เที่ยวย้อนอดีต 3 วัง เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์

2

“เขาวัง” หรือพระนครคีรี พระราชวังฤดูร้อนของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งสร้างเป็นกลุ่มของพระราชวังทรงยุโรปผสมศิลปะไทย และมีวัดประจำวัง ตั้งอยู่บนยอดเขากลางเมืองเพชรอย่างสวยงามโดดเด่น จากบนยอดเขานี้สามารถมองออกไปได้กว้างไกล สุดลูกหูลูกตา โดยเฉพาะในฤดูร้อนดอกลั่นทม (ดอกลีลาวดี) สีขาวที่มีอยู่นับพันๆ ต้นบนเขาวัง จะบานสะพรั่งพร้อมกันเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก เวลาขึ้นไปอยู่บนเขานี้แล้ว จะมีลมพัดพรูตลอดเวลา ชื่นใจจริงๆ สมัยโบราณรัชกาลที่ 4 ท่านจะทรงเสลี่ยงคานหามขึ้นเขาวัง ส่วนข้าราชการชั้นสูงก็ขี่ม้า และไพร่พลต่างๆ ก็เดินตามขึ้นไป แต่สมัยนี้สะดวกแล้ว เขามีรถรางไฟฟ้า 2 คัน ให้ขึ้นจากด้านหลังเขาครับ

3

เล่ากันว่าตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น เมืองเพชรบุรีเป็นแหล่งผลิตน้ำตาลใหญ่ที่สุดของประเทศ เพราะสมัยก่อนน้ำตาลจะได้มาจากต้นตาล, อ้อย และมะพร้าว เท่านั้น เพชรบุรีเป็นแหล่งผลิตน้ำตาลโตนดที่ทำรายได้ภาษีให้หลวงปีละหลายล้าน (หลายล้านบาทสมัยโบราณ ก็คงเท่ากับเป็นพันๆ ล้านบาทต่อปีในสมัยนี้!) แต่ปรากฏว่า ข้าราชการที่เก็บภาษีน้ำตาลโตนดเมืองเพชรส่งภาษีที่เก็บได้เข้าคลังไม่ครบ รัชกาลที่ 4 จึงทรงประณีประณอม ด้วยการใช้กุศโลบายบอกว่า งั้นก็ไม่ต้องเอาเงินมาคืนหรอก ให้สร้างวังบนเขาวังขึ้นแทนละกัน! กลุ่มพระราชวังทั้งหมดที่เราเห็นตรงนี้ จึงเกิดขึ้นได้จริงเพราะภาษีน้ำตาลโตนดล้วนๆ เลยครับ แต่พอสร้างเสร็จปรากฏว่าบนเขาวังไม่มีแหล่งน้ำจืดเลย ต้องอาศัยชาวลาวโซ่งที่อยู่กันมากรอบๆ เขาวัง ช่วยกันหาบน้ำขึ้นมาบนเขาวังทุกวัน! ชาวลาวโซ่งจึงได้รับการยกเว้นภาษีจากหลวงเรื่อยมา

4

5

 บนเขาวังทุกวันนี้มีการบูรณะปรับปรุงดูแลภูมิทัศน์ให้อยู่ในสภาพดี เหมือนครั้งสุดท้ายที่เคยใช้งาน ต้อนรับกษัตริย์และพระราชินีจากเยอรมนี เครื่องเรือน ภาพวาด โต๊ะเก้าอี้ เครื่องถ้วยโถโอชามต่างๆ ล้วนมีความเป็นยุโรปทั้งสิ้น เล่ากันว่าครั้งกษัตริย์เยอรมนีเสด็จพักบนเขาวัง มีการสั่งให้ร้อยมาลัยดอกไม้สด ห้อยไว้ในทุกบานหน้าต่างบนเขาวังตลอดเวลา! กลิ่นนั้นหอมหวนมากจนกระทั่งกษัตริย์และราชินีเยอรมนี ทรงบันทม (นอนหลับ) ไม่ได้! เพราะกลิ่นนั้นหอมเกินไป! จึงต้องรื้อมาลัยดอกไม้บางส่วนออกกันเลยทีเดียว

6

1

“พระรามราชนิเวศน์” หรือพระราชวังบ้านปืน ซึ่งล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ทรงรับสั่งให้สถาปนิกเยอรมันสร้างขึ้น แต่ยังไม่ทันสร้างเสร็จ พระองค์ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน! รัชกาลที่ 6 ท่านจึงทรงเข้ามาสานต่อจนสร้างเสร็จ แต่ก็ไม่เคยมีการเสด็จมาประทับอย่างจริงจัง มีเพียงครั้งที่รัชกาลที่ 6 ทรงเสด็จมาทอดพระเนตรการฝึกเสือป่า อยู่เพียงไม่กี่วัน ทุกวันนี้เราจึงเห็นได้ว่าภายในพระราชวังบ้านปืนแทบไม่มีเครื่องเรือนอะไรเลย มีเพียงแค่พอใช้งานเท่านั้น เล่ากันว่าวังใหญ่โตมโหฬารนี้สร้างด้วยเงินทุนเพียง 900,000 บาท! ที่ใช้เงินน้อยกว่าวังอื่นๆ เพราะมีเพียงส่วนพื้นเท่านั้นที่ปูหินอ่อน (เป็นหินอ่อนจากเหมืองที่ดีที่สุดในโลก ของประเทศอิตาลี ซึ่งเหลือจากการสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคม) ตัววังสร้างแบบยุโรป เป็นสองชั้นงดงามยิ่ง โดยสร้างอยู่ติดกับแม่น้ำเพชรบุรี อันเป็นแม่น้ำที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ท่านทรงโปรดมากที่สุด กว่าแม่น้ำสายใดในสยาม

7

 ครั้งแรกสร้างพระราชวังบ้านปืน มีการปั้นรูปพระรามถือคันศรตั้งไว้หน้าวัง โดยเขาเรียกคันศรนั้นว่า “ปืน” ต่อมามีการย้ายรูปปันนี้ออกไป แล้วนำพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 มาประดิษฐานแทน แต่ผู้คนก็ยังเรียกวังแห่งนี้ว่า “พระราชวังบ้านปืน” กันจนติดปากมาทุกวันนี้ เกร็ดประวัติศาสตร์อีกอย่าง ที่ไม่ค่อยมีใครรู้ก็คือ ที่วังนี้มีสนามเทนนิสแห่งแรกในเมืองไทยอยู่ด้วย! แต่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนเป็นสวนแล้ว

8

12

“พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน” พระราชวังแห่งความรัก และความหวัง ที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ทรงโปรดให้สร้างขึ้นในบริเวณชายหาดที่สวยที่สุดของเพชรบุรี มีความร่มรื่น เงียบสงบ เดิมที่ตรงนี้ชาวบ้านเรียกว่า “ห้วยทราย” หมายถึงห้วยน้ำไหล ที่มีกวางเนื้อทรายมาลงกินน้ำอยู่เป็นประจำ พระราชนิเวศน์มฤคทายวันเป็นวังโบราณแห่งเดียว ที่ยังไม่มีการถอนสิทธิ์ความเป็นวังออกไป จึงยังคงมีสภาพเป็นเขตพระราชฐานส่วนพระองค์ออก เวลาเราเข้าไปเที่ยวจึงต้องปฏิบัติตามกฎต่างๆ อย่างเคร่งครัด

9

10

ที่นี่เป็นวังชายทะเลแห่งแรกของกษัตริย์ไทย สร้างด้วยไม้เป็นทรงโปร่งโล่งสบาย รับลมได้ตลอดวัน จากตำหนักด้านหน้า (ส่วนที่ผู้ชายอยู่) มีระเบียงทางเดินเชื่อมถึงกันตลอดไปยังตำหนักใน (ส่วนที่ผู้หญิงอยู่) และมีระเบียงทอดยาวไปลงทะเลด้วย เล่ากันว่ารัชกาลที่ 6 ทรงโปรดการเล่นน้ำทะเลที่นี่มาก เวลาทรงลงเล่นน้ำ จะมีข้าราชบริพารประมาณ 20 คน ล้อมรอบพระองค์ไว้ แต่ละคนถือสวิงตักแมงกะพรุน คอยระวังไม่ให้แมงกะพรุนหลุดรอดเข้าไปต้องพระองค์ได้

11

14

15

13

16

17

18

21

 “วัดใหญ่สุวรรณาราม” พระอารามหลวงที่ถือว่าสำคัญที่สุดในเมืองเพชรทุกวันนี้ วัดนี้มีอดีตยาวนานย้อนไปได้ถึงยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลายโน่น เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชแตงโม พระอริยสงฆ์ชื่อดังที่สมเด็จพระเจ้าเสือทรงนับถือมาก พระองค์จึงโปรดให้รื้อท้องพระโรงจากอยุธยา มาประกอบขึ้นใหม่ถวายเป็นศาลาการเปรียญให้สมเด็จแตงโม ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ในสภาพดีเยี่ยมอย่างไม่น่าเชื่อ! นักประวัติศาสตร์เชือ่กันว่าศาลาไม้หลังนี้เคยใช้เป็นท้องพระโรงออกว่าราชการของพระเจ้าเสือ ปัจจุบันจึงเป็นพระที่นั่งไม้เพียงหลังเดียวจากยุคกรุงศรีอยุธยาแท้ๆ ที่เหลือรอดจากการเผ่าของพม่ามาให้เราชม ภายในงดงามด้วยการเข้าเครื่องไม้ การลงรักปิดทอง และภาพวาดฝีมือชั้นครู ส่วนในพระอุโบสถวัดใหญ่ฯ ก็มีภาพเทพชุมนุมอันงดงาม สะท้อนเอกลักษณ์พุทธศิลป์ของกรุงศรีอยุธยาตอนปลายได้ชัดเจน

22

 

23

24

25

19

20

Traveler’s Guide

When to go : เที่ยวเส้นทาง 3 วัง ได้ตลอดปี แต่เดือนพฤษภาคม-ตุลาคม มีฝนตกบ้าง

How to go : รถยนต์จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2 หรือธนบุรี-ปากท่อ) ผ่านสมุทรสาคร สมุทรสงคราม อำเภอปากท่อ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 4 (แยกวังมะนาว) ถึงจังหวัดเพชรบุรี รวมระยะทาง 123 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงครึ่ง หรือใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ผ่านนครปฐม ราชบุรี ไปยังเพชรบุรี รวมระยะทาง 166 กิโลเมตร จากนั้นถ้าจะไปหัวหินต่อ ก็เดินทางแค่ 66 กิโลเมตรเท่านั้น

Where to stay : แนะนำ The Regent Chalet Resort Beach หาดชะอำ โทร. 0-3250-8140-3 www.regent-chaam.com เป็นรีสอร์ทสไตล์บ้านพักเป็นหลังๆ ริมทะเล ร่มรื่นเงียบสงบดี

What to eat : ร้านอาหารพวงเพชร โทร. 0-3242-6753, 0-3241-1380 เมนูเด็ดมีเพียบ เช่น ผัดฉ่าหอยเสียบ, ปลากะพงทอดราดน้ำปลา, หมึกทอดกระเทียม, ต้มยำทะเล ฯลฯ / ร้านอยู่เย็น บัลโคนี่ ถนนแนบเคหาสน์ ริมหาดหัวหิน โทร: 0-3253-1191 อาหารยอดฮิต เช่น ฉู่ฉี่ปลาทู, ปลาทูต้มส้มใบมะขาม, ผัดฉ่าทะเลรวม, ห่อหมกทะเลมะพร้าวอ่อน, หอยตลับผัดฉ่า, กุ้งมรกต ฯลฯ

Souvenirs : อาหารทะเลแห้ง, โมบายเปลือกหอย, โปสการ์ด เสื้อยืด หัวหิน เพชรบุรี, หมวก และของที่ระลึกเก๋ไก๋ จากพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน, ผ้าโขมพัสตร์ หัวหิน, ผ้าบาติกเขาตะเกียบ ฯลฯ

More Info : บริษัท Great Happiness Co.,Ltd. โทร. 0-2153-8119-20, 08-6366-9708 แฟกซ์ 0-2153-8120 www.selfdrivethailand.com , www.facebook.com/selfdrivethailand

Hokkaido Blooming Season

2

3

ณ ใจกลางเกาะฮอกไกโดที่เมืองบิเอะ (Biei) และเมืองฟุระโนะ (Furano) ถือเป็น 2 เมืองสุดยอดไฮไลท์ในการชมดอกไม้ช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม การเดินทางท่องเที่ยวก็แสนง่ายดาย เพราะเมื่อบินจากไทยไปลงที่ซัปโปโร (Sapporo) เมืองหลวงของฮอกไกโดแล้ว เราสามารถซื้อแพ็กเกจทัวร์ เช่ารถยนต์ขับเอง เช่ารถแท็กซี่ หรือจะปั่นจักรยานเอง ไปเที่ยวเมืองดอกไม้ เชื่อมโยงกันเป็นเส้นทางได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัย

4

5

โทมิตะฟาร์ม (Tomita Farm) เป็นฟาร์มดอกไม้ของตระกูลโทมิตะที่เริ่มปลูกดอกลาวเวนเดอร์มาตั้งแต่ ค.ศ. 1903 แล้ว จากฟาร์มเล็กๆ ที่เคยมีแต่ผลผลิตดอกลาเวนเดอร์สดอย่างเดียว ค่อยๆ เติบโตสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากดอกลาเวนเดอร์พันธุ์ดี จนทุกวันนี้โทมิตะฟาร์มมีเนื้อที่กว่า 120,000 ตารางเมตร! มีการแปรรูปลาเวนเดอร์เป็นสินค้ากลิ่นหอมจรุงใจหลายสิบอย่าง ทั้งน้ำมันลาเวนเดอร์ที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย หยดไว้ที่หมอนก่อนนอนสักสองสามหยด ก็จะทำให้หลับสบาย, น้ำหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ติดทนนาน, สบู่ลาเวนเดอร์, ครีมทาผิวลาเวนเดอร์, ครีมอาบน้ำ น้ำยาสระผม ครีมนวดผมลาเวนเดอร์, แผ่นหอมลาเวนเดอร์เอาไว้ใส่ตู้เสื้อผ้า หรือแม้แต่น้ำดื่มกลิ่นลาเวนเดอร์ ไอศกรีมลาเวนเดอร์ และเมล็ดพันธุ์ลาเวนเดอร์ ก็มีจำหน่ายให้คนที่ชอบปลูกดอกไม้ทำสวนหลังบ้าน

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

Traveler’s Guide

Best seson : ดอกไม้บานมากที่สุดเดือนมิถุนายน-สิงหาคม

Getting there : จากเมืองไทยบินตรงจากสุวรรณภูมิ-ซัปโปโร เมืองหลวงของฮอกไกโด ใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง 15 นาที ติดต่อ Thai Airways International โทร. 02-356-1111 เว็บไซต์ www.thaiairways.co.th

Overnight : ในซัปโปโร แนะนำ Mitsui Garden Hotel www.gardenhotels.co.jp/eng/sapporo/ เมืองฟูราโนะ แนะนำ Furano Natulux Hotel www.natulux.com/en/about/index.html เมืองบิเอะ แนะนำ Woody Life Cottages www.booking.com/hotel/jp/woody-life.th.html

Cuisine : ฮอกไกโดมีอาหารอร่อยให้ชิมเพียบ เช่น ปูยักษ์ทาราบะ, ปูขน, ปูดอกไม้, เนื้อวัววากิว, ไข่หอยเม่น, ข้าวหน้าปลาไหล, ข้าวหน้าปลาดิบรวม, เมล่อน, ขนมโมจิ, ช็อกโกแลต ROYCE, ช็อกโกแลตขาว, ซอฟครีม (เป็นไอศกรีมที่นุ่มกว่าปกติ), นมสดฮอกไกโด ฯลฯ

Souvenirs : แผ่นหอมลาเวนเดอร์, น้ำหอม, สบู่, ยาสระผม, ครีมอาบน้ำ, ครีมบำรุงผิว, ชาลาเวนเดอร์ ฯลฯ

Info : บริษัท World Pro Travel จำกัด เลขที่ 55 ML แมนชั่น ถนนวิภาวดี เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทร. 0-2617-6757-8 เว็บไซต์ www.worldprotravel.com อีเมล worldprotravel@yahoo.com

เกาะกูด เกาะสุดท้ายปลายทางบูรพา จ.ตราด

เกาะกูด “เกาะสุดท้ายปลายทางตะวันออกของน่านน้ำไทย” เป็นเกาะใหญ่อันดับ 4 ของทะเลไทยที่อุดมด้วยความพิสุทธิ์แห่งธรรมชาติ สงบงาม และปกคลุมด้วยไม้ร่มครึ้ม นี่คือดินแดนที่นักท่องเที่ยวเรียกว่า สวรรค์แห่งทะเลตะวันออก ได้อย่างเต็มปาก

2

ดูความใสของน้ำทะเลมุมนี้แล้ว เกาะกูดของเราก็ไม่แพ้หมู่เกาะมัลดีฟส์เหมือนกันนะ ฮาฮาฮา

3

 ชายหาดบริเวณอ่าวพร้าว เป็นบริเวณที่เงียบสงบ เหมาะจะมานอนพักผ่อนฟังเสียงทะเลสีครามกระซิบแผ่วเบากับท้องฟ้าสีน้ำเงิน แถมยังมีทิวมะพร้าวโอนเอน ได้บรรยากาศของการอยู่ทะเลอยู่เกาะจริงๆ เลยนะเนี่ยะ

4

เกาะกูดมีภูมิประเทศคล้ายเกาะช้าง คือชายฝั่งด้านตะวันออกต้องปะทะกับลมมรสุม จึงมีแต่หาดหินขรุขระ   ผิดกับชายฝั่งตะวันตกที่คลื่นลมสงบกว่า และมีแนวหาดทรายอยู่หลายแห่ง หาดทรายขาวเหล่านี้ถูกสลับด้วยป่าชายเลนและลำคลองคดเคี้ยวเข้าสู่ภายในเกาะ หากมีโอกาสพายเรือคายักเข้าไปก็จะพบกับบรรยากาศคล้ายป่าอะเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ ณ ที่นั่นเราจะสัมผัสได้ถึงมุมอันบริสุทธิ์ ลึกลับ ดิบเถื่อน และงดงามของโลก

5

 แน่นอนว่า เกาะกูดก็เป็นอีกหนึ่งเกาะในทะเลตะวันออก ที่นักท่องเที่ยวชาวรัสเซียชื่นชอบเป็นพิเศษ

6

ส่วนด้านทิศเหนือของเกาะกูดบริเวณคลองยายกี๋ เป็นที่ตั้งของรีสอร์ตน่ารักๆ ชื่อ กัปตันฮุ๊ก รีสอร์ท ซึ่งสร้างได้อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ แถมมีมุมส่วนตัวให้นั่งๆ นอนๆ อ่านหนังสือเล่มโปรดโดยไม่มีใครมารบกวน หน้ารีสอร์ตเป็นเวิ้งอ่าวยายกี๋ หาดทรายกว้าง ทิวมะพร้าว โขดหิน และลำคลองที่นำเข้าไปสู่ป่าชายเลนและน้ำตกคลองเจ้า ทว่าที่พิเศษสุดคือ ในคืนเดือนมืดจะมีกิจกรรมพาเข้าไปชมฝูงหิ่งห้อยนับพันๆ ตัวที่พากันออกมากระพริบแสงเป็นจังหวะพร้อมกันเพื่อหาคู่ เป็นภาพอันแสนมหัศจรรย์ที่นับวันจะหาชมได้ยากขึ้นเรื่อยๆ หรือถ้าเป็นคนตื่นเช้าก็ต้องไปที่อ่าวกล้วย ชมพระอาทิตย์ขึ้นได้งดงามจับใจไม่รู้ลืม

7

8

9

 นอกจากจะได้เล่นน้ำทะเลใสแจ๋วแล้ว บนเกาะกูดยังมีเส้นทางเดินป่าด้วย ระหว่างทางมีพรรณพืช และโป่งผีเสื้อสวยๆ ให้ชื่นชมมากมาย แต่ขอบอกก่อนว่า รีสอร์ทบนเกาะกูดจะปิดไม่รับนักท่องเที่ยวในฤดูมรสุม คือประมาณเดือนมิถุนายน-ตุลาคม เนื่องจากคลื่นลมจะแรงเกินไป การเดินทางด้วยเรือ หรือกิจกรรมดำน้ำชมปะการังจึงไม่ปลอดภัย และไม่สวยเท่าที่ควร

10

ในป่าดงดิบบนเกาะกูด มีกล้วยไม้หายากชนิดหนึ่งอยู่ นั่นคือ หวายเหลืองจันทบูร จะพบได้เฉพาะในป่าดงดิบและหมู่เกาะของภาคตะวันออกเท่านั้น

11

 ผีตากผ้าอ้อมริมหาดบนเกาะกูด เปลี่ยนผืนฟ้าให้กลายเป็นสีเหลืองทองอย่างน่าตื่นตาจนเราต้องตะลึง!

12

 พอแสงอาทิตย์ลาลับไป บางรีสอร์ทก็เริ่มมี show ควงลูกตุ้มไฟให้นักท่องเที่ยวชม ลีลาแบบนี้บอกได้คำเดียวว่า มืออาชีพจริงๆ!

13

 แสงสุดท้ายที่เกาะกูด เป็นช่วงเวลาแสนโรแมนติกสำหรับคู่รัก

14

Traveler’s Guide 

Best season : เหมาะสมที่สุด คือ เดือนพฤศจิกายน-พฤษภาคม หลังจากนั้นเป็นฤดูมรสุม ทะเลมีคลื่นลมแรง รีสอร์ทต่างๆ มักจะปิดไม่รับนักท่องเที่ยว

How to Go : การเดินทางไปเกาะกูด มีทั้งแบบเรือโดยสารสาธารณะ และเรือของรีสอร์ทต่างๆ ที่เราซื้อแพ็กเกจไว้

– เรือไม้ เที่ยวไป เรือออกจากท่าเรือด่านเก่า เวลา 10.00 น. ถึงเกาะกูด ท่าเรือสะพานน้ำลึก เวลา 14.00 น. เที่ยวกลับ เรือออกจากเกาะกูดไปท่าเรือด่านเก่า เวลา 10.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 08-9069-1031, 08-9096-9005

– เรือเร็ว เที่ยวไป มีเรือออกจากท่าเรือแหลมศอกไปเกาะกูด (เรือจอดที่ท่าเรือบางเบ้า) ทุกวัน วันละ 1 เที่ยว เวลา 13.00 น. เที่ยวกลับ เรือออกจากเกาะกูดไปท่าเรือแหลมศอก เวลา 10.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 08-6126-7860

-เรือเฟอร์รี่ เที่ยวไป มีเรือออกจากท่าเรือด่านเก่า (ท่าโชคสาคร) วันละ 1 เที่ยว เวลา 8.00-10.30 น. เที่ยวไป มีเรือออกจากเกาะกูก เวลา 11.00 น.  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 08-6126-7860

หรือใช้บริการเรือโดยสารของ บริษัท เกาะกูด ซีทรานส์ จำกัด โทร. 0-3959-7646, 08-1444-9259 ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที มีเรือออกจากท่าเรือแหลมงอบ (ท่าเทียบเรือกระโจมไฟ) วันอังคาร วันศุกร์และวันเสาร์ เวลา 09.00 น. ถึงเกาะกูดเวลา 11.30 น.

ท่าเรือไปเกาะกูด :

-ท่าเรือด่านเก่า 

ท่าเรือด่านเก่าเป็นท่าเทียบเรือของกูดคาบาน่า รีสอร์ท ห่างจากตัวเมืองตราด 5 กิโลเมตร ถ้าซื้อแพ็คเกจของกูดคาบาน่า จะมีรถรับส่งจากตัวเมืองตราดไปยังท่าเรือด้วยเรือสปีดโบ๊ท ใช้เวลา 1 ชั่วโมง  นอกจากนี้ยังเป็นท่าเรือของใบกูด แซบาล่า และ เกาะกูด อ่าวพร้าว ติดต่อ โทร. 0-2164-1001-6

-ท่าเรือแหลมศอก

ท่าเรือของปีเตอร์แพน รีสอร์ทและกัปตัน ฮุ๊ก รีสอร์ท ห่างจากตัวเมืองตราด 24 กิโลเมตร  ปลายสุดถนนบ้านแหลมศอก ปีเตอร์แพน รีสอร์ทและ กัปตัน ฮุ๊ก รีสอร์ท โทร. 0-2164-1001-6

-ท่าเรืออ่าวช่อ

ท่าเรือเกาะกูดลากูน่า รีสอร์ท  อยู่ห่างจากตัวเมืองตราดไปตามเส้นทางแหลมศอกประมาณ 20 กิโลเมตร เรือเร็วใช้เวลาประมาณ 50 นาที ท่านที่ขับรถยนตร์ ส่วนตัวมาเรามีบริการที่จอดรถค้างคืนที่สะดวกและปลอดภัย โดยคิดค่าบริการ 50 บาทต่อคันต่อคืน เกาะกูดลากูน่า รีสอร์ท โทร. 0-2164-1001-6

-ท่าเรือแหลมงอบ

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30-3 ชั่วโมง เรือออกจากท่าเรือแหลมงอบทุกวันศุกร์และวันเสาร์เวลา 09.00น. และเที่ยวกลับออกจากท่าเรือหินดำ อ่าวตะเภา ทุกวันศุกร์และวันอาทิตย์ เวลา12.30น. ติดต่อ บริษัท เกาะกูดซีทรานส์ 0-3959-7646

Where to Stay : บนเกาะกูดมีที่พักให้เลือกมากมาย ค้นหาได้จาก www.koh-kood.com และ www.เกาะกูด.net

Special Tips : เที่ยวทะเลให้สนุกต้องเตรียมตัวให้พร้อม อย่าลืมแว่นกันแดด หมวก ครีมกันแดดที่มีค่า spf สูงๆ เสื้อผ้าใยสังเคราะห์ที่เปียกน้ำแล้วแห้งเร็ว รองเท้าแตะ ถุงกันน้ำ (Dry Bag) เอาไว้ใส่ของมีค่าเวลาลงเรือ

More info : ททท. จังหวัดตราด โทร. 0-3959-7259-60

The Village Resort & Spa ภูเก็ต (หาดกะรน)

_PHU0920

_PHU0991

ที่พักของ The Village Resort & Spa แบ่งเป็น 2 โซน คือ Pool Villa ที่มีลักษณะเป็นห้องพักหลังๆ แยกเป็นเอกเทศจากกัน โดยมีสระว่ายน้ำอยู่หน้าห้องเลย หรือถ้ายังไม่สะใจ จะลงไปเล่นในสระรวมที่อยู่ใกล้ แค่นิดเดียวก็ได้ อีกโซนเรียกว่า Tropical Villa เป็นห้องพักหลังๆ เหมือนกัน แต่อยู่ในสวนร่มรื่น เหมาะกับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวมากๆ ชอบสีเขียว ชอบธรรมชาติ ชอบสงบ ส่วนการตกแต่งก็จะคล้ายๆ กัน คือการตกแต่งภายนอกเน้นความหรูเรียบ แอบมีลายกนกแบบไทยๆ ประดับอยู่ที่โครงจั่วหลังคาด้วย น่ารักดี แต่พอเปิดเข้าไปในห้องพักก็ต้องตะลึง เพราะเขาจัดแต่งได้ดีจริงๆ มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม ห้องน้ำใหญ่มาก มีอ่างอาบน้ำใหญ่ให้ลงแช่พักผ่อน ข้างๆ กันเป็นห้องแต่งตัว ห้องรับแขกติดแอร์เย็นฉ่ำ และส่วนในสุดเป็นประตูบานเลื่อน นำเราเข้าสู่ห้องพักขนาดใหญ่ ที่จัดแสงไว้ในโทนสีเหลืองอุ่นๆ ไฟสว่างกำลังดี ชวนให้ง่วงนอน แล้วเอนกายลงบนที่นอนหนานุ่ม อิจฉาตัวเองจริงๆ เลยนะเนี่ย!

_PHU0982

_PHU1017

_MAI9032

_MAI8987

_MAI8976

_MAI8897 _MAI8886

_MAI8850

_MAI0509

_MAI0521

_PHU1110

อีกบริการหนึ่งของ The Village Resort & Spa ที่ฉันไม่พลาดก็คือ “สปา” ของ The Royal Spa ซึ่งเปิดตั้งแต่ 09.00-20.00 น. เขามีหลายแพ็กเกจให้เลือกตามความชอบ แต่วันนี้ฉันขอเลือกนวดน้ำมัน เพราะรู้สึกว่าค่อนข้างเมื่อยล้าจากการกรำงานหนักมาก่อนหน้านี้หลายวัน เทอร์ราปิสฝีมือดี ในห้องสปามาตรฐาน จัดแสงไฟนวลๆ เสียงเพลงเบาๆ ขับกล่อมให้เคลิ้ม พร้อมด้วยกลิ่นหอมจากเทียนอะโรมา ทำให้ฉันรู้สึกคล้ายกับพระราชา! เทอราปิสคนสวยค่อยๆ เทน้ำมันอุ่นๆ ลงบนแผ่นหลัง แล้วนวดคลายเส้นเบาๆ ตั้งแต่ต้นคอ ไหล่ สะบัก หลัง ลงมาถึงบั้นเอว คลึงไปคลึงมาจนฉันหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้!

_PHU1140

_PHU1162

_PHU1181 _PHU1239

_PHU0925 _PHU0929

_PHU0945

Address / Contact : The Village Resort & Spa เลขที่ 566/1 ถนนปฏัก หาดกะรน อำเภอเมืองภูเก็ต 83100 โทร. 0-7639-8200-5, 0-7639-8333-9 แฟกซ์ 0-7639-8206 เว็บไซต์ www.thevillageresortandspa.com อีเมล info@thevillageresortandspa.com

Seoul Sparkling! Korea

ขอต้อนรับสู่ โซล” (Seoul) มหานครอันสวยงาม ทันสมัย ยิ่งใหญ่ บ้านของคนกว่า 10 ล้านคน ศูนย์กลางของเกาหลีใต้ ที่มีบรรยากาศน่าเที่ยว สงบ งดงาม แต่งแต้มด้วยธรรมชาติ ทว่าไม่ขาดสีสันการช้อปปิ้งและความทันสมัย โดยเฉพาะในด้านสิ่งแวดล้อมนั้น ว่ากันว่าโซลเป็น “มหานครสีเขียวแห่งการอนุรักษ์” หรือ Eco-City ที่แท้จริงอีกด้วย

            คลื่นนักท่องเที่ยวไทยที่หลั่งไหลไปโซลกันปีละหลายแสนคน! เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีถึงคำว่า “Korea Fever” หรือ กระแสคลั่งเกาหลี!” ที่คนไทยแทบทุกระดับชั้นกำลังเป็นกันอยู่ขณะนี้!

3

พระราชวังเคียงบกกุง” (Gyeongbokgung Palace) เป็นพระราชวังยิ่งใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ เพราะถือเป็น 1 ใน 5 พระราชวังที่สร้างขึ้นสมัยราชวงศ์โชซอน เมื่อ พ.ศ. 1937 เป็นพระราชวังหลวงสำหรับกษัตริย์ออกว่าราชการ รวมถึงเป็นที่ประทับของเหล่าเชื้อพระวงศ์มาโดยตลอด แม้ว่าพระราชวังเคียงบกกุงดั้งเดิม จะถูกกองทัพญี่ปุ่นบุกทำลายไปซะส่วนใหญ่เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ! (ประมาณ พ.ศ. 2135) แต่ภายหลังก็ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่จนงดงามวิจิตรใกล้เคียงของเดิม

ชื่อพระราชวังเคียงบกกุงในภาษาเกาหลี แปลว่า พระราชวังแห่งพรที่ส่องสว่าง (The Palace of Shining Blessings) อดีตเคยมีตำหนักต่างๆ อยู่มากถึง 200 หลัง! ทว่าปัจจุบันเหลืออยู่แค่ 10 หลังเท่านั้น แต่ภายในพื้นที่กว่า 5.4 ล้านตารางฟุต! ก็ยังชวนให้จินตนาการถึงเศษเสี้ยวแห่งความอลังการในอดีตได้ดี    จุดเด่นการท่องเที่ยวที่นี่คือการย้อนรำลึกบรรยากาศเก่าๆ ได้ชมสถาปัตยกรรมอันสวยสด โดยเฉพาะการก่อสร้างที่ยังใช้ไม้และหินเป็นวัสดุหลัก เราจะเห็นการจำหลักไม้อันวิจิตรน่าทึ่ง! แนะนำให้ไปเที่ยวในช่วงวันที่ 3 หรือ 4 ตุลาคม (วันชาติเกาหลี) จะมีพิธีเฉลิมฉลองใหญ่ ตื่นตาตื่นใจมาก

 Info : เปิดทุกวัน (ยกเว้นวันอังคาร) เดือนมีนาคม-ตุลาคม เปิด 9:00-18:00 น. เดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ เปิด 9:00-17:00 น. ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 3,000 วอน เด็ก 1,500 วอน สอบถาม โทร. +82-2-3700-3900 การเดินทาง ใช้รถไฟใต้ดิน สาย 3 ลงสถานี Gyeongbokgung ออกทางออกที่ 5 หรือใช้รถไฟใต้ดิน สาย 5 ลงสถานี Ganghwamun ทางออกที่ 1 แล้วเดินต่ออีก 400 เมตร

2

4

5

6

8

9

10

11

1

หลายคนรู้จัก โซลทาเวอร์(Seoul Tower หรือ N Seoul Tower : N ย่อมาจากชื่อภูเขานัมซาน “Numsan” ที่หอคอยนี้ตั้งอยู่) ในฐานะ 1 ใน 18 หอคอย สูงที่สุดของโลก! คือสูงถึง 237 เมตร แต่อีกหลายคน กลับรู้จักหอคอยยักษ์แห่งนี้ในฐานะ หอคอยแห่งความรักโรแมนติก เพราะหนังเกาหลีเคยใช้ที่นี่เป็นโลเกชั่นมาแล้ว โดยเฉพาะฉากซึ้งๆ ที่พระเอกนางเอกจะนำแม่กุญแจมาคล้องล็อกความรักเอาไว้คู่กัน สาวกหนังเกาหลีเลยตามรอยมา!  ทุกวันนี้จึงมีแม่กุญแจเป็นแสนๆ อันถูกแขวนไว้ในราวเหล็กรอบๆ โซลทาวเวอร์! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ!

            ภูเขานัมซานใจกลางกรุงโซลคือที่ตั้งของโซลทาวเวอร์ เป็นจุดชมวิว 360 องศา สุดสายตาพาโนรามา มองลงมาเห็นกรุงโซลจากมุมสูงได้เต็มตาเต็มอิ่ม บนนั้นแบ่งเป็น 3 โซน ทั้งโซนทาวเวอร์ โซนพลาซ่า และโซนล็อบบี้ ที่เจ๋งสุดของโซลทาวเวอร์น่าจะเป็นลิฟต์ขึ้นหอคอยที่มีความเร็วสูงถึง 4 เมตรต่อวินาที! สุดยอด!

ไฮไลท์อีกอย่างคือ “กุญแจคู่รัก” (N Seoul Tower Of Lover Keys) ด้วยความเชื่อว่า คู่รักคู่ใดมาคล้องกุญแจที่นี่จะทำให้รักยืนยาว จุดคล้องกุญแจอยู่ตรงฐานของโซลทาวเวอร์ เราต้องเขียนข้อความหรือชื่อคู่รักไว้บนแม่กุญแจ นำแม่กุญแจไปคล้องกับรั้วเหล็ก ส่วนลูกกุญแจต้องทิ้งไป

 Info : โซลทาวเวอร์เปิดให้เที่ยวทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-23.00 น. ถ้าชมอยู่ภายนอกไม่เสียตังค์ แต่ถ้าเข้าชมภายในหอคอย และขึ้นลิฟต์ไปด้านบนด้วย ผู้ใหญ่ต้องจ่าย 8,500 วอน เด็ก 4,00 วอน คนชรา 6,000 วอน การเดินทางไปชม สามารถขึ้นกระเช้าจากสวนนัมซานที่ตีนเขา ไป-กลับ ผู้ใหญ่ 6,300 วอน เด็ก 4,000 วอน หรือจะนั่งรถบัสขึ้นมาแล้วเดินต่ออีกนิดก็ได้ ถือเป็นการออกกำลังกายไปในตัว

2

3

4

12

13

14

 ท่ามกลางตึกสูงระฟ้า ท่ามกลางย่านช้อปปิ้งอันคึกคักเปี่ยมด้วยสีสัน ท่ามกลางจังหวะที่ก้าวไปไม่หยุดหย่อนในมหานครโซลแห่งนี้ ยังมีเมืองโบราณอายุกว่า 600 ปี ซุกซ่อนอยู่ในอ้อมกอดของความทันสมัยนั้น เรากำลังกล่าวถึง เมืองเก่าบุกชน(Bukchon Hanok Village) หมู่บ้านโบราณที่เป็นเสมือนแคปซูลเวลา สามารถพาเราย้อนกลับไปสู่โซลสมัยราชวงศ์โชซอนได้จริงๆ!

            คำว่า “ฮันอก” (Hanok) ในภาษาเกาหลีหมายถึง “บ้านสไตล์โบราณ” ถ้านึกไม่ออก ให้ลองนึกถึงบ้านของหนังจีนยุทธจักรที่เราเคยดูกันในทีวี คล้ายๆ แบบนั้นล่ะ มักจะเป็นบ้านชั้นเดียว มีรั้วหินหรือไม้เตี้ยๆ ล้อม หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผาลอนโค้ง ประตูมักจะเป็นไม้บานใหญ่ๆ แต่ที่นี่ดี เพราะทั้งหมดยังมีคนอยู่อาศัย จึงเป็นเมืองเก่าที่ยังมีลมหายใจ มีชีวิต บางส่วนเปลี่ยนโฉมเป็น Art Gallery ร้านอาหาร ร้านกาแฟน่านั่ง เป็นพิพิธภัณฑ์ ร้านขายของที่ระลึก งานทำมือ หรือบ้างก็เป็น Work Shop ที่เราสามารถเข้าไปลองทำงานศิลป์ได้ เมืองเก่าบุกชนตั้งอยู่ในพื้นที่กึ่งกลาง ระหว่างพระราชวังเคียงบกกุง กับพระราชวังชางด๊อก ภายในหมู่บ้านมีซอกหลืบทางเดินวกวนราวเขาวงกต บางส่วนตั้งอยู่บนพื้นราบ แต่บางส่วนตั้งอยู่บนเนินเขาลดหลั่นกันลงมา ยามเย็นสามารถชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างงดงามตรึงตรา

 Info : เดินทางไปง่ายๆ ด้วยรถไฟฟ้าสายสีส้ม ลงสถานี Anguk ทางออก 2 แล้วเดินขึ้นไปทางทิศเหนือตามถนนใหญ่ไปอีก 300 เมตร ก็ถึง เมืองเก่าบุกชนเปิดให้เดินเที่ยวชมทุกวัน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เวลาเหมาะที่สุดคือตั้งแต่ 08.00-21.00 น. หลังจากนั้นจะมืด   ค่อนข้างเปลี่ยว สอบถามเพิ่มเติม โทร. +82-2-3707-8388 http://bukchon.seoul.go.kr

15

16

 จะว่าไปแล้ว ผู้นำเกาหลีเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลไม่ใช่น้อย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถเปลี่ยนคลองน้ำเน่าสนิทสีดำปี๋ อย่าง คลองชองเกชอน (Cheonggyecheon Stream) ให้กลายเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของโซลไปได้เหมือนทุกวันนี้! ว้าว สุดยอด!

คลองชองเกชอนเป็นคลองสำคัญไหลผ่านใจกลางกรุงโซล ถือเป็นคลองโบราณสมัยราชวงศ์โชซอน ที่มีอายุกว่า 600 ปี แต่ชุมชนแออัดสองฟากฝั่งก็ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงไปจนน้ำเน่าเสียสุดๆ กระทั่ง ค.ศ. 2002 นายอี มย็อง-บัก ได้รับตำแหน่งเป็นผู้ว่าการกรุงโซล เขาจึงทำสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ให้เกิดขึ้น! ด้วยการของบจากรัฐ มากถึง 1 หมื่นล้านบาท เพื่อพัฒนาคลองชองเกชอนจนสำเร็จ โดยย้ายชุมชนทั้งหมดออกไป ปรับภูมิทัศน์สองฝั่งคลองใหม่ให้โล่งน่าเดิน ปลูกต้นไม้ ขุดลอกคลอง และขุดคลองส่งน้ำจากแม่น้ำฮัน นำน้ำสะอาดเข้าไปไหลเวียน จนคลองชองเกชอนใสสะอาด ใสแจ๋วจนเลี้ยงปลาคาร์พให้แหวกว่ายไปมาได้! มีสาหร่ายสวยๆ ไหลพลิ้วเอื่อยๆ ไปตามกระแสน้ำ สองฝั่งมีถนนคนเดิน พร้อมทิวไม้ร่มรื่นตลอดความยาว 5.8 กิโลเมตร โดยมีจุดให้นั่งพักนั่งเล่นเป็นระยะ จึงกลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะยามราตรีจะมีการแสดง Laser Dance ให้ชมฟรีด้วย บรรยากาศโรแมนติกสุดๆ

Info : คลองชองเกชอนเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน เดินทางมาง่ายๆ ด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) สายสีม่วง ลงสถานี Gwanghwamun ทางออก 5

17

18

 แม่น้ำฮัน (Han River) เป็นแม่น้ำสายหลักของกรุงโซล ไหลผ่านจากทิศตะวันออกไปตะวันตก ตัวแม่น้ำมีความกว้างขวาง มีสะพานข้ามมากถึง 23 แห่ง ตลอดความยาว 41.5 กิโลเมตร ที่ไหลผ่านโซล บริเวณริมตลิ่งเขาได้สร้างสวนสาธารณะไว้ให้ผู้คนมานั่งพักผ่อนหย่อนใจมากถึง 12 แห่ง ทิวทัศน์โปร่งโล่งสบาย ไม่มีร้านค้าหรือบ้านเรือนรกตาสร้างรุกล้ำเข้าไปในแม่น้ำแม้แต่น้อย ส่วนน้ำนั้นก็ใสสะอาด แทบไม่มีขยะให้เห็นสักชิ้นเดียว! น่านับถือที่เขาดูแลสิ่งแวดล้อมได้ยอดเยี่ยมสุดๆ!

            สวนสาธารณะเหล่านี้ไม่เคยเหงา เพราะจะมีผู้คนพาครอบครัวออกมาทำกิจกรรมกันทุกวัน ทั้งกางเต็นท์พักแรก ปิกนิกทำอาหารกินกัน นอนอาบแดดอ่านหนังสือ เล่นว่าว วิ่งเล่นกับสุขนัขของตน นอกจากนี้รัฐยังได้สร้างสนามฟุตบอล สนามบาสเกตบอล สนามวอลเล่ย์บอล สระว่ายน้ำ ท่าเรือ เพื่อให้คนลงไปพายเรือ แล่นเรือใบ ตกปลา เล่นเจ็ตสกี ส่วนบนบกก็มีสนามเด็กเล่น หลายคนมาปั่นจักรยาน วิ่งออกกำลังกาย เพราะเขาเชื่อว่าเมื่อแข็งแรงก็ไม่ต้องไปหาหมอ คนไทยเราน่าจะคิดแบบนี้มั่งเนอะ!

 Info : สวนนี้เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ไปถึงได้ด้วยรถไฟใต้ดินหลายสาย เช่น สาย 7 ทางออก 2,3 สาย 5 และ 8 ทางออก 1 สาย 5 ทางออก 2,3 และสาย 2 ทางออก 4 ส่วนใครที่สนใจล่องเรือแม่น้ำฮัน ลงเรือเฟอร์รี่ได้ที่ท่า Yeouido, Jamsil, Ttukseom ค่าล่องเรือชมวิวปกติ ผู้ใหญ่ 11,000 วอน เด็ก 5,500 วอน ล่องเรือดินเนอร์ครุยส์ ผู้ใหญ่ 65,000 วอน เด็ก 33,000 วอน สอบถาม โทร. +82-2-3271-6900

19

20

21

22

ถ้าคุณเป็นคนรักสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ รู้ตัวเองว่าไม่แพ้ขนแมว และต้องการหาอะไรแปลกใหม่ในโซล ล่ะก็ ขอเชิญไปเที่ยวที่ คาเฟ่น้องเหมียว” (Cat Café) ร้านกาแฟน่ารักๆ ที่มีคอนเซ็ปต์เก๋ไม่เหมือนใคร จนกระทั่งทุกวันนี้เริ่มมีคนไทยเปิดตามกันหลายแห่งในกรุงเทพฯ เราลองไปดูต้นตำรับที่นั่นกันดีกว่า

            คาเฟ่น้องเหมียวของโซลเป็นร้านเล็กๆ น่านั่ง บรรยากาศชิลชิล นอกจากจะได้ดื่มอะไรเย็นๆ ให้ชื่นใจแล้ว ยังได้เล่นกับน้องเหมียวเป็นสิบตัว ที่เดินวนเวียน โดดไปโดดมา ปีนป่ายโน่นนี่นั่น และเข้ามาเคล้าคลอเคลียเราอย่างน่ารักน่าชัง แมวที่นี่ทุกตัวมีชื่อ มีประวัติ ตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนอย่างดี คนที่เข้าไปเที่ยวจึงต้องสะอาดเช่นกัน เขาจะให้เราเปลี่ยนรองเท้า ล้างมือด้วยยาฆ่าเชื้อ แล้วเข้าไปเล่นกับน้องเหมียวได้ตามกฎซึ่งทำไม่ยาก เพื่อรักษาสวัสดิภาพให้น้องเหมียวทั้งหลาย เช่น ห้ามถ่ายรูปโดยใช้แฟลช, ห้ามดึงหางแมว, ห้ามให้อาหารอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารแมว, ห้ามรบกวนแมวที่หลับอยู่, ห้ามรบกวนแมวขณะมันกินอาหาร, ห้ามใช้สิ่งของอื่นใดหรือหลอดดูดน้ำไปเย้าเล่นกับแมว เพราะทางร้านได้จัดของเล่นแมวโดยเฉพาะไว้ให้แล้ว, ห้ามส่งเสียงดัง หรือทำท่าคุกคามแมว ฯลฯ

            ความอ่อนโยน น่ารัก ขี้อ้อน ของน้องเหมียว จะทำให้เราใจเย็น มีความสุขจนลืมไม่ลงเลยล่ะ

 Info : Cat Café อยู่ในย่านมหาวิทยาลัยฮงอิก นั่งรถไฟใต้ดิน สาย 2 ทางออก 6 เดินไปเรื่อยๆ ร้านอยู่ด้านหน้าทางเข้ามหาวิทยาลัยฮงอิก โดยร้านอยู่ฝั่งซ้ายมือ บนตึกชั้น 8 เปิดทุกวัน เวลา 12.00-23.00 น. ค่าเข้าคนละ 8,000 วอน (ประมาณ 250-260 บาท) ได้เครื่องดื่ม 1 แก้ว จะนั่งในร้านนานแค่ไหนก็ได้ ไม่จำกัดเวลา สอบถามเพิ่มเติม โทร. +82-2-1330

1

2

รับรองได้ว่านักท่องเที่ยวไทยกว่า 95 เปอร์เซนต์ ที่ไปโซล ต้องเคยสัมผัส ตลาดเมียงดง” (Myeongdong Market) มาแล้วแน่นอน! โดยเฉพาะสาวหลายคนฝันว่าสักวันจะไปช้อปปิ้งที่เมียงดงให้ได้! ก็เพราะตลาดเมียงดงเป็นย่าน Shopping & Walking Street ทันสมัย เปิดเป็นถนนคนเดินยาวเหยียด มีร้านค้านับพันๆ อยู่สองฟากฝั่ง ขนาบด้วยตึกสูง ร้านกิ๊บเก๋ กิ๊ฟต์ช็อฟต์ ร้านอาหาร คาเฟ่ต์ ร้านเสื้อผ้า กระเป๋าแบรนด์เนม และอีกสารพัดให้เดินกันทั้งวัน! จึงขอเตือนว่าอย่าเดินช้อปเพลินจนตังค์หมดล่ะ!

            ความสนุกในการเดินย่านเมียงดง คือเสน่ห์ของสินค้านานาชนิดที่น่าซื้อหา น่าเสียตังค์ให้ทุกสิ่งอย่าง ที่นี่เป็นศูนย์รวมแฟชั่นล่าสุดของแดนกิมจิ! อะไรที่ In Trend สุดๆ เหมือนกับเพิ่งหลุดออกมาจากหนังสือแฟชั่นใหม่เอี่ยม หาดูหาซื้อได้ที่นี่ โดยเฉพาะเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า หมวก น้ำหอม ผ้าพันคอ เครื่องประดับวัยรุ่น และที่สำคัญสุดๆ คือ “เครื่องสำอาง” นับร้อยยี่ห้อ! ประทินผิวเสริมความงามกันตั้งแต่ปลายเส้นผมจรดปลายเท้า มีให้เลือกซื้อทุกขนาน เน้นกันที่ใบหน้า สาวๆ ไทยเดินหอบหิ้วกันมาคนละหลายๆ ถุง บ้างก็หลายกระเป๋า! ถึงขนาดในร้านมีพนักงานขายพูดไทยได้ มีป้ายภาษาไทย และลดแลกแจกแถมให้คนไทยเป็นพิเศษด้วย! อีกอย่างคือย่านเมียงดงเป็นเหมือน Fashion Square ที่หนุ่มสาววัยใสในโซลเขาจะแต่งองค์ทรงเครื่องกันสุดฤทธิ์สุดเดช ออกมาเดินอวดโฉมแข่งกันทุกวัน

 Info : ตลาดเมียงดงเปิดทุกวัน ร้านค้าส่วนใหญ่เปิดเวลา 07.00-21.00 น. ส่วนที่เป็นห้างใหญ่ๆ เปิด 10.00-21.00 น. แต่จะคึกคักสุดช่วงเย็นๆ ประมาณ 17.00 น. เป็นต้นไป ช่วงหัวค่ำคนเยอะมาก เดินเที่ยวระวังกระเป๋าสตางค์และข้าวของด้วย อย่าช้อปปิ้งจนเพลิน

1

2

วัยรุ่นนิสิตนักศึกษาของโซลเป็นพวก Art ตัวพ่อ Art ตัวแม่ ไม่แพ้ชาติใดในโลก! พอว่างจากการเรียน เขาเลยเจียดเวลามาทำงานศิลปะ Hand Made กิ๊บเก๋น่าออกมาขาย หารายได้ และฝึกฝนวิทยายุทธศิลปะให้เข้มแข็ง เราจะเจอพวกเขาได้ที่ไหนในโซล? คำตอบคือ ตลาดนัดศิลปะฮงแด” (Hongdae Art Market) ในย่านมหาวิทยาลัยฮงแด ที่กลายเป็นแหล่งพบปะของคนรักงานศิลป์ไปแล้ว

            ย่านมหาวิทยาลัยฮงแด-ฮงอิก เป็นย่านมหาวิทยาลัยที่มีนิสิตนักศึกษาหน้าแฉล้ม ใสๆ เดินกันเพียบ นักเรียนศิลปะจากมหาวิทยาลัยต่างนำผลงานของตนที่ไม่เหมือนใครออกมาจำหน่าย ในลักษณะ Free Market ที่เน้นขายเฉพาะ Art Product เท่านั้น มีทั้งสมุดโน๊ตทำมือ โปสการ์ด กิ๊บติดผม กำไล เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เสื้อเพนท์ลายแปลกๆ งานไม้แกะสลัก เครื่องเงินแบบมีชิ้นเดียวในโลก เครื่องแก้วจุ๋มจิ๋ม พวงกุญแจ ผ้าพันคอ งานถักไหมพรม ภาพวาด ภาพเหมือน และอีกสารพัด ราคาก็มีตั้งแต่แพงๆ (ต้องเข้าใจนะ เพราะเป็นงาน Art ทำมือ) ไปจนถึงราคาเป็นเจ้าของได้ ยิ่งกว่านั้นบางวันยังมีนักศึกษาวิชาดนตรี มาเปิดการแสดงสดแบบ Outdoor Free Concert ให้ดูฟรีด้วย บรรยากาศชิลมากๆ

 Info : การเดินทางไปตลาดนัดศิลปะฮงแด นั่งรถไฟใต้ดินสาย 2 ลงสถานีฮงแดอิบกู ทางออกที่ 5 แล้วเดินไปหน้ามหาวิทยาลัยฮงอิก หรือลงสถานีมหาวิทยาลัยฮงอิก (Hongik University) ทางออกที่ 9 หรือสาย 6 ลงสถานีซังซู (Sangsu) ทางออกที่ 1 หรือ 2 ตลาดนัดศิลปะมีทุกวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 13.00-18.00 น. ตั้งแต่เดือนมีนาคม-พฤศจิกายน ในหน้าหนาวจะงด เพราะหนาวไป มาตั้งขายไม่ไหว!

1841

Traveler’s Guide

When to go : เที่ยวโซลได้ตลอดปี แต่สำหรับคนไทยที่ฮิตๆ คงหนีไม่พ้นช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน เพราะอากาศเย็นสบายกำลังดี แถมมีใบไม้เปลี่ยนสีทั่วเมือง และที่สำคัญคือช่วงนี้ของลดราคาเยอะด้วยล่ะ

How to go : โชคดีคนไทยไปเที่ยวเกาหลีไม่ต้องทำวีซ่า จองตั๋วเครื่องบิน บินตรงสุวรรณภูมิ-โซล ได้เลย มีหลายสายการบินให้บริการ เช่น Korean Air (www.koreanair.com), Air Asia (www.airasia.com) ฯลฯ

Where to stay : แนะนำ Pencil Guesthouse 2 (ย่านฮงอิก) จองผ่าน www.hotelscombined.com

Info : www.visitseoul.net , http://english.visitkorea.or.kr

ดูเหยี่ยวอพยพ ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร

มีคนเคยบอกว่า ธรรมชาติคือครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เราสามารถเรียนรู้บทเรียนอันมีค่ามากมายจากธรรมชาติ ทั้งในด้านสว่างและด้านมืด แม้แต่พระพุทธองค์เองก็ยังทรงเรียนรู้สัจธรรมความจริงจากธรรมชาติ แล้วนำมาประกาศ เพื่อให้ปุถุชนที่ยังไม่ได้ละวางทางโลกสามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข สำหรับตัวผมเอง เป็นคนที่นิยมเรียนรู้ชีวิตและโลกกว้างจากการท่องไปในธรรมชาติ หลายครั้งได้เห็นแง่มุมสุดจะงดงาม ซึ่งผู้คนทั่วไปมิอาจเข้าไปพานพบ และบางครั้งก็พบกับความโหดร้ายที่ธรรมชาตินำเราเข้าไปเผชิญ แต่ก็นั่นล่ะ ทั้งหมดคือ “บทเรียนชีวิต” ที่ครูธรรมชาติสอนให้เราเข้าใจโลกและชีวิตมากขึ้น

_DSC0445

ทุกปีในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม บริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร จะเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าชม ของการอพยพครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดรูปแบบหนึ่งในเมืองไทยเรา คือเหยี่ยวสิบๆ ชนิดจากซีกโลกเหนือแถบมองโกเลียและไซบีเรีย นับแสนๆตัว! จะพากันบินอพยพลงสู่ซีกโลกใต้ เพื่อหนีความหนาวเย็นลงมาหากิน โดยบินผ่านเหนือผืนดินของทวีปเอเชียลงสู่หมู่เกาะอินโดนีเซีย และมีบางกลุ่มที่บินเหินฟ้ายาวไกลไปถึงออสเตรเลียเลยก็มี พวกมันอาศัยความทรงจำจากเหยี่ยวรุ่นบรรพบุรุษ ที่ฝังอยู่ในส่วนลึกสุดของยีนส์และเซลล์สมอง บวกกับสัญชาติญาณดิบและแรงแม่เหล็กโลกที่จับได้ บินจากเหนือลงใต้โดยไม่ผิดพลาดผิดเพี้ยน บินมาพร้อมกันทั้งเหยี่ยวตัวผู้ ตัวเมีย และตัวเด็กๆ สู่ดินแดนที่ไม่รู้จัก ดำเนินเป็นจังหวะแห่งธรรมชาติเช่นนี้มั่นคงมานับร้อยนับพันชั่วรุ่น สืบสานเผ่าพงษ์เหยี่ยวให้อยู่คู่โลกต่อไป

7

9

 ก่อนไปดูเหยี่ยวอพยพในช่วงเวลาดังกล่าว เราลองมาทำความรู้จักกับนกชนิดนี้กันนิดหน่อยก่อนดีกว่า “เหยี่ยว” (ในภาษาอังกฤษใช้หลายคำด้วยกัน เช่น Falcon, Hawk, Kite, Kestrel แล้วแต่ขนาดและลักษณะ) พวกมันเป็นนกนักล่าที่ปราดเปรียวที่สุดบนฟากฟ้า ธรรมชาติได้มอบเครื่องมือสำหรับการล่าไว้ให้พวกมันครบ ทั้งสายตาที่มองได้กว้างไกล ขนาดไกลเป็นกิโลเมตรยังเห็นได้! แถมยังมีกรงเล็บแหลมคมไว้จับเหยื่อ นอกจากนี้ยังมีจงอยปากงองุ้มใช้จิก คาบ และฉีกเหยื่อได้อย่างง่ายดาย รวมทั้งยังมีเรียวปีกแผ่กว้าง บินได้ไกล บินได้สูง บินแบบฉลัดเฉวียนราวนักกายกรรมก็ได้ และสุดท้ายคือมีกรงเล็บอันทรงพลัง ใช้จับเหยื่อได้มั่นคง ไม่มีโอกาสหนีรอดเลย! นี่ล่ะครับนักล่าที่ชื่อเหยี่ยว ซึ่งในเมืองไทยของเรามีอยู่เกือบ 60 ชนิดเลยทีเดียว ทั้งเหยี่ยวขนาดใหญ่และเหยี่ยวขนาดเล็ก ลืมบอกไปว่าอาหารโปรดของพวกมันคือหนู งู กิ้งก่า และนกขนาดเล็ก เรียกว่าเป็นสัตว์ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร ช่วยควบคุมประชากรสัตว์เล็กให้สมดุล ถ้าวันใดเหยี่ยวลดจำนวนหรือหมดไป ก็จะเกิดผลกระทบทางธรรมชาติเป็นลูกโซ่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

8

ปกติในเมืองไทยเรามีเหยี่ยวที่อยู่ประจำถิ่นตลอดปีหลายชนิดด้วยกัน พบเห็นได้ไม่ยากอย่างเหยี่ยวแดง, เหยี่ยวรุ้ง นกออก เหยี่ยวนกเขาหงอน เหยี่ยวนกเขาชิครา เหยี่ยวผึ้ง เหยี่ยวนกกระจอกเล็ก และเหยี่ยวปีกแดง เป็นต้น เหยี่ยวบางพวกชอบอยู่โดดเดี่ยว ออกล่าตัวเดียว แต่บางพวกก็ชอบรวมฝูงเป็นร้อยตัว นักดูนกบอกว่าการจำแนกชนิดเหยี่ยวถือว่ายาก (ถ้าไม่ชำนาญจริง) เพราะลวดลายสีสันบนตัวพวกมันคล้ายๆ กัน ต้องอาศัยประสบการณ์จดจำนานหลายปี อีกทั้งต้องมีอุปกรณ์พวกกล้องส่องทางไกลคุณภาพดีช่วยอีกแรงหนึ่ง ส่วนเครื่องแต่งกายก็ควรเป็นสีพราง อย่างสีเขียวเข้ม น้ำตาล หรือเทาเข้มๆ ให้ตัวเรากลืนไปกับธรรมชาติ

12

การเริ่มต้นดูเหยี่ยวทั้งประจำถิ่นและอพยพ อย่างแรกคงต้องทำการบ้านสักนิดว่าพวกมันอยู่ที่ไหน? จะพบเห็นได้บ่อยที่สุดในเดือนอะไร? ส่วนช่วงเวลาที่เหมาะในการเฝ้าดูคือตอนเช้าและสาย ประมาณ 08.00-10.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แดดยังไม่ร้อนจัด เหยี่ยวจะบินค่อนข้างต่ำ ไม่ห่างพื้นมาก แต่พอเร่ิมใกล้เที่ยงไปถึงบ่ายแก่ๆ ราวๆ 11.00-16.00 น. แดดที่ร้อนจัดจะทำให้เกิดมวลอากาศร้อนลอยตัวขึ้นสูง ลักษณะเป็นวงกลม เหยี่ยวจึงใช้มวลอากาศนี้ช่วยประหยัดแรงไม่ต้องกระพือปีกมาก ลอยตัวขึ้นพร้อมอากาศร้อน บางครั้งในระดับสูงลิบหลายกิโลเมตรจากพื้นดิน การเฝ้าสังเกตพวกมันจึงทำได้ยาก ยกเว้นช่วงฤดูอพยพผ่าน ที่จะมาพร้อมกันนับพันๆ ตัว และมักบินผ่านยอดเขาต่างๆ ให้เห็นแบบไม่อายกันเลยครับ

13

 บนเขาเรดาห์ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อันเป็นเขตรอยต่อกับจังหวัดชุมพร ผมและเพื่อนๆ ขับรถขนอุปกรณ์ถ่ายภาพนกขึ้นไปดักรอเก็บภาพฝูงเหยี่ยวอพยพครั้งยิ่งใหญ่ ทว่าโชคร้าย วันแรกที่ไปถึงฝนถล่มหนักราวพายุ ทำให้เราต้องถอนทัพลงมาตั้งหลักใหม่ วันที่สองฟ้าเร่ิมเป็นใจ พวกเราจึงได้ทีรีบขึ้นไปเฝ้ารอพวกมันแต่เช้า นอกจากพวกเรายังมีกลุ่มชาวบ้าน นักดูนกมืออาชีพ มือสมัครเล่น นักท่องเที่ยว และนักเรียนนักศึกษาอีกเป็นร้อยคน บางคนมีแค่กล้องอันเล็กๆ ผิดกับบางคน (รวมทั้งพวกเรา) ที่มีกล้องและเลนส์อันยาวเท่าแขนไว้เก็บภาพนกโดยเฉพาะ จึงเกิดความเหลื่อมล้ำในการมองเห็นอย่างชัดเจน ไม่นานนักเหยี่ยวฝูงแล้วฝูงเล่าก็ปรากฏตัวออกจากกลุ่มเมฆบนท้องฟ้า โดยใช้มวลอากาศร้อนพาพวกมันโผผินไป กลุ่มละเป็นร้อยๆตัว ทว่าพวกมันบินสูงอยู่เหนือยอดเขาเรดาห์ขึ้นไปบนท้องฟ้าหลายกิโลเมตร ภาพที่ได้จึงเล็กจิ๋ว

14

10

15

11

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป พวกผมเปลี่ยนโลเกชั่นดูนกเหยี่ยวไปยังเขาดินสอในจังหวัดชุมพร ซึ่งจุดนี้มีความยากลำบากกว่าเขาเรดาห์ที่ประจวบฯ เพราะรถขึ้นไม่ถึงยอด เราจำเป็นต้องพาตัวเอง แบกอุปกรณ์ถ่ายภาพหนักอึ้งนับสิบกิโลกรัมเดินขึ้นเขาไปเป็นระยะทาง 1.5 กิโลเมตร ยอมรับว่าเหนื่อย หนัก แต่ก็มีความสุข เพราะนี่คือชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งเราเลือกแล้ว และโชคดีที่เพื่อนๆ ใจดีช่วยแบกอุปกรณ์ให้ด้วย บนยอดเขาเราพบนักดูนกหลายสิบคน บ้างมาจากมาเลเซีย สิงคโปร์ และแถบยุโรป ได้พบเพื่อนใหม่ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน และแล้วธรรมชาติก็ให้รางวัลแก่เรา มีเหยี่ยวนับร้อยตัวบินโฉบผ่านไปในระยะที่สามารถเก็บภาพได้ไม่ยาก ภาพยุงที่เคยเห็นที่เขาเรดาห์ในจังหวัดประจวบฯ บัดนี้ปรากฏเด่นชัดในช่องมองภาพของกล้องและเลนส์ คือภาพเหยี่ยวอพยพแผ่ปีกร่อนลมแสนสง่างาม บางตัวบินฉวัดเฉวียนอย่างเสรี เริงร่า บ้างก็มีการเกี้ยวพาราศรี และบ้างก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่ต่างจากสังคมมนุษย์เลยสักนิดเดียว

4

5

6

ธรรมชาติสอนให้เรารู้จักรอคอยจังหวะอันเหมาะเจาะ รอคอยด้วยความเข้าใจและอดทน เพื่อให้ได้พานพบสิ่งที่ดีที่สุด ณ สถานที่และห้วงเวลาอันดีที่สุด ตราบใดที่เราไม่ละความพยายาม ตราบนั้นรางวัลชีวิตคงอยู่ไม่ไกล จงอย่ายอมแพ้เหมือนเหยี่ยวเหล่านี้ จงสู้ และบินฝ่าระยะทางยาวไกลแห่งชีวิต มิฉะนั้นคุณก็จะเป็นผู้แพ้ และไม่มีสิทธิ์ได้โผบินอีกเลย!

3

1841

ขอขอบคุณ บริษัท Nikon Sales (Thailand) Co., Ltd. สนับสนุนเลน์ 500 มิลลิเมตร f4 Nan0 สุดยอดเลนส์ระดับมืออาชีพ เพื่อการบันทึกภาพนกโดยเฉพาะ

สนใจติดต่อ โทร. 0-2633-5100 / แฟ็กซ์ 0-2633-5191 (Office) / 0-2633-5192 (Service) www.nikon.co.th

Bird Watching Guide :

เขาดินสอ จังหวัดชุมพร จากตัวเมืองชุมพร-อำเภอปะทิว ใช้ทางหลวงหมายเลข 3180 ประมาณ 20 กิโลเมตร ผ่านหมู่บ้านสะพลีถึงสี่แยกต้นมะขาม เลี้ยวขวาไปผ่านอ่าวบางสน แล้วจะมีซอยแยกซ้ายขึ้นเขาดินสอได้เลย สอบถามเพิ่มเติมที่ ททท. สำนักงานชุมพร-ระนอง โทร. 0-7750-1831-2 , 0-7750-2775-6

เขาเรดาห์ ตำบลบ้านไชยราช อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ช่วงรอยต่อประจวบฯ-ชุมพร ถ้ามาจากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ก่อนถึงศูนย์บริการทางหลวงเขาโพธิ์ จะเห็นซอยเลี้ยวซ้ายเข้าเขาเรดาห์ สนใจติดต่อ อบต. ไชยราช โทร. 0-3269-4619 และ ททท. ประจวบคีรีขันธ์ โทร. 0-3251-3885, 0-3251-3871, 0-3251-3854