20 ที่เที่ยวเติมความสุขสุดใจ @นครพนม
นครพนม เมืองเนิบช้าที่สุขสุดๆ ริมแม่น้ำโขง เมืองแห่งอาณาจักรศรีโคตรบูรอันรุ่งเรืองในอดีต ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็น Gateway to ASEAN ของอีสาน ด้วยสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 ทอดข้ามโขง นำเราเที่ยวเชื่อมโยงไปได้ถึงลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้ เลยล่ะ วันนี้ลองมาทำความรู้จักกับนครพนมให้ลึกซึ้ง กับ “20 ที่เที่ยวเติมความสุขให้คุณ” ซึ่งเรา คัดสรรมาอย่างดี จากการ Review ของกลุ่มคนชอบเที่ยว Media & Blogger 8 ซึ่งเป็นนักเดินทางมืออาชีพ ร่วมกับ Go Travel Photo ภายใต้การสนับสนุนจากผู้ใหญ่ใจดี ททท. สำนักงานนครพนม บริษัท Win Win Smile และ The River Hotel นครพนม
นครพนม เป็นเมืองที่เที่ยวได้ง้ายง่าย! เพราะสามารถบินไป-บินกลับ ขับรถเที่ยวได้สบายแฮ… จะเลือกเที่ยวด้วยตัวเอง หรือให้บริษัททัวร์ที่เชี่ยวชาญดูแลอำนวยความสะดวก ออกแบบเส้นทางเที่ยวให้ได้ไม่ยาก แถมนครพนมวันนี้มีรถให้เช่าขับเที่ยวทำนอง Self Drive ได้สบายมาก ขับรถเที่ยวอีสานกันวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินฝันอีกต่อไปแล้วล่ะ อย่างบริษัท Win Win Smile เขาก็มีรถยนต์ไว้บริการนักท่องเที่ยวพร้อมสรรพ
พร้อมแล้วก็รีบไปแอ่ว “นครพนม” เมืองออนซอนริมโขงได้เลยจ้า…
1. พระธาตุพนม (พระธาตุประจำคนเกิดวันอาทิตย์)
เป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิส่วนพระอุรังคธาตุ หรือกระดูกส่วนหน้าอก ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระธาตุสูงถึง 53.60 เมตร แลสง่างามมาก กล่าวกันว่าแค่ได้ไปสักการะพระธาตุพนมเพียง 1 ครั้ง ก็เป็นสิริมงคลยิ่งแล้ว แต่ถ้าได้ไปสักการะครบ 7 ครั้ง ก็จะกลายเป็น “ลูกพระธาตุ” ชีวิตมีแต่ความรุ่งเรือง นอกจากนี้ยังเป็นพระธาตุประจำคนเกิดปีวอกอีกด้วย และหากเราได้ไปเที่ยวพระธาตุพนม ตรงกับวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 3 ถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 3 ก็จะได้ชมงานบูชาพระธาตุพนมอันยิ่งใหญ่อลังการอีกด้วย
2. พระธาตุเรณู (พระธาตุประจำคนเกิดวันจันทร์)
อำเภอเรณูนคร เป็นถิ่นที่อยู่ของชาผู้ไท 1 ใน 8 เผ่าของนครพนม ซึ่งพวกเขายังคงรักษาขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของตน ไว้อย่างเข้มแข็งมาก ศูนย์กลางชุมชนนี้อยู่ที่องค์พระธาตุเรณูอันสวยงามตระการตา สูงกว่า 35 เมตร สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2461 โดยประดับลวดลายปูนปั้นไว้รอบๆ อย่างวิจิตรตระการตามากเลยทีเดียว เพราะได้จำลองแบบมาจากพระธาตุพนมองค์เดิม (ก่อนที่พระธาตุพนมจะพังถล่มลงมา) นั่นเอง
3. พระธาตุศรีคุณ (พระธาตุประจำคนเกิดวันอังคาร)
แม้ว่าจะอยู่ห่างจากตัวเมืองนครพนมถึง 78 กิโลเมตร แต่การได้มาเยือนพระธาตุศรีคุณสักครั้ง ก็ถือว่าคุ้ม! เพราะมีลักษณะเหมือนพระธาตุพนมย่อส่วน ได้กราบแล้วอานิสงส์คือส่งให้เกิดยศศักดิ์ศรี โชคลาภทวีคูณ!
4. พระธาตุมหาชัย (พระธาตุประจำคนเกิดวันพุธกลางวัน)
พระธาตุมหาชัยอยู่ที่อำเภอปลาปาก องค์พระธาตุสูงถึง 37 เมตร ตั้งอยู่บนฐานสูง แลสง่าน่าเลื่อมใส เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุสำคัญ อานิสงส์ของการได้มากราบนมัสการคือ จะมีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง ทำให้ชีวิตมีแต่ความรุ่งโรจน์
5. พระธาตุมรุกขนคร (พระธาตุประจำคนเกิดวันพุธกลางคืน)
วันพุธเป็นเพียงวันเดียวที่มีพระธาตุประจำวันเกิด 2 องค์ คือ กลางวัน และกลางคืน ในส่วนของกลางคืนมีพระธาตุมรุกขนครเป็นพระธาตุประจำวัน เนื่องจากมีเรื่องเล่าว่าครั้งพุทธกาล มีอยู่คืนหนึ่งเป็นคืนวันพุทธ ภิกษุสงฆ์ได้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้น พระพุทธองค์จึงเสด็จหนีออกไปจากวัดที่ทรงจำพรรษาอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีพระธาตุประจำวันพุธกลางคืน โดยองค์พระธาตุมรุกขนครนั้นคล้ายพระธาตุพนมย่อส่วน สูง 50.9 เมตร สร้างขึ้นในพระวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 50 ปี โดยความสูงเศษ จุด 9 เมตร ก็หมายถึง รัชกาลที่ 9 นั่นเอง
6. พระธาตุประสิทธิ์ (พระธาตุประจำคนเกิดวันพฤหัสบดี)
พระธาตุประสิทธิ์อยู่ห่างจากตัวเมืองนครพนม 93 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางไปประมาณ 1.30 ชั่วโมง กระทั่งถึงอำเภอนาหว้า ก็จะได้สักการะองค์พระธาตุที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้า อานิสงส์ของการได้มานมัสการคือ ทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในความก้าวหน้าดังประสงค์ ในบริเวณวัดยังเป็นที่ตั้งของศูนย์หัตถกรรมบ้านท่าเรือ ซึ่งเป็นศูนย์ศิลปาชีพแห่งแรกของไทย เมื่อปี พ.ศ. 2520 สินค้าโดดเด่นคือผ้าไหมมัดหมี่อันประณีตงดงาม
7. พระธาตุท่าอุเทน (พระธาตุประจำคนเกิดวันศุกร์)
ณ อำเภอท่าอุเทน ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงไหลเย็นชื่นใจ คือที่ตั้งขององค์พระธาตุสูงใหญ่ โดดเด่นนาม พระธาตุท่าอุเทน โดยสร้างให้คล้ายคลึงกับพระธาตุพนม สร้างเป็น 3 ชั้น ทรงสี่เหลี่ยม สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2454 โดยพระอาจารย์ศรีทัตถ์ เพื่อบรรจุพระอรหันตธาตุสำคัญ เชื่อว่าใครได้มาสักการะแล้วจะช่วยให้ชีวิตรุ่งโรจน์ เปรียบเสมือนพระอาทิตย์ขึ้นยามอรุณรุ่ง
8. พระธาตุนคร (พระธาตุประจำคนเกิดวันเสาร์)
เป็นอีกหนึ่งพระธาตุของนครพนมที่ตั้งอยู่ใกล้ริมล้ำน้ำโขง ในบริเวณตัวเมืองนครพนมนั่นเอง เป็นองค์พระธาตุขนาดกลาง สูง 24 เมตร ทว่างดงามด้วยรูปลักษณ์และลวดลาย ไม่ย่ิงหย่อนไปกว่าพระธาตุองค์ใด ได้มากราบสักการะแล้วเชื่อว่าอานิสงส์จะช่วยเสริมบารมี ทำให้มีอำนาจวาสนาเป็นเจ้าคนนายคน
9. พระธาตุจำปา อำเภอโพนสวรรค์
แม้จะมิใช่พระธาตุประจำวันเกิดทั้ง 7 วัน แต่พระธาตุจำปาก็เป็นโบราณสถานสำคัญที่ซุกซ่อนอยู่ในอำเภอโพนสวรรค์ ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2253 ดั้งเดิมเป็นสถาปัตยกรรมอีสาน แต่ได้รับการบูรณะเพิ่มเติมด้วยศิลปะรัตนโกสินทร์ จนเกิดการผสมผสานอันงดงาม โดยองค์พระธาตุสูงประมาณ 20 เมตร ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2548
10. วัดโอกาส ศรีบัวบาน อำเภอเมืองนครพนม
เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองนครพนมมาแต่โบราณ ตั้งอยู่บนถนสุนทรวิจิตร ตรงข้ามด่านท่าเรือนครพนม-คำม่วน (ลาว) สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1994 ในสมัยอาณาจักรศรีโคตรบูรรุ่งเรือง ความโดดเด่นอยู่ที่หอประดิษฐานพระติ้วและพระเทียม “พระติ้ว” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ทำด้วยไม้ติ้วบุทองคำ หน้าตักกว้าง 30 เซนติเมตร สูง 2 ฟุต สร้างโดยเจ้าผู้ครองนครศรีโคตรบูร เมื่อ พ.ศ. 1328 ส่วน “พระเทียม” สร้างให้เหมือนพระติ้ว เพื่อใช้ประดิษฐานไว้ข้างๆ เพื่อเทียม หรือแทนกัน
11. วัดศรีเทพประดิษฐาราม อำเภอเมืองนครพนม
เดิมชื่อ วัดศรีคุณเมือง สร้างเมื่อ พ.ศ. 2402 แต่ก่อนเป็นวัดร้าง กระทั่งหลวงปู่จันทร์ เขมิโย ได้เข้ามาบูรณะเมื่อปี พ.ศ. 2449 ภายในพระอุโบสถวัดนี้มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง 108 ภาพ อันงดงามมาก และยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ คือ พระแสง ซึ่งตำนานเล่าขานว่าสร้างขึ้นพร้อมกับพระสุก พระเสริม และหลวงพระพ่อพระใส (จังหวัดหนองคาย) ควรหาโอกาสไปกราบเพื่อเสริมมงคลชีวิต
12. โบสถ์นักบุญอันนา หนองแสง อำเภอเมืองนครพนม
ตัวเมืองนครพนมปัจจุบัน มีพี่น้องชาวไทยคริสต์จากเวียดนามที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่จำนวนมาก จึงปรากฏโบสถ์คริสต์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในภาคอีสานขึ้น! ในนาม “โบสถ์นักบุญอันนา” ที่สร้างขึ้นโดยคุณพ่อเอทัวร์ นำลาภ เมื่อปี ค.ศ. 1926 โดยโบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่ริมลำน้ำโขง กล่าวกันว่าเป็นโบสถ์แบบโกธิคที่สวยที่สุด 1 ใน 3 แห่งของไทย!
13. พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าราชการ (หลังเก่า) อำเภอเมืองนครพนม
ตั้งอยู่ที่ถนนสุนทรวิจิตร ใกล้ริมแม่น้ำโขง สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลในยุคที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดครองดินแดนแถบลุ่มน้ำโขง อาคารหลังนี้เคยใช้เป็นที่พำนักของผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมในอดีต ทว่าปัจจุบันได้พลิกบทบาทมาเป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าเรื่องราวหลากหลายของนครพนม ผ่านภาพถ่ายเก่า โมเดล ภาพยนตร์สั้น ฯลฯ อีกทั้งยังเคยเป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ครั้งเสด็จเยือนนครพนมด้วย โดยในครั้งนั้น แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ อายุ 102 ปี ได้มาถือดอกบัวรอรับเสด็จ จนกลายเป็นภาพแสนซึ้งตรึงใจ ที่เราชาวไทยแทบทุกคนคุ้นเคยกันดี
14. ย่านหอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์ อำเภอเมืองนครพนม
ชวนกันไปเดินเล่นชิลล์ๆ พักผ่อนหย่อนใจ ชมวิถีชุมชนเก่าอันเนิบช้าริมลำน้ำโขงกลางเมืองนครพนม ไปชม ชิม ช็อป แชะ แชร์ กับภาพประทับใจมากมายในย่านหอนาฬิกาเก่า ซึ่งปัจจุบันมีร้านอาหารน่านั่งสำหรับวัยรุ่นเปิดกันเพียบ อีกทั้งในคืนวันศุกร์และเสาร์ ตั้งแต่เวลา 17.00-20.00 น. ยังมีถนนคนเดิน เปิดให้เดินช็อปกันยาวกว่า 800 เมตรด้วยนะ
15. นั่งรถพ่วงชมเมืองนครพนม สัมผัสชีวิตอันเนิบช้า
ไปสนุกสนานกับการนั่งรถพ่วงชมเมืองนครพนม เติมความสุขให้กับการมาสัมผัสเมืองริมโขงนี้อย่างไม่ต้องเร่งร้อน เป็น City Tour ที่ชิลล์มากอีกวิธีหนึ่ง โดยเส้นทางรถรางจะเริ่มตั้งแต่โรงแรม The River ไปสิ้นสุดที่พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าหลังเก่า แวะไปตามจุดต่างๆ เป็นสิบแห่ง ใช้เวลารวมแล้ว 2-3 ชั่วโมง ค่าใช้จ่ายก็ถูกมาก แค่คนละ 50 บาทเอง นับเป็นการทำความรู้จักกับนครพนมได้อย่างลึกซึ้ง และง่ายดาย อย่างไม่ต้องเหนื่อยเลย
16. ล่องเรือสำราญชมวิว อลังการเบิกบานริมน้ำโขง
ไปเต็มอิ่มกับวิวสองฝั่งโขง ชื่นชมบรรยากาศความงามของภูมิทัศน์ธรรมชาติ เทือกเขาหินปูนกุ้ยหลินเมืองลาว ลงเรือท่องเที่ยวล่องชมวิวอย่างสุขใจ งามเป็นพิเศษในยามเช้ายามเย็น มีทั้งเรือของเทศบาลนครพนม (โทร. 0-4251-1535), เรือแม่โขง พาราไดซ์ครุยส์ (โทร. 0-4251-2551) และเรือริเวอร์ครุซ (โทร. 09-8015-0026-7)
17. หอเฉลิมพระเกียรติพระราชวงศ์จักรี อำเภอเมืองนครพนม
ตั้งอยู่ที่อำเภอหนองญาติ ห่างจากตัวเมืองนครพนม 7 กิโลเมตร เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เพิ่งเปิดใหม่ ใช้จัดแสดงนิทรรศการความเป็นมาของอาณาจักรศรีโคตรบูรและเมืองนครพนม รวมถึงราชวงศ์จักรี และพระราชกรณรียกิจสำคัญ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน อาคาร 2 ชั้นนี้แบ่งเป็นโซนต่างๆ อย่างดี พร้อมด้วยห้องชมภาพยนตร์ และห้องนิทรรศการ 8 เผ่า 2 เชื้อชาติ นครพนม น่าสนใจมากๆ (โทร. 0-4251-3973)
18. บ้านลุงโฮจิมินห์ หมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียนาม บ้านนาจอก
ไปร่วมกันย้อนประวัติศาสตร์การกู้เอกราชของชาวเวียดนามกับ ลุงโฮ หรือท่านโฮจิมินห์ ประธานาธิบดีคนแรกของเวียดนาม ผู้อุทิศทั้งชีวิตเพื่อต่อสู้และกอบกู้เอกราชคืนจนสำเร็จ โดยก่อนหน้านั้นท่านได้เข้ามาหลบซ่อนจากฝรั่งเศส เพื่อซุ่มวางแผนและหาทุนสนับสนุน อยู่ที่บ้านนาจอก จังหวัดนครพนม นี่เอง ในระหว่างปี พ.ศ. 2467-2474 แม้ปัจจุบันบ้านหลังเดิมจริงๆ ที่ลุงโฮเคยพำนักจะพังไปหมดแล้ว แต่ก็ได้มีการบูรณะขึ้นใหม่ในบริเวณเดิม ด้วยรูปแบบเดิม เพื่อเป็นอนุสรณ์สถาน ซึ่งมีทั้งชาวไทยและชาวเวียดนามเดินทางมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมากตลอดปี (โทร. 08-9713-0261 คุณสมจิตร อรรถวรวินิจ)
19. จุดชมวิวสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 อำเภอเมืองนครพนม
วันที่ 11 เดือน 11 ค.ศ. 2011 เวลา 11 โมง 11 นาที คือฤกษ์งามยามดี ที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 ได้เปิดใช้อย่างเป็นทางการ ทำหน้าที่เชื่อมโยงจังหวัดนครพนม เข้าสู่เมืองท่าแขก แขวงคำม่วนของลาว ซึ่งสามารถเดินทางต่อไปยังเมืองดงเหยของเวียดนามได้ ภายในเวลาแค่ 1 วัน ด้วยระยะทางเพียง 140 กิโลเมตรเท่านั้น! สะพานยักษ์ข้ามโขงแห่งนี้จึงเป็นเสมือน Gateway to ASEAN ของอีสานอย่างแท้จริง โดยมีจุดชมวิวอยู่ที่เชิงสะพานฝั่งไทย
20. ปากแม่น้ำสองสี และเมืองเก่าไชยบุรี อำเภอท่าอุเทน
ห่างจากตัวเมืองนครพนมไปเพียง 47 กิโลเมตร ในอำเภอท่าอุเทน คือถิ่นที่ตั้งของจุดบรรจบแห่ง “แม่น้ำสองสี” คือแม่น้ำสงครามสีเขียวมรกต ได้ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขงสีน้ำตาลแดง เกิดเป็นปากแม่น้ำที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ ฝูงปลาชุกชุม ชาวบ้านได้ออกเรือไปหาปลามาทำอาหารหลากหลาย โดยเฉพาะปลาส้มแสนอร่อยแห่งไชยบุรี เมืองริมโขงแสนน่ารักที่มีความเก่าแก่กว่า 200 ปีแล้ว! ตลอดริมฝั่งโขงมีวัดโบราณอันทรงคุณค่าอยู่ไม่น้อยกว่า 7-10 แห่ง พร้อมด้วยบ่อน้ำโบราณ ซากเจดีย์เก่า ชุมชนแสนน่ารัก พร้อมด้วยเส้นทางปั่นจักรยานริมน้ำชิลล์ๆ และแน่นอนว่าต้องมีจุดชมวิวแม่น้ำสองสีที่น่าชมอย่างยิ่ง
Special Thanks ผู้สนับสนุนการเดินทางอย่างเป็นทางการ
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานนครพนม โทร. 0-425103490-1
บริษัท Win Win Smile Co., Ltd. คุณวสุมน เนตรกิจเจริญ โทร. 0-4250-3503-4, 0-2153-8119-20, 09-2258-6848-9
The River Hotel นครพนม โทร. 08-3669-2999, 0-4252-2999 http://therivernakhonphanom.com
อลังการหวงกั่วซู่ น้ำตกใหญ่อันดับ 3 ของโลก!
เครื่องบินเจ็ทลำใหญ่ลำนั้น ค่อยๆ ลดระดับลงอย่างช้าๆ บินฝ่ากลุ่มเมฆสีเทาทึบลงสัมผัสรันเวย์ของสนามบินเมืองกุ้ยหยาง (Guiyang) เป็นเมืองหลวงของมณฑลกุ้ยโจว (Guizhou Province) ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ ของจีนแผ่นดินใหญ่ เพราะเรากำลังจะไปเยือน น้ำตกใหญ่อันดับ 3 ของโลก! และใหญ่อันดับ 1 ของทวีปเอเชีย! “น้ำตกหวงกั่วซู่” (Huangguoshu Waterfall)
ก่อนจะเข้าถึงน้ำตกหวงกั่วซู่ เราต้องเดินผ่านสวนหิน Tianxing Bridge ก่อน ภูมิประเทศตรงนี้น่าตื่นเต้นดี เพราะเป็นเหมือนโตรกเขาแคบให้เราเดินมุดลอดไปอย่างน่าสนุก
“สวนหิน Tianxing Bridge” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Tianxing Resort ตั้งอยู่ภายในพื้นที่กว้างใหญ่ของอุทยานน้ำตกหวงกั่วซู่ ภูมิประเทศตรงนี้เด่นที่ภูเขาหินปูน ซึ่งในทางธรณีวิทยาเรียกว่า Limestone Karst เกิดจากภูเขาหินปูนผุกร่อนเกิดเป็นรูปร่างพิสดาร ทั้งภูเขายอดแหลมฟันเลื่อย แท่งหินทรงหอคอย ถ้ำ หินงอกหินย้อย ช่องเขาแคบๆ และโตรกธารสีมรกต พวกเราเข้าไปเดินเที่ยวชมภูมิทัศน์มหัศจรรย์นี้อย่างเพลิดเพลิน
ระหว่างทางในสวนหินมีน้ำตกเล็กๆ แบบนี้ให้ชมหลายแห่ง
ก่อนเข้าไปถึงน้ำตกหวงกั่วซู่ ก็ต้องอ่านข้อมูลศึกษาไว้ล่วงหน้าก่อนล่ะ
ทางเดินค่อนข้างแคบ เปียกลื่นชื้นแฉะ จึงต้องเดินอย่างระวัง เพราะหน้าผาฝั่งตรงข้ามน้ำตกนี้ ถูกละอองไอจากน้ำตกหวงกั่วซู่ปลิวว่อนสาดมาปะทะตรงๆ เต็มๆ จนหลายคนต้องรีบเก็บกล้อง บางคนรีบควักเสื้อกันฝนมาสวม แต่ผมไม่มี เลยทำตัวชิลๆ เดินไปพักไป ถ่ายภาพไป ปล่อยให้ตัวเปียกปอน ราวกับกำลังตากฝนอยู่ก็ไม่ปาน! กล้องถ่ายภาพชุ่มโชกเหมือนมีคนเอาน้ำมาเทใส่สักสิบขัน ฮาฮาฮา
แม้จะยังไม่ถึงหน้าน้ำตก แต่ก็ได้ยินเสียงสายน้ำคำรามกระหึ่มแต่ไกล นั่นไง หวงกั่วซู่!
น้ำตกหวงกั่วซู่ สูงถึง 77.8 เมตร และม่านน้ำแผ่กว้างกว่า 101 เมตร จึงเป็นน้ำตกที่ทยิ่งใหญ่ และงดงามสุดๆ
มาถึงจุดชมวิวแรก บนหน้าผาที่อยู่ตรงหน้าฝั่งตรงข้ามน้ำตกพอดิบพอดี จุดนี้ชมวิวได้เจ๋งสุดๆ แต่ก็เปียกที่สุดเช่นกัน ละอองน้ำปลิวว่อนอยู่ในทุกอณูอากาศ บวกกับแรงลมขณะนั้น ทำให้รู้สึกคล้ายอยู่กลางพายุเฮอร์ริเคน
เริ่มเดินวนจากด้านหน้าน้ำตก เพื่อลอดเข้าไปด้านหลังม่านน้ำอันทรงพลัง!
ภาพสายน้ำสีขาวอิ่มเอมถาโถมลงจากหน้าผาสูงลิบ เป็นม่านน้ำสีขาวคล้ายทางสำลียักษ์ ดิ่งลงกระแทกแอ่งน้ำและโขดหินผาเบื้องล่าง ปล่อยละอองไอปลิวว่อนฟุ้งไปในอากาศโดยรอบ ภาพนี้ทำให้รู้สึกคล้ายเราหลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง!
จากหน้าผาฝั่งตรงข้ามน้ำตก ทางเดินเลียบหน้าผานำเราวนเข้าหาม่านน้ำตก ถามว่าเข้าไปทำไม? จะไปเล่นน้ำเหรอ? คำตอบคือเปล่า แต่หวงกั่วซู่เป็นน้ำตกเพียงไม่กี่แห่งในโลก ที่มีทางเดินให้ลอดผ่านด้านหลังม่านน้ำตกได้ด้วย! ว้าว Amazing สุดๆๆๆ! มันเป็นวินาทีน่าตื่นเต้น เพราะเรากำลังเดินเข้าไปหลังม่านน้ำสีขาวโพลนอันทรงพลังของน้ำตกใหญ่ที่สุดในเมืองจีน เผยให้เห็นสายน้ำสีขาวปริมาณมหาศาล ถาโถมลงมาเป็นสายเหนือหัว
ผมลองแหงนมองคอตั้งบ่า เห็นม่านน้ำตกพุ่งลงมาผ่านตัวเราไป เสียงน้ำดังสนั่น จนพูดกันแทบไม่ได้ยิน
ความชุ่มฉ่ำของสายน้ำที่หลากไหลอยู่ชั่วนาตาปี ไม่เคยเหือดแห้ง ช่วยให้พืชน้อยๆ น่ารักๆ อย่างเฟินและมอสที่ชอบความชื้น งอกงามอยู่ตามผาหินจนแลคล้ายผืนพรมสีเขียว เย็นตา
พอมุดผ่านหลังม่านน้ำตกแล้ว ทางเดินเลียบผาก็จะต่ำลงๆ จนไปถึงสะพานแขวนข้ามธารน้ำ กลับไปยังฝั่งตรงข้ามน้ำตก บัดนี้เราได้เดินเที่ยวน้ำตกหวงกั่วซู่มาเป็นวงรอบครบสมบูรณ์แล้ว จากนั้นก็ขึ้นบันไดเลื่อนยาวเหยียด กลับไปสู่จุดเริ่มต้นของเส้นทางอีกครั้ง
ตัวผมยังเปียกชุ่มอยู่ขณะที่นั่งรถบัสของอุทยานฯ กลับออกมาต่อรถบัสกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม ช่วงเวลาแห่งความสุขช่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่หวงกั่วซู่ฝากตรึงไว้ในใจผมคือความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่ทำให้รู้สึกว่า ตัวเราช่างเล็กกระจ้อยเหลือเกิน และคงไม่มีวันชนะพลังธรรมชาติได้อย่างแน่นอน.
Special Thanks : บริษัท Spirit of the World, บริษัท Himalayan Center และรายการโลกใบใหม่ by เมืองไทยดอทคอม สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี
Guiyang Guide
When to go : เที่ยวได้ตลอดปี แต่ฤดูฝนอยู่ระหว่างเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม
How to go : สามารถบินตรงจากสุวรรณภูมิ สู่สนามบินเมืองกุ้ยหยาง ใช้เวลา 2.40 ชั่วโมง ด้วยสายการบิน HNA Capital Airlines หรือจะบินมาจากเมืองกว่างโจว, กุ้ยหลิน, คุณหมิง, เฉิงตู, ปักกิ่ง ก็ได้ นอกจากนี้ยังมีรถไฟภายในประเทศของจีนด้วย เช่น สาย Yunnan-Guizhou Railway และ Zhuzhou-Liupanshui II Track Railway เป็นต้น มีทั้งรถไฟธรรมดา และรถไฟหัวจรวด
Where to stay : แนะนำโรงแรมสี่ดาวสุดเจ๋งในเมืองกุ้ยหยาง Forest City Wanyi Hotel โทร. 0851-6878888 จองผ่าน www.agoda.com ส่วนที่เมืองขายลี่ แนะนำ โรงแรม Jai Jun Hotel เพราะอยู่ใกล้ปากทางเข้าอุทยานน้ำตกเลย จองผ่าน www.chinahotelbooking.com
What to eat : คนจีนภาคใต้ในกุ้ยหยาง นิยมกินอาหารเผ็ดร้อน โดยใส่เครื่องเทศชื่อ “หมาล่า” ลงไปด้วย ยิ่งใส่เยอะยิ่งเผ็ด หอม ชาลิ้นนิดๆ นิยมใส่ในผัดและน้ำซอสปิ้งย่าง มีให้ชิมทั่วไปทุกภัตตาคารและร้านริมทาง
Souvenirs : ของที่ระลึกสุดเก๋จากกุ้ยหยาง คือ เครื่องเงิน, เสื้อผ้าชาวเขา, ผลไม้สด ฯลฯ
More info : บริษัท Spirit of the World (http://sprtour.com), บริษัท Himalayan Center โทร. 0-2553-0996-7 www.himalaicenter.com, รายการโลกใบใหม่ by เมืองไทยดอทคอม โทร. 08-6666-7660
เที่ยวไป กินไป Style บุรีรัมย์ (ตอน 5)
เผลแป๊บเดียว! นี่ก็วันที่ 6 เป็นวันสุดท้ายของการมาเที่ยวบุรีรัมย์แล้ว! เหมือนที่มีคนเคยบอกไว้เลย ว่าเวลาแห่งความสุขมันช่างรวดเร็ว เร็วจนเราลืมไปเลยว่า วันนี้จะต้องลาจากเพื่อนๆ แล้ว!
เช้านี้เป็นเช้าที่ Happy อีกวันของชีวิต เพราะเราเล็งไว้ตั้งแต่เมื่อวานเย็นแล้ว ว่าเช้านี้จะต้องมาชิมขาหมูที่อร่อยมากๆ อีกร้านของอำเภอนางรองให้ได้ เพียงแค่ข้ามถนนจากหน้าร้านลักษณาขาหมู ไปยัง ร้านจิ้งนำ รีบสั่งขาหมูมาหม่ำให้เต็มอิ่ม เช้านี้ร้านไม่แน่น เลยนั่งกินกันสบายๆ ในบรรยากาศร้านแบบย้อนยุคครับ
โดยส่วนตัว ผมว่าขาหมูร้านจิ้งนำเป็นขาหมูตุ๋นยาจีนกินกับหมั่นโถว ที่อร่อยไม่แพ้ร้านไหนๆ เนื้อขาหมูที่เหนียวนุ่ม สู้ปาก น้ำราดข้นกำลังดี กินกับผักดอง พริก กระเทียมสด และน้ำจิ้ม ถือว่าสุดยอดแล้ว นอกจากนี้เขายังมีกับเมนูอาหารอื่นให้ชิมอีกเพียบ…
ต้มยำปลากะพงน้ำข้น ชวนน้ำลายสอ!
พอกินของคาวเสร็จ ก็ล้างปากด้วยของหวาน ลอดช่องน้ำกะทิ อิจฉาตัวเองจริงๆ ชีวิตดี้ดีเนอะ!
อิ่มแล้วก็มีแรงเที่ยวต่อทันที ทีมเราก็เป็นแบบนี้ล่ะ ฮาฮาฮา คือถ้าไม่กิน เที่ยว ถ่ายรูป เมาท์กัน ก็หลับ!
เช้านี้เป็นคิวของการสัมผัสเรียนรู้วิถีชุมชนทอผ้าไหมอันมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของบุรีรัมย์ “บ้านหนองตาไก้” อำเภอนางรอง จากจุดที่ร้านขาหมูจิ้งนำและร้านลักษณาตั้งอยู่ ขับรถไปไม่ไกลก็ถึงบ้านหนองตาไก้แล้วจ้า
พอดีช่วงนี้เป็นหน้าฝน ชาวบ้านส่วนใหญ่เลยไม่ได้มีกิจกรรมการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ทอผ้า กันเยอะเหมือนในฤดูอื่นๆ เพราะส่วนใหญ่ออกไปทำนาทำไร่กันหมด แต่ก็โชคดีที่ผมเคยไปเที่ยวบ้านหนองตาไก้มาแล้วเมื่อปีก่อน เลยขอนำภาพสวยๆ มา Share ให้เพื่อนๆ ที่น่ารักทุกคนได้ชมกันนะครับ ว่าหมู่บ้านนี้เขาเจ๋งแค่ไหน…
คำว่า ตาไก้ จริงๆ แล้วเป็นชื่อของไม้ยืนต้นชนิดหนึ่งครับ ซึ่งเมื่อสมัยก่อนเคยมีอยู่เยอะมากในแถบนี้ (แต่ปัจจุบันแทบไม่มี) หมู่บ้านนี้จึงตั้งชื่อขึ้นตามชื่อของต้นไม้นั่นเองคร้าบบบ เวลามีคณะนักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชม ควรติดต่อไปล่วงหน้าให้ชาวบ้านเตรียมตัว เขาก็จะมีพิธีจัดต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ใส่ชุดผ้าไหมกันมาแบบจัดหนักเลยล่ะ
เวลาที่คณะนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมหมู่บ้าน เขาจะมีการฟ้อนรำให้ชมด้วย ม่วนหลายเด้อ!
ความงามของชุดผ้าไหมสีสดใส ที่ชาวบ้านหนองตาไก้ทอเอง ใส่เอง อย่างน่าชื่นชมครับ
ชุดผ้าไหมบ้านหนองตาไก้ ได้รับอิทธิพลมาจากผ้าเขมร เนื่องจากบรรพบุรุษของชาวบ้านที่นี่คือคนเขมรนั่นเองจ้า
หน้าหมู่บ้าน เขามีร้านจัดแสดงผลิตภัณฑ์งานฝีมือ และจำหน่ายผ้าไหมให้นักช้อปทั้งหลายด้วย แม้ราคาจะสูง แต่อย่าต่อรองเลยนะจ๊ะ เพราะถ้าได้เข้าไปชมขั้นตอนการทอผ้าไหมอย่างละเอียดแล้ว จะรู้ว่ามันต้องทุ่มเทมาก
เสื่อกกทอมือจากฝีมือคนบ้านหนองตาไก้จ้า
วิธีการเที่ยวชมหมู่บ้านหนองตาไก้ก็แสนน่ารัก จัดให้นักท่องเที่ยวนั่งรถอีแต๋นแบบ Slow Travel จริงๆ
เส้นไหมที่ยังไม่ได้ฟอกย้อม สีแท้ๆ จะเป็นสีเหลืองทองอย่างนี้ล่ะ มหัศจรรย์จริงๆ เลยใช่ไหม?
ชาวบ้านหนองตาไก้เขาปลูกต้นหม่อน เอาใบไว้เลี้ยงตัวไหมเองด้วย เรียกว่ามีครบทุกขั้นตอนการผลิตเลย เจ๋งอ่ะ!
ไหมที่ผ่านการปั่นเป็นเส้นเรียบร้อยแล้ว ก็จะนำมาย้อมร้อน จุ่มขึ้นจุ่มลงให้สีติดดี เพราะยิ่งย้อมหลายครั้ง และสีย้อมถูกอากาศ ก็จะเกิดกระบวนการออกซีไดซ์ สีติดทนนาน สีเข้มขึ้น และแวววาวสวยงาม
นี่คือความอลังการของงานหัตถศิลป์ถิ่นแพรไหมบ้านหนองตาไก้ ที่ทุกวันนี้ยังคงสืบสานภูมิปัญญาบรรพบุรุษไว้อย่างเหนียวแน่น จนกลายเป็นแหล่งเรียนรู้การผลิตผ้าไหมคุณภาพเยี่ยม มีคนมาชม ซื้อผ้า และดูงานกันหัวกระไดไม่แห้ง
ทำงานอยู่กับบบ้านมีความสุข ชุมชนก็เข้มแข็ง และเจริญขึ้นทุกวันๆ
สาวไหมจากรังไหมให้เป็นเส้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ทักษะประสบการณ์ และใจเย็นมากพอตัวเลยล่ะ
ผีเสื้อไหมตัวน้อย ตัวสีขาวนวลอ้วนป้อม แต่บินไม่ได้ เป็น 1 ใน 4 ระยะ ของวัฏจักรวงจรชีวิตตัวไหม คือ ไข่, ตัวหนอน, ดักแก้ และผีเสื้อไหม โดยพวกมันจะกินอาหารเพียงระยะเดียวตลอดชีวิตคือในขณะเป็นตัวหนอน เพื่อเก็บสะสมพลังงานไว้เข้าดักแด้ครับ และเส้นใยที่อยู่รอบดักแด้ ก็คือเส้นไหมที่นำมาทอเป็นผืนผ้านั่นเอง ว้าว Amazing!
หนอนไหม กำลังหม่ำใบหม่อนอย่างเอร็ดอร่อย
เส้นไหมแท้ๆ ที่ยังไม่ผ่านการฟอกย้อมใดๆ มีสีเหลืองทองอร่าม แต่ค่อนข้างแข็ง
น้องพัชชี่ของเราดูจะ Happy มากกับเส้นไหมสีเหลืองทอง สีสวยสดใส อย่างนี้ต้องมาเรียนวิธีการทอผ้าไหมที่นี่เลย
พูดยังไม่ทันขาดคำ น้องพัชชี่ก็เข้าไปตีซี้กับคุณยาย เรียนรู้วิธีการตีเกลียวเส้นไหม
ในที่สุด น้องพัชชี่ก็กลายเป็นคนบ้านหนองตาไก้โดยสมบูรณ์! เมื่อได้ขึ้นไปนั่งบนกี่ทอผ้า ทดลองทอผ้าไหมด้วยมือตัวเองจริงๆ น่าชื่นชมสำหรับคนรุ่นใหม่ ที่ยังมีใจรักงานหัตถกรรมพื้นบ้านของไทยเช่นนี้ครับ ซึ้ง น้ำตาจิไหล!
นอกจากการย้อมไหมทั้งเส้นแล้ว ยังมีการย้อมแบบมัดลาย เพื่อเตรียมไปทำไหมมัดหมี่ด้วย คนบ้านนี้เก่งจริงๆ
งามอย่างทรงคุณค่า ผ้าไหมบ้านหนองตาไก้ อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
จากบ้านหนองตาไก้ เราใช้เวลาอีกกว่า 3 ชั่วโมง ขับรถจากบุรีรัมย์กลับไปขอนแก่น เพื่อขึ้นเครื่องบินของ Nok Air กลับบ้านในเที่ยวสองทุ่ม… ตลอดทางกลับ ผมแอบเศร้าอยู่นิดๆ คนเดียว เพราะใกล้จะถึงเวลาที่ต้องโบกมือลาเพื่อนๆ แล้ว
ใครจะไปนึกนะ ว่าเวลาแค่ 6 วัน จะทำให้เราได้สัมผัสเรื่องราวสนุกๆ มากมายขนาดนี้ ใครจะไปเชื่อว่าบุรีรัมย์ที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันในภาพลักษณ์ของเมืองกีฬาระดับโลก มีสนามแข่งฟุตบอลสุดเจ๋ง สนามแข่งรถสุดมัน แท้จริงแล้วจะยังมีเรื่องราวในแง่มุมอื่นให้สัมผัสอีกมากมายจนเราจดจำได้ไม่ไหว แม้แต่เมมโมรี่กล้องตอนนี้ยังเต็มแล้วเต็มอีก!!! แล้วเมมโมรี่ในสมองเราจะเก็บหมดได้ไง…
แต่เชื่อเถอะเพื่อนๆ ว่าเมมโมรี่ในใจที่ผมเก็บไว้… มันยังมีที่เหลือ ให้กับมิตรภาพ รอยยิ้ม และทริปต่อไปอีกแน่นอน… เพราะ Buriram Style ทำให้เราหลงรัก จนหมดใจ จุ๊บๆ
See You Again บุรีรัมย์
ขอขอบคุณ ผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ ของโครงการ “The Amazing Journey Blogging Contest” 2015
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กองประชาสัมพันธ์ในประเทศ ฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
และ 1672 เบอร์เดียว เที่ยวทั่วไทย
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ
โทร. 0-4451-4447-8 อีเมล tatsurin@tat.or.th
เที่ยวไป กินไป Style บุรีรัมย์ (ตอน 4)
หนึ่งคืน กับห้องนอนรวมเรียงกันเป็นตับ กับพัดลมตัวเดียวในบ้านพักของหน่วยพิทักษ์ป่าละเลิงร้อยรู ทำให้เรารู้ซึ้งถึงคำว่า “การแบ่งปัน” ระหว่างหมู่มิตร กระทั่งเสียงนาฬิกาปลุกของทุกคนดังขึ้นพร้อมกันตอนตี 4 ตรงเผง! เป็นสัญญาณให้ต้องรีบขุดตัวเองขึ้นจากฟูกนอนอุ่นๆ เพื่อรีบล้างหน้าแปรงฟัน แต่งตัวออกไปซดกาแฟร้อนๆ แล้วขับรถออกไปรอชมแสงแรกของตะวันในป่าดงใหญ่ ดูซิว่าเช้านี้จะมีสัตว์อะไรออกมาให้เห็นบ้าง?
ขับรถตระเวนออกไปตามถนนสายเล็กๆ กลางป่า ผ่านทุ่งหญ้าโล่งที่มีหญ้าระบัดเขียวสดงอกงามอยู่มากมาย ทริปนี้เตรียมพร้อม ผมเลยพกเลนส์ถ่ายภาพตัวใหญ่ไปด้วย 150-600 มิลลิเมตร พร้อมด้วยกล้อง Nikon D4 ระดับสุดยอด ทว่าเช้านี้ได้ยินแต่เสียงน้องช้างส่งเสียงร้องคุยกันอยู่ในป่าลึก ห่างจากถนนมาก เลยไม่ได้เก็บภาพตามที่หวัง…
นี่ล่ะครับ มาเที่ยวธรรมชาติ ก็ต้องเข้าใจธรรมชาติ ต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับจังหวะลมหายใจของป่าด้วย
ทุ่งหญ้าในยามเช้าที่ยังพอมีน้ำค้างพร่างพรมอยู่บนยอดหญ้า สะท้อนแดดพร่างพราวงามตา เป็นรางวัลที่ป่าดงใหญ่มอบให้คนรักการแรมทางไม่กลัวความลำบากอย่างพวกเรา
ขับรถเข้าป่ามาลึกพอดู จนถึง “อ่างเก็บน้ำลำนางรอง” พี่ยักษ์เล่าว่า ปีนี้น้ำน้อยผิดปกติ ตอไม้เลยโผล่ให้เห็น เป็นสัญญาณว่าภาวะโลกร้อนปีนี้รุนแรงกว่าทุกปี เพราะมนุษย์อย่างเราๆ นี่ล่ะ ที่ไม่เคารพธรรมชาติ ถึงเวลาธรรมชาติเอาคืนบ้างนะครับ!
ระหว่างทางขับรถมาเพลินๆ ทันใดนั้นก็จ๊ะเอ๋เข้ากับ นกยูงไทยตัวผู้ ที่แอบมาซุ่มดูเราอยู่ในพงหญ้ารกเป็นเครื่องกำบัง นี่เป็นครั้งที่ 3 ในชีวิตผม ที่มีโอกาสเห็นนกยูงในสภาพธรรมชาติจริง หลังจากครั้งแรกเคยเห็นมาแล้วที่ป่าห้วยขาแข้ง จ.อุทัยธานี รวมถึงป่าแม่วงก์ จ.นครสวรรค์ ดีใจบอกไม่ถูก ที่ได้เห็นนกอันแสนสง่างามนี้อีกครั้ง เพราะนกยูงไทยในธรรมชาติมีเหลือน้อยมาก จนใกล้สูญพันธุ์แล้วครับ!!!
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ ยังเป็นแหล่งดูผีเสื้อที่ดีมากอีกแห่งหนึ่งของไทย โดยเฉพาะในฤดูฝนนี่ล่ะ ในบริเวณริมลำธาร หรือโป่งต่างๆ ยามเช้าจะมีฝูงผีเสื้อมารวมตัวกันเป็นร้อยๆ น่ารักมากครับ ในรูปนี้มีทั้งผีเสื้อเณร ผีเสื้อสะพายฟ้า และผีเสื้อหางติ่ง ว้าว! สุดยอดไปเลย! นี่ก็เป็นรางวัลอีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งป่าดงใหญ่มอบให้พวกเรา
จริงๆ แล้วป่าดงใหญ่เป็นเพียงส่วนเสี้ยวหนึ่งของผืนป่ามรดกโลก ดงพญาเย็น-เขาใหญ่ เนื้อที่กว่า 3.8 ล้านไร่ เป็นกลุ่มป่าขนาดใหญ่ของพื้นที่อนุรักษ์ 6 แห่ง คือ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่, อุทยานแห่งชาติทับลาน, อุทยานแห่งชาติปางสีดา, อุทยานแห่งชาติตาพระยา, อุทยานแห่งชาติพระพุทธฉาย และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ ด้วย
แดดเร่ิมแรงขึ้น พร้อมกับหลายคนเริ่มบ่นหิวแล้ว ก็ได้เวลากลับมาที่หน่วยพิทักษ์ป่าละเลิงร้อยรู ช่วยกันทำกับข้าว จากของสดที่ซื้อก่อนเข้าป่ามาเมื่อเย็นวาน มื้อเช้านี้นางเอกคือคุณพิม แห่งครัวบ้านพิม หัวหน้าทีมของเราเอง ดีใจได้กินผัดผักบุ้งกับไข่เจียวฟูๆ ร้อนๆ อร่อยๆ จากฝีมือคุณพิม ซึ้ง น้ำตกจิไหลครับ!
คุณพิมกับน้องพัชชี่ ช่วยกันทอดไข่เจียวขั้นสุดยอด! ฟู เหลืองนวล น่ากินมากๆๆๆๆ
Breakfast ง่ายๆ แบบคนอยู่ป่า แต่ขอบอกว่ารสชาติยังกับขึ้นเหลา ฮาฮาฮา ไม่ได้โม้ เพราะมื้อนี้คุณพิมลงมือเองเลย
น้องพัชชี่ครับ เช็ดน้ำลายนิดนึงครับ! ขอพี่ก่อนเลย ไข่เจี้ยวนั้นพี่เล็งไว้แล้วนะ ฮาฮาฮา
ก่อนจะโบกมือลาธรรมชาติผืนป่าดงใหญ่ กลับเข้าสู่โลกแห่งความเจริญและความเป็นเมืองอีกครั้ง เราได้มอบพัดลมที่ซื้อมาใหม่เอี่ยม (และเพิ่งใช้ไปครั้งเดียวเมื่อคืนตอนนอน) ฝากไว้เป็นที่ระทึก เอ้ย! ที่ระลึก ให้กับหน่วยพิทักษ์ป่าละเลิงร้อยรู เอาไว้ใช้งานกันครับ เราขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกคนนะ ที่เสียสละความสุขส่วนตัวมาเฝ้าป่าไว้ให้คนไทย!
พี่ยักษ์ หรือพี่สมพงษ์ สุโขพันธ์ แห่งหน่วยพิทักษ์ป่าละเลิงร้อยรู บุคคลที่น่ายกย่อง ชื่นชม ในความทุ่มเทรักษาป่า และเป็นผู้หนึ่งที่รู้เรื่องสัตว์ป่าในป่าดงใหญ่ดีที่สุดครับ เรารักพี่นะพี่ยักษ์ สู้ๆ ครับ!
บ้ายบาย… หน่วยฯ ละเลิงร้อยรู ว่างๆ จะกลับมาเยี่ยมใหม่นะคร้าบพี่
โบกมือลาผืนป่า ขับรถกลับเข้าสู่อารยธรรมความเป็นเมืองอีกครั้ง…
จากอำเภอโนนดินแดง พวกเราเริ่มการเดินทางอันยาวไกลไปบนถนนหลวงอีกครั้ง โดยย้อนกลับไปทางอำเภอประโคนชัย เพื่อเข้าไปเรียนรู้วิถีชาวบ้านอันแสนน่ารัก ที่ “ชุมชนบ้านโคกเมือง” ซึ่งเขามีชื่อเสียง ได้รับรางวัลชนะเลิศการท่องเที่ยวชุมชน และโฮมสเตย์ระดับประเทศมาแล้วมากมาย ในหมู่บ้านมีการแบ่งเป็นฐานเรียนรู้ต่างๆ เพียบ จะเดิน หรือจะปั่นจักรยานเที่ยวก็สุขใจไม่แพ้กันจ้า
แต่ทริปนี้เวลาไม่พอ เรามันคนบ้านไกลเวลาน้อย เลยเยี่ยมชมได้ไม่ครบทุกฐานการเรียนรู้อ่ะจ้า พี่น้อย ผู้นำกลุ่มท่องเที่ยวชุมชนบ้านโคกเมือง เป็นสาวร่างบอบบาง แต่มาดมั่นแข็งแรง มาต้อนรับเราด้วยตัวเองท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ จุดแรกเลยขอชมการทอเสื่อกกหน่อยดีกว่าครับพี่น้อย
เส้นกกที่ผ่านการรีดเส้นจนเท่ากันหมดแล้ว จะถูกนำไปย้อมสีแล้วตากให้แห้ง เตรียมนำมาทอครับ
ค่อยๆ ใจเย็นๆ ทอไปทีละเส้นอย่างประณีต ตามลวดลายที่สอนสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น จนได้ผลิตภัณฑ์เสื่อกกแสนสวย ซึ่งทุกวันนี้มีการดัดแปลงนำมาประดิษฐ์เป็นกระเป๋าเก๋ไก๋น่าใช้ทรงต่างๆ ด้วยจ้า
น้องพัชชี่อดรนทนไม่ไหว ขอคุณป้าทดลองสานเสื่อกกดูสักหน่อย การทอน่ะไม่ยาก ยากตรงการสร้างลายนั่นเอง!
จากฐานการเรียนรู้เสื่อกก ถัดมาคือการทอผ้าไหม ซึ่งเอกลักษณ์คือซิ่นตีนแดง ในภาพนี้เราจะเห็นเลยว่ามีการขึงไหมเส้นยืนเป็นสีแดงเตรียมไว้ด้วยส่วนหนึ่งแล้ว
จากไหมเพียงเส้นเดียว ผ่านกระบวนการผลิตอันประณีต และความใส่ใจในทุกรายละเอียด ในที่สุดก็ได้ความงามของแพรพรรณแวววาวล้ำค่า ขอบอกว่าเวลาซื้อกรุณาอย่าต่อราคาเลยครับ เพราะกว่าได้ผ้าไหมสักผืน มันต้องทุ่มเทจริงๆ ถือเป็นการกระจายรายได้ ช่วยชาวบ้านให้มีกำลังใจสืบสานหัตถศิลป์ของแผ่นดินแขนงนี้ต่อไปจ้า
พลาดไม่ได้เลย กับฐานการเรียนรู้พืชสมุนไพร ที่ชาวบ้านโคกเมืองรู้จักคิดประดิษฐ์ดัดแปลง ทำเป็นผลิตภัณฑ์น่าใช้หลากหลาย มีตั้งแต่สบู่, ยาสระผม, ครีมอาบน้ำ, ครีมล้างหน้า, ลูกประคบ, ยาหม่อง ฯลฯ ทั้งหมดเป็นฝีมือชาวบ้านโคกเมืองแท้ๆ จ้า แต่ในส่วนของผลิตภัณฑ์สมุนไพรจะไม่ผลิตค้างไว้คราวละมากๆ จะทำใหม่เสมอ เพื่อให้ได้ของมีคุณภาพ
พอฝนหยุดตก น้องพัชชี่ก็ขอยืมจักรยานพี่น้อยมาปั่นเที่ยวเล่นในชุมชน ถือเป็นการท่องเที่ยวแบบ Slow Travel และ Low-Carbon Travel สุดๆ เลยครับน้อง ซึ้ง น้ำตกจิไหล!
ที่ศูนย์ผลิตภัณฑ์ชุมชน เป็นแหล่งจำหน่ายงานหัตถกรรมฝีมือชาวบ้านโคกเมือง เห็นไหมว่าเขาตั้งใจและจริงจังสุดๆ
ผ้าไหมทอมือสวยๆ จากบ้านโคกเมืองจ้า
นอกจากในเรื่องของใช้สวยๆ งามๆ แล้ว บ้านโคกเมืองยังดำรงวิถีเกษตรพอเพียง ปลูกพืชแบบไม่ใช้ยาฆ่าแมลง เราจะเห็นว่าหลายครัวเรือนมีแปลงพืชผัก สมุนไพร ปลูกอยู่ข้างๆ บ้านเลย สามารถลดค่าใช้จ่ายได้มาก จะทำกับข้าวอะไรก็เดินลงไปใน Super Market ข้างบ้าน ได้สบายจ้า
ความน่ารักอย่างสุดท้ายของบ้านโคกเมือง คือเขามีโฮมสเตย์ให้นักท่องเที่ยวมาพักค้างคืนด้วย ค่าใช้จ่ายก็ไม่แพง คืนละไม่กี่ร้อยต่อคน แถมด้วยอาหารครบมื้อ! โดยบ้านที่ได้รับการคัดเลือก จะมีมาตรฐานสะอาด ปลอดภัย จนได้รับรางวัลโฮมสเตย์ระดับประเทศมาแล้วอ่ะจ้า
หลายคนไม่เข้าใจคำว่า โฮมสเตย์ (Homestay) จริงๆ แล้วจะเป็นโฮมสเตย์ได้ แขกที่มาพัก (นักท่องเที่ยว) ต้องนอนกับเจ้าบ้าน โดยเจ้าบ้านแบ่งห้องส่วนหนึ่งให้พักด้วยกัน เพื่อจะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ทั้งด้านวิถีชีวิตและวัฒนธรรม ได้มาเห็นที่บ้านโคกเมืองแล้วชื่นใจ เพราะนี่ล่ะ โฮมสเตย์ขนานแท้เลยจ้า
แม่ใหญ่ Hipster แห่งบ้านโคกเมือง เห็นแว่นของแม่แล้วผมให้รางวัลชนะเลิศไปเลยอ่ะจ้า ฮาฮาฮา
หนึ่งในห้องนอนของบ้านพักโฮมสเตย์บ้านโคกเมือง รับรองว่าอุ่นสบาย ปลอดภัย หลับฝันดีครับ
เย็นมากแล้ว ขณะที่เราขับรถออกจากบ้านโคกเมือง ตรงสู่อำเภอนางรอง แต่ก่อนเข้าที่พัก คงต้องแวะหาอาหารอร่อยๆ ขึ้นชื่อของที่นี่หม่ำกันก่อนล่ะ แน่นอน ไม่พลาด “ขาหมูนางรอง” วันนี้ขอชิม ร้านลักษณา ก่อน เป็นร้านเก่าแก่ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่รู้จักดี วันนี้ไม่ต้องรีบ เพราะร้านโล่ง เป็นวันธรรมดา เลยไม่ต้องแย่งกับใคร ฮาฮาฮา
วันธรรมดาก็น่าเที่ยวอย่างนี้ล่ะคร้าบ…
ดูกันชัดๆ กับความน่าหม่ำของ ขาหมูนางรอง ร้านลักษณา เป็นขาหมูตุ๋นเครื่องยาจีน น้ำราดออกหวานนำ ขาหมูนิยมเสิร์ฟแบบหั่นมาเป็นชิ้นๆ ไม่ใช่เป็นขาแบบบางร้าน ส่วนเนื้อขาหมูโดยส่วนตัวผมว่านุ่มดี กินแกล้มกลับผักกาดดองเปรี้ยว และน้ำจิ้มรสเปรี้ยวเผ็ด เข้ากั้นเข้ากัน
ร้านลักษณาไม่ได้มีแต่ขาหมูให้ชิม ยังมีกับข้าวอื่นมาเสริมทัพความอร่อยอีกเพียบ วันนี้เราขอชิมสะตอผัดกุ้งพริกแกง, น้ำพริกปลาทู และห่อหมกใบยอ ส่วนกระเทียมสดที่ใส่ถ้วยวางไว้กลางวง ขอร้อง ใครห้ามแย่ง! เพราะอันนี้ชอบมากๆกินแล้วรู้สึกกระชุ่มกระชวยเหมือนหนุ่มขึ้นอีกสักสิบปีเลยครับ ฮาฮาฮา
อีกวันอันแสน Amazing จิงกาเบลที่บุรีรัมย์ กำลังจะผ่านไปแล้ว ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งหลงรักจังหวัดนี้ เพราะดูเหมือนจะมีเรื่องราวสนุกๆ ให้ค้นหาไม่รู้จบ คืนนี้เราเข้าพักที่โรงแรมพนมรุ้งปุรี อำเภอนางรอง โรงแรมหรูระดับแนวหน้าแห่งหนึ่งในบุรีรัมย์ พรุ่งนี้จะได้มีแรงออกไปเที่ยวกันต่อเนอะ
ขอขอบคุณ ผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ ของโครงการ “The Amazing Journey Blogging Contest” 2015
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กองประชาสัมพันธ์ในประเทศ ฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
และ 1672 เบอร์เดียว เที่ยวทั่วไทย
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ
โทร. 0-4451-4447-8 อีเมล tatsurin@tat.or.th
เที่ยวไป กินไป Style บุรีรัมย์ (ตอน 3)
วันที่ 4 ของการตระเวนกินเที่ยวบุรีรัมย์ เป็นคิวของการออกไปทำความรู้จักกับที่เที่ยวในอำเภออื่นนอกจากอำเภอเมืองกันบ้าง ช่วงเช้า พอหายงัวเงียแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปอำเภอประโคนชัย ผ่าน “ถนนสายกุ้งจ่อม” อันมีชื่อเสียง เพราะว่าอำเภอประโคนชัยถือเป็นศูนย์กลางการผลิต “กุ้งจ่อม ปลาจ่อม” แสนอร่อย ผู้คนนิยมซื้อเป็นของฝากกลับบ้านกัน
กุ้งจ่อม ปลาจ่อม เป็นการถนอมอาหารแบบลูกอีสานแท้ๆ วิธีทำก็ไม่ยาก โดยการนำกุ้งหรือปลาตัวเล็กๆ มาใส่ไหหรือโอ่ง หมักกับเกลือและข้าวคั่วไว้เป็นระยะเวลานานพอประมาณ ความร้อนจากการหมักจะทำให้เนื้อกุ้งหรือเนื้อปลาสุกหอม พอเปิดไหมาก็จะมีกลิ่นคล้ายปลาร้า! แต่กลิ่นไม่แรงเท่าครับ วิธีกินก็มีหลากหลาย อาจนำมาใส่สำรับกับข้าว ซอยหอมแดง พริกขี้หนู บีบมะนาวลงไป กินกับข้าวร้อนๆ แซ่บอีหลีเด้อ! แต่ว่าการกินกุ้งจ่อม ปลาจ่อม แบบสด อาจจะดู Hardcore เกินไปสำหรับนักท่องเที่ยวต่างถิ่น ทุกวันนี้เขาเลยมีแบบทำสุกบรรจุกระปุกขายด้วย ราคาไม่แพง บนถนนสายกุ้งจ่อมมีให้เลือกเป็นสิบๆ ร้าน เรียงรายกันครับ หลายคนคงเริ่มน้ำลายสอแล้วสิ!
นี่ล่ะครับ หน้าตาของกุ้งจ่อมประโคนชัย
จากอำเภอประโคนชัย ขับรถไปเพลินๆ ชมทุ่งนาเขียวขจีสองฟากฝั่งถนน อากาศปลอดโปร่งโล่งสบาย เย็นชื่นใจ เพราะเช้านี้ไม่มีพระอาทิตย์ให้เห็น เหมือนกับฝนตั้งเค้ามาแต่ยังไม่ตกสักที กระทั่งมาถึง “ปราสาทพนมรุ้ง” มหาปราสาทขอมที่ตั้งอยู่บนภูเขาไฟซึ่งดับสนิทแล้ว นี่ล่ะหนึ่งในจุดหมายหลักของเราในวันนี้ ซื้อตั๋วเข้าครั้งเดียว สามารถนำไปเข้าชม “ปราสาทเมืองต่ำ” ที่อยู่ใกล้กันได้อีกด้วย ประหยัดดี อย่างนี้ทีมเราชอบมากๆๆๆๆๆๆ ฮาฮาฮา
สังเกตน้องพัชชี่ยิ้มหวาน วันนี้ใส่เสื้อลายสวยที่ซื้อจากถนนคนเดินเซราะกราวเมื่อวานด้วยล่ะ นั่นแน่…
ทุกวันนี้ การขึ้นไปชมปราสาทพนมรุ้งทำได้ 2 วิธี คือขับรถอ้อมขึ้นไปจอดด้านหลังปราสาทได้เลย ใครที่เริ่มยอมรับว่าตัวเองอายุเยอะแล้ว! หรืออาจจะพาเด็กๆ กับญาติผู้ใหญ่ไปด้วย ใช้วิธีนี้ก็สะดวกโยธินดี แต่พวกเราเลือกอีกวิธีครับ เพราะรู้ว่าตัวเองยังฟิตปั๋งอยู่! ฮาฮาฮา เลยชวนกันเดินขึ้นบันไดด้านหน้าปราสาท เพื่อย้อนรำลึกถึงอดีตพนมรุ้งในทุกย่างก้าวที่ผ่านไป พอดีวันนี้เป็นวันอาทิตย์ เลยมีนักท่องเที่ยวหนาตาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะชาวต่างชาติครับ แสดงให้เห็นว่าบุรีรัมย์เขา INTER ไม่เบาทีเดียว
ทางเดินขึ้นพนมรุ้งนี้ เราจะต้องผ่านสะพานนาคราช ซึ่งชาวขอมโบราณเชื่อว่าเป็นทางเชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์ครับ และสิ่งที่น่าแวะชมก็คือ นาค 5 เศียรที่บันไดนาคราชนี้เอง เพราะถือว่ามีความสวยงาม และสง่าน่าเกรงขามมาก
พอพ้นจากบันไดนาคราชขึ้นมา ก็เจอบาราย หรือสระน้ำเล็กๆ ที่มีบัวสายสีเหลืองเบ่งบานรับแสงตะวันอุ่น เบื้องหน้าของเราบัดนี้คือปราสาทพนมรุ้งแล้วล่ะครับ พนมรุ้งทำให้เราลืมความเหนื่อยและเหงื่อที่ซึมอยู่เต็มหลังไปหมดสิ้นเลยในที่สุดก็มาถึงแล้วจ้า ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทหินทรายสีชมพูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอีสาน สร้างขึ้นเพื่อถวายองค์พระศิวะตามความเชื่อของฮินดูโบราณ โดยตัวมหาปราสาทตั้งอยู่บนยอดภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว! สูงจากพื้นดินที่ราบเบื้องล่างถึง 200 เมตร! โดยคำว่า พนมรุ้ง แผลงมาจากภาษาเขมรว่า วนํรุง แปลว่า ภูเขาใหญ่ นั่นเอง
พนมรุ้งได้รับการออกแบบให้เป็นตัวแทน เขาพระสุเมรุ ตามคติความเชื่อของพราหมณ์โบราณ โดยเขาพระสุเมรุทำหน้าที่เป็นแกนหลักของโลกและจักรวาลครับ ว้าว ลึกซึ้งจริงๆ
นอกจากตัวปราสทที่ยิ่งใหญ่งดงามจนเราต้องตะลึงแล้ว ให้ลองเงยหน้าขึ้นไปสังเกตทับหลังเหนือซุ้มประตูด้านทิศเหนือ ของปรางค์ประธาน เราจะพบกับ “ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์” อันโด่งดัง เพราะทับหลังชิ้นนี้เคยถูกโจรกรรมไปจากพนมรุ้งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 และถูกนำไปจัดแสดงอยู่ที่สถาบันศิลปะชิคาโก สหรัฐอเมริกา แต่ในที่สุดชาวไทย นำโดยรัฐบาล และหม่อมเจ้าสุภัทรดิส ดิศกุล ก็ได้ทับหลังชิ้นนี้คืนมา ทันวันพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้งพอดี ในปี พ.ศ. 2531 ใครไม่รู้จักทับหลังชิ้นนี้ ลองไปฟังเพลงของพี่แอ๊ดคาราบาวดูนะครับ แล้วจะซึ้ง! น้ำตาจิไหล!
ใจกลางปรางค์ประธานพนมรุ้ง เป็นที่ตั้งของศิวลึงค์บนฐานโยนี ซึ่งชาวขอมโบราณเชื่อว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเป็นต้นกำเนิดของความอุดมสมบูรณ์ทั้งหลาย (เหมือนการรวมกันของหญิงและชาย) สมัยโบราณทุกวันพราหมณ์จะนำน้ำและน้ำนมโคบริสุทธิ์ มาอาบรดบนศิวลึงค์ แล้วปล่อยให้น้ำศักดิ์สิทธิ์ไหลออกมาทางรางหินนี้ครับ
จากปราสาทพนมรุ้ง มองลงไปเบื้องล่างเห็นทุ่งราบของผืนนากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา สดชื่นมากในยามฤดูฝนเช่นนี้
แม่ใหญ่ Hipster Buriram Style ก็มาเที่ยวพนมรุ้งกะเขาด้วยล่ะเด้อ!
ความมหัศจรรย์อีกอย่างของพนมรุ้ง ที่ควรหาเวลามาชมอย่างยิ่งคือ ทุกปีจะมีอยู่ 2 ช่วง ที่สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกได้ตรง 15 ช่องประตูของปรางปราสาทประธาน ได้อย่างน่าอัศจรรย์! โดยจะแลเห็นพระอาทิตย์ขึ้นตรงทั้ง 15 ช่องประตูได้ ในช่วงเดือนกันยายน ส่วนพระอาทิตย์ตก ตรง 15 ช่องประตู อยู่ในช่วงเดือนเมษายน ผู้คนจะหลั่งไหลไปชมปรากฏการณ์อันน่าฉงนนี้นับหมื่นๆ คน!
ห่างจากปราสาทพนมรุ้งเพียง 8 กิโลเมตร บนพื้นที่ราบต่ำใกล้บาราย (หรือสระน้ำขนาดใหญ่) คือที่ตั้งของ “ปราสาทเมืองต่ำ” ปราสาทหินทรายอันแสนพิเศษ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะมีสระน้ำล้อมรอบ สี่มุมประดับด้วยนาค 5 เศียร ซึ่งเป็นนาคหัวโล้น ไม่ใช่นาคทรงเครื่องแบบที่พบในปราสาทพนมรุ้ง
แม้จะไม่ใช่ปราสาทขนาดใหญ่โตนัก แต่ด้วยรายละเอียดทางสถาปัตยกรรมขอมอันประณีต มีปราสาทอิฐ 5 องค์ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน ทำหน้าที่เป็นกลุ่มปรางค์ประธาน ถือว่าหาได้ยากยิ่ง คนที่ชอบเรื่องประวัติศาสตร์และโบราณคดี มาเที่ยวที่นี่คงจะรู้สึกเหมือนได้เดินย้อนอดีตไปในทุกย่างก้าว แถมยังมีมุมถ่ายภาพสวยๆ ให้เลือกกันเพียบ
รายละเอียดอันอ่อนช้อยงดงามพลิ้วไหว ในลวดลายของทับหลังชิ้นหนึ่งที่ปราสาทเมืองต่ำ
เมื่อหลายปีก่อนเคยไปเที่ยวปราสาทเมืองต่ำครับ พอดีเขามีงานแสดงแสงสีเสียง แอบไปจ๊ะเอ๋กับนางอัปสราหน้าหวาน แถมใส่เหล็กดัดฟันด้วย ฮาฮาฮา ทำให้ปราสาทเมืองต่ำมีชีวิตชีวาขึ้นเยอะเลยเด้อ
ไม่ห่างจากปราสาทเมืองต่ำ ระหว่างทางเราไปสะดุดตากับป้ายคำขวัญหมู่บ้าน ของ “บ้านเจริญสุข” อำเภอเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งได้ข่าวมาว่าเป็นแหล่งผลิตผ้าภูอัคนีที่หาได้ยาก มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ตรงกับคำขวัญหมู่บ้านเลย ที่บอกว่าเป็นถิ่นภูเขาไฟ ทางไหลลาวา! น่าตื่นเต้นดี เราเลี้ยวรถเข้าไปแวะทักทายชาวบ้านสักหน่อยดีกว่าเนอะ
นี่ล่ะครับ ผ้าภูอัคนี ซึ่งเป็นผ้าฝ้ายผ้าไหมทอมือ แล้วนำไปหมักในโคลนภูเขาไฟ แร่ธาตุในดินลาวาจากภูเขาไฟโบราณ ก็จะค่อยๆ ทำปฏิกิริยากับเนื้อผ้าและอากาศ จนเกิดเป็นสีส้มอมน้ำตาลอ่อนๆ สวยงาม ไม่เหมือนใครจริงๆ ครับ ถือเป็นความภูมิใจในภูมิปัญญาของชาวบ้านเจริญสุข จนสร้างชื่อเสียงเป็นหมู่บ้าน OTOP Village Champion ไปแล้วล่ะจ้า
นอกจากผ้าภูอัคนีแล้ว บ้านเจริญสุขยังเก่งด้านการทอเสื่อกกอีกด้วย
ลำใยที่ปลูกจากดินภูเขาไฟบ้านเจริญสุข รับรองหวานกรอบ อุดมด้วยแร่ธาตุจากภูเขาไฟแท้ๆ ฮาฮาฮา
มีลำใยภูเขาไฟยังไม่พอ ยังมีถั่วเขียวภูเขาไฟด้วย เอากะเขาสิ
สุดท้ายก็ต้องนี่เลย ของฝากที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า คือ ข้าวหอมมะลิ 105 ที่ปลูกบนดินภูเขาไฟบ้านเจริญสุข
นี่ก็บ่ายสองกว่าแล้ว แต่เรายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกันเลยนิ!!! ได้ยินเสียงพลขับบอกว่าเร่ิมจะไม่ไหว ส่วนคุณพิม น้องพัชชี่ และตัวผมเอง ก็ท้องร้องจ๊อกๆ มาตั้งนานแล้ว เราเลยตัดสินใจแวะที่ตลาดอำเภอละหานทราย กินอาหารจานเดียวแบบง่ายๆ แล้วแวะเข้าไปซื้อเสบียงในตลาดสด ทั้งผัก หมู ไข่ เครื่องปรุง รวมถึงน้ำ ขนม กับมาม่าคัพ! เพราะคืนนี้เราต้องเข้าไปนอนในป่ากัน!!!
ผมรักชีวิตการเดินทางก็เพราะอย่างนี้ล่ะ เพราะมันสอนให้เราเป็นคนง่ายๆ ไม่เรื่องมาก ปรับตัวง่าย และเข้าใจสัจธรรมของชีวิต
ที่ตลาดอำเภอละหานทราย มีแมลงทอดด้วย ถือเป็นโปรตีนธรรมชาติที่มีราคาถูก ซึ่งลูกอีสานนิยมกินกันมากครับ
จากอำเภอละหานทราย ใช้ทางหลวงสาย 2120 มุ่งตรงไปอำเภอโนนดินแดง ซึ่งถือเป็นอำเภอในส่วนใต้สุดของบุรีรัมย์ ติดกับจังหวัดสระแก้วแล้วจ้า เรากำลังมุ่งหน้าไปสัมผัสส่วนเสี้ยวหนึ่งของ ป่ามรดกโลก ดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ในพื้นที่ของ “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่” จ้า วันนี้อากาศดีมาก หวังว่าเราคงจะโชคดี
หลังจากเข้าไปพูดคุยกับท่านหัวหน้าเขตฯ แล้ว เราก็ได้ พี่ยักษ์ แห่งหน่วยพิทักษ์ป่าละเลิงร้อยรู เป็นไกด์กิตติมศักดิ์ เข้าป่าทางด้านจุดสกัดโคกเพชร แล้วจอดรถรอดวงอาทิตย์ให้คล้อยลงต่ำ แสงอ่อนกว่านี้อีกหน่อย เพื่อรอช้างป่าออกมาโชว์ตัวไงล่ะจ๊ะ! ตื่นเต้นจัง
สภาพพื้นที่ของป่าดงใหญ่ในบริเวณนี้ อดีตเคยถูกชาวบ้านบุกรุกเข้าแผ้วถางทำไร่ยูคาลิปตัสมาก่อน โดยปัจจุบันทางราชการได้ขอคืนพื้นที่ แล้วเตรียมผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของป่ามรดกโลกแล้ว
ดูแม่ไม้ใหญ่ที่ยืนต้นโดดเดี่ยวนั่นสิ นั่นคือร่องรอยของผืนป่าดงพญาเย็นที่เคยยิ่งใหญ่ ครอบคลุมภาคอีสานตอนล่างทั้งหมด หวังว่าป่าคงฟื้นตัวได้ในเร็ววันนะ (ผมแอบหวังอยู่คนเดียวลึกๆ)
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงเต็มที อุณหภูมิสีบนฟากฟ้าเปลี่ยนเป็นโทนสีเหลืองส้ม งดงามจับใจสุดๆ ท้องฟ้าที่นี่กว้างมาก มองไปรอบตัวได้ 360 องศาเลย เหมือนมีฟ้ากว้างมาครอบตัวเราไว้ ห่างไกลเมืองใหญ่ เรากำลังตกอยู่ในอ้อมกอดธรรมชาติโดยแท้!
ในขณะที่แสงตะวันสุดท้ายกำลังใกล้จะหมดลงเต็มที ในที่สุดก็มีน้องช้างป่าแสนน่ารักโผล่ออกมาจากแนวป่า! ค่อยๆ เดินดุ่มอย่างเงียบเชียบออกมากินหญ้าอยู่กลางทุ่งโล่ง แม้จะเห็นจากระยะไกล แต่ก็รู้ได้เลยว่าพี่ช้างเขาตัวใหญ่เบิ้มแค่ไหน วินาทีนั้นตื่นเต้นสุดๆ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลย เพราะการได้มาเห็นช้างป่าในธรรมชาติ ซึ่งมีความสง่างาม หากินอยู่อย่างอิสระเสรีอย่างนี้ มันเป็นช่วงเวลาที่มีไม่กี่คนในโลกหรอกจะได้พานพบ!
เนื่องจากป่าดงใหญ่เป็นส่วนหนึ่งของป่ามรดกโลก และอยู่ใกล้กับชายแดนเขมร จึงยังมีช้างป่าอยู่เยอะ ช้างเป็นสัตว์สังคมนะครับ ฝูงใหญ่จริงๆ มีแต่ตัวเมียกับตัวเด็ก ส่วนตัวผู้ที่เป็นช้างพลายจะแยกออกไปอยู่โดดเดี่ยว และจะกลับเข้ามาเฉพาะฤดูผสมพันธุ์เท่านั้น โขลงช้างจึงมีตัวป้าตัวยายเป็นผู้นำ และมีแม่ๆ น้าๆ พี่สาว ช่วยกันเลี้ยงเด็ก น่ารักมาก
ชื่นชมน้องช้างกันอยู่พักใหญ่ จนสิ้นแสงตะวันมองอะไรไม่เห็น เราเลยเคลื่อนพลต่อเข้าไปอีกตามหนทางสมบุกสมบันในป่า กลิ่นของต้นไม้ และเสียงของแมลงที่ออกหากินกลางคืน ช่างมีเสน่ห์เสียนี่กระไร! รถเราค่อยๆ แล่นเข้าไปอย่างเชื่องช้า และเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะถ้าโชคดี ก็อาจจะเจอสัตว์ใหญ่ จนกระทั่งถึง หน่วยพิทักษ์ป่าละเลิงร้อยรู ซึ่งมีเจ้าหน้าที่อยู่เฝ้าป่าเพียงไม่กี่คน เสียสละ น่าชื่นชมมาก แถมยังต้องใช้ไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์
ชีวิตแบบนี้ไม่ใช่ทุกคนจะอยู่ได้นะครับ ต้องเป็นคนที่รักษ์ป่าจริงๆ เท่านั้น ขอปรบมือชื่นชมเลย
ก่อนนอน ตามธรรมเนียมของคนอยู่ป่า เราก็ต้องมารวมตัวกันในที่ที่พอมีแสงไฟ คือครัว นั่งกินข้าวเหนียวไก่ย่างที่ซื้อมาจากตลาด จากนั้นก็ต้มน้ำร้อนชงกาแฟกิน ตั้งวงสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องสัตว์ป่ากันอย่างสนุกสนานเฮฮา หวังว่าพรุ่งนี้ ธรรมชาติคงจะมีของขวัญล้ำค่ามอบให้พวกเรา ที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาไกลนะครับ…
เที่ยวไป กินไป Style บุรีรัมย์ (ตอน 2)
ยิ่งอยู่ “บุรีรัมย์” นานขึ้นๆ พวกเราในทีมก็ย่ิงมีความคิดตรงกันว่า บุรีรัมย์เขามี Style ของตัวเอง มากซะจนเราตั้งฉายาให้ว่า “BURIRAM STYLE” มันเป็นสไตล์ที่ออกจะอธิบายยากหน่อย ว่าจริงๆ แล้วเป็นไง?! แต่สิ่งที่พอจะอธิบายได้ก็คือ BURIRAM STYLE เป็นการผสมผสานระหว่างความเก่า ความใหม่ และความฮิปแบบบ้านๆ ได้น่ารักดี
คงเพราะหลังจากมีสนามฟุตบอล i-Mobile และมีสนามแข่งรถระดับโลก Chang International Curcuit ก็ทำให้บุรีรัมย์โตแบบก้าวกระโดด! บุรีรัมย์วันนี้จึงมีความเป็น INTER อยู่ในตัวเอง ทว่าในขณะเดียวกันยังมีกลิ่นอายของอีสานใต้ ปะปนอยู่ในวิถีชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม เราอาจเห็นสาวสวยมากๆๆๆ ใส่ชุดเดรสยาว สีแดงแป๊ด มีลายซิลค์สกรีนสีขาว คำว่า Buriram อยู่ตรงกลางอกเสื้อ นั่งกินส้มตำปูปลาร้าอยู่ที่ถนนคนเดิน! นี่ล่ะ BURIRAM STYLE ที่เราพอจะอธิบายเป็นรูปธรรมให้คุณเข้าใจได้… แต่จริงๆ ผมว่ามันลึกซึ้งกว่านั้นอีก!
เช้าวันที่ 3 ของการไปเที่ยวบุรีรัมย์ ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้มปี๊ด อากาศเย็นสบาย จนเราเคลิ้มไปเลยว่า นี่มันหน้าหนาวหรือหน้าฝนกันแน่นะ!? อย่างนี้ต้องไปขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาเมืองเพื่อเป็นสิริมงคลกันหน่อยแล้ว จากที่พักเราเลยขับรถเข้าใจกลางเมือง ไปกราบ “ศาลหลักเมืองบุรีรัมย์” ซึ่งแปลกกว่าศาลหลักเมืองจังหวัดอื่น! เพราะภายในมีเสาหลักเมืองอยู่ถึง 2 ต้น โดยเสาต้นหนึ่งสูงกว่า ตั้งตรง เป็นทรง 8 เหลี่ยม โผล่พ้นจากพื้น 1.99 เมตร และยังมีเสาต้นเล็กที่เอียงอยู่ โผล่พ้นดินขึ้นมาเพียง 1.15 เมตร จุดที่ตั้งศาลหลักเมืองนี้เคยเป็นจุดที่รัชกาลที่ 1 ทรงเคยเสด็จมาพักทัพ เพราะบริเวณนี้มีทำเลเหมาะสม มีสระน้ำ มีต้นแปะขนาดใหญ่ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งชื่อเมืองนี้ว่า “เมืองแปะ” ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็น “เมืองบุรีรัมย์” ในภายหลัง
ตัวสถาปัตยกรรมของศาลหลักเมืองเพิ่งได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ โดยสร้างเลียนแบบปราสาทพนมรุ้งครับ สง่างามมาก
ในบริเวณเดียวกันยังเป็นที่ตั้งของ “ศาลเจ้าปึงเถ่ากงม่า” เป็นศาลเจ้าจีน สร้างเมื่อ พ.ศ. 2551 ภายในประดิษฐานรูปเจ้าพ่อหลักเมืองและเทพเจ้าจีน คือ ปึงเถ่ากง-ปึงเถ่าม่า เทพเจ้ากวนอู และเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย หรือเทพเจ้าแห่งทรัพย์สินเงินทอง ซึ่งคนจีนเคารพนับถือกันอย่างมากนั่นเอง เพี้ยงงงงงงง ขอให้ลูกช้างรวยๆ กะเขามั่งเหอะ!!!
ฝั่งตรงข้ามศาลหลักเมืองบุรีรัมย์ คือที่ตั้งของพระอารามหลวงแห่งแรกของเมืองบุรีรัมย์ “วัดกลางพระอารามหลวง” เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองมาแต่โบราณ เปี่ยมด้วยมนต์ขลังของสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ด้านข้างโบสถ์ เรียกว่า “สระสิงโต” เป็นจุดที่เจ้าพระยาจักรี (หรือสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในเวลาต่อมา) ทรงหยุดพักทัพ ระหว่างไปทำศึกกับเจ้าเมืองจำปาศักดิ์ โดยน้ำในสระนี้ได้รับการนำไปประกอบพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา และเมื่อคราวที่มีการจัดพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 5 ธันวาคม 2530 ก็มีการอัญเชิญน้ำในสระนี้ไปทูลเกล้าถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วย
ไม่น่าเชื่อเลยว่าบุรีรัมย์ที่วันนี้ดูโตแบบก้าวกระโดด และทันสมัยสุดๆ จะมีประวัติศาสตร์สำคัญอันยาวนานเช่นนี้
เก้าโมงกว่าแล้ว ได้เวลาตามล่าหาร้านอาหารอร่อยตาม Style ของพวกเรา เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้อง วันนี้ยังมีคิวเที่ยวๆๆ อีกมาก! ฮาฮาฮา ในที่สุดก็มาลงเอยกันที่ “ร้านข้าวหมูแดง กวางเจา” ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงแรมแกรนด์ และร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นที่เราไปกินเมื่อวานนั่นเอง แหม ย่านนี้เป็นย่านรวมความอร่อยๆ จริงๆ เขาเรียกว่าถนนนิวาศ หาง่าย เพราะอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟนั่นเองจ้า
คุณป้าเจ้าของร้านเล่าให้ฟังว่า ขายมาตั้งสี่สิบห้าสิบปีแล้วมั้ง ไม่ได้นับ! เป็นสูตรดั้งเดิมตั้งแต่สมัยเตี่ยเลย ข้าวหมูแดงร้านกวางเจาจะไม่มีไข่กับกุนเชียงใส่มาให้แบบร้านอื่น แต่จะมีเฉพาะหมูแดงกับหมูกรอบ ที่กรอบกำลังดี ไม่แข็งจนเคี้ยวแล้วปวดฟันเหมือนบางร้าน! กินกับน้ำจิ้มซีอิ๊วดำใสใส่พริกสดมาเพิ่มรสชาติจี๊ดๆ แต่ถ้าจะให้เด็ด ต้องสั่งเกาเหลาใบตำลึงมาซดให้คล่องคอด้วย มีทั้งแบบใส่เครื่องใน ใส่ตับ ใส่เลือด หรือจะใส่เฉพาะหมูสับก้อนก็ได้ จัดกันไปคนละชามสองชาม ได้เวลาไปซิ่งกันที่สนามแข่งรถแล้ว…
วันนี้เราจะไปดูเด็กแว้นกัน!!! แต่ไม่ใช่แว้นกวนเมือง หรือซิ่งทำให้ชาวบ้านเขาเดือนร้อนนะ เพราะวันนี้เราจะไปดูการแข่งมอเตอร์ไซค์ Drag Bike หรือมอเตอร์ไซค์ทางเรียบในลู่วิ่งตรงๆ ยาวประมาณ 200 เมตร ซึ่งสนามนี้อยู่ใกล้กับสนามแข่งรถ Chang International Circuit นั่นเอง
ช่วงเช้าจะเป็นการซ้อม และเริ่มแข่งจริงตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน มีนักซิ่งจากทั่วประเทศมาเข้าร่วม! น่าตื่นตาตื่นใจมากเวลาเห็นมอเตอร์ไซค์รูปร่างแปลกๆ สวยๆ มารวมตัวกันเป็นพันคันขนาดนี้! แต่ละกันก็มีช่างประจำเครื่องมาปรับแต่งกันถึงสนาม บ้างยกทีมมาจากภาคใต้ เพื่อมาประลองความเร็วกันในสนามอย่างถูกกฎกติกา เราซื้อตั๋วแล้วขึ้นไปนั่งรวมกับผู้ชมนับพันบนอัฐจรรย์ ดูการซ้อมวิ่งของนักบิด Drag Biker! ด้วยความแรงของเครื่องที่เร่งรออยู่ก่อนแล้ว พอให้สัญญาณปล่อยตัว ล้อหน้ามอเตอร์ไซค์ก็มักจะเหินขึ้นไปในอากาศ! แล้วพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างสุดแรง!!! พร้อมกับเสียงเครื่องที่แผดออกมาจนหูเราดับไปเลย!!! สังเกตได้จากรอยดำบนพื้นลู่วิ่งอันโชกโชน คงจะเกิดจากรอยยางรถมอเตอร์ไซค์ที่บดกับพื้นสนามด้วยแรงเสียดทานมหาศาล ครั้งแล้วครั้งเล่า!!!
นอกสนาม Drag Bike มีเต็นท์สำหรับนักแข่งแต่ละทีม ได้ปรับเครื่องจูนรถของตัวเองให้แรงสะใจ แต่ด้วยความเชื่อและจิตวิญญาณแบบไทย ก็ยังมีการนำพวงมาลัยมาบูชาแม่ย่านางรถด้วย นี่ล่ะ หนึ่งใน BURURAM STYLE ใหม่ผสมเก่า
ดูการแข่ง Drag Bike กันพอหอมปากหอมคอ ก็ได้เวลาเข้าไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่า สนามแข่งรถ Chang International Circuit ที่เขาว่าได้มาตรฐานโลก จนสามารถแข่งรถยนต์ Formula 1 และรถ Super GT นั้น เป็นยังไง? พอขึ้นไปบนอัฐจรรย์ก็ต้องอึ้ง เพราะให้ความรู้สึกเหมือนสนามที่เคยเห็นในต่างประเทศไม่มีผิด! อีกทั้งยังเป็นสนามแข่งรถเดียวในโลก ที่ผู้ชมบนอัฐจรรย์สามารถมองเห็นได้ทุกโค้งด้วย Amazing จริงๆ! เสียดายวันนี้ไม่มีแข่งรถยนต์
สนามแข่งรถระดับโลก ทำให้บุรีรัมย์วันนี้กลายเป็นศูนย์กลางของ Big Biker ทั่วประเทศ เราจะเห็นรถมอเตอร์ไซค์เจ๋งๆ สวยๆ ราคาแพงลิ่วระดับครึ่งล้าน! วิ่งกันเกลื่อนเมือง โดยมากจะมากันเป็นแก็งค์ Big Bike เพื่อมาเชียร์ฟุตบอล หรือมาชมการแข่งรถยนต์ สิ่งนี้ได้สร้างกระแสความคลั่งไคล้กีฬา และสร้างต้นแบบการใช้ชีวิตของการเป็นนักเดินทาง แสวงหา ด้วยสองล้อแรงม้าสูง ให้กับคนรุ่นใหม่ในบุรีรัมย์ นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง BURURAM STYLE ที่เราค้นพบ
ต้องรวยจริงถึงจะซื้อคันนี้ได้!!! เพราะเป็นระดับ Harley Devison ของแท้จากอเมริกา ไม่น่าเชื่อว่าจะมาเห็นวิ่งอยู่ที่บุรีรัมย์ ขนาดในกรุงเทพฯ เมืองหลวงแท้ๆ ยังไม่เคยเห็นเลยเนอะ!
ออกจากสนามช้าง เราบึ่งรถฝ่าเปลวแดดร้อนแรงในยามบ่าย ตรงไปที่สนามฟุตบอล i-Mobile Stadium ที่อยู่ใกล้ๆ กัน เสียดายวันนี้ไม่มีแข่งฟุตบอล แต่ก็ยังดีที่เขามีจัดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้เป็นรอบๆ ตลอดวัน สนามแห่งนี้สร้างความฮือฮาได้ตั้งแต่แรกเปิดตัว เพราะเป็นสนามฟุตบอลที่ได้มาตรฐานแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยที่ไม่มีลู่วิ่งคั่นสนามและผ่านมาตรฐานฟีฟ่า , เอเอฟซี และเอเอฟเอฟ โดยเป็นสนามฟุตบอลในระดับฟีฟ่าแห่งเดียวที่ใช้เวลาก่อสร้างน้อยที่สุดในโลกคือ 256 วัน! มองจากด้านนอก บอกได้คำเดียวว่า ยิ่งใหญ่อลังการจริงๆ!
ดูกันให้เต็มตาครับ กับภายในสนามฟุตบอล i-Mobole Stadium หรือในชื่ออย่างเป็นทางการ Thunder Castle Stadium ความภูมิใจของบุรีรัมย์ยุคใหม่ ที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ จนบุรีรัมย์วันนี้กลายเป็นเมืองกีฬามาตรฐานโลก
ด้านข้างสนามฟุตบอล i-Mobile มีร้านขายของที่ระลึก ของสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด หรือ Buriram FC จุดนี้ต้องขอชื่นชมเลยว่า แค่กีฬาฟุตบอลอย่างเดียวก็ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้บุรีรัมย์และจังหวัดอีสานใต้โดยรอบได้มหาศาล! สินค้าต่อเนื่องจากกีฬาฟุตบอล ทั้งเสื้อยืดและของที่ระลึกอีกนับร้อยแบบ ทำให้เกิดเงินสะพัดหมุนเวียนนับไม่ถ้วน! น้องพัชชี่ไปเจอเสื้อยืดสวยๆ ในร้าน ผมเลยจัดมา 2 ตัว ตัวละ 440 บาท เนื้อผ้าดีมากครับ ลายซิลค์สกรีนก็อย่างดีด้วย
เข็มนาฬิกาเลยเที่ยงมาสองชั่วโมงแล้ว! ขณะที่เราขับรถออกจากสนามฟุตบอล i-Mobile ตรงไปที่ ร้านสองพี่น้อง ซึ่งอยู่บนถนนสายเดียวกัน เราขอฝากท้องสำหรับ Late Lunch ไว้ที่ร้านนี้ครับ เพราะได้ข่าวว่าเป็นร้านอาหารพื้นเมืองรสเด็ด รสแซ่บ ที่โด่งดังมากแห่งหนึ่งในบุรีรัมย์ จุดสังเกตทางเข้าร้านก็ง่ายมาก ถึงมากที่สุด เพราะมีรูปปั้นไดโนเสาร์ยักษ์ยืนจังก้าอยู่ ฮาฮาฮา จนบางคนเรียกร้านสองพี่น้องว่า “ร้านไดโนเสาร์” เลยล่ะครับ
พอได้ชิมก็แซ่บเวอร์สมคำร่ำลือ อาหารอีสานร้านนี้รสกลมกล่อมมากทุกอย่าง ในร้านก็นั่งสบาย ลมถ่ายเทดี แถมระหว่างกินยังมีแม่ค้าเดินเอาหมูยอมาขายอีก เราเลยช่วยอุดหนุน เป็นหมูยอเนื้อผสมพริกไทย อร่อยเหาะไปเลย ฮิฮิ
นั่งพักกันพอข้าวเรียงเม็ด แม้แดดจะยังค่อนข้างร้อน แต่ก็ได้เวลาพากันขึ้นไปสัมผัสความมหัศจรรย์ธรรมชาติ “ภูเขาไฟกระโดง” (หรือวนอุทยานเขากระโดง) 1 ใน 6 ภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วของบุรีรัมย์ แสดงให้เห็นว่าในครั้งอดีตกาลนานโพ้น แดนดินถิ่นอีสานใต้นี้เคยมีภูเขาไฟและไดโนเสาร์อาศัยอยู่จริง Amazing BURURAM STYLE!
วิธีการขึ้นเขากระโดงมี 2 แบบ คือใครฟิตหน่อย ก็สามารถหอบสังขารเดินขึ้นบันไดทดสอบศรัทธาสาธุชน (หรือบันไดนาคราช) 297 ขั้นไปจนถึงยอดเขาตามในภาพนี้ แต่ถ้าใครเริ่มอายุเกินหลัก 40 หรือคิดว่าสังขารเริ่มจะไม่อำนวย ข้อเข่าเสื่อม อะไรประมาณนี้ เลี้ยวขวาไปจากหน้าบันไดทางขึ้นนี้ ก็เป็นถนนสายเล็กๆ นำไปถึงยอดเขาได้เช่นกัน อันไหนง่ายกว่า? เลือกเอาเองนะ ไม่ได้บังคับ!
ทีมเราฟิตจัด เลยเลือกขับรถขึ้นเขากระโดง! (ไม่ใช่ร่างกายฟิต แต่เป็นเอวกางเกงฟิตมากกว่า ฮาฮาฮา) จะให้เดินขึ้นไหวได้ไงล่ะ ก็เพิ่งกินข้าวกันมาอิ่มๆ แดดก็เปรี้ยงๆ ซะขนาดนี้ แต่ขับรถเที่ยวก็ชิลดี สภาพทางขึ้นเขาเป็นถนนเส้นเล็กๆ พอให้รถแล่นสวนกันได้ สองข้างทางมีป่าละเมาะแผ่กิ่งก้านปกคลุมร่มรื่น พอขึ้นไปถึงกลางทาง ด้านขวามือมีสะพานแขวนลวดสลิงชื่อ “สะพานแขวนลาวา” ให้เราเดินข้ามไปชมปล่องภูเขาไฟเก่าที่ดับแล้ว! ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นหลุมตื้นๆ มีหญ้าปกคลุมเขียวขจี ถ้าไม่บอกคงไม่รู้แน่ๆ เลยครับ
นี่คือปากปล่องภูเขาไฟ ของภูเขาไฟกระโดง ซึ่งนักธรณีวิทยาบอกว่าเป็นปากปล่องภูเขาไฟอายุ 3-9 แสนปี! ถือเป็นภูเขาไฟอายุน้อยที่สุดของเมืองไทยด้วยล่ะ อีกทั้งยังมีสภาพสมบูรณ์มาก โดยปากปล่องนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 265 เมตร เป็นรูปจันทร์ครึ่งซีก มีขอบปล่องด้านทิศใต้เรียกว่า เขาใหญ่ ส่วนขอบปล่องด้านทิศเหนือเรียกว่า เขาน้อย หรือเขากระโดง นั่นเอง ปัจจุบันมีการจัดทำเส้นทางเดินชมรอบปล่องไว้ด้วย เที่ยวสะดวกมากๆ
ในที่สุดก็ขึ้นถึงยอดเขาจนได้ จากลานจอดรถเดินไปอีกแค่ไม่กี่ร้อยเมตร ก็ถึงโซนร้านขายของ และมีปราสาทเล็กๆ สีขาว ชื่อว่าปราสาทเขากระโดง อันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง ส่วนองค์พระพุทธรูปสีทองอร่ามขนาดใหญ่ ที่เห็นได้จากเชิงเขาแต่ไกล มีนามว่า พระสุภัทรบพิตร เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองบุรีรัมย์ ภายในเศียรบรรจุพระธาตุ สร้างไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2512 แล้ว มีผู้คนมาสักการะเป็นนิจ
พระพุทธบาทจำลองบนเขากระโดง
หนึ่งความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติบนเขากระโดงก็คือ “หินลอยน้ำ” เพราะอย่างที่บอกว่านี่คือภูเขาไฟเก่า จึงเต็มไปด้วยหินบะซอลต์ที่เกิดจากลาวาภูเขาไฟปะทุออกมาเหนือเปลือกโลก เมื่อมันเย็นตัวลงอย่างรวดเร็ว จึงเกิดฟองอากาศค้างอยู่ภายในหินเต็มไปหมด หินบะซอลต์เขากระโดงจึงมีรูพรุน เหมือนทุ่นลอยน้ำได้ ไม่ใช่อภินิหารวิเศษเลยนะครับ
จากยอดภูเขาไฟกระโดง อันเป็นจุดที่พระสุภัทรบพิตรประดิษฐานอยู่ มองลงไปทางทิศเหนือจะเห็น อ่างเก็บน้ำเขากระโดง (อ่างเก็บน้ำวุฒิสวัสดิ์) เป็นอ่างเก็บน้ำธรรมชาติเนื้อที่กว่า 40 ไร่ ซึ่งเป็นจุดที่เหมาะมากในการไปศึกษาธรรมชาติ เพราะมีนกประจำถิ่นและนกหนีหนาวในช่วงปลายปี อพยพมาหากินจำนวนมาก อีกทั้งรอบอ่างเก็บน้ำเขากระโดงมีเส้นทางเดินศึกษาพรรณไม้ป่าเต็งรังนานาชนิด รวมถึงมีที่กางเต็นท์ค้างแรมสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดด้วย
พอชมวิวเสร็จแล้ว ระหว่างเดินไปร้านขายน้ำ น้องพัชชี่ก็เหลือบไปเห็นป้าย “ไหลสิเด้อ” อะไรกันหว่า? ที่แท้คือทางลื่นให้นั่งแล้วไถลตัวลงเขาแบบไม่ต้องเสียเวลา! แต่เขามีป้ายเตือนว่า ถ้าทางลื่นนี้เปียกเมื่อใด ห้ามเล่น! เพราะมันจะลื่นมากจนเราไม่สามารถหยุดหรือบังคับตัวเองได้ อาจจะเบรคแตก พุ่งออกไปนอกลู่เลยดิ!!! โอ้ว แม่เจ้า แต่โชคดีวันนั้นน้องพัชชี่ของเราเบรคทัน ดูหน้าน้องเขาฟินมาก และแน่นอนว่าเสียงกรี๊ดต้องสนั่นอย่างไม่ต้องสงสัย อิอิ
อากาศที่ร้อนอบอ้าวมาตลอดวัน ทำให้รู้สึกเพลียไม่ใช่เล่น เราเลยกลับไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนที่บ้านเตอร์ รีสอร์ท จากนั้นตอนหัวค่ำก็เปลี่ยนชุดหล่อสวย ออกมาเดินเล่นเพลินๆ ช้อปปิ้งกันที่ “ถนนคนเดินเซราะกราว” ซึ่งเป็นถนนคนเดินเย็นวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ กลางเมืองบุรีรัมย์ ที่ถนนหน้าจวนผู้ว่านั่นเอง
ใครรู้บ้างว่า เซราะกราว ในภาษาเขมรแปลว่าอะไร? ใช่แล้ว แปลว่า “บ้านนอก” ฮาฮาฮา แต่ในความจริง ถนนคนเดินเส้นนี้ Inter เอามากๆ จนเรางงเลยทีเดียวเชียว โดยส่วนตัว ผมว่า เซราะกราว Walking Street มีเสน่ห์มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครตรงผ้าทอพื้นบ้านแนวเขมรนี่ล่ะ อย่างผ้าทอของอำเภอพุทไธสง ซึ่งเป็นแหล่งทอผ้าไหมซิ่นตีนแดงลายจกอันมีชื่อเสียงมาช้านาน เป็นผ้าที่ได้รับอิทธิพลมาจากเขมรครับ ดูได้จากการใช้สีแดงเป็นหลัก วันนี้เราได้เจอคุณยายซึ่งเป็นช่างทอผ้าตัวจริงเลย ดีใจมาก ขอกราบครับคุณยาย
ราคาแค่ 220 บาท ลายฮิปสเตอร์มากๆ น้องพัชชี่จัดไปปปปปป!
ที่ถนนคนเดินเซราะกราว Walking Street มีหมอลำให้นั่งฟังกันเพลินๆ ด้วย บรรยากาศชิลชิล
หิวแล้วจ้า ชวนกันไปหม่ำมันเกลียวรองท้องไปก่อน เดี๋ยวค่อยกินของหนักตามหลังเด้อ
นอกจากเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ผ้าทอ และงานผีมือเก๋ๆ น่ารักๆ ในเซราะกราว Walking Street แล้ว เขายังมีพืชผักปลอดสารพิษ ที่กลุ่มชาวบ้านปลูกด้วยวิธีธรรมชาติ พร้อมใจกันรวมตัวนำมาขายในราคามิตรภาพ ใครจะเชื่อว่าผักบุ้งสดๆ ใหม่ๆ น่าทาน กำละ 5 บาทจะยังมีอยู่ในยุคข้าวยากหมากแพงอย่างนี้ แต่ที่บุรีรัมย์มีจ้า!
รีบออกจากถนนคนเดินเซราะกราว เพราะได้ข่าวจากคนบุรีรัมย์ว่า คืนนี้ทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ FC จะไปเยือนทีมนครราชสีมา FC ถึงถิ่น! และถ้าเป็นแบบนี้ แสดงว่าลานด้านหน้าสนามฟุตบอล i-Mobile จะต้องเนืองแน่นไปด้วยสาวกทีมบุรีรัมย์อย่างแน่นอน! เราจึงรีบบึ่งรถไปพิสูจน์ให้เห็นกับตา ว่าแฟนบอลบุรีรัมย์เขาจริงจัง คลั่งไคล้ เข้าขั้น Crazy ขนาดไหน!? กับกีฬาค้าแข้งนี้ พอไปถึงหน้าสนามก็ต้องตะลึง เพราะมีประชาชนนับพัน (ซึ่งส่วนนมากใส่เสื้อทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ด้วย) ทั้งลูกเด็กเล็กแดง หนุ่มสาว คู่รัก ไปจนถึงคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย มานั่งเชียร์ฟุตบอลอยู่อย่างล้นหลาม! เพราะเขามีทีวีจอยักษ์มาฉายให้ชมฟรี! เวลาทีมปราสาทสายฟ้าบุรีรัมย์พาลูกบอลเข้าไปในเขตโทษของทีมนครราชสีมา แล้วยิงประตู ไม่ว่าจะเข้าหรือไม่ เราจะได้ยินเสียงเชียร์สนั่น ผลคือคืนนั้นเสมอกัน 1-1 แบ่งแต้มกันไป
นี่คือกระแสคลั่งฟุตบอล ที่ซึมเข้าไปแล้วในกระแสเลือดของชาวบุรีรัมย์ มันเป็นความภาคภูมิใจในทีมฟุตบอลบ้านเกิด ซึ่งไปทำผลงานคว้าแช้มป์หลายสมัยติดต่อกัน และเราก็ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเชียร์บอลคืนนี้ครับ
อีกหนึ่งวันอันยาวนาน และเต็มไปด้วยความสนุกสนานที่บุรีรัมย์ จบลงที่ราดหน้ายอดผัก ณ ตลาดไนท์เก่า การได้กินอะไรอุ่นๆ ท้องก่อนเข้านอนนี่มันเป็นความสุขแท้ แต่ถ้าจะให้ดี จะมีคืนไหนบ้างนะที่เราได้เข้านอนหัวค่ำกะเข้าบ้างเนี่ย? ไหนบอกว่ามาเที่ยวกันไง? ไม่ได้มาทำงาน?! ฮะ?
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กองประชาสัมพันธ์ในประเทศ ฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
และ 1672 เบอร์เดียว เที่ยวทั่วไทย
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ
โทร. 0-4451-4447-8 อีเมล tatsurin@tat.or.th
#Thairentacar #Nokair #บุรีรัมย์ #TTBN #12เมืองต้องห้ามพลาด
#ปีท่องเที่ยววิถีไทย #TheAmazingJourneyBloggingContest
#TTBN08 #Buriram