุขเหมือนเคย และที่สำคัญคือ ธรรมชาติของปายช่างบริสุทธิ์จริงๆ โดยเฉพาะในฤดูหนาวอย่างนี้ เหมาะจะชวนก๊วนเพื่อน หรือเกี่ยวก้อยพาคนพิเศษของเราไปรับลมหนาว ตื่นเช้าๆ ไปสูดโอโซนให้โล่งปอดแถวริมแม่น้ำปาย
ปาย 3 ปาย 4

มุมถ่ายรูปน่ารักๆ สำหรับคู่รักหวานแหว๋ว ที่จุดชมวิว ทะเลหมอกหยุนไหลปาย 5

แสงสุดท้ายยามเย็น มองเห็นตัวเมืองปาย จากยอดเขาวัดพระธาตุแม่เย็นปาย 6 ปาย 7

ยามเช้าอันเงียบสงบ อากาศเย็นสดชื่น หายใจได้โล่งปอด ณ ริมลำน้ำปายอันแสนอ่อนโยนปาย 8

ปายในช่วงฤดูหนาว รวงข้าวเปลี่ยนเป็นสีทองพร้อมเก็บเกี่ยวแล้วปาย 9

วิถีการเกี่ยวข้าวด้วยมือแบบคนรุ่นเก่าก่อน ยังพบเห็นได้ที่ สะพานซูตองเป้ปาย 10

สะพานซูตองเป้ จุดถ่ายภาพใหม่ที่ให้ความรู้สึกแบบไทยใหญ่ ผสาผสานกับพม่า และล้านนา
ปาย 11

เณรน้อยที่สะพานซูตองเป้ปาย 12

ห่างจากตัวเมืองปายออกมาประมาณ 9 กิโลเมตรเศษๆ คือที่ตั้งของ สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย เป็นสะพานเหล็กสีเขียวขนาดใหญ่ ทอดข้ามลำน้ำปาย โดยทหารญี่ปุ่นได้มาสร้างไว้ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อลำเลียงทัพขึ้นไปตีพม่า (แต่ไม่สำเร็จ) คล้ายกับสะพานข้ามแม่น้ำแควที่จังหวัดกาญจนบุรีนั่นล่ะ ปัจจุบันสะพานนี้ยังแข็งแรงมั่นคงมาก เราสามารถลงไปเดินชม และถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก แต่ขอเตือนนิดนึงว่า พื้นไม้ที่ใช้ปูทางเดินบนสะพานบางช่วงผุพังไปตามกาลเวลา เดินชมต้องระวังด้วย สมัยก่อนชาวปายเขาใช้สะพานนี้สัญจรไปมาทั้งคนทั้งรถ ทว่าปัจจุบันทางการได้สร้างสะพานคอนกรีตใหม่ อยู่ข้างๆ ให้ใช้แทน สะพานประวัติศาสตร์ก็เลยกลายเป็นจุดท่องเที่ยวไปโดยปริยาย ปาย 13

ในหุบเมืองปายมีวัดที่ควรไปชม คือ วัดน้ำฮู ซึ่งมีบ่อน้ำธรรมชาติผุดขึ้นมาไม่เคยเหือดแห้ง ปัจจุบันทางวัดได้ก่ออิฐล้อมบ่อน้ำไว้ แต่ที่สำคัญคือวัดนี้เป็นที่ประดิษฐานพระเจดีย์องค์ใหญ่ อยู่ด้านหลังโบสถ์ เป็นเจดีย์บรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยา (พี่สาว) ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยพระนางได้ถูกจับไปเป็นองค์ประกันที่เมืองหงสาวดีของพม่า และถูกสังหารในภายหลัง จึงมีผู้แอบนำพระอัฐิ และเส้นพระเกศากลับคืนสู่ผืนดินสยามที่ท่านรักและหวงแหน ปาย 14

ข้าวซอยไก่ปาย อาหารพื้นเมืองยอดฮิต ที่เราต้องลิ้มลอง แนะนำ ร้านน้องเบียร์ (อยู่ใกล้ถนนคนเดิน) โทร. 0-5369-9103 ขอบอกว่าข้าวซอยสูตรนี้น้ำเข้มข้น เครื่องปรุงครบ ใส่น้ำพริกเผาลงไปนิดนึง บีบมะนาวหน่อย คนให้เข้ากัน น้ำซุปจะยิ่งอร่อยถึงใจเลยล่ะ
ปาย 15

ปายเป็นเมืองที่มีอาหารอร่อยให้ชิมเยอะ อาหารเลื่องชื่อคือ “ขาหมู-หมั่นโถว” สูตรจีนยูนนาน ขาหมูแบบนี้ต่างจากที่เรากินกันทั่วไปในลักษณะน้ำซุปสีดำข้นแตกมัน รสออกหวาน แต่ของปายเป็นขาหมูท่อนเล็กๆ ตุ๋นเปื่อยนุ่มกำลังดี น้ำซุปตุ๋นเครื่องยาจีน น้ำใสๆ สีออกแดงๆ กลิ่นหอมชื่นใจ รสชาติไม่หวานจัด หนังหมูละลายในปาก ส่วนเนื้อแดงก็นุ่มนิ่ม กินกับน้ำจิ้มพริกเปรี้ยวๆ แต่ถ้าจะให้ครบสูตรต้องสั่งหมั่นโถว (เหมือนซาลาเปา แต่ลูกยาวรี ไม่มีไส้) มากินคู่กัน

หลายคนบอกว่าไม่อยากกินขาหมู เพราะกลัวอ้วนหรือกลัวคลอเรสเตอร์รอลพุ่งปรี๊ดใสเส้นเลือด ขอบอกว่าไม่ต้องกลัว เพราะคนจีนยูนนานเขาฉลาด รู้จักนำธรรมชาติมาสร้างสมดุลย์ให้อาหาร คือหลังจากกินขาหมู-หมั่นโถวแล้ว ต้องจิบชาอู่หลงตามเพื่อล้างปาก และช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้! ยิ่งช่วงนี้อากาศหนาวๆ ได้ซดน้ำชาร้อนๆ ดูวิวสวยๆ ของปายไปด้วย เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม แนะนำขาหมู-หมั่นโถว ร้านมิตรภาพปาย บ้านสันติชล โทร. 08-0129-9165, 08-1993-2129
ปาย 16

มาเที่ยวปายให้เพอร์เฟ็กต์ ต้องหาเวลาไปเยือน หมู่บ้านจีนสันติชล ซึ่งเป็นชาวจีนตอนใต้ จากมณฑลยูนนานที่อพยพเข้ามาอยู่ในปายเนิ่นนานแล้ว ชวนกันเข้าไปเดินเที่ยวหรือขี่ม้าเล่นในศูนย์วัฒธรรมจีนยูนนาน สร้างเป็นหมู่บ้านจีน มีกำแพงเมืองจีนจำลอง ให้ปีนป่ายขึ้นไปถ่ายรูปชมวิวสุดเก๋ ที่นี่มีร้านน้ำชา ร้านอาหาร ร้านขายของ Souvenirs และร้านถ่ายรูป ให้เราลองใส่ชุดจีนเป็นฮ่องเต้ มเหสีแบบจีน แอ็กท่าถ่ายภาพร่วมกับก๊วนเพื่อนๆ แบบขำๆ สุดยอดไปเลย!

ปาย 17 ปาย 18 ปาย 19

ชิมชาอู่หลงบำรุงสุขภาพ ที่หมู่บ้านจีนสันติชลปาย 20 ปาย 21

เสน่ห์ที่ทำให้ปายมีชื่อเสียง ดึงดูดผู้คนจากทั่วสารทิศมาสัมผัส ไม่ใช่มีแค่ถนนคนเดินเก๋ๆ แต่ปายมีเรื่องราวแง่มุมอื่นให้ค้นหามากกว่านั้น เพราะเมืองปายเป็นเมืองเก่าแก่ก่อนประวัติศาสตร์ล้านนา สังเกตได้จากวัดวาอารามโบราณหลายแห่ง ซึ่งเก่าจนหาบันทึกช่วงเวลาสร้างแน่ชัดไม่ได้เลยทีเดียว

            พระธาตุแม่เย็น ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง มองลงไปจะเห็นหุบเขาเมืองปายและแม่น้ำไหลผ่าน เมื่อมองเลยไปอีกจะเห็นแนวเทือกเขาใหญ่ ที่ตั้งของหมู่บ้านจีนสันติชล ทางขึ้นไปชมทะเลหมอกหยุนไหลนั่นเอง พระธาตุแม่เย็นเก่าแก่มาก ไม่มีบันทึกแน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อใด เป็นพระธาตุเล็กๆ 3 องค์อยู่ด้วยกัน ผู้คนนิยมมานมัสการกราบไหว้ขอพร แล้วชวนกันเดินขึ้นบันไดต่อไปยังส่วนสูงสุดของยอดเขานี้ เป็นที่ประดิษฐานองค์พระพุทธรูปสีขาวขนาดยักษ์ในท่าปางสมาธิ จากจุดนี้มองไปทางทิศตะวันตก จะเห็นเมืองปายอยู่เบื้องล่างอย่างเต็มตา โดยเฉพาะช่วงเย็นจะเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่งามสุดๆ เลย

ปาย 22 ปาย 23

หนึ่งในไฮไลท์ของการไปเที่ยวปายก็คือ การได้มีโอกาสไปเดินชิลเที่ยวชม ถนนคนเดินปาย ซึ่งจัดกันประจำทุกวัน ตั้งแต่หกโมงเย็นถึงเที่ยงคืน โดยปิดถนนชัยสงคราม เริ่มจากที่ว่าการอำเภอปาย ลงไปจนถึงลำน้ำปายเลยล่ะ บริเวณที่ว่าถือเป็นย่าน Down Town ของปายอย่างแท้จริง เพราะเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึกหลากหลายละลานตา มีร้านอาหาร บาร์ และเกสต์เฮาส์ให้เลือกเพียบ

ปาย 24 ปาย 25

 ถนนคนเดินปายมีบ้านเรือนสองฟากฝั่งเป็นเรือนไม้สวยงาม ชวนให้นึกถึงวันเก่าๆ เรือนไม้เหล่านี้ได้รับการแต่งแต้มโดยศิลปะร่วมสมัย มีการทาสี ประดับโคมไฟ วาดรูปลวดลายเก๋ๆ น่ารักๆ จนกลายเป็นมุมถ่ายภาพน่าหลงใหล คือหลังจากตระเวนเที่ยวปายกันมาตลอดวันแล้ว พอพระอาทิตย์เริ่มอัสดง ก็เวลาออกมาเดินช็อปปิ้งกัน เต็มไปด้วยเสื้อยืด, โปสการ์ด, ผ้าชาวเขา, ผ้าพันคอกันหนาว, งานศิลปหัตถกรรมทำมือ ตุ๊กตา หมวก รองเท้า ถุงย่าม พวงกุญแจ ฯลฯ ป้ำลวดลายคำว่าปายไว้เป็นที่ระลึก ปาย 26 ปาย 27

Tourist’s Guide

เวลาน่าเที่ยว : เที่ยวได้ตลอดปี แต่อากาศเย็นสบาย ฟ้าใสสุด ต้องเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์

การเดินทาง : บินกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ จากนั้นมีหลายทางเลือก เช่น นั่งรถบัสเชียงใหม่-ปาย, นั่งรถตู้เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน-ปาย หรือถ้าเช่ารถยนต์ขับชมวิวไปเองจากเชียงใหม่ ต้องใช้ทางหลวงหมายเลข 108 จากเชียงใหม่ผ่านอำเภอหางดง สันป่าตอง จอมทอง ฮอด แม่สะเรียง แม่ลาน้อย และขุนยวม ถึงอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน รวม 349 กิโลเมตร เป็นทางตัดขึ้นเขาสูง วิวสวยงามแต่คดเคี้ยวถึง 1,846 โค้ง! แล้วขับรถต่อจากอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน-ปาย อีก 111 กิโลเมตร แต่ถ้าทนนั่งรถนานขนาดนั้นไม่ไหว แนะนำให้นั่งเครื่องบินจากเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน โดย Kan Air โทร. 0-2551-6111 www.kanairlines.com แล้วค่อยนั่งรถต่อไปปาย ยังทุ่นระยะทางได้ครึ่งหนึ่ง

หลับสบาย : แนะนำที่พักหรูมีระดับแนวบูติก แถมวิวสวยเป็นธรรมชาติสุดๆ ที่ปาย คือ Belle Villa โทร. 0-5369-8226-7, 0-2693-3952-3 www.bellevillaresort.com/pai/

More info : www.อําเภอปาย.com / ศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยวแม่ฮ่องสอน โทร. 0-5361-2982-3

Tips : ขอแนะนำ วิธีแก้เมารถ เพราะทริปนี้ต้องนั่งรถผ่านเขาสูงคดเคี้ยว อย่างแรกคือไม่ควรนั่งเบาะหลัง, ควรมองออกไปไกล ไม่เพ่งสายตาอยู่กับวิวใกล้รถ, ไม่หันซ้ายหันขวาบ่อย, ควรกินยาแก้เมารถ 1 เม็ด ล่วงหน้า 30 นาทีก่อนรถออก และวิธีสุดท้ายที่แปลกดี คือให้เอาแผ่นพลาสเตอร์ หรือกอเอี๊ยะปิดสะดือ! จริงไม่จริงให้ลองไปทำกันดูนะ ไม่อันตราย มีหลายคนบอก work!

ตามรอยพิพัฒน์ อัศจรรย์แห่งขุนเขา ชวนแอ่วดอย ตามรอยพ่อหลวง

สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 2

เชียงใหม่ ในช่วงฤดูหนาวเป็นช่วงที่อากาศเย็นสบาย สดชื่น ดอกไม้ผลิบานทั่วไปหมด โดยเฉพาะบนดอยสูงและโครงการหลวง พืชผักผลไม้ดกงาม รสชาติก็อร่อย ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ชวนให้ผู้คนเดินทางมาเยือนเชียงใหม่อย่างล้นหลาม

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ จึงจัดแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยวโครงการหลวง ในมิติของการท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ ทั้งด้านวิถีเกษตร การรักษาสิ่งแวดล้อม และวิถีชุมชน โดยเฉพาะโครงการหลวง (Royal Project) ที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานให้ชาวไทยในภาคเหนือได้มีอาชีพมั่นคง มีรายได้ และสามารถเลี้ยงตนเองได้
สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 3 สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 4.1

คุณวิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานเชียงใหม่ กล่าวว่า เชียงใหม่นอกจากจะมีภูมิอากาศ ภูมิประเทศเหมาะสมต่อการทำเกษตรแล้ว ยังมีธรรมชาติสวยงาม สามารถท่องเที่ยวได้ทั้งสามฤดู โดยในส่วนของโครงการหลวงนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2512 มีหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เป็นผู้รับสนองพระราชโองการ ในตำแหน่งผู้อำนวยการ
สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 4

ทุกวันนี้โครงหลวงในพระราชดำริของเชียงใหม่ และพื้นที่ใกล้เคียง มีอยู่กว่า 20 แห่ง มีบทบาทช่วยเหลือส่งเสริมด้านอาชีพแก่ผู้คนบนดอยสูง ให้หยุดถางป่าทำไร่เลื่อนลอย หรือปลูกฝิ่น หันมาปลูกพืชผักผลไม้และดอกไม้เมืองหนาว ส่งขาย สร้างรายได้อย่างยั่งยืนกว่า ททท. จึงได้จัดเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงโครงการหลวงหลายแห่งเข้าด้วยกัน ในชื่อ “ตามรอยพิพัฒน์ อัศจรรย์แห่งขุนเขา” นำคนมาเที่ยวในมุมมองใหม่ ให้เกิดการเรียนรู้ และความประทับใจไปพร้อมกัน สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 5

เส้นทางท่องเที่ยว ตามรอยพิพัฒน์ อัศจรรย์แห่งขุนเขา มี 6 เส้นทางให้เลือก คือ

  1. เส้นทางชวนแอ่วดอย ตามรอยพ่อหลวง “เส้นทางอ่างขาง-เชียงดาว-ห้วยลึก” (สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง-ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยลึก)
  2. เส้นทางชวนกันแอ่วดอย ตามรอยพ่อหลวง “เส้นทางจอมทอง-อินทนนท์-แม่แจ่ม” (สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์-ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนวาง)
  3. ขวนกันแอ่วดอย ตามรอยพ่อหลวง “เส้นทางแม่โถ-ห้วยต้ม” (ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ)
  4. ชวนกันแอ่วดอย ตามรอยพ่อหลวง “เส้นทางแม่ริม-สะเมิง” (ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย-สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์-สถานีเกษตรหลวงปางดะ-อุทยานหลวงราชพฤกษ์)
  5. ชวนกันแอ่วดอย ตามรอยพ่อหลวง “เส้นทางวัดจันทร์-กัลยาณิวัฒนา” (ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงวัดจันทร์-อำเภอกัลยาณิวัฒนา)
  6. ชวนกันแอ่วดอย ตามรอยพ่อหลวง “เส้นทางห้วยฮ่องไคร้-ตีนตก” (โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ-ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตก-ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงป่าเมี่ยง-โครงการพระราชดำริบ้านทุ่งจี้)

สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 6 สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 7 สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 8 สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 9

สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2522 เน้นการศึกษาวิจัยและขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาว มีโรงเรือนและสวนสวยให้นักท่องเที่ยวชื่นชมตลอดปี โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ จะมีดอกไม้ผลิบานงดงามที่สุด

สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 10 สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 11

ดอกกุหลาบพันปี (Rhododendron spp.) ที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 12

White Rhododendron หรือคำขาว ที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์
สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 13

ดอกลิลลี่ ที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 14 สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 15

กล้วยไม้รองเท้านารีปีกแมลงปอที่ใกล้สูญพันธุ์ ก็มีให้ชมที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์
สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 16

สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 17 สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 18

บนดอยอินทนนท์มีงานวิจัยประมงบนที่สูง นำพันธุ์ปลาน้ำจืดจากเมืองหนาวมาเพาะเลี้ยง เพื่อส่งเสริมอาชีพ และปรุงเป็นเมนูอาหารรสเลิศในราคาไม่ธรรมดาสถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 19

บ่อเลี้ยงปลา Rainbow Trout และปลา Russian Sturgeon บนดอยอินทนนท์สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 20

ดูกันชัดๆ หน้าตาปลา Rainbow Trout จากเมืองนอกมันเป็นอย่างนี้เอง พวกมันชอบอยู่ในน้ำเย็นอุณภูมิไม่เกิน 20 องศาเซลเซียส และต้องเป็นน้ำสะอาดที่ไหลถ่ายเทตลอดเวลาซะด้วย จริงๆ แล้วปลาชนิดนี้เป็นตระกูลเดียวกับปลาแซลมอน ตามธรรมชาติจึงต้องออกไปอาศัยหากินอยู่ในทะเล แล้วว่ายน้ำกลับเข้ามาวางไข่ในแหล่งน้ำจืดที่มันถือกำเนิดขึ้นมา  พบได้ทั่วไปในมหาสมุทรแปซิฟิกในทวีปเอเชีย และทวีปอเมริกาเหนือ สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 21

ปลา Russian Sturgeon เมื่อโตเต็มที่มีความยาวได้ถึง 2.3 เมตร ตัวผู้และตัวเมียดูภายนอกเหมือนกันเปี๊ยบ ถ้าจะแยกเพศต้องจับไปทำอัลตร้าซาวด์ดู ตามธรรมชาติเราสามารถพบปลาชนิดนี้ได้ที่ทะเลสาบแคสเปียน, ประเทศอาเซอร์ไบจาน, บัลแกเรีย, จอร์เจีย, อิหร่าน, โรมาเนีย, คาซักสถาน, รัสเซีย, ตุรกี, ยูเครน และเติร์กเมนิสสถานสถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 22

ไข่คาร์เวีย หรือไข่ปลาสเตอร์เจียน ขวดแค่นี้ราคาถึง 5,000 บาท ถ้า 1 กิโลกรัม ราคาแพงถึง 50,000 บาท!สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 23

ฮาฮาฮา ปลา Rainbow Trout ที่เราเพิ่งไปดูที่บ่อเลี้ยงในตอนเช้า พอมื้อเที่ยงก็ถูกทอดกระเทียมมาเสิร์ฟในจานแล้ว
สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 24

นี่ก็เสต็กปลา Russian Sturgeon เนื้อนุ่ม แต่แน่นสู้ปาก รสชาติคล้ายเนื้อปลาแซลมอนมากๆ
สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ 25

ปิดท้ายมื้อเที่ยงที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ ด้วยเมนูสรอว์เบอร์รี่แสนอร่อยโครงการหลวง ขุนวาง 1

ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนวาง อยู่ที่ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงฤดูหนาวดอกไม้เบ่งบานหลากสีหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะนางพญาเสือโคร่ง หรือซากุระเมืองไทย สาวๆ แอบแต่งตัวด้วยชุดยูกาตะแบบญี่ปุ่นไปถ่ายภาพกับนางพญาเสือโคร่ง ถ้าไม่บอกนึกว่านี่คือญี่ปุ่นแท้ๆ เลยนะเนี่ยะ!
โครงการหลวง ขุนวาง 2โครงการหลวง ขุนวาง 3

ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนวาง เปิดดำเนินการปี พ.ศ. 2528 เพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเขาเผ่าม้งและปกากะญอ ปัจจุบันมีชื่อเสียงมากเกี่ยวกับพืชผักเมืองหนาว และป่าซากุระช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์
โครงการหลวง ขุนวาง 4โครงการหลวง ขุนวาง 5โครงการหลวง ขุนวาง 6โครงการหลวง ขุนวาง 7โครงการหลวง ขุนวาง 8

ซากุระขุนวางโครงการหลวง ขุนวาง 9โครงการหลวง ขุนวาง 10

แอ่วเมืองเหนือ เหมือนได้ไปเมืองนอก กับดอกซากุระโครงการหลวงขุนวางนั่นเองเจ้า
โครงการหลวง ขุนวาง 11โครงการหลวง หนองหอย 1

ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย ตำบลแม่ริม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2512 มีชื่อเสียงในเรื่องการผลิตพืชผักผลไม้เมืองหนาว ส่งขายทั้งในตัวเมืองเชียงใหม่และกรุงเทพฯ โดยเฉพาะผักปลอดสารพิษ และผักปลอดภัยต่างๆโครงการหลวง หนองหอย 2โครงการหลวง หนองหอย 3

ท่านผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย นำชมแปลงปลูกผักไร้ดินโครงการหลวง หนองหอย 4

ผักไร้ดินใบดกงอกงามดีเหลือเกินโครงการหลวง หนองหอย 5โครงการหลวง หนองหอย 6.1

มะเขือเทศปลอดสารพิษพวงใหญ่เบ้อเริ่ม น่าหม่ำมากๆ ที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอยโครงการหลวง หนองหอย 6

แหล่งท่องเที่ยวสุดฮิตอย่าง “ม่อนแจ่ม” จริงๆ แล้วก็อยู่ในพื้นที่ส่วนหนึ่งของโครงการหลวงหนองหอย ดอยม่อนแจ่มมีลักษณะเป็นจุดชมวิวสันเขา สามารถมองเห็นได้รอบด้านแบบ 360 องศา ทั้งทะเลหมอก พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก มีสวนดอกไม้ละลานตา พร้อมด้วยร้านอาหารให้นั่งจิบกาแฟ และชาสมุนไพร 7 ชนิดโครงการหลวง หนองหอย 7โครงการหลวง หนองหอย 8

เทือกเขาสลับซับซ้อน มองจากจุดชมวิวดอยม่อนแจ่มโครงการหลวง หนองหอย 9

ดอกไม้เมืองหนาวสะพรั่งบานละลานตา ที่ม่อนแจ่ม ในฤดูหนาว
โครงการหลวง หนองหอย 10

จุดชมวิวดอยม่อนแจ่ม
โครงการหลวง หนองหอย 11

ผักเมืองหนาว ดอยม่อนแจ่มโครงการหลวง หนองหอย 12

ทุ่งดอกไม้ ดอยม่อนแจ่มโครงการหลวง หนองหอย 13

ศาลาชมวิววันฟ้าใสในฤดูหนาว ที่ดอยม่อนแจ่มโครงการหลวง หนองหอย 15

ดอกป๊อปปี้สีแดงชาติ ที่สวนดอกไม้ม่อนแจ่มโครงการหลวง หนองหอย 16โครงการหลวง หนองหอย 17โครงการหลวง หนองหอย 18

ความงาม ณ มุมเล็กๆ มุมหนึ่งของธรรมชาติสวนดอกไม้ ดอยม่อนแจ่มโครงการหลวง หนองหอย 19

แปลงพืชผัก ดอยม่อนแจ่มโครงการหลวง หนองหอย 20

แปลงผักขั้นบันได ดอยม่อนแจ่มโครงการหลวง หนองหอย 21

หนาวแล้ว ชวนเพื่อนๆ มาเที่ยวม่อนแจ่มกันเถอะเราโครงการหลวง หนองหอย 22

กิจกรรมสุดฮิตของดอยม่อนแจ่มก็คือ การขี่รถฟอร์มูล่าม้ง! เป็นรถไม้ทำเอง ที่ชาวม้งประดิษฐ์ขึ้นมา รถนี้ไม่มีพวงมาลัย เวลาจะเลี้ยวต้องใช้ขาขวาหรือซ้ายดันคานล้อหน้าเอาเอง ส่วนการเบรคหยุดรถ หรือจะให้มัมวิ่งเร็ว ช้า แค่ไหน เขาใช้คานไม้โยกที่อยู่ตรงกลางนั่นล่ะ ถ้าผลักไปข้างหน้าแสดงว่าวิ่งเร็วจี๋ แต่ถ้าดึงคันบังคับเข้าหาตัว แสดงว่าต้องการให้รถเบรคจ้า
โครงการหลวง หนองหอย 23

เจ้าตัวน้อย ลูกหลานชาวม้ง มารอรับนักท่องเที่ยวอยู่ที่ลานจอดรถฟอร์มูล่าม้งโครงการหลวง หนองหอย 24

ยำสรอว์เบอร์รี่ อาหารเมนูยอดฮิตที่ดอยม่อนแจ่มโครงการหลวง หนองหอย 25

ไม่ไกลจากดอยม่อนแจ่ม และโครงการหลวงหนองหอย มีไร่สตรอว์เบอร์รี่ของเอกชนให้เราเข้าไปชม ชิม ช้อป หลายแห่ง แต่แนะนำว่าไม่ควรเก็บกินจากต้น เพราะส่วนใหญ่ฉีดยาฆ่าแมลงไว้จ้า ต้องเอามาแช่น้ำล้างให้สะอาดก่อนนะโครงการหลวง หนองหอย 26โครงการหลวง หนองหอย 27โครงการหลวง หนองหอย 28

สตรอว์เบอร์รี่หวานฉ่ำ กลิ่นหอมฉุย ที่หนองหอยโครงการหลวง หนองหอย 29โครงการหลวง หนองหอย 30โครงการหลวง ปางดะ 1สถานีเกษตรหลวงปางดะ ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เดิมเคยเป็นสถานีทดลองข้าวไร่และธัญพืชเมืองหนาว ปัจจุบันโดดเด่นด้านการวิจัย ปรับปรุงพันธุ์ และผลิตพืชผลเมืองหนาวส่งขายทั่วประเทศ อาทิ กีวี่, มะเดื่อฝรั่ง, องุ่นไร้เมล็ด, เสาวรส, ราสพ์เบอร์รี่, มัลเบอร์รี่, อาโวกาโด้, ลิ้นจี่, มะเฟือง, เชอร์รี่สเปน ฯลฯ แถมยังมีบ้านพักให้ไปนอนค้างคืน สัมผัสธรรมชาติวิถีเกษตร Agro-tourism กันอย่างเต็มอิ่มเลยจ้า
โครงการหลวง ปางดะ 2โครงการหลวง ปางดะ 3โครงการหลวง ปางดะ 4

ปัจจุบันนี้ ท่านหัวหน้าสถานีเกษตรหลวงปางดะ ได้สั่งดอกกุหลาบกว่า 20-30 ชนิด เข้ามาจากประเทศเนเธอร์แลนด์โดยตรง เพื่อนำมาเพาะเลี้ยง ทั้งเพื่อประโยชน์ในการตัดดอก และนำมาทำเป็นอาหารเมนูดอกกุหลาบปลอดสารพิษอย่างแท้จริง
โครงการหลวง ปางดะ 5โครงการหลวง ปางดะ 6

กุหลาบเนเธอร์แลนด์สีหวานซึ้ง ที่โครงการหลวงปางดะโครงการหลวง ปางดะ 7โครงการหลวง ปางดะ 8โครงการหลวง ปางดะ 9โครงการหลวง ปางดะ 10โครงการหลวง ปางดะ 11โครงการหลวง ปางดะ 12
logo123-300x300Special Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจสอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-5324-8604-5 ทุกวัน ในเวลา 08.30-16.30 น.

ตื่นตาตื่นใจ ไปเดินบนยอดไม้ Canopy Walk เชียงใหม่

canopy เชียงใหม่ 2

นับตั้งแต่เปิดตัวมาเมื่อปี พ.ศ. 2536 สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ หรือ Queen Sirikit Botanic Garden อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ก็กลายเป็นแหล่งศึกษาวิจัย แหล่งเรียนรู้ และแหล่งท่องเที่ยวของคนรักธรรมชาติ ไปได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้น เมื่อเดือนธันวาคม 2558 ที่ผ่านมา ทางสวนได้มีการเปิดเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติบนเรือนยอดไม้แห่งใหม่ล่าสุดของไทย ในชื่อ Canopy Walks Flying Draco Trail โดยนำชื่อของเจ้ากิ้งก่าบินชนิดหนึ่งที่พบในผืนป่าบริเวณนี้ มาเป็นกิมมิคน่ารักๆ ด้วย

ทริปนี้ Go Travel Photo ได้รับเกียรติจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ และ ททท. ภูมิภาคภาคเหนือ ร่วมกันเดินทางไปสัมผัสเส้นทางเดินชมป่าบนเรือนยอดสูงลิบ คงน่าตื่นเต้นไม่เบาเลย
canopy เชียงใหม่ 3 canopy เชียงใหม่ 4

หน้าหนาวฟ้าใสปิ๊ง เป็นฤกษ์ดีที่เราจะไปเดินบนเส้นทาง Canopy Walks ที่ยาวที่สุดในเมืองไทยกันล่ะ เขาบอกว่ายาวกว่า 400 เมตรทีเดียว เป็นสะพานเหล็กปลอดสนิมอย่างแข็งแรง อยู่สูงจากพื้นกว่า 20-30 เมตรเลย! ว้าว!canopy เชียงใหม่ 5

จากอาคารจุดเริ่มต้นเดินเข้าสู่ Canopy Walks แค่เห็นครั้งแรกก็ตื่นเต้นแล้ว เพราะวิวแบบพาโนรามาบนยอดไม้นี้ ช่างกว้างไกล เห็นเรือนยอดป่าทอดตัวออกไปราวกับผืนพรมสีเขียว โดยมียอดเขาสูงอยู่ด้านหลังcanopy เชียงใหม่ 6

เดินเที่ยวบน Canopy Walks ขอบอกว่าไม่ต้องรีบ เดินไปช้าๆ ไม่ต้องกลัว เพราะโครงเหล็กแข็งแรงมาก ไม่มีอาการสั่นเลย หยุดชมนกชมไม้ ศึกษาพืชพรรณกันไปเรื่อยๆ เพื่อเข้าใจธรรมชาติให้มากขึ้น แต่ก็มีกฎอยู่นิดนึงคือ ห้ามอยู่ในจุดเดียวกันเกิน 5 คน เพราะเขาต้องกระจายน้ำหนักให้ดีนั่นเองcanopy เชียงใหม่ 7

สุดยอดความเจ๋งอีกอย่างของเส้นทาง Flying Draco trail ก็คือ ในบางจุดจะมีระเบียงแก้วใสยื่นออกไปจากตัวสะพานเหล็ก ให้เราชมวิวได้ตื่นเต้นสุดๆ แต่ก็มีข้อควรระวังคือ ห้ามเข้าไปยืนบนกระจกใสนี้พร้อมกันหลายคน และไม่ควรไปยืนในช่วงที่ฝนตก เพราะกระจกจะลื่นนั่นเองcanopy เชียงใหม่ 8 canopy เชียงใหม่ 9 canopy เชียงใหม่ 10

ช่วงแรกของเส้นทางเดินบนยอดไม้ นอกจากจะเห็นป่าเบญจพรรณผลัดใบที่ภูเขาด้านหลังแล้ว ใกล้ๆ กับเส้นทาง ยังมีพรรณไม้ให้ชื่นชมหลากชนิด อาทิ เสี้ยวเครือ เป็นพรรณไม้จำพวก Bauhinia (สกุลชงโค) ที่ทอดเลื้อยไปบนเรือนยอดต้นไม้ใหญ่ และจะออกดอกสีขาวสะอาดหมดจด เฉพาะในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น
canopy เชียงใหม่ 11

ดอกเสี้ยวเครือcanopy เชียงใหม่ 12

ดอกแคป่า ที่พบบนเส้นทาง Canopy Walkscanopy เชียงใหม่ 13

เมื่อลมหนาวมาเยือน ป่าเบญจพรรณใกล้ๆ กับเส้นทาง Canopy Walks ก็เริ่มผลัดใบเป็นสีส้ม สีเหลือง สีแดง แซมสลับกับยอดไม้สีเขียวสดอย่างน่าตื่นตาcanopy เชียงใหม่ 14

เส้นทางนี้เหมาะอย่างมากสำหรับการมาใช้เวลาร่วมกับธรรมชาติ โดยเฉพาะยามเช้าจะมีนกป่าหลายชนิด
canopy เชียงใหม่ 15
canopy เชียงใหม่ 16

ในอดีตป่าเบื้องล่าง Canopy Walks เป็นป่าเสื่อมโทรมที่เคยถูกชาวบ้านถาง แต่เมื่อได้รับการฟื้นฟู สังคมป่าเบญจพรรณ ที่มักผลัดใบในฤดูแล้ง ก็จะเริ่มกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งcanopy เชียงใหม่ 17

นี่คือป้ายให้ความรู้เกี่ยวกับกิ้งก่าบิน เจ้าของฉายาเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติบนยอดไม้สายนี้canopy เชียงใหม่ 18

ทั้งตื่นเต้น ทั้งสนุก นี่คือประสบการณ์ในชีวิตที่เด็กๆ จะไม่มีวันลืมcanopy เชียงใหม่ 19

ในช่วงสุดท้ายของเส้นทางเดินบนยอดไม้ เมื่อมองกลับไป จะเห็นสะพานเหล็กในช่วงแรกที่เราเดินผ่านมาแล้ว เพิ่งรู้ว่าที่แท้มันสูงจากพื้นไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ยะ! เสียว แต่ก็สนุกตื่นเต้นดี
canopy เชียงใหม่ 20

จากสะพานเดินศึกษาธรรมชาติบนยอดไม้ เดินเล่น หรือนั่งรถต่อไปอีกแค่ 300 เมตร ก็จะถึงบริเวณหมู่อาคารเรือนกระจก และสวนไม้ดอกไม้ประดับสวยๆ ของสวนสมเด็จฯ ใครใคร่เก็บภาพประทับใจไว้อย่างเดียวเราก็ไม่ว่ากัน แต่ใครที่มุ่งมาศึกษาหาความรู้เรื่องพฤกษศาสตร์โดยตรง ก็คงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ เพราะเขามีทั้งโรงเรือนป่าดิบชื้น, สวนขิงข่า, โรงเรือนไม้กินแมลง, โรงเรือนพืชทะเลทราย, โรงเรือนบัว, โรงเรือนกล้วยไม้, โรงเรือนเฟิน ฯลฯ สนุกแน่canopy เชียงใหม่ 21 canopy เชียงใหม่ 22 canopy เชียงใหม่ 23 canopy เชียงใหม่ 24 canopy เชียงใหม่ 25 canopy เชียงใหม่ 26 canopy เชียงใหม่ 27 canopy เชียงใหม่ 28 canopy เชียงใหม่ 29 canopy เชียงใหม่ 30 canopy เชียงใหม่ 31

สอบถามเพิ่มเติมที่ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ โทร. 0-5384-1234 www.qsbg.org/Garden_n.htm
logo123-300x300Special Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจสอบถามโทร. 0-5324-8604-5

อินทนนท์ ป่าเมฆสูงสุดแดนสยาม ความงาม 3 ฤดู

อินทนนท์ 2

ถ้ามีคนมาถามผมว่า 1 ใน 5 สุดยอดแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของเมืองไทย จะมีที่ไหนบ้าง? แน่นอนว่า 1 ในคำตอบของผมจะต้องมี “อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์” อยู่ด้วยแน่นอน ทำไมน่ะหรือ? ก็เพราะมหาคีรีแห่งนี้ คือยอดดอยสูงสุดของไทย ครองความสูงถึง 2,565 เมตรเหนือน้ำทะเล อาบอิ่มด้วยไอหมอกหนาวชั่วนาตาปี ปกคลุมด้วยป่าดิบเขา หรือ Hill-evergreen Forest ที่สมบูรณ์ที่สุดบนผืนดินไทย แถมยังมีพืชพรรณ ดอกไม้ นก และสัตว์มากมายให้ชื่นชมอินทนนท์ 3

ป่าดิบเขา (Hill-evergreen Forest) บนยอดดอยอินทนนท์ คือสังคมพืชที่ชอบความหนาวเย็นบนภูผาสูงอินทนนท์ 4

ณ ยอดดอยอันสูงเด่น ทำหน้าที่เป็นห้องเรียนธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ให้คนที่คลั่งไคล้ไหลหลงธรรมชาติ ได้เข้าไปสัมผัสอย่างไม่รู้จบ โดยเฉพาะเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติอ่างกา และกิ่วแม่ปาน เป็นความงาม 3 ฤดู ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ท่ามกลางคุณค่าของความหลากหลายทางชีวภาพพงไพร
อินทนนท์ 5

แสงแรกของตะวันค่อยๆ เบิกฟ้า ปลุกสรรพชีวิตแห่งดอยอินทนนท์ให้ตื่นขึ้นจากหลับไหล ด้วยรังสีแสงอันอบอุ่น
อินทนนท์ 6

เมื่ออรุณเบิกฟ้า เหล่านักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศก็หลั่งไหลขึ้นสู่ยอดดอย เพื่อชื่นชมความงามของตะวันรับอรุณอินทนนท์ 7

จากจุดชมวิวตรงปากทางเข้าเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน มองเห็นทะเลภูเขาทอดตัวสลับซับซ้อนอินทนนท์ 8

ในช่วงฤดูหนาว ประมาณเดือนธันวาคม-มกราคม ดอกกุหลาบพันปี หรือ Rhododendron ทั้งสีแดงและสีขาว จะเบ่งบานประดับยอดดอยให้งามราวแดนสวรรค์ กุหลาบพันปีเป็นพืชของเขตอบอุ่นแถบเทือกเขาหิมาลัย ที่กระจายพันธุ์ลงมาถึงดอยอินทนนท์ ทำให้เราประจักษ์ว่า แท้จริงแล้วอินทนนท์คือปลายเทือกด้านตะวันออกสุดของหิมาลัยนั่นเอง
อินทนนท์ 9

บนยอดดอยอินทนนท์ นอกจากจะมีสถานีเรดาห์ของกองทัพอากาศตั้งอยู่แล้ว ยังเป็นที่ประดิษฐาน พระธาตุนภเมทนีดล และพระธาตุนภพลภูมิสิริ ซึ่งกองทัพอากาศสร้างถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ โดยในช่วงฤดูหนาวจะมีการปลูกไม้ดอกไม้ประดับสีสันสดใส เห็นแล้วสดชื่นสุดๆ เลยล่ะ
อินทนนท์ 10

ความอุดมของป่าเมฆสูงสุดแดนสยาม ที่ยังคงมีผืนป่าต้นน้ำพรั่งพร้อม ก่อเกิดเป็นน้ำตกใหญ่หลายแห่งบนเทือกดอยอินทนนท์ อย่าง น้ำตกสิริภูมิ ที่มองเห็นได้จากระยะไกล และมีดอกนางพญาเสือโคร่งเบ่งบานเคียงคู่กันอินทนนท์ 11

น้ำตกแม่ยะ เป็นหนึ่งในสุดยอดน้ำตกเมืองไทย เพราะมีผาน้ำตกแผ่กว้างถึง 100 เมตร ตัวน้ำตกไหลลดหลั่นลงมาเป็นเชิงชั้นราวขั้นบันไดสายธาร กว่า 30 ชั้น สูง 260 เมตร ราวกับของขวัญจากธรรมชาติที่อินทนนท์มอบให้เรา
อินทนนท์ 12

น้ำตกวชิรธาร เป็นน้ำตกที่กำเนิดขึ้นบนเทือกดอยอินทนนท์ แม้เป็นน้ำตกที่มีแค่ชั้นเดียว แต่ก็ไหลทิ้งตัวลงจากหน้าผาสูงตั้งชันถึง 70 เมตร ยิ่งใหญ่อลังการไม่เบาอินทนนท์ 13.1

น้ำตกห้วยทรายเหลือง เป็นน้ำตกที่ต้องเดินป่าระยะสั้นเข้าไป เพื่อชื่นชมความงามของสายธารที่ไหลลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ อย่างเหมาะเจาะลงตัว ในช่วงกลางวันที่แดดส่องลงมาผ่านทะลุสายน้ำใสสู่ท้องธาร จะเห็นเม็ดทรายสีเหลือง อันเป็นที่มาของชื่อน้ำตกห้วยทรายเหลืองได้อย่างชัดเจนอินทนนท์ 13

คนที่ชอบศึกษาเรื่องพรรณไม้ ดอกไม้ และนกหายาก ต้องไม่พลาดเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติบนยอดดอย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ป่าดิบเขาผืนนี้จะชุ่มฉ่ำ อาบอิ่มไอหมอก เขียวสดชื่น ถ่ายภาพมามุมไหนก็สวยไปซะทุกแห่งอินทนนท์ 14 อินทนนท์ 15

บนยอดดอยอินทนนท์ คือที่ประดิษฐาน สถูปบรรจุพระบรมอัฐิ พระเจ้าอินทรวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ทิพย์จัก ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าประเทศราชองค์สุดท้าย ที่ทรงครองพระราชอำนาจเหนือล้านนาอย่างแท้จริง และยังทรงเป็นพระบิดาในเจ้าดารารัศมี พระราชชายาของพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ด้วย
อินทนนท์ 16

ป่ายอดดอยในช่วงฤดูฝนอินทนนท์ 17

ป่าเมฆอันร่มครึ้ม ห่มคลุมด้วยไอหมอกหนาวชั่วนาตาปี ณ ยอดดอยอินทนนท์
อินทนนท์ 18

ต้นก่อขนาดใหญ่บนยอดดอยอินทนนท์ ถูกปกคลุมด้วยมอส เฟิน ไลเคน และกล้วยไม้ อย่างหนาแน่น จนแลคล้ายต้นไม้ใส่เสื้อ ส่วนกิ่งก้านที่หงิกงอเกิดจากต้องปะทะลมแรงอยู่ตลอดเวลาอินทนนท์ 19อินทนนท์ 20

ป่ายอดดอยอินทนทท์ในช่วงฤดูฝน ฉ่ำชื้นเขียวสดเย็นตา เป็นที่มาของ ดอกเทียนคำ หรือดอกเทียนหางสีเหลือง จัดเป็นพืชคลุมดินชนิดหนึ่งที่มีดอกสวยงามน่าชมมากอินทนนท์ 21

ดอกบัวทอง เบ่งบานเคียงคู่ยอดดอยอินทนนท์ ในช่วงฤดูฝนเช่นกันอินทนนท์ 22อินทนนท์ 23

ดอกเทียนคำ
อินทนนท์ 24

ดอกเทียนคำอินทนนท์ 25

ดอกเทียนจิ๋ว บานรับฤดูฝนอั่นชุ่มฉ่ำเย็นชื้น
อินทนนท์ 26

ดอกเทียนน้ำ พบได้ทั่วไปตามพื้นป่าในฤดูฝนอินทนนท์ 27

สำหรับคนที่ชอบศึกษาธรรมชาติ ลองเพ่งมองลงไปที่แง่มุมเล็กๆ บนเปลือกไม้ ก็จะพบโลกเล็กๆ อีกโลกหนึ่ง ของสังคมพืชจิ๋ว มีทั้งมอส ไลเคน เชื้อรา รวมถึงลิเวอร์เวิร์ด และฮอร์นเวิร์ด ขึ้นอยู่รวมกันอย่างน่าอัศจรรย์! พืชจิ๋วเหล่านี้ทำหน้าที่คล้ายฟองน้ำธรรมชาติ ดูดซับน้ำไว้ได้นับร้อยเท่าของตัวมัน!อินทนนท์ 28อินทนนท์ 29อินทนนท์ 30อินทนนท์ 31

ร้านกาแฟแก้หนาวบนยอดดอย บรรยากาศชิลมากๆอินทนนท์ 32

หนึ่งในความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติบนยอดดอยอินทนนท์ ซึ่งจะปรากฏขึ้นเฉพาะฤดูหนาวเท่านั้น ก็คือ “แม่คะนิ้ง” หรือ “เหมยขาบ” ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือ “น้ำค้างแข็ง” นั่นเอง ไม่ใช่หิมะ จริงๆ แล้วมันคือ Froze เกิดจากน้ำค้างที่จับตัวอยู่บนยอดหญ้าในยามราตรี ถูกความเย็นจัดจนทำให้กลายเป็นเกล็ดหรือผลึกน้ำแข็ง จะพบได้เฉพาะช่วงเช้าตรู่บนยอดดอย แต่เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น มันก็จะละลายหายไปหมด ราวกับไม่เคยมีอยู่ตรงนั้นเลย!อินทนนท์ 33อินทนนท์ 34อินทนนท์ 35อินทนนท์ 36อินทนนท์ 37อินทนนท์ 38อินทนนท์ 39

ในช่วงกลางฤดูหนาว ที่คลื่นความเย็นจัดพัดมาห่อหุ้มดอยอินทนนท์ไว้จนมิดชิด ขณะที่แม่คะนิ้งเผยความงามอันแสนสั้นออกอวดสายตา ดอกกุหลาบพันปีสีแดงสายพันธุ์อินทนนท์ที่หายาก (ชาวบ้านนิยมเรียกว่า “คำแดง”) ก็สะพรั่งบานอวดความงามเช่นกัน ถ้าโชคดี อาจพบนกกินปลีหางยาวเขียว ชนิดย่อยดอยอ่างกา นกเฉพาะถิ่น (Endemic Species) ของอินทนนท์ บินมาดูดกินน้ำหวานจากกุหลาบพันปีก็เป็นได้อินทนนท์ 40อินทนนท์ 41

กระดิ่งภู พรรณไม้ที่พบได้เฉพาะบนดอยสูงอากาศหนาวเย็นเท่านั้นอินทนนท์ 42

กุหลาบพันปีสีขาว (ชาวบ้านนิยมเรียกว่า “คำขาว”) เบ่งบานประดับยอดดอย ในช่วงเดียวกับที่คำแดงบานอินทนนท์ 43

เอื้องเทียนขาว บานรับลมหนาวบนยอดดอยอินทนนท์อินทนนท์ 44อินทนนท์ 45

ความงามอันทรงคุณค่าของดอยอินทนนท์ คือสมบัติล้ำค่าทางธรรมชาติที่เราคนไทยทุกคนต้องช่วยกันปกปักรักษาไว้ เพราะไม่มียอดดอยใดในสยาม จะยิ่งใหญ่เทียบเท่าอินทนนท์อีกแล้ว!logo123-300x300

Special Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี ภายใต้แคมเปญ “ตามรอยพิพัฒน์ อัศจรรย์แห่งขุนเขา ชวนแอ่วดอย ตามรอยพ่อหลวง” สอบถาม โทร. 0-5324-8604-5

จาก Fukuoka ถึง Tokyo เที่ยวสนุกทุกนาที!

tokyo 2

เคยมีคนบอกฉันว่า ถ้าได้เคยลองไปเที่ยวญี่ปุ่นสักครั้งจะติดใจ เพราะแดนอาทิตย์อุทัยนี้ช่างมีเสน่ห์ ทั้งธรรมชาติที่สวยงามหยดย้อย ผู้คนหน้าตาน่ารักคิกขุอาโนเนะ อาหารก็อร่อย แถมยังมีแหล่งช้อปปิ้งได้ไม่เบื่อ ฉันเห็นด้วยกับคำพูดนั้น เพราะฉันก็เป็นคนหนึ่งที่หลงรักญี่ปุ่นจนหมดหัวใจ และนี่คืออีกทริปแห่งความทรงจำ ที่ทำให้ฉันได้รู้จักญี่ปุ่นในมุมใหม่ๆ รับรองว่าต้องสนุกแน่นอนจ้า tokyo 3

ฉันบินเหินฟ้าสู่แดนปลาดิบพร้อมกับสายลมหนาวที่พัดแรงขึ้นทุกทีในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง จากไทยบินไปลงที่เมืองฟูกูโอกะ (Fukuoka) เมืองหลวงของเกาะคิวชู (Kyushu) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของหมู่เกาะญี่ปุ่น แผนการเดินทางของฉันคราวนี้แปลกกว่าทุกครั้ง เพราะฉันไม่ได้บินตรงไปลงโตเกียวเลย แต่เหตุผลที่มาลงฟูกูโอกะก่อน เพราะที่นี่มีแหล่งท่องเที่ยวน่ารักๆ ให้สัมผัสหลายแห่ง บรรยากาศแรกที่เห็นพอรถแล่นออกจากสนามบิน คือธรรมชาติขุนเขาสลับสายหมอก ป่าสน ต้นเมเปิลเปลี่ยนสี และทุ่งนาผืนเล็กๆ ตามหุบเขาน้อยๆ ช่างเป็นดินแดนที่น่ารักเสียนี่กระไร tokyo 4

นั่งรถมาชั่วโมงกว่าจากฟูกูโอกะ เข้าสู่ เมืองเบปปุ (Beppu) ในจังหวัดโออิตะ (Oita Prefecture) รู้สึกหนาวสะท้านจากทั้งลมและฝนที่กระหน่ำไม่หยุด เลยได้โอกาสแวะเข้าไปอาบทรายร้อน เหมือนสปาธรรมชาติที่มีชื่อเสียง เพราะเบปปุคือแหล่งที่มีแร่ธาตุใต้พิภพมากที่สุดของญี่ปุ่น ได้ไปนอนบนทรายสีดำอุ่นๆ ให้เขาเอาทรายกลบตัวเราจนเหลือแค่หัวโผล่ไว้หายใจ ทิ้งไว้ 15 นาที เท่านี้เลือดลมก็จะไหลเวียนดี ได้ผ่อนคลายทั้งกายและใจ ทำให้ฉันพร้อมจะตะลุยเที่ยวญี่ปุ่นแล้วล่ะจ้า tokyo 5 tokyo 7

ป่าเปลี่ยนสีที่หมู่บ้านยูฟูอินtokyo 8 tokyo 9

หลังจากอาหารเที่ยงแบบ Japanese Set สุขภาพที่เน้นไปทางปลา ผัก และผลไม้ แล้ว ก็ได้เวลาไปเที่ยวชม “หมู่บ้านยูฟูอิน” (Yufuin Village) หมู่บ้านแบบญี่ปุ่นย้อนยุค ตั้งอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดขุนเขา โดยมีทะเลสาบคินริน (Kinrin Lake) ทอดตัวนิ่งสงบอยู่ตรงกลาง ยูฟูอินเป็นหมู่บ้านต้นแบบสินค้า OVOP หรือ One Village One Product ของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ จึงมีร้านค้าเรียงรายอยู่สองฝากถนนคนเดินนับร้อยๆ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าพื้นเมืองอันมีเอกลักษณ์ หาซื้อที่อื่นได้ยาก อย่างขนม ผ้าทอมือ เหล้าสาเก รวมถึงงานหัตถกรรมนานาชนิด ใครที่รักแมวเป็นชีวิตจิตใจ หมู่บ้านยูฟูอินเขามีร้านขายของที่ระลึกเกี่ยวกับแมวโดยเฉพาะด้วย ส่วนใครที่เป็นนักชิม ต้องไม่พลาดขนมโคร็อกเกะ หรือมันชุบเกล็ดขนมปังทอดกรอบๆ กินแก้หนาวได้ดีชะมัด tokyo 10

หมู่บ้านยูฟูอินtokyo 11 tokyo 12

ขนมอร่อยๆ แพ็กเกจน่ารักๆ คิกขุแบบญี่ปุ่น มีให้เลือกซื้อกันเพียบที่หมู่บ้านยูฟูอินtokyo 13 tokyo 14 tokyo 15

ใบเมเปิลเปลี่ยนสีแสนสวย ที่หมู่บ้านยูฟูอิน
tokyo 16

ทะเลสาบคินรินในยามฝนพรำtokyo 17 tokyo 18

เย็นวันนั้นฉันนั่งรถไฟหัวจรวดความเร็วสูงชิงงันเซนเข้าไปนอนเล่นที่เมืองคาโกชิม่า เพื่อวันรุ่งขึ้นจะได้บินต่อไปสนามบินฮาเนดะ ที่โตเกียวได้เลย เพราะจริงๆ แล้วจุดหมายหลักของฉันอยู่ที่นั่นจ้าtokyo 19

เมืองคาโกชิมาtokyo 20tokyo 21

เมืองคาโกชิมาtokyo 22tokyo 23

โตเกียวเป็นเมืองใหญ่ไฮเทคที่มีคนหนาแน่น เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า และมีรถไฟใต้ดินบนดิน โยงไปมาราวกับเครือข่ายใยแมงมุม ทำให้ฉันเดินทางเที่ยวได้สะดวก ตั้งแต่ย่านชิบูยะ, ชินจูกุ, ฮาราจูกุ ไปจนถึงย่านของถูกอย่างตลาดอาเมโยโก๊ะ ก็เต็มไปด้วยสินค้าแบรนด์เนม เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง งานหัตถกรรม ขนม ฯลฯ หลากหลายละลานตา แค่พกเงินกับขาที่แข็งแรงไปเดินช้อปกันได้ทั้งวัน ไม่มีเบื่อ โดยเฉพาะที่ตลาดอาเมโยโก๊ะนั้น เป็นตลาดของถูกและของมือสองคุณภาพเยี่ยมที่คนไทยนิยมไปช้อปกันมากtokyo 24

ร้านบุฟเฟ่ต์ขาปูยักษ์ในย่านชินจูกุ กลางมหานครโตเกียวtokyo 25

ขาปูยักษ์หม้อไฟแสนอร่อยtokyo 26tokyo 27tokyo 28tokyo 30

กินอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาไปเดินละลายทรัพย์ ซื้อรองเท้ากีฬาของแท้ ราคาไม่แพง ที่ตลาดอาเมโยโกะtokyo 31

ฉันจัดตารางเที่ยวให้หนึ่งวันเต็มเลย สำหรับ “โตเกียว ดิสนีย์แลนด์” (Tokyo Disneyland) ดินแดนแห่งความสนุกเหมือนได้พาตัวเองย้อนเวลากลับไปสู่วัยเด็กอีกครั้ง ด้วยความกว้างใหญ่ถึง 7 โซน ในธีมต่างๆ ทำให้เราต้องใช้เวลาเที่ยว เวลาต่อคิวเครื่องเล่นกันนานเป็นชั่วโมงๆ
tokyo 32

วันนั้นพอดีตรงกับวันเสาร์ คนเลยเนืองแน่นเป็นพิเศษ ฉันรีบเดินตรงเข้าไปที่ Landmark ของดิสนี่แลนด์เพื่อเก็บภาพก่อนเลย คือบริเวณอนุสาวรีย์ของวอลท์ ดิสนีย์ กับเจ้าหนูมิกกี้เมาส์ ตัวการ์ตูนน่ารักสุดคลาสสิกตลอดกาล โดยโตเกียว ดิสนีย์แลนด์ ถือเป็นสวนสนุกดิสนีย์นอกประเทศอเมริกาแห่งแรกของโลก สร้างให้เหมือนกับดิสนีย์แลนด์ รัฐแคลิฟอเนีย รวมกับเมจิกคิงดอมในรัฐฟลอริดา จึงมีความยิ่งใหญ่อลังการมากtokyo 33

 ฉันชอบตรงปราสาทดิสนีย์ที่สุด เพราะให้ความรู้สึกถึงการเนรมิตรภาพในจินตนาการ ออกมาเป็นปราสาทจริงได้ บวกกับโซนอื่นๆ ทั้ง Adventureland, Westernland, Fantasyland, Tomorrowland และ Mickey’s Toontown ได้เห็นตัวการ์ตูนต่างๆ ออกมาโลดแล่นอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง น่าตื่นตาตื่นใจมากเลยจ้าtokyo 34tokyo 35tokyo 36tokyo 37tokyo 38tokyo 39tokyo 41tokyo 42tokyo 43

วันถัดมา ฉันชวนเพื่อนๆ นั่งรถออกไปเที่ยวรอบนอกโตเกียวกันบ้าง มาถึงแดนอาทิตย์อุทัยทั้งที ก็ต้องไปสัมผัสหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญที่สุดของญี่ปุ่นกันหน่อย นั่นคือ “ภูเขาไฟฟูจิ” มหาคีรีทรงพีระมิด ที่ส่วนยอดถูกปกคลุมด้วยหิมะชั่วนาตาปี เป็นภูเขาไฟที่คนญี่ปุ่นนับถือประดุจเทพเจ้าฝ่ายหญิง เป็นภูเขาแห่งความโชคดี และคนญี่ปุ่นนิยมเดินขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นรับวันปีใหม่กันด้วย ong outdoortokyo 44

วันนี้ฉันขอเที่ยวแบบชิลชิล ด้วยการนั่งรถบัสขึ้นไปแทน ฮาฮาฮา ทว่าหิมะที่ตกหนักบนยอดเขา ทำให้วันนี้รถขึ้นไปได้ถึงชั้นที่ 4 เท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้วรถขึ้นได้สุดถึงชั้น 5 จากนั้นต้องเดินต่อไปจนถึงชั้น 8 บนความสูงสามพันกว่าเมตร! วันนี้ที่ชั้น 4 ของฟูจิฟ้าเปิดเป็นสีครามสวยงาม มองเห็นทัศนียภาพได้กว้างไกล เพลินไปกับทะเลหมอก และปุยเมฆขาวราวฉันยืนอยู่บนสวรรค์ งามสมคำร่ำลือจริงๆtokyo 45tokyo 46

จากโกเท็มบะ พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้อย่างเต็มตาtokyo 47

ปิดท้ายวันนี้ด้วยการลงเขา ไปช้อปปิ้งกันอย่างเมามันที่ “โกเท็มบะ พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต” แหล่งช้อปราคาถูกเหลือเชื่อในพื้นที่กว่า 400,000 ตารางฟุต กับ 165 แบรนด์ดัง เน้นไปทางเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ของแท้ แหม รู้ใจสาวๆ ซะเหลือเกิน!tokyo 48tokyo 49tokyo 50

ลงจากเที่ยวภูเขาไฟฟูจิในช่วงเช้า มื้อเที่ยงต้องไปลิ้มลองเนื้อวัวย่างบนหินภูเขาไฟtokyo 51

เนื้อวัวญี่ปุ่น มีเส้นไขมันเป็นลายหินอ่อนแทรกอยู่ทั่ว ย่างให้สุกกำลังดี จิ้มน้ำจิ้ม ใส่เข้าปากแทบจะละลายได้เลยtokyo 52

บอกแล้วว่าเที่ยวญี่ปุ่นคราวนี้ ได้เห็นมุมมองใหม่มากมาย แต่น่าเสียดาย เพราะได้เวลาบินกลับบ้านแล้ว ได้ยินเสียงประกาศเรียกขึ้นเครื่องครั้งสุดท้าย บ้ายบายโตเกียว See You Again.equinox logo Png

Special Thanks : บริษัท Outdoor Innovation Co., Ltd. สนับสนุนเสื้อกันหนาว และเสื้อผ้าสำหรับชีวิตแบบ Outdoor

Tokyo Guide

Season : เที่ยวญี่ปุ่นสวยสุดใน 2 ฤดู คือ เดือนมีนาคม-เมษายน เป็นช่วงดอกซากุระบาน และช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีก่อนเข้าฤดูหนาว ถ่ายรูปได้มีสีสันสวยงามจับใจ

How to go : จากเมืองไทยบินตรงไปลงที่สนามบินนาริตะได้เลย ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง เช่น การบินไทย (www.thaiairways.co.th) และ All Nippon Airways หรือ ANA (www.ana.co.jp/asw/wws/th/e/)

Where to stay : ในโตเกียว แนะนำ Keio Plaza Hotel (www.keioplaza.com) ส่วนที่เมืองคาโกชิม่า แนะนำ Shiroyama Kanto Hotel (จองผ่าน www.japanican.com)

What to eat : บุฟเฟ่ต์ขาปูยักษ์, เนื้อวัวญี่ปุ่นย่างบนหินภูเขาไฟ, ชุดเซ็ทอาหารญี่ปุ่นสุขภาพ ฯลฯ

Souvenirs : ขนมโมจิไส้สรอว์เบอร์รี่ทั้งลูก จากหมู่บ้านยูฟูอิน, ช็อกโกแลต ROYCE, พวกกุญแจน่ารักๆ จากภูเขาไฟฟูจิ, ตุ๊กตาตัวการ์ตูนจากโตเกียวดิสนี่แลนด์ ฯลฯ

More info : www.yokosojapan.org/th/

ดูซากุระภูลมโล อลังการหุบเขาสีชมพู

ภูลมโล 2

กลับมาอีกครั้ง สำหรับฤดูกาลเที่ยวชมป่าซากุระบานที่ ภูลมโล ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย แม้ว่าปีนี้ลมหนาวจะมาช้า แต่เมื่อความหนาวมาเยือนจริงๆ ก็สะท้านจนรีบหยิบเสื้อกันหนาวออกจากตู้แทบไม่ทัน เช่นเดียวกับดอกนางพญาเสือโคร่ง (ซากุระเมืองไทย) ที่ชอบความหนาว พากันผลิดอกสะพรั่งไปทั่วทั้งหุบเขา นับเป็นภาพงดงามอลังการ ที่เรา Go Travel Photo อยากชวนแฟนๆ ไปเห็นกับตาให้ได้สักครั้งภูลมโล 3

ในอดีต พื้นที่ป่าซากุระภูลมโลปัจจุบัน เคยเป็นป่าเสื่อมโทรมที่ถูกชาวบ้านบุกรุกแผ้วถางจนโล่งเตียน มักเกิดไฟป่าทุกปี ต่อมาอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จึงร่วมมือกับชาวบ้านเข้ามาฟื้นฟูสภาพพื้นที่ นำต้นนางพญาเสือโคร่งมาปลูก ประมาณ 5,000 ต้น ในบริเวณ 1,200 ไร่ จนกระทั่งปัจจุบันหลายปีผ่านไป มีต้นนางพญาเสือโคร่งเพิ่มเป็น 100,000 ต้น! ยามเบ่งบานจึงยิ่งใหญ่อลังการที่สุดในเมืองไทย ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ!ภูลมโล 4 ภูลมโล 5 ภูลมโล 6 ภูลมโล 7

ภาพป่าซากุระภูลมโลในปีแรกที่เปิดให้ท่องเที่ยว งดงามบริสุทธิ์มาก ทว่าดอกซากุระยังมีขนาดเล็กอยู่ภูลมโล 8

ดอกนางพญาเสือโคร่ง (ชื่อวิทยาศาสตร์ Prunus ceracoides) หรือ Yunnan Cherry แท้จริงแล้วเป็นพรรณไม้ในวงศ์กุหลาบ (Rosaceae) นางพญาเสือโคร่งจัดอยู่ในสกุล Prunus เช่นเดียวกับต้นเชอร์รี่, แอปปริคอต, ท้อ, สาลี่, พลัม และแอปเปิล โดยจะพบนางพญาเสือโคร่งได้บนความสูงเกิน 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลขึ้นไป ภูลมโลจึงเป็นพื้นที่เหมาะมากสำหรับราชินีแห่งดอกไม้ชนิดนี้ เพราะภูลมโลสูงถึง 1,680 เมตรจากระดับน้ำทะเลภูลมโล 9 ภูลมโล 10 ภูลมโล 11

ตื่นตั้งแต่ก่อนสว่าง เพื่อนั่งรถกระบะฝ่าความหนาวเหน็บขึ้นไปบนภูลมโล แล้วเดินป่าขึ้นสู่ยอดภูลมโล ก็จะได้ยลภาพพระอาทิตย์ขึ้น บนป่ารอยต่อ 3 จังหวัด เลย เพรชบูรณ์ พิษณูโลก อย่างนี้ล่ะ คุ้มค่าจริงๆ
ภูลมโล 12

จากจุดชมวิวที่จอดรถ เดินป่าขึ้นยอดภูลมโล ใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที ก็จะได้เห็นภาพวิวพาโนรามา ของป่ารอยต่อ 3 จังหวัดแล้ว (จ.เลย เพชรบูรณ์ พิษณุโลก)
ภูลมโล 13

บนยอดภูลมโล มีหน้าผาหิน หรือแง่งหิน ยื่นออกไปเป็นจุดชมวิวถ่ายภาพได้สวยงาม น่าตื่นเต้น 2-3 แห่ง
ภูลมโล 14

บนยอดภูลมโลมีสภาพเป็นป่าดิบเขาย่อส่วน ต้นไม้ใหญ่มีพืชพวกมอส เฟิน กล้วยไม้ ไลเคน ปกคลุมหนาแน่น บ่งบอกว่าสภาพอากาศยังสะอาดสมบูรณ์ บางช่วงของปีจะมีกล้วยไม้สกุลหวายสีขาวเบ่งบานให้ชมด้วย แต่ขอเตือนว่า ดูแต่ตา มืออย่าต้อง ของจะเสีย!ภูลมโล 15

ระหว่างนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อ 4WD ระยะทาง 16 กิโลเมตร มองเห็นยอดภูลมโลตั้งเด่นอยู่ลิบๆ ไม่ไกลแล้วล่ะภูลมโล 16

บนภูลมโลมีแท่งหินแกรนิตรูปทรงประหลาดๆ ซึ่งผ่านการสึกกร่อนของกาลเวลา สายลม สายน้ำ มาเนิ่นนานเป็นล้านปี ถ้าใครเคยไปเที่ยวที่ภูหินร่องกล้า (ซึ่งอยู่ใกล้กับภูลมโล) บริเวณนั้นจะมีลานหินปุ่ม ลานหินแตก ผาชูธง และหินรูปเกล็ดงู Sun Crack อยู่ด้วย เหล่านี้ล้วนอยู่ในแนวหินเดียวกัน สึกกร่อนโดยกระบวนการลมและน้ำคล้ายๆ กันภูลมโล 17

ความงามอันเร้นลับ ของป่าซากุระภูลมโลในยามเช้าตรู่ ซึ่งมีหมอกขาวห่มคลุม ทว่าแสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องลงมาสร้างความอบอุ่นแก่ผืนโลกอีกครั้งภูลมโล 18

ป่าซากุระภูลมโลในม่านหมอกยามเช้าตรู่ภูลมโล 19

ความงามราวของป่าซากุระ ไม่ต่างจากภาพศิลปะในธรรมชาติเลยแม้แต่น้อยภูลมโล 20

รถที่เหมาะสมจะขึ้นไปเที่ยวบนภูลมโลที่สุด คือรถกระบะ หรือรถขับเคลื่อนสี่ล้อ เพราะตลอดหนทาง 16 กิโลเมตร จากบ้านกกสะทอนขึ้นถึงจุดชมวิวภูลมโลนั้น เป็นเส้นทางดินลำลอง ขรุขระ สูงชันและคดเคี้ยว เข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ถ้าขับรถเก๋งขึ้นไปเอง รับรองหนาวแน่!

แนะนำว่า ควรจอดรถส่วนตัวไว้ แล้วเหมารถของ อบต. กกสะทอน ขึ้นไปเที่ยวบนภูลมโลจะคุ้มกว่า ค่าเช่ารถ 1 คัน นั่งได้ 6 คน ราคา 1,500 บาท แต่ถ้านั่งเกิน 6 คน ราคา 2,000 บาท (สอบถาม คุณนิยม โทร. 08-4490-3169)ภูลมโล 21

สนุกสนานเฮฮากับป่าหินรูปทรงแปลกตา บนภูลมโลภูลมโล 22

ก่อนจะลงไปชมป่าซากุระบานอลังการสุดสายตา ก็มาถ่ายภาพกับป้ายภูลมโลไว้เป็นที่ระลึกก่อนนะจ๊ะภูลมโล 23ภูลมโล 24

ลานหินทรงประหลาดบนภูลมโลภูลมโล 25

จากจุดชมวิวและลานหินบนภูลมโล เราค่อยๆ นั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อลงดอยคดเคี้ยวสูงชันมาอย่างช้าๆ จนในที่สุดก็ได้เห็นป่าซากุระในหุบเขาสีชมพู พร้อมกับม่านหมอกขาวถูกลมตีตวัดขึ้นมาจากร่องผา งามราวกับสวรรค์!ภูลมโล 26

นี่ล่ะ หุบเขาสีชมพูแห่งซากุระเมืองเลยที่เรากำลังตามหา ได้มาเห็นกับตาแล้ว ดีใจๆ เดี๋ยวต้องบอกให้พี่พลขับพาลงไปชมความงามใกล้ๆภูลมโล 27ภูลมโล 28

เมื่อดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือซากุระเมืองไทย เบ่งบาน ใครๆ ก็อยากไปเชยชมใกล้ๆ แต่ขอให้เราเก็บมาเฉพาะภาพถ่ายกับความทรงจำ และทิ้งไว้เพียงรอยเท้าเท่านั้น ความงามนี้จะได้อยู่คู่เมืองเลยและเมืองไทย ไปอีกนานๆภูลมโล 29

ป่าซากุระที่ภูลมโลมีอยู่หลายแปลง โดยแต่ละแปลงจะบานไม่พร้อมกันในแต่ละปี ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศว่าจะหนาวนาน หนาวคงที่ ไม่มีฝนรึเปล่า เราจึงต้องหมั่นโทรสอบถามไปที่ อบต. กกสะทอน เพื่อจะได้ไปเห็นป่าซากุระสุดอลังการที่ภูลมโล ได้ถูกที่ ถูกเวลา จ้าภูลมโล 30ภูลมโล 31

ปี 2016 แม้ว่าอากาศเมืองไทยจะผันผวน แต่เมื่อถึงเวลาลมหนาวมาเยือน ก็หนาวจัดไม่ใช่เล่น ซากุระที่ภูลมโลจึงสะพรั่งบานน่าชม ดอกใหญ่ สีชมพูเข้มจัด นี่คือภาพความงามอันอ่อนหวาน ซาบซึ้งตรึงใจ อย่างที่ใครหลายคนฝันอยากเห็น บางคนลงทุนบินไปดูซากุระที่ญี่ปุ่น แต่ถ้ามาเที่ยวถูกที่ ถูกเวลา ที่จังหวัดเลยก็มีให้ชมเหมือนกันจ้าภูลมโล 32ภูลมโล 33

ซากุระภูลมโล จะบานมากที่สุดตั้งแต่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ภูลมโล 34ภูลมโล 35ภูลมโล 36ภูลมโล 37 ภูลมโล 38ภูลมโล 39

ในยามเช้าตรู่ ขณะที่ม่านหมอกหนาวยังไม่จางคลาย ป่าซากุระภูลมโลก็ยังคงซุกซ่อนความงามที่แท้จริง ไว้ภายใต้ม่านหมอกขาวนั้นเอง

ภูลมโล 40

ป่าซากุระ สายหมอก และสาวๆ ดูจะเป็นของคู่กันอย่างลงตัวซะจริงๆ ฮาฮาฮาภูลมโล 41

ไปดูซากุระภูลมโล สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ เสื้อกันหนาวหนาๆ กล้องถ่ายรูปดีๆ และหัวใจที่พร้อมเปิดรับสรรพเสียงจากธรรมชาติจ้า
ภูลมโล 43

ในยามสาย ขณะที่แดดเริ่มแรงขึ้น สีชมพูเข้มของดอกซากุระก็ยิ่งปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเต็มตาภูลมโล 44ภูลมโล 45ภูลมโล 46

ดูกันใกล้ๆ ชมกันเต็มตา ดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือ Yunnan Cherry ราชินีแห่งดอกไม้เมืองหนาวอันแสนอ่อนหวาน งามไม้แพ้ดอกซากุระที่แดนอาทิตย์อุทัยเลยแม้แต่น้อยภูลมโล 47

ว้าว! สวยจัง เที่ยวเมืองไทยเหมือนไปเมืองนอกแท้ๆ เมืองไทยก็มีซากุระนะจ๊ะ
ภูลมโล 48

ราชินีแห่งพรรณไม้เมืองหนาวอันหวานซึ้ง ซากุระภูลมโลภูลมโล 49ภูลมโล 50ภูลมโล 51

ความงามหวานซึ้งของซากุระภูลมโล ยิ่งเพ่งพินิจใกล้ๆ ก็ยิ่งหลงรักภูลมโล 52ภูลมโล 53

ภูลมโล Guide

ปัจจุบันเส้นทางขึ้นไปชมซากุระภูลมโล มี 2 เส้นทาง เลือกกันได้ตามสะดวกจ้า

เส้นทางที่ 1 จากที่ทำการตำบลกกสะทอน ผ่านบ้านตูบค้อ-ยอดภูลมโล ระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร (ค่าเช่ารถกระบะพาขึ้นไปชมซากุระ 1,500-2,000 บาท)

เส้นทางที่ 2 จากบ้านใหม่ ภูหินร่องกล้า-ยอดภูลมโล ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร (ค่าเช่ารถกระบะพาขึ้นไปชมซากุระ 800-1,200 บาท)

สอบถามเพิ่มเติมที่ อบต. กกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย โทร. 0-4203-9867 www.koksathon.go.thlogo123-300x300

Special Thanks : ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคอีสาน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานจังหวัดเลย สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-4281-2812,  0-4281-1405equinox logo Png ong phulomloSpecial Thanks : บริษัท Outdoor Innovation Co., Ltd. สนับสนุนเสื้อกันหนาวและเสื้อผ้าสำหรับชีวิตแบบ Outdoor