Tana Toraja Land of Life & Dead, Indonesia

Tana Toraja 2สุลาเวสี (Sulawesi) ชื่อนี้หลายคนอาจไม่คุ้นเคย แต่ถ้าจับแผนที่หมู่เกาะของประเทศอินโดนีเซียมากางดู จะรู้ว่าสุลาเวสี คือหนึ่งในเกาะใหญ่ที่สุดทางตะวันออกของอินโดนีเซีย อยู่ถัดจากเกาะชวา เกาะบาหลี และลอมบอก ออกไป เกาะนี้เป็นแหล่งปลูกข้าวสำคัญ เพราะมีดินภูเขาไฟอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งมีเทือกทิวเขาสลับซับซ้อน มีภูเขาสูงเกินพันเมตรหลายลูก อากาศเย็นฉ่ำ กลายเป็นแหล่งปลูกกาแฟ โกโก้ วานิลลา และที่สำคัญคือ สุลาเวสียังได้ชื่อว่าเป็น “หมู่เกาะเครื่องเทศ” ในอดีตอีกด้วย
Tana Toraja 3เมื่อเดินทางไปถึงตอนใต้ของเกาะสุลาเวสี ที่บริเวณ Tana Toraja เราจะได้ชื่นชมวิถีชีวิตการปลูกข้าว ที่ผูกพันกับผู้คนมาหลายร้อยปี
Tana Toraja 4และแน่นอนว่า เมื่อมีการเกษตรกรรมปลูกข้าว ควายก็คือเพื่อนแสนดีที่ชาวนาใน Tana Toraja สนิทที่สุด ทว่าด้วยความเชื่อในเรื่อง ‘ชีวิตหลังความตาย’ ควายจึงถูกนำไปเปรียบเสมือนพาหนะที่จะนำพาวิญญาณของผู้วายชนม์ไปสู่สุขติ ใน Tana Toraj จึงมีการบูชายัญควายในพิธีศพด้วย อีกทั้งยังมี ‘ตลาดควาย’ หรือ Buffalo Market ที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย ทุกวันเสาร์และวันอังคาร จะมีควายหลายพันตัวมาสู่ตลาดซื้อขายนี้Tana Toraja 5เอกลัษณ์อย่างหนึ่งของชาว Torajan ที่อาศัยอยู่ในเขต Tana Toraja ของเกาะสุลาเวสีตอนใต้ ก็คือการสร้างบ้านหลังคาโค้งหน้าจั่วแหลมสูงที่เรียกว่า ‘ตองโกนัน’ (Tongkonan) โดยเหตุที่เขาต้องสร้างหลังคาในลักษณะนี้ก็เพราะ บรรพบุรุษของชาว Torajan ได้ล่องเรืออพยพมาจากกัมพูชาและจีนตอนใต้ เมื่อมาถึงเกาะสุลาเวสี ก็ล่องเรือลึกเข้ามาในแผ่นดินตามแม่น้ำสายใหญ่ และเมื่อเริ่มตั้งรกรากฐาวร ไม่อาศัยอยู่ในเรืออีกแล้ว จึงสร้างตัวแทนเรือไว้เป็นหลังคาบ้านแบบนี้ล่ะครับ โดยบ้านรุ่นเก่าจะมุงหลังคาด้วยไม้ไผ่และฟาง ส่วนเสาบ้านใช้ต้นปาล์มป่า หรือไม้เนื้อแข็งสี่เหลี่ยม บนบ้านมีไม่เกิน 4 ห้อง อาศัยอยู่ได้แค่ 4-5 คน
Tana Toraja 6หมู่บ้านปาลาวา (Palawa Village) เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่สุดของชาว Torajan ซึ่งยังมีบ้าน Tonganan ในลักษณะดั้งเดิมให้ชมหลายสิบหลัง ด้านนอกตัวบ้านจะมีการสลักไม้เป็นลวดลายต่างๆ ทั้งพระจันทร์ พระอาทิตย์ ไก่ ทุ่งนา ควาย ฯลฯ ล้วนสะท้อนถึงวิถีชีวิตเกษตรกรรม อีกทั้งเมื่อมีคนในบ้านเสียชีวิตลง ช่วงแรกเขาก็จะเก็บศพไว้ในบ้าน ทำทีว่าผู้นั้นยังมีชีวิต มีการจัดข้าวปลาอาหารเลี้ยงดูปกติ จากนั้นก็จะห่อศพคล้ายมัมมี่เก็บไว้ โดยในพิธีศพจะมีการเชือดควายบูชายัญมากน้อยตามฐานะผู้ตายTana Toraja 7ทิวเขา สายหมอก ป่าไม้ บ้าน Tongonan วัวควาย และทุ่งนา คือลมหายใจและจิตวิญญาณที่แท้จริงของ Tana TorajaTana Toraja 8รีสอร์ทบางแห่งสร้างห้องพักเลียนแบบบ้าน Tongonan อันมีเอกลักษณ์
Tana Toraja 9ชาว Torajan ในปัจจุบันปรับตัวมาใช้ชีวิตแบบคนเมืองแล้ว ส่วนใหญ่เปิดให้ท่องเที่ยว และขึ้นชมบ้านได้ รวมทั้งจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองที่หาชมที่อื่นไม่ได้แน่นอนTana Toraja 10การเต้นรำพื้นเมืองแบบ Torajan หาชมได้เฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญ หรือในโรงแรมใหญ่ๆTana Toraja 11สาว Torajan ดูแทบไม่ออกเลยว่าบรรพบุรุษของเธอคือชาวกัมพูชา และคนจีนตอนใต้ที่อพยพสู่เกาะสุลาเวสีTana Toraja 12การเดินทางจากเมืองไทยไป Tana Toraja บนเกาะสุลาเวสีไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไป ช่วงแรกต้องบินจาก กทม.-จาการ์ต้า แล้วเปลี่ยนเครื่องภายในประเทศ จาการ์ต้า-มาคาซาร์ (Makassar) จากนั้นต้องนั่งรถยนต์อีก 300 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 8-10 ชั่วโมง จนถึงเขต Tana Toraja ตรงจุดกึ่งกลางครึ่งทางมีร้านกาแฟให้นั่งแวะพัก บริเวณ ภูเขาโนน่า (Gunung Nona)Tana Toraja 13เมื่อถึงเขต Tana Toraja ก็จะต้องผ่านเข้าสู่ประตู Toraja Gate เสียก่อน
Tana Toraja 14ก่อนที่จะเดินทางถึง เมืองมาคาเล่ (Makale) เมืองหลวงของ Tana Toraja เราจะผ่านหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรม และความศรัทธาของชาวคริสต์ที่นี่ (เนื่องจากคนเกิน 60 เปอร์เซนต์ ของ Toraja ปัจจุบันนับถือศาสนาคริสต์) คือ ‘รูปปั้นพระเยซูคริสต์แห่งมานาโด้’ (Jesus of Manado) ซึ่งมีความยิ่งใหญ่ไม่แพ้รูปปั้นพระเยซูคริสต์ที่บราซิลเลยแม้แต่น้อยTana Toraja 15ลงจากยอดเขา Jesus of Lemo สู่ ตัวเมือง Makale เพื่อเดินทางต่อไปยังเขตทะเลภูเขาสลับซับซ้อนของ Tana TorajaTana Toraja 16Land Above the Cloud หรือ แผ่นดินสูงเหนือเมฆ คือจุดชมวิวสวยที่สุดในยามเช้าของเขต TorajaTana Toraja 17 จาก Land Above the Cloud มองลงไปเบื้องล่าง งามไม่ต่างจากสวรรค์!
Tana Toraja 18ที่ Land Above the Cloud มีจุดกางเต็นท์และจุดชมวิวให้นักท่องเที่ยวเลือกหลายแห่ง วิวตรงหน้าก็จะงามต่างกันไป
Tana Toraja 19ด้วยความสูงไม่ต่ำกว่า 1,300-1,600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ทำให้ภูเขาในแถบ Tana Toraja กลายเป็นแหล่งปลูกกาแฟอะราบิก้าคุณภาพดีที่สุดแห่งหนึ่งของอินโดนีเซีย ส่งออกไปทั่วโลกTana Toraja 20ต้องหากาแฟ Toraja Cofee ร้อนๆ ดื่มแก้หนาวกันหน่อยล่ะTana Toraja 21กาแฟ และผงโกโก้เข้มข้น ที่นี่หาซื้อง่าย แม้แต่ใน ตลาดเช้า หรือ Morning Market ก็มีให้เลือกซื้อเพียบTana Toraja 22บรรยากาศตลาดเช้าของเมือง Makale คึกคักทุกวัน พืชผักผลไม้มีให้เลือกซื้อหลากหลายจริงๆ สะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินTana Toraja 23การจะเข้าถึง Tana Toraja ให้ได้แบบถึงกึ๋นลึกซึ้ง เราต้องไปเยี่ยมชมสถานที่เกี่ยวกับ ‘ชีวิตหลังความตาย’ กันหน่อย! อย่าเพิ่งตกใจ เพราะคนที่นี่เขามองเรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดา เหมือน Cycle of Life นั่นล่ะ ที่ Tana Toraja จะไม่มีการเผาศพหรือฝังศพเด็ดขาด แต่จะใช้วิธีห่อศพคล้ายมัมมี่ แล้วนำไปเก็บไว้ตามถ้ำ ตามหน้าผา หรือสร้างบ้าน Tongonan หลังเล็กๆ เก็บไว้แทน เพื่อให้ลูกหลานได้รำลึกถึงบรรพบุรุษ อย่างที่ ‘ถ้ำลีโม่’ (Lemo Cave) จะมีการเจาะโพรงไว้บนหน้าผาสูงชัน หรือนำศพคนตายไปเก็บไว้ในถ้ำต่างๆTana Toraja 24.1หน้าผาเก็บศพแห่งลีโม่ มีการแกะสลักตุ๊กตาไม้ตัวแทนผู้ตาย ให้คนที่ยังอยู่ได้รำลึกถึง ตุ๊กตาเหล่านี้มีขนาดเท่าคนจริง เรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า ‘เตา-เตา’ (Tao-Tao)Tana Toraja 24ที่ ‘หมู่บ้านทัมปัง อัลโล’ (Tampang Allo Village) มีต้นไม้โบราณอยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งชาวบ้านใช้เก็บศพเด็กทารกที่ตายก่อนจะมีฟันน้ำนมขึ้น โดยเขาจะนำศพเด็กห่อผ้าเหมือนมัมมี่ นำไปใส่ไว้ในโพรงต้นไม้ เพราะต้นไม้นี้มียางขาวคล้ายน้ำนม วิญญาณเด็กจะได้ดื่มน้ำนมแล้วมาเกิดใหม่ มันจึงกลายเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่มีการเก็บกินผลเด็ดขาด ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงต้นเดียว ภายในบรรจุศพเด็กทารกไว้หลายสิบศพ
Tana Toraja 25ที่หมู่บ้าน Tampang Allo ยังมีอีกหนึ่งสถานที่น่าขนลุกซึ่งไม่ควรพลาดชม นั่นคือ ‘ถ้ำเก็บศพแห่งทัมปัง อัลโล่’ ภายในถ้ำขนาดใหญ่ที่เย็นชื้นและโบราณนี้ เต็มไปด้วยหัวกะโหลก โครงกระดูก โลงศพไม้โบราณ และตุ๊กตาเตา-เตา นับร้อยๆ ตัว วางระเกะระกะอยู่ทั่วไปในทุกซอกหลืบ บ้างแขวนอยู่บนเพิงผาหินปูนสูงชัน ปัจจุบันเหลือถ้ำเก็บศพลักษณะนี้อยู่ใน Tana Toraja เพียงไม่กี่แห่ง โดยส่วนใหญ่จะเป็นศพของชนชั้นปกครองหรือคนรวยTana Toraja 26ภายในถ้ำเก็บศพทัมปัง อัลโล่ คือที่พำนักสุดท้ายอันสงบสงัดของผู้วายชนม์!Tana Toraja 27ตุ๊กตาเตา-เตา ภายในถ้ำเก็บศพทัมปัง อัลโล่

หากคุณมีโอกาส และต้องการเดินทางสู่ดินแดนแปลกใหม่ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่ในโลก หรือต้องการผจญภัยในดินแดนห่างไกลที่แทบจะไม่เคยมีใครย่างเหยียบไปถึง เราขอแนะนำ ดินแดน Tana Toraja แห่งเกาะสุลาเวสี ที่สุดแห่งการเดินทางครั้งหนึ่งในชีวิต!
Wonderful IndonesiaImNikon

Top 10 Akita เสน่ห์ Tohoku Japan

1 Akita Snow 11.อะคิตะ ดินแดนแห่งหิมะขาว (Akita the Snow Country of Tohoku) อาบอิ่มด้วยความฉ่ำเย็นทางภาคเหนือ หรือภูมิภาคโทโฮขุ (Tohoku) ของแดนอาทิตย์อุทัย นั่งรถกระเช้าขึ้นไปบนสกีรีสอร์ท ชมวิว ถ่ายภาพ เล่นสกี เล่นสโนว์บอร์ด เก็บเกี่ยวควาทรงจำดีๆ เอาไว้ในใจตลอดไป หิมะขาวของ Akita จะโปรยปรายให้ชื่นชม ระหว่างปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนมีนาคม2 Akita Snow 2 3 Akita Snow 3 3.1 Akita Snow 3 4 Akita Snow 4 5 Akita Snow 5 6 Akita Snow 6 7 Akita Snow 7 8 Akita Snow 8 9 Tazawa Lake 12. ทะเลสาบทาซาวะ (Tazawa Lake) เมืองเซนโบขุ (Senboku) เป็นทะเลสาบลึกที่สุดของญี่ปุ่น คือลึกกว่า 420 เมตร ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นทะเลสาบในปากปล่องภูเขาไฟเก่าที่ดับสนิทแล้วนั่นเอง เราจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมในช่วงฤดูหนาวที่หิมะตกหนัก น้ำในทะเลสาบจึงไม่จับตัวเป็นน้ำแข็ง คงเพราะมีความร้อนจากใต้พิภพผุดขึ้นมาจากก้นทะเลสาบนั่นเอง

ทะเลสาบทาซาวะมีตำนานความรักของเจ้าหญิง Tatsuko กับ Hachiro อันอบอุ่น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมน้ำในทะเลสาบแห่งนี้จึงไม่เคยเป็นน้ำแข็งเลย! ลองไปสัมผัสเรื่องราวเหล่านี้ด้วยตัวเอง แล้วจะรู้สึกเลยถึงความโรแมนติก คลาสสิก เหมาะกับการถ่ายภาพ ชมวิวสวยๆ แสนประทับใจ10 Tazawa Lake 2 11 Tazawa Lake 3tsurunoyu13. สึรุโนะยุ ออนเซน (Tsurunoyu Secret Onsen) เมืองเซนโบขุ (Senboku) เป็น 1 ใน 8 ที่พักไสตล์ออนเซนเรียวกังของย่าน นิวโตะ (Nyuto Onsen) สึรุโนะยุ ออนเซน เป็นบ่อน้ำแร่ร้อนออนเซนอันลี้ลับกลางหุบเขาหนาวเย็น ซึ่งไดเมียวและเหล่าซามูไรเคยมาอาบแช่เมื่อหลายร้อยปีก่อน นับเป็นหนึ่งในออนเซนที่คนญี่ปุ่นทั้งประเทศต้องการมาอาบแช่สักครั้งในชีวิต เพราะน้ำสีนมเทอร์ควอยต์ของที่นี่อุดมด้วยแร่ธาตุมากมาย ได้อาบแช่แล้วสบาย ผ่อนคลายกายใจ ช่วยให้สุขภาพดีkuroyu kuroyu1 kyukamura4 magoroku1 taenoyu4 15 Tsurunoyu onsen 4 16 Hanabi 14.  เทศกาลดอกไม้ไฟ ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น (Omagari Firework Festival) ช่วงเสาร์สุดท้ายของเดือนสิงหาคมทุกปี ที่ เมืองโอมาการิ (Omagari City) ในจังหวัดอะคิตะ จะมีการจัดงานเทศกาลดอกไม้ไฟที่ยิ่งใหญ่อลังการที่สุดในญี่ปุ่น เพราะดินแดนโทโฮขุแถบนี้เป็นแหล่งผลิตดอกไม้ไฟอันมีชื่อเสียงมาแต่โบราณ งานนี้คนญี่ปุ่นเรียกว่า Hanabi Taikai เป็นช่วงซึ่งที่พักหายากมาก อาจต้องจองข้ามปีกันเลยทีเดียว

งานนี้เราจะได้ตื่นตาตื่นใจกับการแข่งขันจุดพลุและดอกไม้ไฟ จากสุดยอดช่างทำพลุของญี่ปุ่น ที่มาโชว์ฝีมือแข่งกันอย่างเต็มที่
17 Hanabi 2 18 Hanabi 3 19 Hanabi 4 20 Samurai Village 15. หมู่บ้านซามูไร คาคุโนดาเตะ (Kakunodate Samurai Village) ใน เมืองเซนโบขุ (Senboku) เป็นย่านซามูไรอันเก่าแก่ของญี่ปุ่นที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี ทำให้เราสัมผัสได้ถึงก้าวย่างสู่อดีตของญี่ปุ่นก่อนยุคเมจิ (ญี่ปุ่นสมัยใหม่) มีซามูไรกว่า 80 ตระกูล อาศัยทำการค้าขายอยู่ในแถบนี้ จึงมีเรื่องราวประวัติศาสตร์ให้เรียนรู้ ปัจจุบันมีบ้านซามูไร 6-8 หลัง เปิดให้เข้าชมทั้งภายนอกภายใน แถมยังมีร้านให้เช่าชุดกิโมโนและชุดซามูไร ใส่เดินเที่ยวถ่ายรูปได้ตลอดวัน สลับกับการนั่งพักดื่มชา หรือชิมอาหารอร่อยๆ ในย่านนี้ Happy จริงๆ เนอะ

หมู่บ้านซามูไรแห่งคาคุโนดาเตะ แบ่งเป็น 2 โซนใหญ่ๆ คือ โซนหมู่บ้านซามูไร (Samurai District) และโซนค้าขาย (Merchant District) สร้างมาตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1620 ใครที่โหยหาอดีตย้อนยุค มาเที่ยวที่นี่ไม่ผิดหวังแน่นอน โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ผลิ ดอกซากุระสีชมพูสองข้างถนนจะพร้อมใจกันเบ่งบานอลังการสุดๆ เลยล่ะ
21 Samurai Village 2 22 Samurai Village 3 23 Samurai Village 4 24 Samurai Village 5 25 Kanto Festival 16. เทศกาลโคมไฟ (Akita Kanto Festival) ถือเป็นเทศกาลโคมไฟที่ยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุดในญี่ปุ่น จัดกันที่จังหวัดอะคิตะในเมือง Akita City เป็นประจำทุกปีช่วงวันที่ 3-6 สิงหาคม โดยงานนี้ถือเป็น 1 ใน 6 เทศกาลใหญ่สุดของภูมิภาคโทโฮขุ จัดขึ้นเพื่อให้เกิดโชคดีสำหรับฤดูเก็บเกี่ยว โคมไฟแต่ละอันจะผูกติดอยู่กับก้านไม้ไผ่ยาวตั้งแต่ 2-6 เมตร! กวัดแกว่งไปมาอย่างพลิ้วไหวประดุจรวงข้าวต้องลม ผู้ถือโคมไฟจึงต้องมีทักษะความชำนาญในการ Balance หรือถืออย่างไรให้สมดุล โคมไฟไม่ตกลงมาซะก่อน
26 Kanto Festival 2 27 Kanto Festival 3 28 Kanto Festival 4 29 Namahake 17. อะคิตะ ดินแดนต้นกำเนิดนามาฮาเกะ (Namahake) เทพเจ้าหรือปีศาจแห่งขุนเขา ที่ออกมาหาผู้คนในช่วงปีใหม่ของญี่ปุ่น เพื่อคอยย้ำเตือนให้ผู้คนทำดี และในวันสิ้นปีนามาฮาเกะจะไปตามบ้านเพื่อหาเด็กขี้เกียจ! เอกลักษณ์ของตัวนามาฮาเกะนั้น จะสวมหน้ากากออกแนวน่ากลัว ห่มคลุมด้วยชุดฟางข้าว มือถือมีดอีโต้ขนาดใหญ่ นามาฮาเกะถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของจังหวัดอะคิตะ พบเห็นได้ทั่วไปทั้งในแบบรูปปั้น ภาพวาด ของที่ระลึก หรือแม้แต่ขนมกินเล่น นอกจากนี้ที่ เมืองโอกะ (Oga) ยังมีพิพิธภัณฑ์นามาฮาเกะ และศาลเจ้าต้นกำเนิดนามาฮาเกะ ให้ไปเที่ยวชมอีกด้วย

ทุกปีช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ จะมี งานเทศกาลนามาฮาเกะ เซนโด เป็นขบวนแห่นามาฮาเกะลงมาจากเขาหิมะอันน่าตื่นตาตื่นใจ (ปี 2017 งาน Namahake Sedo Festival จัดวันที่ 10-12 กุมภาพันธ์ ที่ศาลเจ้านามาฮาเกะ)30 Namahake 2 31 Namahake 3 32 Namahake 4 33 Sakura DIY 18. สนุกกับกิจกรรม นำเปลือกไม้ซากุระอันมีลวดลายสวยงาม มาประดิษฐ์ประดอยเป็นของที่ระลึกเก๋ไก๋น่ารัก (Sakura Bark Handmade Souvenir DIY) เป็นการนำเปลือกไม้จากต้นยามะซากุระ ซึ่งเติบโตอยู่บนภูเขาสูงและหายาก มาประดิษฐ์เป็นรูปทรงหรือตัวอักษรติดลงบนแผ่นไม้ จากนั้นรีดด้วยเหล็กร้อนจนเกิดกาวธรรมชาติ ผนึกเปลือกซากุระจนติดแน่น เก็บไว้ดูเป็นที่ระลึกเก๋ไก๋ ไปสนุกกันได้ที่ เมืองคาคุโนดาเตะ (Kakunodate) จ้า

ทั้งนี้งานศิลปะจากเปลือกไม้ซากุระ ถือเป็นหนึ่งในงานหัตศิลป์ที่คิดค้นขึ้นโดยเหล่าซามูไรในสมัยโบราณ เห็นไหมล่ะว่า ไม่ใช่แต่เก่งฟันดาบอย่างเดียวนะ ซามูไรยังต้องทำงานฝีมือ หรือแต่งกลอนเป็นด้วยล่ะ อย่างเมื่อมีเวลาว่า ซามูไรจะทำกล่องใส่ของไว้ใช้เอง เช่น กล่องอาหารเบนโตะ เป็นต้น
34 Sakura DIY 2 35 Sakura DIY 3 36 Sakura DIY 4 37 Soba Akita 19. อะคิตะ แหล่งผลิตเส้นโซบะสดและเส้นอูด้งแสนอร่อยของญี่ปุ่น (Yummy Soba & Udon) อะคิตะเป็นแหล่งผลิตเส้นโซบะและเส้นอูด้งที่ดีที่สุด 1 ใน 3 แห่งของญี่ปุ่น เนื้อเส้นเหนียวนุ่ม ละมุนลิ้น กินกับน้ำซุปร้อนๆ ช่วยให้ร่างกายอุ่นขึ้นท่ามกลางอากาศหนาวเย็น หาชิมได้ทั่วไปในร้านอาหารทั้งเล็กใหญ่จ้า38 Soba Akita 2 39 Sake Akita 110. อะคิตะ แหล่งผลิตเครื่องดื่มสาเกคุณภาพเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น (Unique Sake of Japan) ผลิตโดยใช้ข้าวพันธุ์ท้องถิ่น นำมาบ่มหมักด้วยกรรมวิธีแบบโบราณ และด้วยความที่อากาศแถบนี้หนาวเย็นยาวนาน ทำให้ยีสที่ใช้ในการผลิตสาเก บ่มหมักไปอย่างช้าๆ เครื่องดื่มสาเกที่ได้จึงมีรสไม่ขม ทว่านุ่มลื่น ออกหวานนิดๆ นับเป็นรสชาติเฉพาะตัวของสาเกอะคิตะเลยทีเดียว โรงงานเครื่องดื่มสาเกหลายแห่งเปิดให้เข้าชมด้วย นับเป็นการเปิดประสบการณ์ที่หาได้ยาก
40 Sake Akita 2 41 Sake Akita 3 42 Sake Akita 4More info Contact : ปารี เทรเวล www.pareetravel.com และ Facebook.com/pareetravel

ล่องเรือดูนก เกาะ Langkawi Malaysia

_kbi5433 _kbi5446 _kbi5493อัญมณีแห่งรัฐเคดาห์ (The Jewel of Kedah) คือฉายาที่ใครๆ ยกย่องให้ เกาะลังกาวี (Langkawi) ในมาเลเซีย เกาะเพื่อนบ้านไม่ใกล้ไม่ไกลจากน่านน้ำอันดามันของไทยในจังหวัดสตูล ลังกาวีนี้เป็นหมู่เกาะใหญ่ รวมแล้วกว่า 99 เกาะ รวมเนื้อที่ถึง 477 ตารางกิโลเมตร ปกคลุมด้วยป่าดิบชื้นและป่าชายเลนอุดมสมบูรณ์มาก _kbi5510ที่นี่คือแหล่งอาศัยของปักษากว่า 220 ชนิด โดยจะมีนกอพยพฤดูหนาวบินมาสมทบอีก 50 ชนิดทุกปี ช่วยเพิ่มมีชีวิตชีวา และกิจกรรมดูนกบนเกาะลังกาวีให้คึกคักตลอด ความง่ายของการสัมผัสธรรมชาติที่นี่คือ เราสามารถลงเรือยนต์ขนาดเล็กล่องไปตามป่าชายเลนร่มครึ้มเขียวขจี ค่อยๆ ซุ่มไปอย่างเงียบเชียบช้าๆ ใช้กล้องส่องทางไกลสังเกตการณ์ เฝ้าดูพฤติกรรมความน่ารักของนกป่าและนกชายเลนนานาชนิด เพื่อช่วยให้เราเกิดความรัก ความเข้าใจ และความหวงแหนในนิเวศน์ธรรมชาติอันแสนเปราะบางของโลกใบนี้ _lak0735 _lak1052 _lak1482 _lak9242 _kbi5486 _lak9247 _lak9391 _lak9433ระหว่างล่องเรือดูนกในป่าชายเลน เมื่อน้ำลด จะเห็นเหล่าปลาตีนโผล่จากรูออกมาคืบคลานหากิน_lak9459

ในป่าชายเลนเต็มไปด้วยความดิบเถื่อนของธรรมชาติ อย่างปูกับงูคู่นี้_lak9722 _lak9793 _lak9795 _lak9864เทือกเขาหินปูนรูปทรงแปลกตา ที่เกาะลังกาวี_lak9917พายเรือคายัคล่องสัมผัสธรรมชาติป่าชายเลน เกาะลังกาวี_lak9922 %e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b8%98%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%94%e0%b8%b2นกกระเต็นน้อยธรรมดา%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b9%88%e0%b8%98%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%94%e0%b8%b2นกกระเต็นใหญ่ธรรมดา
%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b9%88%e0%b8%9b%e0%b8%b5%e0%b8%81%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%95นอกจากเหยี่ยวแดง (Brahminy Kite) ที่ถือเป็นนกรับแขก และสัญลักษณ์ของเกาะลังกาวีแล้ว นกหายากสุด และในมาเลเซียพบได้เฉพาะที่เกาะลังกาวีเท่านั้น คือ นกกระเต็นใหญ่ปีกสีน้ำตาล (Brown-winged Kingfisher) ซึ่งอาศัยอยู่ตามริมน้ำในป่าชายเลน คอยดักจับปลาเล็กกินเป็นอาหาร %e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b9%81%e0%b8%81%e0%b9%87%e0%b8%81

นกแก็ก หรือ Oriental Pied Hornbill (ชนิดย่อย นกแก็กใต้)%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%88%e0%b8%b2%e0%b8%9a%e0%b8%84%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b8%9f%e0%b9%89%e0%b8%b2นกจาบคาหางสีฟ้า
%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%97%e0%b8%99%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b9%88นกยางโทนใหญ่%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%ab%e0%b8%b1%e0%b8%a7%e0%b8%82%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%adนกหัวขวานสี่นิ้วหลังทอง%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b8%9b%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94-%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%b5

เหยี่ยวแดง นกรับแขกของเกาะลังกาวี%e0%b8%a5%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b9%81%e0%b8%aa%e0%b8%a1

Getting There

– เครื่องบิน โดยสายการบิน Malaysia Airlines (www.malaysiaairlines.com) เส้นทางกรุงเทพฯ-กัวลาลัมเปอร์-ลังกาวี มีออกจากกรุงเทพฯ วันละ 3 เที่ยว เวลา 06.00, 11.05, 14.15 น.

– เรือ ลงเรือเฟร์รี่ได้ที่ท่าเรือตำมะลัง จังหวัดสตูล วิ่งตรงสู่เกาะลังกาวี ใช้เวลา 45 นาที ติดต่อ บริษัท Satun Inter Ferry โทร. 0-7421-0662, 08-6284-5552 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Tourism Malaysia สำนักงานกรุงเทพฯ โทร. 0-2636-3380 www.tourism.gov.my/th-th/th/

– ล่องเรือหรือเดินป่าดูนกที่ลังกาวี ติดต่อผู้เชี่ยวชาญ http://junglewalla.com

Jungfrau นั่งรถไฟสายสูงสุดของยุโรป!

jungfrau-switzerland-2

เทือกเขาสวิสแอลป์ (Swiss Alp) เป็นหนึ่งในเทือกเขาที่ยิ่งใหญ่และงดงามที่สุดในโลก เพราะอุดมด้วยธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพร ทุ่งดอกไม้ สายน้ำลำธาร น้ำตก แถมยังมียอดเขาหิมะขาวโพลน หนึ่งในสุดยอดเสน่ห์สวิสแอลป์ที่เราสัมผัสได้ก็คือ ยอดเขายุงค์ฟราวน์” (Jungfrau) สูง 4,158 เมตร ที่มองเห็นได้ชัดเจนจาก ยอดเขายุงค์ฟราวน์ย็อค (Jungfraujoch) สูง 3,466 เมตรจากระดับน้ำทะเล! ทว่าการขึ้นไปบนยอดเขาหิมะนี้กลับง่ายดาย เพราะมีเส้นทางรถไฟสูงที่สุดในยุโรปเชื่อมต่อ ขึ้นมาจากเมืองอินเตอร์ลาเคน (Interlaken) นำผู้คนขึ้นมาพบประสบการณ์บนทุ่งหิมะหนาวเย็น โดยบนยอดเขานี้มีจุดชมวิว อุโมงค์-ปราสาทน้ำแข็ง และมีตู้ไปรษณีย์บนที่สูงสุดของยุโรปให้ส่งจดหมายกันด้วย

jungfrau-switzerland-3 jungfrau-switzerland-4อากาศดีที่สุดคือฤดูร้อน เดือนมิถุนายน-สิงหาคม   และฤดูใบไม้ผลิ   เดือนมีนาคม-พฤษภาคม ฤดูหนาวในเมืองอินเตอร์ลาเคนและยุงค์ฟราวน์ เดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ อุณหภูมิ 0 ถึง -1 องศาเซลเซียส มีหิมะตกเกือบตลอดเวลา ส่วนในตัวเมืองอินเตอร์ลาเคนอุ่นกว่านี้เล็กน้อย ควรมีอุปกรณ์กันหนาวพร้อม jungfrau-switzerland-5 jungfrau-switzerland-6 jungfrau-switzerland-7 jungfrau-switzerland-8 jungfrau-switzerland-9 jungfrau-switzerland-10 jungfrau-switzerland-11 jungfrau-switzerland-12 jungfrau-switzerland-13 jungfrau-switzerland-14 jungfrau-switzerland-15 jungfrau-switzerland-16 jungfrau-switzerland-17 jungfrau-switzerland-18 jungfrau-switzerland-19 jungfrau-switzerland-20 jungfrau-switzerland-21 jungfrau-switzerland-22 jungfrau-switzerland-23 jungfrau-switzerland-24-1 jungfrau-switzerland-24 jungfrau-switzerland-25 jungfrau-switzerland-26 jungfrau-switzerland-27 jungfrau-switzerland-28 jungfrau-switzerland-29 jungfrau-switzerland-30 jungfrau-switzerland-31 jungfrau-switzerland-32 jungfrau-switzerland-33

Getting There

– กรุงเทพฯ-เบิร์น (Bern) เช่น การบินไทย (www.thaiairways.co.th) และ Swissair (www.swissair.com) ใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง

– เบิร์น-อินเตอร์ลาเคน (Interlaken) นั่งรถไฟ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง จากเมืองไทยควรซื้อตั๋วรถไฟ Swiss Pass ไปก่อน เพื่อความรวดเร็วและได้ส่วนลด (บริษัท Diethelm Travel / www.diethelmtravel.com)

จากตัวเมืองอินเตอร์ลาเคน นั่งรถไฟสาย Jungfrau Railway จากสถานีอินเตอร์ลาเคน ออส (Interlaken Ost) ผ่านสถานีเลาเทอร์บรุนเนน (Lauterbrunnen) สูง 796 เมตร – สถานีไคลน์ ชไนเดกก์ (Kleine Scheidegg) สูง 2,061 เมตร – สถานีไอเกอร์วานด์ (Eigerwand) สูง 2,865 เมตร จนถึงยอดเขายุงค์ฟราวน์ย็อค

jungfrau-switzerland-34 jungfrau-switzerland-35

เที่ยวเกาะแดนไวกิ้ง Lovund Island

%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%b0-lovund-%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%97%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%a2%e0%b9%8c%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%99

ดินแดนสแกนดิเนเวียหรือยุโรปตอนเหนือใกล้ขั้วโลก เป็นที่ที่ใครหลายคนใฝ่ฝันอยากไปเยือน เพราะเป็นแถบที่มีภูมิทัศน์ธรรมชาติยิ่งใหญ่ตระการตา อีกทั้งเป็นดินแดนแห่งความหนาวเย็น จึงให้ความรู้สึกแปลกตาสำหรับคนเมืองร้อนอย่างเราๆ นอร์เวย์ (Norway) ก็เป็นประเทศหนึ่งในนั้น เพราะเราสามารถไปเที่ยวชมความงามของตัวเมืองอันเก่าแก่ แถมด้วยพระอาทิตย์เที่ยงคืน และยังมีแสงเหนือบนฟากฟ้ายามราตรีอันสุดมหัศจรรย์ในบางฤดูกาลให้ชมด้วย

_nor1116

การเดินทางทริปนี้ต้องอาศัยเสื้อกันหนาวหนาๆ หมวก ถุงมือ และแบตสำรองของกล้องค่อนข้างเยอะ เพราะอากาศที่เย็นเฉียบขนาดอุณหภูมิเลขตัวเดียวของนอร์เวย์ ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้เราสั่นสะท้านได้ง่ายๆ ผมบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปลงที่ออสโล (Oslo) เมืองหลวงอันสวยงามของนอร์เวย์ จากนั้นต่อเครื่องบินเล็กแบบใบพัด จุผู้โดยสารได้ไม่เกิน 20 คน บินผ่านทะเลเหนือที่กำลังจะเป็นน้ำแข็ง ไปลงที่เมืองแซเนสเชิน (Sandessjøen) แล้วลงเรือสู่ เกาะลูวุนด์ (Lovund Island) ตามที่วางแผนไว้

%e0%b8%97%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b8%ad-1

ถามว่าที่เกาะลูวุนด์มีอะไรให้ชม ก็ต้องบอกเลยว่ามันคือที่ที่สามารถดูพระอาทิตย์เที่ยงคืนได้สวยที่สุด เกาะหนึ่งของนอร์เวย์ อีกทั้งยังจัดว่าเป็นอาณาจักรแห่งปลาแซลมอนเลยก็ว่าได้ เพราะในอดีตประเทศนอร์เวย์ไม่ได้เลี้ยงปลาแซลมอนส่งออกไปทั่วโลกดังเช่นทุกวันนี้ แต่อยู่ดีๆ ก็มีคนหัวใสบนเกาะลูวุนด์ ทดลองนำลูกปลาแซลมอนฝูงแรกขึ้นเครื่องบินไปทดลองทำฟาร์มเลี้ยงในทะเล จนประสบความสำเร็จเกินคาด เนื่องจากทะเลแถบนี้มีน้ำเย็นกำลังดี และมีอาหารในน้ำอุดมสมบูรณ์ ธุรกิจปลาแซลมอนในนอร์เวย์อันโด่งดังจึงถือกำเนิดขึ้นที่นี่ล่ะ ส่วนตัวผมเป็นคนชอบกินปลาแซลมอนอยู่แล้ว การได้มาเยือนถิ่นแซลมอนจริงๆ จึงเป็นเรื่องน่าประทับใจไม่น้อย

_nor1177

หมู่เกาะและทะเลแถบนี้จะว่าไปแล้วงามเหมือนภาพในเทพนิยาย เพราะเกาะส่วนใหญ่มักจะมียอดเขาแหลมๆ โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำทะเลสีครามเข้ม เต็มไปด้วยโขดหินแปลกๆ แถมยังมีป่าเปลี่ยนสีขึ้นเป็นแนวอยู่ตามชายฝั่ง บางเกาะมีหอคอยประภาคารโผล่ขึ้นมา เคียงคู่กับท่าเรือ และหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งนิยมสร้างบ้านด้วยไม้สนทาสีแดงเป็นหลัก บวกกับความเงียบสงบเป็นธรรมชาติสุดๆ ทำให้ตลอดระยะเวลาที่นั่งเรือเร็วจากเมืองแซเนสเชินสู่เกาะลูวุนด์ ช่างมีความสุขมาก

ประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงเกาะลูวุนด์ เกาะเล็กๆ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของนอร์เวย์ ที่มีประชากรอยู่แค่ 400 คน คนที่อยู่บนเกาะนี้ดั้งเดิมจึงรู้จักกันหมด เหมือนสังคมขนาดเล็กที่เอื้ออารีต่อกัน ตัวเกาะที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ จึงเดินหรือปั่นจักรยานเที่ยวได้ง่าย เพื่อชมบ้านเรือนและฟาร์มแกะเล็กๆ แสนน่ารัก หลายบ้านจัดสวนสวยเอาไว้ชื่นชม ทำให้นักเดินทางจากแดนไกลอย่างเรารู้สึกสดชื่นเมื่อได้มาเห็น

_nor1181

คนบนเกาะลูวุนด์มักพูดว่า คุณจะไม่มีวันหลงทางบนเกาะแห่งนี้!” ที่เป็นอย่างนั้นเพราะเกาะมีพื้นที่เพียง 4.9 ตารางกิโลเมตร และมีถนนสายหลักวนรอบเกาะอยู่เส้นเดียว การหลงทางบนเกาะนี้จึงไม่น่าจะมีโอกาสเกินขึ้นอย่างที่เขาว่าจริงๆ ฮาฮาฮา ชื่อเกาะนี้ก็น่าสนใจ คือคำว่า ‘Lovund’ นั้น เป็นศัพท์ภาษา Old Norse ของคำว่า ‘lauf’ (แปลว่า ใบไม้) และ ‘-und’ (แปลว่า ดินแดน) ชื่อเกาะลูวุนด์จึงหมายถึง ‘เกาะแห่งป่าไม้’ เพราะบนลาดเขาทางตะวันตกของเกาะมีป่าไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น

_nor1119

บนเกาะลูวุนด์มีที่พักอยู่แห่งเดียวชื่อ Lovund Rorbu Hotel ซึ่งจัดว่าเป็นบูติกโฮเทลเล็กๆ หรูเรียบ น่ารักอย่างแท้จริง ผู้ก่อตั้งโรงแรมแห่งนี้ก็คือผู้ที่นำปลาแซลมอนฝูงแรกมาเลี้ยงบนเกาะนั่นเอง และปัจจุบันได้มอบให้รุ่นลูกชายดูแลกิจการแทน โรงแรมริมทะเลวิวสวยสุดๆ แห่งนี้ จึงมีเรื่องราวความเป็นมา และต้อนรับแขกผู้เข้าพักอย่างเป็นกันเองเหมือนญาติสนิท ที่สำคัญคือในร้านอาหารของเขามีเมนูแซลมอน ให้เราชิมคู่กับไวน์ชั้นเลิศของนอร์เวย์อย่างจุใจ จากระเบียงห้องพักหรือจากกระจกใสของร้านอาหาร เราจะเห็นเวิ้งทะเลเหนือทอดออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา โดยมีเกาะเล็กๆ เรียงตัวอยู่ห่างๆ กันอย่างงดงาม

_nor1129 _nor1189lovund-rorbu-hotel

กิจกรรมที่ถือว่าเจ๋งสุดบนเกาะลูวุนด์ ที่ถือว่าห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง คือการชม พระอาทิตย์เที่ยงคืน หรือ Midnight Sun เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติมหัศจรรย์ เมื่อเราสามารถเห็นพระอาทิตย์ลอยค้างเติ่งอยู่บนท้องฟ้าตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า กล่าวกันว่าสถานที่ชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนได้ง่ายที่สุดจุดหนึ่งในนอร์เวย์ คือ เมืองทรมเซอ ระหว่างวันที่ 16 พฤษภาคม ถึง 27 กรกฎาคม รวมถึงเมืองสฟาลบาร์ กลางมหาสมุทรอาร์กติก ระหว่างวันที่ 19 เมษายน ถึง 23 สิงหาคม แต่ถ้าใครอยากชมพระอาทิตย์เที่ยงคืน และได้ดูการจับคู่ทำรังของนกพัฟฟินด้วย ก็ต้องเกาะลูวุนด์นี่ล่ะ

ปรากฏการณ์ พระอาทิตย์เที่ยงคืน’ จะเกิดขึ้นในฤดูร้อนของทวีปยุโรปและบริเวณใกล้เคียง ทางตอนเหนือของเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล (Arctic Circle : เส้นละติจูด 66°33′45.8″ ทางเหนือของเส้นศูนย์สูตร) โดยดวงอาทิตย์ยังคงมองเห็นได้ตอนเที่ยงคืน และเห็นตลอด 24 ชั่วโมง นอร์เวย์เคยมีพระอาทิย์เที่ยงคืนนานที่สุดในโลกถึง 73 วัน ที่เมืองสฟาลบาร์ รีบวางแผนเดินทางมาชมกันเลย

%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%9f%e0%b8%b1%e0%b8%9f%e0%b8%9f%e0%b8%b4%e0%b8%99-%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%b0-lovund

นอกจากการมาเที่ยวชมวิถีชีวิตของผู้คนบนเกาะอันสงบงาม และได้ชิมปลาแซนมอนสดๆ อร่อยล้ำแล้ว กิจกรรมที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงก็คือ การสะพายกล้องส่องทางไกล ออกไปซุ่มดูนกหายากในแถบโขดหินทางตอนเหนือของเกาะ พวกมันคือ นกพัฟฟินแอตแลนติก’ (Atlantic Puffin) แสนน่ารัก ที่จับกลุ่มทำรังเลี้ยงลูกอยู่บนหน้าผาหินริมทะเลนับพันๆ หมื่นๆ ตัว นกพัฟฟินชนิดนี้เป็นนกทะเลขนาดเล็ก จากหัวถึงหางยาวแค่ 30 กว่าเซนติเมตรเอง และปีกก็สั้น ไม่ใช่นกทะเลปีกยาวที่มักร่อนไปมาในอากาศเพื่อหาเหยื่อ ทว่านกพัฟฟินเป็นนกที่ชอบว่ายน้ำ และดำน้ำจับปลา ได้อย่างแคล่วคล่องว่องไวด้วยปากสั้นๆ แต่ทรงพลังของมัน โดยปากของมันจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสดใส เพื่อใช้ดึงดูดเพศตรงข้ามในฤดูผสมพันธุ์ ยิ่งกว่านั้นบางเกาะในทะเลแถบนี้ของนอร์เวย์ ยังยกย่องนกพัฟฟินโดยนำมันมาใช้เป็นตราสัญลักษณ์ทางราชการของเกาะเลยก็มีครับ

nova-sea-industry %e0%b8%9f%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%a1%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b9%81%e0%b8%8b%e0%b8%a5%e0%b8%a1%e0%b8%ad%e0%b8%99-%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%a5

ภาพแห่งความบริสุทธิ์ของธรรมชาติบนเกาะน้อยๆ ในแดนไวกิ้งแห่งนี้ช่างน่าประทับใจ และผมหวังว่า คุณจะได้มาเห็นด้วยตัวเอง แล้วคุณจะรู้สึกว่า สวรรค์บนพื้นโลกมีอยู่จริง!

%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%99%e0%b8%b9%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b9%81%e0%b8%8b%e0%b8%a5%e0%b8%a1%e0%b8%ad%e0%b8%99

Lovund Guide

– ช่วงที่ 1 บินตรงไทย-ออสโล (เมืองหลวงของนอร์เวย์) โดยสายการบิน Scandinavian Airlines (www.flysas.com/en/th/) หรือ Thai Airways International (www.thaiairways.co.th) ใช้เวลาเดินทาง 10 ชั่วโมง 30 นาที แล้วบินต่อด้วยเครื่องบินเล็กจากออสโล-เมืองแซเนสเชิน (Sandessjøen)

ช่วงที่ 2 นั่งเรือโดยสารจากเมืองแซเนสเชิน-เกาะลูวุนด์ เป็นเรือเฟอร์รี่ของบริษัท The Nordland Express Boat เช็คตารางเดินเรือและจองตั๋วได้ที่ www.nordnorge.com

– ที่พักบนเกาะ Lovund มีแห่งเดียว คือ Lovund Rorbu Hotel ติดต่อ www.lovund.no

ล้านใบไม้เปลี่ยนสีที่ Kyoto

%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-1

“ในสายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วง ใบหญ้าโดดเดี่ยว สั่นสะท้าน… ใบไม้ร่วง ร่วงหล่นล่องลอยมาจากที่ใด ฤดูใบไม้ร่วงได้สิ้นสุดลงแล้ว” บทกวีไฮกุโบราณของญี่ปุ่นพรรณนาถึงบรรยากาศและอารมณ์อันหลากหลาย ของฤดูใบไม้ร่วงที่เปี่ยมด้วยสีสัน เมื่อลมหนาวพัดโชย อากาศเยือกเย็นลง และหิมะขาวใกล้โปรยปราย เมื่อนั้นใบไม้ทั่วแดนอาทิตย์อุทัยก็เริ่มผลัดใบกลายเป็นสีเหลือง แดง ส้ม ก่อนที่จะร่วงโรยปลิดปลิวลงจากต้น รอวันให้หิมะขาวโปรยมาทักทาย หมุนเวียนเช่นนี้ทุกปี ดินแดนจึงเปี่ยมเสน่ห์ไม่ต่างจากสวรรค์บนพื้นพิภพ %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-2

ทุกปีในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน หรือธันวาคม แล้วแต่สภาพอากาศ ก่อนที่ฤดูหนาวจะมาถึง ญี่ปุ่นจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง โดยปกติใบไม้จะเริ่มผลัดใบเปลี่ยนสีมาจากภาคเหนือก่อน แล้วค่อยๆ ไล่ลงสู่ภาคใต้ ยามที่ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดง ปรากฏการณ์นี้ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “โมะมิจิ” หรือ “โคโย” นอกจากจะเป็นห้วงเวลาที่มากด้วยลีลาของสีสันแล้ว ยังกลายเป็นฤดูท่องเที่ยวคึกคักสุดๆ เลยล่ะ %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-3ทริปนี้ผมให้รางวัลตัวเอง ด้วยการบินไปไกลถึง “เกียวโต” (Kyoto) หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า “เคียวโตะ” เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นที่ได้รับการประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลก เมื่อไปสัมผัสเกียวโตด้วยตัวเองจึงรู้สึกได้ทันทีถึงความขลัง เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในยุคซามูไรและโชกุน เห็นสาวๆ หน้าใสใส่ชุดกิโมโนเดินไปมาตามท้องถนน แต่งตัวกันน่ารักคิกคุอาโนเน๊ะ แต่หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เกียวโตเกือบโดนทิ้งระเบิดปรมาณูโดยสหรัฐฯ มาแล้ว! ทว่าโชคดี ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีทรูแมนเคยมาฮันนีมูนที่เกียวโต เคยเห็นถึงความสวยงาม และคุณค่าทางประวัติศาสต์ ศิลปวัฒนธรรมของนครโบราณนี้ จึงไปทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองนางาซากิแทน! มิฉะนั้นเราก็คงจะไม่มีเมืองใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆ อย่างเกียวโต ไว้ให้ไปเที่ยวชมกันแล้วล่ะ

%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-4

การเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีในเกียวโตเป็นเรื่องง่ายดาย เพียงเลือกไปชมที่วัดใดวัดหนึ่งซึ่งมีสวนสวยๆ ล้อมรอบอาณาบริเวณ เท่านี้ก็จะได้ตื่นตากับภาพผืนพรมใบไม้สีสวยแล้วล่ะ โดยเฉพาะวัดใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียง อย่างเช่น วัดคินคาคูจิ วัดคิโยะมิสุ และวัดเรียวอันจิ ที่ว่ามาล้วนอลังการด้วยต้นเมเปิลและต้นกิงโกะสีสด แบบที่เห็นแล้วต้องตกตะลึงพรึงเพริดกันเลยทีเดียว! %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-5

วัดแรกที่ผมไปเยือนคือ “วัดทอง” (Golden Pavilion) วัดที่มีชื่อเสียงสุดของเกียวโต หรือในอีกชื่อว่า “วัดคินคาคูจิ” (Kinkakuji Temple หรือ วัดโรคูออนจิ : Rokuon-ji Temple) ถ้าใครเคยดูการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง “เณรน้อยเจ้าปัญญา อิคคิวซัง” คงพอจะจำได้ถึงภาพพระราชวังสีทองตั้งอยู่ริมสระน้ำใหญ่ บนยอดปราสาทมีนกสีทองตั้งเด่นเป็นสง่า และเป็นที่ประทับของโชกุนโยชิมิตสุ (Yoshimitsu) นั่นล่ะวัดทองซึ่งมีตัวตนอยู่จริง เมื่อแรกสร้างไม่ใช่วัด แต่เป็นปราสาทที่โชกุนประทับ เพื่อบริหารราชการและใช้พบปะข้าวราชการ กระทั่งโชกุนโยชิมิตสุสิ้นพระชนม์ เมื่อ ค.ศ.1408 ปราสาทแห่งนี้จึงได้เปลี่ยนสถานะกลายเป็นวัดนิกายเซน (Zen) ตามที่ท่านโชกุนมีดำริไว้

วัดคินคาคูจิที่เห็นในวันนี้งามสง่าราวเทพเทวานฤมิตร ตัวปราสาทสีทองสามชั้นเมื่อต้องแสงอาทิตย์ พลันสะท้อนแดดส่องประกายสีทองอร่ามเรืองรอง เงาของมันสะท้อนลงไปในทะเลสาบกว้างเบื้องหน้า เกิดเป็นเงาเสมือนจริงล้อกันอย่างน่าชม ยามนี้แมกไม้นานาพันธุ์โดยรอบกำลังผลิใบเปลี่ยนสีรับฤดูหนาว จึงมีพุ่มไม้เมเปิลและกิงโกะสีแดง สีส้ม สีเหลือง เข้มบ้างอ่อนบ้าง สอดแซมสลับอยู่ตามพุ่มสนเขียวสด เป็นจังหวะจะโคนลงตัว คล้ายภาพวาดของศิลปินเอกระดับโลกก็ไม่ปาน %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-6%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-7จุดชมวิวสวยที่สุดของวัดคินคาคูจิอยู่ตรงด้านหน้าใกล้ทางเข้า บริเวณริมทะเลสาบจำลองนั่นล่ะ ในทะเลสาบมีปลาคาปหลากสีแหวกว่าย ร่วมกับเป็ดแมนดารินฝูงหนึ่งที่ว่ายน้ำอวดโฉม แต่ถ้าจะให้ดี ต้องเดินอ้อมไปด้านหลังตัวปราสาทด้วย จะมีดงต้นเมเปิลผลัดใบสีเหลืองสีแดงฉาน หยุดทุกสายตาไว้ตรงนั้น ในขณะเดียวกันเราก็ต้องไม่ลืมที่จะพิจารณารายละเอียดอันแสนวิจิตพิสดารของปราสาทสีทองด้วย เพราะนอกจากจะสร้างด้วยไม้ทั้งหลังแล้ว ชั้นสองและสามยังบุด้วยแผ่นทองแท้อันประเมินค่ามิได้! เชื่อหรือไม่ว่าปราสาททองแห่งนี้เคยถูกไฟไหม้พินาศสิ้นเมื่อ ค.ศ.1950 แต่ก็ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว จนเสร็จสมบูรณ์ใกล้เคียงของเก่าเมื่อ ค.ศ.1955 กลายเป็นมรดกมรดกโลกมาจนทุกวันนี้  %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-8 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-9

เส้นทางนำเราเดินวนขึ้นไปด้านหลังปราสาทผ่านป่าเมเปิลที่กำลังอวดสีสัดสุดอลังการ จนถึงกระท่อมน้อยหลังหนึ่ง มุงหลังคาด้วยหญ้าแบบโบราณ จุดนี้ใช้เป็นสถานที่นั่งดื่มน้ำชาของท่านโชกุน กับซามูไร เรียกว่า “เซกกะเตอิ” (Sekkatei Tea House) ซึ่งแปลว่า “กระท่อมงามยามบ่าย” เพราะจากจุดนี้เมื่อมองกลับไปยังปราสาททองในยามบ่ายแล้ว แสงจะทำมุมสวยที่สุด น่าอิจฉาท่านโชกุนจริงๆ %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-10 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-11 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-12 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-13 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-14 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-15%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-1

จากวัดทองที่มีผู้คนคลาคล่ำ ผมเที่ยวเตร็ดเตร่ไปจนถึง วัดเรียวอันจิ” (Ryoanji Temple) หรือที่เรียกกันให้จำง่ายว่า “วัดสวนเซน” (Zen Garden Temple) หรือ “วัดสวนหิน” (Rock Garden Temple) ผมรักวัดนี้มาก เพราะสงบ ร่มรื่น คนน้อย เดินเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีได้สบาย ไม่ต้องเร่งร้อน ตลอดทางเดินเข้าสู่ตัววัด รวมถึงภายในวัด และสวนด้านหลัง ล้วนอุดมด้วยป่าเมเปิลหลากสายพันธุ์ ที่พากันผลัดใบอวดสีงดงามสุดขีด จริงๆ แล้วเมเปิลมีทั้งชนิดใบสามแฉก ห้าแฉก และใบเจ็ดแฉก บางชนิดต้นใหญ่ บางชนิดต้นเล็ก บางสายพันธุ์ผลัดใบเป็นสีเหลืองสด แต่บางพันธุ์ก็ผลัดใบเป็นสีแดงเข้มปรี๊ดจนแทบไม่เชื่อสายตา! ยามสายที่แดดส่องลงมาในแนวเฉียง ต้องใบเมเปิลเหล่านี้ สีของพวกมันจึงเจิดกระจ่างขึ้นจนเห็นทุกรายละเอียดเส้นใบ รวมถึงประกายสีเจิดจ้า หรือแม้แต่ในยามที่พวกมันต้องลม สั่นระริกเป็นจังหวะพลิ้วไหวไปมาพร้อมกัน ก็ไมต่างจากโอเปร่าแห่งสีสัน ที่ฉันได้บันทึกภาพนั้นไว้ในก้นบึ้งของหัวใจเรียบร้อยแล้ว %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-2 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-3

จุดเด่นของวัดเรียวอันจิอยู่ที่ใจกลางวัด ซึ่งมีการจัดเป็น สวนหิน หรือสวนเซน ที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยสวนแห่งนี้ยาว 25 เมตร กว้างเพียง 10 เมตร ทอดตัวจากทิศตะวันออก-ตะวันตก และมีแนวกำแพงโบราณขนาบอยู่ด้านหนึ่ง สวนหินโรยหน้าพื้นดินด้วยกรวดสีขาว และมีหินขนาดต่างๆ กัน 15 ก้อน ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่จัดวางอย่างจงใจ บนพื้นกรวดมีการใช้คราดกวาดไปเป็นริ้วลายต่างๆ คล้ายคลื่น และเส้นสายให้เกิดจังหวะพื้นผิวน่ามอง โดยรวมมีนัยทางธรรมสะท้อนถึงความสงบ สมาธิ และการหลุดพ้น ตามแนวคิดของพุทธนิกายเซน ซึ่งเน้นให้ตัวเรากลับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และเข้าสู่สภาวะธรรม หรือบรรลุธรรมอย่างฉับพลัน การชมสวนหินแห่งนี้ห้ามลงไปเดินย่ำเด็ดขาด เขาจัดพื้นที่ระเบียงไม้ด้านหนึ่งไว้ให้นั่งชมอย่างสงบ หรือบางคนก็มาทำสมาธิชำระจิตกันที่นี่ด้วยนะ %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-4 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-5 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-6 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-7 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-8 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b4-9%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-1

บ่ายแก่ของวันนั้น ผมนั่งรถแท็กซี่ต่อไปชมใบไม้เปลี่ยนสีในวัดที่โด่งดังที่สุดอีกแห่งของเกียวโต คือ วัดคิโยะมิสุ (Kiyomizu Temple) หรือ วัดคิโยมิสุ-เดระ (Kiyomizu-dera) หรือที่คนไทยรู้จักในนาม “วัดน้ำใส” เหตุที่ชื่อวัดน้ำใสก็เพราะมีธารน้ำใสสะอาดจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ไหลผ่านวัดนั่นเอง วัดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกเรียบร้อยแล้ว ความโดดเด่นอยู่ที่ตัววัดซึ่งสร้างด้วยไม้ มี 9 อาคาร แต่ที่เจ๋งสุดคืออาคารหลักขนาดมหึมาสร้างยื่นออกไปจากหน้าผา โดยใช้เสาไม้ซุงยักษ์สูงถึง 13 เมตร หลายสิบต้น ค้ำยันตัวอาคารไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ประกอบกับรอบๆ มีป่าเมเปิลสีแดงฉานพื้นที่กว้างใหญ่ ผลัดใบปกคลุมหุบเขาและเนินเขาโดยรอบ ทำให้ภูมิทัศน์ของวัดน้ำใสกลายเป็นสวรรค์ของคนรักธรรมชาติ อย่างไม่กล้าปฏิเสธ วัดนี้มีคนเดินทางมาสักการะนับหมื่นคนทุกวัน โดยเฉพาะสาวๆ ที่นิยมสวมชุดกิโมโนสีสวย หลากลวดลายมาเดินอวดกัน ยิ่งเพิ่มเติมสีสันวันใบไม้เปลี่ยนสีให้ดูสดชื่นขึ้นอีก สาวคนไหนอยากแต่งกิโมโน แต่ไม่มี ก็ไม่ต้องกลัว เพราะก่อนทางขึ้นวัดมีร้านให้เช่าชุดกิโมโนเพียบ แปลงโฉมให้เหมือนสาวเจแปนได้ไม่ยาก %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-2 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-3 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-4 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-5 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-6 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-7

จากอาคารหลักของวัด มีทางเดินเลียบภูเขาวนไปอีกด้านหนึ่ง เพื่อให้สามารถมองกลับมาเห็นตัวอาคารหลักที่ใช้ไม้ซุงยักษ์ค้ำยันได้ชัดเจนมาก ต่ำลงมาก็คือป่าเมเปิลแดงสุดอลังการ ที่กำลังเปล่งประกายสีแดงเจิดจ้ารับแสงสุดท้ายยามเย็น ตอนนี้ญี่ปุ่นกำลังจะเข้าฤดูหนาว แค่ห้าโมงเย็น ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว การเก็บภาพจึงต้องทำด้วยความรวดเร็ว มองผ่านป่าเมเปิลแดงออกไปไกลลิบๆ เห็นเมืองเกียวโต หอคอยเกียวโต และแนวเทือกเขายาวเหยียดโอบล้อมเมืองโบราณนี้ไว้ ฉันอิจฉาตัวเองเหลือเกินที่ได้มายืนอยู่ที่นี่ ณ เวลานี้ %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-8 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-9 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-10 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-11 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-12 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-13 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-14 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-15 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-16 %e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-17

เดินกลับลงมาจากวัดคิโยะมิสุฟ้าก็มืดซะแล้ว แต่ด้วยความที่วัดนี้ตั้งอยู่บนภูเขา และนักท่องเที่ยวก็เยอะ จึงหารถแท็กซี่ยาก ฉันตัดสินใจเดินลัดเลาะผ่านตรอกซอกซอยโบราณ ที่คดเคี้ยวราวเขาวงกต ผ่านร้านรวงขายของที่ระลึกละลานตา ค่อยๆ ลงเขามาอย่างสุขใจ และระหว่างทางเดินขาลงนั้นเองที่ผมรู้สึกว่า ได้ถูกจิตวิญญาณแห่งเกียวโตนครโบราณ กลืนกินตัวตนของผมไปจนหมดสิ้น มีเพียงถนนสายเก่า ตัวผม ความเย็นเยือกของอากาศ และภาพใบไม้เปลี่ยนสี ที่ตรึงอยู่ในก้นบึ้งหัวใจฉันอย่างแนบแน่น

%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%aa-18kanra-hotel-kyoto

Kyoto Guide

Best season : ใบไม้เปลี่ยนสีในเกียวโตสวยสุด ประมาณต้นเดือนตุลาคม ถึงปลายเดือนพฤศจิกายน

Getting there : จากไทยบินตรงไปลงที่สนามบินราริตะ โตเกียว แล้วต่อรถไฟหัวจรวดความเร็วสูง ชิงกังเซ็น (Shinkansen) ไปเกียวโตได้เลย ส่วนการท่องเที่ยวในเมืองเกียวโต ถ้าระยะทางใกล้ๆ สามารถนั่งรถบัส หรือปั่นจักรยานเที่ยวได้ แต่ถ้าไกลๆ แนะนำให้นั่งรถแท็กซี่ หรือเช่ารถยนต์ขับเองได้สบาย

Overnight : แนะนำโรงแรมห้าดาว Hotel Kanra Kyoto เพราะสะดวกสบาย ตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นร่วมสมัย อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลจาก Kyoto Tower และสถานีรถไฟ Kyoto Station เดิน 10 นาทีถึง จองห้องพักติดต่อ http://hotelkanra.jp/en/ หรือ โทร. +81-75-344-3815

Cuisine : อาหารในเกียวโตมีให้เลือกหลากหลายมาก แต่เนื่องจากเป็นเมืองไกลทะเล จึงมีเมนูปลาไม่เยอะ อาหารเด่นของเกียวโตคือ เต้าหู้รสเลิศ รวมไปถึงผักดอง, ข้าวหน้าปลาไหล, ราเมน อูด้ง, ขนมปังแกง ฯลฯ

Souvenirs : เกียวโตเป็นเมืองแห่งศิลปะและงานหัตถกรรม จึงมีสินค้าให้ซื้อละลานตา เช่น ผ้ากิโมโน, ผ้าห่อของลายญี่ปุ่น, พัด, ปิ่นปักผม, กล่องข้าวเบนโตะทำด้วยไม้, พวงกุญแจ, รองเท้าเกี๊ยะไม้, ภาพวาดญี่ปุ่น, เต้าหู้เกียวโต, ปลาแห้ง, บ๊วยเค็ม บ๊วยหวาน, ถ้วยจานชามเซรามิค, ไม้แกะสลัก, เครื่องจักสาน, เครื่องแก้ว ฯลฯ

More info : http://kyoto.travel/en และ www.japan-guide.com/e/e2158.html

Taiwan 5 : สวนซากุระเมืองหลี่ซาน

สวนซากุระหลี่ซาน 2

ไต้หวันในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ผมว่างามราวสวนสวรรค์ อันนี้ไม่ได้โม้! เพราะเป็นห้วงเวลาที่ดอกไม้นานาชนิด รวมถึงดอกซากุระสายพันธุ์ต่างๆ พากันสะพรั่งบานแต่งแต้มหุบเขา ป่าไม้ และสวนสวยทั่วไต้หวัน หลายมุมถ่ายภาพมาถ้าไม่บอก ก็นึกว่าเป็นญี่ปุ่นชัดๆ! แต่ดูเหมือนว่าสวนซากุระของไต้หวันจะยังไม่ได้รับการโปรโมทมากนัก คนในประเทศเขาเลยเก็บไว้เที่ยวกันเองซะส่วนใหญ่
สวนซากุระหลี่ซาน 3

สวนซากุระเมืองหลี่ซาน (Li Shan Cherry Blossom Garden) ในจังหวัดไทจง (Taichung) ทางตอนเหนือของไต้หวัน เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนจำนวนมาก เพราะมีซากุระหลายพันต้นเบ่งบานพร้อมกัน จนแลไปเหมือนผืนพรมสีชมพู สดชื่น แถมโรแมนติกไม่น้อย

เส้นทางนี้สามารถขับรถเที่ยวเชื่อมโยง จากไทเป-สถานีรถไฟโบราณเมืองเชอเฉิน-ฟาร์มแกชิงจิ้ง-สวนซากุระหลี่ซาน ชมธรรมชาติภูเขาตระการตา และผืนป่าบริสุทธิ์ของไต้หวันได้งามจับใจสวนซากุระหลี่ซาน 4

สวนซากุระเมืองหลี่ซาน ไม่เสียค่าเข้าชม เปิดตลอดเวลา ในสวนนี้เด่นด้วยซากุระสีชมพูหวานซึ้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในพรรณพื้นเมืองของไต้หวัน มีการจัดเส้นทางปูนให้เดินชมได้สะดวก พร้อมด้วยจุดนั่งพักท่ามกลางป่าซากุระ
สวนซากุระหลี่ซาน 5

ซากุระอาบแสงยามเช้า น่ามอง
สวนซากุระหลี่ซาน 6 สวนซากุระหลี่ซาน 7

เส้นทางเดินชมซากุระท่ามกลางขุนเขาโอบล้อมรอบด้าน บรรยกาศของ เมืองหลี่ซาน (Li Shan) ช่างน่าอภิรมย์ซะจริงๆ เมืองนี้ยังได้รับฉายาว่าเป็น “หุบเขาแห่งลูกแพร์” อีกด้วยนะจ๊ะ ไปเที่ยวแล้วอย่าลืมชิมล่ะ
สวนซากุระหลี่ซาน 8

บรรยากาศหวานจ๋อย โรแมนติกซะขนาดนี้ เหมาะจะชวนคนรักของเราไปทำซึ้งกันที่สุดแล้วล่ะ
สวนซากุระหลี่ซาน 9.1

ถ่ายภาพ Pre-Wedding ที่สวนซากุระเมืองหลี่ซาน รับรองภาพออกมางดงามอลังการล้านแปด! สวนซากุระหลี่ซาน 9 สวนซากุระหลี่ซาน 10 สวนซากุระหลี่ซาน 11 สวนซากุระหลี่ซาน 12

วิธีชมดอกซากุระให้ถูกต้อง คือ ดูแต่ตา มืออย่าต้อง ปล่อยให้ความงามนั้นอยู่คู่ธรรมชาติต่อไป อย่าเด็ด อย่าทำลาย เพื่อให้คนอื่นได้ชื่นชมบ้างสวนซากุระหลี่ซาน 13

ในสวนซากุระหลี่ซาน มีซากุระสายพันธุ์ไต้หวันแท้ ที่มีสีชมพูเข้มปรี๊ด ให้ชมกันด้วย โดยแต่ละต้นจะมีขนาดดอกและสีสันเข้มอ่อนต่างกันไปตามความสมบูรณ์ ก็คงเหมือนคนเรานั่นล่ะ ที่มีหน้าตาผิวพรรณผิดแผกกันไปสวนซากุระหลี่ซาน 14 สวนซากุระหลี่ซาน 15

เพ่งพินิจกันใกล้ๆ ให้เห็น detail รายละเอียดของดอกซากุระอันบอบบาง แต่ละดอกมี 5 กลีบ พร้อมด้วยช่อเกสรตัวผู้เป็นพุ่มฟูขึ้นมาจากกลางดอก ตรงปลายมีติ่งละอองเกสรที่พร้อมจะผสมพันธุ์ โดยใช้แมลงต่างๆ มาช่วยตามธรรมชาติ
สวนซากุระหลี่ซาน 16 สวนซากุระหลี่ซาน 17Special Thanks : บริษัท Magic on Tour ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวไต้หวัน สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สนใจ โทร. 02-444-3173, 08-9219-0822  

http://www.magic-ontours.com
logo_Magic_Final[createoutline]

ดูซากุระภูลมโล อลังการหุบเขาสีชมพู

ภูลมโล 2

กลับมาอีกครั้ง สำหรับฤดูกาลเที่ยวชมป่าซากุระบานที่ ภูลมโล ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย แม้ว่าปีนี้ลมหนาวจะมาช้า แต่เมื่อความหนาวมาเยือนจริงๆ ก็สะท้านจนรีบหยิบเสื้อกันหนาวออกจากตู้แทบไม่ทัน เช่นเดียวกับดอกนางพญาเสือโคร่ง (ซากุระเมืองไทย) ที่ชอบความหนาว พากันผลิดอกสะพรั่งไปทั่วทั้งหุบเขา นับเป็นภาพงดงามอลังการ ที่เรา Go Travel Photo อยากชวนแฟนๆ ไปเห็นกับตาให้ได้สักครั้งภูลมโล 3

ในอดีต พื้นที่ป่าซากุระภูลมโลปัจจุบัน เคยเป็นป่าเสื่อมโทรมที่ถูกชาวบ้านบุกรุกแผ้วถางจนโล่งเตียน มักเกิดไฟป่าทุกปี ต่อมาอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จึงร่วมมือกับชาวบ้านเข้ามาฟื้นฟูสภาพพื้นที่ นำต้นนางพญาเสือโคร่งมาปลูก ประมาณ 5,000 ต้น ในบริเวณ 1,200 ไร่ จนกระทั่งปัจจุบันหลายปีผ่านไป มีต้นนางพญาเสือโคร่งเพิ่มเป็น 100,000 ต้น! ยามเบ่งบานจึงยิ่งใหญ่อลังการที่สุดในเมืองไทย ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ!ภูลมโล 4 ภูลมโล 5 ภูลมโล 6 ภูลมโล 7

ภาพป่าซากุระภูลมโลในปีแรกที่เปิดให้ท่องเที่ยว งดงามบริสุทธิ์มาก ทว่าดอกซากุระยังมีขนาดเล็กอยู่ภูลมโล 8

ดอกนางพญาเสือโคร่ง (ชื่อวิทยาศาสตร์ Prunus ceracoides) หรือ Yunnan Cherry แท้จริงแล้วเป็นพรรณไม้ในวงศ์กุหลาบ (Rosaceae) นางพญาเสือโคร่งจัดอยู่ในสกุล Prunus เช่นเดียวกับต้นเชอร์รี่, แอปปริคอต, ท้อ, สาลี่, พลัม และแอปเปิล โดยจะพบนางพญาเสือโคร่งได้บนความสูงเกิน 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลขึ้นไป ภูลมโลจึงเป็นพื้นที่เหมาะมากสำหรับราชินีแห่งดอกไม้ชนิดนี้ เพราะภูลมโลสูงถึง 1,680 เมตรจากระดับน้ำทะเลภูลมโล 9 ภูลมโล 10 ภูลมโล 11

ตื่นตั้งแต่ก่อนสว่าง เพื่อนั่งรถกระบะฝ่าความหนาวเหน็บขึ้นไปบนภูลมโล แล้วเดินป่าขึ้นสู่ยอดภูลมโล ก็จะได้ยลภาพพระอาทิตย์ขึ้น บนป่ารอยต่อ 3 จังหวัด เลย เพรชบูรณ์ พิษณูโลก อย่างนี้ล่ะ คุ้มค่าจริงๆ
ภูลมโล 12

จากจุดชมวิวที่จอดรถ เดินป่าขึ้นยอดภูลมโล ใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที ก็จะได้เห็นภาพวิวพาโนรามา ของป่ารอยต่อ 3 จังหวัดแล้ว (จ.เลย เพชรบูรณ์ พิษณุโลก)
ภูลมโล 13

บนยอดภูลมโล มีหน้าผาหิน หรือแง่งหิน ยื่นออกไปเป็นจุดชมวิวถ่ายภาพได้สวยงาม น่าตื่นเต้น 2-3 แห่ง
ภูลมโล 14

บนยอดภูลมโลมีสภาพเป็นป่าดิบเขาย่อส่วน ต้นไม้ใหญ่มีพืชพวกมอส เฟิน กล้วยไม้ ไลเคน ปกคลุมหนาแน่น บ่งบอกว่าสภาพอากาศยังสะอาดสมบูรณ์ บางช่วงของปีจะมีกล้วยไม้สกุลหวายสีขาวเบ่งบานให้ชมด้วย แต่ขอเตือนว่า ดูแต่ตา มืออย่าต้อง ของจะเสีย!ภูลมโล 15

ระหว่างนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อ 4WD ระยะทาง 16 กิโลเมตร มองเห็นยอดภูลมโลตั้งเด่นอยู่ลิบๆ ไม่ไกลแล้วล่ะภูลมโล 16

บนภูลมโลมีแท่งหินแกรนิตรูปทรงประหลาดๆ ซึ่งผ่านการสึกกร่อนของกาลเวลา สายลม สายน้ำ มาเนิ่นนานเป็นล้านปี ถ้าใครเคยไปเที่ยวที่ภูหินร่องกล้า (ซึ่งอยู่ใกล้กับภูลมโล) บริเวณนั้นจะมีลานหินปุ่ม ลานหินแตก ผาชูธง และหินรูปเกล็ดงู Sun Crack อยู่ด้วย เหล่านี้ล้วนอยู่ในแนวหินเดียวกัน สึกกร่อนโดยกระบวนการลมและน้ำคล้ายๆ กันภูลมโล 17

ความงามอันเร้นลับ ของป่าซากุระภูลมโลในยามเช้าตรู่ ซึ่งมีหมอกขาวห่มคลุม ทว่าแสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องลงมาสร้างความอบอุ่นแก่ผืนโลกอีกครั้งภูลมโล 18

ป่าซากุระภูลมโลในม่านหมอกยามเช้าตรู่ภูลมโล 19

ความงามราวของป่าซากุระ ไม่ต่างจากภาพศิลปะในธรรมชาติเลยแม้แต่น้อยภูลมโล 20

รถที่เหมาะสมจะขึ้นไปเที่ยวบนภูลมโลที่สุด คือรถกระบะ หรือรถขับเคลื่อนสี่ล้อ เพราะตลอดหนทาง 16 กิโลเมตร จากบ้านกกสะทอนขึ้นถึงจุดชมวิวภูลมโลนั้น เป็นเส้นทางดินลำลอง ขรุขระ สูงชันและคดเคี้ยว เข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ถ้าขับรถเก๋งขึ้นไปเอง รับรองหนาวแน่!

แนะนำว่า ควรจอดรถส่วนตัวไว้ แล้วเหมารถของ อบต. กกสะทอน ขึ้นไปเที่ยวบนภูลมโลจะคุ้มกว่า ค่าเช่ารถ 1 คัน นั่งได้ 6 คน ราคา 1,500 บาท แต่ถ้านั่งเกิน 6 คน ราคา 2,000 บาท (สอบถาม คุณนิยม โทร. 08-4490-3169)ภูลมโล 21

สนุกสนานเฮฮากับป่าหินรูปทรงแปลกตา บนภูลมโลภูลมโล 22

ก่อนจะลงไปชมป่าซากุระบานอลังการสุดสายตา ก็มาถ่ายภาพกับป้ายภูลมโลไว้เป็นที่ระลึกก่อนนะจ๊ะภูลมโล 23ภูลมโล 24

ลานหินทรงประหลาดบนภูลมโลภูลมโล 25

จากจุดชมวิวและลานหินบนภูลมโล เราค่อยๆ นั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อลงดอยคดเคี้ยวสูงชันมาอย่างช้าๆ จนในที่สุดก็ได้เห็นป่าซากุระในหุบเขาสีชมพู พร้อมกับม่านหมอกขาวถูกลมตีตวัดขึ้นมาจากร่องผา งามราวกับสวรรค์!ภูลมโล 26

นี่ล่ะ หุบเขาสีชมพูแห่งซากุระเมืองเลยที่เรากำลังตามหา ได้มาเห็นกับตาแล้ว ดีใจๆ เดี๋ยวต้องบอกให้พี่พลขับพาลงไปชมความงามใกล้ๆภูลมโล 27ภูลมโล 28

เมื่อดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือซากุระเมืองไทย เบ่งบาน ใครๆ ก็อยากไปเชยชมใกล้ๆ แต่ขอให้เราเก็บมาเฉพาะภาพถ่ายกับความทรงจำ และทิ้งไว้เพียงรอยเท้าเท่านั้น ความงามนี้จะได้อยู่คู่เมืองเลยและเมืองไทย ไปอีกนานๆภูลมโล 29

ป่าซากุระที่ภูลมโลมีอยู่หลายแปลง โดยแต่ละแปลงจะบานไม่พร้อมกันในแต่ละปี ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศว่าจะหนาวนาน หนาวคงที่ ไม่มีฝนรึเปล่า เราจึงต้องหมั่นโทรสอบถามไปที่ อบต. กกสะทอน เพื่อจะได้ไปเห็นป่าซากุระสุดอลังการที่ภูลมโล ได้ถูกที่ ถูกเวลา จ้าภูลมโล 30ภูลมโล 31

ปี 2016 แม้ว่าอากาศเมืองไทยจะผันผวน แต่เมื่อถึงเวลาลมหนาวมาเยือน ก็หนาวจัดไม่ใช่เล่น ซากุระที่ภูลมโลจึงสะพรั่งบานน่าชม ดอกใหญ่ สีชมพูเข้มจัด นี่คือภาพความงามอันอ่อนหวาน ซาบซึ้งตรึงใจ อย่างที่ใครหลายคนฝันอยากเห็น บางคนลงทุนบินไปดูซากุระที่ญี่ปุ่น แต่ถ้ามาเที่ยวถูกที่ ถูกเวลา ที่จังหวัดเลยก็มีให้ชมเหมือนกันจ้าภูลมโล 32ภูลมโล 33

ซากุระภูลมโล จะบานมากที่สุดตั้งแต่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ภูลมโล 34ภูลมโล 35ภูลมโล 36ภูลมโล 37 ภูลมโล 38ภูลมโล 39

ในยามเช้าตรู่ ขณะที่ม่านหมอกหนาวยังไม่จางคลาย ป่าซากุระภูลมโลก็ยังคงซุกซ่อนความงามที่แท้จริง ไว้ภายใต้ม่านหมอกขาวนั้นเอง

ภูลมโล 40

ป่าซากุระ สายหมอก และสาวๆ ดูจะเป็นของคู่กันอย่างลงตัวซะจริงๆ ฮาฮาฮาภูลมโล 41

ไปดูซากุระภูลมโล สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ เสื้อกันหนาวหนาๆ กล้องถ่ายรูปดีๆ และหัวใจที่พร้อมเปิดรับสรรพเสียงจากธรรมชาติจ้า
ภูลมโล 43

ในยามสาย ขณะที่แดดเริ่มแรงขึ้น สีชมพูเข้มของดอกซากุระก็ยิ่งปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเต็มตาภูลมโล 44ภูลมโล 45ภูลมโล 46

ดูกันใกล้ๆ ชมกันเต็มตา ดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือ Yunnan Cherry ราชินีแห่งดอกไม้เมืองหนาวอันแสนอ่อนหวาน งามไม้แพ้ดอกซากุระที่แดนอาทิตย์อุทัยเลยแม้แต่น้อยภูลมโล 47

ว้าว! สวยจัง เที่ยวเมืองไทยเหมือนไปเมืองนอกแท้ๆ เมืองไทยก็มีซากุระนะจ๊ะ
ภูลมโล 48

ราชินีแห่งพรรณไม้เมืองหนาวอันหวานซึ้ง ซากุระภูลมโลภูลมโล 49ภูลมโล 50ภูลมโล 51

ความงามหวานซึ้งของซากุระภูลมโล ยิ่งเพ่งพินิจใกล้ๆ ก็ยิ่งหลงรักภูลมโล 52ภูลมโล 53

ภูลมโล Guide

ปัจจุบันเส้นทางขึ้นไปชมซากุระภูลมโล มี 2 เส้นทาง เลือกกันได้ตามสะดวกจ้า

เส้นทางที่ 1 จากที่ทำการตำบลกกสะทอน ผ่านบ้านตูบค้อ-ยอดภูลมโล ระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร (ค่าเช่ารถกระบะพาขึ้นไปชมซากุระ 1,500-2,000 บาท)

เส้นทางที่ 2 จากบ้านใหม่ ภูหินร่องกล้า-ยอดภูลมโล ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร (ค่าเช่ารถกระบะพาขึ้นไปชมซากุระ 800-1,200 บาท)

สอบถามเพิ่มเติมที่ อบต. กกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย โทร. 0-4203-9867 www.koksathon.go.thlogo123-300x300

Special Thanks : ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคอีสาน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานจังหวัดเลย สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-4281-2812,  0-4281-1405equinox logo Png ong phulomloSpecial Thanks : บริษัท Outdoor Innovation Co., Ltd. สนับสนุนเสื้อกันหนาวและเสื้อผ้าสำหรับชีวิตแบบ Outdoor