Mongolia ดินแดนแห่งเจงกิสข่าน

ที่นี่คือ “มองโกเลีย” (Mongolia) ดินแดนยิ่งใหญ่กว่า 1.5 ล้านตารางกิโลเมตร ในเอเชียกลาง ที่ซึ่งเจงกิสข่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เคยนำกองทัพขี่ควบม้าศึก นี่คือดินแดนของทุ่งหญ้าเสต็ปกว้างใหญ่สุดลูกหูลุกตา ซึ่งมวลดอกไม้ป่าผลิบานละลานตาในช่วงฤดูร้อน อาบอิ่มด้วยไอแดดอุ่น มีฝูงม้า อูฐ จามรี วัว และแกะ   กว่า 50 ล้านตัว ดุ่มเดินหากินอยู่อย่างเสรี เคียงคู่สายน้ำใสที่ละลายไหลมาจากภูเขาหิมะตระหง่าน

11

มันคือช่วงต้นเดือนสิงหาคมซึ่งตรงกับฤดูร้อนในมองโกเลีย ที่ผมและผองเพื่อน บินสู่ประเทศในฝัน อันสวยงามนี้ ช่วงเวลาดังกล่าวหิมะที่เคยปกคลุมละลายไปหมดสิ้น ทิ้งไว้เพียงสายน้ำใสเย็นไหลลงมายังท้องทุ่ง เติมเต็มความชุ่มฉ่ำแก่ทุ่งหญ้าระบัดใบเขียวชอุ่ม ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม ดอกไม้ผลิบานละลานตา แต่หลายคนยังมีความเข้าใจสับสนอยู่ ระหว่าง ประเทศมองโกเลีย (Mongolia หรือ Outer Mongolia) กับ มองโกเลียใน (Nei Mongolia หรือ Inner Mongolia) นั้น เป็นคนละเขตพื้นที่กันเลย! เพราะ “มองโกเลีย” ที่เรากำลังจะไปเยือนเป็นประเทศเอกราชอิสระ ส่วน “มองโกเลียใน” คือเขตปกครองตนเองของจีนภาคเหนือ

_ONG6777

“อุทยานแห่งชาติเตเรจ” (Terelj National Park) โดดเด่นด้วยเทือกเขาหิน ทุ่งหญ้า ป่าสน ลำธารใส และหมู่กระโจมสีขาวเป็นหลังๆ ที่เรียกว่า “เกอร์” (Ger) ซึ่งชาวมองโกเลียส่วนใหญ่ใช้อาศัย เพราะเขามีนิสัยเป็นชนเผ่าเร่ร่อนกันมาแต่โบราณกาล ดำรงชีพด้วยการเลี้ยงแกะ แพะ วัว จามรี อูฐสองหนอก และม้า ชาวมองโกเลียเชื่อว่า “ม้า” คือสัตว์สำคัญที่สุด นอกจากจะเป็นเพื่อน ช่วยทำงานให้แล้ว ยังจะนำวิญญาณของมนุษย์ขึ้นสู่สวรรค์อีกด้วย เราจึงพบม้าและรูปของม้าได้ทั่วไปในประเทศนี้ครับ ชาวมองโกเลียจะสอนให้ลูกขี่ม้าก่อนหัดเดินเสียอีก ม้าจึงสำคัญยิ่งยวดต่อชีวิตในทุกมิติ

1

ฤดูกาลนี้ในอุทยานแห่งชาติเตเรจมีดอกไม้ป่าที่ชอบอากาศเย็นสบายกลางแดดอุ่น เบ่งบานเต็มท้องทุ่งนับล้านๆๆๆ ดอก ทั้งสีขาว เหลือง ชมพู ม่วง ฟ้า ส้ม แดง และแทบทุกเฉดสีที่นึกออก ส่วนใหญ่เป็นดอกเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม เบ่งบานแผ่เป็นพรมดอกไม้ไปทั่วทุ่ง สลับกับสายน้ำเล็กๆ ไหลซอกซอนตวัดโค้งไปมา   เราพบนักท่องเที่ยวกำลังขี่อูฐเล่น บ้างก็กำลังดูเหยี่ยวและอีแร้งดำตัวใหญ่เท่าคน! ซึ่งชาวเร่ร่อนนำมาให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพเก็บตังค์ ภูมิประเทศโดยรอบเป็นเทือกเขาหินลวดลายแปลกประหลาด หินบางก้อนถูกลม ฝน หิมะ และกาลเวลา กัดเซาะจนมีรูปร่างคล้ายเต่ายักษ์ บางก้อนคล้ายจานบิน ดอกเห็ด หรือไม่ก็เป็นแท่งเสาหินยืนโด่เด่ อีกทั้งยังมีป่าสนทอดยาวออกไปตามเชิงเขา สลับกับลำธารน้ำใสแจ๋ว สะท้อนสีของฟ้าครามลงมาบนแผ่นน้ำ ภูมิประเทศนี้ชวนให้นึกถึงป่าแถบเทือกเขาร็อกกี้ในอเมริกาเหนือและแคนาดา ที่คล้ายกันยังกับฝาแฝด!

2

ไปขี่ม้าเที่ยวชมธรรมชาติที่อุทยานแห่งชาติเตเรจกันเถอะ

3

5

ชีวิต สายลม แสงแดด และทุ่งหญ้ากว้าง ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวที่อุทยานแห่งชาติเตเรจ

7

การขี่ม้าเที่ยวทุ่งหญ้ากว้างของมองโกเลีย จะทำให้เราได้สัมผัสจิตวิญญาณของดินแดนนี้อย่างใกล้ชิด ราวกับว่าเราเป็นทหารม้าของเจงกิสข่านยังไงยังงั้น!

8

ฝูงจามรีกลางทุ่งดอกไม้ฤดูร้อนในอุทยานแห่งชาติเตเรจ

9

คนมองโกเลียผูกพันกับม้าที่สุด เขามักพูดเล่นๆ กันว่า เด็กมองโกเลียจะขี่ม้าได้ก่อนเดินได้เสียอีก!

10

“อนุสาวรีย์เจงกิสข่าน” (Genghis Khan Statue Complex) ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2008 บริเวณริมแม่น้ำทูล ในจุดที่เชื่อกันว่าเจงกิสข่านได้พบแส้ม้าทองคำอันศักดิ์สิทธิ์ ที่พระองค์ใช้ในตลอดพระชนม์ชีพ เมื่อมองจากระยะไกลอนุสาวรีย์นี้ใหญ่โตมโหฬารมากจนแทบไม่น่าเชื่อ เป็นโลหะสแตนเลสสตีลไร้สนิม สีเงินวาววับสะท้อนแสงอาทิตย์ สูง 40 เมตร หนักถึง 25 ตัน สร้างเป็นเจงกิสข่านในท่านั่งบนหลังม้า ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก! ไฮไลท์ก็คือ เวลาที่เราขึ้นลิฟท์และเดินเท้าต่อไปยังส่วนหัวม้า เพื่อเผชิญหน้ากับเจงกิสข่านแบบจังๆ พร้อมกับชมวิวท้องทุ่งมองโกเลียจากมุมสูงเกือบ 40 เมตรเหนือพื้นดิน มองได้รอบตัวแบบสุดสายตาพาโนรามา

13

คนมองโกเลียแท้ๆ ต้องอาศัยอยู่ในกระโจมเหมือนเมื่อครั้งบรรพบุรุษ

12

นี่ล่ะครับ อนุสาวรีย์เจงกิสข่านที่ทำจากโลหะ ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก! ขนาดมหึมาจริงๆ

24

“อูลันบาตอร์” (Ulaanbaatar) เมืองหลวงของมองโกเลีย เป็นเมืองทันสมัย มีตึกระฟ้า รถราจอแจ อาคารพาณิชย์คึกคัก ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร สถานบันเทิง และโรงเรียน เห็นภาพชีวิตที่เคลื่อนผ่านไปในทุกวินาที หนุ่มสาวมองโกเลียส่วนใหญ่แต่งตัวนำสมัยเหมือนวัยรุ่นไทยนั่นล่ะ แต่คนสูงอายุจะยังคงแต่งกายด้วยชุดประจำชาติ คล้ายชุดชาวทิเบตที่ดูแปลกตา เป็นเสื้อคลุมแขนยาว ใส่รองเท้าบูท และมีหมวกทรงแหลม ดูแล้วทะมัดทะแมงสมเป็นชนชาตินักรบมาแต่โบราณกาล ชวนให้นึกถึงฉากท้องทุ่ง กระโจม ฝูงสัตว์ และกีฬามวยปล้ำอันเป็นกีฬาประจำชาติของเขา

23

21

“วัดกานดาน” (Gandan Monastery) เป็น วัดพุทธขนาดใหญ่และสำคัญที่สุดในมองโกเลีย ในนิกายวัชรยานแบบทิเบต สร้างขึ้นโดยโบกด์ข่าน (Bogd Khan) เมื่อปี ค.ศ. 1835 แต่ก็ถูกทำลายเกือบย่อยยับสมัยโซเวียตปกครอง เพราะสตาร์ลินผู้นำโซเวียตยุคนั้นมองว่าศาสนาคือยาพิษ สั่งทำลายวัดนับร้อยแห่งในมองโกเลีย จุดเด่นของวัดนี้อยู่ที่รูปหล่อโลหะพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสูง 20 เมตร สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1911-1912 แลตระหง่านอลังการ เป็นศูนย์รวมใจของผู้คนเสมอมา วัดกานดานมีสภาพคล้าย “Buddhist Complex” หรือชุมชนพุทธศาสนา เพราะนอกจากวิหารใหญ่ตรงกลางแล้ว ยังมีวิหารน้อย และกระโจมของนักแสวงบุญตั้งรายล้อมอยู่อีกมาก ภายในวัดมีวิถีพุทธวัชรยานเบ่งบานไปทั่วทุกอณู ทั้งริ้วธงมนต์ผูกโยงปลิวไสว พร้อมด้วยวงล้อมนตราน้อยใหญ่จารึกมนต์ “โอม มณี ปัทเม หุม” ให้นักแสวงบุญได้เดินภาวนาและหมุนไปพร้อมกัน ในวิหารน้อยรอบๆ มีหอสวดมนต์ เราจะเห็นชาวมองโกลมากราบนอนราบแบบ “อัษฎางคประดิษฐ์” กันล้นหลาม

18

17

16

“พระราชวังฤดูหนาว” ของจักรพรรดิ์มองโกลองค์สุดท้าย โบกด์ข่าน ซึ่งปัจจุบันดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ในนามว่า “Bogd Khan’s Palace Museum” ภายในแบ่งพื้นที่เป็นหลายชั้นใช้เก็บรักษาวัตถุโบราณล้ำค่า ทั้งอาวุธโบราณ, ผ้าทังก้า (ผ้าพระบฏ) บอกเล่าเรื่องราวทางศาสนา, พระพุทธรูป, รูปเคารพพระโพธิสัตว์, เครื่องเคลือบถ้วยชามโบราณ, ชุดเครื่องทรงของท่านข่านและมเหสี, ราชรถ ฯลฯ สิ่งของล้ำค่าที่จัดแสดง ทำให้เราได้เห็นอิทธิพลของศิลปะจีน และคติความเชื่อทางศาสนาทิเบต ซึ่งหลอมรวมกันอย่างแจ่มชัด

15

14

26

ชุดพื้นเมืองของคนมองโกเลีย สวย มีเอกลักษณ์ เหมือนที่เราเห็นในหนังจีนไม่มีผิดเลย

25

“จัตุรัสสุคบาตาร์” (Sukhbaatar Square) ด้านหน้าตึกทำเนียบรัฐบาล นี่คือจัตุรัสกว้างที่จุคนได้นับหมื่น สร้างเป็นที่ระลึกแด่ท่าน ดัมดิน สุคบาตาร์ (Damdin Sukhbaatar) ผู้นำกองทัพปลดแอกมองโกเลียจากการยึดครองของจีนได้สำเร็จเมื่อปี ค.ศ. 1921 จากใจกลางจัตุรัส ถ้ามองไปสุดด้านทิศเหนือก็คืออาคารหินอ่อนสีขาวขนาดมหึมา ที่สร้างขึ้นในวาระครบ 800 ปี แห่งการครองราชย์ของเจงกิสข่าน (เมื่อปี ค.ศ. 2006) ด้านหน้าอาคารนี้คือจุดที่มีคนมาถ่ายรูปกันเยอะที่สุด เพราะเป็นที่ประทับรูปหล่อโลหะบรอนซ์สีดำขนาดยักษ์ในท่านั่งของ เจงกิสข่าน (Genghis Khan) อยู่ตรงกลาง โอกิไดข่าน (Ogedei Khan : ลูกชายคนที่ 3 ของเจงกิสข่าน) เคียงคู่อยู่ทางตะวันตก และกุบไลข่าน (Kublai Khan : หลานชายของเจงกินสข่าน) อยู่ทางตะวันออก ข่านสององค์หลังนี้แหละ ที่รับช่วงภาระกิจขยายดินแดนต่อจากเจงกิสข่าน จนอาณาจักรมองโกลแผ่ขยายไปเกือบทั่วโลก ด้านทิศเหนือกินไปถึงตอนกลางของรัสเซีย ด้านทิศใต้ครองไปจรดอินเดียเหนือ, พุกามในพม่า, ลาวเหนือ, อาณาจักรจามปาตลอดทั้งเวียดนาม รวมทั้งยังเกือบได้อาณาจักรสุโขทัย! ส่วนทิศตะวันออกครองไปจรดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก เกาหลีและจีน ฝั่งตะวันตกจรดทะเลดำ ตะวันออกกลางทั้งหมด และประเทศฮังการีในยุโรปโน่นเลยเทียว!

29

“อนุสรณ์สถานการต่อสู้ไซซาน” (Zaisan Memorial) ซึ่งสร้างขึ้นเป็นที่ระลึกให้ทหารโซเวียตผู้พลีชีพ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตัวอนุสรณ์ฯตั้งอยู่บนยอดเขามองลงไปเห็นตัวเมืองอูลันบาตอร์ได้แบบพาโนรามา เป็นจุดชมวิวชั้นยอด เพราะเห็นการเติบโตของตัวเมืองที่ขยายออกไปสู่ตีนเขารอบๆ นอกจากนี้ยังมองเห็นแม่น้ำทูล (Tuul River) ที่ไหลคดเคี้ยวผ่านตัวเมืองไป ถ่ายรูปได้แจ่มจริงๆ

30

32

การได้มาเยือนมองโกเลียครั้งนี้ ทำให้เราได้ประจักษ์ว่า ยังมีอีกดินแดนหนึ่งในโลกที่งามจับใจ และผมสัญญากับตัวเองว่า จะต้องกลับมาที่นี่อีกเมื่อมีโอกาสอย่างแน่นอน

1841

Special Thank บริษัท Nikon Sales (Thailand) Co., Ltd. สนับสนุนสุดยอดอุปกรณ์ถ่ายภาพระดับมืออาชีพ

สนใจติดต่อ โทร. 0-2633-5100 / แฟ็กซ์ 0-2633-5191 (Office) / 0-2633-5192 (Service) www.nikon.co.th

 

Traveler’s Guide

Best season : ช่วงเดือนสิงหาคม อันเป็นช่วงฤดูร้อนของมองโกเลีย มีทั้งดอกไม้บานและฟ้าใสแจ๋ว อากาศก็กำลังอุ่นสบายไม่หนาวจัด เหมาะสำหรับคนไทยไปท่องเที่ยว

How to go : จากเมืองไทย ช่วงแรกบินไปฮ่องกงก่อน เพื่อเปลี่ยนเครื่องไปใช้สายการบิน Mongolian Airlines เพื่อบินสู่เมืองอูลันบาตอร์ ซึ่งเป็นเมืองหลวง ใช้เวลาเดินทางรวมแล้วประมาณ 6-8 ชั่วโมง ส่วนการเดินทางท่องเที่ยวมองโกเลีย ถ้าเที่ยวเองยังเป็นเรื่องค่อนข้างลำบาก อุปสรรคสำคัญคือภาษา วิธีสะดวกที่สุดในขณะนี้คือซื้อแพ็กเกจทัวร์ไปจากเมืองไทย จะได้มีที่พักและพาหนะพร้อมเลย

Contact : บริษัท Global Union Express เป็นผู้เชี่ยวชาญการนำเที่ยวในประเทศมองโกเลีย สอบถามได้ที่ โทร. 0-2308-2104 เว็บไซต์ www.guetravel.com

Leh Ladakh ทิเบตน้อยแห่งอินเดีย

แม้เทือกเขาหิมาลัยจะเป็นหนึ่งในเทือกเขาที่มีอายุน้อยที่สุดของโลก ทว่าในอีกแง่มุมหนึ่ง หิมาลัยกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังและพลังอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้เข้ามาสัมผัส ภาพของยอดเขาหิมะสูงตระหง่านเสียดฟ้า พืชพรรณแปลกตา รวมถึงวิถีวัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคย ยิ่งทำให้หิมาลัยกลายเป็นภูมิภาคมหัศจรรย์ โดยเฉพาะเทือกเขาหิมาลัยในเขตอินเดียเหนือแถบเมืองเลห์ของแคว้นลาดัคนั้น คือหนึ่งในภูมิภาคที่เข้าถึงยากที่สุดในโลก! และได้รับฉายาว่า “ทิเบตน้อย” (Little Tibet)

3

เมื่อราว 30-50 ล้านปีก่อน คือช่วงเวลาที่อนุทวีปอินเดีย ซึ่งเคยตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางมหาสมุทร เคลื่อนเข้ามาชนแผ่นเปลือกโลกเอเชีย พลังแห่งการชนกันดันให้เปลือกโลกส่วนนี้ยกตัวทะยานสู่ท้องฟ้า นั่นล่ะคือกำเนิดแห่งหิมาลัยที่ทอดยาวกว่า 2,400 กิโลเมตร พาดผ่าน 6 ประเทศ คือ อินเดีย เนปาล ภูฏาน ปากีสถาน อัฟกานีสถาน และจีน เทือกเขาหิมาลัยแท้จริงแล้วแบ่งเป็น 4 แนว ได้แก่ หิมาลัยใหญ่ (Great Himalaya) หิมาลัยกลาง (Inner Himalaya) ทรานส์-หิมาลัย (Trans-Himalaya) และหิมาลัยน้อย (Lesser Himalaya) โดย เมืองเลห์ (Leh) ที่เรากำลังกล่าวถึงนี้ ตั้งอยู่ในส่วนที่เรียกว่าทรานส์-หิมาลัย ซึ่งอยู่ถัดจากหิมาลัยใหญ่ หิมาลัยกลาง และหิมาลัยน้อย เข้าไปในทวีปเอเชีย จึงถูกภูผาเหล่านั้นบดบังความชื้นจากทะเลไว้หมด ทรานส์-หิมาลัยจึงกลายเป็นเขตเงาฝนที่แปรสภาพเป็นทะเลทรายต่อเนื่องเข้าไปสู่ที่ราบสูงทิเบต  การมาเที่ยวเมืองเลห์จึงได้พบเห็นภูมิประเทศมหัศจรรย์ ซึ่งเมื่อหลายสิบล้านปีก่อนมันคือก้นมหาสมุทรแท้ๆ!

2

สิ่งหนึ่งที่เราจะสัมผัสได้ที่นี่ก็คือ เลห์เป็นดินแดนแห่งการผสมกลมกลืนของหลายวัฒนธรรม ทั้งทิเบตที่มาจากด้านตะวันออกและเหนือ อิสลามที่มาจากตะวันตก และอินเดียแท้ๆที่มาจากทางใต้ สะท้อนว่าเลห์คือส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมโบราณ ที่เคยเป็นชุมทางค้าขายสินค้านานาชนิด โดยเฉพาะวัฒนธรรมจากทิเบตซึ่งทรงอิทธิพลที่สุด เดินไปส่วนใดของเมืองจึงหนีไม่พ้นวัดทิเบต อาหารทิเบต กงล้อมนต์ ธงมนต์ และผู้คนที่ยังแต่งกายเหมือนหลุดออกมาจากเมื่อหลายร้อยปีก่อน! ชุดเหล่านั้นช่างเปี่ยมไปด้วยสีสันของ “เทอร์ควอยส์(Turquoise) หินสีเขียวอมฟ้าที่ไปตกแต่งอยู่บนเรือนกายและอาภรณ์ของหญิงชาวลาดัคได้อย่างวิเศษ เทอร์ควอยส์จึงกลายเป็นของที่ระลึกมีค่ามีราคาที่นักแรมทางสาวๆ นิยมซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านกัน

1

สำหรับคนไทยที่ชินกับอากาศบนพื้นราบ การขึ้นไปเที่ยวบนพื้นที่สูงกว่า 3,505 เมตร ของเมืองเลห์ จึงต้องใช้เวลาปรับตัวพอสมควร   จากเมืองไทยพอบินถึงอินเดียที่ เมืองเดลี (Delhi) นักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งจึงไม่นิยมนั่งเครื่องบินต่อไปเมืองเลห์เลย แต่จะใช้วิธีนั่งรถจากเดลีไป เมืองมานาลี (Manali) จนถึงเลห์ ใช้เวลา 2 วัน ซึ่งระหว่างทางจะได้เห็นทัศนียภาพของทรานส์-หิมาลัยอันน่าตื่นตะลึง เพราะประกอบด้วยเทือกเขาหิมะ ธารน้ำแข็ง โตรกลึก ลำธาร แม่น้ำ ทุ่งดอกไม้ แคนยอนหิน ทะเลทราย ป่าสน หมู่บ้าน วัดนับไม่ถ้วนแห่ง รวมถึงวิถีชีวิตชาวอินเดียเหนือที่เรียบง่าย ทว่างดงาม สมคำว่า “อยู่อย่างพอเพียงจริงๆ”

พอเริ่มปรับตัวกับพื้นที่สูงกว่า 3,000 เมตรของเมืองเลห์ได้แล้ว การออกตระเวนเที่ยวจึงเริ่มขึ้น โดยมีทั้งในเขตตัวเมืองและพื้นที่รอบทิศซึ่งต้องนั่งรถออกไปไกลๆ ถ้าไปกันเป็นกลุ่มหลายคน วิธีเที่ยวสะดวกสุดจึงเป็นการเช่ารถพร้อมคนขับนั่นเอง

8

Valley of Flowers อลังการทุ่งล้านดอกไม้บานบนหลังคาโลกในฤดูร้อน ระหว่างเส้นทางเมืองเลห์-ทะเลสาบแปงกอง

9

หุบเขานูบร้า เป็นหุบเขาที่อยู่ต่ำสุดในแคว้นลาดักห์ อากาศจึงอบอุ่น มีทะเลสาบ และสวนผลไม้ต่างๆ

10

ความงามพิสุทธิ์ของธรรมชาติที่หุบเขานูบร้า มีทั้งทุ่งหญ้า สายน้ำใส และทะเลทรายสีขาวเม็ดละเอียดยิบ

11

“ทะเลสาบปันกอง” (Pangong Lake) บนระดับความสูง 4,250 เมตรเหนือน้ำทะเล!   ระหว่างทางเราจะผ่านทุ่งดอกไม้หลากสีที่กำลังเบ่งบานในฤดูร้อน มีลำธาร ทุ่งหญ้า กระโจมคนเลี้ยงแกะ ฝูงแพะ และตัวยัค นอกจากนี้ยังมี มาร์มอท (Himalayan Marmot) ซึ่งเป็นกระรอกดินขนาดใหญ่จำพวกหนึ่ง อาศัยหลบอยู่ในรูใต้ดินตามทุ่งดอกไม้ทั่วไป น่ารักมากๆ ปันกองคือทะเลสาบมหัศจรรย์ เพราะแม้จะตั้งอยู่บนหลังคาโลก แต่ก็เป็นทะเลสาบน้ำกร่อย! เนื่องจากเมื่อหลายล้านปีก่อนมันคือก้นมหาสมุทรอินเดียนั่นเอง น้ำแข็งจากยอดเขาโดยรอบละลายลงมาเติมเต็มให้ปันกองทุกปี มันจึงกลายเป็นทะเลสาบสีเทอร์ควอยส์อันน่าพิศวง!

5

ทุ่งข้าวบาร์เลย์อาบแสงยามเย็นที่เมืองลาโต้ (Lato) อยู่ไม่ไกลจากเมืองเลห์

6

ทุ่งข้าวบาร์เลย์เมืองลาโต้

7

Himalayan Marmot หรือกระรอกดินหิมาลายัน เป็นกระรอกดินขนาดใหญ่ที่ขุดโพรงอยู่ใต้ดิน โดยมีรูเข้าออกได้หลายทางเอาไว้หนีศัตรู ตอนกลางวันมันจะขึ้นมายืนสองขาสอดแนมที่ปากโพรง มองซ้ายทีขวามี แล้วร้องจิ๊ดๆ เสียงเล็กแหลมอย่างน่ารัก

12

อีกแหล่งธรรมชาติหนึ่งอยู่ห่างจากเมืองเลห์ไปทางตะวันตกราว 150 กิโลเมตร คือ “หุบเขานูบรา” (Nubra Valley) ไม่ใช้ No Bra Valley! อย่างที่หลายคนชอบเอามาล้อเล่นกัน หุบเขานี้มีแม่น้ำชย็อก (Shyok River) ไหลผ่าน อากาศอบอุ่น จึงสามารถปลูกแอปเปิลและแอปปริคอตได้ดี   ส่วนหนึ่งของหุบเขานูบรามีสภาพเป็นทะเลทรายและแซนดูนขนาดยักษ์ ซึ่งพวกเราสามารถไปนอนค้างในเต็นท์ และขี่อูฐเที่ยวชมภูมิทัศน์อันแปลกตาราวกับอยู่ในทะเลทรายซาฮาราของแอฟริกาเลยก็ไม่ปาน! ยิ่งกว่านั้นแล้วการเดินทางสู่นูบรายังต้องผ่านหนึ่งในเส้นทางถนนที่สูงที่สุดในโลกบริเวณ Khardung La ซึ่งสูงถึง 5,600 เมตรเลยล่ะ!

18

13

วัดสำคัญในเมืองเลห์ที่ห้ามพลาดชม เช่น วัดติกเซ่ (Thiksey) วัดสปิตุก (Spituk) และวัดเฮมิส (Hemis) ซึ่งล้วนมีอายุนับร้อยปี วัดเหล่านี้ตั้งอยู่บนยอดเขา นิยมสร้างด้วยอิฐและหินก่อขึ้นไปเป็นทรงสี่เหลี่ยม ทาด้วยสีขาว แดง และดำ ตามคตินิยมของศาสนาพุทธนิกายวัชรยาน ภายในแลลึกลับขรึมขลังมาก ประกอบด้วยห้องนับร้อยๆ ทั้งห้องสวดมนต์ ห้องเก็บตำรา ห้องโถงประดิษฐานพระพุทธรูป ฯลฯ ประมาณ 07.00 น. ทุกเช้า จะมีพิธีทำวัตรเช้าซึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้  เสียงสวดคำว่า “โอม มณี ปัทเม หุม” (Om Mani Padme Hum แปลว่า “โอ มณีในดอกบัว” ตีความได้ว่า มณีในดอกบัวคือความรู้แจ้งหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง) ด้วยสำเนียงทุ้มต่ำน่าฟัง จะสะกดเราให้อยู่กับที่ได้นับชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีวัดขนาดใหญ่มากอย่าง วัดลามายูรู (Lamayuru) ซึ่งอยู่ห่างเลห์ออกไปทางตะวันตกราว 125 กิโลเมตร จึงควรไปค้างคืน

14

ในเดือนสิงหาคมของบางปี ถ้าโชคดี ก็อาจไปตรงกับช่วงที่องค์ดาไลลามะเสด็จเยือนเลห์ เพื่อเยี่ยมเยียนประชาชนและแสดงธรรมบรรยาย ประมุขทางจิตวิญญาณองค์ที่ 14 ของทิเบตนี้ ท่านไม่สามารถกลับไปทิเบตได้ จะมีก็แต่ Little Tibet อย่างเลห์นี่แหละ ที่มีบรรยากาศใกล้เคียงบ้านเกิดของท่านที่สุด คนไทยหลายคนจึงไม่พลาดช่วงเดือนสิงหาคมเพื่อจะได้เข้าเฝ้าท่าน

15

ดาไลลามะองค์ที่ 14 ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบตทั่วโลก

16

คุณยายชาวลาดักห์ นั่งหมุนวงล้อมนตรา หรือ Prayer Wheel ที่มีคำสวดมนต์สลักอยู่โดยรอบว่า “โอม มณี ปัทเม หุม” หมุน 1 รอบเทียบเท่ากับการสวดมนต์ 1 จบ เวลาเราไปลาดักห์จะเห็นสิ่งนี้อยู่ทั่วไปจนชินตา บ่งบอกว่าคนเลห์ ลาดักห์ ยึดแน่นในพุทธศาสนานิกายวัชรยานทิเบตอย่างมาก

17

บนยอดเขาทางตะวันตกห่างจากเลห์ไป 2 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของ “สถูปแห่งสันติภาพ” (Shanti Stupa) ซึ่งสร้างขึ้นโดยรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อประกาศศาสนาและจรรโลงสันติภาพแก่โลก   ในช่วงเย็นเมื่อแสงอาทิตย์อ่อนลง นักท่องเที่ยวนับร้อยจะพากันขึ้นสู่สถูปแห่งสันติภาพ เพื่อกราบไหว้ และรอชมภาพอาทิตย์อัสดงอันแสนงดงามลงท่ามกลางเทือกเขาตระหง่านที่โอบล้อมเมืองเลห์ไว้ และจากยอดเขานี้สามารถมองไปเห็นวัดสันการ์ กอมปะ (Sankar Gompa) ที่จะถูกเงาของสถูปแห่งสันติภาพทอดทับลงจนมืดมิดไปในที่สุด

19

ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวบนหลังคาโลก สูงเกือบ 5,000 เมตรเหนือน้ำทะเล!

20

เทือกเขาหิมาลัยยังทอดตระหง่านอยู่ตรงนั้น เราต้องโบกมือลาเมืองเลห์แล้ว มนต์เสน่ห์แห่งดินแดนชมพูทวีปช่างลึกล้ำ และฝังลึกลงในความทรงจำของเราจริงๆ นี่คืออีกมุมหนึ่งของโลก โลกที่เราทุกคนเรียกมันว่า “บ้านอันอบอุ่น”

1841

Traveler’s Guide

Best season : อากาศดีที่สุดระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน นอกนั้นอากาศหนาวจัด หิมะปกคลุมหนามาก

How to go : ช่วงแรก จากเมืองไทยบินไปเดลี เช่น การบินไทย โทร. 0-2356-1111 เว็บไซต์ www.thaiairways.co.th ช่วงที่สองจากเดลีไปเลห์ จะเช่ารถหรือขึ้นเครื่องบินไปก็ได้ เช่ารถแนะนำบริษัท Dreamland Trek & Tour โทร. +91-1982-250784, +91-94191-78197 อี-เมล dreamladakh@gmail.com เว็บไซต์ www.dreamladakh.com บินไปเลห์ เช่น Jet Airways เว็บไซต์ www.jetairways.com/TH/TH/Home.aspx

Where to stay : ที่พักทริปนี้เป็นโรงแรมและเกสต์เอาส์อย่างดี แต่ถ้านั่งรถจากเดลี-มานาลี-เลห์ ระหว่างทางต้องค้างในเต็นท์กลางหุบเขาที่ซาร์ชู (Sarchu) หนึ่งคืน ที่พักแนะนำในเดลี Sunshine House ถนน Karol Bagh อี-เมล sunshinehouse@live.in โทร. +91-9810312256 ที่เมืองมานาลี แนะนำ Sarthak Resorts อี-เมล sarthakresorts@yahoo.co.in โทร. +91-1902-259323 ที่เมืองเลห์ แนะนำ Hotel Yak Tail เว็บไซต์ www.hotelyaktail.com โทร. +91-1982-252118

What to eat : ในเมืองเลห์มีอาหารให้เลือกหลากหลาย ทั้งอาหารทิเบต ลาดัค จีน ไทย และยุโรป สำหรับอาหารลาดัคนั้นจะคล้ายกับอาหารทิเบต เช่น หมี่ผัด ชานม และแป้งทอดไส้ผักที่เรียกว่า “โมโม่” (Momo)

Information : www.leh-ladakh.com, www.reachladakh.com, www.ladakhkashmir.com, www.tourism-of-india.com/ladakh.html

น่าน เมืองเนิบช้าแห่งล้านนาตะวันออก (ตอน 1)

ภาพกระซิบรักบันลือโลก หรือภาพปู่ม่านย่าม่าน แห่งวัดภูมินทร์ พุทธศิลป์งามล้ำขั้นเอกอุ สะท้อนวิถีชีวิตของชาวไทลื้อในอดีตเมื่อหลายร้อยปีก่อน
1

วัดพระธาตุแช่แห้ง หนึ่งในโบราณสถานคู่บ้านคู่เมืองน่าน เป็นพระธาตุประจำคนเกิดปีกระต่าย (ปีเถาะ) ผิวพระธาตุด้านนอกบุด้วยทองคำจังโกสีทองสุกปลั่ง เหลืองอร่าม

2

พระประธานในโบสถ์ใหญ่วัดพระธาตุแช่แห้ง

3

โบสถ์วัดภูมินทร์ สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมไทลื้อ โดยมีหลังคาซ้อนลดหลั่นกันลงมา 3 ชั้น เรียกว่าวิหารซด ลักษณะของวิหารเตี้ย ไม่สูงใหญ่มากนัก และมีทางเข้าออกทั้งสี่ทิศ

4

พระประธานในโบสถ์วัดภูมินทร์ หนึ่งในพุทธศิลป์งามล้ำ เป็น Unseen Thailand เพราะมีพระประธาน 4 องค์ หันหน้าไปสี่ทิศ สะท้อนคติความเชื่อล้านนาเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าสี่พระองค์ ซึ่งได้มาอุบัติขึ้นแล้วในภัทรกัปนี้

6

นาคที่ราวบันไดทางขึ้นโบสถ์วัดภูมินทร์ ว่ากันว่าเป็นต้นแบบของนาคทั้งปวงของล้านนา สองตัวนี้เป็นนาคตัวผู้และตัวเมีย

7

วัดช้างค้ำ ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองน่าน ตรงข้ามวัดภูมินทร์และข่วงเมืองนั่นเอง

8

พระประธานในโบสถ์วัดหนองบัว สร้างด้วยศิลปะไทลื้อแท้ๆ งดงามด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังอันละเอียดประณีต

9

ศาลหลักเมืองน่าน อยู่ที่วัดมิ่งเมือง งามโดดเด่นด้วยศิลปะปูนปั้นร่วมสมัยอันวิจิตรพิสดาร

10

วัดพระธาตุเขาน้อย มีจุดชมวิวตัวเมืองน่านจากมุมสูง เช้าเย็นสวยงามมาก

11

งามช้างดำ โบราณวัตถุล้ำค่าคู่เมืองน่าน เป็นงาช้างดำเพียงกิ่งเดียวของไทยที่มีอยู่ในปัจจุบัน

12

ภาพเก่าของเมืองน่าน ในคุ้มเจ้าราชบุตร วังเก่าที่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมได้

13

เรือนแบบไทลื้อขนานแท้ ปัจจุบันยังหาชมได้ในแถบวัดหนองบัว อำเภอท่าวังผา

14

น่านเป็นเมืองเนิบช้า Slow Town ที่ผู้คนยังคงยึดมั่นในพระพุทธศาสนา ทุกเช้าจะมีการตักบาตรในตลาดเช้าและตัวเมือง ช่วยกันสืบสานอายุพระพุทธศาสนา

15

16

วงสะล้อซอซึงของพ่ออุ้ยที่อำเภอท่าวังผา ฟังแล้วช่างเข้ากับบรรยากาศของเมืองสงบเงียบ แสนน่ารักอย่างน่าน ซะเหลือเกิน

21

รำตัวอ่อน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองน่าน เห็นท่านี้แล้วอย่าลองทำล่ะ เพราะจะมีก็แต่เด็กๆ กับคนที่ฝึกฝนประจำเท่านั้นจึงจะร่ายรำแบบนี้ได้

17

สาวงามเมืองน่านในงานต้อนรับนักท่องเที่ยว

18

ลองมาชิมขันโตกเมืองน่าน รับลองลำแต้ๆ เจ้า

19

20

ศูนย์ OTOP เมืองน่าน มีสินค้าให้เลือกเพียบ โดยเฉพาะงานฝีมือ ผ้าทอ ผ้าชาวเขา และเรือแข่งจำลอง

23

ผาวิ่งชู้ หรือผาชู้ ในยามเช้าอันหนาวเย็น เป็นจุดชมวิวและชมทะเลหมอกยอดฮิต

24

22

เสาดินนาน้อย (มีลักษณะคล้ายกับแพะเมืองผี จ.แพร่ และละลุ จ.สระแก้ว) เกิดจากการกัดเซาะของน้ำ จนมีรูปร่างแปลกตา ได้ฉายาว่า Canyon เมืองไทย หรือ Grand Canyon แห่งล้านนา

25

ป่าปาล์มยักษ์ที่ดอยภูคา เป็นปาล์มหายากใกล้สูญพันธุ์ของโลก เคยพบเช่นกันในแถบจีนตอนใต้ แต่ที่นั่นสูญพันธุ์ไปแล้ว ของดอยภูคาจึงเหลือเป็นแหล่งสุดท้ายในธรรมชาติ ปัจจุบันเราสามารถเพาะพันธุ์เพิ่มเติมได้แล้ว

26

 เมเปิลภูคา เป็นพรรณไม้เฉพาะถิ่นที่พบเพียงแห่งเดียวที่นี่ จะผลัดใบเป็นสีแดงในต้นฤดูหนาวอย่างสวยสดงดงาม

27

ลานดูดาว เป็นหนึ่งลานกางเต็นท์บนดอยภูคา ช่วงหน้าหนาวจะมีหมอกโรยตัวลงปกคลุมเช่นนี้
28

นาขั้นบันไดแถบอำเภอบ่อเกลือ งามด้วยผืนพรมสีเขียวของต้นข้าวที่เพิ่งแตกกอใหม่ๆ ส่วนมากเป็นข้าวไร่ หรือข้าวดอย ที่ไม่ต้องใช้น้ำมาก

อลังการนางพญาเสือโคร่งบาน ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่

3

ทะเลสาบขุนวาง และทิวต้นนางพญาเสือโคร่งในต้นฤดูหนาว

4

ริมทะเลสาบขุนวาง ข้างโครงการอนุรักษ์กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ ในฤดูหนาวจะมีนางพญาเสือโคร่งบานแสนคลาสสิก ดูๆ ไปเหมือนญี่ปุ่นไม่น้อนเลย

5

ความงามหวานซึ้ง ของดอกนางพญาเสือโคร่งที่ขุนวาง อินทนนท์ แปลกดีที่บางต้นดอกเล็ก บางต้นดอกใหญ่ ก็คงจะเหมือนคนเรานี่ล่ะ ที่มีทั้งตัวใหญ่ ตัวเล็ก ทำให้เกิดความหลากหลายของรูปทรงและสีสัน

8

ป่าเปลี่ยนสีที่ด้านหลังดอยอินทนนท์ ทางไปขุนวาง โครงการอนุรักษ์รองเท้านารีอินทนนท์

10

เส้นทางเดินป่ายอดอ่างกาหลวง ชุ่มชื้น ปกคลุมด้วยเมฆหมอก และความฉ่ำเย็นชั่วนาตาปี

Amazing Armenia

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

14

15

16

17

18

19

20

21

Traveler’s Guide

Best season : ฤดูใบไม้ผลิ เดือนมีนาคม-มิถุนายน ฤดูร้อน เดือนมิถุนายน-กันยายน ฤดูใบไม้ร่วง เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน จากนั้นจะเข้าฤดูหนาวหิมะตก ช่วง High Season ของการท่องเที่ยว คือ เดือนพฤษภาคม-ตุลาคม

How to go : ยังไม่มีเที่ยวบินตรงกรุงเทพฯ-เยเรวาน จึงต้องบินไปเปลี่ยนเครื่องที่กรุงเตหะราน อิหร่าน ก่อน ใช้เวลาบิน 7 ชั่วโมงครึ่ง จากนั้นบินเตหะราน-เยเรวาน (เมืองหลวงของอาร์เมเนีย) ใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง ส่วนการเดินทางท่องเที่ยวภายในอาร์เมเนีย ควรติดต่อผ่านบริษัททัวร์ที่เชี่ยวชาญ

Where to stay : ในเยเรวาน แนะนำโรงแรม Ani Plaza Hotel (www.anihotel.com) ส่วนที่เมืองดิลิจาน แนะนำ Paradise Hotel Dilijan (www.paradisehotel.am)

What to eat : อาหารหลักของคนอาร์เมเนีย คือ ข้าวและขนมปัง กินกับสลัดผัก ผักย่าง ผักม้วนไส้เนื้อ รวมถึงซุปต่างๆ เคบับสไตล์ตุรกี สเต็กต่างๆ หมูย่าง ไก่ย่าง เสต็กปลา ส่วนของหวานนิยมพวกผลไม้สด โดยเฉพาะแอปปริคอต เค็กที่ไม่หวานจัด ขนมซูจุ๊ก ขนมแป้งแผ่นลาวาช ปิดท้ายด้วยชากาแฟท้องถิ่น

Souvenirs : ขลุ่ยดูดุ๊ค, ผ้าปักลายพื้นเมือง, งานไม้แกะสลัก, เครื่องเงิน, เครื่องทองเหลือง, จิวเวอร์รี่, สร้อยคอหินสี, ผลไม้อบแห้ง, ลูกแอปปริคอตสด, ไวน์, บรั่นดี, งานศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา เช่น ไม้กางเขน, รูปเคารพต่างๆ ฯลฯ

More info : บริษัท Holiday World โทร. 0-2635-1255 แฟ็กซ์ 0-2635-1256 เว็บไซต์ www.gotogethertravel.com อีเมล์ info@gotogethertravel.com

วิ่งคลายชลบุรี ครั้งที่ 143 ประจำปี 2553

1

กลับมาแล้วอีกครั้ง กับงานเทศกาลหนึ่งเดียวในโลก ที่ยิ่งใหญ่และไม่เหมือนใครจริงๆ นั่นคือ “ประเพณีวิ่งควาย จังหวัดชลบุรี” ประจำปี 2557 วันที่ 4-10 ตุลาคม โดยปีนี้จัดเป็นปีที่ 143 แล้ว บ่งบอกให้เห็นว่า ประเพณีวิ่งควายและคนชลบุรีต่างผูกพันกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ต้องขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รวมถึงภาครัฐ ภาคเอกชน เจ้าของควาย และคนเมืองชล ที่ยังเห็นคุณค่าประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น แล้วอนุรักษ์เอาไว้ให้เราได้ชมกันอย่างสนุกสนาน

เล่ากันว่าประเพณีวิ่งควายถือกำเนิดขึ้นในจังหวัดชลบุรีเมื่อร้อยกว่าปีก่อนโน้น โดยจัดก่อนวันออกพรรษา 1 วัน สมัยนั้นเป็นช่วงนอกฤดูทำนา ควายได้พัก เจ้าของก็จะขี่มาวัด หรือใช้ลากเกวียนมาวัดเพื่อรอทำบุญออกพรรษา พอมรวมตัวกันเยอะ จึงเกิดการประกวดประขันควายใครสวยกว่า แข็งแรงกว่า แล้วกลายเป็นการแข่งขันวิ่งควายขึ้นในที่สุด ปัจจุบันจัดกันในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11

3

Miss Buffalo น้องนางบ้านนา คู่ขวัญเจ้าทุนแสนน่ารัก ปีนี้มาในชุดสีสันสดใส พร้อมด้วยการตกแต่งเจ้าทุยอย่างงดงามตระการตา พาไปร่วมขบวนพาเหรตวิ่งควาย ขอบอกว่าสาวเมืองชลเธอสวยไม่เป็นรองใครเหมือนกันนะเนี่ย

4

5

ปีนี้มีควายจากทั่วจังหวัดชลบุรี และบางจังหวัดในภาคอีสานเข้าร่วมกว่า 700-800 ตัว เรียกว่ามากันทุกอายุ ทุกเพศ ทุกวัย สังเกตเจ้าตัวเล็กที่อายุน้อย จะมีขนเป็นสีน้ำตาลอ่อน และเขาสั้นนิดเดียว ส่วนตัวที่โตเต็มที่ขนมักจะเป็นสีดำขลับ เขายาวโง้งสวย ตามแบบฉบับควายไทย ซึ่งเป็น Water Buffalo ที่ได้ชื่อว่ามีรูปร่างลักษณะสวยงามที่สุดในโลก ปีนี้นอกจากจะมีการแข่งวิ่งควายแล้ว ยังมีการประกวดสุขภาพควาย, การประกวดพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ และการตกแต่งควายสวยงามด้วยล่ะ

6

ก่อนแข่งวิ่งควายในรุ่นต่างๆ เจ้าของควายต้องพาเจ้าทุยแสนรัก เดินไปเดินมา จากจุด Start ไปจุด Finish ก่อน เพื่อให้เจ้าทุยคุ้นชินกับสภาพสนาม เคยชินกับดินบนพื้น และไม่ตื่นกับผู้คนมากมายที่มาคอยเชียร์อยู่สองฝั่งลู่วิ่ง นอกจากนี้ยังถือเป็นการ Warm Up ร่างกายควายและจ็อกกี้ (นักขี่ควายแข่ง) อีกด้วย พอได้เหงื่อสักนิด คราวนี้ก็เครื่องร้อน พร้อมแข่งกันล่ะ

78

แม้แต่จ็อกกี้ควายก็ยังต้องเดินซ้อม Warm Up ร่างกายก่อนแข่งขันจริงด้วยเหมือนกัน

9

งานวิ่งควายยังมีกิจกรรมอนุรักษ์กีฬาพื้นบ้านเมืองชลอีกหลายอย่างให้ชม สนุกทั้งนั้น โดยเฉพาะการแข่งขันปีนเสาอาบน้ำมัน เพื่อขึ้นไปเก็บเงินที่อยู่บนยอดเสา กว่าจะสำเร็จก็เล่นเอาเหงื่อตก! ใช้เวลาไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมง เพราะเสาลื่นมาก เขาบอกว่าเทคนิคสมัยโบราณให้เอาขี้เถ้าผสมกับทรายละเอียด ทามือก็จะมีแรงฝืด ปีนขึ้นไปถึงยอดเสาได้สำเร็จ!

1011

และแล้วก็ได้เวลาที่รอคอย เมื่อกรรมการที่เส้นปล่อยตัวให้สัญญาณ ควายในรุ่นต่างๆ ก็พุ่งทะยานออกจากคอก ห้อตะบึงวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต โดยมีจ็อกกี้ควายหวดไม้หวายเสียงดังเพี๊ยะๆ อยุ่บนหลัง เห็นแล้วน่าสงสารน้องควายของเราเหมือนกัน แข่งกันในแต่ละรอบใช้เวลาแค่ไม่ถึงนาที! ไม่นึกเหมือนกันว่าควายไทยจะ Speed ดี วิ่งได้เร็วถึงปานนี้! แต่พอถึงเส้นชัย กว่าจะเบรกให้หยุดได้ก็ยาก คนดูต้องหลบกันกระเจิง!

12

การถ่ายภาพวิ่งควายถือว่าปราบเซียน! เพราะช่างภาพทุกคนจะเจอปัญหาว่า จะ Focus ภาพยังไงให้ทัน? เพราะควายวิ่งเร็วเหลือเกิน แถมยังเคลื่อนที่เข้าหากล้องด้วย แนะนำว่าถ้าใครใช้กล้องโปรๆ หน่อย ก็ให้ปรับ Mode การ Focus ไปที่ Continueous แทน Single แล้วใช้การ Focus แบบหลายจุด จากนั้นปรับการวัดแสงจาก Mode Manual (ถ้าใครชอบใช้) มาเป็น Auto เมื่อควายวิ่งเข้ามาด้วยความเร็ว ให้กดย้ำปุ่มชัดเตอร์เบาๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อเป็นการกระตุ้น Continueous Focus ของเลนส์ (โฟกัสต่อเนื่อง) สลับกับการรัวชัตเตอร์ ต่อเนื่องเป็นชุดใน Speed สูงสุดที่กล้องทำได้ ภาพนี้ผมใช้กล้อง Nikon D3 ยิงได้ 11 ภาพต่อวินาที! ไม่มีหลุดโฟกัสเลยสักภาพเดียว!

13

14

15

การแข่งขันวิ่งควายเมืองชล แบ่งเป็นหลายรุ่นหลายประเภทนะครับ ไล่ตั้งแต่ควายซุปเปอร์จิ๋ว, ควายรุ่นจิ๋วพิเศษ, ควายรุ่นจิ๋วเล็ก, ควายรุ่นจิ๋วใหญ่, ควายรุ่นใหญ่ ฯลฯ ที่เห็นเขาโง้งๆ ยังกับวงเดือน ตัวดำขลับคล้ายกระทิงขนาดนี้ ขอบอกได้เลยว่าเป็นประเภทใหญ่สุด Super Heavy Weight ตัวใหญ่สุด เวลาควายวิ่งกันไม่คิดชีวิตแบบนี้ ช่างภาพต้องระวังตัวด้วย คอยหาทางหนีทีไหล่ให้ดี และต้องยืนอยู่ในจุดปลอดภัยด้วยครับ

16

จ็อกกี้ควายปีนี้ มีเด็กสุดอายุแค่สิบกว่าขวบ แต่แรงจริง ขอบอก ชนะแล้วชนะอีก โตขึ้นต้องรุ่งแน่น้อง! ขนาดผู้ใหญ่ยังอายเลย

17

18

19

20

21

22

น้องควายเผือก (อีสานเรียก “ควายด่อน”) แสนน่ารัก ขนจะเป็นสีขาวหรือสีชมพูเรื่อๆ เขาว่าเกิดจากการผ่าเหล่าทางพันธุกรรม จึงทำให้ขนไม่เป็นสีดำหรือน้ำตาลเข้มเหมือนพ่อแม่

23

24

คุณลุงเป็นคนบ้านบึงแท้ๆ เกิดในชลบุรีแท้ๆ ทำนามาหลายชั่วอายุคน วันนี้เอาควายเมืองชลสายพันธุ์แท้มาโชว์อย่างภาคภูมิใจ

25

ควายเมืองชล หรือควายพันธุ์ชลบุรีแท้ๆ จะมีลักษณะที่เห็นตามในภาพ คือมีร่างกายกำยำล่ำสัน กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ สังเกตง่ายๆ ขนตามตัวจะยาวกว่าควายถิ่นอื่น และขนสีดำสนิท เลื่อมเป็นมัน แลคล้ายกระทิง! เจ้าของบอกว่า ถ้าเลี้ยงแบบปล่อยธรรมชาติ ให้นอนเล่นปลักเล่นโคลนตามประสา ขนควายจะยิ่งดำเลื่อมสวยงามมาก นับเป็นเอกลัษณ์ของควายเมืองชล ที่ควรจะช่วยกันอนุรักษ์พันธุ์ไว้ไม่ให้สูญหาย

26

27

 Special Thanks : ขอขอบคุณ กองประชาสัมพันธ์ในประเทศ ฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ ททท. สำนักงานพัทยา (ชลบุรี) สนับสนุนการเดินทางทริปนี้เป็นอย่างดียิ่ง

สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-3842-7667, 0-3842-8750, 0-3842-3990

บุกโลกไดโนเสาร์ล้านปี ขอนแก่น-กาฬสินธุ์

02

ภาคอีสานตอนกลางเป็นบริเวณที่มีเอกลักษณ์น่าเที่ยว ต่างจากอีสานตอนเหนือบริเวณริมลำน้ำโขง หรืออีสานตอนใต้ที่ได้รับอิทธิพลจากอาณาจักรเขมรในอดีต ทว่าอีสานภาคกลางบริเวณขอนแก่น-กาฬสินธุ์ มีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบ สลับกับเนินเขาที่ไม่สูงมาก มักเป็นภูเขาลูกเดี่ยวๆ โดดๆ แหล่งท่องเที่ยวของเขาจึงเน้นไปที่วัดวาอาราม ประเภทวัดป่า รวมถึงแหล่งโบราณคดีไดโนเสาร์ล้านปี ซึ่งเคยมีชีวิตครองความเป็นใหญ่ในบริเวณนี้เมื่อหลายสิบล้านปีก่อน ลองหลับตานึกจินตนาการตามฉันดูซิ ว่าในยุคหนึ่งเคยมีไดโนเสาร์ทั้งตัวใหญ่ตัวเล็ก ทั้งพวกกินเนื้อและกินพืช เดิมท่อมๆ หากิน ฝากรอยเท้าไว้แถวนี้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะปัจจุบันยังมีหลักฐานทางบรรพชีววิทยา (สิ่งมีชีวิตในอดีต) ปรากฏเป็นซากฟอสซิล มีการขุดค้นพบมากมาย และไดโนเสาร์หลายชนิดที่พบบริเวณนี้ก็ถือเป็นชนิดใหม่ของโลกซะด้วย!

03

กล่าวกันว่าไดโนเสาร์พวกแรกปรากฏกายขึ้นเมื่อ 225 ล้านปีก่อน มีชีวิตอยู่ วิวัฒนาการ และแพร่พันธุ์ครอบครองโลกนานถึง 165 ล้านปี ก่อนจะสูญพันธุ์ไปหมดโลกเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว สันนิษฐานว่าด้วยสาเหตุอุกาบาตยักษ์ชนโลก แล้วทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ส่วนในเมืองไทยเรา มีการขุดค้นพบซากไดโนเสาร์ดึกดำบรรพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2519 ที่อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ตั้งแต่นั้นมาก็มีการค้นพบไดโนเสาร์ที่อยู่ในช่วงยุคจูราสสิกแล้วถึง 16 ชนิด โดย 6 ชนิด ถือเป็นชนิดใหม่ของโลก และอีก 5 ชนิด อยู่ในกลุ่มสกุลใหม่ของโลก เห็นไหมล่ะว่าภาคอีสานตอนกลางของไทยเราไม่ธรรมดาจริงๆ

เมื่อฉันมาเที่ยวถึงขอนแก่นแล้ว ก็ไม่พลาดไปชม “พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง” อำเภอเวียงเก่า ซึ่งขุดพบซากไดโนเสาร์ดึกดำบรรพ์จำนวนมาก และเป็นอุทยานไดโนเสาร์แห่งแรกในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีการค้นพบซากไดโนเสาร์ที่ได้รับการตั้งชื่อตระกูลใหม่หลายชนิด เช่น สยามโมไทรันนัส อิสานเอนซิส (Siamotyrannus isanensis) ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน (Phuwiangosaurus suteethorni) และกินรีมิมัส ขอนแก่นเอนซิส (Kinnareemimus Khonkaenensis) ฯลฯ โดยเฉพาะพันธุ์ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน ได้รับการตั้งชื่อขึ้นตามพระนามของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นชนิดที่โด่งดัง เพราะเป็นชนิดใหม่ของโลก

ภายในพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียงเริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวทั่วไปเข้าชม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 จัดแสดงไดโนเสาร์ขนาดเท่าจริงแสดงไว้หลายสิบชนิด ภายในห้องนิทรรศการติดแอร์เย็นฉ่ำ ส่วนบริเวณอุทยานแห่งชาติภูเวียง เราก็สามารถเดินไปดูหลุมขุดค้นจริงได้ใกล้ชิด

ระหว่างทางกลับจากพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง ที่อำเภอเวียงเก่า ฉันแวะที่ สวนไดโนเสาร์ศรีเวียงเป็นสวนสาธารณะสวยกว้างถึง 25 ไร่ โดยเขามีการจำลองไดโนเสาร์พันธุ์ต่างๆ ให้ชมอย่างใกล้ชิด ในลักษณะสวนกลางแจ้งที่มีเทือกเขาภูเวียงเป็นฉากหลังอยู่ไกลลิบๆ

04

ฉันเลยตามรอยไดโนเสาร์ต่อไปยังจังหวัดกาฬสินธุ์ที่ พิพิธภัณฑ์สิรินธร บริเวณภูกุ้มข้าว อำเภอสหัสขันธ์ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถือเป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องไดโนเสาร์ที่สมบูรณ์ที่สุดของไทย และในอาเซียน โดยเป็นแหล่งไดโนเสาร์กินพืชที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย มีการขุดค้นพบซากฟอสซิลกระดูกมากกว่า 700 ชิ้น! เป็นไดโนเสาร์กินพืชไม่น้อยกว่า 7 ตัว และไม่ทราบชนิด 1 ตัว คาดว่าอาจจะเป็นสกุลและชนิดใหม่ของโลก! พิพิธภัณฑ์สิรินธรทำเอาฉันตื่นเต้นไม่น้อย เพราะห้องโถงแรกที่เดินเข้าไป ก็เจอเข้ากับเจ้าตัวกินเนื้อ เป็นไดโนเสาร์ทีเร็กจำลองตัวสูงใหญ่ หน้ายาว ฟันแหลมคม เหมือนกับที่ดูในหนังฮอลลีวู๊ดเรื่อง Jurassic Park ไม่มีผิด ตอนนี้มันยืนแยกเขี้ยวอยู่ตรงหน้าฉันจริงๆ แล้วน่ะสิ!

05

06

07

หลังจากกลับเข้ามานอนที่ขอนแก่นอย่างสบายอารมณ์แล้ว วันที่สองฉันจัดให้เป็นวันทัวร์ไหว้พระ โดยมี อาจารย์คฑา ชินบัญชร เป็นไกด์กิตติมศักดิ์ให้ เริ่มจากการไปกราบ พระมหาธาตุแก่นนคร ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับบึงแก่นนครกลางเมืองขอนแก่น ความพิเศษคือเป็นพระธาตุทรงสี่เหลี่ยม สูงมากถึง 80 เมตร แบ่งเป็น 9 ชั้น ฉันก้มลงกราบพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ส่วนอุรังคธาตุ (ส่วนอก) และพระธาตุของพระสาวกประมาณ 100 องค์ ที่บรรจุอยู่ในโถแก้ว พร้อมกับอธิษฐานให้ชีวิตมีแต่สุขสวัสดี จากนั้นก็นั่งรถต่อไปยัง พระธาตุขามแก่นเพื่อเวียนเทียนและห่มผ้าพระธาตุเพื่อสิริมงคลในชีวิต

08

09

พระธาตุขามแก่นเป็นหนึ่งในพระธาตุสำคัญคู่บ้านคู่เมืองขอนแก่นมานานกว่า 2,000 ปีแล้ว ตำนานเล่าว่าในครั้งที่กำลังมีการก่อสร้างพระธาตุพนมอยู่นั้น โมริยกษัตริย์แห่งเขมรเกิดความศรัทธา ต้องการจะนำฝุ่นพระธาตุที่ตนมีไปร่วมบรรจุไว้ในพระธาตุพนมด้วย จึงจัดขบวนเดินทางไกลมา แต่ไปไม่ทัน องค์พระธาตุพนมสร้างเสร็จไปก่อน ขากลับได้แวะพักในป่ามะขาม พบว่าตอมะขามที่ตายแล้ว ซึ่งพระองค์ได้นำโถบรรจุฝุ่นพระธาตุไปวางไว้ในตอนขาไป บัดนี้ได้ฟื้นคืนชีวิตงอกแตกใบขึ้นใหม่เป็นอัศจรรย์ จึงได้สร้างพระธาตุคร่อมตอมะขามนั้น จนกลายเป็นพระธาตุขามแก่นอันศักดิ์สิทธิ์มาตราบทุกวันนี้ ใครที่ตั้งใจไปกราบไหว้อธิษฐานขอพรให้ฟื้นคืนหายจากโรคภัยต่างๆ ก็มักจะได้สมดังหวังอย่างไม่น่าเชื่อ!

010

011

“วัดไชยศรี” บ้านสะวี อำเภอเมืองขอนแก่น เพื่อชม “สิม” หรือโบสถ์แบบอีสาน ที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2408 ทำไมต้องมาชม? เพราะสิมแห่งนี้ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน เนื่องจากทั้งภายในและภายนอกมี “ฮูปแต้ม” หรือภาพจิตรกรรมฝาผนัง วาดไว้แทบทุกซอกทุกมุม โดยจิตกรพื้นบ้านนามว่า นายทอง ทิพย์ชา ชาวมหาสารคาม ส่วนใหญ่วาดเป็นรูปพุทธประวัติ พระเวสสันดรชาดก และนิทานพื้นบ้านเรื่องสังข์สินไชย อันเป็นนิทานพื้นบ้านยอดฮิตของอีสานมาแต่โบราณ นายทองได้ใช้สีธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่น คือสีน้ำเงินจากต้นคราม สีเหลืองจากต้นเข และสีขาวจากปูนขาว ทำให้ภาพมองสบายตา ที่พิเศษอีกอย่างคือตรงประตูทางเข้าโบสถ์นายทองได้วาดเป็นรูปนรกภูมิ ดูน่าขนลุก!

012

013

“Farm View” อยู่ในโรงแรงแรมเมเจอร์แกรนด์ อำเภอชุมแพ ต้องบอกเสียงดังๆ เลยว่า ตอนนี้ขอนแก่นเขาก็มีน้องแกะเอาไว้ให้ไปถ่ายภาพคู่แล้วเหมือนกันนะ ความน่ารักของน้องแกะฝูงเล็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ในทุ่งหญ้าสีเขียวๆ ด้านหลังสร้างเป็นโรงนาสีแดงสดสไตล์ American Farm House ทำให้บรรยากาศขอนแก่นวันนี้ดูสวยผิดหูผิดตาไปจริงๆ

014

015

016

“วัดภูค่าว” (หรือวัดพุทธนิมิต) อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ขอบอกว่าวัดนี้ไม่ธรรมดาเช่นกัน เพราะนอกจากจะมีโบสถ์ไม้สักใหญ่โตมโหฬาร แกะสลักอย่างวิจิตรแล้ว ยังมีพระมหาธาตุเจดีย์สถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธนิมิตเหล็กไหลสีดำสนิท น่าศรัทธาเลื่อมใสอย่างยิ่ง ฉันเดินชมภายนอกพระมหาธาตุเจดีย์ถึงกับตะลึง เพราะด้วยขนาดอันใหญ่โต จนต้องมองคอตั้งบ่า ส่วนภายนอกนั้นบุไว้ด้วยแผ่นดินเผาสีน้ำตาลเป็นลวดลายต่างๆ อย่างน่าทึ่งจริงๆ

017

018

ศาลาไหมไทย แหล่งรวมผ้าไหมของอำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น อุตส่าห์เตรียมตังค์มาซื้อผ้าไหมฝากแม่แล้วทั้งที ก็ต้องแวะให้ถึงแหล่งผลิต จะได้ชมสาธิตวิธีการทอ การทำ การสาวไหมด้วย เห็นแล้วต้องยอมควักเงินซื้อเลยเต็มที่ เพราะกว่าจะได้ผ้าไหมมัดหมี่มาแต่ละผืน ต้องทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ ใส่ฝีมือ บวกกับความชอบ ลงไปแบบเต็มๆ เรียกว่างานทอผ้าไหมนี่นะ ใครไม่รักไม่ชอบจริงคงนั่งทออยู่เป็นวันๆ ไม่ได้แน่ ฉันกับเพื่อนๆ เลยช่วยกระจายรายได้ให้กลุ่มแม่บ้านไป จนกระเป๋าตังค์เบาหวิว แต่ก็ดีใจที่ได้ช่วยอุดหนุนเป็นกำลังใจให้ผ้าไหมอำเภอชนบทสามารถเดินหน้าต่อไปได้

019

020

Special Thanks : ขอขอบคุณ คุณสามพร มณีไมตรีจิต ผู้อำนวยการกองตลาดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ ททท. สำนักงานขอนแก่น-กาฬสินธุ์ สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี

 Traveler’s Guide

When to go : เส้นทางอีสานตอนกลาง ขอนแก่น-กาฬสินธุ์ เที่ยวได้ตลอดปี โดยเฉพาะฤดูฝนและหนาว อากาศเย็นสบาย ถ่ายรูปได้สวย ที่พักที่กิน รวมถึงถนนหนทางสะดวกมาก

How to go : เดินทางสะดวกรวดเร็ว และประหยัด แนะนำบินตรงกรุงเทพฯ-ขอนแก่น จากนั้นเช่ารถตู้ หรือรถยนต์ขับเที่ยวได้สบาย เส้นทางเชื่อมโยงขอนแก่น-กาฬสินธุ์-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด เที่ยวได้หลากหลาย

Where to stay : แนะนำ โรงแรม Pullman อยู่กลางเมืองขอนแก่น โทร. 0-4332-2155 www.pullmanhotels.com หรือถ้าอยากได้ที่อยู่ติดสนามบินขอนแก่น ราชาวดี รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล โทร. 0-4346-8222 www.rachawadeehotel.com เดินทางต่อเข้าเมืองได้สบายด้วยบริการแท็กซี่ 24 ชั่วโมง

What to eat : มาขอนแก่นอย่าลืมชิมอาหารพื้นเมือง พวกไข่กระทะ ขนมปังบาแกตต์, ส้มตำไก่ย่าง, โจ๊กจั๊บเส้น, ข้าวเปียกเส้น, หมูยอ ฯลฯ แนะนำ ร้านไอยรา คอฟฟี่ & คิชเช่น ถนนอนามัย โทร. 08-7263-7288

Souvenirs : ผ้าไหมมัดหมี่ อำเภอชนบท, หมูยอขอนแก่น, เสื้อยืดและตุ๊กตาไดโนเสาร์, ผ้าไหมแพรวากาฬสินธุ์

More info : ททท. สำนักงานขอนแก่น-กาฬสินธุ์-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด โทร. 0-4322-7714-6 / บริษัท ฟูจิ ทัวร์ โทร. 09-8273-4435 ,08-7695-9582

Colourful Life @สวนผึ้ง

มีคนเคยกล่าวว่า สวนผึ้ง คือผืนป่าที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะอยู่ห่างกันแค่ไม่เกิน 160 กิโลเมตรเท่านั้น พื้นที่กว่าร้อยละ 90 ของสวนผึ้งยังฉาบทาไว้ด้วยสีเขียวของผืนป่า แมกไม้ สายธาร และสายหมอกขาวที่ลอยคลอเคลียยอดเขาอยู่ในเวลาเช้า ลมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดพาเอาความชื้นเข้ามาจากชายทะเลเมืองทวายของเมียนมาร์ ได้พัดเลยเข้าสู่สวนผึ้ง ทำให้อากาศที่นี่เย็นสบาย โดยเฉพาะในฤดูหนาวและฝน ที่อากาศเย็นฉ่ำไม่แพ้ภาคเหนือเลยสักนิดเดียว ใครไม่อยากเดินทางไกลไปขึ้นดอยตอนปลายปี ต้องไปแย่งกิน แย่งเที่ยว แย่งนอน กับคนนับไม่ถ้วน ลองมาสัมผัสสวนผึ้ง ก็น่าจะเป็นตัวเลือกสำหรับการท่องเที่ยวที่ยอดเยี่ยมอีกแห่งหนึ่งเลยทีเดียว

ที่มาของชื่ออำเภอ สวนผึ้ง” เขาบอกว่ามาจากพื้นที่โดยทั่วไปของเขตนี้มีสภาพเป็นธรรมชาติ ป่าไม้ เทือกเขา โดยมีต้นไม้อยู่ชนิดหนึ่ง เป็นต้นไม้ที่มีเปลือกสีขาวนวล ไม่มีเปลือกกะเทาะหรือลอกให้เห็น ที่สำคัญคือจะมีผึ้งจำนวนมากมาอาศัยทำรังอยู่บนต้นไม้ชนิดนี้เท่านั้น ชาวบ้านจึงเรียกต้นไม้ต้นนั้นว่า ต้นผึ้ง” และได้กลายเป็นชื่ออำเภอในปัจจุบัน

021-620x411

031-620x404

04-620x412

ความ Unseen อีกอย่างของสวนผึ้งที่แทบไม่เคยมีใครรู้มาก่อนเลยก็คือ สวนผึ้งมีทุ่งดอกไม้กับเขาด้วย เรียกว่า ทุ่งปอเทือง ซึ่งชาวบ้านแถบนี้นิยมปลูกกันมากในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน เท่านั้น เพื่อเป็นการบำรุงดิน ระหว่างที่พักดินไม่ได้ปลูกพืชไร่หลักๆ โดยในช่วงเดือนดังกล่าว ต้นปอเทืองที่ขึ้นเบียดกันแน่นพรึบจะพร้อมใจกันออกดอกสีเหลืองสดใสฉูดฉาดบาดตา จะขับรถมาแวะชม ถ่ายภาพ หรือปั่นจักรยานชมทุ่งปอเทือง ก็นับเป็นภาพที่วิเศษ ไม่แพ้ทุ่งดอกทานตะวัน หรือทุ่งดอกบัวตอง เลย เพียงแต่ว่าทุ่งปอเทืองไม่ได้มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ทว่าปลูกกระจายกันอยู่หลายแห่งในสวนผึ้ง จึงต้องขยันขับรถหากันนิดนึงนะ

051-620x412

061-620x412

บรรยากาศในบางรีสอร์ทของสวนผึ้ง ดูๆ ไปช่างหน้าตาเหมือนกับแคว้น Provence ในฝรั่งเศสตอนใต้ซะเหลือเกิน

07-620x412

            กิจกรรมน่าสนุกที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้ที่สวนผึ้งก็คือ การปั่นจักรยานเที่ยว ชมธรรมชาติ และวิวป่าไม้ วิวภูเขาสวยๆ ไปตามเส้นทางต่างๆ ซึ่งปัจจุบันทางชมรม I Love สวนผึ้ง และกลุ่มนักปั่นจักรยานสวนผึ้ง ได้ร่วมกันจัดทำเส้นทางปั่นจักรยานเที่ยวไว้มากถึง 5 เส้นทาง คือ เส้นทาง 17 กิโลเมตร, 30 กิโลเมตร, 32 กิโลเมตร, 33 กิโลเมตร และ 50 กิโลเมตร ฟังดูอาจเหมือนไกล แต่สำหรับนักปั่นมืออาชีพคงบอกว่า แค่นี้มันจิ๊บจ้อยมาก ส่วนนักท่องเที่ยวทั่วไปที่ปั่นจักรยานไม่ไหว แต่อยากเที่ยวตามเส้นทางอันสวยงามนี้ ก็สามารถขับรถชมธรรมชาติตามรอยไปได้อย่างสบาย

08-620x412

ไปเล่นกับน้องแกะแสนน่ารักที่ The Scenery Vintage Farm

09-620x412

บรรยาากาศภายใน The Scenery Farm ดูๆ ไปคล้ายบ้านไร่ในยุโรป หรือไม่ก็เป็น Farm House สไตล์อเมริกันจ๋า

013-620x412

ในช่วงฤดูหนาว ที่ The Scenery Farm มักจะมีการจัดงาน event เก๋ๆ เพิ่มเสน่ห์เพิ่มสีสันให้กับฟาร์มแกะแห่งนี้ ในภาพเป็นการจัดเทศกาล Art in Ratchaburi มีการจุดเทียนหอมนับหมื่นดวงทั่วงานา

010-620x412

“Morning Glory Resort” เขาไม่ได้เป็นแค่ที่พักเก๋แบบบูติกสี่ดาวเท่านั้น ทว่ายังมี ฟาร์มกระต่าย” ที่สาวๆ หลายคนเห็นแล้วกรี๊ด รีบวิ่งลงไปเล่นกับน้องกระต่ายแสนน่ารัก ทีแรกเจ้ากระต่ายน้อยอาจจะเขินอาย แอบหลบอยู่ในโพรงใต้ดิน หรือในบ้านหลังน้อยที่เขาสร้างไว้ให้มันหลบพัก แต่พอเริ่มคุ้นกับเรา มันก็จะอยู่นิ่งๆ ให้อุ้ม ให้ลูบเล่น อย่าลืมเอาอาหารกระต่ายที่เขาเตรียมไว้ให้ใส่มือเรา แล้วยื่นให้เจ้ากระต่ายน้อยเข้ามากิน จะรู้สึกจั๊กระจี๊ดี พอเล่นกับน้องกระต่ายเสร็จ ก็ล้างมือล้างไม้ให้เรียบร้อย ตรงรี่เข้าไปที่ Morning Glory The Bakery House ร้านเบเกอร์รี่ของรีสอร์ทสุดฮิป ที่คนกรุงเทพฯ ขับรถไปชิมกันไม่ได้ขาด ก็เพราะเขามีเชฟสาวสวยคนเก่ง คอยคิดค้นสูตรเค้กพิเศษๆ แบบ Home Made เองกับมือ โดยเฉพาะเค้กดาร์กช็อกโกแลต และเค้กมะพร้าวอ่อน รสหวานนุ่มนวล กินคู่กับกาแฟยามบ่ายสไตล์อังกฤษ พร้อมกับชมวิวภูเขาตรงหน้า จะมีอะไรสุขมากไปกว่านี้อีกเล่า?

011-620x932

น้องกระต่ายแสนน่ารักและแสนเชื่อง ที่ Morning Glory

 012-620x412

ต้นผึ้งใหญ่อายุหลายร้อยปี ที่มาของชื่อำเภอสวนผึ้ง ปัจจุบันอยู่ที่ สวนผึ้งฟาร์ม

 015-620x932

ภาพนี้สวยแบบวิ้งๆ Background มีโบเก้เป็นวงสวยงาม ช่วยชับเน้นเทียนในแก้วให้ดูเด่นขึ้นมาอย่างมีเสน่ห์ เพราะใช้เลนส์ 50 มม. f1.4 เปิดหน้ากล้องที่ประมาณ f2 ทำให้ได้ฉากหลังเบลอสวยแบบนี้ล่ะ

บ้านหอมเทียน แห่งสวนผึ้ง เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตที่โด่งดังมานาน และทุกวันนี้ก็ยังคงเสน่ห์เหมือนเดิม แค่เดินเข้าไปด้านหน้า ก็จะได้กลิ่นหอมของเทียนรูปร่างหน้าตาแปลกๆ เก๋ๆ น่ารักๆ มีทั้งทรงสี่เหลี่ยม วงกลม สามเหลี่ยม ใส่โถแก้ว และอีกมากมาย เอาไว้ให้เราไปจุดเล่นที่บ้าน เทียนหอมบางกลิ่น อย่างกลิ่นดอกลาเวนเดอร์ จุดแล้วช่วยให้ผ่อนคลายหายเหนื่อย หลับสบายได้จริงๆ

Special Thanks : ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สนับสนุนการเดินทางทำสารคดีเรื่องนี้ เป็นอย่างดี

 

Traveler’s Guide

When to go : ท่องเที่ยวได้ตลอดปี โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม อากาศเย็นสบายที่สุด

How to go : สะดวกสุด ใช้รถยนต์ส่วนตัว ทางหลวงหมายเลข 35 (เส้นถนนพระราม 2 – ธนบุรี-ปากท่อ) ผ่านจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม เลี้ยวขวาเข้าอำเภอปากท่อ ผ่านตัวเมืองราชบุรี เขาแก่นจันทร์ แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 3208 มุ่งหน้าสู่อำเภอสวนผึ้ง รวมระยะทางประมาณ 160 กิโลเมตร

Where to stay : แนะนำ Ashcarya Boutique Resort โทร. 0-3220-6345 www.ashcarya.com และ Morning Glory Resort โทร. 08-1355-5567, 08-1938-2000 www.morninggloryresort.com

What to eat : ครัวม่อนไข่ อร่อยกับเมนูอาหารสุขภาพ อาทิ ผักกูดผัดกะทิ, ปลาเนื้ออ่อนทอดกรอบกระเทียม, น้ำพริกปลาทู, ปีกไก่ทอดเกลือ, ต้มยำไก่, กาแฟปั่นใส่น้ำผึ้ง ฯลฯ ส่วนขนมหวานแสนอร่อย แนะนำ เค้กมะพร้าวอ่อน ที่ Morning Glory The Bakery House รสชาติหวานนวลกลมกล่อมเป็นที่สุด

Souvenirs : ของที่ระลึกเก๋ไก๋ มีทั้งเทียนหอม, ตุ๊กตาแกะ, เสื้อยืดสวยๆ, โปสการ์ด ฯลฯ รวมถึงผลิตภัณฑ์ชุมชน อย่างน้ำผึ้งป่า, ผักกูด, เห็ด, สับปะรด ฯลฯ

More info : ททท. สำนักงานราชบุรี โทร. 0-3247-1005-6 / ชมรม I Love สวนผึ้ง โทร. 09-2371-7799, 0-3239-5248 เฟสบุ๊ค www.facebook.com/ilovesuanphueng อีเมล ilovesuanphueng@gmail.com

เทศการถือศีลกินผัก ภูเก็ต 2014

 

เทศกาลถือศีลกินผักจังหวัดภูเก็ต เป็นความเชื่อขนบธรรมเนียม และประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา กว่า 200 ปีแล้ว! โดยมิได้ขาด มักเริ่มในวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน ซึ่งก็มักตรงกับช่วง ปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคมของทุกปีนั่นเอง ช่วงดังกล่าวตัวเมืองภูเก็ตจะดูมีสีสันเป็นพิเศษ เพราะจะมีการประดับริ้วผ้าธงทิวปลิวไสว บ่งบอกถึงเทศกาลถือศีลกินผักที่มาถึงแล้ว เป็นสัญญาณให้ผู้คน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งคนหนุ่มสาวและผู้เฒ่า พร้อมใจกันนุ่งขาวห่มขาว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ไปถือศีล สวดมนต์ งดเว้นการเบียดเบียนสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์ทุกชนิด บรรยากาศตลอดเทศกาลนี้จึงทำให้เกาะภูเก็ต เต็มไปด้วยมนต์ขลังของกลิ่นธูปควันเทียนอบอวล และเคล้าด้วยเสียงสวดมนต์ตามศาลเจ้าต่างๆ อย่างคึกคัก เช่นเดียวกับที่บริเวณวงเวียนหอนาฬิกา ในตอนกลางคืนจะมีการประดับโคมไฟมังกรอย่างสว่างไสวสวยงาม

2

น้องๆ ชาวภูเก็ตออกมาร่วมขบวนแห่ม้าทรง (แห่พระ) จากศาลเจ้าต่างๆ กันอย่างสนุกสนานเอิกเริก

 

3

สาวน้อยหน้าใสในขบวนแห่ม้าทรงไปรอบเมืองภูเก็ต ดูไว้เลย กินเจแล้วหน้าใสแบบนี้ล่ะ

 

4

สาวภูเก็ตน่ารักๆ อีกคน ยืนรอรับขบวนแห่ม้าทรง ซึ่งจัดสลับสับเปลี่ยนกันตลอดสิบวันของเทศกาลถือศีลกินผัก

 ศูนย์กลางของเทศกาลถือศีลกินผักภูเก็ตอยู่ที่ศาลเจ้าน้อยใหญ่ทั่วเกาะ ที่มีทั้งโรงทาน การสักการะบูชา และเป็นจุดเริ่มต้นของการเชิญเจ้ามาประทับทรงยังร่างทรง ที่เรียกันว่า “ม้าทรง” หรือ “พระ” อันเป็นตัวแทนของเทพ หรือพระโพธิสัตว์องค์ต่างๆ ผู้ลงมาโปรดสัตว์ให้อยู่สงบร่มเย็นในช่วงนี้ ทว่าก็มีเทพเจ้าปางดุหลายองค์ที่เมื่อประทับทรงแล้ว ก็จะใช้เหล็กแหลมเสียบแทงตามร่างกาย สร้างความหวาดเสียว เป็นอีกมุมอีกภาพหนึ่งของงานเทศกาลถือศีลกินผัก ในเชิงอิทธฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ซึ่งเราต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ แต่ก็ต้องไม่ลืมหัวใจของเทศกาลนี้ นั่นคือการทำกายใจให้บริสุทธิ์ เคร่งอยู่ในศีลในธรรมตลอดเวลา ทว่าใครที่ไม่สามารถถือศีลกินเจได้ครบทั้ง 9 วัน ก็ไม่ต้องกังวล เพราะเราสามารถทำได้ตามความสะดวก แค่มีเจตนาบริสุทธิ์ก็ได้บุญกุศลล้นเหลือแล้วล่ะ

5

ม้าทรง หรือพระ ที่ประทับทรงเทพองค์ต่างๆ กำลังให้พรกับผู้ศรัทธาที่มารอขบวนแห่กันแต่เช้า

 

6

เมื่อม้าทรงมีองค์เทพลงประทับแล้ว ก็จะมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป ไม่เป็นตัวของตัวเอง และสามารถพูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งๆ ที่ปกติพูดภาษาจีนไม่ได้เลย!

คุณประเสริฐ ฟักทองผล ประธานชมรมอ๊ามภูเก็ต (อ๊าม แปลว่า “ศาลเจ้า”) ได้ให้ความรู้ว่า นอกจากงานเทศกาลถือศีลกินผักจะจัดขึ้นเพื่อเอาบุญแล้ว ยังเป็นการสานความสามัคคีของคนภูเก็ต ทั้งเอกชน และภาครัฐ ที่มาร่วมจับมือกันจัดงานนี้ทุกปี ที่พิเศษสุดๆ คือ ปี 2557 นี้ จะมีเดือน 9 ถึง 2 ครั้ง ซึ่งนับว่าหาได้ยากยิ่งในช่วงชีวิตของคนๆ หนึ่ง โดยครั้งแรกตรงกับวันที่ 24 กันยายน-2 ตุลาคม 2557 และครั้งที่ 2 ตรงกับวันที่ 24 ตุลาคม-1 พฤศจิกายน 2557 จึงนับว่าเป็นปีมหามงคล ที่เราสามารถร่วมบุญ งดเว้นการเบียดเบียนชีวิตสัตว์ได้อย่างเต็มที่ เพราะกว่าจะมีเดือน 9 สองหนแบบนี้ต้องรอนานมาก โดยก่อนหน้านี้มีเมื่อ 182 ปีที่แล้ว และครั้งต่อไปต้องรออีก 95 ปีข้างหน้าโน่นเลย! ปีนี้เกาะภูเก็ตจึงจัดงานครั้งแรกอย่างยิ่งใหญ่เหมือนเดิม ส่วนครั้งที่สองจะจัดกันเฉพาะในอ๊าม (ศาลเจ้า) ไม่ได้มีขบวนแห่ยิ่งใหญ่ แต่เน้นไปที่การถือศีลปฏิบัติธรรม มาร่วมกินเจกันที่อ๊ามมากกว่า

7

เทพบางองค์ที่มาลงประทับในร่างม้าทรง ก็เป็นเทพเด็ก หรือเทพหญิงสาว จึงต้องหาม้าทรงที่มีความเหมาะสมกัน

อ๊ามใหญ่ๆ ของภูเก็ตมีอยู่นับสิบแห่ง ล้วนสร้างขึ้นจากแรงศรัทธาและทุนทรัพย์ของผู้คนบนเกาะ อาทิ ศาลเจ้ากะทู้ (ศาลเจ้าแห่งแรกที่จัดให้มีงานเทศกาลถือศีลกินผักบนเกาะภูเก็ต), ศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย เต้าโบ้เก้ง, ศาลเจ้าบางเหนียว, ศาลเจ้าบ้านท่าเรือ, ศาลเจ้าสามกอง, ศาลเจ้าสะปำ, ศาลเจ้าชุ่ยบุ่นต๋อง, ศาลเจ้าเจ่งอ๋อง และศาลเจ้าบ้านดอน เป็นต้น ประวัติการเริ่มต้นงานเทศกาลถือศีลกินผักที่ศาลเจ้ากะทู้เมื่อ 200 ปีก่อน เล่าสืบต่อกันมาว่า ในยุคนั้นบริเวณอำเภอกะทู้เรียกว่า ไล่ทู หรือ ในทู เป็นย่านทำเหมืองแร่ดีบุกที่เฟื่องฟูมาก เต็มไปด้วยร้านค้าและบ้านเรือนนับร้อยหลัง มีการว่าจ้างคณะงิ้วจากเมืองจีนให้มาเล่นประจำที่ศาลเจ้านี้ทั้งปี ทว่าต่อมาเกิดโรคระบาดขึ้น หัวหน้าคณะงิ้วจึงนึกขึ้นได้ว่าอาจเป็นเพราะตนลืมทำพิธีเจี๊ยะฉ่าย (กินผัก) ซึ่งตนเคยปฏิบัติเป็นประจำทุกปีที่เมืองจีน หลังจากมีการจัดพิธีนี้แล้ว โรคระบาดก็ลดน้อยจนหายไปหมดสิ้น! เป็นที่อัศจรรย์ จึงมีการจัดงานเทศกาลถือศีลกินผักบนเกาะภูเก็ตสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

8

ม้าทรงในชุดเต็มยศ แบบนี้หาดูได้เพียงปีละครั้งในช่วงปลายเดือนกันยายน-ต้นเดือนตุลาคม และมีให้ชมเพียงที่เดียวที่ภูเก็ต

 

9

ในช่วงเทศกาลถือศีลกินผัก ศาลเจ้าทั่วเกาะภูเก็ตจะได้รับการประดับประดาให้สวยงามเป็นพิเศษ

อย่างไรก็ตาม การจะเข้าร่วมถือศีลกินผักให้สมบูรณ์ มิใช่อยู่ที่การสวมชุดขาวเพียงอย่างเดียว เขามีหลักปฏิบัติอันเคร่งครัด 10 ข้อ คือ ห้ามฆ่าสัตว์และบริโภคเนื้อสัตว์, ห้ามกล่าวเท็จ, ห้ามเล่นการพนัน, ห้ามดื่มสุราและของมึนเมา, ห้ามลักขโมย, ห้ามีเพศสัมพันธ์, ห้ามสวมใส่เครื่องประดับและเครื่องหนัง, ควรสวมชุดขาว, ผู้ที่อยู่ระหว่างไว้ทุกข์ หญิงมีครรภ์ หญิงมีประจำเดือน ไม่ควรร่วมพิธีกรรมใดๆ และประการสุดท้ายคือ ให้ทำความสะอาดเครื่องครัว และแยกเครื่องใช้คนละส่วนกับคนที่ไม่ได้ถือศีลกินผักด้วย นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่ควรปฏิบัติอย่างยิ่ง 3 อย่างคือ กินผัก สวดมนต์ถือศีล และอยู่ในอาการสงบนิ่ง

งานเทศกาลถือศีลกินผักที่สมบูรณ์ประกอบด้วยพิธีต่างๆ มากมาย สุดแล้วแต่ว่าใครจะมีเวลาพอ เข้าร่วมหรือไม่ก็ได้ เขาไม่บังคับกัน เริ่มตั้งแต่พิธีป้างกุ้น (พิธีเชิญเทพทหารเพื่อรักษาปริมณฑลงาน), พิธีโข้กุ้น (พิธีเลี้ยงอาหารเทพทหารที่รักษาบริเวณงานกินผัก), พิธีส่งเก๊ง (พิธีสวดมนต์), พิธีป่ายชิดแช (พิธีบูชาดาว), การเล่นประทัดเพื่อต้อนรับขบวนแห่, พิธีอิ้วเก้ง (พิธีแห่พระ), พิธีโก้ยโห้ย (พิธีลุยไฟ), พิธีโก้ยห่าน (พิธีสะเดาะเคราะห์) และพิธีส่งพระในวันสุดท้าย โดยถือว่าช่วง 3 วันสุดท้ายของงาน จะจัดกันอย่างยิ่งใหญ่คึกคักที่สุด ขบวนแห่ของศาลเจ้าใหญ่ๆ ก็จะแห่รอบเมืองกันในช่วงท้ายๆ นี่เอง บางขบวนแห่กันตั้งแต่หกโมงเช้าถึงเที่ยงเพิ่งจะสุดขบวน! มีการจุดประทัดรับเทพกันเป็นล้านๆ นัด เสียงดังกึกก้องควันตลบฟุ้งไปทั่วตัวเมืองภูเก็ต พร้อมด้วยพิธีลุยไฟ ปีนบันไดมีด เคล้าเสียงกลองจีนรัวไม่หยุด

 

10

ตลอดสิบวันในช่วงเทศกาลถือศีลกินผัก จะมีขบวนแห่จากศาลเจ้าต่างๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันออกเดินไปรอบเมือง

 

11

เมื่อได้ยินเสียงกลองโหมระทึก และแลเห็นธงทิวสีสันสดใสแบบนี้มาแต่ไกล ก็เป็นสัญญาณว่าขบวนแห่ม้าทรงจากศาลเจ้าต่างๆ ได้มาถึงแล้ว

 

12

เมื่อเจ้าประทับทรงองค์ในร่างม้าทรงแล้ว ก็จะถูกพี่เลี้ยงแต่งองค์ทรงเครื่องให้ จากนั้นท่านก็จะเดินลงมาโปรดลูกศิษย์ที่เกี้ยวซึ่งจะเดินแห่กันต่อไป

 

13

ม้าทรงของเทพแต่ละองค์จะมีพฤติกรรมต่างกันไป บางองค์เต้นเหมือนลิง บางองค์เดินเหมือนคนแก่ แต่องค์นี้เหมือนจะเต้นรำไปมา

 

14

ขณะขบวนแห่พระ (แห้ม้าทรง) เริ่มออกจากศาลเจ้า จะมีการจุดประทัดเป็นพันๆ นัด เพื่อเป็นสัญญาณ ขอบอกว่ากว่าจะได้ภาพนี้มาหูดับไปเลย! แถมสะเก็ดประทัดยังปลิดว่อนไปทั่ว ต้องคอยระวังให้ดีด้วย

 

15

สิ่งหนึ่งที่ทำให้หลายคนอยากมาชมขบวนแห่ในเทศกาลถือศีลกินผัก ภูเก็ต ก็เพราะอยากมาชมม้าทรง อย่างท่านนี้ใช้เข็มฉีดยาหลายร้อยอันแทงตัวเอง ประดับให้เหมือนหนวดเคราของคนแก่ ซึ่งก็คือองค์เทพที่ลงมาประทับทรงนั่นเอง

 

16

มีคนบอกว่า ถ้าม้าทรงคนใดมีดวงตาเหลือกมองขึ้นไปด้านบนแบบนี้ แสดงว่าเป็นของจริง ตัวจริง เหมือนกับเขากำลังสื่อสารกับเทพบนสวรรค์อยู่!

 

17

ม้าทรงในสภาวะจิตว่าง ไม่เจ็บไม่ปวด ไม่เป็นตัวของตัวเอง ภาพหวาดเสียวแบบนี้คงทำให้หลายคนทนดูไม่ได้ แต่ก็เป็นอีกแง่ของความศรัทธา และความเชื่อ ส่วนหนึ่งของเทศกาลถือศีลกินผัก

 

18

ศาลเจ้าต่างๆ ในเกาะภูเก็ต ต่างก็มีความศรัทธา ความเชื่อ ในเทพเจ้าหรือเซียนองค์ต่างๆ กันไป

 

19

แสงสีสดใสในยามค่ำคืน บริเวณวงเวียนหอนาฬิกากลางเมืองภูเก็ต กลายเป็นจุดนับพบของหนุ่มสาวนับร้อย ที่ออกมาเก็บเกี่ยวช่วงเวลาอันน่าจดจำ ของเทศกาลถือศีลกินผัก 2014

 

20

ปีนี้ทางเทศบาลจังหวัดภูเก็ต ได้เนรมิตวงเวียนหอนาฬิกากลางเมือง ให้กลายเป็นลานแสดงโคมไฟมังกร สร้างความตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก

 

21

เห็นโคมไฟจีนแบบนี้ อย่าเข้าใจผิดคิดว่ากำลังอยู่ที่จีนแผ่นดินใหญ่นะ ที่แท้คือเกาะภูเก็ต แหล่งของชาวจีนฮกเกี๊ยนนี่เอง

 

22

ผู้คนมากมายพากันมารวมตัวที่วงเวียนหอนาฬิกา เพื่อชมแสงสีของโคมไฟตุ๊กตาจีนน่ารักๆ

 

24

 ในช่วงเทศกาลถือศีลกินผัก เมืองภูเก็ตจะดูมีสีสันมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการประดับประดาแสงสีหลากหลายในยามราตรี คนที่ชอบถ่ายภาพไม่ควรพลาดนะจ๊ะ

 

25

 รับรองว่าช่วงเทศกาลถือศีลกินผักที่ภูเก็ตทุกปี จะมีเมนูอาหารเจ อาหารสุขภาพ ที่ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไว้คอยให้ชิมกันจนละลานตา

 

ดูขบวนแห่เหนื่อยแล้ว ก็แวะพักเข้าไปหาอาหารเจอร่อยๆ ชิมกัน ช่วงนี้หาง่าย มีขายกันทั้งเมือง โดยเฉพาะที่ถนนเส้นด้านหลังศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย จะจัดเป็นถนนอาหารเจยาวเหยียดกว่าครึ่งกิโลเมตร หรือจะเข้าไปนั่งในห้องแอร์เย็นฉ่ำ สั่งอาหารเจแสนอร่อยมาชิม ภูเก็ตเขาก็มีหลายร้าน อย่างร้านดอกบัว รับรองว่าบรรยากาศชิลมาก ช่วยให้การถือศีลกินผักของเราง่าย สะดวก และน่าประทับใจไปอีกนานแสนนาน

26

 ร้านน้อยใหญ่ในภูเก็ต ต่างแข่งกันปรุงอาหารเจอย่างสุดฝีมือ เพื่อต้อนรับเทศกาลแห่งการทำกายใจให้บริสุทธิ์

 

27

 เดินไปแถวด้านหลังศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย จะมีถนนคนเดินสายอาหารเจ เปิดขายกันตลอดวันตลอดคืน ไม่ต้องกลัวจะอดหรือหิวเลย

 

28

 ลูกค้าเนืองแน่น ดาหน้ากันเข้ามาชิมอาหารเจอร่อยๆ ตลอดสิบวันของช่วงเทศกาลถือศีลกินผัก 2014

Special Thanks : ขอขอบคุณ กองประชาสัมพันธ์ในประเทศ ฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ ททท. สำนักงานภูเก็ต สนับสนุนการเดินทางทริปนี้เป็นอย่างดี

Traveler’s Guide

When to go : เกาะภูเก็ต จัดงานเทศกาลกินเจเป็นประจำทุกปี ช่วงปลายเดือนกันยายน ถึงต้นเดือนตุลาคม รวม 10 วัน กำหนดการที่แน่นนอนในแต่ละปี โทรสอบถามที่ ททท. สำนักงานภูเก็ต ได้

How to go : สะดวกรวดเร็วสุด แนะนำให้บินตรงกรุงเทพฯ-ภูเก็ต มีบริการทุกวัน เช่น สายการบิน Thai Smile (www.thaismileair.com) และ Airasia (www.airasia.com) ฯลฯ

Where to stay : แนะนำ โรงแรม The Metropole โทร. 0-7621-4020-9 เว็บไซต์ www.metropolephuket.com เพราะโรงแรมนี้ตั้งอยู่ติดกับวงเวียนหอนาฬิกากลางเมืองภูเก็ต ซึ่งขบวนแห่ของศาลเจ้าต่างๆ จะผ่าน

What to eat : แนะนำ ร้านอาหารเจอร่อยๆ ในภูเก็ต เช่น ร้านดอกบัว ถนนหงษ์หยกอุทิศ โทร. 0-7635-5246 / ร้านอาหารเจร่วมใจ ถนนระนอง โทร. 0-7622-2821 / ร้านอาหารเจเหอซั่น ถนนระนอง โทร. 0-7625-6611 / ร้านโยโภชนา ถนนเยาวราช โทร. 08-4063-7051

More info : ททท. สำนักงานภูเก็ต โทร. 0-7621-2213, 0-7621-1036, 0-7621-7138

เที่ยวภูเก็ต ไข่มุกอันดามัน สวรรค์แห่งท้องทะเล

ภูเก็ต (หรือที่แต่เดิมเรียกกันว่า “ภูเก็จ”) คือเกาะใหญ่แห่งทะเลอันดามัน ที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูขึ้นจากธุรกิจการทำเหมืองแร่ดีบุกในอดีต จวบจนวันนี้ ภูเก็ตได้ก้าวขึ้นมาเป็นเมืองหลงแห่งการท่องเที่ยวของภาคใต้ อาบอิ่มด้วยมนต์เสน่ห์ของหาดทราย สายลม และท้องฟ้าสีคราม ใครเหนื่อยล้าเครียดกับความสับสนของเมืองใหญ่ ลองไปภูเก็ตสักครั้งแล้วคุณจะหลงรัก โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน หรือฤดูเปิดการท่องเที่ยวอันดามัน ท้องทะเลภูเก็ตจะสวยแจ่มจี๊ดจ๊าดที่สุด ได้เวลาเก็บกระเป๋าไปเที่ยวกันแล้วพวกเรา เฮ…

3-620x412

ภูเก็ตวันนี้ยังมีมุมสวยๆ สงบๆ ไว้ให้หลบไปพักร้อนนอนเล่น ฟังเสียงคลื่นเคล้าคลอหาดทรายใต้ฟ้าใสๆ

4-620x412

จะอดใจไหวได้ไงกับน้ำทะเลใสๆ ที่ภูเก็ต ยิ่งเป็นช่วงฤดู High Season เดือนพฤศจิกายน-เมษายน ด้วยแล้ว ยิ่งใสปิ๊งน่าเล่นแบบนี้ล่ะ

5-620x413

ภูเก็ตวันนี้หลังการจัดระเบียบหาดใหม่ ไม่มีร่มชายหาดเป็นหมื่นๆ อัน ปิดบังความงามของผืนทรายสวยอีกแล้ว

6-620x405

หาดป่าตองวันนี้หลังการจัดระเบียบใหม่ ทำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสผืนทราย สายลม แสงแดด และเกลียวคลื่นอย่างเต็มที่ ไม่มีร่มรกๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว

7-620x406

น้ำทะเลใสๆ กับวันสวยๆ อันน่าจดจำที่หาดป่าตอง

8-620x412

เรือลากร่มเหินเวหาน่าสนุก ที่หาดป่าตอง

9-620x413

หาดป่าตองวันนี้ หลังจากการจัดระเบียบใหม่ ดูโล่งสะอาดตาเหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อน เอ… จะอยู่ในสภาพนี้ได้นานแค่ไหนกันนะ?

10-620x425

บรรยากาศเหงาๆ กับอาทิตย์อัสดงที่แหลมพรหมเทพ จุดชมพระอาทิตย์ตกสวยที่สุดบนเกาะภูเก็ต

11-620x413

แสงสุดท้ายของวัน ยามอาทิตย์ลาลับลงจูลผืนทะเล ที่แหลมพรหมเทพ

Colonial-Building-2-ong-620x415

เสน่ห์ Phuket Old Town ยามค่ำคืน

12-620x412

ย่าน Phuket Old Town คือศูนย์กลางของชุมชนคนค้าขาย และธุรกิจทำเหมืองแร่ดีบุกในอดีต ซึ่งวันนี้ได้เปลี่ยนมาเป็นย่าน Downtown ของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

13-620x413

Phuket Old Town ในยามค่ำ มีการประดับแสงสีเพิ่มชีวิตชีวา น่าเดินเที่ยวถ่ายภาพกันแบบชิลชิล

14-620x930

Phuket Old Town กับมุมเก่าเล่าเรื่องอดีต ภายในตึกแบบ Chino-European แบบยุโรปผสมจีนอันมีเอกลักษณ์

15-620x413

Phuket Old Town วันนี้เต็มไปด้วยสีสันจังหวะของชีวิต เพราะร้านรวงต่างๆ เต็มไปด้วยลูกค้า ผู้กลับมาแสวงหาบรรยากาศเมืองเก่าของอันดามัน

16-620x932

เชิญชิมกันเลยครับ อาหารทะเลรสเลิศของภูเก็ตไม่เคยทำให้คุณผิดหวังแน่นอน

17-620x412

กุ้งล็อบสเตอร์ยักษ์ของภูเก็ต มีชื่อเสียงก้องโลก มาถึงทั้งทีต้องห้ามพลาดชิม โดยเฉพาะในงานเทศกาลอาหารทะเล Phuket Food Fiesta

18-620x413

ภูเก็ตได้ชื่อว่ามีสปาที่ดีที่สุดในประเทศอยู่หลายแห่ง หลังจากเล่นน้ำทะเล และเดินเที่ยวชม Phuket Old Town เสร็จแล้ว ก็ได้เวลามานอนทำสปา อาบน้ำแร่แช่น้ำนมกัน

19-620x412

บรรยากาศแสนโรแมนติกที่แหลมพรหมเทพในยามอาทิตย์อัสดง แอบอิจฉาคู่นี้จนตาร้อนผ่าวๆ!

20-620x412

 พระอาทิต์ตกที่แหลมพรหมเทพ กับช่วงเวลาสุขใจน่าจดจำของสามสาว วันหน้าขอกลับมาเที่ยวภูเก็ตอีกแน่นอนจ้า