จากพุกามถึงย่างกุ้ง ย้อนรอยทุ่งพระเจดีย์ที่โลกตะลึง

แสงแรกของอรุณเบิกฟ้าส่องประกายสีทองอาบไล้ไปทั่วนภาและหมู่เมฆ พลันแสงทองมลังเมลืองค่อยๆ ทวีความเข้มข้นของรังสีแสง ฉานฉายไปตกต้องยอดเจดีย์สีทององค์มหึมา และเจดีย์น้อยใหญ่อีกกว่า 3,000 องค์ในทุ่งราบกว้างสุดลูกหูลูกตานั้น พุกาม เมืองโบราณที่ตั้งซ้อนทับอยู่ในห้วงเวลาปัจจุบัน พลันนำเราย้อนกลับสู่อดีตกาลได้อย่างอัศจรรย์sunrise เจดีย์ธรรมะยาสิกา 1 sunrise เจดีย์ธรรมะยาสิกา 2 sunrise เจดีย์ธรรมะยาสิกา 3 sunrise เจดีย์ธรรมะยาสิกา 4 sunset 1 sunset 2

            ถ้าสยามประเทศคือเมืองแห่งวัด กัมพูชาคือเมืองแห่งปราสาทหิน ก็แน่นอนว่า พุกาม’ (Bagan) ย่อมต้องเป็นเมืองแห่งเจดีย์อย่างแน่นอน สะท้อนว่าในยุคอดีตที่พุกามเคยเป็นเมืองหลวงของเมียนมาร์นั้น ดินแดนบนที่ราบกว้างใหญ่ห่างจากย่างกุ้งขึ้นมาทางทิศเหนือ 700 กิโลเมตรนี้ คือศูนย์กลางแห่งพุทธศาสนา อันรุ่งเรืองสุดขีด ตั้งแต่พระมหากษัตริย์ ราชนิกุล ขุนนาง พ่อค้า ไปจนถึงปุถุชนธรรมดา ล้วนแข่งกันสร้าง ‘เจดีย์’ เพื่อใช้เป็นตัวแทนแห่งพุทธองค์ จนในยุคอดีตนั้นกล่าวกันว่ามีเจดีย์น้อยใหญ่อยู่กว่า 5,000 องค์!

เจดีย์ชเวสิกอง 1

เจดีย์ชเวสิกอง สถานที่แรกในพุกามที่ฉันไปเยือน คือ 1 ใน 5 มหาบูชาสถานของเมียนมาร์ ด้วยว่าเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุสำคัญที่สุดในพุกาม ทั้งส่วนพระนลาฏ (หน้าผาก) และพระเขี้ยวแก้ว (พระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า) เจดีย์นี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเก่าพุกาม สร้างโดยพระเจ้าอนิรุทธ์ ทรงอธิษฐานให้ช้างเผือกที่มีพระเขี้ยวแก้วจากศรีลังกาอยู่บนหลังออกเดินเสี่ยงทาย ในที่สุดช้างมาหยุดอยู่ตรงนี้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเจดีย์ชเวสิกองขึ้นโดยใช้เจดีย์ชเวดากองเป็นต้นแบบ ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงระฆังทองเรืองรองบนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนกัน 3 ชั้น เจดีย์นี้ส่วนฐานตัน ไม่สามารถเข้าไปภายในฐานได้แบบเจดีย์วิหาร

เจดีย์ชเวสิกอง 2 เจดีย์ชเวสิกอง 3 เจดีย์ชเวสิกอง 4 เจดีย์ชเวสิกอง 5 เจดีย์ชเวสิกอง 6

เจดีย์สัพพัญญู หรือวัดถัดบินยู เป็นเจดีย์สูงที่สุดในพุกาม สูง 61 เมตร ทว่าได้รับความเสียหายหนักจากแผ่นดินไหว ค.ศ. 2016 จึงปิดบูรณะ ปัจจุบันยังไม่เปิดให้เดินขึ้นไปด้านบนได้ ภาพเก่าๆ ที่เราเห็นแสงยามเช้าตรู่ที่มีเจดีย์นับร้อยๆ องค์อยู่ในทุ่ง ส่วนมากก็ถ่ายภาพจากเจดีย์สัพพัญญูนี่เอง เจดีย์นี้มีความพิเศษมากเพราะสร้างขึ้นราวกลางศตวรรษที่ 12 ด้วยศิลปะแบบปาละอินเดีย ซึ่งในกาลต่อมาได้กลายเป็นแม่แบบของศิลปะพุกามเลยทีเดียว เจดีย์แบ่งสัดส่วนเป็น 5 ชั้น โดยชั้นล่างสุดก่อเป็นสี่เหลี่ยมคล้ายตึก ต่อด้วยชั้นลดหลั่นขึ้นไปสู่ปรางบนสุด นับเป็นเจดีย์ที่สวยสง่า และตั้งอยู่ใกล้กับเจดีย์อนันดาอันมีชื่อเสียงอีกองค์หนึ่งของพุกามเจดีย์ สัพพัญญูเจดีย์อนันดา ถือเป็นเจดีย์ที่งามเข้าขั้นเอกอุของพุกาม ยากจะหาเจดีย์ใดเปรียบได้ เพราะงามทั้งรูปทรง สมบูรณ์ด้วยหลักวิศวกรรมศาสตร์ และพร้อมด้วยประโยชน์ใช้สอย เป็นเจดีย์ที่ถูกถ่ายภาพมากที่สุดองค์หนึ่ง ของพุกามก็ว่าได้ เพราะส่วนยอดนั้นฉาบไปด้วยทองคำแท้เหลืองอร่ามสุกปลั่งอย่างน่าตื่นตะลึง เจดีย์อนันดาเป็นเจดีย์วิหาร ภายในส่วนฐานจึงเข้าไปไหว้พระได้ โดยทั้งสี่ทิศมีพระพุทธรูปแกะสลักด้วยไม้ สูงกว่า 9.50 เมตรประจำทิศ ตำนานการสร้างนั้นเล่าว่า พระเจ้ากยันสิตถาเกิดนิมิตเห็นถ้ำในเทือกเขาหิมาลัย อันเป็นที่สถิตของพระอรหันต์และพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ.1091 เสร็จแล้วก็สั่งประหารช่างฝีมือทั้งหมด! เพื่อไม่ให้มีการสร้างเลียนแบบได้งามเท่า!

เจดีย์ อนันดา 1 เจดีย์ อนันดา 2เจดีย์สุลามณี แม้ปัจจุบันส่วนยอดจะหักพังลงมาจากแผ่นดินไหว ค.ศ. 2016 แต่เจดีย์สุลามณี ก็ยังคงความงามขั้นเอกอุ ด้วยการก่ออิฐที่กล่าวกันว่างดงามที่สุดแห่งหนึ่งในพุกาม เพราะพระเจ้านราสินธู ผู้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างทรงเข้มงวดกับการเรียงอิฐมาก ตัวเจดีย์วิหารนี้มีลักษณะคล้ายเจดีย์ติโลมินโล ส่วนปรางค์ยอดมีความคล้ายคลึงกับเจดีย์อนันดามาก ทว่ามิได้หุ้มทองคำไว้ ภายในงามล้ำด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างชั้นครู พระพุทธรูปประจำทิศทั้งสี่งามเหลือกำลัง ถูกแสงภายนอกส่องเข้ามาตกต้องด้วยการจัดแสงผ่านซุ้มประตูโค้งอันชาญฉลาด จึงงามล้ำข้ามกาลเวลาเจดีย์ Sulamani 1 เจดีย์ Sulamani 2 เจดีย์ Sulamani 3 เจดีย์ Sulamani 4 เจดีย์ Sulamani 5 เจดีย์ Sulamani 6เจดีย์นันพญา เป็นเจดีย์ที่มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจมาก เพราะพระเจ้าอโนรธา มหาราชองค์แรกของเมียนมาร์ เคยใช้เป็นที่จองจำเชลยศักดิ์คือพระเจ้ามนูหะกษัตริย์มอญที่กระด้างกระเดื่อง โดยระหว่างนั้นพระเจ้ามหูหะได้สร้างวิหารมนูหะขึ้นในบริเวณใกล้ๆ กัน เพื่อใช้ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่องค์หนึ่งไว้ภายในวิหารเล็กจิ๋วจนแลคับแคบ ปัจจุบันเรียกกันว่า ‘พระเจ้าอึดอัด’ เพื่อใช้แทนภาวะที่พระองค์ต้องถูกคุมขังอยู่ และในส่วนของเจดีย์นันพญานั้น กล่าวกันว่าเป็นเจดีย์ที่มีการผสมผสานของพุทธศาสนาสกลุช่างพุกามและฮินดูเข้าด้วยกัน เพราะภายในมีฐานที่เคยใช้ประดิษฐานพระพุทธรูป ทว่าปัจจุบันเต็มไปด้วยลายหินจำหลักนูนต่ำแบบฮินดู นี่คือการเลื่อนไหลของวัฒนธรรมจากชมพูทวีป ผ่านพุกาม เข้าไปสู่เมืองขอม และสยามประเทศ

เจดีย์ Nanpaya 1 เจดีย์ Nanpaya 2 เจดีย์ Nanpaya 3เจดีย์ธัมมะยังจี เป็นหนึ่งในมหาเจดีย์ยิ่งใหญ่ที่สุดของพุกาม ซึ่งฝรั่งตะวันตกเห็นแล้วแตกตื่น เนื่องจากรูปทรงคล้ายพีระมิดของอียิปต์หรือพีระมิดของแม็กซิโกนั่นเอง! นอกจากนี้ยังถือเป็นเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของพุกามด้วย ประวัติบันทึกว่าสร้างโดยพระเจ้านราสุ ที่ลอบฆ่าพระบิดาของตนเองเพื่อขึ้นครองราชย์ พระเจ้านราสุจึงสร้างเจดีย์ธัมมะยังจีเพื่อไถ่บาปตนเอง ให้เป็นมหาเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่เทียบเจดีย์อนันดาและเจดีย์สัพพัญญู โดยทรงสั่งให้ช่างเรียงอิฐให้แน่นสนิทที่สุด เวลามาตรวจงานจะทรงใช้เข็มหมุดสอดเข้าไประหว่างช่องอิฐ ถ้าสอดเข็มได้ช่างคนนั้นจะถูกตัดแขน! หรือแม้แต่ซุ้มประตูโค้งต่างๆ ก็ยังใช้การเรียงอิฐที่ชิดสนิทแนบอย่างเหลือเชื่อ!เจดีย์ ธรรมะยังยี 1 เจดีย์ ธรรมะยังยี 2 เจดีย์ ธรรมะยังยี 3เจดีย์โลกะนันดา เป็นหนึ่งในเจดีย์เก่าแก่ที่สุดของพุกาม สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าอโนรธา ครั้งพระพุทธศาสนาในพุกามรุ่งเรืองสุดขีด ตัวเจดีย์สร้างเป็นทรงน้ำเต้าแบบพุกามสมัยนิยม เคลือบคลุมด้วยทองคำเหลืองอร่าม ที่สำคัญคือตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอิรวดี ชาวเรือแต่โบราณล่องไปมา จึงแลเห็นเจดีย์โลกะนันดาตั้งเด่นดั่งหมายแดนสวรรค์ นอกจากจะได้มาเคารพพระบรมสารีริกธาตุแล้ว ที่นี่ยังเป็นจุดชมวิว นั่งพักผ่อน และมีแม่ค้านำกุ้งฝอยในแม่น้ำอิรวดีมาชุบแป้งทอดเป็นกุ้งแพขายอย่างอร่อยเจดีย์ Lawkananda 1 เจดีย์ Lawkananda 2ภูเขาโปป้า (Mt. Popa) มองเผินๆ ก็คือภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว อยู่ห่างจากพุกามไประยะรถวิ่ง 1 ชั่วโมงครึ่ง แต่ถ้าดูกันลึกๆ นี่คือมหาคีรีศักดิ์สิทธิ์แสนลึกลับ และคือที่สุดแห่งความเชื่อเรื่องผีสางของชาวเมียนมาร์เลยล่ะ! เพราะเมื่อหลายพันปีก่อนชาวพม่าไม่ได้นับถือพุทธศาสนา แต่นับถือผี หรือ ‘นัต’ ซึ่งก็คือวิญญาณของคนที่ตายร้ายหรือตายผิดธรรมชาติ แต่เป็นผีมีพลังกลับมาช่วยผู้คน ชาวเมียนมาร์จะทำอะไรจึงต้องไหว้นัตทุกครั้ง ต่อมาสมัยพระเจ้าพระเจ้าอโนรธา ทรงนำพุทธศาสนานิกายเถรวาทเข้าสู่พุกาม แต่คนก็ยังไม่เลิกกราบไหว้นัต พระองค์จึงทรงจัดระเบียบนัตใหม่ จากนัตเป็นร้อยๆ ที่เคยมี ทรงกำหนดให้เหลือแค่ 37 ตน แล้วนำไปสถิตไว้บนภูเขาโปป้า หรือ ‘มหาคีรีนัต’ ให้คนนับถือควบคู่กับพุทธศาสนา ปัจจุบันนี้ใครอยากไหว้นัตก็ต้องเดินขึ้นบันได 777 ขั้น สู่ยอดเขา ขอเตือนว่าลิงที่มีอยู่ตลอดทางเดินขึ้นลงเขานั้นน่ากลัวกว่านัต! เพราะพวกมันรอฉกของจากเราอยู่นะสิ!mt popa 1 mt popa 2.1 mt popa 2 mt popa 3 mt popa 4 mt popa 5

ฉันบินกลับจากพุกามสู่ ย่างกุ้ง ราวกับการพาตัวเองย้อนกลับจากอดีตสู่ปัจจุบันอย่างฉับพลัน กลิ่นอายของความทรงจำดีๆ ภาพของอิฐหินนับล้านก้อนที่ก่อรูปขึ้นเป็นเจดีย์พันๆ องค์ ยังคงตรึงอยู่ในใจฉัน แต่ก่อนกลับบ้านฉันมีเวลาอยู่ในย่างกุ้งอีก 1 วัน 1 คืน เพื่อ Say Hello กับอดีตเมืองหลวงของเมียนมาร์นี้ เพราะถ้าไม่ได้เที่ยวย่างกุ้ง ก็จะเหมือนฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทย แล้วไม่ได้แวะ กทม.!

            ย่างกุ้ง (Yangon) หรือ หยั่นก่ง, ร่างกุ้ง (แล้วแต่จะออกเสียง) ในภาษาเมียนมาร์แปลว่า ‘ปราบศรัตรูจนราบคาบ’ หรือ ‘เมืองที่ไร้ศัตรู’ เป็นเมืองเก่ากว่า 2,500 ปี จึงมีเรื่องราวเล่าขานไม่รู้จบ แต่ในเมื่อมีเวลาแค่ 1 วัน ฉันจึงเลือกเที่ยวไฮไลท์ให้คุ้มค่าเวลาที่สุดย่างกุ้ง เจดีย์ชเวดากอง 1เจดีย์ชเวดากอง เป็นมหาเจดีย์ขนาดใหญ่ที่สุดในเมียนมาร์ และถือเป็น 1 ใน 5 มหาบูชาสถานของเมียนมาร์ ด้วย โดยคำว่า ‘ชเว’ แปลว่า ‘ทองคำ’ และ ‘ดากอง’ หรือ ‘ตะเกิง’ ก็คือชื่อเดิมของเมืองย่างกุ้งนั่งเอง เจดีย์ชเวดากองสร้างขึ้นเมื่อ 2,500 ปีก่อน โดยตปุสสะและภัลลิกะ วาณิชสองพี่น้องที่เข้าเฝ้าขอประทานพระเกศา 8 เส้นจากพุทธองค์ ทั้งสองจึงอัญเชิญมาบนเนินเขาเสนคุตตระ พระเจ้าโอกะลัปจึงทรงสร้างเจดีย์ครอบไว้ ตัวเจดีย์มีขนาดใหญ่โตโอฬารมาก หุ้มด้วยทองคำ 9,272 แผ่น ส่วนยอดประดับเพชร 4,531 เม็ด ทับทิม ไพลิน และบุษราคัมอีก 2,317 เม็ด รวมทั้งระฆังทอง 1,065 ใบ พร้อมด้วยเพชรหนักถึง 72 กะรัต ขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือบนยอดสุด ทุกวันนี้มีผู้ศรัทธาไปสักการะเนืองแน่นทุกวัน ย่างกุ้ง เจดีย์ชเวดากอง 2 ย่างกุ้ง เจดีย์ชเวดากอง 3 ย่างกุ้ง เจดีย์ชเวดากอง 4 ย่างกุ้ง เจดีย์ชเวดากอง 5เจดีย์โบตะทาว และเทพทันใจ ไม่ห่างจากแม่น้ำอิรวดีมากนัก คือที่ตั้งของเจดีย์โบตะทาว ซึ่งประดิษฐานพระเกศาของพระพุทธเจ้าเอาไว้ โดยเมื่อ 2,500 ปีก่อน เมื่อปุสสะและภัลลิกะได้นำพระเกศา 8 เส้น ของพระพุทธองค์มายังย่างกุ้งแล้ว ได้นำมาประดิษฐานไว้ที่นี่เป็นจุดแรก โดยใช้ทหารถึง 1,000 นาย คอยอารักขา จากนั้นจึงแบ่งพระเกศา 1 เส้น บรรจุไว้ใน ‘เจดีย์โบตะทาว’ จึงแปลว่า ‘1,000’ คือทหารทั้งหนึ่งพันนายที่ปกป้องพระเกศาไว้นั่นเอง เจดีย์แห่งนี้เคยถูกทหารสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดจนพังพินาศ จึงมีการค้นพบผอบที่บรรจุเส้นพระเกศา ใกล้ๆ กับเจดีย์โบตะทาวคือวิหารเทพทันใจ หรือนัตโบโบยี ที่กล่าวกันว่าอธิษฐานขอสิ่งใด (ที่ไม่เกินจริง) ก็จะได้สมปรารถนาอย่างรวดเร็วดังติดจรวด!เทพทันใจ 1 เทพทันใจ 2 เทพทันใจ 3 เทพทันใจ 4 เทพทันใจ 5 เทพทันใจ 6เรือ Vintage Luxury Yacht Hotel ใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศ มาพักในเรือสำราญเก่าที่จอดเทียบลอยลำนิ่งอยู่ริมแม่น้ำอิรวดีในย่างกุ้ง (ห่างจากเจดีย์โบตะทาวแค่เดิน 10 นาที) ต้องไม่พลาดโรงแรมลอยน้ำแห่งนี้ ความพิเศษอยู่ที่การตกแต่งสไตล์อังกฤษวินเทจ ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ และข้าวของเครื่องใช้ ราวกับว่าเราเป็นแขกคนพิเศษเสมอ (www.vintageluxuryhotel.com)เรือ Vintage Luxury ย่างกุ้ง 1เรือ Vintage Luxury ย่างกุ้ง 2 เรือ Vintage Luxury ย่างกุ้ง 3 เรือ Vintage Luxury ย่างกุ้ง 4 เรือ Vintage Luxury ย่างกุ้ง 5 เรือ Vintage Luxury ย่างกุ้ง 6

ลาก่อนพุกาม ลาก่อนย่างกุ้ง ลาก่อนเมียนมาร์ นี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราจะพบกัน ฉันขอสัญญา

Special Thanks : ขอบคุณสายการบิน Myanmar National Airlines สนับสนุนการเดินทางจัดทำสารคดีเรื่องนี้เป็นอย่างดี สนใจติดต่อ www.flymna.com

 

Traveler’s Guide

When to go : เที่ยวได้ตลอดปี แต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม อากาศเย็นสบายที่สุด

Getting there : เดินทางสะดวกง่ายดาย ด้วยการบินตรงจากกรุงเทพฯ-ย่างกุ้ง กับสายการบิน Myanmar National Airlines ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 10 นาที (สำรองที่นั่ง www.flymna.com) มีบินทุกวัน วันละ 2 เที่ยว จากนั้นบินต่อย่างกุ้ง-พุกาม ด้วยสายการบิน Myanmar National Airlines เช่นกัน ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง

Over night : ย่างกุ้ง แนะนำโรงแรมในเรือสำราญบนแม่น้ำอิระวดี Vintage Luxury Yacht Hotel (www.vintageluxuryhotel.com) และ Sedona Yangon โรงแรมห้าดาวสุดหรู (www.sedonahotels.com.sg/yangon) / ที่พุกาม แนะนำ Bagan Star Hotel (www.baganstarhotel.com)

Special Activity : ขึ้นบอลลูนพุกามกับ Oriental Ballooning (www.orientalballooning.com) และ ล่องเรือแม่น้ำอิระวดีจากพุกาม-มัณฑะเลย์ หรือ พุกาม-ย่างกุ้ง ติดต่อ RV Paukan 2012 (www.paukan.com)

Cuisine : มาเที่ยวเมียนมาร์ทั้งที ถ้าไม่หม่ำอาหารพื้นบ้านแท้ๆ ก็น่าเสียดาย แนะนำ ‘โมฮิงกา’ หรือ ‘ม่งฮิงคา’ (ขนมจีนพม่า) นิยมกินเป็นอาหารเช้า อีกเมนูคือ ‘ข้าวซอยโต้ก’ หรือยำบะหมี่ เหมาะสำหรับคนชอบกินผักเยอะ

Souvenirs : ตุ๊กตาหุ่นเชิดพม่า, งานไม้แกะสลัก, เครื่องเงิน, พลอย, เครื่องเขิน, ผ้าทอ, ผ้าปักลาย, โสร่งพม่า

More info : www.visit-bagan.com และ www.go-myanmar.com

Top 10 Akita เสน่ห์ Tohoku Japan

1 Akita Snow 11.อะคิตะ ดินแดนแห่งหิมะขาว (Akita the Snow Country of Tohoku) อาบอิ่มด้วยความฉ่ำเย็นทางภาคเหนือ หรือภูมิภาคโทโฮขุ (Tohoku) ของแดนอาทิตย์อุทัย นั่งรถกระเช้าขึ้นไปบนสกีรีสอร์ท ชมวิว ถ่ายภาพ เล่นสกี เล่นสโนว์บอร์ด เก็บเกี่ยวควาทรงจำดีๆ เอาไว้ในใจตลอดไป หิมะขาวของ Akita จะโปรยปรายให้ชื่นชม ระหว่างปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนมีนาคม2 Akita Snow 2 3 Akita Snow 3 3.1 Akita Snow 3 4 Akita Snow 4 5 Akita Snow 5 6 Akita Snow 6 7 Akita Snow 7 8 Akita Snow 8 9 Tazawa Lake 12. ทะเลสาบทาซาวะ (Tazawa Lake) เมืองเซนโบขุ (Senboku) เป็นทะเลสาบลึกที่สุดของญี่ปุ่น คือลึกกว่า 420 เมตร ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นทะเลสาบในปากปล่องภูเขาไฟเก่าที่ดับสนิทแล้วนั่นเอง เราจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมในช่วงฤดูหนาวที่หิมะตกหนัก น้ำในทะเลสาบจึงไม่จับตัวเป็นน้ำแข็ง คงเพราะมีความร้อนจากใต้พิภพผุดขึ้นมาจากก้นทะเลสาบนั่นเอง

ทะเลสาบทาซาวะมีตำนานความรักของเจ้าหญิง Tatsuko กับ Hachiro อันอบอุ่น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมน้ำในทะเลสาบแห่งนี้จึงไม่เคยเป็นน้ำแข็งเลย! ลองไปสัมผัสเรื่องราวเหล่านี้ด้วยตัวเอง แล้วจะรู้สึกเลยถึงความโรแมนติก คลาสสิก เหมาะกับการถ่ายภาพ ชมวิวสวยๆ แสนประทับใจ10 Tazawa Lake 2 11 Tazawa Lake 3tsurunoyu13. สึรุโนะยุ ออนเซน (Tsurunoyu Secret Onsen) เมืองเซนโบขุ (Senboku) เป็น 1 ใน 8 ที่พักไสตล์ออนเซนเรียวกังของย่าน นิวโตะ (Nyuto Onsen) สึรุโนะยุ ออนเซน เป็นบ่อน้ำแร่ร้อนออนเซนอันลี้ลับกลางหุบเขาหนาวเย็น ซึ่งไดเมียวและเหล่าซามูไรเคยมาอาบแช่เมื่อหลายร้อยปีก่อน นับเป็นหนึ่งในออนเซนที่คนญี่ปุ่นทั้งประเทศต้องการมาอาบแช่สักครั้งในชีวิต เพราะน้ำสีนมเทอร์ควอยต์ของที่นี่อุดมด้วยแร่ธาตุมากมาย ได้อาบแช่แล้วสบาย ผ่อนคลายกายใจ ช่วยให้สุขภาพดีkuroyu kuroyu1 kyukamura4 magoroku1 taenoyu4 15 Tsurunoyu onsen 4 16 Hanabi 14.  เทศกาลดอกไม้ไฟ ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น (Omagari Firework Festival) ช่วงเสาร์สุดท้ายของเดือนสิงหาคมทุกปี ที่ เมืองโอมาการิ (Omagari City) ในจังหวัดอะคิตะ จะมีการจัดงานเทศกาลดอกไม้ไฟที่ยิ่งใหญ่อลังการที่สุดในญี่ปุ่น เพราะดินแดนโทโฮขุแถบนี้เป็นแหล่งผลิตดอกไม้ไฟอันมีชื่อเสียงมาแต่โบราณ งานนี้คนญี่ปุ่นเรียกว่า Hanabi Taikai เป็นช่วงซึ่งที่พักหายากมาก อาจต้องจองข้ามปีกันเลยทีเดียว

งานนี้เราจะได้ตื่นตาตื่นใจกับการแข่งขันจุดพลุและดอกไม้ไฟ จากสุดยอดช่างทำพลุของญี่ปุ่น ที่มาโชว์ฝีมือแข่งกันอย่างเต็มที่
17 Hanabi 2 18 Hanabi 3 19 Hanabi 4 20 Samurai Village 15. หมู่บ้านซามูไร คาคุโนดาเตะ (Kakunodate Samurai Village) ใน เมืองเซนโบขุ (Senboku) เป็นย่านซามูไรอันเก่าแก่ของญี่ปุ่นที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี ทำให้เราสัมผัสได้ถึงก้าวย่างสู่อดีตของญี่ปุ่นก่อนยุคเมจิ (ญี่ปุ่นสมัยใหม่) มีซามูไรกว่า 80 ตระกูล อาศัยทำการค้าขายอยู่ในแถบนี้ จึงมีเรื่องราวประวัติศาสตร์ให้เรียนรู้ ปัจจุบันมีบ้านซามูไร 6-8 หลัง เปิดให้เข้าชมทั้งภายนอกภายใน แถมยังมีร้านให้เช่าชุดกิโมโนและชุดซามูไร ใส่เดินเที่ยวถ่ายรูปได้ตลอดวัน สลับกับการนั่งพักดื่มชา หรือชิมอาหารอร่อยๆ ในย่านนี้ Happy จริงๆ เนอะ

หมู่บ้านซามูไรแห่งคาคุโนดาเตะ แบ่งเป็น 2 โซนใหญ่ๆ คือ โซนหมู่บ้านซามูไร (Samurai District) และโซนค้าขาย (Merchant District) สร้างมาตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1620 ใครที่โหยหาอดีตย้อนยุค มาเที่ยวที่นี่ไม่ผิดหวังแน่นอน โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ผลิ ดอกซากุระสีชมพูสองข้างถนนจะพร้อมใจกันเบ่งบานอลังการสุดๆ เลยล่ะ
21 Samurai Village 2 22 Samurai Village 3 23 Samurai Village 4 24 Samurai Village 5 25 Kanto Festival 16. เทศกาลโคมไฟ (Akita Kanto Festival) ถือเป็นเทศกาลโคมไฟที่ยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุดในญี่ปุ่น จัดกันที่จังหวัดอะคิตะในเมือง Akita City เป็นประจำทุกปีช่วงวันที่ 3-6 สิงหาคม โดยงานนี้ถือเป็น 1 ใน 6 เทศกาลใหญ่สุดของภูมิภาคโทโฮขุ จัดขึ้นเพื่อให้เกิดโชคดีสำหรับฤดูเก็บเกี่ยว โคมไฟแต่ละอันจะผูกติดอยู่กับก้านไม้ไผ่ยาวตั้งแต่ 2-6 เมตร! กวัดแกว่งไปมาอย่างพลิ้วไหวประดุจรวงข้าวต้องลม ผู้ถือโคมไฟจึงต้องมีทักษะความชำนาญในการ Balance หรือถืออย่างไรให้สมดุล โคมไฟไม่ตกลงมาซะก่อน
26 Kanto Festival 2 27 Kanto Festival 3 28 Kanto Festival 4 29 Namahake 17. อะคิตะ ดินแดนต้นกำเนิดนามาฮาเกะ (Namahake) เทพเจ้าหรือปีศาจแห่งขุนเขา ที่ออกมาหาผู้คนในช่วงปีใหม่ของญี่ปุ่น เพื่อคอยย้ำเตือนให้ผู้คนทำดี และในวันสิ้นปีนามาฮาเกะจะไปตามบ้านเพื่อหาเด็กขี้เกียจ! เอกลักษณ์ของตัวนามาฮาเกะนั้น จะสวมหน้ากากออกแนวน่ากลัว ห่มคลุมด้วยชุดฟางข้าว มือถือมีดอีโต้ขนาดใหญ่ นามาฮาเกะถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของจังหวัดอะคิตะ พบเห็นได้ทั่วไปทั้งในแบบรูปปั้น ภาพวาด ของที่ระลึก หรือแม้แต่ขนมกินเล่น นอกจากนี้ที่ เมืองโอกะ (Oga) ยังมีพิพิธภัณฑ์นามาฮาเกะ และศาลเจ้าต้นกำเนิดนามาฮาเกะ ให้ไปเที่ยวชมอีกด้วย

ทุกปีช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ จะมี งานเทศกาลนามาฮาเกะ เซนโด เป็นขบวนแห่นามาฮาเกะลงมาจากเขาหิมะอันน่าตื่นตาตื่นใจ (ปี 2017 งาน Namahake Sedo Festival จัดวันที่ 10-12 กุมภาพันธ์ ที่ศาลเจ้านามาฮาเกะ)30 Namahake 2 31 Namahake 3 32 Namahake 4 33 Sakura DIY 18. สนุกกับกิจกรรม นำเปลือกไม้ซากุระอันมีลวดลายสวยงาม มาประดิษฐ์ประดอยเป็นของที่ระลึกเก๋ไก๋น่ารัก (Sakura Bark Handmade Souvenir DIY) เป็นการนำเปลือกไม้จากต้นยามะซากุระ ซึ่งเติบโตอยู่บนภูเขาสูงและหายาก มาประดิษฐ์เป็นรูปทรงหรือตัวอักษรติดลงบนแผ่นไม้ จากนั้นรีดด้วยเหล็กร้อนจนเกิดกาวธรรมชาติ ผนึกเปลือกซากุระจนติดแน่น เก็บไว้ดูเป็นที่ระลึกเก๋ไก๋ ไปสนุกกันได้ที่ เมืองคาคุโนดาเตะ (Kakunodate) จ้า

ทั้งนี้งานศิลปะจากเปลือกไม้ซากุระ ถือเป็นหนึ่งในงานหัตศิลป์ที่คิดค้นขึ้นโดยเหล่าซามูไรในสมัยโบราณ เห็นไหมล่ะว่า ไม่ใช่แต่เก่งฟันดาบอย่างเดียวนะ ซามูไรยังต้องทำงานฝีมือ หรือแต่งกลอนเป็นด้วยล่ะ อย่างเมื่อมีเวลาว่า ซามูไรจะทำกล่องใส่ของไว้ใช้เอง เช่น กล่องอาหารเบนโตะ เป็นต้น
34 Sakura DIY 2 35 Sakura DIY 3 36 Sakura DIY 4 37 Soba Akita 19. อะคิตะ แหล่งผลิตเส้นโซบะสดและเส้นอูด้งแสนอร่อยของญี่ปุ่น (Yummy Soba & Udon) อะคิตะเป็นแหล่งผลิตเส้นโซบะและเส้นอูด้งที่ดีที่สุด 1 ใน 3 แห่งของญี่ปุ่น เนื้อเส้นเหนียวนุ่ม ละมุนลิ้น กินกับน้ำซุปร้อนๆ ช่วยให้ร่างกายอุ่นขึ้นท่ามกลางอากาศหนาวเย็น หาชิมได้ทั่วไปในร้านอาหารทั้งเล็กใหญ่จ้า38 Soba Akita 2 39 Sake Akita 110. อะคิตะ แหล่งผลิตเครื่องดื่มสาเกคุณภาพเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น (Unique Sake of Japan) ผลิตโดยใช้ข้าวพันธุ์ท้องถิ่น นำมาบ่มหมักด้วยกรรมวิธีแบบโบราณ และด้วยความที่อากาศแถบนี้หนาวเย็นยาวนาน ทำให้ยีสที่ใช้ในการผลิตสาเก บ่มหมักไปอย่างช้าๆ เครื่องดื่มสาเกที่ได้จึงมีรสไม่ขม ทว่านุ่มลื่น ออกหวานนิดๆ นับเป็นรสชาติเฉพาะตัวของสาเกอะคิตะเลยทีเดียว โรงงานเครื่องดื่มสาเกหลายแห่งเปิดให้เข้าชมด้วย นับเป็นการเปิดประสบการณ์ที่หาได้ยาก
40 Sake Akita 2 41 Sake Akita 3 42 Sake Akita 4More info Contact : ปารี เทรเวล www.pareetravel.com และ Facebook.com/pareetravel

ล่องเรือดูนก เกาะ Langkawi Malaysia

_kbi5433 _kbi5446 _kbi5493อัญมณีแห่งรัฐเคดาห์ (The Jewel of Kedah) คือฉายาที่ใครๆ ยกย่องให้ เกาะลังกาวี (Langkawi) ในมาเลเซีย เกาะเพื่อนบ้านไม่ใกล้ไม่ไกลจากน่านน้ำอันดามันของไทยในจังหวัดสตูล ลังกาวีนี้เป็นหมู่เกาะใหญ่ รวมแล้วกว่า 99 เกาะ รวมเนื้อที่ถึง 477 ตารางกิโลเมตร ปกคลุมด้วยป่าดิบชื้นและป่าชายเลนอุดมสมบูรณ์มาก _kbi5510ที่นี่คือแหล่งอาศัยของปักษากว่า 220 ชนิด โดยจะมีนกอพยพฤดูหนาวบินมาสมทบอีก 50 ชนิดทุกปี ช่วยเพิ่มมีชีวิตชีวา และกิจกรรมดูนกบนเกาะลังกาวีให้คึกคักตลอด ความง่ายของการสัมผัสธรรมชาติที่นี่คือ เราสามารถลงเรือยนต์ขนาดเล็กล่องไปตามป่าชายเลนร่มครึ้มเขียวขจี ค่อยๆ ซุ่มไปอย่างเงียบเชียบช้าๆ ใช้กล้องส่องทางไกลสังเกตการณ์ เฝ้าดูพฤติกรรมความน่ารักของนกป่าและนกชายเลนนานาชนิด เพื่อช่วยให้เราเกิดความรัก ความเข้าใจ และความหวงแหนในนิเวศน์ธรรมชาติอันแสนเปราะบางของโลกใบนี้ _lak0735 _lak1052 _lak1482 _lak9242 _kbi5486 _lak9247 _lak9391 _lak9433ระหว่างล่องเรือดูนกในป่าชายเลน เมื่อน้ำลด จะเห็นเหล่าปลาตีนโผล่จากรูออกมาคืบคลานหากิน_lak9459

ในป่าชายเลนเต็มไปด้วยความดิบเถื่อนของธรรมชาติ อย่างปูกับงูคู่นี้_lak9722 _lak9793 _lak9795 _lak9864เทือกเขาหินปูนรูปทรงแปลกตา ที่เกาะลังกาวี_lak9917พายเรือคายัคล่องสัมผัสธรรมชาติป่าชายเลน เกาะลังกาวี_lak9922 %e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b8%98%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%94%e0%b8%b2นกกระเต็นน้อยธรรมดา%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b9%88%e0%b8%98%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%94%e0%b8%b2นกกระเต็นใหญ่ธรรมดา
%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b9%88%e0%b8%9b%e0%b8%b5%e0%b8%81%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%95นอกจากเหยี่ยวแดง (Brahminy Kite) ที่ถือเป็นนกรับแขก และสัญลักษณ์ของเกาะลังกาวีแล้ว นกหายากสุด และในมาเลเซียพบได้เฉพาะที่เกาะลังกาวีเท่านั้น คือ นกกระเต็นใหญ่ปีกสีน้ำตาล (Brown-winged Kingfisher) ซึ่งอาศัยอยู่ตามริมน้ำในป่าชายเลน คอยดักจับปลาเล็กกินเป็นอาหาร %e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b9%81%e0%b8%81%e0%b9%87%e0%b8%81

นกแก็ก หรือ Oriental Pied Hornbill (ชนิดย่อย นกแก็กใต้)%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%88%e0%b8%b2%e0%b8%9a%e0%b8%84%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b8%9f%e0%b9%89%e0%b8%b2นกจาบคาหางสีฟ้า
%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%97%e0%b8%99%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b9%88นกยางโทนใหญ่%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%ab%e0%b8%b1%e0%b8%a7%e0%b8%82%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%adนกหัวขวานสี่นิ้วหลังทอง%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b8%9b%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94-%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%b5

เหยี่ยวแดง นกรับแขกของเกาะลังกาวี%e0%b8%a5%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b9%81%e0%b8%aa%e0%b8%a1

Getting There

– เครื่องบิน โดยสายการบิน Malaysia Airlines (www.malaysiaairlines.com) เส้นทางกรุงเทพฯ-กัวลาลัมเปอร์-ลังกาวี มีออกจากกรุงเทพฯ วันละ 3 เที่ยว เวลา 06.00, 11.05, 14.15 น.

– เรือ ลงเรือเฟร์รี่ได้ที่ท่าเรือตำมะลัง จังหวัดสตูล วิ่งตรงสู่เกาะลังกาวี ใช้เวลา 45 นาที ติดต่อ บริษัท Satun Inter Ferry โทร. 0-7421-0662, 08-6284-5552 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Tourism Malaysia สำนักงานกรุงเทพฯ โทร. 0-2636-3380 www.tourism.gov.my/th-th/th/

– ล่องเรือหรือเดินป่าดูนกที่ลังกาวี ติดต่อผู้เชี่ยวชาญ http://junglewalla.com

เกาะ Redang โอเอซิสแห่งท้องทะเลมาเลย์

redang-island-malaysia-2 redang-island-malaysia-3

เมื่อกล่าวถึงแหล่งท่องเที่ยวในมาเลเซีย เชื่อเหลือเกินว่าคนส่วนใหญ่จะนึกถึงแต่ธรรมชาติ ป่าเขา น้ำตก ถ้ำ อะไรทำนองนี้ ทว่าเมื่อพูดถึงท้องทะเลอันสวยงามของดินแดนเสือเหลืองล่ะก็ บอกได้เลยว่า ยังมีหมู่เกาะและท้องทะเลสีครามน้ำใสแจ๋ว ให้ไปสัมผัสอีกมากมาย ไปง่ายๆ แต่สวยจับใจคงต้องยกให้ เกาะเรดัง” (Redang Island) เกาะใหญ่ 1 ใน 9 ของเขตอนุรักษ์ทางทะเลรัฐตรังกานู ความงามเด่นของเรดังเริ่มขึ้นตั้งแต่แวบแรกที่เห็น เพราะหาดทรายหน้าเกาะขาวจั๊วะ สะท้อนแดดเจิดจ้า เวลาถอดรองเท้าลงไปเดินย่ำรู้สึกนุ่มนวลราวปุยแป้งละเอียด! น้ำทะเลก็ใสแจ๋วราวแก้วเจียระไน! เลยออกไปนิดนึงเป็นแนวโขดปะการังใต้น้ำ ที่มีฝูงปลา ปะการังหลากสี และซากเรือจม ให้ดำน้ำตื้นน้ำลึก ผจญภัยชื่นชมกันอย่างสนุกสนาน และยังมีรีสอร์ทเรียบหรูกลืนไปกับธรรมชาติบนเกาะให้พักค้างแรมกันด้วย

redang-island-malaysia-4 redang-island-malaysia-5 redang-island-malaysia-6อากาศดีที่สุด ท้องฟ้าปลอดโปร่ง คลื่นลมสงบ เหมาะแก่การออกเรือเที่ยวทะเลหรือดำน้ำ ที่หมู่เกาะเรดัง คือ เดือนมีนาคม-เมษายน อุณหภูมิประมาณ 30 องศาเซลเซียส ส่วนเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ เป็นฤดูมรสุม คลื่นลมแรง ฝนตกชุก รีสอร์ทบนเกาะเรดังจะปิดบริการ เพราะเรือหยุดวิ่งด้วย redang-island-malaysia-7 redang-island-malaysia-8 redang-island-malaysia-9 redang-island-malaysia-10 redang-island-malaysia-11 redang-island-malaysia-12 redang-island-malaysia-13 redang-island-malaysia-14 redang-island-malaysia-15 redang-island-malaysia-16หน้าเกาะเรดัง มีซากเรือจมให้ดำน้ำผจญภัยสำรวจโลกใต้ทะเลกันด้วย

DCIM101GOPROน้ำใสแจ๋ว แทบไม่มีตะกอนในน้ำ ทำให้แสงส่องลงไปสร้างความกระจ่างตาแก่แนวปะการังหน้าเกาะเรดัง

DCIM101GOPROดำน้ำสำรวจซากเรือจม หน้าเกาะเรดัง

DCIM101GOPRO

DCIM101GOPRO

DCIM101GOPRO

DCIM101GOPRO

DCIM101GOPRO

DCIM101GOPRO

DCIM101GOPRO

Getting There

– ไทย-กัวลาลัมเปอร์  ใช้เวลาประมาณ 1.58 ชั่วโมง แล้วเปลี่ยนเครื่องบินไปรัฐตรังกานู อีก 51 นาที แนะนำ Malaysian Airlines (www.malaysiaairlines.com) เพราะปัจจุบันยังไม่มีบินตรงไทย-รัฐตรังกานู

จากท่าเรือเมรัง (Merang) เมือง Kuala Terengganu ลงเรือเฟอร์รี่ต่อไปเกาะเรดัง ระยะทาง 45 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ค่าตั๋วเรือไปเที่ยวเดียว 40 ริงกิต / ไปกลับ 80 ริงกิต

redang-island-malaysia-26 redang-island-malaysia-27

มหัศจรรย์เขาหินปูน จางเจีย

_dsc1910

“จางเจียเจี้ยงามดั่งสวรรค์บนดิน ที่นี่คือดินแดนแห่งธรรมชาติพิสุทธิ์ ในมณฑลหูหนาน (Hunan) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่ เพราะ จางเจียเจี้ย(Zhangjiajie) งามด้วยทิวทัศน์ขุนเขาแปลกตา จึงได้รับคัดเลือกให้เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังดังเรื่อง “อวตาร” (Avatar) มีเขาหินปูน ถ้ำ ทะเลสาบบนภูเขา ป่าดึกดำบรรพ์ ฯลฯ สมกับที่จีนเลือกให้จางเจียเจี้ยเป็นแหล่งท่องเที่ยวดีที่สุดระดับ AAAAA จนกลายเป็นมรดกโลกของ UNESCO เมื่อ ค.ศ. 1992

_dsc1934 _dsc1942 _dsc2020_dsc2058%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b8%9b%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94-%e0%b8%88%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b8%b5%e0%b9%89%e0%b8%a2-2 %e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b8%9b%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94-%e0%b8%88%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b8%b5%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b8%b5%e0%b9%89%e0%b8%a2-1_dsc2071 _dsc2089 _dsc2099 _dsc2124 _dsc2140 _dsc2221 _dsc2233 _dsc2287 _dsc2316 _dsc2331 _dsc2357 _dsc2383 _dsc2391 sky-bridge %e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%8a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%94%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b9%82%e0%b8%a5%e0%b8%81-1การไปเที่ยวประตูสวรรค์เทียนเหมินซาน เราจะได้นั่งกระเช้าลอยฟ้าที่ยาวที่สุดในโลก คือยาวถึง 7.5 กิโลเมตร สูงจากพื้นดิน 1,279 เมตร ใช้เวลานั่งนานกว่า 35 นาที! %e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%8a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%94%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b9%82%e0%b8%a5%e0%b8%81-2 %e0%b8%96%e0%b8%99%e0%b8%99-99-%e0%b9%82%e0%b8%84%e0%b9%89%e0%b8%87-1 %e0%b8%96%e0%b8%99%e0%b8%99-99-%e0%b9%82%e0%b8%84%e0%b9%89%e0%b8%87-2 %e0%b8%96%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87-1ถ้ำมังกรเหลือง” ภายในยาวถึง 30 กิโลเมตร! %e0%b8%96%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87-2 %e0%b8%96%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87-3 %e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%95%e0%b8%b9%e0%b8%aa%e0%b8%a7%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b9%8c-%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%8bที่จางเจียเจี้ยเราจะได้สัมผัส เทียนเหมินซาน” ถ้ำประตูสวรรค์ที่มีปากถ้ำสูงถึง 131.5 เมตร %e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%95%e0%b8%b9%e0%b8%aa%e0%b8%a7%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b9%8c%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%8b %e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%99-10-%e0%b8%a5%e0%b8%b5%e0%b9%89-1นั่งรถไฟชม ภาพเขียนสิบลี้ ซึ่งแท้จริงคือแท่งหินปูนยักษ์กว่า 200 แท่ง ยาวต่อกันเป็นพืด ให้เราจินตนาการไปเป็นรูปต่างๆ %e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%99-10-%e0%b8%a5%e0%b8%b5%e0%b9%89-2 %e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%99-10-%e0%b8%a5%e0%b8%b5%e0%b9%89-3 %e0%b8%a5%e0%b8%b4%e0%b8%9f%e0%b8%97%e0%b9%8c%e0%b9%81%e0%b8%81%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b9%84%e0%b8%9b%e0%b9%88%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%87สุดยอดของจางเจีเจี้ยคือ ภูเขาอวตาร (เขาเขาเทียนจื่อ) ที่ต้องนั่งลิฟท์แก้วไป่หลง สูง 326 เมตรขึ้นไปชม รวมทั้งยังมีสะพานแก้วใส Sky Bridge ที่ยื่นล้ำออกไปในอากาศจากหน้าผาอย่างน่าหวาดเสียว คำว่า มหัศจรรย์จึงยังน้อยไปสำหรับสถานที่นี้!_dsc0611 _dsc0818 _dsc0866 _dsc0888 _dsc2935 _dsc2944

Getting There

– จากสนามบินดอนเมือง-เมืองฉางซา (Changsha) เมืองเอกของมณฑลหูหนาน บินตรงด้วย Air Asia (www.airasia.com) แล้วนั่งรถยนต์ประมาณ 4 ชั่วโมง สู่จางเจีเจี้ย

– สอบถามเพิ่มเติมที่ Ansun International Travel Service โทร. 0-2168-1188, 0-2168-1388 (www.ansuntravel.com) หรือที่ www.zhangjiajietourism.us

จากนครพนม-เวียดนาม Beauty of the Far East

%e0%b8%aa%e0%b8%b0%e0%b8%9e%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e-%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%9e%e0%b8%99%e0%b8%a1-1

สำหรับเส้นทางท่องเที่ยวจากไทยสู่อาเซียนด้านทิศตะวันออก คงจะไม่มีเส้นทางไหนฮิตเกินจาก จังหวัดนครพนม-ลาว-เวียดนามกลาง เพราะเป็นเสมือน ‘ประตูสู่อาเซียนแห่งใหม่’ หลังจากสะพานมิตรภาพไทย-ลาว 3 เปิดใช้ ก็ช่วยให้คนสามประเทศนี้ไปมาหาสู่กันสะดวกยิ่งขึ้น %e0%b8%aa%e0%b8%b0%e0%b8%9e%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e-%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%9e%e0%b8%99%e0%b8%a1-2

เส้นทางเชื่อมโยง 3 ประเทศนี้มีศักภาพสูงมาก อุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติหลากหลาย แต่ที่พิเศษจริงๆ คือระยะทางยาวเพียง 367 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางขาไปแค่ 1 วันเท่านั้น เริ่มจากจังหวัดนครพนม ขับรถข้ามแม่น้ำโขงโดยสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 เข้าสู่เมืองท่าแขก แขวงคำม่วนของลาว แล้วเข้าสู่เวียดนามทางด่านน้ำพาว-กาวแจว ไปเมืองวินห์ เมืองฮาติงห์ เมืองดงเหย จากนั้นกลับเข้าไทยทางด่านนครพนม หรือมุกดาหารก็ได้ตามสะดวก %e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b9%88%e0%b8%ad-lao-1

การขับรถเที่ยวบนเส้นทางนี้ไม่ลำบากแล้ว เพราะถนนดี อีกทั้งไม่ต้องทำวีซ่า ถนนช่วงแรกจากนครพนมเข้าลาวจะลัดเลาะไปตามภูเขาเตี้ยๆ มีป่าไม้และเรือกสวนไร่นาเขียวชอุ่ม ไฮไลท์อยู่ที่ ‘เขาหนามหน่อ’ เขตอนุรักษ์ธรรมชาติซึ่งเด่นด้วยเทือกเขาหินปูนยอดแหลมตะปุ่มตะป่ำนับแสนๆ ยอด ต่อเนื่องเข้าไปจนถึงเวียดนาม โดยมีจุดแวะพักริมทาง ให้เราได้จอดรถชมวิวถ่ายภาพกันอย่างเต็มอิ่ม%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%ae%e0%b8%b2%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%87-2

เมื่อข้ามแดนจากลาวเข้าเวียดนาม เราจะได้สัมผัส 3 เมืองหลักในภาคกลางค่อนไปทางภาคใต้ คือ เมืองวินห์ (Vinh) เมืองฮาติงห์ (Ha Tinh) และ เมืองดงเหย (Dong Hoi) โดยสองเมืองแรกอยู่ในจังหวัดแหงะอาน และเมืองสุดท้ายอยู่ในจังหวัดกวางบิงห์ อันเป็นที่หมายตาของนักแบกเป้เที่ยว ที่ต้องการชื่นชมความบริสุทธิ์ของชายทะเลตะวันออกเวียดนาม%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%b8%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b9%8c%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%ae-%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a7%e0%b8%b4

เมืองวินห์ เมืองหลวงของจังหวัดแหงะอาน (Nghe An Province) ได้ฉายาว่าเป็น ‘ประตูสู่ภาคใต้ของเวียดนาม’ สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญคือ ‘จัตุรัสโฮจิมินห์’ ซึ่งมีอนุสาวรีย์ของลุงโฮ หรือประธานาธิบดีคนแรกของเวียดนาม สูงถึง 18 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่ เพราะเมืองวินห์คือบ้านเกิดของท่าน โดยท่านเป็นผู้นำเวียดนามทวงคืนเอกราชจากฝรั่งเศสได้สำเร็จ และเมื่อขับรถออกไปนอกเมืองที่ ‘หมู่บ้านฮว่างจู่ ก็จะได้เยี่ยมชมบ้านเกิดจริงๆ ของท่านโฮจิมินห์ด้วย

%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%b8%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b9%8c%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%ae-%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a7%e0%b8%b4 %e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%ae-1 %e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%ae-2%e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%97%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b7%e0%b9%8b%e0%b8%ad%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%ad-2

จากตัวเมืองวินห์นั่งรถออกไปแค่ 16 กิโลเมตร ก็ถึง ‘ชายหาดเกื๋อหล่อ’ ชายทะเลสวยที่สุดของเวียดนามกลาง หาดทรายที่นี่สงบ มีทิวมะพร้าวโอนเอน พร้อมด้วยร้านอาหารให้นั่งชิล %e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%97%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b7%e0%b9%8b%e0%b8%ad%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%ad-1%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%ae%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b9%8a%e0%b8%81-3

จากชายหาดเกื๋อหล่อขับรถไปอีกไม่ไกลก็จะถึง ‘วัดเฮืองติ๊ก’ วัดที่คนเวียดนามนิยมไปไหว้เจ้าแม่กวนอิม ทว่าการจะไปถึงวัดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย (แต่ก็คุ้มค่า) เพราะต้องนั่งเรือข้ามทะเลสาบ แล้วเดินป่า 2 กิโลเมตร เพื่อจะไปขึ้นกระเช้าสู่ยอดเขา แล้วเดินต่ออีก 500 เมตร จนถึงที่ตั้งของวัด %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%ae%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b9%8a%e0%b8%81-4 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%ae%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b9%8a%e0%b8%81-5%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%ae%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b9%8a%e0%b8%81-1 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%ae%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b9%8a%e0%b8%81-2%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b9%81%e0%b8%a2%e0%b8%81%e0%b8%94%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%81-1

เมื่อขับรถเลียบทะเลลงมาทางทิศใต้เรื่อยๆ เราก็มาถึง ‘เมืองฮาติงห์’ เมืองท่าที่สวยงามอีกแห่ง ซึ่งยังคงมีอาคารยุคโคโลเนียลให้ชม คือบ้านมักสร้างเป็นทรงหน้าจั่ว และมีหอระฆังโบสถ์ยอดแหลมแบบโกธิค แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของฮาติงห์ คือ ‘สามแยกด่งหลก’ แหล่งประวัติศาสตร์ยุคสงครามเวียดนาม เพราะจุดนี้เป็นช่องเขาสำคัญ ที่ทหารเวียดมินห์ใช้ขนยุทธปัจจัยไปสู่กับทหารอเมริกันผู้รุกราน เครื่องบินอเมริกันจึงทิ้งระเบิดสามแยกด่งหลกเป็นว่าเล่น จนเกิดวีรกรรม 10 ทหารหญิงผู้พลีชีพอันโด่งดัง %e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b9%81%e0%b8%a2%e0%b8%81%e0%b8%94%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%81-2 %e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b9%81%e0%b8%a2%e0%b8%81%e0%b8%94%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%81-3 %e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b9%81%e0%b8%a2%e0%b8%81%e0%b8%94%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%81-4%e0%b8%94%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a2-4

จากเมืองฮาติงห์ ขับรถเลียบชายทะเลตะวันออกเวียดนาม จนมาถึง ‘เมืองดงเหย’ (Dong Hoi) เขตอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึกใหม่ ทว่าก็ยังมีท่าเรือและตลาดปลาแบบบ้านๆ ให้เราเดินชมกันอย่างสนุก ยามที่มีเรือประมงเทียบท่า จะเห็นแม่ค้ารีบวิ่งกรูเข้าไปประมูลซื้อกุ้งหอยปูปลาแข่งกัน สะท้อนถึงความอุดมของทะเลเวียดนาม %e0%b8%94%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a2-5%e0%b8%94%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a2-1 %e0%b8%94%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a2-2%e0%b8%94%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a2-6 %e0%b8%94%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a2-7%e0%b8%96%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%9f%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%8d%e0%b8%b2-5

และเมื่อเที่ยวในตัวเมืองจนอิ่มแล้ว ก็ต้องไปสัมผัส ‘ถ้ำฟองญา’ ถ้ำน้ำลอดที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก จนได้เป็นมรดกโลกไปเรียบร้อยแล้ว การเที่ยวถ้ำนี้ต้องนั่งเรือเข้าไป ภายในประกอบด้วยโถงถ้ำและหินงอกหินย้อยขนาดยักษ์นับไม่ถ้วน จนเราแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง! %e0%b8%96%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%9f%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%8d%e0%b8%b2-6%e0%b8%96%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%9f%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%8d%e0%b8%b2-1 %e0%b8%96%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%9f%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%8d%e0%b8%b2-2 %e0%b8%96%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%9f%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%8d%e0%b8%b2-3 %e0%b8%96%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%9f%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%8d%e0%b8%b2-4

เส้นทางนี้ถ้าเที่ยวให้สนุกแบบไม่รีบ ควรใช้เวลา 4-5 วัน คุณจะได้ค้นพบความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ และชีวิตผู้คน บนถนนสายอาเซียนตะวันออก ที่ยังคงความบริสุทธิ์มากจริงๆ

จากสงขลา ถึงเคดาห์ Charming of the South

%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%94%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b9%88-2

คาบสมุทรมลายู คือดินแดนที่เต็มไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประเพณี โดยภาคใต้ของไทยก็คือส่วนหนึ่งของคาบสมุทรมลายู ต่อเนื่องเข้าไปในประเทศมาเลเซีย ผู้คนสองประเทศนี้มีการเดินทางติดต่อค้าขายฉันท์พี่น้อง สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%94%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b9%88-1

จังหวัดสงขลา คือเมืองใหญ่ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ศูนย์กลางของภาคใต้ปลายด้ามขวานทอง’ เพราะเป็นเมืองเศรษฐกิจ คึกคักด้วยการค้าขาย และตัวเมืองใหญ่ที่คนมาเลเซียก็ยังนิยมเข้ามาช้อปปิ้งกันทุกๆ สุดสัปดาห์ นอกจากนี้สงขลายังมีด่านชายแดนถาวรถึง 3 แห่ง เชื่อมพรมแดนสองประเทศ คือ ด่านสะเดา อำเภอสะเดา ติดต่อกับด่านบูกิตกายูฮิตัมห์ รัฐเคดาห์, ด่านบ้านประกอบ อำเภอนาทวี ติดต่อกับด่านบ้านดูเรียนบูรง อำเภอปาดังเตอร์รับ รัฐเคดาห์ และสุดท้าย ด่านปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา ติดต่อกับด่านปาดังเบซาร์ รัฐเปอร์ลิส นักท่องเที่ยวไทยที่มีเวลาน้อย สามารถข้ามไปช้อปปิ้งในร้าน Duty Free แต่ถ้าคุณเวลาเยอะ เราขอแนะนำให้พาตัวและหัวใจเข้าไปสัมผัสมาเลเซียให้ลึกซึ้ง แล้วคุณจะหลงรักประเทศนี้

%e0%b8%95%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b8%94%e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b9%81%e0%b8%94%e0%b8%99-%e0%b8%aa%e0%b8%87%e0%b8%82%e0%b8%a5%e0%b8%b2dsc_0006

ทริปนี้เราเข้ามาเลเซียทางด่านอำเภอสะเดา กล่าวคำทักทาย “ซาลามัต ดาตัง” กับ รัฐเคดะห์ (Kedah) รัฐใหญ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือสุด ซึ่งจริงๆ แล้วติดต่อกับทั้งจังหวัดสงขลาและยะลาของไทย เคดาห์มีชื่อเดิมว่า ‘ดารุลอามัน’ แปลว่า ‘ถิ่นที่อยู่แห่งสันติภาพ’ ก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 ดินแดนนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ทว่าเมื่ออังกฤษเข้ามาล่าอาณานิคม เราก็ต้องเสียรัฐเคดาห์ (หรือรัฐไทรบุรี) ไป รัฐนี้เป็นที่ราบซึ่งใช้ปลูกข้าวได้ดี จนอาจกล่าวได้ว่า ‘เคดาห์คืออู่ข้าวอู่น้ำของมาเลเซีย’ เลยทีเดียว dsc_0033%e0%b9%80%e0%b8%84%e0%b8%94%e0%b8%b0%e0%b8%ab%e0%b9%8c-life-4 %e0%b9%80%e0%b8%84%e0%b8%94%e0%b8%b0%e0%b8%ab%e0%b9%8c-life-1 %e0%b9%80%e0%b8%84%e0%b8%94%e0%b8%b0%e0%b8%ab%e0%b9%8c-life-2 %e0%b9%80%e0%b8%84%e0%b8%94%e0%b8%b0%e0%b8%ab%e0%b9%8c-life-3 dsc_233 dsc_516 dsc_250

นอกจากความสงบงามของทุ่งนาป่าเขาที่เราจะได้ชมแล้ว หมู่บ้านตามชนบทห่างไกล ของเคดาห์ก็ยังมีวิถีชีวิตแบบมาเลย์แท้ๆ ให้สัมผัสนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหารการกิน หรือเรือนปั้นหยามาเลย์ที่มุงหลังคากระเบื้องว่าว และเก็บรักษาข้าวของเก่าแก่ไว้มากมาย โดยเฉพาะในชุมชนชาวไทยสัญชาติมาเลเซียที่อยู่ในรัฐนี้มาตั้งแต่ยุครัชกาลที่ 5 กว่า 80,000 คน เราสามารถเข้าไปเที่ยวชมได้ที่อำเภอเปินดังและอำเภอกัวลามูดา จะได้สัมผัสซึ้งถึงวิถีความเป็นไทยแท้ๆ บนแผ่นดินอื่น โดยเฉพาะในแง่พุทธศาสนา ที่ชาวไทยในมาเลเซียยังยึดมั่นเหนียวแน่น น่าชื่นชมมาก %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%84%e0%b8%97%e0%b8%a2-%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%84%e0%b8%94%e0%b8%b0%e0%b8%ab%e0%b9%8c dsc_158balai-bezar-%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b9%88%e0%b8%b2

แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอื่นๆ ของรัฐเคดาห์ คือ พระราชวังบาไลเบอซาร์ (Balai Besar) สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1735 โดยสุลต่านโมฮาหมัด ยิวา (Mohamad Jiwa) สุลต่านองค์ที่ 19 ของรัฐเคดาห์ ด้วยแรงบันดาลใจที่เคยไปเยือนเมืองปาเลมบังบนเกาะสุมาตรา วังนี้สร้างขึ้นอย่างประณีตด้วยเสา หลังคา และปูพื้นด้วยไม้ แต่โชคไม่ดีเคยถูกเพลิงเผาทำลาย ทว่าได้รับการบูรณะขึ้นใหม่เพื่อใช้สำหรับการเข้าเฝ้า งานราชาภิเษก งานแต่งงาน และราชพิธีของสุลต่ารัฐเคดาห์%e0%b8%ab%e0%b8%ad%e0%b8%84%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b8%ad%e0%b8%a5%e0%b8%ad%e0%b8%aa%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%8c

อีกที่ซึ่งห้ามพลาดชม คือ ‘หอคอยอลอร์สตาร์’ (Alor Setar Tower) หอคอยสูง 165.5 เมตร ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นหอคอยโทรคมนาคมสื่อสารสูงอันดับ 19 ของโลก เราสามารถขึ้นลิฟท์ไปได้ บนชั้นชมวิว ความสูง 88 เมตร พร้อมด้วยห้องอาหาร ห้องประชุม ที่มองออกไปเห็นวิวพาโนรามากว้างไกล สุดลูกหูลูกตา เห็นตัวเมือง มัสยิด แม่น้ำ ถนนหนทาง รวมถึงถึงภูเขาที่ผุดขึ้นบนที่ราบเขียวขจีdsc_836 dsc_838 dsc_840 dsc_845 dsc_849

ที่กล่าวมาล้วนเป็นเพียงส่วนน้อยในความน่าสนใจของรัฐเคดาห์ อัญมณีเม็ดงามแห่งมาเลเซีย ซึ่งพร้อมต้อนรับคุณอยู่แล้วในวันนี้

ล้านใบไม้เปลี่ยนสีที่ Kyoto

%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-1

“ในสายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วง ใบหญ้าโดดเดี่ยว สั่นสะท้าน… ใบไม้ร่วง ร่วงหล่นล่องลอยมาจากที่ใด ฤดูใบไม้ร่วงได้สิ้นสุดลงแล้ว” บทกวีไฮกุโบราณของญี่ปุ่นพรรณนาถึงบรรยากาศและอารมณ์อันหลากหลาย ของฤดูใบไม้ร่วงที่เปี่ยมด้วยสีสัน เมื่อลมหนาวพัดโชย อากาศเยือกเย็นลง และหิมะขาวใกล้โปรยปราย เมื่อนั้นใบไม้ทั่วแดนอาทิตย์อุทัยก็เริ่มผลัดใบกลายเป็นสีเหลือง แดง ส้ม ก่อนที่จะร่วงโรยปลิดปลิวลงจากต้น รอวันให้หิมะขาวโปรยมาทักทาย หมุนเวียนเช่นนี้ทุกปี ดินแดนจึงเปี่ยมเสน่ห์ไม่ต่างจากสวรรค์บนพื้นพิภพ %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-2

ทุกปีในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน หรือธันวาคม แล้วแต่สภาพอากาศ ก่อนที่ฤดูหนาวจะมาถึง ญี่ปุ่นจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง โดยปกติใบไม้จะเริ่มผลัดใบเปลี่ยนสีมาจากภาคเหนือก่อน แล้วค่อยๆ ไล่ลงสู่ภาคใต้ ยามที่ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดง ปรากฏการณ์นี้ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “โมะมิจิ” หรือ “โคโย” นอกจากจะเป็นห้วงเวลาที่มากด้วยลีลาของสีสันแล้ว ยังกลายเป็นฤดูท่องเที่ยวคึกคักสุดๆ เลยล่ะ %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-3ทริปนี้ผมให้รางวัลตัวเอง ด้วยการบินไปไกลถึง “เกียวโต” (Kyoto) หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า “เคียวโตะ” เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นที่ได้รับการประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลก เมื่อไปสัมผัสเกียวโตด้วยตัวเองจึงรู้สึกได้ทันทีถึงความขลัง เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในยุคซามูไรและโชกุน เห็นสาวๆ หน้าใสใส่ชุดกิโมโนเดินไปมาตามท้องถนน แต่งตัวกันน่ารักคิกคุอาโนเน๊ะ แต่หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เกียวโตเกือบโดนทิ้งระเบิดปรมาณูโดยสหรัฐฯ มาแล้ว! ทว่าโชคดี ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีทรูแมนเคยมาฮันนีมูนที่เกียวโต เคยเห็นถึงความสวยงาม และคุณค่าทางประวัติศาสต์ ศิลปวัฒนธรรมของนครโบราณนี้ จึงไปทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองนางาซากิแทน! มิฉะนั้นเราก็คงจะไม่มีเมืองใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆ อย่างเกียวโต ไว้ให้ไปเที่ยวชมกันแล้วล่ะ

%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-4

การเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีในเกียวโตเป็นเรื่องง่ายดาย เพียงเลือกไปชมที่วัดใดวัดหนึ่งซึ่งมีสวนสวยๆ ล้อมรอบอาณาบริเวณ เท่านี้ก็จะได้ตื่นตากับภาพผืนพรมใบไม้สีสวยแล้วล่ะ โดยเฉพาะวัดใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียง อย่างเช่น วัดคินคาคูจิ วัดคิโยะมิสุ และวัดเรียวอันจิ ที่ว่ามาล้วนอลังการด้วยต้นเมเปิลและต้นกิงโกะสีสด แบบที่เห็นแล้วต้องตกตะลึงพรึงเพริดกันเลยทีเดียว! %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-5

วัดแรกที่ผมไปเยือนคือ “วัดทอง” (Golden Pavilion) วัดที่มีชื่อเสียงสุดของเกียวโต หรือในอีกชื่อว่า “วัดคินคาคูจิ” (Kinkakuji Temple หรือ วัดโรคูออนจิ : Rokuon-ji Temple) ถ้าใครเคยดูการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง “เณรน้อยเจ้าปัญญา อิคคิวซัง” คงพอจะจำได้ถึงภาพพระราชวังสีทองตั้งอยู่ริมสระน้ำใหญ่ บนยอดปราสาทมีนกสีทองตั้งเด่นเป็นสง่า และเป็นที่ประทับของโชกุนโยชิมิตสุ (Yoshimitsu) นั่นล่ะวัดทองซึ่งมีตัวตนอยู่จริง เมื่อแรกสร้างไม่ใช่วัด แต่เป็นปราสาทที่โชกุนประทับ เพื่อบริหารราชการและใช้พบปะข้าวราชการ กระทั่งโชกุนโยชิมิตสุสิ้นพระชนม์ เมื่อ ค.ศ.1408 ปราสาทแห่งนี้จึงได้เปลี่ยนสถานะกลายเป็นวัดนิกายเซน (Zen) ตามที่ท่านโชกุนมีดำริไว้

วัดคินคาคูจิที่เห็นในวันนี้งามสง่าราวเทพเทวานฤมิตร ตัวปราสาทสีทองสามชั้นเมื่อต้องแสงอาทิตย์ พลันสะท้อนแดดส่องประกายสีทองอร่ามเรืองรอง เงาของมันสะท้อนลงไปในทะเลสาบกว้างเบื้องหน้า เกิดเป็นเงาเสมือนจริงล้อกันอย่างน่าชม ยามนี้แมกไม้นานาพันธุ์โดยรอบกำลังผลิใบเปลี่ยนสีรับฤดูหนาว จึงมีพุ่มไม้เมเปิลและกิงโกะสีแดง สีส้ม สีเหลือง เข้มบ้างอ่อนบ้าง สอดแซมสลับอยู่ตามพุ่มสนเขียวสด เป็นจังหวะจะโคนลงตัว คล้ายภาพวาดของศิลปินเอกระดับโลกก็ไม่ปาน %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-6%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-7จุดชมวิวสวยที่สุดของวัดคินคาคูจิอยู่ตรงด้านหน้าใกล้ทางเข้า บริเวณริมทะเลสาบจำลองนั่นล่ะ ในทะเลสาบมีปลาคาปหลากสีแหวกว่าย ร่วมกับเป็ดแมนดารินฝูงหนึ่งที่ว่ายน้ำอวดโฉม แต่ถ้าจะให้ดี ต้องเดินอ้อมไปด้านหลังตัวปราสาทด้วย จะมีดงต้นเมเปิลผลัดใบสีเหลืองสีแดงฉาน หยุดทุกสายตาไว้ตรงนั้น ในขณะเดียวกันเราก็ต้องไม่ลืมที่จะพิจารณารายละเอียดอันแสนวิจิตพิสดารของปราสาทสีทองด้วย เพราะนอกจากจะสร้างด้วยไม้ทั้งหลังแล้ว ชั้นสองและสามยังบุด้วยแผ่นทองแท้อันประเมินค่ามิได้! เชื่อหรือไม่ว่าปราสาททองแห่งนี้เคยถูกไฟไหม้พินาศสิ้นเมื่อ ค.ศ.1950 แต่ก็ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว จนเสร็จสมบูรณ์ใกล้เคียงของเก่าเมื่อ ค.ศ.1955 กลายเป็นมรดกมรดกโลกมาจนทุกวันนี้  %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-8 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-9

เส้นทางนำเราเดินวนขึ้นไปด้านหลังปราสาทผ่านป่าเมเปิลที่กำลังอวดสีสัดสุดอลังการ จนถึงกระท่อมน้อยหลังหนึ่ง มุงหลังคาด้วยหญ้าแบบโบราณ จุดนี้ใช้เป็นสถานที่นั่งดื่มน้ำชาของท่านโชกุน กับซามูไร เรียกว่า “เซกกะเตอิ” (Sekkatei Tea House) ซึ่งแปลว่า “กระท่อมงามยามบ่าย” เพราะจากจุดนี้เมื่อมองกลับไปยังปราสาททองในยามบ่ายแล้ว แสงจะทำมุมสวยที่สุด น่าอิจฉาท่านโชกุนจริงๆ %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-10 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-11 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-12 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-13 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-14 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-15%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-1

จากวัดทองที่มีผู้คนคลาคล่ำ ผมเที่ยวเตร็ดเตร่ไปจนถึง วัดเรียวอันจิ” (Ryoanji Temple) หรือที่เรียกกันให้จำง่ายว่า “วัดสวนเซน” (Zen Garden Temple) หรือ “วัดสวนหิน” (Rock Garden Temple) ผมรักวัดนี้มาก เพราะสงบ ร่มรื่น คนน้อย เดินเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีได้สบาย ไม่ต้องเร่งร้อน ตลอดทางเดินเข้าสู่ตัววัด รวมถึงภายในวัด และสวนด้านหลัง ล้วนอุดมด้วยป่าเมเปิลหลากสายพันธุ์ ที่พากันผลัดใบอวดสีงดงามสุดขีด จริงๆ แล้วเมเปิลมีทั้งชนิดใบสามแฉก ห้าแฉก และใบเจ็ดแฉก บางชนิดต้นใหญ่ บางชนิดต้นเล็ก บางสายพันธุ์ผลัดใบเป็นสีเหลืองสด แต่บางพันธุ์ก็ผลัดใบเป็นสีแดงเข้มปรี๊ดจนแทบไม่เชื่อสายตา! ยามสายที่แดดส่องลงมาในแนวเฉียง ต้องใบเมเปิลเหล่านี้ สีของพวกมันจึงเจิดกระจ่างขึ้นจนเห็นทุกรายละเอียดเส้นใบ รวมถึงประกายสีเจิดจ้า หรือแม้แต่ในยามที่พวกมันต้องลม สั่นระริกเป็นจังหวะพลิ้วไหวไปมาพร้อมกัน ก็ไมต่างจากโอเปร่าแห่งสีสัน ที่ฉันได้บันทึกภาพนั้นไว้ในก้นบึ้งของหัวใจเรียบร้อยแล้ว %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-2 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-3

จุดเด่นของวัดเรียวอันจิอยู่ที่ใจกลางวัด ซึ่งมีการจัดเป็น สวนหิน หรือสวนเซน ที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยสวนแห่งนี้ยาว 25 เมตร กว้างเพียง 10 เมตร ทอดตัวจากทิศตะวันออก-ตะวันตก และมีแนวกำแพงโบราณขนาบอยู่ด้านหนึ่ง สวนหินโรยหน้าพื้นดินด้วยกรวดสีขาว และมีหินขนาดต่างๆ กัน 15 ก้อน ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่จัดวางอย่างจงใจ บนพื้นกรวดมีการใช้คราดกวาดไปเป็นริ้วลายต่างๆ คล้ายคลื่น และเส้นสายให้เกิดจังหวะพื้นผิวน่ามอง โดยรวมมีนัยทางธรรมสะท้อนถึงความสงบ สมาธิ และการหลุดพ้น ตามแนวคิดของพุทธนิกายเซน ซึ่งเน้นให้ตัวเรากลับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และเข้าสู่สภาวะธรรม หรือบรรลุธรรมอย่างฉับพลัน การชมสวนหินแห่งนี้ห้ามลงไปเดินย่ำเด็ดขาด เขาจัดพื้นที่ระเบียงไม้ด้านหนึ่งไว้ให้นั่งชมอย่างสงบ หรือบางคนก็มาทำสมาธิชำระจิตกันที่นี่ด้วยนะ %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-4 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-5 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-6 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-7 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-8 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-9%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-1

บ่ายแก่ของวันนั้น ผมนั่งรถแท็กซี่ต่อไปชมใบไม้เปลี่ยนสีในวัดที่โด่งดังที่สุดอีกแห่งของเกียวโต คือ วัดคิโยะมิสุ (Kiyomizu Temple) หรือ วัดคิโยมิสุ-เดระ (Kiyomizu-dera) หรือที่คนไทยรู้จักในนาม “วัดน้ำใส” เหตุที่ชื่อวัดน้ำใสก็เพราะมีธารน้ำใสสะอาดจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ไหลผ่านวัดนั่นเอง วัดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกเรียบร้อยแล้ว ความโดดเด่นอยู่ที่ตัววัดซึ่งสร้างด้วยไม้ มี 9 อาคาร แต่ที่เจ๋งสุดคืออาคารหลักขนาดมหึมาสร้างยื่นออกไปจากหน้าผา โดยใช้เสาไม้ซุงยักษ์สูงถึง 13 เมตร หลายสิบต้น ค้ำยันตัวอาคารไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ประกอบกับรอบๆ มีป่าเมเปิลสีแดงฉานพื้นที่กว้างใหญ่ ผลัดใบปกคลุมหุบเขาและเนินเขาโดยรอบ ทำให้ภูมิทัศน์ของวัดน้ำใสกลายเป็นสวรรค์ของคนรักธรรมชาติ อย่างไม่กล้าปฏิเสธ วัดนี้มีคนเดินทางมาสักการะนับหมื่นคนทุกวัน โดยเฉพาะสาวๆ ที่นิยมสวมชุดกิโมโนสีสวย หลากลวดลายมาเดินอวดกัน ยิ่งเพิ่มเติมสีสันวันใบไม้เปลี่ยนสีให้ดูสดชื่นขึ้นอีก สาวคนไหนอยากแต่งกิโมโน แต่ไม่มี ก็ไม่ต้องกลัว เพราะก่อนทางขึ้นวัดมีร้านให้เช่าชุดกิโมโนเพียบ แปลงโฉมให้เหมือนสาวเจแปนได้ไม่ยาก %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-2 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-3 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-4 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-5 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-6 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-7

จากอาคารหลักของวัด มีทางเดินเลียบภูเขาวนไปอีกด้านหนึ่ง เพื่อให้สามารถมองกลับมาเห็นตัวอาคารหลักที่ใช้ไม้ซุงยักษ์ค้ำยันได้ชัดเจนมาก ต่ำลงมาก็คือป่าเมเปิลแดงสุดอลังการ ที่กำลังเปล่งประกายสีแดงเจิดจ้ารับแสงสุดท้ายยามเย็น ตอนนี้ญี่ปุ่นกำลังจะเข้าฤดูหนาว แค่ห้าโมงเย็น ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว การเก็บภาพจึงต้องทำด้วยความรวดเร็ว มองผ่านป่าเมเปิลแดงออกไปไกลลิบๆ เห็นเมืองเกียวโต หอคอยเกียวโต และแนวเทือกเขายาวเหยียดโอบล้อมเมืองโบราณนี้ไว้ ฉันอิจฉาตัวเองเหลือเกินที่ได้มายืนอยู่ที่นี่ ณ เวลานี้ %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-8 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-9 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-10 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-11 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-12 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-13 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-14 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-15 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-16 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-17

เดินกลับลงมาจากวัดคิโยะมิสุฟ้าก็มืดซะแล้ว แต่ด้วยความที่วัดนี้ตั้งอยู่บนภูเขา และนักท่องเที่ยวก็เยอะ จึงหารถแท็กซี่ยาก ฉันตัดสินใจเดินลัดเลาะผ่านตรอกซอกซอยโบราณ ที่คดเคี้ยวราวเขาวงกต ผ่านร้านรวงขายของที่ระลึกละลานตา ค่อยๆ ลงเขามาอย่างสุขใจ และระหว่างทางเดินขาลงนั้นเองที่ผมรู้สึกว่า ได้ถูกจิตวิญญาณแห่งเกียวโตนครโบราณ กลืนกินตัวตนของผมไปจนหมดสิ้น มีเพียงถนนสายเก่า ตัวผม ความเย็นเยือกของอากาศ และภาพใบไม้เปลี่ยนสี ที่ตรึงอยู่ในก้นบึ้งหัวใจฉันอย่างแนบแน่น

%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-18kanra-hotel-kyoto

Kyoto Guide

Best season : ใบไม้เปลี่ยนสีในเกียวโตสวยสุด ประมาณต้นเดือนตุลาคม ถึงปลายเดือนพฤศจิกายน

Getting there : จากไทยบินตรงไปลงที่สนามบินราริตะ โตเกียว แล้วต่อรถไฟหัวจรวดความเร็วสูง ชิงกังเซ็น (Shinkansen) ไปเกียวโตได้เลย ส่วนการท่องเที่ยวในเมืองเกียวโต ถ้าระยะทางใกล้ๆ สามารถนั่งรถบัส หรือปั่นจักรยานเที่ยวได้ แต่ถ้าไกลๆ แนะนำให้นั่งรถแท็กซี่ หรือเช่ารถยนต์ขับเองได้สบาย

Overnight : แนะนำโรงแรมห้าดาว Hotel Kanra Kyoto เพราะสะดวกสบาย ตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นร่วมสมัย อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลจาก Kyoto Tower และสถานีรถไฟ Kyoto Station เดิน 10 นาทีถึง จองห้องพักติดต่อ http://hotelkanra.jp/en/ หรือ โทร. +81-75-344-3815

Cuisine : อาหารในเกียวโตมีให้เลือกหลากหลายมาก แต่เนื่องจากเป็นเมืองไกลทะเล จึงมีเมนูปลาไม่เยอะ อาหารเด่นของเกียวโตคือ เต้าหู้รสเลิศ รวมไปถึงผักดอง, ข้าวหน้าปลาไหล, ราเมน อูด้ง, ขนมปังแกง ฯลฯ

Souvenirs : เกียวโตเป็นเมืองแห่งศิลปะและงานหัตถกรรม จึงมีสินค้าให้ซื้อละลานตา เช่น ผ้ากิโมโน, ผ้าห่อของลายญี่ปุ่น, พัด, ปิ่นปักผม, กล่องข้าวเบนโตะทำด้วยไม้, พวงกุญแจ, รองเท้าเกี๊ยะไม้, ภาพวาดญี่ปุ่น, เต้าหู้เกียวโต, ปลาแห้ง, บ๊วยเค็ม บ๊วยหวาน, ถ้วยจานชามเซรามิค, ไม้แกะสลัก, เครื่องจักสาน, เครื่องแก้ว ฯลฯ

More info : http://kyoto.travel/en และ www.japan-guide.com/e/e2158.html

Amazing Armenia

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

14

15

16

17

18

19

20

21

Traveler’s Guide

Best season : ฤดูใบไม้ผลิ เดือนมีนาคม-มิถุนายน ฤดูร้อน เดือนมิถุนายน-กันยายน ฤดูใบไม้ร่วง เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน จากนั้นจะเข้าฤดูหนาวหิมะตก ช่วง High Season ของการท่องเที่ยว คือ เดือนพฤษภาคม-ตุลาคม

How to go : ยังไม่มีเที่ยวบินตรงกรุงเทพฯ-เยเรวาน จึงต้องบินไปเปลี่ยนเครื่องที่กรุงเตหะราน อิหร่าน ก่อน ใช้เวลาบิน 7 ชั่วโมงครึ่ง จากนั้นบินเตหะราน-เยเรวาน (เมืองหลวงของอาร์เมเนีย) ใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง ส่วนการเดินทางท่องเที่ยวภายในอาร์เมเนีย ควรติดต่อผ่านบริษัททัวร์ที่เชี่ยวชาญ

Where to stay : ในเยเรวาน แนะนำโรงแรม Ani Plaza Hotel (www.anihotel.com) ส่วนที่เมืองดิลิจาน แนะนำ Paradise Hotel Dilijan (www.paradisehotel.am)

What to eat : อาหารหลักของคนอาร์เมเนีย คือ ข้าวและขนมปัง กินกับสลัดผัก ผักย่าง ผักม้วนไส้เนื้อ รวมถึงซุปต่างๆ เคบับสไตล์ตุรกี สเต็กต่างๆ หมูย่าง ไก่ย่าง เสต็กปลา ส่วนของหวานนิยมพวกผลไม้สด โดยเฉพาะแอปปริคอต เค็กที่ไม่หวานจัด ขนมซูจุ๊ก ขนมแป้งแผ่นลาวาช ปิดท้ายด้วยชากาแฟท้องถิ่น

Souvenirs : ขลุ่ยดูดุ๊ค, ผ้าปักลายพื้นเมือง, งานไม้แกะสลัก, เครื่องเงิน, เครื่องทองเหลือง, จิวเวอร์รี่, สร้อยคอหินสี, ผลไม้อบแห้ง, ลูกแอปปริคอตสด, ไวน์, บรั่นดี, งานศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา เช่น ไม้กางเขน, รูปเคารพต่างๆ ฯลฯ

More info : บริษัท Holiday World โทร. 0-2635-1255 แฟ็กซ์ 0-2635-1256 เว็บไซต์ www.gotogethertravel.com อีเมล์ info@gotogethertravel.com