สธทท. ประชุมสัญจร 2565 ผลักดันนครปฐม “เมืองหลวงแห่งคาเฟ่”
เมื่อวันที่ 5-6 ตุลาคม 2565 สมาคมส่งเสริมธุริกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) หรือ TTPA ได้จัดประชุมสัญจร พร้อมสำรวจแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดนครปฐม เพื่อประชุมสรุปรายงานการทำงานในปีที่ผ่านมา พร้อมขับเคลื่อนนโยบายปีงบประมาณ 2566ให้สมาชิกพบปะผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยว โดยลงพื้นที่สำรวจสินค้าและบริการ นำองค์ความรู้ต่างๆ ไปแนะนำ ส่งเสริม พัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ให้ผู้ประกอบการทำการท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืน และกระจายรายได้สู่จังหวัดนครปฐม ด้วยแนวคิดใหม่ “นครปฐมเมืองหลวงแห่งคาเฟ่” เพราะในจังหวัดนครปฐมมีคาเฟ่อยู่กว่า 300-400 แห่ง
ในการประชุมสัญจรครั้งนี้ ณ ฟ้าใส รีสอร์ท จังหวัดนครปฐม มี คุณอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) เป็นประธาน พร้อมด้วย คุณกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย, คุณปิยพัชร์ วงศ์โดยหวัง ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานราชบุรี, นายประสิทธิ์ ปิ่มบุญ ผู้อำนวยการสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดนครปฐม, คุณวรินทร ทองพูน ประธานที่ปรึกษาสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย, คุณศุภสินี ชื่นคำ ประธานชมรมคาเฟ่และร้านอาหารเพื่อการท่องเที่ยวจังหวัดนครปฐม ร่วมพบปะพูดคุยอย่างอบอุ่น
ด้วยระยะทางใกล้กรุงเทพฯ ประกอบกับมีถนนหนทางสะดวกต่อการเดินทางระยะสั้นๆ ทำให้นครปฐมเกิดมีคาเฟ่และร้านอาหารอยู่มากกว่า 300-400 แห่ง อย่างที่ DOD Cafe & Bistro อำเภอสามพราน เป็นคาเฟ่เก๋ไก๋ ที่เนรมิตขึ้นด้วยสถาปัตยกรรม Modern ผสานการจัดแต่งสวนอย่างเป็นธรรมชาติ คล้ายการเสิร์ฟวิวป่าฝนเขตร้อน เคล้ากาแฟและอาหารอร่อยๆ มากมาย
Landmark ซุ้มประตูสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ และบรรยากาศร้านกาแฟในป่าฝนเขตร้อนอันชุ่มฉ่ำเย็นตาเย็นใจของ DOD Cafe & Bistro
กาแฟอร่อยๆ หอมกรุ่น คั่วหลายเกรดมีให้ดื่มด่ำกันที่ DOD Cafe & Bistro
ไก่อบโอ่งสูตรพิเศษเนื้อนุ่มหนังกรอบของ DOD Cafe & Bistro
บรรยากาศน่านั่งพักผ่อนในวันสบายๆ บนชั้น 2 ของ DOD Cafe & Bistro
DOD Cafe & Bistro อำเภอสามพราน เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลาประมาณ 08.00-19.00 น. โทร. 08-7327-9983
ร้าน Bubble in the Forest อำเภอสามพราน เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ยอดนิยมของจังหวัดนครปฐม เด่นด้วยการจัดแลนด์สเคปแบบซุ้มที่นั่งรอบทะเลสาบจำลองสีเขียวอมฟ้าเทอร์ควอยต์ คล้ายยกทะเลมันดีฟส์มาไว้ที่นี่
Bubble in the Forest อำเภอสามพราน
เครื่องดื่มหลากหลาย เสิร์ฟพร้อมวิวทะเลสาบสีเทอร์ควอยต์สวยๆ ที่ Bubble in the Forest
อาหารอร่อยหน้าตาดูดีที่ Bubble in the Forest

ร้าน Bubble in the Forest อำเภอสามพราน เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-21.00 น. โทร. 06-5727-6888
ร้าน Chill@Donwai อำเภอสามพราน ร้านค่าเฟ่บรรยากาศดีน่ารักน่านั่ง อยู่ติดแม่น้ำท่าจีน (แม่น้ำนครชัยศรี) เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00-20.00 น. โทร. 09-9296-2886
เครื่องดื่ม ขนม และอาหารหลากหลายที่ Chill@Donwai โดยเฉพาะปาท่องโก๋ทอดหน้าหมู (ภาพกลาง)
อาหาร Signature ของ ร้าน Chill@Donwai อย่างหนึ่งที่ห้ามพลาด คือ ยำเนื้อมะพร้าวอ่อน โดยนำมะพร้าวที่มีมากในท้องถิ่นมารังสรรค์เป็นเมนูแสนอร่อย
ร้าน Chill@Donwai
ในการประชุมสัญจรครั้งนี้ ยังมีการเข้าร่วมกิจกรรม Table Top Sale ของชมรมคาเฟ่และร้านอาหารเพื่อการท่องเที่ยว จังหวัดนครปฐม ซึ่งเพิ่งจัดตั้งขึ้นเพียง 4 เดือนเท่านั้น ทว่ามีศักยภาพสูง ปัจจุบันมีสมาชิกเริ่มต้นประมาณ 30 ราย กิจกรรมนี้จัดขึ้นที่ฟ้าใส รีสอร์ท เพื่อให้ผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจนำเที่ยว และหน่วยงานด้านท่องเที่ยวต่างๆ พบปะแลกเปลี่ยนพูดคุย ผสานประโยชน์ความร่วมมือกัน มีกิจกรรม B2B ต่อยอดทั้งด้าน Demand Side และ Supply Side ภายใต้แนวคิด “นครปฐมเมืองหลวงแห่งคาเฟ่”
การประชุมสัญจร ณ ฟ้าใส รีสอร์ท ของสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) ระหว่างวันที่ 5-6 ตุลาคม 2556
ในการประชุมครั้งนี้ คุณกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจกท่องเที่ยวไทย กล่าวว่า “การมาประชุมสัญจร พร้อมสำรวจพื้นที่ท่องเที่ยว ณ ฟ้าใส รีสอร์ท จังหวัดนครปฐม เราได้มาสรุปผลงานที่ผ่านมาว่าเราทำอะไรไปบ้างแล้ว และจะทำอะไรต่อไปในปีหน้า ที่ดำเนินการไปแล้ว เช่น โครงการนำร่อง “หรอยแรง แหล่งใต้ บินตรงเบตง” กับสายการบินนกแอร์ นำนักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ กว่า 2,000 คน และจะทำโครงการดังกล่าวต่อไปร่วมกับสายการบินบางกอกแอร์เวย์ ส่วนกิจกรรมในภูมิภาคทั่วประเทศ ก็ได้มอบหมายให้รองประธานภูมิภาคทุกภาคนำไปขับเคลื่อน เช่น “โครงการเที่ยวไทย 5 ภาค กับ สธทท.” ภาคตะวันออกมีโครงการ “More Fun Feel Fin” นอกจากนี้ท่านเลขาธิการ สธทท. ยังได้ทำโครงการ “รถทัวร์เที่ยวไทย” พานักท่องเที่ยวเดินทางด้วยรถทัวร์ที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน และในปีงบประมาณ 2566 เราได้ของบประมาณไปทางรัฐบาล 98 ล้านบาท กับการนำนักท่องเที่ยวเดินทางทั่วประเทศ 100,000 คน”
คุณอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย กล่าวเปิดการประชุมสัญจร ณ ฟ้าใส รีสอร์ท จังหวัดนครปฐม

คุณปิยพัชร์ วงศ์โดยหวัง ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานราชบุรี (ดูแลจังหวัดนครปฐม) กล่าว่า “ในปีงบประมาณ 2566 นี้ เรามีโครงการ 6 โครงการ เน้นสร้าง 4 พลังบวก คือ พลังบวกด้านสายศรัทธา เที่ยวัดกราบพระเจิอาจารย์ชื่อดัง, พลังบวกด้านสุขภาพกายและอาหาร เนื่องด้วยจังหวัดนครปฐมมีคาเฟ่อยู่กว่า 300-400 ร้าน, พลังบวกด้านชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรอินทรีย์ และสุดท้ายคือ พลังบวกด้านธรรมชาติ เช่น ที่อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี นอกจากนี้จะเน้นส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยคอนเซปต์ “ล้อรางเรือ” ในจังหวัดนครปฐม ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินทางแบบไปกลับจำนวนมาก ส่วนใหญ่ขับรถยนต์มาเอง (ล้อ) เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดบนที่มีคุณภาพ และผลักดันแนวคิด “นครปฐมเมืองหลวงแห่งคาเฟ่” ก็จะยิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ดียิ่งขึ้น ส่วนการเดินทางด้วยรถไฟ (ราง) ก็มีวิ่งมาทุกวัน วันละ 5-6 รอบ จะลงที่สถานีสุดปลายทางนครปฐม หรือลงที่สถานีงิ้วราย เพื่อลงเรือเที่ยวแม่น้ำนครชัยศรี (แม่น้ำท่าจีน) ต่อก็ได้ มีเส้นทางล่องเรือเที่ยวต่อไปตลาดดอนหวายในระยะทางไม่ไกล”
คุณประสิทธิ์ ปิ่มบุญ ผู้อำนวยการสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดนครปฐม กล่าวว่า “ในปีหน้าสำนักงานฯ มีงบประมาณ 10 กว่าล้านบาท ที่จะพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดนครปฐม โดยสิ่งที่เราทำอย่างหนึ่ง คือการพัฒนาบุคลากรด้านท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังจะสร้างมาตรฐานการท่องเที่ยว ยกระดับสินค้าและบริการ เราได้ดำเนินงานร่วมกับ ททท. ในหลายเรื่องของ SHA และ SHA Plus ด้วย เราจะเติมเต็มในด้าน Sport Tourism เพราะนครปฐมมีสนามกอล์ฟที่ได้มาตรฐานหลายแห่ง และอีกเรื่องที่จะเน้นส่งเสริม คือการท่องเที่ยวชุมชน เพราะมีตลาดเก่าตลาดโบราณอยู่มากมาย”

ในการประชุมสัญจรครั้งนี้ที่ปรึกษาด้านต่างๆ ของสมาคม สธทท. ได้ผลัดกันขึ้นมาปาฐกฐาพิเศษ ให้ความรู้ด้านการท่องเที่ยวกันอย่างเต็มที่ อาทิ คุณมานิตย์ บุญฉิม ที่ปรึกษาด้านการตลาด นำเสนอ ทิศทางการท่องเที่ยวในประเทศหลังวิกฤตโควิต 2019, ดร.สุเทพ อารมณ์รักษ์ ประธานฝ่ายส่งเสริมการท่องเที่ยวภาคกลาง นำเสนอเรื่อง โครงการเที่ยวไทย 5 ภาคกับ สธทท., คุณพูลผล แพทอง ที่ปรึกษาด้านสื่อสารองค์กร นำเสนอ โครงการ More Fun Feel Fin ภาคตะวันออก 2565 และ คุณสิรินดา เอกเสถียร นำเสนอโครงการรถทัวร์เที่ยวไทย เป็นต้น

นอกจากคาเฟ่ที่มีอยู่กว่า 300-400 แห่งแล้ว จังหวัดนครปฐมยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจให้สัมผัสอีกหลายแห่ง อาทิ The Salaya Leisure Park ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล รวบรวมที่พัก สปาเพื่อสุขภาพ พร้อมแหล่งเรียนรู้ แบ่งเป็น 4 โซน คือ วาริมันตราโซน (Vari Mantra), โซน Fresh Club สำหรับจัดงานอีเว้นท์ (Events by Fresh Club), โซนความบันเทิงยามค่ำคืน (Night Life) และโซนการเรียนรู้ (Education) เน้นความเป็นไทย ผสานความโมเดิร์นได้อย่างลงตัว
โซนการเรียนรู้ศิลปการทำหัวโขนของไทยที่ The Salaya Leisure Park
โซนความบันเทิงการแสดงแสงสีเสียง และนาฏลีลาร่วมสมัย The Salaya Leisure Park เรื่องรามเกียรติ์ ตอนหนุมานจับนางสุพรรณมัจฉา
นางสุพรรณมัจฉา The Salaya Leisure Park
นครปฐมเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูง เพราะสามารถเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงได้ในแบบ “ล้อรางเรือ” จากกรุงเทพฯ สามารถขับรถยนต์มาเอง หรือนั่งรถไฟมาลงที่สถานีรถไฟงิ้วราย เดินทางสู่ “วัดงิ้วราย” อำเภอนครชัยศรี เพื่อลงเรือล่องท่องเที่ยวแม่น้ำนครชัยศรี (แม่น้ำท่าจีน) ได้อย่างง่ายดาย สัมผัสวิวธรรมชาติสวยๆ สูดอากาศบริสุทธิ์ และเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชนริมน้ำในแบบ Slow Life
จากท่าเรือวัดงิ้วราย ฝั่งตรงข้ามเป็นซุ้มประตูขนาดมหึมาของ โรงเจเปาเก็งเต็ก
รับฟังเรื่องราวย้อนอดีตของเรือโดยสารขึ้นล่องไปบางกอก จากท่าเรือวัดงิ้วราย ต้องใช้เวลาเดินทางถึงหนึ่งคืนเต็มๆ
สัมผัสบรรยากาศเย็นสบายวิวสวยๆ ของแม่น้ำนครชัยศรี
เรือนไทยริมน้ำนครชัยศรี
ชุมชนเรือนไทยริมน้ำนครชัยศรี
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งของ เจษฎา เทคนิค มิวเซียม ริมแม่น้ำนครชัยศรี
เจษฎา เทคนิค มิวเซียม (JESADA Technic Museum) โฉมใหม่ริมแม่น้ำนครชัยศรี จัดแสดงรถและเครื่องบินโบราณย้อนยุค
“สะพานเสาวภา” สะพานรถไฟสายใต้ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ข้ามแม่น้ำนครชัยศรี ช่วงใกล้วัดสัมปทวน ปัจจุบันยังใช้งานได้ดี
มองน้ำคาเฟ่ หนึ่งในคาเฟ่ริมน้ำน่านั่งบรรยากาศสุดชิลริมแม่น้ำนครชัยศรี ใครจะมากินอาหารร้านนี้ต้องจอดรถไว้ที่วัดสัมปทวน แล้วลงเรือรับส่งของทางร้านมาเท่านั้น
สถาปัตยกรรมย้อนยุคสวยงามน่ามอง ของอาคารไม้ริมแม่น้ำนครชัยศรี
เรือนไทยทรงคุณค่าบริเวณปากคลองมหาสวัสดิ์ บรรจบกับแม่น้ำนครชัยศรี ลำคลองสายนี้เองที่สามารถล่องเรือต่อไปถึงสถานีรถไฟธนบุรีและบางกอกได้
ศาลเจ้าจีนริมแม่น้ำนครชัยศรีใกล้ปากคลองมหาสวัสดิ์ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งคนแถวนี้ให้ความเคารพสักการะมาหลายชั่วอายุคน
สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) หรือ Thai Tourism Promotion Association (TTPA) โทร. 08-6397-8788



เที่ยวกันต่อในตอนที่ 2 กับแคมเปญเก๋ไก๋สไตล์ลึกซึ้ง
มาเติมความสุขให้ชีวิตกันที่
น่าตื่นตาตื่นใจกับความละลานตาของดอกเบญจมาศหลายสิบชนิด ทั้งสีเหลือง ขาว ส้ม ชมพู และสีไล่โทน ดอกเล็กบ้างใหญ่บ้าง สร้างความสดชื่นเหมือนสวนสวรรค์ ค่าเข้าชมก็ถูกแสนถูก เพียงคนละ 20 บาทเท่านั้น
เดินชมแปลงดอกเบญจมาศไปเพลินๆ ถ้าอยากเก็บความงามนี้ไปชื่นชมที่บ้านก็ไม่มีปัญหา เพียงเรียกคนดูแลสวนมาช่วยตัดจัดเข้าช่อให้ ต้นละ 20 บาท
ยิ้มสดใสในวันสดชื่น ท่ามกลางความงามของมวลพฤกษชาติที่สวนบิ๊กเต้ (บอกไม่ถูกเลยว่า คนกับดอกไม้ใครงามกว่ากัน ฮาฮาฮา)
ชมกันใกล้ๆ กับดอกเบญจมาศสีชมพูสดในสไตล์ Shocking Pink เหมาะนำไปทำเป็นไม้ประดับ ปักแจกันเพิ่มชีวิตชีวาให้บ้าน หรือจะมอบเป็นของขวัญให้กันก็สุขทั้งผู้ให้และผู้รับ
นอกจากการเดินชมแปลงดอกเบญจมาศแสนงามแล้ว คนที่รักการออกกำลังกาย สูดอากาศบริสุทธิ์ ยังสามารถเข้ามาปั่นจักรยานชมธรรมชาติได้ด้วย
ดอกเบญจมาศขนาดใหญ่กว่าครึ่งฟุต กลีบซ้อนกันหลายชั้นอย่างวิจิตร
เบญจมาศดอกเล็กสีชมพูหวานซึ้ง หนึ่งในสายพันธุ์ที่ปลูกมากในสวนบิ๊กเต้
โมงยามแห่งความสุข กับการถ่ายภาพเซลฟี่กลางแปลงดอกเบญจมาศ สวนบิ๊กเต้ เอาไปอวดเพื่อนๆ
เดินทางเก็บเกี่ยวความสุขทางใจกันต่อ เรายังคงอยู่ในอำเภอมวกเหล็ก ที่
ที่ถือว่าโดดเด่นทำชื่อเสียงให้สวนสิริวัฒน์มากที่สุดคือ
เดินเที่ยวชมสวนองุ่นอย่างมีความสุข (แต่เก็บกินจากต้นไม่ได้นะจ๊ะ) ถ่ายภาพและชื่นชมพวงองุ่นสีสดใส สลับสีเข้มเมื่อแก่จัดพร้อมเก็บ
พวงองุ่นสีสวย น่ากินจังเลยเนอะ
นอกจากมีผลองุ่นสดให้ชิมแล้ว สวนองุ่นสิริวัฒน์ยังมีแปลงพืชผลนานาชนิดให้ศึกษาวิถีเกษตรพอเพียง และมีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลไม้อุดมคุณค่าให้ซื้อหากลับไปเป็นของฝากด้วย ทั้งแยมมัลเบอร์รี่ (ลูกหม่อน) แยมมะม่วง และแยมเสาวรส ฯลฯ
ยิ่งเดินทางไปบนเส้นทางนี้ เรื่องราวก็ยิ่งเข้มข้นปนความสนุก เมื่อได้มาเยือน
วันนี้ได้มาเยือนถึงฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก ต้นตำรับของแท้ รู้สึกตื่นเต้นมากๆ
ก่อนเข้าไปชมกิจกรรมภายใน อสค. ด้านหน้าติดถนนใหญ่เขามีร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมชนิดต่างๆ ทั้งนมกล่องและนมขวด โดยเฉพาะ
วันฟ้าสวยแดดใส ได้เวลาชวนกันขึ้นรถพ่วงเข้าชมกิจกรรมของฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก แล้ว โดยมีพี่แตน วิทยากรใจดีซึ่งทำงานอยู่ที่นี่มากว่า 30 ปี เป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้อย่างหมดเปลือก

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระราชทานกิจการโคนมแห่งชาตินี้ ไว้ให้ปวงชนชาวไทย เมื่อปี พ.ศ. 2505 ด้วยทรงตั้งพระประสงค์ให้ชาวไทยมีน้ำนมบริโภคโดยทั่วกัน เพื่อสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์
ณ ฐานตรวจคุณภาพนมโค วิทยากรผู้เชี่ยวชาญได้สาธิตวิธีการ ขั้นตอนต่างๆ ให้เราดูอย่างละเอียด
แนวคิดทฤษฎีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ คือสิ่งที่ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก นำมาประยุกต์ใช้จนถึงปัจจุบัน ดังที่ปรากฏชัดเจนบนกระดานดำในฐานเรียนรู้นี้
รถพ่วงของเราแล่นต่อมาจนถึงส่วนที่เป็นหัวใจของ อสค. คือ
ด้านหน้าโรงเรือนเลี้ยงวัวนม มีแผ่นศิลาจารึกข้อตกลงความร่วมมือในกิจการโคนม ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช และ
หากจะย้อนอดีตกลับไปเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2503 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรา ได้ทรงเสด็จไปยังประเทศเดนมาร์ก
คอกเลี้ยงพ่อพันธุ์วัวนมตัวใหญ่เบ้อเริ่ม!
แม่โคนมพันธุ์ดีที่พร้อมอยู่ในคอกรีดนมแล้วจ้า นักท่องเที่ยวคนไหนพร้อมก็เตรียมตัวมารีดนมสดๆ อุ่นๆ จากเต้ากันได้เลย
ป้อนนมลูกวัวน่ารักๆ เป็นกิจกรรมสนุกๆ ที่ห้ามพลาดของฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก พวกมันจะได้โตวันโตคืน
ป้าแตนวิทยากรคนเก่ง กับผู้เชี่ยวชาญด้านการรีดนมวัวของ อสค. กำลังสาธิตวิธีการที่ถูกต้อง ก่อนนักท่องเที่ยวจะลงมือทดลองกัน
น้ำนมอุ่นๆ จากเต้าแม่โคพันธุ์ดี พุ่งเป็นจังหวะปรี๊ดออกมาตามการบีบเค้นอย่างมืออาชีพ
ถัดจากจุดรีดนมและป้อนนมวัว รถพ่วงก็นำเรามาถึงเวทีแสดงการขี่ม้าตามวิธีโคบาลตะวันตก ฮาฮาฮา สาวสวยของเราขึ้นขี่ควบม้าท้าทายพี่คาวบอย ให้เพื่อนๆ ถ่ายภาพแชร์กันอย่างสนุกสนาน
จุดนี้เขามีโชว์หลากหลายให้ชม ทั้งการควบม้าสไตล์คาวบอยตะวันตก, การควงเชือกบ่วงบาศ, การควงมีด ควงปืน และการเต้นรำกับม้าที่ไม่มีใครเหมือน
มาดสุดเท่ห์ของพี่โคบาลประจำ อสค.
โชว์ขี่ม้าสไตล์คาวบอย ควบกันมันสุดเหวี่ยงจนฝุ่นตลบไปหมด!
โชว์ควงแส้คาวบอย เป็นแส้ที่เมื่อเหวี่ยงไปในอากาศจะทำให้เกิดเสียงดังน่าตกใจ! เพื่อใช้ไล่ต้อนฝูงวัวให้ไปในทิศทางที่ต้องการ
ปิดท้ายกิจกรรมสนุกที่ อสค. กับการลอดบ่วงบาศเข้าไปถ่ายภาพคู่กับพี่คาวบอยสุดเท่ห์ เก๋อย่าบอกใครเชียว
แหล่งท่องเที่ยวสุดท้ายในแคมเปญ
เราใช้วิธีที่สอง คือให้รถขึ้นไปปล่อยตัวบนเขา แล้วค่อยๆ เดินไล่ตามจุดลงมายังเชิงเขา
ทัศนียภาพบนยอดเขาวัดพระพุทธฉาย มองออกไปชมวิวได้กว้างไกลสุดสายตา
บนยอดเขาอันเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท ด้านนอกมณฑปมีหินรูปแผนที่ประเทศไทยให้ชมด้วย จุดนี้ช่วงกลางวันจะร้อนมาก ต้องรีบขอตัวหลบเข้าไปนมัสการรอยพระพุทธบาทโดยเร็ว!
เดินลงมาจากยอดเขาเพียงเล็กน้อย ก็ถึงหอพระ ซึ่งภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ ไว้มากมาย
ด้านหลังหอพระ งามเด่นด้วยพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรขนาดใหญ่ และพุทธศิลป์ที่ประดับตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม
บรรยากาศภายในหอพระ บนเขาวัดพระพุทธฉาย สระบุรี
จากหอพระเดินลงเขามาเรื่อยๆ ไม่เมื่อยขา เพราะเป็นขาลง ฮาฮาฮา ไม่เกิน 10 นาที ก็จะได้สักการะเงาพระพุทธฉายกันแล้ว
ถัดจากเงาพระพุทธฉายไปนิดเดียว ภายใต้เพิงผาหินเดียวกัน เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ ยาวหลายสิบเมตร ซึ่งสร้างขึ้นภายหลัง แต่ตรงจุดนี้ต้องระวัง เพราะมีฝูงลิงกังมาป้วนเปี้ยนวนเวียนอยู่เพียบ ใครที่สะพายข้าวของขึ้นไปด้วยจึงต้องระวังให้ดี
ใกล้กับเงาพระพุทธฉาย มีจารึกพระนามาภิไธยย่อของพระมหากษัตริย์ไทย และพระบรมวงศานุวงศ์จำนวนมากที่สุดในเมืองไทยให้ชม ที่เห็นในภาพ บนสุดคือพระนามาภิไธยของในหลวงรัชกาลที่ 9 เคียงคู่อยู่กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
รอยจำหลักหินพระนามาภิไธยย่อของพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 บนเพิงผาหินใกล้ๆ กับเงาพระพุทธฉาย
เดินลงจากเขากลับไปที่ลานจอดรถด้านล่าง ระหว่างทางอย่าลืมแวะทักทาย ถ่ายภาพความน่ารักของครอบครัวเจ้าจ๋อลิงกัง แต่อย่าเข้าใกล้ล่ะ เพราะมันหวงลูกมากทีเดียว!
วันอันแสนสุขและสนุกกับหลากเรื่องราวของสระบุรี จบลงที่รีสอร์ทแสนสวย
ห้องพักของมีลา การ์เด็น กว้างขวางใหญ่โต เหมาะสำหรับการมาพักผ่อนกันเป็นครอบครัว
ห้องอาหารของมีลา การ์เด็น หรูเรียบ เด่นด้วยดีไซน์ของไม้และการจัดแสงโทนอุ่น จึงน่านั่งชิลจิบไวน์กันนานๆ
อาหารเช้าที่มีลา การ์เด็น คือสลัดผักแสนอร่อย รับประทานคู่กับน้ำสลัดครีม ตามมาด้วยซุปผักโขม ขนมปังโฮมเมต และเครื่องดื่มร้อนๆ ต้อนรับวันใหม่อันสดใส
ทริป

ยุคนี้ใครๆ ก็พูดถึงเรื่องการรักษาสุขภาพกันทั้งนั้น เพราะปัจจุบันสภาพแวดล้อมรอบตัวเราเต็มไปด้วยมลพิษนานาชนิด การหันมาดูแลสุขภาพตัวเองจึงเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ในชีวิตเลยก็ว่าได้ ทั้งเรื่องการออกกำลังกาย การกินอาหารสุขภาพที่ปลอดสารพิษ การคิดบวกทำจิตใจให้ผ่องใสมีความสุข และอื่นๆ
ทริปสุขภาพสำหรับสาวๆ ที่รักการดูแลกายใจ เร่ิมต้นขึ้นที่เมืองสุขภาพ
สำหรับนักท่องเที่ยวที่รักสุขภาพทั่วไป การเยี่ยมชม Wellness Care ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะนอกจากจะได้รับฟังบรรยายเรื่องสุขภาพแล้ว ยังมี 
พระเอกของเมนูสุขภาพที่ Wellness Care ก็คือ 
ดูกันชัดๆ กับพืชสมุนไพรพื้นบ้านไทยที่นำมาปั่นเป็นน้ำคลอโรฟิลด์ได้ง่ายดาย ประโยชน์สูงประหยัดสุดจริงๆ
เมื่อทำ Workshop เสร็จแล้ว ก็ได้เวลาเที่ยงพอดี ทว่าก่อนจะรับประทานอาหารหลัก เราควรกินพืชผักผลไม้ก่อนเพื่อให้ดูดซึมคุณค่าทางอาหารได้ดีที่สุด โดยเฉพาะผักใบเขียวและผักสีเหลืองสีแดงต่างๆ สลัดผักสุขภาพถือเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งจะทำให้เรารับประทานคาร์โบไฮเดรตในปริมาณลดลง ช่วยคุมน้ำหนัก ป้องกันโรคเบาหวานได้ดี
ก่อนรับประทานอาหารหลักที่ Wellness Care เขาเสิร์ฟผักม้วนสุขภาพเรียกน้ำย่อยก่อนเลย จุ๋มจิ๋มน่ารัก อุดมคุณค่าทางอาหารจริงๆ นะ
พ้นจากเมนูเรียกน้ำย่อยแล้ว ก็ถึงอาหารหลักเป็นข้าวกล้องกับอาหารเมนูปลา โดยเฉพาะข้าวกล้อง หรือข้าวไม่ผ่านการขัดสี ทำให้วิตามินในเมล็ดข้าวยังคงอยู่เกือบครบ รับประทานคู่กับปลาต่างๆ เพราะเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย อีกทั้งปลาหลายชนิดยังมีน้ำมันปลาที่ช่วยบำรุงสมอง และป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันได้ดีนักแล
พออิ่มหนำสำราญกับอาหารสุขภาพกันถ้วนหน้าแล้ว ก็ได้เวลาออกไปตระเวนชมอาณาบริเวณของ 

พอป้อนนมลูกแพะจนพวกมันอิ่มแปร้แล้ว ทีนี้ก็ถึงคราวพวกเราอิ่มกันบ้างซิ ได้เวลาชิม 
ส่วนหนึ่งของเมืองสุขภาพครบวงจร
ห้องนอนแสนน่ารัก ใครได้พักเอนกายในห้องนี้ ถ้าไม่มีความสุขหลับฝันดี ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วล่ะ
ห้องรับแขกสีหวาน บรรยกาศโปร่งโล่งสบาย ช่วยเติมเต็มสุขภาพกายใจที่ Wellness City
เมื่อดูแลสุขภาพกายกันเต็มที่จนหน้าใสกันถ้วนหน้าแล้ว เราก็เปลี่ยนบรรยากาศมาดูแลสุขภาพใจกันบ้าง กับการสัมผัสอยุธยาในมุมมองใหม่ ด้วยการล่องเรือชมวิถีชีวิตและวัดวาอารามโบราณริมน้ำ ในบริเวณ 3 เกาะ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง (ค่าเช่าเรือประมาณ 1,000 บาทต่อลำ เรือนั่งได้ไม่เกิน 7 คน) สัมผัสสายน้ำที่ยังใสบริสุทธิ์ อากาศโล่งสบาย หายใจได้เต็มปอด เหมือนการเดินทางย้อนเวลากลับเข้าสู่กรุงเก่าเล่าเรื่องอดีต
ระหว่างล่องเรือ เราจะได้สัมผัสวิถีชีวิตริมน้ำ ผสานกับความร่มรื่นของแมกไม้เขียวครึ้มสองฟากฝั่ง และแน่นอนว่า เรือนไทยโบราณที่บ่งบอกเอกลักษณ์ภาคกลาง ก็จะมีให้ชมตลอดทางเช่นกัน ขณะที่เรือล่องไปอย่างช้าๆ ทำให้รู้สึกว่าเข็มนาฬิกาชีวิตเดินช้าลง เหมือนได้เข้าใกล้วิถีไทยที่สงบร่มเย็น สมแล้วที่อยุธยาเป็นเมืองน้ำ เป็นเกาะที่มีแม่น้ำ 3 สายล้อมรอบ คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี
ล่องเรือมาไม่ถึง 15 นาที เราก็มาถึงวัดแรกบนเกาะลอย คือ
เดินจากท่าน้ำขึ้นมานิดเดียว ก็จะถึงศาลาที่มีรูปเคารพของหลวงปู่ทวดให้สักการะกันเป็นจุดแรก เพื่อความเป็นสิริมงคล
ประวัติของวัดแคราชานุวาสมีบันทึกไว้ไม่ค่อยชัดเจน ที่เล่าสืบต่อกันมาว่า สมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ กษัตริย์องค์ที่ 19 แห่งกรุงศรีอยุธยา ประเทศลังกาต้องการได้กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองขึ้น แต่ไม่ต้องการให้เสียเลือดเนื้อ จึงออกอุบายให้มีการแปลธรรมะภายใน 7 วัน หากไม่มีผู้ใดแปลได้ก็จะเสียกรุง จนถึงคืนวันที่ 6 สมเด็จพระเอกาทศรถทรงพระสุบินว่า จะมีผู้แปลได้ จึงออกตามหาหลวงปู่ทวดที่ธุดงค์จากหัวเมืองพัทลุง ขึ้นมาจำพรรษาอยู่ที่วัดแค เพื่อมาศึกษาพระธรรมวินัย จึงได้นิมนต์ไปแปลธรรมะ จนสามารถช่วยปกป้องบ้านเมืองได้สำเร็จ
ภายในโบสถ์หลังใหม่ของวัดแคราชานุวาส มีภาพจิตกรรมฝาผนังเรื่องราวประวัติตอนต่างๆ ของหลวงปู่ทวด กราบพระขอพรแล้ว อย่าลืมแหงนหน้ามองขึ้นไปชมล่ะ แต่ถ้าไม่เข้าใจ ก็ให้ท่านเจ้าอาวาสอธิบายให้ฟังได้
ภายในโบสถ์หลังใหม่ของวัดแคฯ มีหุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่ทวดให้สักการะ ยิ่งเพ่งพินิจใกล้ๆ ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนท่านมีชีวิตจริงเลยนะ อัศจรรย์มาก!
ภาพจิตรกรรมฝาผนังร่วมสมัย เกี่ยวกับประวัติของหลวงปู่ทวด พระอริยสงฆ์ชื่อดังแห่งปักษ์ใต้ ที่มาช่วยปกป้องกรุงศรีอยุธยาสมัยพระเอกาทศรถ
ด้านนอกโบสถ์หลังใหม่ มี
ใกล้กับท่าน้ำวัดแคฯ มีหอระฆังและบันไดนาคคู่ที่สวยงาม เก่าแก่ ตัวหอระฆังบ่งบอกศิลปะอยุธยาชัดเจน ส่วนบันไดนาคคงสร้างขึ้นมาภายหลังด้วยศิลปะยุคปัจจุบัน
แม่น้ำด้านหน้าวัดแคราชานุวาส ยังใสสะอาดมีฝูงปลาแหวกว่าย และชาวบ้านยังสามารถนำน้ำนี้ไปใช้งานได้เช่นเดียวกับยุคอดีต นี่คือความสงบร่มเย็นของเมืองน้ำอยุธยา
ล่องเรือชิลชิลมาอีกแค่แป๊บเดียว เราก็แวะขึ้นกราบพระในวัดที่ 2 คือ 
พ้นจากท่าน้ำขึ้นมานิดเดียว ก็มีศาลาไทยเปิดโล่ง ประดิษฐาน
ร่องรอยทางโบราณดดีที่ชัดเจนในความเก่าแก่ของวัดมอญ อย่างวัดตองปุแห่งนี้ก็คือ

ไหว้พระขอพร ทำจิตใจห้องผ่องแผ้ว กายใจจะได้ผ่องใส สมกับทริป
นั่งเรือข้ามฝั่งจากวัดตองปุ (ที่อยู่บนเกาะเมือง) มาแค่ไม่กี่อึดใจ เราก็มาถึง
จริงๆ แล้วเกาะลอยนี้ มีมากกว่าการมากราบพระขอพร
จากวัดช่องลมเกาะลอย มองไปเห็นวัดตองปุอยู่ใกล้นิดเดียว และยังได้ชมเขื่อนกั้นน้ำซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานให้ประชาชนบนเกาะลอยด้วย
พระพุทธรูปสีทองด้านหน้าหลวงพ่อขาว คือ
ใกล้ๆ กับวิหารหลวงพ่อขาว มี
ออกจากวัดช่องลมเกาะลอยแล้ว เราก็ได้เวลาล่องเรือกันยาวๆ เกือบ 1 ชั่วโมง เรือหันหัวเร่งเครื่องออกจากลำคลองย่อยเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยาสายหลัก ผ่านวัดสำคัญๆ สองฟากฝั่ง ทั้งวัดหน้าพระเมรุ, วัดพุทไธศวรรย์, วัดไชยวัฒนาราม, เจดีย์สมเด็จพระสุริโยทัย และอีกมากมาย ถ้าเวลาเหลือ และตกลงกับนายท้ายเรือได้ ก็เพิ่มค่าเรือให้เขาหน่อย จะสามารถแวะกราบพระชำระกายใจได้เพิ่มเติม

วันนี้ได้สัมผัสวิถีชาวน้ำอยุธยาแบบลึกซึ้ง รู้สึกเย็นชื่นใจจากสายน้ำที่ยังใสสะอาดไหลไปไม่เคยเปลี่ยน
อีกวัดหนึ่งที่ไม่ควรพลาดชมและสักการะ ในระหว่าง
ภายในบริเวณวัดบางนมโค มีพระเจดีย์ขนาดใหญ่ ศิลปะอยุธยาตอนปลาย สร้างแบบย่อมุมไม้สิบสอง และเหตุที่วัดนี้ได้ชื่อว่า


หลวงพ่อปานมรณะภาพ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 สิริรวมอายุ 63 ปี 43 พรรษา โดยอัฐิธาตุของท่านได้รับการเก็บรักษาไว้ ณ วัดบางนมโคแห่งนี้เอง
ท่าน้ำหน้าวัดบางนมโค อดีตเคยใช้เป็นเส้นทางสัญจรหลัก ทุกวันนี้น้ำยังใสสะอาดดี
ตระเวนเที่ยวอยุธยากันมาตลอดวัน เริ่มเหนื่อยแล้ว วันนี้ขอเลือกพักผ่อนสบายๆ ชิลๆ กลางทุ่งนา ในรีสอร์ทเล็กๆ สไตล์เก๋ไก๋น่ารัก บรรยากาศผ่อนคลายเป็นกันเอง ที่
พาตัวและหัวใจไปค้นพบความสุขแบบเรียบง่าย กับเครื่องดื่มที่เราชอบ นั่งเหม่อมองท้องทุ่งสีเขียว เข้าถึงจิตวิญญาณของเมืองอู่ข้าวอู่น้ำอยุธยาในแบบน่ารักๆ
ด้านข้างพลูธยา รีสอร์ท มีทุ่งนาผืนกว้างที่มองไปเห็นเจดีย์ของวัดใหญ่ชัยมงคลได้ชัดเจน ทั้งวิถีข้าวและวิถีพุทธอยู่ใกล้แค่เอื้อมนิดเดียวเอง มีความสุขเหลือเกิน
แสงยามเย็นเมื่อแดดร่มลมตก อาบไล้ท้องทุ่งและพลูธยา รีสอร์ท ที่พักอุ่นสบายของเราในคืนนี้
หน้าห้องพักมีคูน้ำและดอกบัวบาน เคียงคู่ทุ่งนาสีเขียวและท้องฟ้ากว้างๆ ไม่มีตึกอะไรมาบดบังเลย โปร่งโล่งสบายดีจัง แถมยังมีเสียงกบเขียดร้องเพลงกล่อมด้วย ฮาฮาฮา
พลูธยา รีสอร์ท มีที่พักหลายโซน ทั้งริมนา ริมสระ และริมบึง ให้เลือกตามใจชอบเลยจ้า
ความลงตัวในการผสมผสานความใหม่เก่า จนทำให้พลูธยา รีสอร์ท กลายเป็นที่พักบูติกเล็กๆ ช่วยสร้างมิติใหม่ให้อยุธยาได้มากเลยทีเดียว
ห้องนอนโซนพักริมน้ำของพลูธยา รีสอร์ท ตกแต่งด้วยสไตล์จีน เน้นสีเหลืองแดงโทนสว่างน่าพัก
จุดเด่นอีกอย่างของพลูธยา รีสอร์ท
และที่ขาดไม่ได้ ทำให้พลูธยา รีสอร์ท ครบเครื่อง คือเมนูอาหารไทยที่เสิร์ฟกันเต็มที่ในมื้อเย็น ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกกะปิ ปลาทูทอด แกล้มผักต่างๆ, ต้มกะทิสายบัวปลาทู, ผักทอด, แกงเขียวหวานไก่, มัสมั่นไก่ ฯลฯ เป็นกับข้าวแบบไทยๆ ที่ปู่ย่าตายายเรากินกันมานานนม

ด้วยพระอัจฉริยภาพและสายพระเนตรอันยาวไกล ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เขื่อนภูมิพลแห่งนี้จึงถือกำเนิดขึ้น เป็นเขื่อนที่กักเก็บน้ำได้มากถึง
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เพื่อเป็นการถวายพระอาลัย และรำลึกถึงพระองค์ท่าน จังหวัดตาก โดย ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เขื่อนภูมิพล (ท่านผู้อำนวยการเขื่อนภูมิพล นายณัฐวุฒิ แจ่มแจ้ง) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จึงร่วมกันจัดงานยิ่งใหญ่
ในยามค่ำของวันที่ 28 มกราคม 2560 มีพิธีแสดงความรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ด้วยการจุดเทียนชัย และร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญถวายพระองค์ท่าน พระผู้เป็นที่รักของปวงชนชาวไทย และจะทรงสถิตอยู่ในใจเราตลอดไป
บรรยากาศการจุดเทียนชัย ในงาน
ไฮไลท์ของงานนี้ คือการร่วกันรับฟังบทเพลงพระราชนิพนธ์ อันแสนไพเราะและซาบซึ้ง จากวงดุริยางค์ทหารเรือ ซึ่งยกทัพนักดนตรีกันมานับร้อยชีวิต
ขอบรรเลงเพลงนี้ เพื่อถวายพระองค์ท่าน พระผู้ทรงสถิตอยู่บนสวรรคาลัย
นอกจากนี้ ในงานยังมีการแสดงหลายชุด ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันให้ชม ตั้งแต่วันที่ 28-30 มกราคม 2560 ทุกชุดล้วนน่าตื่นตาตื่นใจ และบ่งบอกถึงความรักที่ชาวจังหวัดตาก มีต่อพ่อหลวง และพร้อมสานต่อคำสอนของพระองค์ท่าน ด้วยการทำดีต่อไปไม่สิ้นสุด
เมื่อรับชมดนตรีไพเราะในยามค่ำกันอย่างซาบซึ้งแล้ว ในรุ่งเช้าของวันถัดไป หากใครมีเวลาเหลือ สิ่งที่ห้ามพลาดเด็ดขาดคือ การเดินเที่ยวชมวิวสวยๆ พร้อมกับสูดอากาศสดชื่นเย็นสบายบนสันเขื่อนภูมิพลในยามเช้า มองออกไปจะเห็นทะเลสาบสีฟ้าครามกว้างไกลสุดสายตาเหนือสันเขื่อน พร้อมด้วยเกาะต่างๆ มีเรือและแพนักท่องเที่ยวที่แล่นออกไปหาความสำราญกันได้ทั้ง 365 วัน
บริเวณท่าเรือของเขื่อนภูมิพล มีจุดลงแพและเรือหางยาว เพื่อการล่องเข้าไปเที่ยวชมทัศนียภาพได้ ทั้งแบบสองสามชั่วโมง เป็น One Day Trip หรือจะไปค้างคืนในแพกลางเขื่อนเลยก็ได้ หรือถ้าใครมีเวลามากหน่อย แพสามารถแล่นไปได้จนถึงบริเวณทะเลสาบดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ เลยล่ะ
การล่องแพค้างคืนในเขื่อนภูมิพล เป็นกิจกรรมยอดฮิตอย่างหนึ่ง เพราะด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติ มองเห็นเทือกเขาโดยรอบ อีกทั้งอากาศเย็นสบายจากผืนน้ำสร้างความชุ่มฉ่ำให้กับจิตใจ เป็นการท่องเที่ยวแบบ Slow Life ที่น่าไปสัมผัสอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่ฟ้าแจ่มใส หรือในฤดูร้อนก็จะผ่อนคลายกายใจได้ดีเยี่ยม
สำหรับการล่องเรือหางยาวเที่ยว ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที คงจะไม่มีอะไรดีไปกว่า การไปเที่ยวที่
บนเขาหน่อมีพระเจดีย์ขนาดใหญ่อยู่ 3 กลุ่ม พร้อมด้วยรอยพระพุทธบาทจำลองให้ผู้ศรัทธาได้กราบไหว้
เดิมบริเวณเขาหน่อตรงนี้ คือจุดที่แม่น้ำปิงสายเดิมเคยไหลผ่าน ก่อนที่จะมีการกั้นลำน้ำเพื่อสร้างเขื่อนภูมิพลจนน้ำเอ่อท้นท่วมขึ้นมา
เมื่อจอดเรือหางยาวแล้ว ก็ต้องออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อขา เดินขึ้นบันไดชิลชิลแค่ 300 ขั้น ขึ้นสู่ยอดเขาหน่อ ขอบอกว่าไม่ต้องรีบ เพราะเรือหางยาวเขารอแน่นอน ไม่ทิ้งเราไปไหน ค่อยๆ เดิน ค่อยๆ หยุดถ่ายภาพชมวิวไปเป็นระยะๆ และขอแนะนำให้พกน้ำขวดเล็กๆ ขึ้นไปด้วย เพราะบนยอดเขาไม่มีน้ำขายนะจ๊ะ
ถึงแล้ว ยอดเขาหน่อ โชคดีมาเที่ยวในฤดูหนาว จึงมองเห็นต้นไม้ต่างๆ เริ่มผลัดใบสีสันสดใส เพื่อเตรียมพักตัวเข้าฤดูแล้ง จากบนยอดเขานี้สามารถมองเห็นอ่างเก็บน้ำ ผืนป่า ทิวเขา และองค์พระเจดีย์ เรียงรายอยู่ในตำแหน่งสวยงามลงตัว ถ้าไม่เดินขึ้นมาคงเสียดายแย่!
จากยอดเขาหน่อ มองลงไปในทะเลสาบเหนือเขื่อนภูมิพล แลเห็นแสงแดดอุ่นๆ ของยามเช้าสะท้อนผิวน้ำเต้นเป็นประกายระยิบ สลับกับริ้วลายคลื่นน้ำไล่โทนสีไปมา ราวกับภาพศิลปะชั้นเลิศ
ความงามของวิวทะเลสาบเขื่อนภูมิพล มองจากยอดเขาหน่อไปทางทิศตะวันตก
บนยอดเขาหน่อมีทางเดินลาดปูนอย่างดี เชื่อมต่อองค์พระเจดีย์ทั้ง 3 กลุ่ม เข้าด้วยกัน
เสาอโศกบนยอดเขาหน่อ บ่งบอกถึงพระพุทธศาสนาที่ตั้งมั่นอยู่ในดินแดนนี้ และสร้างสิริมงคลแด่เขื่อนภูมิพลตลอดไป
รอยพระพุทธบาทจำลองบนยอดเขาหน่อ แม้มีขนาดไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็งดงาม และสะท้อนถึงความศรัทธาของผู้คนได้เป็นอย่างดี
หลังจากฟังเพลงพระราชนิพนธ์อันสุดแสนจะไพเราะ และล่องเรือเที่ยวเขื่อนภูมิพลกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางออกเที่ยวชมความมหัศจรรย์อันหลากหลาย ของจังหวัดตากไปที่
ก่อนไปชมไม้กลายเป็นหินของจริง ก็ควรเข้าไปที่
หัวหน้าอุทยานแห่งชาติไม้กลายเป็นหิน นำคณะนักท่องเที่ยวและผู้ศึกษาดูงาน เข้าชมจุดที่ขุดค้นพบซากฟอสซิลไม้กลายเป็นหิน ซึ่งปัจจุบันกรมทรัพยากรธรณีได้เข้ามามีส่วนร่วมบูรณะ จัดภูมิทัศน์ และรักษาสภาพไม้กลายเป็นหินไม่ให้ถูกแดดลมจนเสื่อมสภาพไป ในอนาคตเราหวังว่า อุทยานแห่งชาติไม้กลายเป็นหิน คงจะได้รับการประกาศให้เป็น
ปัจจุบันนี้มีการขุดค้นและเปิดให้ชมไม้กลายเป็นหินได้แล้ว 7 ต้น เป็นต้นไม้ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับ
ไม้กลายเป็นหินถือเป็นฟอสซิล หรือซากโบราณคดีทางธรณีวิทยาบรรพกาลที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง นับเป็นสมบัติล้ำค่าของชาติ ที่เราต้องช่วยกันปกปักรักษา และทำให้จุดนี้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ทางธรณีวิทยาระดับโลก
ซากฟอสซิลไม้กลายเป็นหิน ต้นนี้คือต้นทองบึ้ง ที่ยาวกว่า 70 เมตร
จุดชมต้นไม้กลายเป็นหินทั้ง 7 ต้น ที่เปิดให้ชมแล้ว มีการสร้าง Walk Board หรือสะพานไม้ยกระดับเตี้ยๆ เชื่อมต่อถึงกันในต้นที่ 1-4 ผ่านป่าเต็งรังอุดมสมบูรณ์ ได้ศึกษาพรรณมไม้ นก และผีเสื้อสวยๆ หลายชนิด ส่วนไม้กลายเป็นหินต้นที่ 5-7 ต้องนั่งรถยนต์ไปชม เพราะตั้งอยู่ห่างออกไปจากจุดนี้
พรรณไม้ในป่าเต็งรังเร่ิมผลัดใบสีสันสดใสในปลายฤดูแล้ง
จากความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ เราลองมาสัมผัสเรื่องราวของประวัติศาสตร์และศาสนากันบ้าง จุดแรกที่แนะนำคือ
ภายในศาล มีรูปหล่อพระบรมรูปของพระองค์ท่านในพระอิริยาบถประทับอยู่บนราชอาสน์ มีพระแสงดาบพาดอยู่ที่พระเพลา ที่ฐานพระบรมรูปมีคำจารึกว่า
ส่วนบนเพดานและผนังภายในศาล มีภาพจิตรกรรมฝาผนังอันงดงาม แสดงเหตุการณ์สำคัญๆ ในรัชสมัยของพระองค์ท่าน เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ
สถานที่ต่อไปที่น่าไปเยือนก็คือ 
ภายในโบสถ์ของวัดชลประทานรังสรรค์ ประดิษฐาน 
จากวัดชลประทานรังสรรค์ เราสามารถนั่งรถต่อไปสู่ 


ตระเวนเที่ยวตากกันมาก็หลายที่ ตอนนี้ท้องชักจะเร่ิมหิว ได้เวลาขับรถชิลชิลข้ามแม่น้ำปิงกลับเข้าตัวเมือง พอดีในช่วงปลายฤดูหนาว เมื่อลำน้ำปิงลดระดับลง ก็จะเกิดเกาะกลางน้ำที่เกิดจากตะกอนอันอุดมสมบูรณ์ทับถม แต่ชาวตากเขาทำเก๋ ไม่ปล่อยให้ที่ดินสูญเปล่า ชวนกันเพิ่มคุณค่าด้วยการปลูกดอกไม้สวยๆ บนเกาะกลางน้ำ จนกลายเป็น 
ร้านแรกที่เราจะพาไปชิม ขอบอกว่าต้องถูกใจวันรุ่น GEN Y อย่างแน่นอน ชื่อร้าน 
ร้านนี้ไม่ได้มีแต่เบเกอร์รี่สไตล์ฝรั่งเศสแท้ๆ ให้ชิมเท่านั้น แต่ยังมีอาหารหลักอร่อยๆ รสชาติไม่ธรรมดาให้ชิมด้วย มีทั้งโซน Outdoor รับลมธรรมชาติ และโซน Indoor ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ ให้นั่งชิลได้นานๆ
เมนูหลักอย่างหนึ่งที่ถือเป็น Signature ของร้านนี้ คือ
แต่ถ้าใครอยากอุดหนุนอาหารพื้นบ้านของตาก ก็ต้องไม่พลาดชิมเมนูเด็ด 














































































































































































