Let’s Go to ปาย
เมื่อสายลมหนาวมาเยือน ก็ได้เวลางัดเสื้อกันหนาวและผ้าพันคอสวยๆ ออกมาใส่ซะที หลังจากต้องเก็บอยู่ในตู้มาเกือบปีแล้ว ทริปนี้ขอแต่งตัวสวยๆ นั่งเครื่องบินและนั่งรถต่อขึ้นเหนือสู่ อำเภอปาย เมืองน้อยในหุบเขาใหญ่ทางตอนเหนือของแม่ฮ่องสอน เป็นเมืองติดชายแดนพม่าที่โอบกอดด้วยธรรมชาติ ม่านหมอกขาวอันหนาวเย็น และมีสายน้ำลำธารใสไหลหล่อเลี้ยงผู้คน และวิถีวัฒนธรรมแห่งปายให้คงอยู่มาหลายชั่วอายุคน
แม้ในรอบหลายปีที่ผ่านมา หลายคนจะบ่นว่าปายบอบช้ำจากธุรกิจคนเมือง ที่นำวิถีอันวุ่นวายเข้าไปทำให้ปายเปลี่ยนไป แต่เชื่อเถอะว่า จิตวิญญาณที่แท้จริงของปายยังคงอยู่ รอยยิ้มของผู้คนที่นี่ยังน่ารัก เปี่ยมสุขเหมือนเคย และที่สำคัญคือ ธรรมชาติของปายช่างบริสุทธิ์จริงๆ โดยเฉพาะในฤดูหนาวอย่างนี้ เหมาะจะชวนก๊วนเพื่อน หรือเกี่ยวก้อยพาคนพิเศษของเราไปรับลมหนาว ตื่นเช้าๆ ไปสูดโอโซนให้โล่งปอดแถวริมแม่น้ำปาย
มุมถ่ายรูปน่ารักๆ สำหรับคู่รักหวานแหว๋ว ที่จุดชมวิว ทะเลหมอกหยุนไหล
แสงสุดท้ายยามเย็น มองเห็นตัวเมืองปาย จากยอดเขาวัดพระธาตุแม่เย็น
ยามเช้าอันเงียบสงบ อากาศเย็นสดชื่น หายใจได้โล่งปอด ณ ริมลำน้ำปายอันแสนอ่อนโยน
ปายในช่วงฤดูหนาว รวงข้าวเปลี่ยนเป็นสีทองพร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว
วิถีการเกี่ยวข้าวด้วยมือแบบคนรุ่นเก่าก่อน ยังพบเห็นได้ที่ สะพานซูตองเป้
สะพานซูตองเป้ จุดถ่ายภาพใหม่ที่ให้ความรู้สึกแบบไทยใหญ่ ผสาผสานกับพม่า และล้านนา
ห่างจากตัวเมืองปายออกมาประมาณ 9 กิโลเมตรเศษๆ คือที่ตั้งของ สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย เป็นสะพานเหล็กสีเขียวขนาดใหญ่ ทอดข้ามลำน้ำปาย โดยทหารญี่ปุ่นได้มาสร้างไว้ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อลำเลียงทัพขึ้นไปตีพม่า (แต่ไม่สำเร็จ) คล้ายกับสะพานข้ามแม่น้ำแควที่จังหวัดกาญจนบุรีนั่นล่ะ ปัจจุบันสะพานนี้ยังแข็งแรงมั่นคงมาก เราสามารถลงไปเดินชม และถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก แต่ขอเตือนนิดนึงว่า พื้นไม้ที่ใช้ปูทางเดินบนสะพานบางช่วงผุพังไปตามกาลเวลา เดินชมต้องระวังด้วย สมัยก่อนชาวปายเขาใช้สะพานนี้สัญจรไปมาทั้งคนทั้งรถ ทว่าปัจจุบันทางการได้สร้างสะพานคอนกรีตใหม่ อยู่ข้างๆ ให้ใช้แทน สะพานประวัติศาสตร์ก็เลยกลายเป็นจุดท่องเที่ยวไปโดยปริยาย
ในหุบเมืองปายมีวัดที่ควรไปชม คือ วัดน้ำฮู ซึ่งมีบ่อน้ำธรรมชาติผุดขึ้นมาไม่เคยเหือดแห้ง ปัจจุบันทางวัดได้ก่ออิฐล้อมบ่อน้ำไว้ แต่ที่สำคัญคือวัดนี้เป็นที่ประดิษฐานพระเจดีย์องค์ใหญ่ อยู่ด้านหลังโบสถ์ เป็นเจดีย์บรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยา (พี่สาว) ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยพระนางได้ถูกจับไปเป็นองค์ประกันที่เมืองหงสาวดีของพม่า และถูกสังหารในภายหลัง จึงมีผู้แอบนำพระอัฐิ และเส้นพระเกศากลับคืนสู่ผืนดินสยามที่ท่านรักและหวงแหน
ข้าวซอยไก่ปาย อาหารพื้นเมืองยอดฮิต ที่เราต้องลิ้มลอง แนะนำ ร้านน้องเบียร์ (อยู่ใกล้ถนนคนเดิน) โทร. 0-5369-9103 ขอบอกว่าข้าวซอยสูตรนี้น้ำเข้มข้น เครื่องปรุงครบ ใส่น้ำพริกเผาลงไปนิดนึง บีบมะนาวหน่อย คนให้เข้ากัน น้ำซุปจะยิ่งอร่อยถึงใจเลยล่ะ
ปายเป็นเมืองที่มีอาหารอร่อยให้ชิมเยอะ อาหารเลื่องชื่อคือ “ขาหมู-หมั่นโถว” สูตรจีนยูนนาน ขาหมูแบบนี้ต่างจากที่เรากินกันทั่วไปในลักษณะน้ำซุปสีดำข้นแตกมัน รสออกหวาน แต่ของปายเป็นขาหมูท่อนเล็กๆ ตุ๋นเปื่อยนุ่มกำลังดี น้ำซุปตุ๋นเครื่องยาจีน น้ำใสๆ สีออกแดงๆ กลิ่นหอมชื่นใจ รสชาติไม่หวานจัด หนังหมูละลายในปาก ส่วนเนื้อแดงก็นุ่มนิ่ม กินกับน้ำจิ้มพริกเปรี้ยวๆ แต่ถ้าจะให้ครบสูตรต้องสั่งหมั่นโถว (เหมือนซาลาเปา แต่ลูกยาวรี ไม่มีไส้) มากินคู่กัน
หลายคนบอกว่าไม่อยากกินขาหมู เพราะกลัวอ้วนหรือกลัวคลอเรสเตอร์รอลพุ่งปรี๊ดใสเส้นเลือด ขอบอกว่าไม่ต้องกลัว เพราะคนจีนยูนนานเขาฉลาด รู้จักนำธรรมชาติมาสร้างสมดุลย์ให้อาหาร คือหลังจากกินขาหมู-หมั่นโถวแล้ว ต้องจิบชาอู่หลงตามเพื่อล้างปาก และช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้! ยิ่งช่วงนี้อากาศหนาวๆ ได้ซดน้ำชาร้อนๆ ดูวิวสวยๆ ของปายไปด้วย เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม แนะนำขาหมู-หมั่นโถว ร้านมิตรภาพปาย บ้านสันติชล โทร. 08-0129-9165, 08-1993-2129
มาเที่ยวปายให้เพอร์เฟ็กต์ ต้องหาเวลาไปเยือน หมู่บ้านจีนสันติชล ซึ่งเป็นชาวจีนตอนใต้ จากมณฑลยูนนานที่อพยพเข้ามาอยู่ในปายเนิ่นนานแล้ว ชวนกันเข้าไปเดินเที่ยวหรือขี่ม้าเล่นในศูนย์วัฒธรรมจีนยูนนาน สร้างเป็นหมู่บ้านจีน มีกำแพงเมืองจีนจำลอง ให้ปีนป่ายขึ้นไปถ่ายรูปชมวิวสุดเก๋ ที่นี่มีร้านน้ำชา ร้านอาหาร ร้านขายของ Souvenirs และร้านถ่ายรูป ให้เราลองใส่ชุดจีนเป็นฮ่องเต้ มเหสีแบบจีน แอ็กท่าถ่ายภาพร่วมกับก๊วนเพื่อนๆ แบบขำๆ สุดยอดไปเลย!
ชิมชาอู่หลงบำรุงสุขภาพ ที่หมู่บ้านจีนสันติชล
เสน่ห์ที่ทำให้ปายมีชื่อเสียง ดึงดูดผู้คนจากทั่วสารทิศมาสัมผัส ไม่ใช่มีแค่ถนนคนเดินเก๋ๆ แต่ปายมีเรื่องราวแง่มุมอื่นให้ค้นหามากกว่านั้น เพราะเมืองปายเป็นเมืองเก่าแก่ก่อนประวัติศาสตร์ล้านนา สังเกตได้จากวัดวาอารามโบราณหลายแห่ง ซึ่งเก่าจนหาบันทึกช่วงเวลาสร้างแน่ชัดไม่ได้เลยทีเดียว
พระธาตุแม่เย็น ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง มองลงไปจะเห็นหุบเขาเมืองปายและแม่น้ำไหลผ่าน เมื่อมองเลยไปอีกจะเห็นแนวเทือกเขาใหญ่ ที่ตั้งของหมู่บ้านจีนสันติชล ทางขึ้นไปชมทะเลหมอกหยุนไหลนั่นเอง พระธาตุแม่เย็นเก่าแก่มาก ไม่มีบันทึกแน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อใด เป็นพระธาตุเล็กๆ 3 องค์อยู่ด้วยกัน ผู้คนนิยมมานมัสการกราบไหว้ขอพร แล้วชวนกันเดินขึ้นบันไดต่อไปยังส่วนสูงสุดของยอดเขานี้ เป็นที่ประดิษฐานองค์พระพุทธรูปสีขาวขนาดยักษ์ในท่าปางสมาธิ จากจุดนี้มองไปทางทิศตะวันตก จะเห็นเมืองปายอยู่เบื้องล่างอย่างเต็มตา โดยเฉพาะช่วงเย็นจะเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่งามสุดๆ เลย
หนึ่งในไฮไลท์ของการไปเที่ยวปายก็คือ การได้มีโอกาสไปเดินชิลเที่ยวชม “ถนนคนเดินปาย” ซึ่งจัดกันประจำทุกวัน ตั้งแต่หกโมงเย็นถึงเที่ยงคืน โดยปิดถนนชัยสงคราม เริ่มจากที่ว่าการอำเภอปาย ลงไปจนถึงลำน้ำปายเลยล่ะ บริเวณที่ว่าถือเป็นย่าน Down Town ของปายอย่างแท้จริง เพราะเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึกหลากหลายละลานตา มีร้านอาหาร บาร์ และเกสต์เฮาส์ให้เลือกเพียบ
ถนนคนเดินปายมีบ้านเรือนสองฟากฝั่งเป็นเรือนไม้สวยงาม ชวนให้นึกถึงวันเก่าๆ เรือนไม้เหล่านี้ได้รับการแต่งแต้มโดยศิลปะร่วมสมัย มีการทาสี ประดับโคมไฟ วาดรูปลวดลายเก๋ๆ น่ารักๆ จนกลายเป็นมุมถ่ายภาพน่าหลงใหล คือหลังจากตระเวนเที่ยวปายกันมาตลอดวันแล้ว พอพระอาทิตย์เริ่มอัสดง ก็เวลาออกมาเดินช็อปปิ้งกัน เต็มไปด้วยเสื้อยืด, โปสการ์ด, ผ้าชาวเขา, ผ้าพันคอกันหนาว, งานศิลปหัตถกรรมทำมือ ตุ๊กตา หมวก รองเท้า ถุงย่าม พวงกุญแจ ฯลฯ ป้ำลวดลายคำว่าปายไว้เป็นที่ระลึก
Tourist’s Guide
เวลาน่าเที่ยว : เที่ยวได้ตลอดปี แต่อากาศเย็นสบาย ฟ้าใสสุด ต้องเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์
การเดินทาง : บินกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ จากนั้นมีหลายทางเลือก เช่น นั่งรถบัสเชียงใหม่-ปาย, นั่งรถตู้เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน-ปาย หรือถ้าเช่ารถยนต์ขับชมวิวไปเองจากเชียงใหม่ ต้องใช้ทางหลวงหมายเลข 108 จากเชียงใหม่ผ่านอำเภอหางดง สันป่าตอง จอมทอง ฮอด แม่สะเรียง แม่ลาน้อย และขุนยวม ถึงอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน รวม 349 กิโลเมตร เป็นทางตัดขึ้นเขาสูง วิวสวยงามแต่คดเคี้ยวถึง 1,846 โค้ง! แล้วขับรถต่อจากอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน-ปาย อีก 111 กิโลเมตร แต่ถ้าทนนั่งรถนานขนาดนั้นไม่ไหว แนะนำให้นั่งเครื่องบินจากเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน โดย Kan Air โทร. 0-2551-6111 www.kanairlines.com แล้วค่อยนั่งรถต่อไปปาย ยังทุ่นระยะทางได้ครึ่งหนึ่ง
หลับสบาย : แนะนำที่พักหรูมีระดับแนวบูติก แถมวิวสวยเป็นธรรมชาติสุดๆ ที่ปาย คือ Belle Villa โทร. 0-5369-8226-7, 0-2693-3952-3 www.bellevillaresort.com/pai/
More info : www.อําเภอปาย.com / ศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยวแม่ฮ่องสอน โทร. 0-5361-2982-3
Tips : ขอแนะนำ วิธีแก้เมารถ เพราะทริปนี้ต้องนั่งรถผ่านเขาสูงคดเคี้ยว อย่างแรกคือไม่ควรนั่งเบาะหลัง, ควรมองออกไปไกล ไม่เพ่งสายตาอยู่กับวิวใกล้รถ, ไม่หันซ้ายหันขวาบ่อย, ควรกินยาแก้เมารถ 1 เม็ด ล่วงหน้า 30 นาทีก่อนรถออก และวิธีสุดท้ายที่แปลกดี คือให้เอาแผ่นพลาสเตอร์ หรือกอเอี๊ยะปิดสะดือ! จริงไม่จริงให้ลองไปทำกันดูนะ ไม่อันตราย มีหลายคนบอก work!
ตามรอยพิพัฒน์ อัศจรรย์แห่งขุนเขา ชวนแอ่วดอย ตามรอยพ่อหลวง
เชียงใหม่ ในช่วงฤดูหนาวเป็นช่วงที่อากาศเย็นสบาย สดชื่น ดอกไม้ผลิบานทั่วไปหมด โดยเฉพาะบนดอยสูงและโครงการหลวง พืชผักผลไม้ดกงาม รสชาติก็อร่อย ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ชวนให้ผู้คนเดินทางมาเยือนเชียงใหม่อย่างล้นหลาม
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ จึงจัดแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยวโครงการหลวง ในมิติของการท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ ทั้งด้านวิถีเกษตร การรักษาสิ่งแวดล้อม และวิถีชุมชน โดยเฉพาะโครงการหลวง (Royal Project) ที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานให้ชาวไทยในภาคเหนือได้มีอาชีพมั่นคง มีรายได้ และสามารถเลี้ยงตนเองได้
คุณวิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานเชียงใหม่ กล่าวว่า เชียงใหม่นอกจากจะมีภูมิอากาศ ภูมิประเทศเหมาะสมต่อการทำเกษตรแล้ว ยังมีธรรมชาติสวยงาม สามารถท่องเที่ยวได้ทั้งสามฤดู โดยในส่วนของโครงการหลวงนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2512 มีหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เป็นผู้รับสนองพระราชโองการ ในตำแหน่งผู้อำนวยการ
ทุกวันนี้โครงหลวงในพระราชดำริของเชียงใหม่ และพื้นที่ใกล้เคียง มีอยู่กว่า 20 แห่ง มีบทบาทช่วยเหลือส่งเสริมด้านอาชีพแก่ผู้คนบนดอยสูง ให้หยุดถางป่าทำไร่เลื่อนลอย หรือปลูกฝิ่น หันมาปลูกพืชผักผลไม้และดอกไม้เมืองหนาว ส่งขาย สร้างรายได้อย่างยั่งยืนกว่า ททท. จึงได้จัดเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงโครงการหลวงหลายแห่งเข้าด้วยกัน ในชื่อ “ตามรอยพิพัฒน์ อัศจรรย์แห่งขุนเขา” นำคนมาเที่ยวในมุมมองใหม่ ให้เกิดการเรียนรู้ และความประทับใจไปพร้อมกัน
เส้นทางท่องเที่ยว ตามรอยพิพัฒน์ อัศจรรย์แห่งขุนเขา มี 6 เส้นทางให้เลือก คือ
- เส้นทางชวนแอ่วดอย ตามรอยพ่อหลวง “เส้นทางอ่างขาง-เชียงดาว-ห้วยลึก” (สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง-ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยลึก)
- เส้นทางชวนกันแอ่วดอย ตามรอยพ่อหลวง “เส้นทางจอมทอง-อินทนนท์-แม่แจ่ม” (สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์-ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนวาง)
- ขวนกันแอ่วดอย ตามรอยพ่อหลวง “เส้นทางแม่โถ-ห้วยต้ม” (ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ)
- ชวนกันแอ่วดอย ตามรอยพ่อหลวง “เส้นทางแม่ริม-สะเมิง” (ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย-สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์-สถานีเกษตรหลวงปางดะ-อุทยานหลวงราชพฤกษ์)
- ชวนกันแอ่วดอย ตามรอยพ่อหลวง “เส้นทางวัดจันทร์-กัลยาณิวัฒนา” (ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงวัดจันทร์-อำเภอกัลยาณิวัฒนา)
- ชวนกันแอ่วดอย ตามรอยพ่อหลวง “เส้นทางห้วยฮ่องไคร้-ตีนตก” (โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ-ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตก-ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงป่าเมี่ยง-โครงการพระราชดำริบ้านทุ่งจี้)
สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2522 เน้นการศึกษาวิจัยและขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาว มีโรงเรือนและสวนสวยให้นักท่องเที่ยวชื่นชมตลอดปี โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ จะมีดอกไม้ผลิบานงดงามที่สุด
ดอกกุหลาบพันปี (Rhododendron spp.) ที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์
White Rhododendron หรือคำขาว ที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์
ดอกลิลลี่ ที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์
กล้วยไม้รองเท้านารีปีกแมลงปอที่ใกล้สูญพันธุ์ ก็มีให้ชมที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์
บนดอยอินทนนท์มีงานวิจัยประมงบนที่สูง นำพันธุ์ปลาน้ำจืดจากเมืองหนาวมาเพาะเลี้ยง เพื่อส่งเสริมอาชีพ และปรุงเป็นเมนูอาหารรสเลิศในราคาไม่ธรรมดา
บ่อเลี้ยงปลา Rainbow Trout และปลา Russian Sturgeon บนดอยอินทนนท์
ดูกันชัดๆ หน้าตาปลา Rainbow Trout จากเมืองนอกมันเป็นอย่างนี้เอง พวกมันชอบอยู่ในน้ำเย็นอุณภูมิไม่เกิน 20 องศาเซลเซียส และต้องเป็นน้ำสะอาดที่ไหลถ่ายเทตลอดเวลาซะด้วย จริงๆ แล้วปลาชนิดนี้เป็นตระกูลเดียวกับปลาแซลมอน ตามธรรมชาติจึงต้องออกไปอาศัยหากินอยู่ในทะเล แล้วว่ายน้ำกลับเข้ามาวางไข่ในแหล่งน้ำจืดที่มันถือกำเนิดขึ้นมา พบได้ทั่วไปในมหาสมุทรแปซิฟิกในทวีปเอเชีย และทวีปอเมริกาเหนือ
ปลา Russian Sturgeon เมื่อโตเต็มที่มีความยาวได้ถึง 2.3 เมตร ตัวผู้และตัวเมียดูภายนอกเหมือนกันเปี๊ยบ ถ้าจะแยกเพศต้องจับไปทำอัลตร้าซาวด์ดู ตามธรรมชาติเราสามารถพบปลาชนิดนี้ได้ที่ทะเลสาบแคสเปียน, ประเทศอาเซอร์ไบจาน, บัลแกเรีย, จอร์เจีย, อิหร่าน, โรมาเนีย, คาซักสถาน, รัสเซีย, ตุรกี, ยูเครน และเติร์กเมนิสสถาน
ไข่คาร์เวีย หรือไข่ปลาสเตอร์เจียน ขวดแค่นี้ราคาถึง 5,000 บาท ถ้า 1 กิโลกรัม ราคาแพงถึง 50,000 บาท!
ฮาฮาฮา ปลา Rainbow Trout ที่เราเพิ่งไปดูที่บ่อเลี้ยงในตอนเช้า พอมื้อเที่ยงก็ถูกทอดกระเทียมมาเสิร์ฟในจานแล้ว
นี่ก็เสต็กปลา Russian Sturgeon เนื้อนุ่ม แต่แน่นสู้ปาก รสชาติคล้ายเนื้อปลาแซลมอนมากๆ
ปิดท้ายมื้อเที่ยงที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ ด้วยเมนูสรอว์เบอร์รี่แสนอร่อย
ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนวาง อยู่ที่ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงฤดูหนาวดอกไม้เบ่งบานหลากสีหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะนางพญาเสือโคร่ง หรือซากุระเมืองไทย สาวๆ แอบแต่งตัวด้วยชุดยูกาตะแบบญี่ปุ่นไปถ่ายภาพกับนางพญาเสือโคร่ง ถ้าไม่บอกนึกว่านี่คือญี่ปุ่นแท้ๆ เลยนะเนี่ยะ!
ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนวาง เปิดดำเนินการปี พ.ศ. 2528 เพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเขาเผ่าม้งและปกากะญอ ปัจจุบันมีชื่อเสียงมากเกี่ยวกับพืชผักเมืองหนาว และป่าซากุระช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์
แอ่วเมืองเหนือ เหมือนได้ไปเมืองนอก กับดอกซากุระโครงการหลวงขุนวางนั่นเองเจ้า
ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย ตำบลแม่ริม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2512 มีชื่อเสียงในเรื่องการผลิตพืชผักผลไม้เมืองหนาว ส่งขายทั้งในตัวเมืองเชียงใหม่และกรุงเทพฯ โดยเฉพาะผักปลอดสารพิษ และผักปลอดภัยต่างๆ
ท่านผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย นำชมแปลงปลูกผักไร้ดิน
ผักไร้ดินใบดกงอกงามดีเหลือเกิน
มะเขือเทศปลอดสารพิษพวงใหญ่เบ้อเริ่ม น่าหม่ำมากๆ ที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย
แหล่งท่องเที่ยวสุดฮิตอย่าง “ม่อนแจ่ม” จริงๆ แล้วก็อยู่ในพื้นที่ส่วนหนึ่งของโครงการหลวงหนองหอย ดอยม่อนแจ่มมีลักษณะเป็นจุดชมวิวสันเขา สามารถมองเห็นได้รอบด้านแบบ 360 องศา ทั้งทะเลหมอก พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก มีสวนดอกไม้ละลานตา พร้อมด้วยร้านอาหารให้นั่งจิบกาแฟ และชาสมุนไพร 7 ชนิด
เทือกเขาสลับซับซ้อน มองจากจุดชมวิวดอยม่อนแจ่ม
ดอกไม้เมืองหนาวสะพรั่งบานละลานตา ที่ม่อนแจ่ม ในฤดูหนาว
ศาลาชมวิววันฟ้าใสในฤดูหนาว ที่ดอยม่อนแจ่ม
ดอกป๊อปปี้สีแดงชาติ ที่สวนดอกไม้ม่อนแจ่ม
ความงาม ณ มุมเล็กๆ มุมหนึ่งของธรรมชาติสวนดอกไม้ ดอยม่อนแจ่ม
หนาวแล้ว ชวนเพื่อนๆ มาเที่ยวม่อนแจ่มกันเถอะเรา
กิจกรรมสุดฮิตของดอยม่อนแจ่มก็คือ การขี่รถฟอร์มูล่าม้ง! เป็นรถไม้ทำเอง ที่ชาวม้งประดิษฐ์ขึ้นมา รถนี้ไม่มีพวงมาลัย เวลาจะเลี้ยวต้องใช้ขาขวาหรือซ้ายดันคานล้อหน้าเอาเอง ส่วนการเบรคหยุดรถ หรือจะให้มัมวิ่งเร็ว ช้า แค่ไหน เขาใช้คานไม้โยกที่อยู่ตรงกลางนั่นล่ะ ถ้าผลักไปข้างหน้าแสดงว่าวิ่งเร็วจี๋ แต่ถ้าดึงคันบังคับเข้าหาตัว แสดงว่าต้องการให้รถเบรคจ้า
เจ้าตัวน้อย ลูกหลานชาวม้ง มารอรับนักท่องเที่ยวอยู่ที่ลานจอดรถฟอร์มูล่าม้ง
ยำสรอว์เบอร์รี่ อาหารเมนูยอดฮิตที่ดอยม่อนแจ่ม
ไม่ไกลจากดอยม่อนแจ่ม และโครงการหลวงหนองหอย มีไร่สตรอว์เบอร์รี่ของเอกชนให้เราเข้าไปชม ชิม ช้อป หลายแห่ง แต่แนะนำว่าไม่ควรเก็บกินจากต้น เพราะส่วนใหญ่ฉีดยาฆ่าแมลงไว้จ้า ต้องเอามาแช่น้ำล้างให้สะอาดก่อนนะ
สตรอว์เบอร์รี่หวานฉ่ำ กลิ่นหอมฉุย ที่หนองหอยสถานีเกษตรหลวงปางดะ ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เดิมเคยเป็นสถานีทดลองข้าวไร่และธัญพืชเมืองหนาว ปัจจุบันโดดเด่นด้านการวิจัย ปรับปรุงพันธุ์ และผลิตพืชผลเมืองหนาวส่งขายทั่วประเทศ อาทิ กีวี่, มะเดื่อฝรั่ง, องุ่นไร้เมล็ด, เสาวรส, ราสพ์เบอร์รี่, มัลเบอร์รี่, อาโวกาโด้, ลิ้นจี่, มะเฟือง, เชอร์รี่สเปน ฯลฯ แถมยังมีบ้านพักให้ไปนอนค้างคืน สัมผัสธรรมชาติวิถีเกษตร Agro-tourism กันอย่างเต็มอิ่มเลยจ้า
ปัจจุบันนี้ ท่านหัวหน้าสถานีเกษตรหลวงปางดะ ได้สั่งดอกกุหลาบกว่า 20-30 ชนิด เข้ามาจากประเทศเนเธอร์แลนด์โดยตรง เพื่อนำมาเพาะเลี้ยง ทั้งเพื่อประโยชน์ในการตัดดอก และนำมาทำเป็นอาหารเมนูดอกกุหลาบปลอดสารพิษอย่างแท้จริง
กุหลาบเนเธอร์แลนด์สีหวานซึ้ง ที่โครงการหลวงปางดะ
Special Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจสอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-5324-8604-5 ทุกวัน ในเวลา 08.30-16.30 น.
ตื่นตาตื่นใจ ไปเดินบนยอดไม้ Canopy Walk เชียงใหม่
นับตั้งแต่เปิดตัวมาเมื่อปี พ.ศ. 2536 สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ หรือ Queen Sirikit Botanic Garden อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ก็กลายเป็นแหล่งศึกษาวิจัย แหล่งเรียนรู้ และแหล่งท่องเที่ยวของคนรักธรรมชาติ ไปได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้น เมื่อเดือนธันวาคม 2558 ที่ผ่านมา ทางสวนได้มีการเปิดเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติบนเรือนยอดไม้แห่งใหม่ล่าสุดของไทย ในชื่อ Canopy Walks Flying Draco Trail โดยนำชื่อของเจ้ากิ้งก่าบินชนิดหนึ่งที่พบในผืนป่าบริเวณนี้ มาเป็นกิมมิคน่ารักๆ ด้วย
ทริปนี้ Go Travel Photo ได้รับเกียรติจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ และ ททท. ภูมิภาคภาคเหนือ ร่วมกันเดินทางไปสัมผัสเส้นทางเดินชมป่าบนเรือนยอดสูงลิบ คงน่าตื่นเต้นไม่เบาเลย
หน้าหนาวฟ้าใสปิ๊ง เป็นฤกษ์ดีที่เราจะไปเดินบนเส้นทาง Canopy Walks ที่ยาวที่สุดในเมืองไทยกันล่ะ เขาบอกว่ายาวกว่า 400 เมตรทีเดียว เป็นสะพานเหล็กปลอดสนิมอย่างแข็งแรง อยู่สูงจากพื้นกว่า 20-30 เมตรเลย! ว้าว!
จากอาคารจุดเริ่มต้นเดินเข้าสู่ Canopy Walks แค่เห็นครั้งแรกก็ตื่นเต้นแล้ว เพราะวิวแบบพาโนรามาบนยอดไม้นี้ ช่างกว้างไกล เห็นเรือนยอดป่าทอดตัวออกไปราวกับผืนพรมสีเขียว โดยมียอดเขาสูงอยู่ด้านหลัง
เดินเที่ยวบน Canopy Walks ขอบอกว่าไม่ต้องรีบ เดินไปช้าๆ ไม่ต้องกลัว เพราะโครงเหล็กแข็งแรงมาก ไม่มีอาการสั่นเลย หยุดชมนกชมไม้ ศึกษาพืชพรรณกันไปเรื่อยๆ เพื่อเข้าใจธรรมชาติให้มากขึ้น แต่ก็มีกฎอยู่นิดนึงคือ ห้ามอยู่ในจุดเดียวกันเกิน 5 คน เพราะเขาต้องกระจายน้ำหนักให้ดีนั่นเอง
สุดยอดความเจ๋งอีกอย่างของเส้นทาง Flying Draco trail ก็คือ ในบางจุดจะมีระเบียงแก้วใสยื่นออกไปจากตัวสะพานเหล็ก ให้เราชมวิวได้ตื่นเต้นสุดๆ แต่ก็มีข้อควรระวังคือ ห้ามเข้าไปยืนบนกระจกใสนี้พร้อมกันหลายคน และไม่ควรไปยืนในช่วงที่ฝนตก เพราะกระจกจะลื่นนั่นเอง
ช่วงแรกของเส้นทางเดินบนยอดไม้ นอกจากจะเห็นป่าเบญจพรรณผลัดใบที่ภูเขาด้านหลังแล้ว ใกล้ๆ กับเส้นทาง ยังมีพรรณไม้ให้ชื่นชมหลากชนิด อาทิ เสี้ยวเครือ เป็นพรรณไม้จำพวก Bauhinia (สกุลชงโค) ที่ทอดเลื้อยไปบนเรือนยอดต้นไม้ใหญ่ และจะออกดอกสีขาวสะอาดหมดจด เฉพาะในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น
ดอกแคป่า ที่พบบนเส้นทาง Canopy Walks
เมื่อลมหนาวมาเยือน ป่าเบญจพรรณใกล้ๆ กับเส้นทาง Canopy Walks ก็เริ่มผลัดใบเป็นสีส้ม สีเหลือง สีแดง แซมสลับกับยอดไม้สีเขียวสดอย่างน่าตื่นตา
เส้นทางนี้เหมาะอย่างมากสำหรับการมาใช้เวลาร่วมกับธรรมชาติ โดยเฉพาะยามเช้าจะมีนกป่าหลายชนิด
ในอดีตป่าเบื้องล่าง Canopy Walks เป็นป่าเสื่อมโทรมที่เคยถูกชาวบ้านถาง แต่เมื่อได้รับการฟื้นฟู สังคมป่าเบญจพรรณ ที่มักผลัดใบในฤดูแล้ง ก็จะเริ่มกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง
นี่คือป้ายให้ความรู้เกี่ยวกับกิ้งก่าบิน เจ้าของฉายาเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติบนยอดไม้สายนี้
ทั้งตื่นเต้น ทั้งสนุก นี่คือประสบการณ์ในชีวิตที่เด็กๆ จะไม่มีวันลืม
ในช่วงสุดท้ายของเส้นทางเดินบนยอดไม้ เมื่อมองกลับไป จะเห็นสะพานเหล็กในช่วงแรกที่เราเดินผ่านมาแล้ว เพิ่งรู้ว่าที่แท้มันสูงจากพื้นไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ยะ! เสียว แต่ก็สนุกตื่นเต้นดี
จากสะพานเดินศึกษาธรรมชาติบนยอดไม้ เดินเล่น หรือนั่งรถต่อไปอีกแค่ 300 เมตร ก็จะถึงบริเวณหมู่อาคารเรือนกระจก และสวนไม้ดอกไม้ประดับสวยๆ ของสวนสมเด็จฯ ใครใคร่เก็บภาพประทับใจไว้อย่างเดียวเราก็ไม่ว่ากัน แต่ใครที่มุ่งมาศึกษาหาความรู้เรื่องพฤกษศาสตร์โดยตรง ก็คงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ เพราะเขามีทั้งโรงเรือนป่าดิบชื้น, สวนขิงข่า, โรงเรือนไม้กินแมลง, โรงเรือนพืชทะเลทราย, โรงเรือนบัว, โรงเรือนกล้วยไม้, โรงเรือนเฟิน ฯลฯ สนุกแน่
สอบถามเพิ่มเติมที่ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ โทร. 0-5384-1234 www.qsbg.org/Garden_n.htm
Special Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจสอบถามโทร. 0-5324-8604-5
อินทนนท์ ป่าเมฆสูงสุดแดนสยาม ความงาม 3 ฤดู
ถ้ามีคนมาถามผมว่า 1 ใน 5 สุดยอดแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของเมืองไทย จะมีที่ไหนบ้าง? แน่นอนว่า 1 ในคำตอบของผมจะต้องมี “อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์” อยู่ด้วยแน่นอน ทำไมน่ะหรือ? ก็เพราะมหาคีรีแห่งนี้ คือยอดดอยสูงสุดของไทย ครองความสูงถึง 2,565 เมตรเหนือน้ำทะเล อาบอิ่มด้วยไอหมอกหนาวชั่วนาตาปี ปกคลุมด้วยป่าดิบเขา หรือ Hill-evergreen Forest ที่สมบูรณ์ที่สุดบนผืนดินไทย แถมยังมีพืชพรรณ ดอกไม้ นก และสัตว์มากมายให้ชื่นชม
ป่าดิบเขา (Hill-evergreen Forest) บนยอดดอยอินทนนท์ คือสังคมพืชที่ชอบความหนาวเย็นบนภูผาสูง
ณ ยอดดอยอันสูงเด่น ทำหน้าที่เป็นห้องเรียนธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ให้คนที่คลั่งไคล้ไหลหลงธรรมชาติ ได้เข้าไปสัมผัสอย่างไม่รู้จบ โดยเฉพาะเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติอ่างกา และกิ่วแม่ปาน เป็นความงาม 3 ฤดู ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ท่ามกลางคุณค่าของความหลากหลายทางชีวภาพพงไพร
แสงแรกของตะวันค่อยๆ เบิกฟ้า ปลุกสรรพชีวิตแห่งดอยอินทนนท์ให้ตื่นขึ้นจากหลับไหล ด้วยรังสีแสงอันอบอุ่น
เมื่ออรุณเบิกฟ้า เหล่านักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศก็หลั่งไหลขึ้นสู่ยอดดอย เพื่อชื่นชมความงามของตะวันรับอรุณ
จากจุดชมวิวตรงปากทางเข้าเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน มองเห็นทะเลภูเขาทอดตัวสลับซับซ้อน
ในช่วงฤดูหนาว ประมาณเดือนธันวาคม-มกราคม ดอกกุหลาบพันปี หรือ Rhododendron ทั้งสีแดงและสีขาว จะเบ่งบานประดับยอดดอยให้งามราวแดนสวรรค์ กุหลาบพันปีเป็นพืชของเขตอบอุ่นแถบเทือกเขาหิมาลัย ที่กระจายพันธุ์ลงมาถึงดอยอินทนนท์ ทำให้เราประจักษ์ว่า แท้จริงแล้วอินทนนท์คือปลายเทือกด้านตะวันออกสุดของหิมาลัยนั่นเอง
บนยอดดอยอินทนนท์ นอกจากจะมีสถานีเรดาห์ของกองทัพอากาศตั้งอยู่แล้ว ยังเป็นที่ประดิษฐาน พระธาตุนภเมทนีดล และพระธาตุนภพลภูมิสิริ ซึ่งกองทัพอากาศสร้างถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ โดยในช่วงฤดูหนาวจะมีการปลูกไม้ดอกไม้ประดับสีสันสดใส เห็นแล้วสดชื่นสุดๆ เลยล่ะ
ความอุดมของป่าเมฆสูงสุดแดนสยาม ที่ยังคงมีผืนป่าต้นน้ำพรั่งพร้อม ก่อเกิดเป็นน้ำตกใหญ่หลายแห่งบนเทือกดอยอินทนนท์ อย่าง น้ำตกสิริภูมิ ที่มองเห็นได้จากระยะไกล และมีดอกนางพญาเสือโคร่งเบ่งบานเคียงคู่กัน
น้ำตกแม่ยะ เป็นหนึ่งในสุดยอดน้ำตกเมืองไทย เพราะมีผาน้ำตกแผ่กว้างถึง 100 เมตร ตัวน้ำตกไหลลดหลั่นลงมาเป็นเชิงชั้นราวขั้นบันไดสายธาร กว่า 30 ชั้น สูง 260 เมตร ราวกับของขวัญจากธรรมชาติที่อินทนนท์มอบให้เรา
น้ำตกวชิรธาร เป็นน้ำตกที่กำเนิดขึ้นบนเทือกดอยอินทนนท์ แม้เป็นน้ำตกที่มีแค่ชั้นเดียว แต่ก็ไหลทิ้งตัวลงจากหน้าผาสูงตั้งชันถึง 70 เมตร ยิ่งใหญ่อลังการไม่เบา
น้ำตกห้วยทรายเหลือง เป็นน้ำตกที่ต้องเดินป่าระยะสั้นเข้าไป เพื่อชื่นชมความงามของสายธารที่ไหลลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ อย่างเหมาะเจาะลงตัว ในช่วงกลางวันที่แดดส่องลงมาผ่านทะลุสายน้ำใสสู่ท้องธาร จะเห็นเม็ดทรายสีเหลือง อันเป็นที่มาของชื่อน้ำตกห้วยทรายเหลืองได้อย่างชัดเจน
คนที่ชอบศึกษาเรื่องพรรณไม้ ดอกไม้ และนกหายาก ต้องไม่พลาดเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติบนยอดดอย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ป่าดิบเขาผืนนี้จะชุ่มฉ่ำ อาบอิ่มไอหมอก เขียวสดชื่น ถ่ายภาพมามุมไหนก็สวยไปซะทุกแห่ง
บนยอดดอยอินทนนท์ คือที่ประดิษฐาน สถูปบรรจุพระบรมอัฐิ พระเจ้าอินทรวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าประเทศราชองค์สุดท้าย ที่ทรงครองพระราชอำนาจเหนือล้านนาอย่างแท้จริง และยังทรงเป็นพระบิดาในเจ้าดารารัศมี พระราชชายาของพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ด้วย
ป่าเมฆอันร่มครึ้ม ห่มคลุมด้วยไอหมอกหนาวชั่วนาตาปี ณ ยอดดอยอินทนนท์
ต้นก่อขนาดใหญ่บนยอดดอยอินทนนท์ ถูกปกคลุมด้วยมอส เฟิน ไลเคน และกล้วยไม้ อย่างหนาแน่น จนแลคล้ายต้นไม้ใส่เสื้อ ส่วนกิ่งก้านที่หงิกงอเกิดจากต้องปะทะลมแรงอยู่ตลอดเวลา
ป่ายอดดอยอินทนทท์ในช่วงฤดูฝน ฉ่ำชื้นเขียวสดเย็นตา เป็นที่มาของ ดอกเทียนคำ หรือดอกเทียนหางสีเหลือง จัดเป็นพืชคลุมดินชนิดหนึ่งที่มีดอกสวยงามน่าชมมาก
ดอกบัวทอง เบ่งบานเคียงคู่ยอดดอยอินทนนท์ ในช่วงฤดูฝนเช่นกัน
ดอกเทียนจิ๋ว บานรับฤดูฝนอั่นชุ่มฉ่ำเย็นชื้น
ดอกเทียนน้ำ พบได้ทั่วไปตามพื้นป่าในฤดูฝน
สำหรับคนที่ชอบศึกษาธรรมชาติ ลองเพ่งมองลงไปที่แง่มุมเล็กๆ บนเปลือกไม้ ก็จะพบโลกเล็กๆ อีกโลกหนึ่ง ของสังคมพืชจิ๋ว มีทั้งมอส ไลเคน เชื้อรา รวมถึงลิเวอร์เวิร์ด และฮอร์นเวิร์ด ขึ้นอยู่รวมกันอย่างน่าอัศจรรย์! พืชจิ๋วเหล่านี้ทำหน้าที่คล้ายฟองน้ำธรรมชาติ ดูดซับน้ำไว้ได้นับร้อยเท่าของตัวมัน!
ร้านกาแฟแก้หนาวบนยอดดอย บรรยากาศชิลมากๆ
หนึ่งในความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติบนยอดดอยอินทนนท์ ซึ่งจะปรากฏขึ้นเฉพาะฤดูหนาวเท่านั้น ก็คือ “แม่คะนิ้ง” หรือ “เหมยขาบ” ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือ “น้ำค้างแข็ง” นั่นเอง ไม่ใช่หิมะ จริงๆ แล้วมันคือ Froze เกิดจากน้ำค้างที่จับตัวอยู่บนยอดหญ้าในยามราตรี ถูกความเย็นจัดจนทำให้กลายเป็นเกล็ดหรือผลึกน้ำแข็ง จะพบได้เฉพาะช่วงเช้าตรู่บนยอดดอย แต่เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น มันก็จะละลายหายไปหมด ราวกับไม่เคยมีอยู่ตรงนั้นเลย!
ในช่วงกลางฤดูหนาว ที่คลื่นความเย็นจัดพัดมาห่อหุ้มดอยอินทนนท์ไว้จนมิดชิด ขณะที่แม่คะนิ้งเผยความงามอันแสนสั้นออกอวดสายตา ดอกกุหลาบพันปีสีแดงสายพันธุ์อินทนนท์ที่หายาก (ชาวบ้านนิยมเรียกว่า “คำแดง”) ก็สะพรั่งบานอวดความงามเช่นกัน ถ้าโชคดี อาจพบนกกินปลีหางยาวเขียว ชนิดย่อยดอยอ่างกา นกเฉพาะถิ่น (Endemic Species) ของอินทนนท์ บินมาดูดกินน้ำหวานจากกุหลาบพันปีก็เป็นได้
กระดิ่งภู พรรณไม้ที่พบได้เฉพาะบนดอยสูงอากาศหนาวเย็นเท่านั้น
กุหลาบพันปีสีขาว (ชาวบ้านนิยมเรียกว่า “คำขาว”) เบ่งบานประดับยอดดอย ในช่วงเดียวกับที่คำแดงบาน
เอื้องเทียนขาว บานรับลมหนาวบนยอดดอยอินทนนท์
ความงามอันทรงคุณค่าของดอยอินทนนท์ คือสมบัติล้ำค่าทางธรรมชาติที่เราคนไทยทุกคนต้องช่วยกันปกปักรักษาไว้ เพราะไม่มียอดดอยใดในสยาม จะยิ่งใหญ่เทียบเท่าอินทนนท์อีกแล้ว!
Special Thanks : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี ภายใต้แคมเปญ “ตามรอยพิพัฒน์ อัศจรรย์แห่งขุนเขา ชวนแอ่วดอย ตามรอยพ่อหลวง” สอบถาม โทร. 0-5324-8604-5
จาก Fukuoka ถึง Tokyo เที่ยวสนุกทุกนาที!
เคยมีคนบอกฉันว่า ถ้าได้เคยลองไปเที่ยวญี่ปุ่นสักครั้งจะติดใจ เพราะแดนอาทิตย์อุทัยนี้ช่างมีเสน่ห์ ทั้งธรรมชาติที่สวยงามหยดย้อย ผู้คนหน้าตาน่ารักคิกขุอาโนเนะ อาหารก็อร่อย แถมยังมีแหล่งช้อปปิ้งได้ไม่เบื่อ ฉันเห็นด้วยกับคำพูดนั้น เพราะฉันก็เป็นคนหนึ่งที่หลงรักญี่ปุ่นจนหมดหัวใจ และนี่คืออีกทริปแห่งความทรงจำ ที่ทำให้ฉันได้รู้จักญี่ปุ่นในมุมใหม่ๆ รับรองว่าต้องสนุกแน่นอนจ้า
ฉันบินเหินฟ้าสู่แดนปลาดิบพร้อมกับสายลมหนาวที่พัดแรงขึ้นทุกทีในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง จากไทยบินไปลงที่เมืองฟูกูโอกะ (Fukuoka) เมืองหลวงของเกาะคิวชู (Kyushu) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของหมู่เกาะญี่ปุ่น แผนการเดินทางของฉันคราวนี้แปลกกว่าทุกครั้ง เพราะฉันไม่ได้บินตรงไปลงโตเกียวเลย แต่เหตุผลที่มาลงฟูกูโอกะก่อน เพราะที่นี่มีแหล่งท่องเที่ยวน่ารักๆ ให้สัมผัสหลายแห่ง บรรยากาศแรกที่เห็นพอรถแล่นออกจากสนามบิน คือธรรมชาติขุนเขาสลับสายหมอก ป่าสน ต้นเมเปิลเปลี่ยนสี และทุ่งนาผืนเล็กๆ ตามหุบเขาน้อยๆ ช่างเป็นดินแดนที่น่ารักเสียนี่กระไร
นั่งรถมาชั่วโมงกว่าจากฟูกูโอกะ เข้าสู่ เมืองเบปปุ (Beppu) ในจังหวัดโออิตะ (Oita Prefecture) รู้สึกหนาวสะท้านจากทั้งลมและฝนที่กระหน่ำไม่หยุด เลยได้โอกาสแวะเข้าไปอาบทรายร้อน เหมือนสปาธรรมชาติที่มีชื่อเสียง เพราะเบปปุคือแหล่งที่มีแร่ธาตุใต้พิภพมากที่สุดของญี่ปุ่น ได้ไปนอนบนทรายสีดำอุ่นๆ ให้เขาเอาทรายกลบตัวเราจนเหลือแค่หัวโผล่ไว้หายใจ ทิ้งไว้ 15 นาที เท่านี้เลือดลมก็จะไหลเวียนดี ได้ผ่อนคลายทั้งกายและใจ ทำให้ฉันพร้อมจะตะลุยเที่ยวญี่ปุ่นแล้วล่ะจ้า
ป่าเปลี่ยนสีที่หมู่บ้านยูฟูอิน
หลังจากอาหารเที่ยงแบบ Japanese Set สุขภาพที่เน้นไปทางปลา ผัก และผลไม้ แล้ว ก็ได้เวลาไปเที่ยวชม “หมู่บ้านยูฟูอิน” (Yufuin Village) หมู่บ้านแบบญี่ปุ่นย้อนยุค ตั้งอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดขุนเขา โดยมีทะเลสาบคินริน (Kinrin Lake) ทอดตัวนิ่งสงบอยู่ตรงกลาง ยูฟูอินเป็นหมู่บ้านต้นแบบสินค้า OVOP หรือ One Village One Product ของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ จึงมีร้านค้าเรียงรายอยู่สองฝากถนนคนเดินนับร้อยๆ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าพื้นเมืองอันมีเอกลักษณ์ หาซื้อที่อื่นได้ยาก อย่างขนม ผ้าทอมือ เหล้าสาเก รวมถึงงานหัตถกรรมนานาชนิด ใครที่รักแมวเป็นชีวิตจิตใจ หมู่บ้านยูฟูอินเขามีร้านขายของที่ระลึกเกี่ยวกับแมวโดยเฉพาะด้วย ส่วนใครที่เป็นนักชิม ต้องไม่พลาดขนมโคร็อกเกะ หรือมันชุบเกล็ดขนมปังทอดกรอบๆ กินแก้หนาวได้ดีชะมัด
ขนมอร่อยๆ แพ็กเกจน่ารักๆ คิกขุแบบญี่ปุ่น มีให้เลือกซื้อกันเพียบที่หมู่บ้านยูฟูอิน
ใบเมเปิลเปลี่ยนสีแสนสวย ที่หมู่บ้านยูฟูอิน
ร้านบุฟเฟ่ต์ขาปูยักษ์ในย่านชินจูกุ กลางมหานครโตเกียว
กินอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาไปเดินละลายทรัพย์ ซื้อรองเท้ากีฬาของแท้ ราคาไม่แพง ที่ตลาดอาเมโยโกะ
ฉันจัดตารางเที่ยวให้หนึ่งวันเต็มเลย สำหรับ “โตเกียว ดิสนีย์แลนด์” (Tokyo Disneyland) ดินแดนแห่งความสนุกเหมือนได้พาตัวเองย้อนเวลากลับไปสู่วัยเด็กอีกครั้ง ด้วยความกว้างใหญ่ถึง 7 โซน ในธีมต่างๆ ทำให้เราต้องใช้เวลาเที่ยว เวลาต่อคิวเครื่องเล่นกันนานเป็นชั่วโมงๆ
ฉันชอบตรงปราสาทดิสนีย์ที่สุด เพราะให้ความรู้สึกถึงการเนรมิตรภาพในจินตนาการ ออกมาเป็นปราสาทจริงได้ บวกกับโซนอื่นๆ ทั้ง Adventureland, Westernland, Fantasyland, Tomorrowland และ Mickey’s Toontown ได้เห็นตัวการ์ตูนต่างๆ ออกมาโลดแล่นอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง น่าตื่นตาตื่นใจมากเลยจ้า
วันนี้ฉันขอเที่ยวแบบชิลชิล ด้วยการนั่งรถบัสขึ้นไปแทน ฮาฮาฮา ทว่าหิมะที่ตกหนักบนยอดเขา ทำให้วันนี้รถขึ้นไปได้ถึงชั้นที่ 4 เท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้วรถขึ้นได้สุดถึงชั้น 5 จากนั้นต้องเดินต่อไปจนถึงชั้น 8 บนความสูงสามพันกว่าเมตร! วันนี้ที่ชั้น 4 ของฟูจิฟ้าเปิดเป็นสีครามสวยงาม มองเห็นทัศนียภาพได้กว้างไกล เพลินไปกับทะเลหมอก และปุยเมฆขาวราวฉันยืนอยู่บนสวรรค์ งามสมคำร่ำลือจริงๆ
จากโกเท็มบะ พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้อย่างเต็มตา
ปิดท้ายวันนี้ด้วยการลงเขา ไปช้อปปิ้งกันอย่างเมามันที่ “โกเท็มบะ พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต” แหล่งช้อปราคาถูกเหลือเชื่อในพื้นที่กว่า 400,000 ตารางฟุต กับ 165 แบรนด์ดัง เน้นไปทางเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ของแท้ แหม รู้ใจสาวๆ ซะเหลือเกิน!
ลงจากเที่ยวภูเขาไฟฟูจิในช่วงเช้า มื้อเที่ยงต้องไปลิ้มลองเนื้อวัวย่างบนหินภูเขาไฟ
เนื้อวัวญี่ปุ่น มีเส้นไขมันเป็นลายหินอ่อนแทรกอยู่ทั่ว ย่างให้สุกกำลังดี จิ้มน้ำจิ้ม ใส่เข้าปากแทบจะละลายได้เลย
บอกแล้วว่าเที่ยวญี่ปุ่นคราวนี้ ได้เห็นมุมมองใหม่มากมาย แต่น่าเสียดาย เพราะได้เวลาบินกลับบ้านแล้ว ได้ยินเสียงประกาศเรียกขึ้นเครื่องครั้งสุดท้าย บ้ายบายโตเกียว See You Again.
Special Thanks : บริษัท Outdoor Innovation Co., Ltd. สนับสนุนเสื้อกันหนาว และเสื้อผ้าสำหรับชีวิตแบบ Outdoor
Tokyo Guide
Season : เที่ยวญี่ปุ่นสวยสุดใน 2 ฤดู คือ เดือนมีนาคม-เมษายน เป็นช่วงดอกซากุระบาน และช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีก่อนเข้าฤดูหนาว ถ่ายรูปได้มีสีสันสวยงามจับใจ
How to go : จากเมืองไทยบินตรงไปลงที่สนามบินนาริตะได้เลย ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง เช่น การบินไทย (www.thaiairways.co.th) และ All Nippon Airways หรือ ANA (www.ana.co.jp/asw/wws/th/e/)
Where to stay : ในโตเกียว แนะนำ Keio Plaza Hotel (www.keioplaza.com) ส่วนที่เมืองคาโกชิม่า แนะนำ Shiroyama Kanto Hotel (จองผ่าน www.japanican.com)
What to eat : บุฟเฟ่ต์ขาปูยักษ์, เนื้อวัวญี่ปุ่นย่างบนหินภูเขาไฟ, ชุดเซ็ทอาหารญี่ปุ่นสุขภาพ ฯลฯ
Souvenirs : ขนมโมจิไส้สรอว์เบอร์รี่ทั้งลูก จากหมู่บ้านยูฟูอิน, ช็อกโกแลต ROYCE, พวกกุญแจน่ารักๆ จากภูเขาไฟฟูจิ, ตุ๊กตาตัวการ์ตูนจากโตเกียวดิสนี่แลนด์ ฯลฯ
More info : www.yokosojapan.org/th/
ดูซากุระภูลมโล อลังการหุบเขาสีชมพู
กลับมาอีกครั้ง สำหรับฤดูกาลเที่ยวชมป่าซากุระบานที่ ภูลมโล ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย แม้ว่าปีนี้ลมหนาวจะมาช้า แต่เมื่อความหนาวมาเยือนจริงๆ ก็สะท้านจนรีบหยิบเสื้อกันหนาวออกจากตู้แทบไม่ทัน เช่นเดียวกับดอกนางพญาเสือโคร่ง (ซากุระเมืองไทย) ที่ชอบความหนาว พากันผลิดอกสะพรั่งไปทั่วทั้งหุบเขา นับเป็นภาพงดงามอลังการ ที่เรา Go Travel Photo อยากชวนแฟนๆ ไปเห็นกับตาให้ได้สักครั้ง
ในอดีต พื้นที่ป่าซากุระภูลมโลปัจจุบัน เคยเป็นป่าเสื่อมโทรมที่ถูกชาวบ้านบุกรุกแผ้วถางจนโล่งเตียน มักเกิดไฟป่าทุกปี ต่อมาอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จึงร่วมมือกับชาวบ้านเข้ามาฟื้นฟูสภาพพื้นที่ นำต้นนางพญาเสือโคร่งมาปลูก ประมาณ 5,000 ต้น ในบริเวณ 1,200 ไร่ จนกระทั่งปัจจุบันหลายปีผ่านไป มีต้นนางพญาเสือโคร่งเพิ่มเป็น 100,000 ต้น! ยามเบ่งบานจึงยิ่งใหญ่อลังการที่สุดในเมืองไทย ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ!
ภาพป่าซากุระภูลมโลในปีแรกที่เปิดให้ท่องเที่ยว งดงามบริสุทธิ์มาก ทว่าดอกซากุระยังมีขนาดเล็กอยู่
ดอกนางพญาเสือโคร่ง (ชื่อวิทยาศาสตร์ Prunus ceracoides) หรือ Yunnan Cherry แท้จริงแล้วเป็นพรรณไม้ในวงศ์กุหลาบ (Rosaceae) นางพญาเสือโคร่งจัดอยู่ในสกุล Prunus เช่นเดียวกับต้นเชอร์รี่, แอปปริคอต, ท้อ, สาลี่, พลัม และแอปเปิล โดยจะพบนางพญาเสือโคร่งได้บนความสูงเกิน 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลขึ้นไป ภูลมโลจึงเป็นพื้นที่เหมาะมากสำหรับราชินีแห่งดอกไม้ชนิดนี้ เพราะภูลมโลสูงถึง 1,680 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ตื่นตั้งแต่ก่อนสว่าง เพื่อนั่งรถกระบะฝ่าความหนาวเหน็บขึ้นไปบนภูลมโล แล้วเดินป่าขึ้นสู่ยอดภูลมโล ก็จะได้ยลภาพพระอาทิตย์ขึ้น บนป่ารอยต่อ 3 จังหวัด เลย เพรชบูรณ์ พิษณูโลก อย่างนี้ล่ะ คุ้มค่าจริงๆ
จากจุดชมวิวที่จอดรถ เดินป่าขึ้นยอดภูลมโล ใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที ก็จะได้เห็นภาพวิวพาโนรามา ของป่ารอยต่อ 3 จังหวัดแล้ว (จ.เลย เพชรบูรณ์ พิษณุโลก)
บนยอดภูลมโล มีหน้าผาหิน หรือแง่งหิน ยื่นออกไปเป็นจุดชมวิวถ่ายภาพได้สวยงาม น่าตื่นเต้น 2-3 แห่ง
บนยอดภูลมโลมีสภาพเป็นป่าดิบเขาย่อส่วน ต้นไม้ใหญ่มีพืชพวกมอส เฟิน กล้วยไม้ ไลเคน ปกคลุมหนาแน่น บ่งบอกว่าสภาพอากาศยังสะอาดสมบูรณ์ บางช่วงของปีจะมีกล้วยไม้สกุลหวายสีขาวเบ่งบานให้ชมด้วย แต่ขอเตือนว่า ดูแต่ตา มืออย่าต้อง ของจะเสีย!
ระหว่างนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อ 4WD ระยะทาง 16 กิโลเมตร มองเห็นยอดภูลมโลตั้งเด่นอยู่ลิบๆ ไม่ไกลแล้วล่ะ
บนภูลมโลมีแท่งหินแกรนิตรูปทรงประหลาดๆ ซึ่งผ่านการสึกกร่อนของกาลเวลา สายลม สายน้ำ มาเนิ่นนานเป็นล้านปี ถ้าใครเคยไปเที่ยวที่ภูหินร่องกล้า (ซึ่งอยู่ใกล้กับภูลมโล) บริเวณนั้นจะมีลานหินปุ่ม ลานหินแตก ผาชูธง และหินรูปเกล็ดงู Sun Crack อยู่ด้วย เหล่านี้ล้วนอยู่ในแนวหินเดียวกัน สึกกร่อนโดยกระบวนการลมและน้ำคล้ายๆ กัน
ความงามอันเร้นลับ ของป่าซากุระภูลมโลในยามเช้าตรู่ ซึ่งมีหมอกขาวห่มคลุม ทว่าแสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องลงมาสร้างความอบอุ่นแก่ผืนโลกอีกครั้ง
ป่าซากุระภูลมโลในม่านหมอกยามเช้าตรู่
ความงามราวของป่าซากุระ ไม่ต่างจากภาพศิลปะในธรรมชาติเลยแม้แต่น้อย
รถที่เหมาะสมจะขึ้นไปเที่ยวบนภูลมโลที่สุด คือรถกระบะ หรือรถขับเคลื่อนสี่ล้อ เพราะตลอดหนทาง 16 กิโลเมตร จากบ้านกกสะทอนขึ้นถึงจุดชมวิวภูลมโลนั้น เป็นเส้นทางดินลำลอง ขรุขระ สูงชันและคดเคี้ยว เข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ถ้าขับรถเก๋งขึ้นไปเอง รับรองหนาวแน่!
แนะนำว่า ควรจอดรถส่วนตัวไว้ แล้วเหมารถของ อบต. กกสะทอน ขึ้นไปเที่ยวบนภูลมโลจะคุ้มกว่า ค่าเช่ารถ 1 คัน นั่งได้ 6 คน ราคา 1,500 บาท แต่ถ้านั่งเกิน 6 คน ราคา 2,000 บาท (สอบถาม คุณนิยม โทร. 08-4490-3169)
สนุกสนานเฮฮากับป่าหินรูปทรงแปลกตา บนภูลมโล
ก่อนจะลงไปชมป่าซากุระบานอลังการสุดสายตา ก็มาถ่ายภาพกับป้ายภูลมโลไว้เป็นที่ระลึกก่อนนะจ๊ะ
จากจุดชมวิวและลานหินบนภูลมโล เราค่อยๆ นั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อลงดอยคดเคี้ยวสูงชันมาอย่างช้าๆ จนในที่สุดก็ได้เห็นป่าซากุระในหุบเขาสีชมพู พร้อมกับม่านหมอกขาวถูกลมตีตวัดขึ้นมาจากร่องผา งามราวกับสวรรค์!
นี่ล่ะ หุบเขาสีชมพูแห่งซากุระเมืองเลยที่เรากำลังตามหา ได้มาเห็นกับตาแล้ว ดีใจๆ เดี๋ยวต้องบอกให้พี่พลขับพาลงไปชมความงามใกล้ๆ
เมื่อดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือซากุระเมืองไทย เบ่งบาน ใครๆ ก็อยากไปเชยชมใกล้ๆ แต่ขอให้เราเก็บมาเฉพาะภาพถ่ายกับความทรงจำ และทิ้งไว้เพียงรอยเท้าเท่านั้น ความงามนี้จะได้อยู่คู่เมืองเลยและเมืองไทย ไปอีกนานๆ
ป่าซากุระที่ภูลมโลมีอยู่หลายแปลง โดยแต่ละแปลงจะบานไม่พร้อมกันในแต่ละปี ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศว่าจะหนาวนาน หนาวคงที่ ไม่มีฝนรึเปล่า เราจึงต้องหมั่นโทรสอบถามไปที่ อบต. กกสะทอน เพื่อจะได้ไปเห็นป่าซากุระสุดอลังการที่ภูลมโล ได้ถูกที่ ถูกเวลา จ้า
ปี 2016 แม้ว่าอากาศเมืองไทยจะผันผวน แต่เมื่อถึงเวลาลมหนาวมาเยือน ก็หนาวจัดไม่ใช่เล่น ซากุระที่ภูลมโลจึงสะพรั่งบานน่าชม ดอกใหญ่ สีชมพูเข้มจัด นี่คือภาพความงามอันอ่อนหวาน ซาบซึ้งตรึงใจ อย่างที่ใครหลายคนฝันอยากเห็น บางคนลงทุนบินไปดูซากุระที่ญี่ปุ่น แต่ถ้ามาเที่ยวถูกที่ ถูกเวลา ที่จังหวัดเลยก็มีให้ชมเหมือนกันจ้า
ซากุระภูลมโล จะบานมากที่สุดตั้งแต่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์
ในยามเช้าตรู่ ขณะที่ม่านหมอกหนาวยังไม่จางคลาย ป่าซากุระภูลมโลก็ยังคงซุกซ่อนความงามที่แท้จริง ไว้ภายใต้ม่านหมอกขาวนั้นเอง
ป่าซากุระ สายหมอก และสาวๆ ดูจะเป็นของคู่กันอย่างลงตัวซะจริงๆ ฮาฮาฮา
ไปดูซากุระภูลมโล สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ เสื้อกันหนาวหนาๆ กล้องถ่ายรูปดีๆ และหัวใจที่พร้อมเปิดรับสรรพเสียงจากธรรมชาติจ้า
ในยามสาย ขณะที่แดดเริ่มแรงขึ้น สีชมพูเข้มของดอกซากุระก็ยิ่งปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเต็มตา
ดูกันใกล้ๆ ชมกันเต็มตา ดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือ Yunnan Cherry ราชินีแห่งดอกไม้เมืองหนาวอันแสนอ่อนหวาน งามไม้แพ้ดอกซากุระที่แดนอาทิตย์อุทัยเลยแม้แต่น้อย
ว้าว! สวยจัง เที่ยวเมืองไทยเหมือนไปเมืองนอกแท้ๆ เมืองไทยก็มีซากุระนะจ๊ะ
ราชินีแห่งพรรณไม้เมืองหนาวอันหวานซึ้ง ซากุระภูลมโล
ความงามหวานซึ้งของซากุระภูลมโล ยิ่งเพ่งพินิจใกล้ๆ ก็ยิ่งหลงรัก
ภูลมโล Guide
ปัจจุบันเส้นทางขึ้นไปชมซากุระภูลมโล มี 2 เส้นทาง เลือกกันได้ตามสะดวกจ้า
เส้นทางที่ 1 จากที่ทำการตำบลกกสะทอน ผ่านบ้านตูบค้อ-ยอดภูลมโล ระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร (ค่าเช่ารถกระบะพาขึ้นไปชมซากุระ 1,500-2,000 บาท)
เส้นทางที่ 2 จากบ้านใหม่ ภูหินร่องกล้า-ยอดภูลมโล ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร (ค่าเช่ารถกระบะพาขึ้นไปชมซากุระ 800-1,200 บาท)
สอบถามเพิ่มเติมที่ อบต. กกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย โทร. 0-4203-9867 www.koksathon.go.th
Special Thanks : ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคอีสาน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานจังหวัดเลย สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-4281-2812, 0-4281-1405
Special Thanks : บริษัท Outdoor Innovation Co., Ltd. สนับสนุนเสื้อกันหนาวและเสื้อผ้าสำหรับชีวิตแบบ Outdoor