Mongolia ดินแดนแห่งเจงกิสข่าน

ที่นี่คือ “มองโกเลีย” (Mongolia) ดินแดนยิ่งใหญ่กว่า 1.5 ล้านตารางกิโลเมตร ในเอเชียกลาง ที่ซึ่งเจงกิสข่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เคยนำกองทัพขี่ควบม้าศึก นี่คือดินแดนของทุ่งหญ้าเสต็ปกว้างใหญ่สุดลูกหูลุกตา ซึ่งมวลดอกไม้ป่าผลิบานละลานตาในช่วงฤดูร้อน อาบอิ่มด้วยไอแดดอุ่น มีฝูงม้า อูฐ จามรี วัว และแกะ   กว่า 50 ล้านตัว ดุ่มเดินหากินอยู่อย่างเสรี เคียงคู่สายน้ำใสที่ละลายไหลมาจากภูเขาหิมะตระหง่าน

11

มันคือช่วงต้นเดือนสิงหาคมซึ่งตรงกับฤดูร้อนในมองโกเลีย ที่ผมและผองเพื่อน บินสู่ประเทศในฝัน อันสวยงามนี้ ช่วงเวลาดังกล่าวหิมะที่เคยปกคลุมละลายไปหมดสิ้น ทิ้งไว้เพียงสายน้ำใสเย็นไหลลงมายังท้องทุ่ง เติมเต็มความชุ่มฉ่ำแก่ทุ่งหญ้าระบัดใบเขียวชอุ่ม ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม ดอกไม้ผลิบานละลานตา แต่หลายคนยังมีความเข้าใจสับสนอยู่ ระหว่าง ประเทศมองโกเลีย (Mongolia หรือ Outer Mongolia) กับ มองโกเลียใน (Nei Mongolia หรือ Inner Mongolia) นั้น เป็นคนละเขตพื้นที่กันเลย! เพราะ “มองโกเลีย” ที่เรากำลังจะไปเยือนเป็นประเทศเอกราชอิสระ ส่วน “มองโกเลียใน” คือเขตปกครองตนเองของจีนภาคเหนือ

_ONG6777

“อุทยานแห่งชาติเตเรจ” (Terelj National Park) โดดเด่นด้วยเทือกเขาหิน ทุ่งหญ้า ป่าสน ลำธารใส และหมู่กระโจมสีขาวเป็นหลังๆ ที่เรียกว่า “เกอร์” (Ger) ซึ่งชาวมองโกเลียส่วนใหญ่ใช้อาศัย เพราะเขามีนิสัยเป็นชนเผ่าเร่ร่อนกันมาแต่โบราณกาล ดำรงชีพด้วยการเลี้ยงแกะ แพะ วัว จามรี อูฐสองหนอก และม้า ชาวมองโกเลียเชื่อว่า “ม้า” คือสัตว์สำคัญที่สุด นอกจากจะเป็นเพื่อน ช่วยทำงานให้แล้ว ยังจะนำวิญญาณของมนุษย์ขึ้นสู่สวรรค์อีกด้วย เราจึงพบม้าและรูปของม้าได้ทั่วไปในประเทศนี้ครับ ชาวมองโกเลียจะสอนให้ลูกขี่ม้าก่อนหัดเดินเสียอีก ม้าจึงสำคัญยิ่งยวดต่อชีวิตในทุกมิติ

1

ฤดูกาลนี้ในอุทยานแห่งชาติเตเรจมีดอกไม้ป่าที่ชอบอากาศเย็นสบายกลางแดดอุ่น เบ่งบานเต็มท้องทุ่งนับล้านๆๆๆ ดอก ทั้งสีขาว เหลือง ชมพู ม่วง ฟ้า ส้ม แดง และแทบทุกเฉดสีที่นึกออก ส่วนใหญ่เป็นดอกเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม เบ่งบานแผ่เป็นพรมดอกไม้ไปทั่วทุ่ง สลับกับสายน้ำเล็กๆ ไหลซอกซอนตวัดโค้งไปมา   เราพบนักท่องเที่ยวกำลังขี่อูฐเล่น บ้างก็กำลังดูเหยี่ยวและอีแร้งดำตัวใหญ่เท่าคน! ซึ่งชาวเร่ร่อนนำมาให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพเก็บตังค์ ภูมิประเทศโดยรอบเป็นเทือกเขาหินลวดลายแปลกประหลาด หินบางก้อนถูกลม ฝน หิมะ และกาลเวลา กัดเซาะจนมีรูปร่างคล้ายเต่ายักษ์ บางก้อนคล้ายจานบิน ดอกเห็ด หรือไม่ก็เป็นแท่งเสาหินยืนโด่เด่ อีกทั้งยังมีป่าสนทอดยาวออกไปตามเชิงเขา สลับกับลำธารน้ำใสแจ๋ว สะท้อนสีของฟ้าครามลงมาบนแผ่นน้ำ ภูมิประเทศนี้ชวนให้นึกถึงป่าแถบเทือกเขาร็อกกี้ในอเมริกาเหนือและแคนาดา ที่คล้ายกันยังกับฝาแฝด!

2

ไปขี่ม้าเที่ยวชมธรรมชาติที่อุทยานแห่งชาติเตเรจกันเถอะ

3

5

ชีวิต สายลม แสงแดด และทุ่งหญ้ากว้าง ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวที่อุทยานแห่งชาติเตเรจ

7

การขี่ม้าเที่ยวทุ่งหญ้ากว้างของมองโกเลีย จะทำให้เราได้สัมผัสจิตวิญญาณของดินแดนนี้อย่างใกล้ชิด ราวกับว่าเราเป็นทหารม้าของเจงกิสข่านยังไงยังงั้น!

8

ฝูงจามรีกลางทุ่งดอกไม้ฤดูร้อนในอุทยานแห่งชาติเตเรจ

9

คนมองโกเลียผูกพันกับม้าที่สุด เขามักพูดเล่นๆ กันว่า เด็กมองโกเลียจะขี่ม้าได้ก่อนเดินได้เสียอีก!

10

“อนุสาวรีย์เจงกิสข่าน” (Genghis Khan Statue Complex) ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2008 บริเวณริมแม่น้ำทูล ในจุดที่เชื่อกันว่าเจงกิสข่านได้พบแส้ม้าทองคำอันศักดิ์สิทธิ์ ที่พระองค์ใช้ในตลอดพระชนม์ชีพ เมื่อมองจากระยะไกลอนุสาวรีย์นี้ใหญ่โตมโหฬารมากจนแทบไม่น่าเชื่อ เป็นโลหะสแตนเลสสตีลไร้สนิม สีเงินวาววับสะท้อนแสงอาทิตย์ สูง 40 เมตร หนักถึง 25 ตัน สร้างเป็นเจงกิสข่านในท่านั่งบนหลังม้า ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก! ไฮไลท์ก็คือ เวลาที่เราขึ้นลิฟท์และเดินเท้าต่อไปยังส่วนหัวม้า เพื่อเผชิญหน้ากับเจงกิสข่านแบบจังๆ พร้อมกับชมวิวท้องทุ่งมองโกเลียจากมุมสูงเกือบ 40 เมตรเหนือพื้นดิน มองได้รอบตัวแบบสุดสายตาพาโนรามา

13

คนมองโกเลียแท้ๆ ต้องอาศัยอยู่ในกระโจมเหมือนเมื่อครั้งบรรพบุรุษ

12

นี่ล่ะครับ อนุสาวรีย์เจงกิสข่านที่ทำจากโลหะ ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก! ขนาดมหึมาจริงๆ

24

“อูลันบาตอร์” (Ulaanbaatar) เมืองหลวงของมองโกเลีย เป็นเมืองทันสมัย มีตึกระฟ้า รถราจอแจ อาคารพาณิชย์คึกคัก ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร สถานบันเทิง และโรงเรียน เห็นภาพชีวิตที่เคลื่อนผ่านไปในทุกวินาที หนุ่มสาวมองโกเลียส่วนใหญ่แต่งตัวนำสมัยเหมือนวัยรุ่นไทยนั่นล่ะ แต่คนสูงอายุจะยังคงแต่งกายด้วยชุดประจำชาติ คล้ายชุดชาวทิเบตที่ดูแปลกตา เป็นเสื้อคลุมแขนยาว ใส่รองเท้าบูท และมีหมวกทรงแหลม ดูแล้วทะมัดทะแมงสมเป็นชนชาตินักรบมาแต่โบราณกาล ชวนให้นึกถึงฉากท้องทุ่ง กระโจม ฝูงสัตว์ และกีฬามวยปล้ำอันเป็นกีฬาประจำชาติของเขา

23

21

“วัดกานดาน” (Gandan Monastery) เป็น วัดพุทธขนาดใหญ่และสำคัญที่สุดในมองโกเลีย ในนิกายวัชรยานแบบทิเบต สร้างขึ้นโดยโบกด์ข่าน (Bogd Khan) เมื่อปี ค.ศ. 1835 แต่ก็ถูกทำลายเกือบย่อยยับสมัยโซเวียตปกครอง เพราะสตาร์ลินผู้นำโซเวียตยุคนั้นมองว่าศาสนาคือยาพิษ สั่งทำลายวัดนับร้อยแห่งในมองโกเลีย จุดเด่นของวัดนี้อยู่ที่รูปหล่อโลหะพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสูง 20 เมตร สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1911-1912 แลตระหง่านอลังการ เป็นศูนย์รวมใจของผู้คนเสมอมา วัดกานดานมีสภาพคล้าย “Buddhist Complex” หรือชุมชนพุทธศาสนา เพราะนอกจากวิหารใหญ่ตรงกลางแล้ว ยังมีวิหารน้อย และกระโจมของนักแสวงบุญตั้งรายล้อมอยู่อีกมาก ภายในวัดมีวิถีพุทธวัชรยานเบ่งบานไปทั่วทุกอณู ทั้งริ้วธงมนต์ผูกโยงปลิวไสว พร้อมด้วยวงล้อมนตราน้อยใหญ่จารึกมนต์ “โอม มณี ปัทเม หุม” ให้นักแสวงบุญได้เดินภาวนาและหมุนไปพร้อมกัน ในวิหารน้อยรอบๆ มีหอสวดมนต์ เราจะเห็นชาวมองโกลมากราบนอนราบแบบ “อัษฎางคประดิษฐ์” กันล้นหลาม

18

17

16

“พระราชวังฤดูหนาว” ของจักรพรรดิ์มองโกลองค์สุดท้าย โบกด์ข่าน ซึ่งปัจจุบันดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ในนามว่า “Bogd Khan’s Palace Museum” ภายในแบ่งพื้นที่เป็นหลายชั้นใช้เก็บรักษาวัตถุโบราณล้ำค่า ทั้งอาวุธโบราณ, ผ้าทังก้า (ผ้าพระบฏ) บอกเล่าเรื่องราวทางศาสนา, พระพุทธรูป, รูปเคารพพระโพธิสัตว์, เครื่องเคลือบถ้วยชามโบราณ, ชุดเครื่องทรงของท่านข่านและมเหสี, ราชรถ ฯลฯ สิ่งของล้ำค่าที่จัดแสดง ทำให้เราได้เห็นอิทธิพลของศิลปะจีน และคติความเชื่อทางศาสนาทิเบต ซึ่งหลอมรวมกันอย่างแจ่มชัด

15

14

26

ชุดพื้นเมืองของคนมองโกเลีย สวย มีเอกลักษณ์ เหมือนที่เราเห็นในหนังจีนไม่มีผิดเลย

25

“จัตุรัสสุคบาตาร์” (Sukhbaatar Square) ด้านหน้าตึกทำเนียบรัฐบาล นี่คือจัตุรัสกว้างที่จุคนได้นับหมื่น สร้างเป็นที่ระลึกแด่ท่าน ดัมดิน สุคบาตาร์ (Damdin Sukhbaatar) ผู้นำกองทัพปลดแอกมองโกเลียจากการยึดครองของจีนได้สำเร็จเมื่อปี ค.ศ. 1921 จากใจกลางจัตุรัส ถ้ามองไปสุดด้านทิศเหนือก็คืออาคารหินอ่อนสีขาวขนาดมหึมา ที่สร้างขึ้นในวาระครบ 800 ปี แห่งการครองราชย์ของเจงกิสข่าน (เมื่อปี ค.ศ. 2006) ด้านหน้าอาคารนี้คือจุดที่มีคนมาถ่ายรูปกันเยอะที่สุด เพราะเป็นที่ประทับรูปหล่อโลหะบรอนซ์สีดำขนาดยักษ์ในท่านั่งของ เจงกิสข่าน (Genghis Khan) อยู่ตรงกลาง โอกิไดข่าน (Ogedei Khan : ลูกชายคนที่ 3 ของเจงกิสข่าน) เคียงคู่อยู่ทางตะวันตก และกุบไลข่าน (Kublai Khan : หลานชายของเจงกินสข่าน) อยู่ทางตะวันออก ข่านสององค์หลังนี้แหละ ที่รับช่วงภาระกิจขยายดินแดนต่อจากเจงกิสข่าน จนอาณาจักรมองโกลแผ่ขยายไปเกือบทั่วโลก ด้านทิศเหนือกินไปถึงตอนกลางของรัสเซีย ด้านทิศใต้ครองไปจรดอินเดียเหนือ, พุกามในพม่า, ลาวเหนือ, อาณาจักรจามปาตลอดทั้งเวียดนาม รวมทั้งยังเกือบได้อาณาจักรสุโขทัย! ส่วนทิศตะวันออกครองไปจรดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก เกาหลีและจีน ฝั่งตะวันตกจรดทะเลดำ ตะวันออกกลางทั้งหมด และประเทศฮังการีในยุโรปโน่นเลยเทียว!

29

“อนุสรณ์สถานการต่อสู้ไซซาน” (Zaisan Memorial) ซึ่งสร้างขึ้นเป็นที่ระลึกให้ทหารโซเวียตผู้พลีชีพ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตัวอนุสรณ์ฯตั้งอยู่บนยอดเขามองลงไปเห็นตัวเมืองอูลันบาตอร์ได้แบบพาโนรามา เป็นจุดชมวิวชั้นยอด เพราะเห็นการเติบโตของตัวเมืองที่ขยายออกไปสู่ตีนเขารอบๆ นอกจากนี้ยังมองเห็นแม่น้ำทูล (Tuul River) ที่ไหลคดเคี้ยวผ่านตัวเมืองไป ถ่ายรูปได้แจ่มจริงๆ

30

32

การได้มาเยือนมองโกเลียครั้งนี้ ทำให้เราได้ประจักษ์ว่า ยังมีอีกดินแดนหนึ่งในโลกที่งามจับใจ และผมสัญญากับตัวเองว่า จะต้องกลับมาที่นี่อีกเมื่อมีโอกาสอย่างแน่นอน

1841

Special Thank บริษัท Nikon Sales (Thailand) Co., Ltd. สนับสนุนสุดยอดอุปกรณ์ถ่ายภาพระดับมืออาชีพ

สนใจติดต่อ โทร. 0-2633-5100 / แฟ็กซ์ 0-2633-5191 (Office) / 0-2633-5192 (Service) www.nikon.co.th

 

Traveler’s Guide

Best season : ช่วงเดือนสิงหาคม อันเป็นช่วงฤดูร้อนของมองโกเลีย มีทั้งดอกไม้บานและฟ้าใสแจ๋ว อากาศก็กำลังอุ่นสบายไม่หนาวจัด เหมาะสำหรับคนไทยไปท่องเที่ยว

How to go : จากเมืองไทย ช่วงแรกบินไปฮ่องกงก่อน เพื่อเปลี่ยนเครื่องไปใช้สายการบิน Mongolian Airlines เพื่อบินสู่เมืองอูลันบาตอร์ ซึ่งเป็นเมืองหลวง ใช้เวลาเดินทางรวมแล้วประมาณ 6-8 ชั่วโมง ส่วนการเดินทางท่องเที่ยวมองโกเลีย ถ้าเที่ยวเองยังเป็นเรื่องค่อนข้างลำบาก อุปสรรคสำคัญคือภาษา วิธีสะดวกที่สุดในขณะนี้คือซื้อแพ็กเกจทัวร์ไปจากเมืองไทย จะได้มีที่พักและพาหนะพร้อมเลย

Contact : บริษัท Global Union Express เป็นผู้เชี่ยวชาญการนำเที่ยวในประเทศมองโกเลีย สอบถามได้ที่ โทร. 0-2308-2104 เว็บไซต์ www.guetravel.com

Leh Ladakh ทิเบตน้อยแห่งอินเดีย

แม้เทือกเขาหิมาลัยจะเป็นหนึ่งในเทือกเขาที่มีอายุน้อยที่สุดของโลก ทว่าในอีกแง่มุมหนึ่ง หิมาลัยกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังและพลังอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้เข้ามาสัมผัส ภาพของยอดเขาหิมะสูงตระหง่านเสียดฟ้า พืชพรรณแปลกตา รวมถึงวิถีวัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคย ยิ่งทำให้หิมาลัยกลายเป็นภูมิภาคมหัศจรรย์ โดยเฉพาะเทือกเขาหิมาลัยในเขตอินเดียเหนือแถบเมืองเลห์ของแคว้นลาดัคนั้น คือหนึ่งในภูมิภาคที่เข้าถึงยากที่สุดในโลก! และได้รับฉายาว่า “ทิเบตน้อย” (Little Tibet)

3

เมื่อราว 30-50 ล้านปีก่อน คือช่วงเวลาที่อนุทวีปอินเดีย ซึ่งเคยตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางมหาสมุทร เคลื่อนเข้ามาชนแผ่นเปลือกโลกเอเชีย พลังแห่งการชนกันดันให้เปลือกโลกส่วนนี้ยกตัวทะยานสู่ท้องฟ้า นั่นล่ะคือกำเนิดแห่งหิมาลัยที่ทอดยาวกว่า 2,400 กิโลเมตร พาดผ่าน 6 ประเทศ คือ อินเดีย เนปาล ภูฏาน ปากีสถาน อัฟกานีสถาน และจีน เทือกเขาหิมาลัยแท้จริงแล้วแบ่งเป็น 4 แนว ได้แก่ หิมาลัยใหญ่ (Great Himalaya) หิมาลัยกลาง (Inner Himalaya) ทรานส์-หิมาลัย (Trans-Himalaya) และหิมาลัยน้อย (Lesser Himalaya) โดย เมืองเลห์ (Leh) ที่เรากำลังกล่าวถึงนี้ ตั้งอยู่ในส่วนที่เรียกว่าทรานส์-หิมาลัย ซึ่งอยู่ถัดจากหิมาลัยใหญ่ หิมาลัยกลาง และหิมาลัยน้อย เข้าไปในทวีปเอเชีย จึงถูกภูผาเหล่านั้นบดบังความชื้นจากทะเลไว้หมด ทรานส์-หิมาลัยจึงกลายเป็นเขตเงาฝนที่แปรสภาพเป็นทะเลทรายต่อเนื่องเข้าไปสู่ที่ราบสูงทิเบต  การมาเที่ยวเมืองเลห์จึงได้พบเห็นภูมิประเทศมหัศจรรย์ ซึ่งเมื่อหลายสิบล้านปีก่อนมันคือก้นมหาสมุทรแท้ๆ!

2

สิ่งหนึ่งที่เราจะสัมผัสได้ที่นี่ก็คือ เลห์เป็นดินแดนแห่งการผสมกลมกลืนของหลายวัฒนธรรม ทั้งทิเบตที่มาจากด้านตะวันออกและเหนือ อิสลามที่มาจากตะวันตก และอินเดียแท้ๆที่มาจากทางใต้ สะท้อนว่าเลห์คือส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมโบราณ ที่เคยเป็นชุมทางค้าขายสินค้านานาชนิด โดยเฉพาะวัฒนธรรมจากทิเบตซึ่งทรงอิทธิพลที่สุด เดินไปส่วนใดของเมืองจึงหนีไม่พ้นวัดทิเบต อาหารทิเบต กงล้อมนต์ ธงมนต์ และผู้คนที่ยังแต่งกายเหมือนหลุดออกมาจากเมื่อหลายร้อยปีก่อน! ชุดเหล่านั้นช่างเปี่ยมไปด้วยสีสันของ “เทอร์ควอยส์(Turquoise) หินสีเขียวอมฟ้าที่ไปตกแต่งอยู่บนเรือนกายและอาภรณ์ของหญิงชาวลาดัคได้อย่างวิเศษ เทอร์ควอยส์จึงกลายเป็นของที่ระลึกมีค่ามีราคาที่นักแรมทางสาวๆ นิยมซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านกัน

1

สำหรับคนไทยที่ชินกับอากาศบนพื้นราบ การขึ้นไปเที่ยวบนพื้นที่สูงกว่า 3,505 เมตร ของเมืองเลห์ จึงต้องใช้เวลาปรับตัวพอสมควร   จากเมืองไทยพอบินถึงอินเดียที่ เมืองเดลี (Delhi) นักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งจึงไม่นิยมนั่งเครื่องบินต่อไปเมืองเลห์เลย แต่จะใช้วิธีนั่งรถจากเดลีไป เมืองมานาลี (Manali) จนถึงเลห์ ใช้เวลา 2 วัน ซึ่งระหว่างทางจะได้เห็นทัศนียภาพของทรานส์-หิมาลัยอันน่าตื่นตะลึง เพราะประกอบด้วยเทือกเขาหิมะ ธารน้ำแข็ง โตรกลึก ลำธาร แม่น้ำ ทุ่งดอกไม้ แคนยอนหิน ทะเลทราย ป่าสน หมู่บ้าน วัดนับไม่ถ้วนแห่ง รวมถึงวิถีชีวิตชาวอินเดียเหนือที่เรียบง่าย ทว่างดงาม สมคำว่า “อยู่อย่างพอเพียงจริงๆ”

พอเริ่มปรับตัวกับพื้นที่สูงกว่า 3,000 เมตรของเมืองเลห์ได้แล้ว การออกตระเวนเที่ยวจึงเริ่มขึ้น โดยมีทั้งในเขตตัวเมืองและพื้นที่รอบทิศซึ่งต้องนั่งรถออกไปไกลๆ ถ้าไปกันเป็นกลุ่มหลายคน วิธีเที่ยวสะดวกสุดจึงเป็นการเช่ารถพร้อมคนขับนั่นเอง

8

Valley of Flowers อลังการทุ่งล้านดอกไม้บานบนหลังคาโลกในฤดูร้อน ระหว่างเส้นทางเมืองเลห์-ทะเลสาบแปงกอง

9

หุบเขานูบร้า เป็นหุบเขาที่อยู่ต่ำสุดในแคว้นลาดักห์ อากาศจึงอบอุ่น มีทะเลสาบ และสวนผลไม้ต่างๆ

10

ความงามพิสุทธิ์ของธรรมชาติที่หุบเขานูบร้า มีทั้งทุ่งหญ้า สายน้ำใส และทะเลทรายสีขาวเม็ดละเอียดยิบ

11

“ทะเลสาบปันกอง” (Pangong Lake) บนระดับความสูง 4,250 เมตรเหนือน้ำทะเล!   ระหว่างทางเราจะผ่านทุ่งดอกไม้หลากสีที่กำลังเบ่งบานในฤดูร้อน มีลำธาร ทุ่งหญ้า กระโจมคนเลี้ยงแกะ ฝูงแพะ และตัวยัค นอกจากนี้ยังมี มาร์มอท (Himalayan Marmot) ซึ่งเป็นกระรอกดินขนาดใหญ่จำพวกหนึ่ง อาศัยหลบอยู่ในรูใต้ดินตามทุ่งดอกไม้ทั่วไป น่ารักมากๆ ปันกองคือทะเลสาบมหัศจรรย์ เพราะแม้จะตั้งอยู่บนหลังคาโลก แต่ก็เป็นทะเลสาบน้ำกร่อย! เนื่องจากเมื่อหลายล้านปีก่อนมันคือก้นมหาสมุทรอินเดียนั่นเอง น้ำแข็งจากยอดเขาโดยรอบละลายลงมาเติมเต็มให้ปันกองทุกปี มันจึงกลายเป็นทะเลสาบสีเทอร์ควอยส์อันน่าพิศวง!

5

ทุ่งข้าวบาร์เลย์อาบแสงยามเย็นที่เมืองลาโต้ (Lato) อยู่ไม่ไกลจากเมืองเลห์

6

ทุ่งข้าวบาร์เลย์เมืองลาโต้

7

Himalayan Marmot หรือกระรอกดินหิมาลายัน เป็นกระรอกดินขนาดใหญ่ที่ขุดโพรงอยู่ใต้ดิน โดยมีรูเข้าออกได้หลายทางเอาไว้หนีศัตรู ตอนกลางวันมันจะขึ้นมายืนสองขาสอดแนมที่ปากโพรง มองซ้ายทีขวามี แล้วร้องจิ๊ดๆ เสียงเล็กแหลมอย่างน่ารัก

12

อีกแหล่งธรรมชาติหนึ่งอยู่ห่างจากเมืองเลห์ไปทางตะวันตกราว 150 กิโลเมตร คือ “หุบเขานูบรา” (Nubra Valley) ไม่ใช้ No Bra Valley! อย่างที่หลายคนชอบเอามาล้อเล่นกัน หุบเขานี้มีแม่น้ำชย็อก (Shyok River) ไหลผ่าน อากาศอบอุ่น จึงสามารถปลูกแอปเปิลและแอปปริคอตได้ดี   ส่วนหนึ่งของหุบเขานูบรามีสภาพเป็นทะเลทรายและแซนดูนขนาดยักษ์ ซึ่งพวกเราสามารถไปนอนค้างในเต็นท์ และขี่อูฐเที่ยวชมภูมิทัศน์อันแปลกตาราวกับอยู่ในทะเลทรายซาฮาราของแอฟริกาเลยก็ไม่ปาน! ยิ่งกว่านั้นแล้วการเดินทางสู่นูบรายังต้องผ่านหนึ่งในเส้นทางถนนที่สูงที่สุดในโลกบริเวณ Khardung La ซึ่งสูงถึง 5,600 เมตรเลยล่ะ!

18

13

วัดสำคัญในเมืองเลห์ที่ห้ามพลาดชม เช่น วัดติกเซ่ (Thiksey) วัดสปิตุก (Spituk) และวัดเฮมิส (Hemis) ซึ่งล้วนมีอายุนับร้อยปี วัดเหล่านี้ตั้งอยู่บนยอดเขา นิยมสร้างด้วยอิฐและหินก่อขึ้นไปเป็นทรงสี่เหลี่ยม ทาด้วยสีขาว แดง และดำ ตามคตินิยมของศาสนาพุทธนิกายวัชรยาน ภายในแลลึกลับขรึมขลังมาก ประกอบด้วยห้องนับร้อยๆ ทั้งห้องสวดมนต์ ห้องเก็บตำรา ห้องโถงประดิษฐานพระพุทธรูป ฯลฯ ประมาณ 07.00 น. ทุกเช้า จะมีพิธีทำวัตรเช้าซึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้  เสียงสวดคำว่า “โอม มณี ปัทเม หุม” (Om Mani Padme Hum แปลว่า “โอ มณีในดอกบัว” ตีความได้ว่า มณีในดอกบัวคือความรู้แจ้งหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง) ด้วยสำเนียงทุ้มต่ำน่าฟัง จะสะกดเราให้อยู่กับที่ได้นับชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีวัดขนาดใหญ่มากอย่าง วัดลามายูรู (Lamayuru) ซึ่งอยู่ห่างเลห์ออกไปทางตะวันตกราว 125 กิโลเมตร จึงควรไปค้างคืน

14

ในเดือนสิงหาคมของบางปี ถ้าโชคดี ก็อาจไปตรงกับช่วงที่องค์ดาไลลามะเสด็จเยือนเลห์ เพื่อเยี่ยมเยียนประชาชนและแสดงธรรมบรรยาย ประมุขทางจิตวิญญาณองค์ที่ 14 ของทิเบตนี้ ท่านไม่สามารถกลับไปทิเบตได้ จะมีก็แต่ Little Tibet อย่างเลห์นี่แหละ ที่มีบรรยากาศใกล้เคียงบ้านเกิดของท่านที่สุด คนไทยหลายคนจึงไม่พลาดช่วงเดือนสิงหาคมเพื่อจะได้เข้าเฝ้าท่าน

15

ดาไลลามะองค์ที่ 14 ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบตทั่วโลก

16

คุณยายชาวลาดักห์ นั่งหมุนวงล้อมนตรา หรือ Prayer Wheel ที่มีคำสวดมนต์สลักอยู่โดยรอบว่า “โอม มณี ปัทเม หุม” หมุน 1 รอบเทียบเท่ากับการสวดมนต์ 1 จบ เวลาเราไปลาดักห์จะเห็นสิ่งนี้อยู่ทั่วไปจนชินตา บ่งบอกว่าคนเลห์ ลาดักห์ ยึดแน่นในพุทธศาสนานิกายวัชรยานทิเบตอย่างมาก

17

บนยอดเขาทางตะวันตกห่างจากเลห์ไป 2 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของ “สถูปแห่งสันติภาพ” (Shanti Stupa) ซึ่งสร้างขึ้นโดยรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อประกาศศาสนาและจรรโลงสันติภาพแก่โลก   ในช่วงเย็นเมื่อแสงอาทิตย์อ่อนลง นักท่องเที่ยวนับร้อยจะพากันขึ้นสู่สถูปแห่งสันติภาพ เพื่อกราบไหว้ และรอชมภาพอาทิตย์อัสดงอันแสนงดงามลงท่ามกลางเทือกเขาตระหง่านที่โอบล้อมเมืองเลห์ไว้ และจากยอดเขานี้สามารถมองไปเห็นวัดสันการ์ กอมปะ (Sankar Gompa) ที่จะถูกเงาของสถูปแห่งสันติภาพทอดทับลงจนมืดมิดไปในที่สุด

19

ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวบนหลังคาโลก สูงเกือบ 5,000 เมตรเหนือน้ำทะเล!

20

เทือกเขาหิมาลัยยังทอดตระหง่านอยู่ตรงนั้น เราต้องโบกมือลาเมืองเลห์แล้ว มนต์เสน่ห์แห่งดินแดนชมพูทวีปช่างลึกล้ำ และฝังลึกลงในความทรงจำของเราจริงๆ นี่คืออีกมุมหนึ่งของโลก โลกที่เราทุกคนเรียกมันว่า “บ้านอันอบอุ่น”

1841

Traveler’s Guide

Best season : อากาศดีที่สุดระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน นอกนั้นอากาศหนาวจัด หิมะปกคลุมหนามาก

How to go : ช่วงแรก จากเมืองไทยบินไปเดลี เช่น การบินไทย โทร. 0-2356-1111 เว็บไซต์ www.thaiairways.co.th ช่วงที่สองจากเดลีไปเลห์ จะเช่ารถหรือขึ้นเครื่องบินไปก็ได้ เช่ารถแนะนำบริษัท Dreamland Trek & Tour โทร. +91-1982-250784, +91-94191-78197 อี-เมล dreamladakh@gmail.com เว็บไซต์ www.dreamladakh.com บินไปเลห์ เช่น Jet Airways เว็บไซต์ www.jetairways.com/TH/TH/Home.aspx

Where to stay : ที่พักทริปนี้เป็นโรงแรมและเกสต์เอาส์อย่างดี แต่ถ้านั่งรถจากเดลี-มานาลี-เลห์ ระหว่างทางต้องค้างในเต็นท์กลางหุบเขาที่ซาร์ชู (Sarchu) หนึ่งคืน ที่พักแนะนำในเดลี Sunshine House ถนน Karol Bagh อี-เมล sunshinehouse@live.in โทร. +91-9810312256 ที่เมืองมานาลี แนะนำ Sarthak Resorts อี-เมล sarthakresorts@yahoo.co.in โทร. +91-1902-259323 ที่เมืองเลห์ แนะนำ Hotel Yak Tail เว็บไซต์ www.hotelyaktail.com โทร. +91-1982-252118

What to eat : ในเมืองเลห์มีอาหารให้เลือกหลากหลาย ทั้งอาหารทิเบต ลาดัค จีน ไทย และยุโรป สำหรับอาหารลาดัคนั้นจะคล้ายกับอาหารทิเบต เช่น หมี่ผัด ชานม และแป้งทอดไส้ผักที่เรียกว่า “โมโม่” (Momo)

Information : www.leh-ladakh.com, www.reachladakh.com, www.ladakhkashmir.com, www.tourism-of-india.com/ladakh.html

น่าน เมืองเนิบช้าแห่งล้านนาตะวันออก (ตอน 1)

ภาพกระซิบรักบันลือโลก หรือภาพปู่ม่านย่าม่าน แห่งวัดภูมินทร์ พุทธศิลป์งามล้ำขั้นเอกอุ สะท้อนวิถีชีวิตของชาวไทลื้อในอดีตเมื่อหลายร้อยปีก่อน
1

วัดพระธาตุแช่แห้ง หนึ่งในโบราณสถานคู่บ้านคู่เมืองน่าน เป็นพระธาตุประจำคนเกิดปีกระต่าย (ปีเถาะ) ผิวพระธาตุด้านนอกบุด้วยทองคำจังโกสีทองสุกปลั่ง เหลืองอร่าม

2

พระประธานในโบสถ์ใหญ่วัดพระธาตุแช่แห้ง

3

โบสถ์วัดภูมินทร์ สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมไทลื้อ โดยมีหลังคาซ้อนลดหลั่นกันลงมา 3 ชั้น เรียกว่าวิหารซด ลักษณะของวิหารเตี้ย ไม่สูงใหญ่มากนัก และมีทางเข้าออกทั้งสี่ทิศ

4

พระประธานในโบสถ์วัดภูมินทร์ หนึ่งในพุทธศิลป์งามล้ำ เป็น Unseen Thailand เพราะมีพระประธาน 4 องค์ หันหน้าไปสี่ทิศ สะท้อนคติความเชื่อล้านนาเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าสี่พระองค์ ซึ่งได้มาอุบัติขึ้นแล้วในภัทรกัปนี้

6

นาคที่ราวบันไดทางขึ้นโบสถ์วัดภูมินทร์ ว่ากันว่าเป็นต้นแบบของนาคทั้งปวงของล้านนา สองตัวนี้เป็นนาคตัวผู้และตัวเมีย

7

วัดช้างค้ำ ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองน่าน ตรงข้ามวัดภูมินทร์และข่วงเมืองนั่นเอง

8

พระประธานในโบสถ์วัดหนองบัว สร้างด้วยศิลปะไทลื้อแท้ๆ งดงามด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังอันละเอียดประณีต

9

ศาลหลักเมืองน่าน อยู่ที่วัดมิ่งเมือง งามโดดเด่นด้วยศิลปะปูนปั้นร่วมสมัยอันวิจิตรพิสดาร

10

วัดพระธาตุเขาน้อย มีจุดชมวิวตัวเมืองน่านจากมุมสูง เช้าเย็นสวยงามมาก

11

งามช้างดำ โบราณวัตถุล้ำค่าคู่เมืองน่าน เป็นงาช้างดำเพียงกิ่งเดียวของไทยที่มีอยู่ในปัจจุบัน

12

ภาพเก่าของเมืองน่าน ในคุ้มเจ้าราชบุตร วังเก่าที่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมได้

13

เรือนแบบไทลื้อขนานแท้ ปัจจุบันยังหาชมได้ในแถบวัดหนองบัว อำเภอท่าวังผา

14

น่านเป็นเมืองเนิบช้า Slow Town ที่ผู้คนยังคงยึดมั่นในพระพุทธศาสนา ทุกเช้าจะมีการตักบาตรในตลาดเช้าและตัวเมือง ช่วยกันสืบสานอายุพระพุทธศาสนา

15

16

วงสะล้อซอซึงของพ่ออุ้ยที่อำเภอท่าวังผา ฟังแล้วช่างเข้ากับบรรยากาศของเมืองสงบเงียบ แสนน่ารักอย่างน่าน ซะเหลือเกิน

21

รำตัวอ่อน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองน่าน เห็นท่านี้แล้วอย่าลองทำล่ะ เพราะจะมีก็แต่เด็กๆ กับคนที่ฝึกฝนประจำเท่านั้นจึงจะร่ายรำแบบนี้ได้

17

สาวงามเมืองน่านในงานต้อนรับนักท่องเที่ยว

18

ลองมาชิมขันโตกเมืองน่าน รับลองลำแต้ๆ เจ้า

19

20

ศูนย์ OTOP เมืองน่าน มีสินค้าให้เลือกเพียบ โดยเฉพาะงานฝีมือ ผ้าทอ ผ้าชาวเขา และเรือแข่งจำลอง

23

ผาวิ่งชู้ หรือผาชู้ ในยามเช้าอันหนาวเย็น เป็นจุดชมวิวและชมทะเลหมอกยอดฮิต

24

22

เสาดินนาน้อย (มีลักษณะคล้ายกับแพะเมืองผี จ.แพร่ และละลุ จ.สระแก้ว) เกิดจากการกัดเซาะของน้ำ จนมีรูปร่างแปลกตา ได้ฉายาว่า Canyon เมืองไทย หรือ Grand Canyon แห่งล้านนา

25

ป่าปาล์มยักษ์ที่ดอยภูคา เป็นปาล์มหายากใกล้สูญพันธุ์ของโลก เคยพบเช่นกันในแถบจีนตอนใต้ แต่ที่นั่นสูญพันธุ์ไปแล้ว ของดอยภูคาจึงเหลือเป็นแหล่งสุดท้ายในธรรมชาติ ปัจจุบันเราสามารถเพาะพันธุ์เพิ่มเติมได้แล้ว

26

 เมเปิลภูคา เป็นพรรณไม้เฉพาะถิ่นที่พบเพียงแห่งเดียวที่นี่ จะผลัดใบเป็นสีแดงในต้นฤดูหนาวอย่างสวยสดงดงาม

27

ลานดูดาว เป็นหนึ่งลานกางเต็นท์บนดอยภูคา ช่วงหน้าหนาวจะมีหมอกโรยตัวลงปกคลุมเช่นนี้
28

นาขั้นบันไดแถบอำเภอบ่อเกลือ งามด้วยผืนพรมสีเขียวของต้นข้าวที่เพิ่งแตกกอใหม่ๆ ส่วนมากเป็นข้าวไร่ หรือข้าวดอย ที่ไม่ต้องใช้น้ำมาก

อลังการนางพญาเสือโคร่งบาน ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่

3

ทะเลสาบขุนวาง และทิวต้นนางพญาเสือโคร่งในต้นฤดูหนาว

4

ริมทะเลสาบขุนวาง ข้างโครงการอนุรักษ์กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ ในฤดูหนาวจะมีนางพญาเสือโคร่งบานแสนคลาสสิก ดูๆ ไปเหมือนญี่ปุ่นไม่น้อนเลย

5

ความงามหวานซึ้ง ของดอกนางพญาเสือโคร่งที่ขุนวาง อินทนนท์ แปลกดีที่บางต้นดอกเล็ก บางต้นดอกใหญ่ ก็คงจะเหมือนคนเรานี่ล่ะ ที่มีทั้งตัวใหญ่ ตัวเล็ก ทำให้เกิดความหลากหลายของรูปทรงและสีสัน

8

ป่าเปลี่ยนสีที่ด้านหลังดอยอินทนนท์ ทางไปขุนวาง โครงการอนุรักษ์รองเท้านารีอินทนนท์

10

เส้นทางเดินป่ายอดอ่างกาหลวง ชุ่มชื้น ปกคลุมด้วยเมฆหมอก และความฉ่ำเย็นชั่วนาตาปี

Amazing Armenia

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

14

15

16

17

18

19

20

21

Traveler’s Guide

Best season : ฤดูใบไม้ผลิ เดือนมีนาคม-มิถุนายน ฤดูร้อน เดือนมิถุนายน-กันยายน ฤดูใบไม้ร่วง เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน จากนั้นจะเข้าฤดูหนาวหิมะตก ช่วง High Season ของการท่องเที่ยว คือ เดือนพฤษภาคม-ตุลาคม

How to go : ยังไม่มีเที่ยวบินตรงกรุงเทพฯ-เยเรวาน จึงต้องบินไปเปลี่ยนเครื่องที่กรุงเตหะราน อิหร่าน ก่อน ใช้เวลาบิน 7 ชั่วโมงครึ่ง จากนั้นบินเตหะราน-เยเรวาน (เมืองหลวงของอาร์เมเนีย) ใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง ส่วนการเดินทางท่องเที่ยวภายในอาร์เมเนีย ควรติดต่อผ่านบริษัททัวร์ที่เชี่ยวชาญ

Where to stay : ในเยเรวาน แนะนำโรงแรม Ani Plaza Hotel (www.anihotel.com) ส่วนที่เมืองดิลิจาน แนะนำ Paradise Hotel Dilijan (www.paradisehotel.am)

What to eat : อาหารหลักของคนอาร์เมเนีย คือ ข้าวและขนมปัง กินกับสลัดผัก ผักย่าง ผักม้วนไส้เนื้อ รวมถึงซุปต่างๆ เคบับสไตล์ตุรกี สเต็กต่างๆ หมูย่าง ไก่ย่าง เสต็กปลา ส่วนของหวานนิยมพวกผลไม้สด โดยเฉพาะแอปปริคอต เค็กที่ไม่หวานจัด ขนมซูจุ๊ก ขนมแป้งแผ่นลาวาช ปิดท้ายด้วยชากาแฟท้องถิ่น

Souvenirs : ขลุ่ยดูดุ๊ค, ผ้าปักลายพื้นเมือง, งานไม้แกะสลัก, เครื่องเงิน, เครื่องทองเหลือง, จิวเวอร์รี่, สร้อยคอหินสี, ผลไม้อบแห้ง, ลูกแอปปริคอตสด, ไวน์, บรั่นดี, งานศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา เช่น ไม้กางเขน, รูปเคารพต่างๆ ฯลฯ

More info : บริษัท Holiday World โทร. 0-2635-1255 แฟ็กซ์ 0-2635-1256 เว็บไซต์ www.gotogethertravel.com อีเมล์ info@gotogethertravel.com

วิ่งคลายชลบุรี ครั้งที่ 143 ประจำปี 2553

1

กลับมาแล้วอีกครั้ง กับงานเทศกาลหนึ่งเดียวในโลก ที่ยิ่งใหญ่และไม่เหมือนใครจริงๆ นั่นคือ “ประเพณีวิ่งควาย จังหวัดชลบุรี” ประจำปี 2557 วันที่ 4-10 ตุลาคม โดยปีนี้จัดเป็นปีที่ 143 แล้ว บ่งบอกให้เห็นว่า ประเพณีวิ่งควายและคนชลบุรีต่างผูกพันกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ต้องขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รวมถึงภาครัฐ ภาคเอกชน เจ้าของควาย และคนเมืองชล ที่ยังเห็นคุณค่าประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น แล้วอนุรักษ์เอาไว้ให้เราได้ชมกันอย่างสนุกสนาน

เล่ากันว่าประเพณีวิ่งควายถือกำเนิดขึ้นในจังหวัดชลบุรีเมื่อร้อยกว่าปีก่อนโน้น โดยจัดก่อนวันออกพรรษา 1 วัน สมัยนั้นเป็นช่วงนอกฤดูทำนา ควายได้พัก เจ้าของก็จะขี่มาวัด หรือใช้ลากเกวียนมาวัดเพื่อรอทำบุญออกพรรษา พอมรวมตัวกันเยอะ จึงเกิดการประกวดประขันควายใครสวยกว่า แข็งแรงกว่า แล้วกลายเป็นการแข่งขันวิ่งควายขึ้นในที่สุด ปัจจุบันจัดกันในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11

3

Miss Buffalo น้องนางบ้านนา คู่ขวัญเจ้าทุนแสนน่ารัก ปีนี้มาในชุดสีสันสดใส พร้อมด้วยการตกแต่งเจ้าทุยอย่างงดงามตระการตา พาไปร่วมขบวนพาเหรตวิ่งควาย ขอบอกว่าสาวเมืองชลเธอสวยไม่เป็นรองใครเหมือนกันนะเนี่ย

4

5

ปีนี้มีควายจากทั่วจังหวัดชลบุรี และบางจังหวัดในภาคอีสานเข้าร่วมกว่า 700-800 ตัว เรียกว่ามากันทุกอายุ ทุกเพศ ทุกวัย สังเกตเจ้าตัวเล็กที่อายุน้อย จะมีขนเป็นสีน้ำตาลอ่อน และเขาสั้นนิดเดียว ส่วนตัวที่โตเต็มที่ขนมักจะเป็นสีดำขลับ เขายาวโง้งสวย ตามแบบฉบับควายไทย ซึ่งเป็น Water Buffalo ที่ได้ชื่อว่ามีรูปร่างลักษณะสวยงามที่สุดในโลก ปีนี้นอกจากจะมีการแข่งวิ่งควายแล้ว ยังมีการประกวดสุขภาพควาย, การประกวดพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ และการตกแต่งควายสวยงามด้วยล่ะ

6

ก่อนแข่งวิ่งควายในรุ่นต่างๆ เจ้าของควายต้องพาเจ้าทุยแสนรัก เดินไปเดินมา จากจุด Start ไปจุด Finish ก่อน เพื่อให้เจ้าทุยคุ้นชินกับสภาพสนาม เคยชินกับดินบนพื้น และไม่ตื่นกับผู้คนมากมายที่มาคอยเชียร์อยู่สองฝั่งลู่วิ่ง นอกจากนี้ยังถือเป็นการ Warm Up ร่างกายควายและจ็อกกี้ (นักขี่ควายแข่ง) อีกด้วย พอได้เหงื่อสักนิด คราวนี้ก็เครื่องร้อน พร้อมแข่งกันล่ะ

78

แม้แต่จ็อกกี้ควายก็ยังต้องเดินซ้อม Warm Up ร่างกายก่อนแข่งขันจริงด้วยเหมือนกัน

9

งานวิ่งควายยังมีกิจกรรมอนุรักษ์กีฬาพื้นบ้านเมืองชลอีกหลายอย่างให้ชม สนุกทั้งนั้น โดยเฉพาะการแข่งขันปีนเสาอาบน้ำมัน เพื่อขึ้นไปเก็บเงินที่อยู่บนยอดเสา กว่าจะสำเร็จก็เล่นเอาเหงื่อตก! ใช้เวลาไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมง เพราะเสาลื่นมาก เขาบอกว่าเทคนิคสมัยโบราณให้เอาขี้เถ้าผสมกับทรายละเอียด ทามือก็จะมีแรงฝืด ปีนขึ้นไปถึงยอดเสาได้สำเร็จ!

1011

และแล้วก็ได้เวลาที่รอคอย เมื่อกรรมการที่เส้นปล่อยตัวให้สัญญาณ ควายในรุ่นต่างๆ ก็พุ่งทะยานออกจากคอก ห้อตะบึงวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต โดยมีจ็อกกี้ควายหวดไม้หวายเสียงดังเพี๊ยะๆ อยุ่บนหลัง เห็นแล้วน่าสงสารน้องควายของเราเหมือนกัน แข่งกันในแต่ละรอบใช้เวลาแค่ไม่ถึงนาที! ไม่นึกเหมือนกันว่าควายไทยจะ Speed ดี วิ่งได้เร็วถึงปานนี้! แต่พอถึงเส้นชัย กว่าจะเบรกให้หยุดได้ก็ยาก คนดูต้องหลบกันกระเจิง!

12

การถ่ายภาพวิ่งควายถือว่าปราบเซียน! เพราะช่างภาพทุกคนจะเจอปัญหาว่า จะ Focus ภาพยังไงให้ทัน? เพราะควายวิ่งเร็วเหลือเกิน แถมยังเคลื่อนที่เข้าหากล้องด้วย แนะนำว่าถ้าใครใช้กล้องโปรๆ หน่อย ก็ให้ปรับ Mode การ Focus ไปที่ Continueous แทน Single แล้วใช้การ Focus แบบหลายจุด จากนั้นปรับการวัดแสงจาก Mode Manual (ถ้าใครชอบใช้) มาเป็น Auto เมื่อควายวิ่งเข้ามาด้วยความเร็ว ให้กดย้ำปุ่มชัดเตอร์เบาๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อเป็นการกระตุ้น Continueous Focus ของเลนส์ (โฟกัสต่อเนื่อง) สลับกับการรัวชัตเตอร์ ต่อเนื่องเป็นชุดใน Speed สูงสุดที่กล้องทำได้ ภาพนี้ผมใช้กล้อง Nikon D3 ยิงได้ 11 ภาพต่อวินาที! ไม่มีหลุดโฟกัสเลยสักภาพเดียว!

13

14

15

การแข่งขันวิ่งควายเมืองชล แบ่งเป็นหลายรุ่นหลายประเภทนะครับ ไล่ตั้งแต่ควายซุปเปอร์จิ๋ว, ควายรุ่นจิ๋วพิเศษ, ควายรุ่นจิ๋วเล็ก, ควายรุ่นจิ๋วใหญ่, ควายรุ่นใหญ่ ฯลฯ ที่เห็นเขาโง้งๆ ยังกับวงเดือน ตัวดำขลับคล้ายกระทิงขนาดนี้ ขอบอกได้เลยว่าเป็นประเภทใหญ่สุด Super Heavy Weight ตัวใหญ่สุด เวลาควายวิ่งกันไม่คิดชีวิตแบบนี้ ช่างภาพต้องระวังตัวด้วย คอยหาทางหนีทีไหล่ให้ดี และต้องยืนอยู่ในจุดปลอดภัยด้วยครับ

16

จ็อกกี้ควายปีนี้ มีเด็กสุดอายุแค่สิบกว่าขวบ แต่แรงจริง ขอบอก ชนะแล้วชนะอีก โตขึ้นต้องรุ่งแน่น้อง! ขนาดผู้ใหญ่ยังอายเลย

17

18

19

20

21

22

น้องควายเผือก (อีสานเรียก “ควายด่อน”) แสนน่ารัก ขนจะเป็นสีขาวหรือสีชมพูเรื่อๆ เขาว่าเกิดจากการผ่าเหล่าทางพันธุกรรม จึงทำให้ขนไม่เป็นสีดำหรือน้ำตาลเข้มเหมือนพ่อแม่

23

24

คุณลุงเป็นคนบ้านบึงแท้ๆ เกิดในชลบุรีแท้ๆ ทำนามาหลายชั่วอายุคน วันนี้เอาควายเมืองชลสายพันธุ์แท้มาโชว์อย่างภาคภูมิใจ

25

ควายเมืองชล หรือควายพันธุ์ชลบุรีแท้ๆ จะมีลักษณะที่เห็นตามในภาพ คือมีร่างกายกำยำล่ำสัน กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ สังเกตง่ายๆ ขนตามตัวจะยาวกว่าควายถิ่นอื่น และขนสีดำสนิท เลื่อมเป็นมัน แลคล้ายกระทิง! เจ้าของบอกว่า ถ้าเลี้ยงแบบปล่อยธรรมชาติ ให้นอนเล่นปลักเล่นโคลนตามประสา ขนควายจะยิ่งดำเลื่อมสวยงามมาก นับเป็นเอกลัษณ์ของควายเมืองชล ที่ควรจะช่วยกันอนุรักษ์พันธุ์ไว้ไม่ให้สูญหาย

26

27

 Special Thanks : ขอขอบคุณ กองประชาสัมพันธ์ในประเทศ ฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ ททท. สำนักงานพัทยา (ชลบุรี) สนับสนุนการเดินทางทริปนี้เป็นอย่างดียิ่ง

สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-3842-7667, 0-3842-8750, 0-3842-3990