วิหารพาร์เธนอน สุดยอดสถาปัตยกรรมกรีก
สุดยอดสถาปัตยกรรมกรีกยุคคลาสิก คือคำจำกัดความสั้นๆ ทว่าบ่งชี้ถึงคุณค่าความสำคัญขั้นสุดยอด ของ “วิหารพาร์เธนอน” แห่งนครเอเธนส์ ประเทศกรีซ สถานที่ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการปกครองกรีกยุครุ่งเรือง และเมืองผู้ให้กำเนิดการปกครองระบอบประชาธิปไตยของโลก เมื่อ 447-438 ปีก่อนคริสตกาล
จากยอดเขาอะโครโปลิส มองเห็นตัวเมืองเอเธนส์ทอดตัวอยู่บนที่ราบสูงแอตติก้า จนสุดลูกหูลูกตา
วิหารพาร์เธนอนตั้งอยู่บนยอดเขาอะโครโปลิสกลางเอเธนส์ ตัววิหารสร้างด้วยหินอ่อนชั้นเลิศสีขาวสะอาด จึงแลเห็นได้ชัดจากเมืองเบื้องล่าง โครงสร้างเสาหินอ่อนที่แลหนักแน่น มั่นคง รับน้ำหนักโครงหลังคาหน้าจั่วสูง มีรูปสลักหินอ่อนประดับประดา เคยใช้เป็นเทวสถานบูชาเทวีอธีนา (Athena) เทวีผู้ปกปักษ์นครเอเธนส์ ล้อมรอบด้วยวิหารอีกหลายหลัง อาทิ วิหารอธีนาไนกี้, วิหารอีแรกทีอุม, ซุ้มประตูโพรพีเลียขนาดยักษ์ และโรงละครรูปครึ่งวงกลม ฮีโรเดส แอตติคัส ฯลฯ
ทางขึ้นยอดเขาอะโครโปลิส
ตัววิหารพาร์เธนอนที่ยาวถึง 300 เมตร สูง 12 เมตรนั้น ไม่มีเส้นตรงที่แท้จริงอยู่เลย! ทั้งที่ตัวเสา หลังคา พื้น เพราะสถาปนิกออกแบบให้เป็นแนวโค้งเล็กน้อย เพื่อรับน้ำหนักหินอ่อนหลายหมื่นก้อนได้ดียิ่งขึ้น เส้นโค้งนี้หลอกสายตาผู้พบเห็นให้นึกว่าเป็นเส้นตรงได้อย่างอัศจรรย์! อีกทั้งยังมีการใช้สัดส่วนคำณวนก่อสร้าง แบบ Golden Ration คือ 1.618 :1 ทำให้พาร์เธนอนสง่าน่าเกรงขามทุกส่วนสัด ข้ามกาลเวลามานับพันๆ ปี
รูปสลักหินที่พาร์เธนอน ซึ่งได้รับการซ่อมแซมแกะสลักจำลองแบบขึ้นใหม่ ส่วนของจริงถูกนำไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ในเอเธนส์
ยอดหัวเสาแบบไอโอนิค ที่พาร์เธนอน
วิหารอีแรกทีอุม หนึ่งในวิหารสำคัญที่สุดบนยอดเขาอะโครโปลิส
วิหารอีแรกทีอุม
รูปสลักเทวีแห่งวิหารอีแรกทีอุม ซึ่งอดีตเคยถูกขโมยไป แต่ทางรัฐบาลกรีซตามกลับคืนมาได้
ในอดีต ยอดเขาอะโครโปลิส เคยใช้เป็นที่จุดไฟในคบเพลิงกีฬาโอลิมปิก ของชาวกรีกโบราณ
รูปปั้นนางสฟิงซ์ ที่ขุดพบบนยอดเขาอะโครโปลิส
Getting There
จากไทยไปเอเธนส์ มีหลายสายการบิน เช่น Amirates Airlines (โทร. 0-2664-1040-4 www.amirates.com/th) Turkish Airlines (ต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่อินสตันบูล ประเทศตุรกี (โทร. 0-2231-0300-7 www.thy.com) การบินไทย (โทร. 0-2356-1111 www.thaiair.com) จากสนามบินเข้าเมืองใช้บริการรถเมล์ สาย X95 หรือจะนั่งแท็กซี่ ค่ารถ 25-30 ยูโร วิหารพาร์เธนอนเปิดให้เข้าชม เวลา 08.00-19.00 น. ทุกวัน ค่าเข้าชมคนละ 12 ยูโร แต่ไม่อนุญาตให้แบกเป้ใหญ่เข้าไปด้วย เราจึงต้อง check in เข้าโรงแรมเพื่อเก็บกระเป๋าก่อน จากนั้นนั่งรถไฟใต้ดินไปได้ ลงที่สถานี Akropoli Metro แล้วเดินต่ออีกนิดเดียว ก็ถึงทางขึ้นเขาอะโครโปลิส
Jungfrau นั่งรถไฟสายสูงสุดของยุโรป!
เทือกเขาสวิสแอลป์ (Swiss Alp) เป็นหนึ่งในเทือกเขาที่ยิ่งใหญ่และงดงามที่สุดในโลก เพราะอุดมด้วยธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพร ทุ่งดอกไม้ สายน้ำลำธาร น้ำตก แถมยังมียอดเขาหิมะขาวโพลน หนึ่งในสุดยอดเสน่ห์สวิสแอลป์ที่เราสัมผัสได้ก็คือ “ยอดเขายุงค์ฟราวน์” (Jungfrau) สูง 4,158 เมตร ที่มองเห็นได้ชัดเจนจาก ยอดเขายุงค์ฟราวน์ย็อค (Jungfraujoch) สูง 3,466 เมตรจากระดับน้ำทะเล! ทว่าการขึ้นไปบนยอดเขาหิมะนี้กลับง่ายดาย เพราะมีเส้นทางรถไฟสูงที่สุดในยุโรปเชื่อมต่อ ขึ้นมาจากเมืองอินเตอร์ลาเคน (Interlaken) นำผู้คนขึ้นมาพบประสบการณ์บนทุ่งหิมะหนาวเย็น โดยบนยอดเขานี้มีจุดชมวิว อุโมงค์-ปราสาทน้ำแข็ง และมีตู้ไปรษณีย์บนที่สูงสุดของยุโรปให้ส่งจดหมายกันด้วย
อากาศดีที่สุดคือฤดูร้อน เดือนมิถุนายน-สิงหาคม และฤดูใบไม้ผลิ เดือนมีนาคม-พฤษภาคม ฤดูหนาวในเมืองอินเตอร์ลาเคนและยุงค์ฟราวน์ เดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ อุณหภูมิ 0 ถึง -1 องศาเซลเซียส มีหิมะตกเกือบตลอดเวลา ส่วนในตัวเมืองอินเตอร์ลาเคนอุ่นกว่านี้เล็กน้อย ควรมีอุปกรณ์กันหนาวพร้อม
Getting There
– กรุงเทพฯ-เบิร์น (Bern) เช่น การบินไทย (www.thaiairways.co.th) และ Swissair (www.swissair.com) ใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง
– เบิร์น-อินเตอร์ลาเคน (Interlaken) นั่งรถไฟ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง จากเมืองไทยควรซื้อตั๋วรถไฟ Swiss Pass ไปก่อน เพื่อความรวดเร็วและได้ส่วนลด (บริษัท Diethelm Travel / www.diethelmtravel.com)
– จากตัวเมืองอินเตอร์ลาเคน นั่งรถไฟสาย Jungfrau Railway จากสถานีอินเตอร์ลาเคน ออส (Interlaken Ost) ผ่านสถานีเลาเทอร์บรุนเนน (Lauterbrunnen) สูง 796 เมตร – สถานีไคลน์ ชไนเดกก์ (Kleine Scheidegg) สูง 2,061 เมตร – สถานีไอเกอร์วานด์ (Eigerwand) สูง 2,865 เมตร จนถึงยอดเขายุงค์ฟราวน์ย็อค
Glacier Express รถไฟด่วนที่ช้าที่สุดในโลก!
ถ้ามีเพื่อนมาชวนไปนั่งรถไฟด่วนขบวนช้าที่สุดในโลก! ระยะทางแค่ 274 กิโลเมตร แต่วิ่งตั้ง 8 ชั่วโมง! ฟังอย่างนี้เราคงไม่อยากไป! แต่ถ้ามีเพื่อนอีกคนมาบอกว่า เราไปนั่งรถไฟชมวิวสายหิมะกันเถอะ เป็นรถไฟแบบ Panoramic View หน้าต่างและหลังคาตู้โบกี้เป็นกระจกใสชมวิวได้ตระการตา ถ่ายภาพได้แจ่ม แถมภายในตู้ที่นั่งยังหรู นุ่มสบาย ยังกับนั่งเครื่องบิน มีเครื่องดื่มและอาหารอร่อยเสิร์ฟด้วย ฟังอย่างนี้เราคงไปชัวร์! เพราะทั้งหมดนี้คือ “รถไฟด่วนกลาเซียร์ เอ็กซ์เพรส” (Glacier Express) ของสวิตเซอร์แลนด์
รถไฟขบวนนี้ วิ่งจากเมือง Zermatt (เมืองตั้งต้นขึ้นยอดเขาแมตเตอร์ฮอร์น) ไปยังเมือง St.Moritz (เมืองสกีสุดหรู) ตลอดทางของรถไฟชมวิวนี้ เราจะได้ชื่นชมกับขุนเขาสลับซับซ้อน ทุ่งหิมะ ป่าสน วิถีชีวิตผู้คน อุโมงค์ลอดภูเขา 91 แห่ง และสะพานข้ามเหว 291 แห่ง! โดยจุดสูงสุดของเส้นทางจะผ่านช่องเขาสูง 2,033 เมตร ที่ปกคลุมด้วยหิมะตระการตา จนเราลืมเวลาราวกับโลกหยุดหมุนไปเลย!
ทุกที่นั่งบนรถไฟกลาเซียร์ เอ็กซ์เพรส จะมีแผ่นพับข้อมูลเส้นทางให้อ่าน พร้อมกับมีหูฟังบรรยาย 6 ภาษา คือ อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี จีน และญี่ปุ่น พอถึงจุดที่จะมีคำบรรยาย ก็จะมีเสียงกระดิ่งพร้อมตัวอักษรวิ่งบนหน้าจอเหนือประตูขบวนรถไฟ บรรยายว่าขณะนี้เรากำลังอยู่จุดใด แต่ถ้าไม่ฟังคำบรรยาย ก็จะมีเพลงให้เลือกฟังแทน
Getting There
– ช่วงที่ 1 กรุงเทพฯ-ซูริก (Zurich) มีหลายสายการบิน เช่น Thai Airways โทร. 0-2356-1111 (www.thaiair.com) และ Swiss International Airlines โทร. 0-2636-2150-60 (www.swiss.com)
– ช่วงที่ 2 ซูริก-เมืองแซร์มัตต์ (Zermatt) โดยรถไฟ ใช้เวลา 3.30 ชั่วโมง (เช็คเวลาจาก www.sbb.ch/en/) จากเมืองไทยควรซื้อตั๋วรถไฟ Swiss Pass ไปก่อนที่ บริษัท Diethelm Travel โทร. 0-2660-7000 (www.diethelmtravel.com)
– ช่วงที่ 3 นั่งรถไฟ Glacier Express เส้นทางเมือง Zermatt-เมือง St.Moritz ใช้ตั๋วรถไฟ Swiss Pass ไปจองที่นั่งได้เลย โดยจ่ายค่าจองเพิ่มอีกเล็กน้อยเท่านั้น ค้นข้อมูลเพิ่มที่ www.glacierexpress.ch
Madagascar เกาะมหัศจรรย์แห่งมหาสมุทรอินเดีย
ชาวมาดากัสการ์เชื่อว่า “ต้นเบาบับ” (Baobab) คือต้นไม้ของพระเจ้า หรือ Tree of God เพราะมันเป็นพรรณไม้อายุยืนนับพันปีที่ทั้งพิลึกพิลั่น และเปี่ยมคุณประโยชน์ที่สุดบนเกาะมาดากัสการ์! นอกจากผลจะกินได้แล้ว เปลือกยังใช้ทำเชือก เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ฟืน แถมลำต้นอวบป่องแสนน่ารักของมัน ยังเก็บกักน้ำให้สัตว์และผู้คนได้ดื่มกิน เคยมีบันทึกว่าเบาบับเพียง 1 ต้น กักเก็บน้ำได้มากสุดถึง 120,000 ลิตร! จุดชมต้นเบาบับได้เจ๋งสุดในมาดากัสการ์คือที่ “ถนนแห่งต้นเบาบับ” (Avenue du Baobao) อยู่ห่างขึ้นไปทางเหนือราว 15 กิโลเมตร จากเมืองมูรุนดาฟ (Morondava) เป็นถนนเชื่อมต่อไปเมืองเบโล-เซอร์-ชิริบินา (Belo-sur-Tsiribina) คนที่คลั่งไคล้ใหลหลงธรรมชาติต่างมุ่งหน้าไปที่นั่น เพื่อชมต้นเบาบับยักษ์นับร้อยเรียงรายเคียงคู่อาทิตย์อัสดง เป็นภาพมหัศจรรย์ซึ่งไม่มีที่ใดเหมือน!
มีนิทานเล่าว่า เบาบับเป็นพันธุ์ไม้ชนิดแรกที่อุบัติขึ้นบนโลก แต่เมื่อมันเห็นต้นปาล์มมีรูปร่างเพรียวงาม มันก็อยากจะสูงกว่า ต่อมามีต้นไม้อื่นผลิดอกสีแดง เจ้าเบาบับก็อิจฉา และเมื่อมันเห็นต้นไทรใหญ่มีผลดก มันก็อยากจะเป็นอย่างเขา พระเจ้าจึงพิโรธทรงถอนต้นเบาบับขึ้นมา แล้วปักยอดลงดิน รากชี้ฟ้า เพื่อให้เบาบับรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมี ทุกวันนี้ต้นเบาบับยามผลัดใบทิ้งหมดในฤดูแล้งจึงแลเหมือนรากชี้ฟ้า!
รอยยิ้มสดใส ของสองสาวน้อยแห่งมาดากัสการ์
ถนนต้นเบาบับอันแสนแปลกตา
สระบัวที่อยู่ข้างๆ ถนนต้นเบาบับ
ถนนต้นเบาบับในแสงสุดท้ายอันน่าประทับใจของวัน
มาดากัสการ์ (Madagascar) คือเกาะใหญ่อันดับ 4 ของโลก ซึ่งนักธรณีวิทยาเรียกว่าเป็นทวีปน้อย! เพราะมาดากัสการ์เป็นส่วนของแผ่นดินที่หลุดออกจากแอฟริกาเมื่อ 165 ล้านปีก่อน จึงมีสัตว์แปลกๆ วิวัฒนาการอยู่จำเพาะเพียงแห่งเดียวในโลก คือ “ลีเมอร์” (Lemur) สัตว์ตระกูลวานรที่มีสายวิวัฒนาการเก่าแก่ที่สุด! มีตั้งแต่ตัวเท่าคนไปจนถึงตัวเท่าหนู! ถ้าอยากดูต้องไปที่ “เขตอนุรักษ์เอกชนเบเรนตี้” (Berenty Private Reserve) ทางตอนใต้ของมาดากัสการ์ ห่าง 80 กิโลเมตร จากเมืองฟอร์ดโดแฟงก์ (Ford Dauphin) บริเวณนี้เป็นพื้นที่กึ่งทะเลทราย มีป่าหนาม (Spiny Forest) แห่งสุดท้ายให้ชม
Mouse Lemur เป็นลีเมอร์ขนาดเล็กที่สุดของโลก ออกหากินเฉพาะตอนกลางคืน ดูน่าตาน่ารักเหมือนมิกกี้เมาส์ไม่มีผิดเลยนะ
เบเรนตี้ เป็นบ้านของลีเมอร์เด่น 3 ชนิด คือ ซิฟาก้า (Sifaka) ลีเมอร์หางแหวน (Ring-tailed Lemur) และลีเมอร์สีน้ำตาล (Brown Lemur) ทั้งหมดหากินเป็นฝูงเล็กๆ อยู่ในพื้นที่เดียวกันอย่างสงบ โดยเฉพาะซิฟาก้าที่ชอบลงมาโดดหย๋องแหย๋งอยู่บนพื้นอย่างน่ารัก เรียกว่า “ซิฟากาเริงระบำ” (Sifaka Dance)
นักชีววิทยาสันนิษฐานว่า ลีเมอร์รุ่นแรกมาถึงมาดากัสการ์โดยติดมากับเศษสวะลอยน้ำ หรือเศษของแผ่นดินในคราวที่ทวีปลอเรเซีย (Laurasia) และกอนด์วานา (Gondwana) แยกออกจากกันใหม่ๆ เมื่อ 250 ล้านปีก่อน พวกมันวิวัฒนาการแยกออกไปกว่า 70 สายพันธุ์ กระทั่งมนุษย์มาถึงมาดากัสการ์เมื่อ 2,000 ปีก่อน ลีเมอร์จึงสูญพันธุ์ไปกว่า 16 ชนิด เพราะถูกล่า และมนุษย์ทำลายป่าของพวกมันซะเหี้ยน!
Sifaka Dance คือลีลาท่าทางการเคลื่อนที่ของตัวซิฟาก้า แทนที่มันจะเดินแบบธรรมดาๆ ไม่! แต่มันกลับใช้วิธีกระโดดหย๋องๆ ไปมาแทน เพราะเท้ามันมีสปริงดีมาก
ป่าหนามผืนสุดท้ายของมาดากัสการ์ ที่เบเรนตี้นี่อาจเป็นสถานที่หนึ่งบนพื้นพิภพ ซึ่งลึกลับ โดดเดี่ยว และพิสดารที่สุดเท่าที่เราจะจินตนาการได้! มันคืออาณาจักรของหินผาแหลมคมราวใบมีดนับล้านๆ พุ่งชูขึ้นสู่อากาศ มีกำแพงผาสูงชัน หลืบถ้ำ และร่องเหวลึกนับร้อยเมตรล้อมรอบ พืชและสัตว์ของที่นี่ต้องปรับตัวให้อยู่ในสภาพอากาศสุดขั้ว เพราะอุณหภูมิของทิวาและราตรีต่างกันถึง 20 องศาเซลเซียส! มันคือเทือกเขาหินปูนยาวที่สุดในโลก “ซิงงีแห่งเบมาราห์” (Tsingy de Bemaraha) ประเทศมาดากัสการ์ หรือที่นักท่องธรรมชาติรู้จักกันในนิกเนม “Grand Tsingy” เทือกเขาหินปูนแห่งนี้อยู่ห่างจากชายฝั่งตะวันตกของมาดากัสการ์ 60-80 กิโลเมตร ใกล้เมืองมูรุนดาฟกลางที่ราบสูงเบมาราห์ ทางตอนเหนือของแม่น้ำมานัมโบโล มันมีพื้นที่กว่า 1,520,000,000 ตารางเมตร! ทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ยาว 200 กิโลเมตร สูง 150-700 เมตร แผ่กว้างเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด!
คำว่า “ซิงงี” (Tsingy) เป็นภาษามาลากาซีของชนพื้นเมืองดั้งเดิมมาดากัสการ์ แปลว่า “เข็ม” เพราะหินปูนมีลักษณะตั้งแหลมชูชัน เกิดจากการทับถมของซากปะการังในบริเวณน้ำตื้นใกล้ทวีปแอฟริกา เมื่อผืนดินถูกแรงเค้นยกตัวขึ้นเป็นเกาะมาดากัสการ์ ซากฟอสซิลจึงเปลี่ยนเป็นเทือกเขาหินปูนยาวที่สุดในโลก องค์การ UNESCO จึงประกาศให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ เมื่อ พ.ศ. 2533
สำรวจถ้ำใต้พิภพ ที่เทือกเขาหินปูนยักษ์แกรนด์ ซิงงี่
เมือง Oia เกาะ Santorini เมืองสีขาวแห่งทะเลอีเจียน
ในบรรดาเกาะน้อยใหญ่กว่า 1,400 เกาะ ที่กระจายกันอยู่ในทะเลอีเจียน อันเป็นส่วนหนึ่งของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสีฟ้าครามสดใสของกรีซนั้น คงจะไม่มีเกาะใดโด่งดังแซงหน้า “เกาะซานโตรินี” (Santorini) ไปได้ เพราะนี่คือเกาะซึ่งสันนิษฐานกันว่า เคยเป็นอาณาจักรแอตแลนติสที่สาบสูญในอดีต ซานโตรินีมีเมืองหลวงชื่อ “เมืองเอีย” (Oia) ตั้งอยู่บนขอบผาสูงชันนับร้อยเมตร หันหน้าไปทางทิศตะวันตก จึงเป็นจุดชมอาทิตย์อัสดงลงทะเลแสนคลาสสิก ทุกวันจะมีนักท่องเที่ยวนับพันไปรอชมภาพงดงามนี้ ส่วนตัวเมืองเอียเองก็พิเศษไม่เหมือนใคร เพราะสร้างด้วยสไตล์ไซคลาดิก เป็นทรงสี่เหลี่ยม เน้นสีขาว มีโดมสีฟ้าบนหลังคา และมีกังหันลมอยู่ทั่วไป มองคล้ายเมืองของเล่นน่ารัก ที่มีดอกไม้และซอกมุมให้เดินค้นหาความสุขได้ไม่เคยจบสิ้นจริงๆ
อากาศบนเกาะซานโตรินีดีที่สุดคือช่วงฤดูใบไม้ผลิ-ฤดูร้อน ระหว่างเดือนเมษายน-ตุลาคม อุณหภูมิประมาณ 17-25 องศาเซลเซียส ส่วนฤดูหนาวช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ เกาะปิดไม่ให้เที่ยว อุณหภูมิประมาณ 12-15 องศาเซลเซียส
Getting There
– ช่วงที่ 1 กรุงเทพฯ-เอเธนส์ เช่น Turlish Airlines โทร. 0-2231-0300-7 www.thy.com และ Thai Airways โทร. 0-2356-1111 www.thaiair.com ฯลฯ
– ช่วงที่ 2 เอเธนส์-ท่าเรือพิเรียอุส เดินทางได้ 2 วิธี คือ รถแท็กซี่ แต่ค่ารถจะแพงมาก ถ้าให้ประหยัดกว่า ควรนั่งรถไฟฟ้าไปสุดสายที่ท่าเรือได้เลย มีตั้งแต่เวลา 05.00-24.00 น.
– ช่วงที่ 3 ท่าเรือพิเรียอุส-ซานโตรินี นั่งเรือเฟอร์รี่ใช้เวลา 7 ชั่วโมง เช่น Blue Star Ferries www.bluestarferries.com, Hellenic Seaways www.hellenicseaways.gr หรือจะนั่งเครื่องบินไปใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง โดย Olympic Airlines www.olympicairlines.com และ Aegean Airlines www.aegeanair.gr
– ช่วงที่ 4 เมืองฟิร่า-เมืองเอีย เดินทางด้วยรถบัส มีรถออกตลอดวันตั้งแต่เช้า รถออกชั่วโมงละคัน เที่ยวสุดท้ายกลับจากเมืองเอีย 20.00 น. ใช้เวลาเดินทาง 30 นาที หรือเหมาแท็กซี่จากเมืองฟิร่าไปเมืองเอียได้
Matterhorn มหาคีรีสองทวีป Switzerland
นี่คือหนึ่งยอดเขาที่ได้ชื่อว่า สูงและสวยที่สุดของเทือกเขาสวิสแอลป์แห่งยุโรป “ยอดเขาแมตเตอร์ฮอร์น” (Mt.Matterhorn) ยอดเขามหัศจรรย์ทรงพีระมิดเรียบ 4 ด้าน หันไปยังสี่ทิศหลังของโลก! ด้วยความสูง 4,478 เมตร ยอดแหลมเฟี้ยวทะลุเมฆขึ้นสู่ท้องฟ้า จึงเคยเป็นหนึ่งในยอดเขาที่พิชิตยากที่สุดของยุโรป! โดยมีหน้าผา 3 ด้านหันไปทางสวิตเซอร์แลนด์ และ 1 ด้าน หันไปทางอิตาลี ชี้ชวนให้นักปีนเขาผจญภัยเสี่ยงชีวิตขึ้นไปทุกปีในฤดูร้อน แต่สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป ช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม อากาศดีจะที่สุด เพราะอุณหภูมิไม่หนาวเย็นเกินไป ท้องฟ้าก็ปลอดโปร่ง มองเห็นยอดเขาแมตเตอร์ฮอร์นได้จากในเมืองเซอร์แมตต์ (Zermatt) เมืองตากอากาศเล่นสกียอดฮิต แต่ถ้าอยากชมให้ใกล้ชิดขึ้นอีก ต้องนั่งรถไฟสาย Gornertgrat Bahn ขึ้นสู่ยอดเขากอร์เนอร์กราท สูง 3,089 เมตร เพื่อชมธารน้ำแข็งสุดอลังการ และยอดเขาแมตเตอร์ฮอร์นตระหง่านอยู่ตรงหน้า ใกล้ราวจะสัมผัสได้!
ความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของยอดเขาแมตเตอร์ฮอร์นที่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้ คือ ส่วนฐานของภูเขาเป็นแผ่นเปลือกโลกทวีปแอฟริกา (African Plate) ที่มุดลงไปใต้แผ่นเปลือกโลกทวีปยุโรป (European Plate) ดังนั้นยอดเขาแมตเตอร์ฮอร์นจึงเป็นทวีบยุโรป ซึ่งมีการก่อตัวขึ้นไม่ต่ำกว่า 100 ล้านปีแล้ว!
Getting There
– กรุงเทพฯ-ซูริก (Zurich) มีหลายสายการบิน เช่น Swiss International Airlines (www.swiss.com/ch/en) , Turkish Airlines (www.turkishairlines.com) ฯลฯ ใช้เวลาบินประมาณ 11.44 ชั่วโมง
– ซูริก–แซร์มัตต์ (Zermatt) โดยรถไฟ ใช้เวลา 3.30 ชั่วโมง จากเมืองไทยควรซื้อตั๋วรถไฟ Swiss Pass ไปก่อน เพราะจะได้ส่วนลดค่าตั๋วเป็นพิเศษ เป็นตั๋วรถไฟชั้น 1 สำหรับนักท่องเที่ยว ใช้เดินทางได้ทั่วสวิตเซอร์แลนด์ ตั๋วมีแบบอายุ 15 วัน ถึง 3 เดือน ติดต่อซื้อได้ที่ www.diethelmrail.com และ www.statravel.co.th
– แซร์มัตต์–แมตเตอร์ฮอร์น (Matterhorn) นั่งรถไฟขึ้นเขาสาย Gornertgrat Bahn เป็นรถไฟขบวนพิเศษ นำนักท่องเที่ยวขึ้นไปที่ยอดเขากอร์เนอร์กราท เพื่อชมยอดเขาแมตเตอร์ฮอร์น ถ้าจองตั๋วรถไฟ Swiss Pass ไปแล้วจากเมืองไทย ก็จะได้ส่วนลดค่าตั๋ว 50 เปอร์เซนต์ ค่าตั๋วคนละ 34 ฟรังก์ ใช้เวลา 40 นาที