เที่ยวทั่วโลก

จาก Fukuoka ถึง Tokyo เที่ยวสนุกทุกนาที!

tokyo 2

เคยมีคนบอกฉันว่า ถ้าได้เคยลองไปเที่ยวญี่ปุ่นสักครั้งจะติดใจ เพราะแดนอาทิตย์อุทัยนี้ช่างมีเสน่ห์ ทั้งธรรมชาติที่สวยงามหยดย้อย ผู้คนหน้าตาน่ารักคิกขุอาโนเนะ อาหารก็อร่อย แถมยังมีแหล่งช้อปปิ้งได้ไม่เบื่อ ฉันเห็นด้วยกับคำพูดนั้น เพราะฉันก็เป็นคนหนึ่งที่หลงรักญี่ปุ่นจนหมดหัวใจ และนี่คืออีกทริปแห่งความทรงจำ ที่ทำให้ฉันได้รู้จักญี่ปุ่นในมุมใหม่ๆ รับรองว่าต้องสนุกแน่นอนจ้า tokyo 3

ฉันบินเหินฟ้าสู่แดนปลาดิบพร้อมกับสายลมหนาวที่พัดแรงขึ้นทุกทีในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง จากไทยบินไปลงที่เมืองฟูกูโอกะ (Fukuoka) เมืองหลวงของเกาะคิวชู (Kyushu) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของหมู่เกาะญี่ปุ่น แผนการเดินทางของฉันคราวนี้แปลกกว่าทุกครั้ง เพราะฉันไม่ได้บินตรงไปลงโตเกียวเลย แต่เหตุผลที่มาลงฟูกูโอกะก่อน เพราะที่นี่มีแหล่งท่องเที่ยวน่ารักๆ ให้สัมผัสหลายแห่ง บรรยากาศแรกที่เห็นพอรถแล่นออกจากสนามบิน คือธรรมชาติขุนเขาสลับสายหมอก ป่าสน ต้นเมเปิลเปลี่ยนสี และทุ่งนาผืนเล็กๆ ตามหุบเขาน้อยๆ ช่างเป็นดินแดนที่น่ารักเสียนี่กระไร tokyo 4

นั่งรถมาชั่วโมงกว่าจากฟูกูโอกะ เข้าสู่ เมืองเบปปุ (Beppu) ในจังหวัดโออิตะ (Oita Prefecture) รู้สึกหนาวสะท้านจากทั้งลมและฝนที่กระหน่ำไม่หยุด เลยได้โอกาสแวะเข้าไปอาบทรายร้อน เหมือนสปาธรรมชาติที่มีชื่อเสียง เพราะเบปปุคือแหล่งที่มีแร่ธาตุใต้พิภพมากที่สุดของญี่ปุ่น ได้ไปนอนบนทรายสีดำอุ่นๆ ให้เขาเอาทรายกลบตัวเราจนเหลือแค่หัวโผล่ไว้หายใจ ทิ้งไว้ 15 นาที เท่านี้เลือดลมก็จะไหลเวียนดี ได้ผ่อนคลายทั้งกายและใจ ทำให้ฉันพร้อมจะตะลุยเที่ยวญี่ปุ่นแล้วล่ะจ้า tokyo 5 tokyo 7

ป่าเปลี่ยนสีที่หมู่บ้านยูฟูอินtokyo 8 tokyo 9

หลังจากอาหารเที่ยงแบบ Japanese Set สุขภาพที่เน้นไปทางปลา ผัก และผลไม้ แล้ว ก็ได้เวลาไปเที่ยวชม “หมู่บ้านยูฟูอิน” (Yufuin Village) หมู่บ้านแบบญี่ปุ่นย้อนยุค ตั้งอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดขุนเขา โดยมีทะเลสาบคินริน (Kinrin Lake) ทอดตัวนิ่งสงบอยู่ตรงกลาง ยูฟูอินเป็นหมู่บ้านต้นแบบสินค้า OVOP หรือ One Village One Product ของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ จึงมีร้านค้าเรียงรายอยู่สองฝากถนนคนเดินนับร้อยๆ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าพื้นเมืองอันมีเอกลักษณ์ หาซื้อที่อื่นได้ยาก อย่างขนม ผ้าทอมือ เหล้าสาเก รวมถึงงานหัตถกรรมนานาชนิด ใครที่รักแมวเป็นชีวิตจิตใจ หมู่บ้านยูฟูอินเขามีร้านขายของที่ระลึกเกี่ยวกับแมวโดยเฉพาะด้วย ส่วนใครที่เป็นนักชิม ต้องไม่พลาดขนมโคร็อกเกะ หรือมันชุบเกล็ดขนมปังทอดกรอบๆ กินแก้หนาวได้ดีชะมัด tokyo 10

หมู่บ้านยูฟูอินtokyo 11 tokyo 12

ขนมอร่อยๆ แพ็กเกจน่ารักๆ คิกขุแบบญี่ปุ่น มีให้เลือกซื้อกันเพียบที่หมู่บ้านยูฟูอินtokyo 13 tokyo 14 tokyo 15

ใบเมเปิลเปลี่ยนสีแสนสวย ที่หมู่บ้านยูฟูอิน
tokyo 16

ทะเลสาบคินรินในยามฝนพรำtokyo 17 tokyo 18

เย็นวันนั้นฉันนั่งรถไฟหัวจรวดความเร็วสูงชิงงันเซนเข้าไปนอนเล่นที่เมืองคาโกชิม่า เพื่อวันรุ่งขึ้นจะได้บินต่อไปสนามบินฮาเนดะ ที่โตเกียวได้เลย เพราะจริงๆ แล้วจุดหมายหลักของฉันอยู่ที่นั่นจ้าtokyo 19

เมืองคาโกชิมาtokyo 20tokyo 21

เมืองคาโกชิมาtokyo 22tokyo 23

โตเกียวเป็นเมืองใหญ่ไฮเทคที่มีคนหนาแน่น เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า และมีรถไฟใต้ดินบนดิน โยงไปมาราวกับเครือข่ายใยแมงมุม ทำให้ฉันเดินทางเที่ยวได้สะดวก ตั้งแต่ย่านชิบูยะ, ชินจูกุ, ฮาราจูกุ ไปจนถึงย่านของถูกอย่างตลาดอาเมโยโก๊ะ ก็เต็มไปด้วยสินค้าแบรนด์เนม เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง งานหัตถกรรม ขนม ฯลฯ หลากหลายละลานตา แค่พกเงินกับขาที่แข็งแรงไปเดินช้อปกันได้ทั้งวัน ไม่มีเบื่อ โดยเฉพาะที่ตลาดอาเมโยโก๊ะนั้น เป็นตลาดของถูกและของมือสองคุณภาพเยี่ยมที่คนไทยนิยมไปช้อปกันมากtokyo 24

ร้านบุฟเฟ่ต์ขาปูยักษ์ในย่านชินจูกุ กลางมหานครโตเกียวtokyo 25

ขาปูยักษ์หม้อไฟแสนอร่อยtokyo 26tokyo 27tokyo 28tokyo 30

กินอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาไปเดินละลายทรัพย์ ซื้อรองเท้ากีฬาของแท้ ราคาไม่แพง ที่ตลาดอาเมโยโกะtokyo 31

ฉันจัดตารางเที่ยวให้หนึ่งวันเต็มเลย สำหรับ “โตเกียว ดิสนีย์แลนด์” (Tokyo Disneyland) ดินแดนแห่งความสนุกเหมือนได้พาตัวเองย้อนเวลากลับไปสู่วัยเด็กอีกครั้ง ด้วยความกว้างใหญ่ถึง 7 โซน ในธีมต่างๆ ทำให้เราต้องใช้เวลาเที่ยว เวลาต่อคิวเครื่องเล่นกันนานเป็นชั่วโมงๆ
tokyo 32

วันนั้นพอดีตรงกับวันเสาร์ คนเลยเนืองแน่นเป็นพิเศษ ฉันรีบเดินตรงเข้าไปที่ Landmark ของดิสนี่แลนด์เพื่อเก็บภาพก่อนเลย คือบริเวณอนุสาวรีย์ของวอลท์ ดิสนีย์ กับเจ้าหนูมิกกี้เมาส์ ตัวการ์ตูนน่ารักสุดคลาสสิกตลอดกาล โดยโตเกียว ดิสนีย์แลนด์ ถือเป็นสวนสนุกดิสนีย์นอกประเทศอเมริกาแห่งแรกของโลก สร้างให้เหมือนกับดิสนีย์แลนด์ รัฐแคลิฟอเนีย รวมกับเมจิกคิงดอมในรัฐฟลอริดา จึงมีความยิ่งใหญ่อลังการมากtokyo 33

 ฉันชอบตรงปราสาทดิสนีย์ที่สุด เพราะให้ความรู้สึกถึงการเนรมิตรภาพในจินตนาการ ออกมาเป็นปราสาทจริงได้ บวกกับโซนอื่นๆ ทั้ง Adventureland, Westernland, Fantasyland, Tomorrowland และ Mickey’s Toontown ได้เห็นตัวการ์ตูนต่างๆ ออกมาโลดแล่นอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง น่าตื่นตาตื่นใจมากเลยจ้าtokyo 34tokyo 35tokyo 36tokyo 37tokyo 38tokyo 39tokyo 41tokyo 42tokyo 43

วันถัดมา ฉันชวนเพื่อนๆ นั่งรถออกไปเที่ยวรอบนอกโตเกียวกันบ้าง มาถึงแดนอาทิตย์อุทัยทั้งที ก็ต้องไปสัมผัสหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญที่สุดของญี่ปุ่นกันหน่อย นั่นคือ “ภูเขาไฟฟูจิ” มหาคีรีทรงพีระมิด ที่ส่วนยอดถูกปกคลุมด้วยหิมะชั่วนาตาปี เป็นภูเขาไฟที่คนญี่ปุ่นนับถือประดุจเทพเจ้าฝ่ายหญิง เป็นภูเขาแห่งความโชคดี และคนญี่ปุ่นนิยมเดินขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นรับวันปีใหม่กันด้วย ong outdoortokyo 44

วันนี้ฉันขอเที่ยวแบบชิลชิล ด้วยการนั่งรถบัสขึ้นไปแทน ฮาฮาฮา ทว่าหิมะที่ตกหนักบนยอดเขา ทำให้วันนี้รถขึ้นไปได้ถึงชั้นที่ 4 เท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้วรถขึ้นได้สุดถึงชั้น 5 จากนั้นต้องเดินต่อไปจนถึงชั้น 8 บนความสูงสามพันกว่าเมตร! วันนี้ที่ชั้น 4 ของฟูจิฟ้าเปิดเป็นสีครามสวยงาม มองเห็นทัศนียภาพได้กว้างไกล เพลินไปกับทะเลหมอก และปุยเมฆขาวราวฉันยืนอยู่บนสวรรค์ งามสมคำร่ำลือจริงๆtokyo 45tokyo 46

จากโกเท็มบะ พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้อย่างเต็มตาtokyo 47

ปิดท้ายวันนี้ด้วยการลงเขา ไปช้อปปิ้งกันอย่างเมามันที่ “โกเท็มบะ พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต” แหล่งช้อปราคาถูกเหลือเชื่อในพื้นที่กว่า 400,000 ตารางฟุต กับ 165 แบรนด์ดัง เน้นไปทางเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ของแท้ แหม รู้ใจสาวๆ ซะเหลือเกิน!tokyo 48tokyo 49tokyo 50

ลงจากเที่ยวภูเขาไฟฟูจิในช่วงเช้า มื้อเที่ยงต้องไปลิ้มลองเนื้อวัวย่างบนหินภูเขาไฟtokyo 51

เนื้อวัวญี่ปุ่น มีเส้นไขมันเป็นลายหินอ่อนแทรกอยู่ทั่ว ย่างให้สุกกำลังดี จิ้มน้ำจิ้ม ใส่เข้าปากแทบจะละลายได้เลยtokyo 52

บอกแล้วว่าเที่ยวญี่ปุ่นคราวนี้ ได้เห็นมุมมองใหม่มากมาย แต่น่าเสียดาย เพราะได้เวลาบินกลับบ้านแล้ว ได้ยินเสียงประกาศเรียกขึ้นเครื่องครั้งสุดท้าย บ้ายบายโตเกียว See You Again.equinox logo Png

Special Thanks : บริษัท Outdoor Innovation Co., Ltd. สนับสนุนเสื้อกันหนาว และเสื้อผ้าสำหรับชีวิตแบบ Outdoor

Tokyo Guide

Season : เที่ยวญี่ปุ่นสวยสุดใน 2 ฤดู คือ เดือนมีนาคม-เมษายน เป็นช่วงดอกซากุระบาน และช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีก่อนเข้าฤดูหนาว ถ่ายรูปได้มีสีสันสวยงามจับใจ

How to go : จากเมืองไทยบินตรงไปลงที่สนามบินนาริตะได้เลย ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง เช่น การบินไทย (www.thaiairways.co.th) และ All Nippon Airways หรือ ANA (www.ana.co.jp/asw/wws/th/e/)

Where to stay : ในโตเกียว แนะนำ Keio Plaza Hotel (www.keioplaza.com) ส่วนที่เมืองคาโกชิม่า แนะนำ Shiroyama Kanto Hotel (จองผ่าน www.japanican.com)

What to eat : บุฟเฟ่ต์ขาปูยักษ์, เนื้อวัวญี่ปุ่นย่างบนหินภูเขาไฟ, ชุดเซ็ทอาหารญี่ปุ่นสุขภาพ ฯลฯ

Souvenirs : ขนมโมจิไส้สรอว์เบอร์รี่ทั้งลูก จากหมู่บ้านยูฟูอิน, ช็อกโกแลต ROYCE, พวกกุญแจน่ารักๆ จากภูเขาไฟฟูจิ, ตุ๊กตาตัวการ์ตูนจากโตเกียวดิสนี่แลนด์ ฯลฯ

More info : www.yokosojapan.org/th/

10 สุดยอด ที่เที่ยว Taiwan!

1. ตึกไทเป 101  ความมหัศจรรย์ทางวิศวกรรมของคนไต้หวันเขาล่ะ เคยเป็นตึกสูงที่สุดในโลก แต่ปัจจุบันกลายเป็นตึกสูงอันดับ 6 ของโลก ตั้งอยู่ในกรุงไทเป เมืองหลวงของไต้หวัน ด้วยรูปลักษณ์ได้แรงบันดาลใจมาจากไม้ไผ่ 8 ปล้อง สัญลักษณ์แห่งความเจริญงอกงาม ด้านบนมีลูกตุ้มยักษ์คอยถ่วงน้ำหนักให้ตึกสมดุลย์ยามแผ่นดินไหว สุดยอด!
ตึกไทเป 101 ไทเป 101 หน้าตึก ไทเป 101

2. อุทยานหินเหย่าหลิ่ว  เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก! ด้วยความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ แหลมหินยื่นยาวออกไปในทะเล เป็นส่วนของเปลือกโลกที่ยกตัวขึ้น แล้วถูกคลื่นและลมกัดเซาะอยู่นับล้านปี ทิ้งไว้เพียงร่องรอยของหินทรงประหลาดนับพันๆ ก้อน โดยเฉพาะหินเศรียราชินี หินเสือดาว หินรูปดอกเห็ด หินรูปเทียน รูปเต้าหู้ ฯลฯ สุดแล้วแต่จินตนาการ นับว่ามีภูมิทัศน์ธรรมชาติงดงามยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือจริงๆ

อุทยานหิน 1 อุทยานหิน 3 อุทยานหิน 4 อุทยานหิน 6 อุทยานหิน 7 อุทยานหิน 8

3. ทะเลสาบสุริยันจันทรา  เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไต้หวัน เกิดจากการรวมตัวกันของทะเลสาบ (อ่างเก็บน้ำ) สองแห่ง จนกลายเป็นทะเลสาบมหึมา รูปจันทร์เสี้ยว Sun Moon Lake ที่งามราวกับภาพวาด ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน เราสามารถล่องเรือยนต์ไปยังอีกฝั่งของทะเลสาบ เพื่อเดินขึ้นไปสักการะวัดพระถังซำจั๋ง พระภิกษุนามกระเดื่องผู้เคยจาริกมายังอารามแห่งนี้ อีกทั้งยังมีเกาะขนาดเล็กที่สุดในโลกให้ชมด้วย!ทะเลสาบสุริยันจันทรา 1 ทะเลสาบสุริยันจันทรา 2 ทะเลสาบสุริยันจันทรา 3 ทะเลสาบสุริยันจันทรา 4

4. อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ก  ท่านเจียงไคเช็ก คือบิดาแห่งไต้หวัน ผู้สร้างชาติให้เจริญรุ่งเรืองมาจนทุกวันนี้ ตั้งแต่ยุคปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งท่านได้นำชาวจีนจากแผ่นดินใหญ่ กว่า 1.5 ล้านคน มาตั้งรกรากบนเกาะแห่งนี้ จนปัจจุบันไต้หวันมีประชากรถึง 23 ล้านคน และกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างแท้จริง เราสามารถไปสัมผัสเรื่องราวเหล่านี้ได้ที่อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ก อันเป็นที่บอกเล่าประวัติ และเก็บรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ของท่านให้ชมด้วยอนุสรณ์เจียงไคเช็ค 1 อนุสรณ์เจียงไคเช็ค 3 อนุสรณ์เจียงไคเช็ค 4 อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค. 2JPG

5. วัดจงไถ่ฉานซื่อ  เป็นวัดที่ได้รับการกล่าวขวัญว่า คือศาสนสถานใหญ่อันดับ 3 ของโลก! รองจากนครรัฐวาติกัน ในอิตาลี และวัดพุทธนิกายวัชรยานในทิเบต วัดนี้ภายนอกดูแล้วเหมือนตึก Modern สุดๆ หลังหนึ่ง เพราะได้รับการออกแบบโดยวิศวกรคนเดียวกับที่ออกแบบตึกไทเป 101 นั่นเอง จึงมีความยิ่งใหญ่อลังการและโอ่โถงมาก สิ่งก่อสร้างแต่ละอย่างในนี้มีขนาดมหึมา จนทำให้เรารู้สึกตัวเล็กกระจ้อยไปเลยทีเดียว แต่มีกฎว่าพอเข้าชมในวัดแล้ว ห้ามพูดกันเด็ดขาด! เพื่อรักษาความสงบของวัดครับ
วัดจงไถ่ฉานซื่อ 1 วัดจงไถ่ฉานซื่อ 2 วัดจงไถ่ฉานซื่อ 3 วัดจงไถ่ฉานซื่อ 4

6. วัดเหวินอู่  วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนเชิงเราริมทะเลสาบสุริยันจันทราอันงดงาม จากตัววัดมองลงไปเห็นเวิ้งทะเลสาบสีครามเข้มได้อย่างชัดเจนเต็มตา โดยวัดนี้เป็นที่ประดิษฐานของรูปปั้นเทพเจ้าแห่งปัญญา และเทพเจ้ากวนอู เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ รวมถึงสิงโตหินอ่อนสีแดงขนาดยักษ์ 2 ตัวหน้าวัด ซึ่งมีขนาดใหญ่มหึมา แต่ละตัวมีมูลค่าถึง 1 ล้านเหรียญไต้หวัน! ว้าว!
วัดเหวินอุ่ 1 วัดเหวินอุ่ 2 วัดเหวินอุ่ 4 วัดเหวินอุ่ 5 วัดเหวินอู่ 3

7. ถนนเก่าจิ่วเฟิ่น  ตั้งอยู่ที่เมืองจี่หลง อันเป็นเขตภูเขาสูงสลับซับซ้อนริมทะเล ซึ่งทหารญี่ปุ่นได้ใช้ที่นี่เป็นเหมืองทอง สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทว่าเมื่อสงครามยุติลง ก็ได้พลิกโฉมมาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ในลักษณะ Walking Street แบบย้อนยุค มีทั้งอาหาร ขนม ของกิ๊ปเก๋ ที่จะชวนให้เรานึกถึงอดีตวันวานสมัยยังเด็ก โดยเฉพาะร้านของกินอร่อยๆ อย่างขนมโมจิ บัวลอยน้ำขิง หมูแผ่น เค้กสับปะรด เห็ดย่าง ลูกชิ้น และร้านชิมชาอู่หลงกลิ่นหอมหวลถนนเก่าจิ่วเฟิ่น 1 ถนนเก่าจิ่วเฟิ่น 2 ถนนเก่าจิ่วเฟิ่น 3 ถนนเก่าจิ่วเฟิ่น 4

8. ตลาดซีเหมินติง  ย่านช้อปปิ้งใหญ่สุดแห่งหนึ่งในไทเป เป็นถนนคนเดินที่จะคึกคักสุดยามราตรี คล้ายสยามสแคว์กรุงเทพฯ บ้านเรา จึงเห็นคนแต่งตัวแฟชั่นล้ำสมัยเดินมาอวดโฉมกัน สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านของกิน เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง ฯลฯ ในราคาถูกกว่าไปช้อปที่ญี่ปุ่น เกาหลี และหลายอย่างถูกกว่าบ้านเรา จนต้องเหมากันมาเลยทีเดียว!ตลาดซีเหมินติง 1 ตลาดซีเหมินติง 2 ตลาดซีเหมินติง 3

9. ตลาดฟงเจี้ย Night Market  เป็นตลาดนัดกลางคืนที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองไทจง เร่ิมคึกคักตั้งแต่ประมาณ 19.00 น. ไปจนถึง 23.00 น. ถนนช้อปปิ้งเส้นนี้ยาวเหยียด ร้านรวงเรียงรายไปตามสองฟากถนน โดยเฉพาะเสื้อผ้าแฟชั่นนำสมัย และรองเท้ากีฬายี่ห้อดัง อย่าง Onisuka Tiger, New Balance, Nike,  Addidas ฯลฯ ล้วนถูกอย่างเหลือเชื่อ จนน่าตกใจ! แถมยังเป็นของแท้ มีกล่อง มีใบรับประกันให้ ราคาถูกกว่าซื้อที่เมืองไทยครึ่งๆ ส่วนใหญ่เหมากันไปคนละสองสามคู่!ตลาดฟงเจี้ย Night Market 1 ตลาดฟงเจี้ย Night Market 2 ตลาดฟงเจี้ย Night Market 3

10. ศูนย์ปะการังแดง  ที่นี่เป็นศูนย์ปะการังแดงที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดแสดงและจำหน่ายให้ผู้สนใจ เพราะปะการังแดงถือเป็นอัญมณีล้ำค่าแห่งท้องทะเลลึก ในโลกพบเพียง 4 แห่ง คือ ไต้หวัน, เกาะโอกนาวา ญี่ปุ่น, ชายฝั่งตอนเหนือของอิตาลี และที่ประเทศโครเอเชีย อยู่ใต้น้ำระดับความลึกถึง 1,800 เมตร เร่ิมมีการนำมาทำเครื่องประดับในสมัยราชวงศ์ชิง แต่ใช้ได้เฉพาะกับขุนนางชั้นสูง เชื่อกันว่าเป็นปะการังที่พลังพิเศษ สวมใส่แล้วช่วยปรับสมดุลย์กายใจ ขอบอกว่าราคาสูงลิ่ว เริ่มตั้งแต่หลักหมื่นบาท ไปจนถึงหลายสิบล้าน!!!
ศูนย์ปะการังแดงNIKON-18-copy-copy

อลังการหวงกั่วซู่ น้ำตกใหญ่อันดับ 3 ของโลก!

หวงกั่วซู่ 1

เครื่องบินเจ็ทลำใหญ่ลำนั้น ค่อยๆ ลดระดับลงอย่างช้าๆ บินฝ่ากลุ่มเมฆสีเทาทึบลงสัมผัสรันเวย์ของสนามบินเมืองกุ้ยหยาง (Guiyang) เป็นเมืองหลวงของมณฑลกุ้ยโจว (Guizhou Province) ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ ของจีนแผ่นดินใหญ่ เพราะเรากำลังจะไปเยือน น้ำตกใหญ่อันดับ 3 ของโลก! และใหญ่อันดับ 1 ของทวีปเอเชีย! น้ำตกหวงกั่วซู่” (Huangguoshu Waterfall)

หวงกั่วซู่ 4 หวงกั่วซู่ 5

ก่อนจะเข้าถึงน้ำตกหวงกั่วซู่ เราต้องเดินผ่านสวนหิน Tianxing Bridge ก่อน ภูมิประเทศตรงนี้น่าตื่นเต้นดี เพราะเป็นเหมือนโตรกเขาแคบให้เราเดินมุดลอดไปอย่างน่าสนุก
หวงกั่วซู่ 6

“สวนหิน Tianxing Bridge” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Tianxing Resort ตั้งอยู่ภายในพื้นที่กว้างใหญ่ของอุทยานน้ำตกหวงกั่วซู่ ภูมิประเทศตรงนี้เด่นที่ภูเขาหินปูน ซึ่งในทางธรณีวิทยาเรียกว่า Limestone Karst เกิดจากภูเขาหินปูนผุกร่อนเกิดเป็นรูปร่างพิสดาร ทั้งภูเขายอดแหลมฟันเลื่อย แท่งหินทรงหอคอย ถ้ำ หินงอกหินย้อย ช่องเขาแคบๆ และโตรกธารสีมรกต พวกเราเข้าไปเดินเที่ยวชมภูมิทัศน์มหัศจรรย์นี้อย่างเพลิดเพลิน หวงกั่วซู่ 7 หวงกั่วซู่ 8.1

ระหว่างทางในสวนหินมีน้ำตกเล็กๆ แบบนี้ให้ชมหลายแห่งหวงกั่วซู่ 8

ก่อนเข้าไปถึงน้ำตกหวงกั่วซู่ ก็ต้องอ่านข้อมูลศึกษาไว้ล่วงหน้าก่อนล่ะ

หวงกั่วซู่ 11

ทางเดินค่อนข้างแคบ เปียกลื่นชื้นแฉะ จึงต้องเดินอย่างระวัง เพราะหน้าผาฝั่งตรงข้ามน้ำตกนี้ ถูกละอองไอจากน้ำตกหวงกั่วซู่ปลิวว่อนสาดมาปะทะตรงๆ เต็มๆ จนหลายคนต้องรีบเก็บกล้อง บางคนรีบควักเสื้อกันฝนมาสวม แต่ผมไม่มี เลยทำตัวชิลๆ เดินไปพักไป ถ่ายภาพไป ปล่อยให้ตัวเปียกปอน ราวกับกำลังตากฝนอยู่ก็ไม่ปาน! กล้องถ่ายภาพชุ่มโชกเหมือนมีคนเอาน้ำมาเทใส่สักสิบขัน ฮาฮาฮา หวงกั่วซู่ 12 หวงกั่วซู่ 13

แม้จะยังไม่ถึงหน้าน้ำตก แต่ก็ได้ยินเสียงสายน้ำคำรามกระหึ่มแต่ไกล นั่นไง หวงกั่วซู่!หวงกั่วซู่ 14

น้ำตกหวงกั่วซู่ สูงถึง 77.8 เมตร และม่านน้ำแผ่กว้างกว่า 101 เมตร จึงเป็นน้ำตกที่ทยิ่งใหญ่ และงดงามสุดๆหวงกั่วซู่ 15 หวงกั่วซู่ 17

มาถึงจุดชมวิวแรก บนหน้าผาที่อยู่ตรงหน้าฝั่งตรงข้ามน้ำตกพอดิบพอดี จุดนี้ชมวิวได้เจ๋งสุดๆ แต่ก็เปียกที่สุดเช่นกัน ละอองน้ำปลิวว่อนอยู่ในทุกอณูอากาศ บวกกับแรงลมขณะนั้น ทำให้รู้สึกคล้ายอยู่กลางพายุเฮอร์ริเคน หวงกั่วซู่ 18 หวงกั่วซู่ 19

เริ่มเดินวนจากด้านหน้าน้ำตก เพื่อลอดเข้าไปด้านหลังม่านน้ำอันทรงพลัง!
หวงกั่วซู่ 20

ภาพสายน้ำสีขาวอิ่มเอมถาโถมลงจากหน้าผาสูงลิบ เป็นม่านน้ำสีขาวคล้ายทางสำลียักษ์ ดิ่งลงกระแทกแอ่งน้ำและโขดหินผาเบื้องล่าง ปล่อยละอองไอปลิวว่อนฟุ้งไปในอากาศโดยรอบ ภาพนี้ทำให้รู้สึกคล้ายเราหลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง!

หวงกั่วซู่ 21

จากหน้าผาฝั่งตรงข้ามน้ำตก ทางเดินเลียบหน้าผานำเราวนเข้าหาม่านน้ำตก ถามว่าเข้าไปทำไม? จะไปเล่นน้ำเหรอ? คำตอบคือเปล่า แต่หวงกั่วซู่เป็นน้ำตกเพียงไม่กี่แห่งในโลก ที่มีทางเดินให้ลอดผ่านด้านหลังม่านน้ำตกได้ด้วย! ว้าว Amazing สุดๆๆๆ! มันเป็นวินาทีน่าตื่นเต้น เพราะเรากำลังเดินเข้าไปหลังม่านน้ำสีขาวโพลนอันทรงพลังของน้ำตกใหญ่ที่สุดในเมืองจีน เผยให้เห็นสายน้ำสีขาวปริมาณมหาศาล ถาโถมลงมาเป็นสายเหนือหัว หวงกั่วซู่ 22 หวงกั่วซู่ 23

ผมลองแหงนมองคอตั้งบ่า เห็นม่านน้ำตกพุ่งลงมาผ่านตัวเราไป เสียงน้ำดังสนั่น จนพูดกันแทบไม่ได้ยิน หวงกั่วซู่ 24 หวงกั่วซู่ 25

ความชุ่มฉ่ำของสายน้ำที่หลากไหลอยู่ชั่วนาตาปี ไม่เคยเหือดแห้ง ช่วยให้พืชน้อยๆ น่ารักๆ อย่างเฟินและมอสที่ชอบความชื้น งอกงามอยู่ตามผาหินจนแลคล้ายผืนพรมสีเขียว เย็นตา
หวงกั่วซู่ 26

พอมุดผ่านหลังม่านน้ำตกแล้ว ทางเดินเลียบผาก็จะต่ำลงๆ จนไปถึงสะพานแขวนข้ามธารน้ำ กลับไปยังฝั่งตรงข้ามน้ำตก บัดนี้เราได้เดินเที่ยวน้ำตกหวงกั่วซู่มาเป็นวงรอบครบสมบูรณ์แล้ว จากนั้นก็ขึ้นบันไดเลื่อนยาวเหยียด กลับไปสู่จุดเริ่มต้นของเส้นทางอีกครั้ง หวงกั่วซู่ 27

ตัวผมยังเปียกชุ่มอยู่ขณะที่นั่งรถบัสของอุทยานฯ กลับออกมาต่อรถบัสกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม ช่วงเวลาแห่งความสุขช่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่หวงกั่วซู่ฝากตรึงไว้ในใจผมคือความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่ทำให้รู้สึกว่า ตัวเราช่างเล็กกระจ้อยเหลือเกิน และคงไม่มีวันชนะพลังธรรมชาติได้อย่างแน่นอน.

หวงกั่วซู่ 28

Special Thanks : บริษัท Spirit of the World, บริษัท Himalayan Center และรายการโลกใบใหม่ by เมืองไทยดอทคอม สนับสนุนการเดินทางเป็นอย่างดี

 Guiyang Guide

When to go : เที่ยวได้ตลอดปี แต่ฤดูฝนอยู่ระหว่างเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม

How to go : สามารถบินตรงจากสุวรรณภูมิ สู่สนามบินเมืองกุ้ยหยาง ใช้เวลา 2.40 ชั่วโมง ด้วยสายการบิน HNA Capital Airlines หรือจะบินมาจากเมืองกว่างโจว, กุ้ยหลิน, คุณหมิง, เฉิงตู, ปักกิ่ง ก็ได้ นอกจากนี้ยังมีรถไฟภายในประเทศของจีนด้วย เช่น สาย Yunnan-Guizhou Railway และ Zhuzhou-Liupanshui II Track Railway เป็นต้น มีทั้งรถไฟธรรมดา และรถไฟหัวจรวด

Where to stay : แนะนำโรงแรมสี่ดาวสุดเจ๋งในเมืองกุ้ยหยาง Forest City Wanyi Hotel โทร. 0851-6878888 จองผ่าน www.agoda.com ส่วนที่เมืองขายลี่ แนะนำ โรงแรม Jai Jun Hotel เพราะอยู่ใกล้ปากทางเข้าอุทยานน้ำตกเลย จองผ่าน www.chinahotelbooking.com

What to eat : คนจีนภาคใต้ในกุ้ยหยาง นิยมกินอาหารเผ็ดร้อน โดยใส่เครื่องเทศชื่อ “หมาล่า” ลงไปด้วย ยิ่งใส่เยอะยิ่งเผ็ด หอม ชาลิ้นนิดๆ นิยมใส่ในผัดและน้ำซอสปิ้งย่าง มีให้ชิมทั่วไปทุกภัตตาคารและร้านริมทาง

Souvenirs : ของที่ระลึกสุดเก๋จากกุ้ยหยาง คือ เครื่องเงิน, เสื้อผ้าชาวเขา, ผลไม้สด ฯลฯ

More info : บริษัท Spirit of the World (http://sprtour.com), บริษัท Himalayan Center โทร. 0-2553-0996-7 www.himalaicenter.com, รายการโลกใบใหม่ by เมืองไทยดอทคอม โทร. 08-6666-7660

เสน่ห์อับยาเนห์ หมู่บ้านดินแดงมรดกโลก Iran

a1

ใครจะเชื่อว่าท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนแล้ง และห่างไกลทางตอนกลางของประเทศอิหร่าน จะมีหมู่บ้านที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตั้งอยู่ในนามว่า “หมู่บ้านอับยาเนห์ (Abyaneh Village) ซึ่งคนทั่วโลกรู้จักกันในฉายา หมู่บ้านสีแดง” หรือ Red Village เพราะหมู่บ้านอายุ 1,500 ปีนี้ สร้างขึ้นด้วยการนำดินในแถบนั้นมาก่อขึ้นไปบนโครงไม้และหิน จนกลายเป็นหมู่บ้านดินอันมีลักษณะเฉพาะ เนื่องจากก่อนที่ศาสนาอิสลามจะเข้าสู่อิหร่าน ชาวบ้านอับยาเนห์ยังนับถือลัทธิโซโรแอสเทรียน (ลัทธิบูชาไฟ) และเพิ่งมาเปลี่ยนเป็นอิสลามเมื่อหลังศตวรรษที่ 16 นี่เอง อับยาเนห์มีเนื้อที่ไม่มาก เดินเที่ยวสบาย ลัดเลาะเข้าไปตามตรอกซอกซอย ชื่นชมสถาปัตยกรรมทรงเรขาคณิต ตกแต่งน้อยๆ พองามแบบ Minimal ซึมซับมิตรไมตรีของชาวบ้านที่มีอยู่แค่ 300 กว่าคน นี่คือชุมชนเล็กๆ น่ารักซึ่งเต็มไปด้วยภาพอดีตอันมีชีวิต

a2

นอกจากคนที่อับยาเนห์จะยังคงพูดภาษาปาเธียน ซึ่งเป็นภาษาโบราณกันอยู่แล้ว ผู้หญิงทุกคนที่นี่ยังแต่งตัวไม่เหมือนสาวๆ ที่ไหนในโลก! เพราะยังสวมผ้าคลุมหัวผืนใหญ่สีขาว ชายทอดลงมาคลุมไหล่และหลัง โดยผ้านั้นเป็นลายดอกไม้สีสันสดใส ส่วนเสื้อและกระโปรงนิยมใช้ผ้าทอมือสีดำ สวมถุงน่องสีดำยาวปิดเรียวขา และสวมรองเท้าสานแบบโบราณ

a3 a4 a5 a6 a7.1a18

ไอศกรีมแซฟฟรอน มีให้ชิมที่นี่ที่เดียว เปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยชื่นใจมาก

a17

ชิมปลาเทราต์ทอดกับเครื่องเทศน์แสนอร่อย

a16 a15 a13 a12 a11 a10 a9 a8 a7

 (ภาพทั้งหมด โดย คุณธนนา สภารักษ์ปัญญา / Photo by Thanana Sparakpanya)

Getting There

หมู่บ้านอับยาเนห์เที่ยวได้ตลอดปี แต่อากาศเย็นสบายที่สุดช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน จากเมืองไทยบินตรงไปลงที่เตหะราน เมืองหลวงของอิหร่าน โดยสายการบิน Mahan Air (www.mahan.aero/en) แล้วเช่ารถยนต์ต่อไปหมู่บ้านอับยาเนห์ เส้นทาง Tehran-Kasan ระยะทาง 254 กิโลเมตร เช่ารถพร้อมไกด์ติดต่อ www.irantravelingcenter.com/transportation_car_rental_iran.htm และ บริษัท Go Together Travel โทร. 0-2635-1255 www.gotogethertravel.com

ร่วมไว้อาลัย แผ่นดินไหวเนปาล เมืองมรดกโลก Patan!

p1

Go Travel Photo.com ขอแสดงความเสียใจกับชาวเนปาลทุกคน ในเหตุการณ์แผ่นดินไหว 7.9 ริกเตอร์ ในเดือนเมษายน 2015 ณ เมืองกาฐมาณฑุ ทำให้มีคนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เราขอส่งกำลังใจไปช่วย และขอร่วมไว้อาลัยกับทุกชีวิตที่จากไป พร้อมกับขอแสดงความอาลัยกับ เมืองปาตัน (Patan) เมืองโบราณมรดกโลกที่พังถล่มลงมาด้วย

ลลิตปูร์ (Lalitpur) “นครแห่งความงาม” หรือ The Cit of Beauty คือชื่อเรียกขานกันมาแต่โบราณของ เมืองปาตัน” (Patan) 1 ใน 4 เมืองใหญ่ที่สุดในหุบเขากาฐมาณฑุของราชอาณาจักรเนปาล โดยเมืองปาตันตั้งอยู่ริมแม่น้ำบักมาตี (Bagmati River) เป็นนครโบราณมรดกโลก สร้างขึ้นในยุคเดียวกับสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ยอมรับกันว่าเป็นศูนย์กลางทางศิลปะทุกแขนงของเนปาล โดยเฉพาะด้านสถาปัตยกรรม การแกะสลักไม้ จำหลักหิน ภาพวาด และการทำเครื่องเงินเครื่องทอง! ศูนย์กลางเมืองปาตันอยู่ที่จัตุรัสดูบาร์ (Patan Dubar Square) ซึ่งมีปราสาทราชวัง เทวาลัยฮินดู สระน้ำ รูปสลัก และพิพิธภัณฑ์ให้ชม ความเฟื่องฟูของศิลปกรรมแบบเนวารีที่ใช้ก่อสร้าง คือสุดยอดผังเมือง ที่มีถนนโบราณตัดตามแนวทิศเหนือ-ใต้-ตะวันออก-ตะวันตก แบ่งเมืองเป็น 4 ส่วนเท่ากัน โดยใช้พระราชวังปาตันและจัตุรัสดูบาร์อันคึกคักเป็นศูนย์กลาง นี่คือนครโบราณที่ยังมีชีวิตอย่างแท้จริง

p2 p3 p4.1 p4.2 p4 p5 p6 p7 p8 p9.1 p9 p10 p11 p12 p13 p14 p15 p16

Getting There

จากไทย-กาฐมาณฑุบินตรง ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที เช่น การบินไทย โทร. 0-2288-7000 www.thaiair.com และ Nepal Airlines โทร. 02-2667146-7 www.nepalairlines.com.np

ปาตันอยู่ห่างจากกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ 5 กิโลเมตร สภาพถนนดี เดินทางได้ด้วยรถแท็กซี่ รสบัส และรถไมโครบัส สำหรับรถแท็กซี่ค่าโดยสารต่อเที่ยว 200-350 รูปี แต่ถ้าจะให้รอรับกลับด้วย ก็ต้องคูณสอง ส่วนรถบัสมีสายสีน้ำเงินกับเขียว ค่าโดยสารคนละ 15-20 รูปี บอกคนเก็บตังค์ด้วยว่าจะลงที่ปาตัน รถบัสจะจอดริมถนน Ring Road จากนั้นเดินต่อไปอีก 15 นาที จนถึงปาตัน ดูบาร์สแควร์ ส่วนรถไมโครบัสขึ้นได้ที่ Ratnapark ในกาฐมาณฑุ ค่าโดยสารคนละ 12 รูปี

5,000 กิโลเมตร! จากเมืองไทยถึงแชงกรี-ลา China

สุดยอดปราชญ์จีนอย่างขงจื้อเคยกล่าวไว้ว่า “เดินทางแค่ลี้เดียว ดีกว่าอ่านหนังสือร้อยเล่ม” คำกล่าวนี้จริงแท้แน่นอน และถ้าเป็นการเดินทางสัก 5,000 กิโลเมตรล่ะ! เราจะได้ประสบการณ์มากมายมหาศาลแค่ไหน? ผมยังไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้ จนกระทั่งได้เดินทาง ด้วยวิธีการขับรถจากเมืองไทยไปสู่ดินแดนชายขอบหลังคาโลก “แชงกรี-ลา” (เมืองจงเตี้ยนของจีน) ติดประตูบ้านทิเบตตะวันออก โดยใช้เวลาไป-กลับถึง 17 วัน แชงกรี-ลา (Shangri-la) คือเมืองที่หลายคนใฝ่ฝันอยากไปสัมผัสสายลมแห่งขุนเขาหิมะคำราม แผ่ปกด้วยทุ่งดอกไม้ ทะเลสาบ วัดวาอารามเก่าแก่ และวิถีวัฒนธรรมสุดอลังการ

การเดินทางจากไทยไปเมืองแชงกรี ลา มีทั้งแบบง่ายๆ ชิลชิล และแบบผจญภัยสุดขั้ว คือไปได้ง่ายๆ แบบนั่งเครื่องบินไม่กี่ชั่วโมงถึง หรือจะเดินทางด้วยรถยนต์จากเมืองระยะทางไปกลับ 5,500 กิโลเมตร! ขับรถ 10-14 วัน เส้นทางไทย (อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย) – ลาว (เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว) – เมืองเชียงรุ้ง (แคว้นสิบสองปันนา) – เมืองคุนหมิง – เมืองต้าลี่ – เมืองลี่เจียง – เมืองแชงกรี ลา

26

แชงกรี ลา ได้รับการเอ่ยถึงในโลกตะวันตกพร้อมวรรณกรรมชื่อก้องโลก “ขอบฟ้าที่สาบสูญ” หรือ The Lost Horizon ของนักเขียนนวนิยายแนวผจญภัยชื่อดัง เจมส์ ฮิลตัน (James Hilton) ซึ่งใช้ข้อมูลจากการเดินทางของนักสำรวจจีนโดยสมาคมแนชั่นแนลจีโอกราฟิกชื่อ โจเซฟ ร็อก (Joseph Rock) บวกกับจินตนาการของเขา เนรมิตดินแดนแชงกรี ลา ขึ้นมาในโลกแห่งวรรณกรรม โดยคำว่า “แชงกรี ลา” นี้ แท้จริงมีรากศัพท์มาจากภาษาทิเบตว่า “ชัมบาลา” (Shambala) หมายถึงชีวิตอันสงบสันติ ตามแนวพระพุทธศาสนานิกายวัชรยาน และเป็นดินแดนในอุดมคติที่หลุดพ้นจากตัณหากิเลสทั้งปวง ต่อมารัฐบาลจีนได้จัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติออกค้นหาดินแดนแชงกรี ลา ว่าอยู่ในส่วนใดของจีน ก็มาพบ เมืองจงเตี้ยน (Zhongdian) ที่มีภูมิประเทศใกล้เคียงกับนวนิยายของเจมส์ ฮิลตัน มากที่สุด รัฐบาลจีนจึงเปลี่ยนชื่อ “เมืองจงเตี้ยน” เป็น “แชงกรี ลา”   นับเป็นแผนการตลาดที่ประสบความสำเร็จสุดๆ เพราะหลังจากนั้นเงินทอง ความเจริญ และนักท่องเที่ยว ก็หลั่งไหลเข้าสู่จงเตี้ยน ชาวจีนจึงเรียกเมืองแชงกรี ลา ใหม่นี้ว่า “เชียงเก๋อหลี่ลา” (Xiang-ge-li-la) ซึ่งนี่อาจเป็นตัวแทนของแชงกรี ลา ในฝัน ที่เราสัมผัสได้จริง

2

3

4

5

6

7

 โดยส่วนตัวผมเป็นคนที่ชอบเดินทางช้าๆ เก็บรายละเอียดต่างๆ ไปด้วย เพราะชอบถ่ายภาพ การเดินทางด้วยรถยนต์จึงเหมาะสุด เริ่มอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ข้ามเรือเฟอร์รี่เข้าสู่เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว แล้วใช้ถนนสาย R3A ผ่าน เมืองหลวงน้ำทา (Luang Namtha) ต่อด้วยทางหลวงสาย 13B มุ่งหน้าสู่ เมืองบ่อเต็น (Boten) แล้วข้ามชายแดนลาว-จีน ที่ เมืองโมฮาน (Mohan)

            จากด่านโมฮาน ขับรถต่อไปอีก 101 กิโลเมตร ผ่าน เมืองลา (Mengla) จนถึง เมืองเชียงรุ่ง (Jinghong) สิบสองปันนา ผมชอบถนนช่วงนี้เพราะสวยแปลกตาดี สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าไม้ สลับกับสวน และต้องวิ่งลอดอุโมงค์ที่รัฐบาลจีนเจาะภูเขาทะลุไปถึง 17 แห่ง ข้ามสะพานข้ามเหวสูงอีกกว่า 20 แห่ง นับเป็นความมหัศจรรย์ทางวิศวกรรมเลยก็ว่าได้ครับ จากนั้นผ่านเมืองคุนหมิง (Kunming) เข้าสู่เมืองต้าหลี่

8

 ต้าหลี่ (Dali) เป็นเมืองโบราณของชนชาติไป๋ (Bai) ที่รุ่งเรืองมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8-9 ทั่วเมืองเต็มไปด้วยเสน่ห์ของการผสมผสานความเก่าและใหม่เข้าด้วยกัน และมีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย อาทิ “เจดีย์สามองค์แห่งวัดฉงเซิ่ง” ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่สุด โดยเจดีย์องค์กลางสูง 70 เมตร เป็นทรงสี่เหลี่ยมสร้างสมัยราชวงศ์ถัง ส่วนเจดีย์องค์เล็กสององค์ สูง 43 เมตร เป็นทรงแปดเหลี่ยมสร้างสมัยราชวงศ์ซ่ง ปัจจุบันเจดีย์องค์เล็กเอียงไป 4-6 องศา คล้ายหอเอนปิซ่าที่อิตาลี!

ตัวเมืองต้าหลี่ถูกขนาบด้วยทะเลสาบเอ๋อไห่ทางตะวันออก และเทือกเขาชานซานทางตะวันตก เมืองนี้เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรน่านเจ้า ต่อมาได้เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรต้าหลี่ใน พ.ศ. 1480-1796 เมืองต้าหลี่ตั้งอยู่บนความสูง 2,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อากาศจึงเย็นสบายตลอดปี ทำให้การเดินเที่ยวของผมช่างรื่นรมย์ จากวัดเจดีย์สามองค์ไปต่อกันที่ “เมืองเก่าต้าหลี่” (Dali Old Town) อายุกว่า 1,000 ปี ผมค่อยๆ เดินเข้าไปตามตรอกซอกซอยเล็กๆ ชมบ้านเก่าสไตล์จีนสร้างด้วยหิน มุงหลังคากระเบื้องดินเผาลอนโค้ง เก่าคร่ำคร่าจนมีมอสและดอกไม้งอกขึ้นราวสวนธรรมชาติ โครงหน้าต่างและเสาค้ำของบ้านเป็นไม้ท่อนใหญ่ และปูลาดทางเดินทั่วเมืองด้วยหินดั้งเดิมอายุนับพันปี ซึ่งคนไม่รู้กี่ชั่วอายุคนเดินเหยียบย่ำ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วิศวกรจีนโบราณผู้เนรมิตเมืองต้าหลี่ชาญฉลาดนัก ออกแบบให้มีคลองส่งน้ำเล็กๆ ไหลหล่อเลี้ยงทั่วเมือง ให้คนได้ดื่มกินอาบใช้ น้ำใสไหลเย็นนี้ก่อเกิดจากหิมะละลายจากเทือกเขาชานซานที่ตระหง่านอยู่ข้างเมืองนั่นเอง

9

10

 จากต้าลี่เดินทางต่ออีกแค่ 180 กิโลเมตร ก็ถึงเมืองโบราณ ลี่เจียง (Lijiang) ในเขต “เมืองเก่าซู่เหอ” (Shuhe Old Town) อายุกว่า 1,000 ปี! แม้วันนี้ซู่เหอจะมีสีสันสมัยใหม่เข้ามาแทรกซึมอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงกลิ่นอายโบราณไว้มาก ยังคงมีก้อนหิน เสาไม้ ลวดลายแกะสลัก และกระเบื้องมุงหลังคาแบบจีน   ผมเข้าไปนั่งจิบกาแฟร้อนๆ ริมสายน้ำใสไหล้เย็นใต้เงาต้นหลิว ปล่อยเวลาให้เคลื่อนผ่านโดยไม่ต้องกังวล ยิ่งเดินลึกเข้าไปมากเท่าใด ก็ยิ่งเห็นคุณย่าคุณยายชาวน่าซี (Naxi) ที่ยังคงแต่งกายแบบดั้งเดิม สวมเสื้อแขนยาว หมวกสีน้ำเงิน เดินไปมาอยู่ทั่วไป เมืองเก่าแห่งนี้มีสระน้ำที่มีต้นหลิวโอนเอนล้อลมน่ามอง สมแล้วที่ลี่เจียงได้ฉายาว่า “เมืองน้ำสวย” (ลี่ แปลว่า สวย และเจียง แปลว่า น้ำ)

11

12

13

14

15

16

18

19

20

 คนที่จะขับรถเส้นทางนี้ต้องมีทักษะในการขับรถบนเขาสูงชัน เพราะเส้นทางเมืองไทย-แชงกรี ลา เต็มไปด้วยหุบเขาสลับซับซ้อน

21

22

 จากลี่เจียงบนความสูงเพียง 2,400 เมตรเหนือน้ำทะเล ในที่สุดผมก็เดินทางมาถึงดินแดนในฝัน แชงกรี ลา บนความสูงกว่า 4,300 เมตรเหนือน้ำทะเล! จนได้ ช่วงที่ไปถึงเป็นฤดูใบไม้ร่วงพอดี ใบไม้ในราวไพรจึงผลัดใบเปลี่ยนสี ทำให้ภูเขาทั้งลูกเหมือนถูกระบายแต้มด้วยสีเหลือง ส้ม แดง น่าตื่นตามาก บางช่วงถนนคดโค้งเลียบลำธารใสและโขดหินใหญ่ ในทุ่งหญ้ามีฝูงม้า จามรี และแกะของชาวทิเบต เดินเลาะเล็มหญ้าหากินอยู่อย่างเสรี มีบ้านทิเบตที่สร้างเป็นทรงสี่เหลี่ยม โดยใช้อิฐ หิน และไม้ อย่างง่ายๆ เราพบเจดีย์ทิเบตที่เรียกว่า ชอร์เต็น (Chorten) มากมาย บางแห่งสร้างโดยเรียงก้อนหินขึ้นไปธรรมดาๆ แต่บางองค์สร้างเป็นเจดีย์ฉาบปูนทาสีขาวผูกโยงธงมนต์ปลิวไสว ถ้าสังเกตให้ดีธงมนต์จะมี 5 ตามสีมงคลของทิเบต คือ แดง ขาว เหลือง เขียว และน้ำเงิน บนธงมนต์มีรูป “ม้าลม” (Wind Horse ชาวทิเบตเรียกว่า ลุงตะ) เชื่อว่าม้าลมจะนำบทสวดมนต์บนผืนธง ให้ลอยไปสร้างสงบสานติทั่วโลก

23

 ผืนป่าบนภูเขาของแชงกรี ลา  ผลัดใบหลากสีสุดอลังการในต้นฤดูใบไม้ร่วง ราวภาพศิลปะของศิลปินเอก

24

 “หุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน” (Blue Moon Valley) บนระดับความสูงกว่า 3,800 เมตร ซึ่งเราต้องนั่งรถกระเช้ายาวเหยียดขึ้นสู่ยอดเขา บนนั้นแม้จะวิวสวย แต่ออกซิเจนเบาบางมาก บางคนจึงต้องพกออกซิเจนกระป๋องเล็กๆ ขึ้นไปใช้หายใจให้สะดวกขึ้น ผืนป่าในหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงินยามนี้เปล่งปลั่งสุดขีด ผลัดใบเป็นสีเหลืองทั้งขุนเขา ยิ่งมองเลยออกไปลิบๆ จะเห็นภูเขาหิมะหนาวเย็นทอดยาวอยู่ตรงปลายฟ้า ทำให้รู้สึกว่าโชคดีที่ได้มาเยือนสวรรค์ทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตมีลมหายใจอยู่ บนเขามีสะพานทางเดินไปยังส่วนต่างๆ พร้อมกับมีชอร์เต็น 3 องค์ ผูกโยงธงมนต์ทิเบต ผมจึงอธิษฐานขอให้ได้กลับมาที่นี่อีกในฤดูหิมะหน้า

25

28

 “วัดซงซานหลิน” (Songzanlin Monastery) วัดอายุกว่า 300 ปี ซึ่งได้รับการสร้างโดยดาไลลามะองค์ที่ 5 นับเป็น 1 ใน 13 วัดสำคัญที่สุดของทิเบต วัดซงซานหลินเป็นวัดใหญ่ มีอารามหลักหลังคาสีทองอร่าม พร้อมด้วยกุฏิของพระเณรรายรอบ เมื่อมองจากระยะไกลมีสัณฐานคล้ายพระราชวังโปตาลาในนครลาซา เมืองหลวงของทิเบต วัดซงซานหลินจึงได้รับฉายาว่า “โปตาลาน้อย” ในวิหารกลางมีรูปปั้นดาไลลามะองค์ที่ 5 ใหญ่เท่าตึก 3 ชั้น! ผู้คนมากราบไหว้ไม่ขาด พร้อมกันนี้บนฝาผนังยังมีภาพปริศนาธรรม เทพพิทักษ์ธรรมในปางดุ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระศรรีอริยเมตรไตรย และผ้าพระบฏ (Thangka) โบราณอยู่มากมาย

29

30

 สาวแชงกรี ลา แท้จริงก็คือสาวเชื้อสายทิเบตนี่เอง เพราะสมัยโบราณเขตนี้คือดินแดนของทิเบตตะวันตก

31

 เมื่อมาถึงแชงกรี ลา แล้ว ก็ต้องฝึกพูดทักทายสวัสดีเป็นภาษาทิเบตไว้หน่อย เขาใช้คำว่า “ตาชิ เตเล่” (Tashi Delek) จำไว้ให้ขึ้นใจ ฝึกพูดไว้ให้ติดปาก จะได้รับการต้อนรับจากทุกคนทุกที่

32

 คาราวานขับรถเที่ยวในเมืองแชงกรี ลา (เมืองจงเตี้ยน) ผ่านหุบเขาสูงชัน คดเคี้ยว ลงสู่ทุ่งราบกว้างสุดลูกหูลูกตา

33

 ค่ำคืนในแชงกรี ลา อากาศหนาวจับใจ อุณหภูมิลดต่ำเหลือแค่ 5 องศาเซลเซียส! เช้าวันถัดมาจึงมีน้ำค้างแข็งเป็นเกล็ดขาวๆ เกาะพราวอยู่ทั่วไปตามพื้นถนนและบนหลังคารถ หนาวแบบนี้เริ่มทำให้ผมคิดถึงอ้อมกอดอุ่นๆ ของคนที่เมืองไทยซะแล้ว แต่ยังเหลือหนทางยาวไกลอีกตั้ง 2,500 กิโลเมตร กว่าจะกลับถึงบ้าน ที่ซึ่งผมจะนำประสบการณ์สุดพิเศษทั้งหมดนี้ ไปบอกเล่ากับทุกคน ว่า “แชงกรี ลา The Lost Horizon” มันคือขอบฟ้าที่สูญหายแห่งดินแดนหลังคาโลกอย่างแท้จริง

35

 รอยยิ้มหวานเจี๊ยบจากสาวสิบสองปันนาทางตอนใต้ของจีน ทำให้การเดินทางยาวไกลกว่า 5,500 กิโลเมตร หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะ อิอิ

36

1841

Traveler’s Guide

Best season : เที่ยวได้ตลอดปี เดือนมีนาคม-เมษายนดอกไม้บาน เดือนตุลาคม-พฤศจิกายนใบไม้เปลี่ยนสี และเดือนธันวาคม-มกราคมได้เล่นหิมะสมใจ

How to go : เส้นทางขับรถเที่ยว ไทย (อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย)-ลาว (เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว)-เมืองเชียงรุ้ง (แคว้นสิบสองปันนา)-เมืองคุนหมิง-เมืองต้าลี่-เมืองลี่เจียง-เมืองแชงกรี-ลา ระยะทางไปกลับประมาณ 5,000 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถประมาณ 10-14 วัน ควรใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ และคนขับที่มีประสบการณ์ผ่านทางภูเขาคดเคี้ยว อีกทั้งต้องทำวีซ่าลาว-จีน, เอกสารประกันภัย-เอกสารรถให้พร้อม แต่ถ้าอยากไปแบบง่ายกว่านั้น ให้บินจากกรุงเทพฯ-เมืองคุนหมิง แนะนำสายการบินไทย โทร. 0-2356-1111 www.thaiairways.co.th แล้วบินเมืองคุนหมิง-เมืองแชงกรี-ลา   (สนามบินตี๋ชิ่ง : Diqing Airport) สายการบิน China Eastern Airlines โทร. 0-2636-6979-80 มีบินทุกวัน ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง

Where to stay : มีโรงแรมหลายระดับให้เลือก เช่น เมืองเชียงรุ้ง แคว้นสิบสองปันนา โรงแรม Gloden Zone โทร. 86-691-2150888 www.goldenzonehotel.com เมืองคุนหมิง โรงแรม Empark Grand Hotel โทร. 86-871-7388888 www.empark.com.cn เมืองต้าลี่ โรงแรม Asia Star Garden Hotel โทร. 86-872-2680199 www.asiastargroup.com เมืองลี่เจียง โรงแรม Treasure Harbour International Hotel โทร. 86-888-3116688 www.treasureharbour.cn เมืองแชงกรี-ลา โรงแรม Paradise Hotel โทร. 86-887-8228008 http://www.chinaodysseytours.com/hotels/Paradise-Hotel.html ค่าห้องพักรวมอาหารเช้าด้วย

What to eat : เส้นทางขับรถช่วงที่อยู่ในลาวอาหารยังคล้ายกับไทย แต่เมื่อข้ามแดนเข้าจีนแล้ว อาหารจะเป็นพวกข้าวสวย บะหมี่ หมูแดง เป็ด ไก่ หมั่นโถว ซาลาเปา ผัดผัก ปลานึ่ง ซุปต่างๆ ถ้าพักตามโรงแรมใหญ่ๆ จะมีอาหารตะวันตกด้วย ใครกลัวเลี่ยน แนะนำให้พกน้ำพริกไทยไปด้วย ที่แชงกรี-ลา อย่าลืมชิมเนื้อจามรีทอด (คนจีนเรียกว่าเนื้อเหมาหนิว) รวมถึงชาเนยทิเบต กินกับซัมปะ (แป้งข้าวบาร์เลย์คั่ว)

Souvenirs : ของที่ระลึกบนเส้นทางนี้มีมากมายให้เลือก ที่เมืองเชียงรุ้ง แนะนำใบชาปู้เอ่อ เครื่องไม้แกะสลัก และเครื่องหนัง ที่เมืองคุนหมิง แนะนำครีมบัวหิมะทาแก้น้ำร้อนลวก ที่เมืองต้าหลี่ แนะนำผ้าทอมือ และกระเป๋าถักของชนเผ่าไป๋ ที่เมืองลี่เจียง แนะนำผ้าคลุมไหล่ทอมือ และงานหัตถกรรมของชนเผ่าน่าซี ส่วนที่เมืองแชงกรี-ลา แนะนำหวีจากเขาจามรี แส้พู่หางจามรี และหินสีทิเบต (โปรดระวังของปลอม!)

Hokkaido Blooming Season

2

3

ณ ใจกลางเกาะฮอกไกโดที่เมืองบิเอะ (Biei) และเมืองฟุระโนะ (Furano) ถือเป็น 2 เมืองสุดยอดไฮไลท์ในการชมดอกไม้ช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม การเดินทางท่องเที่ยวก็แสนง่ายดาย เพราะเมื่อบินจากไทยไปลงที่ซัปโปโร (Sapporo) เมืองหลวงของฮอกไกโดแล้ว เราสามารถซื้อแพ็กเกจทัวร์ เช่ารถยนต์ขับเอง เช่ารถแท็กซี่ หรือจะปั่นจักรยานเอง ไปเที่ยวเมืองดอกไม้ เชื่อมโยงกันเป็นเส้นทางได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัย

4

5

โทมิตะฟาร์ม (Tomita Farm) เป็นฟาร์มดอกไม้ของตระกูลโทมิตะที่เริ่มปลูกดอกลาวเวนเดอร์มาตั้งแต่ ค.ศ. 1903 แล้ว จากฟาร์มเล็กๆ ที่เคยมีแต่ผลผลิตดอกลาเวนเดอร์สดอย่างเดียว ค่อยๆ เติบโตสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากดอกลาเวนเดอร์พันธุ์ดี จนทุกวันนี้โทมิตะฟาร์มมีเนื้อที่กว่า 120,000 ตารางเมตร! มีการแปรรูปลาเวนเดอร์เป็นสินค้ากลิ่นหอมจรุงใจหลายสิบอย่าง ทั้งน้ำมันลาเวนเดอร์ที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย หยดไว้ที่หมอนก่อนนอนสักสองสามหยด ก็จะทำให้หลับสบาย, น้ำหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ติดทนนาน, สบู่ลาเวนเดอร์, ครีมทาผิวลาเวนเดอร์, ครีมอาบน้ำ น้ำยาสระผม ครีมนวดผมลาเวนเดอร์, แผ่นหอมลาเวนเดอร์เอาไว้ใส่ตู้เสื้อผ้า หรือแม้แต่น้ำดื่มกลิ่นลาเวนเดอร์ ไอศกรีมลาเวนเดอร์ และเมล็ดพันธุ์ลาเวนเดอร์ ก็มีจำหน่ายให้คนที่ชอบปลูกดอกไม้ทำสวนหลังบ้าน

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

Traveler’s Guide

Best seson : ดอกไม้บานมากที่สุดเดือนมิถุนายน-สิงหาคม

Getting there : จากเมืองไทยบินตรงจากสุวรรณภูมิ-ซัปโปโร เมืองหลวงของฮอกไกโด ใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง 15 นาที ติดต่อ Thai Airways International โทร. 02-356-1111 เว็บไซต์ www.thaiairways.co.th

Overnight : ในซัปโปโร แนะนำ Mitsui Garden Hotel www.gardenhotels.co.jp/eng/sapporo/ เมืองฟูราโนะ แนะนำ Furano Natulux Hotel www.natulux.com/en/about/index.html เมืองบิเอะ แนะนำ Woody Life Cottages www.booking.com/hotel/jp/woody-life.th.html

Cuisine : ฮอกไกโดมีอาหารอร่อยให้ชิมเพียบ เช่น ปูยักษ์ทาราบะ, ปูขน, ปูดอกไม้, เนื้อวัววากิว, ไข่หอยเม่น, ข้าวหน้าปลาไหล, ข้าวหน้าปลาดิบรวม, เมล่อน, ขนมโมจิ, ช็อกโกแลต ROYCE, ช็อกโกแลตขาว, ซอฟครีม (เป็นไอศกรีมที่นุ่มกว่าปกติ), นมสดฮอกไกโด ฯลฯ

Souvenirs : แผ่นหอมลาเวนเดอร์, น้ำหอม, สบู่, ยาสระผม, ครีมอาบน้ำ, ครีมบำรุงผิว, ชาลาเวนเดอร์ ฯลฯ

Info : บริษัท World Pro Travel จำกัด เลขที่ 55 ML แมนชั่น ถนนวิภาวดี เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทร. 0-2617-6757-8 เว็บไซต์ www.worldprotravel.com อีเมล worldprotravel@yahoo.com

Seoul Sparkling! Korea

ขอต้อนรับสู่ โซล” (Seoul) มหานครอันสวยงาม ทันสมัย ยิ่งใหญ่ บ้านของคนกว่า 10 ล้านคน ศูนย์กลางของเกาหลีใต้ ที่มีบรรยากาศน่าเที่ยว สงบ งดงาม แต่งแต้มด้วยธรรมชาติ ทว่าไม่ขาดสีสันการช้อปปิ้งและความทันสมัย โดยเฉพาะในด้านสิ่งแวดล้อมนั้น ว่ากันว่าโซลเป็น “มหานครสีเขียวแห่งการอนุรักษ์” หรือ Eco-City ที่แท้จริงอีกด้วย

            คลื่นนักท่องเที่ยวไทยที่หลั่งไหลไปโซลกันปีละหลายแสนคน! เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีถึงคำว่า “Korea Fever” หรือ กระแสคลั่งเกาหลี!” ที่คนไทยแทบทุกระดับชั้นกำลังเป็นกันอยู่ขณะนี้!

3

พระราชวังเคียงบกกุง” (Gyeongbokgung Palace) เป็นพระราชวังยิ่งใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ เพราะถือเป็น 1 ใน 5 พระราชวังที่สร้างขึ้นสมัยราชวงศ์โชซอน เมื่อ พ.ศ. 1937 เป็นพระราชวังหลวงสำหรับกษัตริย์ออกว่าราชการ รวมถึงเป็นที่ประทับของเหล่าเชื้อพระวงศ์มาโดยตลอด แม้ว่าพระราชวังเคียงบกกุงดั้งเดิม จะถูกกองทัพญี่ปุ่นบุกทำลายไปซะส่วนใหญ่เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ! (ประมาณ พ.ศ. 2135) แต่ภายหลังก็ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่จนงดงามวิจิตรใกล้เคียงของเดิม

ชื่อพระราชวังเคียงบกกุงในภาษาเกาหลี แปลว่า พระราชวังแห่งพรที่ส่องสว่าง (The Palace of Shining Blessings) อดีตเคยมีตำหนักต่างๆ อยู่มากถึง 200 หลัง! ทว่าปัจจุบันเหลืออยู่แค่ 10 หลังเท่านั้น แต่ภายในพื้นที่กว่า 5.4 ล้านตารางฟุต! ก็ยังชวนให้จินตนาการถึงเศษเสี้ยวแห่งความอลังการในอดีตได้ดี    จุดเด่นการท่องเที่ยวที่นี่คือการย้อนรำลึกบรรยากาศเก่าๆ ได้ชมสถาปัตยกรรมอันสวยสด โดยเฉพาะการก่อสร้างที่ยังใช้ไม้และหินเป็นวัสดุหลัก เราจะเห็นการจำหลักไม้อันวิจิตรน่าทึ่ง! แนะนำให้ไปเที่ยวในช่วงวันที่ 3 หรือ 4 ตุลาคม (วันชาติเกาหลี) จะมีพิธีเฉลิมฉลองใหญ่ ตื่นตาตื่นใจมาก

 Info : เปิดทุกวัน (ยกเว้นวันอังคาร) เดือนมีนาคม-ตุลาคม เปิด 9:00-18:00 น. เดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ เปิด 9:00-17:00 น. ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 3,000 วอน เด็ก 1,500 วอน สอบถาม โทร. +82-2-3700-3900 การเดินทาง ใช้รถไฟใต้ดิน สาย 3 ลงสถานี Gyeongbokgung ออกทางออกที่ 5 หรือใช้รถไฟใต้ดิน สาย 5 ลงสถานี Ganghwamun ทางออกที่ 1 แล้วเดินต่ออีก 400 เมตร

2

4

5

6

8

9

10

11

1

หลายคนรู้จัก โซลทาเวอร์(Seoul Tower หรือ N Seoul Tower : N ย่อมาจากชื่อภูเขานัมซาน “Numsan” ที่หอคอยนี้ตั้งอยู่) ในฐานะ 1 ใน 18 หอคอย สูงที่สุดของโลก! คือสูงถึง 237 เมตร แต่อีกหลายคน กลับรู้จักหอคอยยักษ์แห่งนี้ในฐานะ หอคอยแห่งความรักโรแมนติก เพราะหนังเกาหลีเคยใช้ที่นี่เป็นโลเกชั่นมาแล้ว โดยเฉพาะฉากซึ้งๆ ที่พระเอกนางเอกจะนำแม่กุญแจมาคล้องล็อกความรักเอาไว้คู่กัน สาวกหนังเกาหลีเลยตามรอยมา!  ทุกวันนี้จึงมีแม่กุญแจเป็นแสนๆ อันถูกแขวนไว้ในราวเหล็กรอบๆ โซลทาวเวอร์! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ!

            ภูเขานัมซานใจกลางกรุงโซลคือที่ตั้งของโซลทาวเวอร์ เป็นจุดชมวิว 360 องศา สุดสายตาพาโนรามา มองลงมาเห็นกรุงโซลจากมุมสูงได้เต็มตาเต็มอิ่ม บนนั้นแบ่งเป็น 3 โซน ทั้งโซนทาวเวอร์ โซนพลาซ่า และโซนล็อบบี้ ที่เจ๋งสุดของโซลทาวเวอร์น่าจะเป็นลิฟต์ขึ้นหอคอยที่มีความเร็วสูงถึง 4 เมตรต่อวินาที! สุดยอด!

ไฮไลท์อีกอย่างคือ “กุญแจคู่รัก” (N Seoul Tower Of Lover Keys) ด้วยความเชื่อว่า คู่รักคู่ใดมาคล้องกุญแจที่นี่จะทำให้รักยืนยาว จุดคล้องกุญแจอยู่ตรงฐานของโซลทาวเวอร์ เราต้องเขียนข้อความหรือชื่อคู่รักไว้บนแม่กุญแจ นำแม่กุญแจไปคล้องกับรั้วเหล็ก ส่วนลูกกุญแจต้องทิ้งไป

 Info : โซลทาวเวอร์เปิดให้เที่ยวทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-23.00 น. ถ้าชมอยู่ภายนอกไม่เสียตังค์ แต่ถ้าเข้าชมภายในหอคอย และขึ้นลิฟต์ไปด้านบนด้วย ผู้ใหญ่ต้องจ่าย 8,500 วอน เด็ก 4,00 วอน คนชรา 6,000 วอน การเดินทางไปชม สามารถขึ้นกระเช้าจากสวนนัมซานที่ตีนเขา ไป-กลับ ผู้ใหญ่ 6,300 วอน เด็ก 4,000 วอน หรือจะนั่งรถบัสขึ้นมาแล้วเดินต่ออีกนิดก็ได้ ถือเป็นการออกกำลังกายไปในตัว

2

3

4

12

13

14

 ท่ามกลางตึกสูงระฟ้า ท่ามกลางย่านช้อปปิ้งอันคึกคักเปี่ยมด้วยสีสัน ท่ามกลางจังหวะที่ก้าวไปไม่หยุดหย่อนในมหานครโซลแห่งนี้ ยังมีเมืองโบราณอายุกว่า 600 ปี ซุกซ่อนอยู่ในอ้อมกอดของความทันสมัยนั้น เรากำลังกล่าวถึง เมืองเก่าบุกชน(Bukchon Hanok Village) หมู่บ้านโบราณที่เป็นเสมือนแคปซูลเวลา สามารถพาเราย้อนกลับไปสู่โซลสมัยราชวงศ์โชซอนได้จริงๆ!

            คำว่า “ฮันอก” (Hanok) ในภาษาเกาหลีหมายถึง “บ้านสไตล์โบราณ” ถ้านึกไม่ออก ให้ลองนึกถึงบ้านของหนังจีนยุทธจักรที่เราเคยดูกันในทีวี คล้ายๆ แบบนั้นล่ะ มักจะเป็นบ้านชั้นเดียว มีรั้วหินหรือไม้เตี้ยๆ ล้อม หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผาลอนโค้ง ประตูมักจะเป็นไม้บานใหญ่ๆ แต่ที่นี่ดี เพราะทั้งหมดยังมีคนอยู่อาศัย จึงเป็นเมืองเก่าที่ยังมีลมหายใจ มีชีวิต บางส่วนเปลี่ยนโฉมเป็น Art Gallery ร้านอาหาร ร้านกาแฟน่านั่ง เป็นพิพิธภัณฑ์ ร้านขายของที่ระลึก งานทำมือ หรือบ้างก็เป็น Work Shop ที่เราสามารถเข้าไปลองทำงานศิลป์ได้ เมืองเก่าบุกชนตั้งอยู่ในพื้นที่กึ่งกลาง ระหว่างพระราชวังเคียงบกกุง กับพระราชวังชางด๊อก ภายในหมู่บ้านมีซอกหลืบทางเดินวกวนราวเขาวงกต บางส่วนตั้งอยู่บนพื้นราบ แต่บางส่วนตั้งอยู่บนเนินเขาลดหลั่นกันลงมา ยามเย็นสามารถชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างงดงามตรึงตรา

 Info : เดินทางไปง่ายๆ ด้วยรถไฟฟ้าสายสีส้ม ลงสถานี Anguk ทางออก 2 แล้วเดินขึ้นไปทางทิศเหนือตามถนนใหญ่ไปอีก 300 เมตร ก็ถึง เมืองเก่าบุกชนเปิดให้เดินเที่ยวชมทุกวัน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เวลาเหมาะที่สุดคือตั้งแต่ 08.00-21.00 น. หลังจากนั้นจะมืด   ค่อนข้างเปลี่ยว สอบถามเพิ่มเติม โทร. +82-2-3707-8388 http://bukchon.seoul.go.kr

15

16

 จะว่าไปแล้ว ผู้นำเกาหลีเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลไม่ใช่น้อย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถเปลี่ยนคลองน้ำเน่าสนิทสีดำปี๋ อย่าง คลองชองเกชอน (Cheonggyecheon Stream) ให้กลายเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของโซลไปได้เหมือนทุกวันนี้! ว้าว สุดยอด!

คลองชองเกชอนเป็นคลองสำคัญไหลผ่านใจกลางกรุงโซล ถือเป็นคลองโบราณสมัยราชวงศ์โชซอน ที่มีอายุกว่า 600 ปี แต่ชุมชนแออัดสองฟากฝั่งก็ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงไปจนน้ำเน่าเสียสุดๆ กระทั่ง ค.ศ. 2002 นายอี มย็อง-บัก ได้รับตำแหน่งเป็นผู้ว่าการกรุงโซล เขาจึงทำสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ให้เกิดขึ้น! ด้วยการของบจากรัฐ มากถึง 1 หมื่นล้านบาท เพื่อพัฒนาคลองชองเกชอนจนสำเร็จ โดยย้ายชุมชนทั้งหมดออกไป ปรับภูมิทัศน์สองฝั่งคลองใหม่ให้โล่งน่าเดิน ปลูกต้นไม้ ขุดลอกคลอง และขุดคลองส่งน้ำจากแม่น้ำฮัน นำน้ำสะอาดเข้าไปไหลเวียน จนคลองชองเกชอนใสสะอาด ใสแจ๋วจนเลี้ยงปลาคาร์พให้แหวกว่ายไปมาได้! มีสาหร่ายสวยๆ ไหลพลิ้วเอื่อยๆ ไปตามกระแสน้ำ สองฝั่งมีถนนคนเดิน พร้อมทิวไม้ร่มรื่นตลอดความยาว 5.8 กิโลเมตร โดยมีจุดให้นั่งพักนั่งเล่นเป็นระยะ จึงกลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะยามราตรีจะมีการแสดง Laser Dance ให้ชมฟรีด้วย บรรยากาศโรแมนติกสุดๆ

Info : คลองชองเกชอนเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน เดินทางมาง่ายๆ ด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) สายสีม่วง ลงสถานี Gwanghwamun ทางออก 5

17

18

 แม่น้ำฮัน (Han River) เป็นแม่น้ำสายหลักของกรุงโซล ไหลผ่านจากทิศตะวันออกไปตะวันตก ตัวแม่น้ำมีความกว้างขวาง มีสะพานข้ามมากถึง 23 แห่ง ตลอดความยาว 41.5 กิโลเมตร ที่ไหลผ่านโซล บริเวณริมตลิ่งเขาได้สร้างสวนสาธารณะไว้ให้ผู้คนมานั่งพักผ่อนหย่อนใจมากถึง 12 แห่ง ทิวทัศน์โปร่งโล่งสบาย ไม่มีร้านค้าหรือบ้านเรือนรกตาสร้างรุกล้ำเข้าไปในแม่น้ำแม้แต่น้อย ส่วนน้ำนั้นก็ใสสะอาด แทบไม่มีขยะให้เห็นสักชิ้นเดียว! น่านับถือที่เขาดูแลสิ่งแวดล้อมได้ยอดเยี่ยมสุดๆ!

            สวนสาธารณะเหล่านี้ไม่เคยเหงา เพราะจะมีผู้คนพาครอบครัวออกมาทำกิจกรรมกันทุกวัน ทั้งกางเต็นท์พักแรก ปิกนิกทำอาหารกินกัน นอนอาบแดดอ่านหนังสือ เล่นว่าว วิ่งเล่นกับสุขนัขของตน นอกจากนี้รัฐยังได้สร้างสนามฟุตบอล สนามบาสเกตบอล สนามวอลเล่ย์บอล สระว่ายน้ำ ท่าเรือ เพื่อให้คนลงไปพายเรือ แล่นเรือใบ ตกปลา เล่นเจ็ตสกี ส่วนบนบกก็มีสนามเด็กเล่น หลายคนมาปั่นจักรยาน วิ่งออกกำลังกาย เพราะเขาเชื่อว่าเมื่อแข็งแรงก็ไม่ต้องไปหาหมอ คนไทยเราน่าจะคิดแบบนี้มั่งเนอะ!

 Info : สวนนี้เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ไปถึงได้ด้วยรถไฟใต้ดินหลายสาย เช่น สาย 7 ทางออก 2,3 สาย 5 และ 8 ทางออก 1 สาย 5 ทางออก 2,3 และสาย 2 ทางออก 4 ส่วนใครที่สนใจล่องเรือแม่น้ำฮัน ลงเรือเฟอร์รี่ได้ที่ท่า Yeouido, Jamsil, Ttukseom ค่าล่องเรือชมวิวปกติ ผู้ใหญ่ 11,000 วอน เด็ก 5,500 วอน ล่องเรือดินเนอร์ครุยส์ ผู้ใหญ่ 65,000 วอน เด็ก 33,000 วอน สอบถาม โทร. +82-2-3271-6900

19

20

21

22

ถ้าคุณเป็นคนรักสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ รู้ตัวเองว่าไม่แพ้ขนแมว และต้องการหาอะไรแปลกใหม่ในโซล ล่ะก็ ขอเชิญไปเที่ยวที่ คาเฟ่น้องเหมียว” (Cat Café) ร้านกาแฟน่ารักๆ ที่มีคอนเซ็ปต์เก๋ไม่เหมือนใคร จนกระทั่งทุกวันนี้เริ่มมีคนไทยเปิดตามกันหลายแห่งในกรุงเทพฯ เราลองไปดูต้นตำรับที่นั่นกันดีกว่า

            คาเฟ่น้องเหมียวของโซลเป็นร้านเล็กๆ น่านั่ง บรรยากาศชิลชิล นอกจากจะได้ดื่มอะไรเย็นๆ ให้ชื่นใจแล้ว ยังได้เล่นกับน้องเหมียวเป็นสิบตัว ที่เดินวนเวียน โดดไปโดดมา ปีนป่ายโน่นนี่นั่น และเข้ามาเคล้าคลอเคลียเราอย่างน่ารักน่าชัง แมวที่นี่ทุกตัวมีชื่อ มีประวัติ ตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนอย่างดี คนที่เข้าไปเที่ยวจึงต้องสะอาดเช่นกัน เขาจะให้เราเปลี่ยนรองเท้า ล้างมือด้วยยาฆ่าเชื้อ แล้วเข้าไปเล่นกับน้องเหมียวได้ตามกฎซึ่งทำไม่ยาก เพื่อรักษาสวัสดิภาพให้น้องเหมียวทั้งหลาย เช่น ห้ามถ่ายรูปโดยใช้แฟลช, ห้ามดึงหางแมว, ห้ามให้อาหารอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารแมว, ห้ามรบกวนแมวที่หลับอยู่, ห้ามรบกวนแมวขณะมันกินอาหาร, ห้ามใช้สิ่งของอื่นใดหรือหลอดดูดน้ำไปเย้าเล่นกับแมว เพราะทางร้านได้จัดของเล่นแมวโดยเฉพาะไว้ให้แล้ว, ห้ามส่งเสียงดัง หรือทำท่าคุกคามแมว ฯลฯ

            ความอ่อนโยน น่ารัก ขี้อ้อน ของน้องเหมียว จะทำให้เราใจเย็น มีความสุขจนลืมไม่ลงเลยล่ะ

 Info : Cat Café อยู่ในย่านมหาวิทยาลัยฮงอิก นั่งรถไฟใต้ดิน สาย 2 ทางออก 6 เดินไปเรื่อยๆ ร้านอยู่ด้านหน้าทางเข้ามหาวิทยาลัยฮงอิก โดยร้านอยู่ฝั่งซ้ายมือ บนตึกชั้น 8 เปิดทุกวัน เวลา 12.00-23.00 น. ค่าเข้าคนละ 8,000 วอน (ประมาณ 250-260 บาท) ได้เครื่องดื่ม 1 แก้ว จะนั่งในร้านนานแค่ไหนก็ได้ ไม่จำกัดเวลา สอบถามเพิ่มเติม โทร. +82-2-1330

1

2

รับรองได้ว่านักท่องเที่ยวไทยกว่า 95 เปอร์เซนต์ ที่ไปโซล ต้องเคยสัมผัส ตลาดเมียงดง” (Myeongdong Market) มาแล้วแน่นอน! โดยเฉพาะสาวหลายคนฝันว่าสักวันจะไปช้อปปิ้งที่เมียงดงให้ได้! ก็เพราะตลาดเมียงดงเป็นย่าน Shopping & Walking Street ทันสมัย เปิดเป็นถนนคนเดินยาวเหยียด มีร้านค้านับพันๆ อยู่สองฟากฝั่ง ขนาบด้วยตึกสูง ร้านกิ๊บเก๋ กิ๊ฟต์ช็อฟต์ ร้านอาหาร คาเฟ่ต์ ร้านเสื้อผ้า กระเป๋าแบรนด์เนม และอีกสารพัดให้เดินกันทั้งวัน! จึงขอเตือนว่าอย่าเดินช้อปเพลินจนตังค์หมดล่ะ!

            ความสนุกในการเดินย่านเมียงดง คือเสน่ห์ของสินค้านานาชนิดที่น่าซื้อหา น่าเสียตังค์ให้ทุกสิ่งอย่าง ที่นี่เป็นศูนย์รวมแฟชั่นล่าสุดของแดนกิมจิ! อะไรที่ In Trend สุดๆ เหมือนกับเพิ่งหลุดออกมาจากหนังสือแฟชั่นใหม่เอี่ยม หาดูหาซื้อได้ที่นี่ โดยเฉพาะเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า หมวก น้ำหอม ผ้าพันคอ เครื่องประดับวัยรุ่น และที่สำคัญสุดๆ คือ “เครื่องสำอาง” นับร้อยยี่ห้อ! ประทินผิวเสริมความงามกันตั้งแต่ปลายเส้นผมจรดปลายเท้า มีให้เลือกซื้อทุกขนาน เน้นกันที่ใบหน้า สาวๆ ไทยเดินหอบหิ้วกันมาคนละหลายๆ ถุง บ้างก็หลายกระเป๋า! ถึงขนาดในร้านมีพนักงานขายพูดไทยได้ มีป้ายภาษาไทย และลดแลกแจกแถมให้คนไทยเป็นพิเศษด้วย! อีกอย่างคือย่านเมียงดงเป็นเหมือน Fashion Square ที่หนุ่มสาววัยใสในโซลเขาจะแต่งองค์ทรงเครื่องกันสุดฤทธิ์สุดเดช ออกมาเดินอวดโฉมแข่งกันทุกวัน

 Info : ตลาดเมียงดงเปิดทุกวัน ร้านค้าส่วนใหญ่เปิดเวลา 07.00-21.00 น. ส่วนที่เป็นห้างใหญ่ๆ เปิด 10.00-21.00 น. แต่จะคึกคักสุดช่วงเย็นๆ ประมาณ 17.00 น. เป็นต้นไป ช่วงหัวค่ำคนเยอะมาก เดินเที่ยวระวังกระเป๋าสตางค์และข้าวของด้วย อย่าช้อปปิ้งจนเพลิน

1

2

วัยรุ่นนิสิตนักศึกษาของโซลเป็นพวก Art ตัวพ่อ Art ตัวแม่ ไม่แพ้ชาติใดในโลก! พอว่างจากการเรียน เขาเลยเจียดเวลามาทำงานศิลปะ Hand Made กิ๊บเก๋น่าออกมาขาย หารายได้ และฝึกฝนวิทยายุทธศิลปะให้เข้มแข็ง เราจะเจอพวกเขาได้ที่ไหนในโซล? คำตอบคือ ตลาดนัดศิลปะฮงแด” (Hongdae Art Market) ในย่านมหาวิทยาลัยฮงแด ที่กลายเป็นแหล่งพบปะของคนรักงานศิลป์ไปแล้ว

            ย่านมหาวิทยาลัยฮงแด-ฮงอิก เป็นย่านมหาวิทยาลัยที่มีนิสิตนักศึกษาหน้าแฉล้ม ใสๆ เดินกันเพียบ นักเรียนศิลปะจากมหาวิทยาลัยต่างนำผลงานของตนที่ไม่เหมือนใครออกมาจำหน่าย ในลักษณะ Free Market ที่เน้นขายเฉพาะ Art Product เท่านั้น มีทั้งสมุดโน๊ตทำมือ โปสการ์ด กิ๊บติดผม กำไล เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เสื้อเพนท์ลายแปลกๆ งานไม้แกะสลัก เครื่องเงินแบบมีชิ้นเดียวในโลก เครื่องแก้วจุ๋มจิ๋ม พวงกุญแจ ผ้าพันคอ งานถักไหมพรม ภาพวาด ภาพเหมือน และอีกสารพัด ราคาก็มีตั้งแต่แพงๆ (ต้องเข้าใจนะ เพราะเป็นงาน Art ทำมือ) ไปจนถึงราคาเป็นเจ้าของได้ ยิ่งกว่านั้นบางวันยังมีนักศึกษาวิชาดนตรี มาเปิดการแสดงสดแบบ Outdoor Free Concert ให้ดูฟรีด้วย บรรยากาศชิลมากๆ

 Info : การเดินทางไปตลาดนัดศิลปะฮงแด นั่งรถไฟใต้ดินสาย 2 ลงสถานีฮงแดอิบกู ทางออกที่ 5 แล้วเดินไปหน้ามหาวิทยาลัยฮงอิก หรือลงสถานีมหาวิทยาลัยฮงอิก (Hongik University) ทางออกที่ 9 หรือสาย 6 ลงสถานีซังซู (Sangsu) ทางออกที่ 1 หรือ 2 ตลาดนัดศิลปะมีทุกวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 13.00-18.00 น. ตั้งแต่เดือนมีนาคม-พฤศจิกายน ในหน้าหนาวจะงด เพราะหนาวไป มาตั้งขายไม่ไหว!

1841

Traveler’s Guide

When to go : เที่ยวโซลได้ตลอดปี แต่สำหรับคนไทยที่ฮิตๆ คงหนีไม่พ้นช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน เพราะอากาศเย็นสบายกำลังดี แถมมีใบไม้เปลี่ยนสีทั่วเมือง และที่สำคัญคือช่วงนี้ของลดราคาเยอะด้วยล่ะ

How to go : โชคดีคนไทยไปเที่ยวเกาหลีไม่ต้องทำวีซ่า จองตั๋วเครื่องบิน บินตรงสุวรรณภูมิ-โซล ได้เลย มีหลายสายการบินให้บริการ เช่น Korean Air (www.koreanair.com), Air Asia (www.airasia.com) ฯลฯ

Where to stay : แนะนำ Pencil Guesthouse 2 (ย่านฮงอิก) จองผ่าน www.hotelscombined.com

Info : www.visitseoul.net , http://english.visitkorea.or.kr

เหินฟ้าเหนือหิมาลัยที่ Nepal

12

ไกลออกไปราว 200 กิโลเมตร ทางตะวันตกของ กรุงกาฐมาณฑุ (Kathmandu) เมืองหลวงของเนปาล เฉียงขึ้นไปทางเหนือใกล้กับแนวเทือกเขาหิมาลัยสูงล้ำค้ำฟ้า ณ ที่นั้นคือ เมืองโปขรา (Pokhara) เมืองมีเสน่ห์ ที่งามเด่นด้วยธรรมชาติ และกิจกรรมผจญภัยหลากหลายชนิด ทั้งล่องแก่ง ขี่ช้าง ปีนเขา เดินเทรกกิ้ง โดดร่มดิ่งพสุธา ขึ้นเครื่องร่อน นั่งเครื่องบินเล็ก ปั่นจักรยานเสือภูเขา ฯลฯ จนโปขราได้รับฉายาสุดเก๋ว่า “เมืองหลวงแห่งการผจญภัยในเนปาล” หรือ The Capital of Nepal’s Adventure เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

2

โดยเฉพาะในช่วงไฮท์ซีซันฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-มกราคม โปขราก็จะยิ่งคึกคักคลาคล่ำ ไปด้วยนักผจญภัยมากหน้าหลายตาจากทั่วโลก ต่างแต่งกายเตรียมพร้อมสำหรับวิถีชีวิตผจญภัยกลางแจ้ง ยิ่งคนคอเดียวกันมาเจอกัน มิตรภาพระหว่างคนต่างเชื้อชาติ ศาสนา เพศวัย หรือแม้แต่ทวีป ก็ไม่เป็นอุปสรรค พวกเขาพูดคุยด้วยภาษาเดียวกันคือ “ภาษาแห่งการผจญภัย” ที่มีหัวใจและโชคชะตาเป็นเดิมพัน

3

Prepare Yourself for Flying : (เตรียมตัวก่อนบิน)

1. ก่อนขึ้นบินหนึ่งคืน ควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อป้องกันอาการเวียนหัวขณะบิน

2. ควรเตรียมถุงพลาสติกไป 1-2 ใบ เพื่อใช้ในกรณีเกิดเมาเครื่อง อยากจะอาเจียน

3. ขณะทำการบิน ไม่ควรหัวหน้ามองไปมาซ้ายขวาอย่างรวดเร็วเกินไป เพราะอาจทำให้เมาเครื่องได้ ควรทำช้าๆ

4. ขณะขึ้นบิน ควรสวมเสื้อกันหนาว หรือเสื้อแจ็กเก็ตบางๆ ให้ร่างกายอบอุ่นไว้

5. นำอุปกรณ์ถ่ายภาพเท่าที่จำเป็นขึ้นไป ควรเช็คแบตเตอร์รี่และเมโมรี่ของกล้องให้เพียงพอต่อการบิน 30-60 นาที

20

ผมเคยไปโปขราครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2000 และได้ขึ้นไปเดินเทรกกิ้งบนเทือกเขาอันนาปุรณะ (Annapurna Ranges) อันมีชื่อเสียงมาแล้ว ด้วยระยะทางสั้นๆ 5 วัน 4 คืน มันคือประสบการณ์สุดวิเศษที่ยังแจ่มชัดในใจ กระทั่งวันนี้ 12 ปีผ่านไป ผมก็ได้หวนคืนโปขราอีกครั้ง แต่คราวนี้จะขอบินเหมือนกกับบริษัท Avia Tours & Travels ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินเครื่องบินเล็กและเครื่องร่อนเหนือหิมาลัย เราไปร่วมกันเหินฟ้า  ขึ้นไปพานพบประสบการณ์สุดพิเศษหนึ่งเดียวในชีวิต พร้อมๆ กัน ณ บัดนี้

4

 โดยปกติแล้ว เครื่องบินและเครื่องร่อนของบริษัท Avia Tours & Travels Nepal จะทำการบินเฉพาะ ช่วงเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนมิถุนายนเท่านั้น เพราะนอกนั้นเป็นช่วงมรสุม มีพายุฝน อากาศไม่ดีบินไม่ได้ ส่วนในฤดูทำการบินจะบินเฉพาะเวลา 06.00-10.00 น. เพราะเป็นยามเช้าที่อากาศเหนือเทือกเขาหิมาลัยลมสงบ ไม่อันตรายต่อการบินท่องเที่ยว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาก็จะเช็คสภาพอากาศเป็นรายวันอีกที ส่วนค่าบริการก็อยู่ที่ 100 ยูเอสดอลลาร์ สำหรับการบิน 30 นาที ทั้งเครื่องบินเล็กติดใบพัดสองที่นั่ง และเครื่องร่อนติดใบพัดยนต์ (Utralight) ซึ่งอย่างหลังนี่ดูน่าตื่นเต้นกว่า เพราะไม่มีกระจกกั้นตัวเรากับภูเขาและอากาศภายนอกเลย อย่างไรก็ตาม บริษัทเขาก็มีเส้นทางบินให้เลือกหลายเส้น ตั้งแต่ 30 นาที, 60 นาที ไปจนถึงหลายชั่วโมง

5

 ในเช้าวันที่ผมขึ้นบิน นักบินบอกว่าโชคดีอย่างประหลาด เพราะเป็นวันที่อากาศดีที่สุดในรอบ 20 วัน! อีกทั้งยังเป็นวันก่อนสุดท้ายที่จะปิดฤดูการบินด้วย! ผมจึงโชคดีสองชั้น อาจเพราะคืนก่อนนั้น ผมสวดขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนหิมาลัย ท่านคงเห็นใจให้ได้รูปสวยๆ

                  06.00 น. ตรงเผง เครื่องก็ทะยานขึ้นจากรันเวย์สนามบินโปขรา เครื่องค่อยๆ ไต่ระดับความสูงขึ้นช้าๆ จนมองเห็นตึกรามบ้านช่องเบื้องล่างเล็กจิ๋วราวของเล่น เครื่องบ่ายหน้าไปทางทิศตะวันตกเหินเหนือยอดเขา ซึ่งมีผืนป่าเขียวขจีมองเห็นยอดไม้เป็นพรมสีเขียวแผ่ปก ข้ามยอดเขาซารังกอต (Sarangkot) อันเป็นจุดชมวิวแสงยามเช้าอาบเทือกเขาอันนาปุรณะ จนกระทั่งเรามุ่งหน้าตรงเข้าหาแนวเทือกเขาน้ำแข็งหิมะ เล่นเอาใจเต้มตูมตามด้วยความตื่นเต้นดีใจ เพราะภาพที่เห็นเบื้องหน้าช่างยิ่งใหญ่อลังการจริงๆ ทำให้เรารู้สึกตัวเล็กลีบไปเลย ขุนเขามีพลังมาก ยิ่งมองเห็นจากมุมมองทางอากาศอย่างนี้ด้วยแล้ว ยิ่งประทับใจ

6

7

8

9

ยอดเขาอันนาปุรณะ หรือมัจฉาปูชเร (Fish Tail) เป็นยอดเขาสุดพิเศษแห่งอันนาปุรณะ เพราะส่วนยอดแตกออกเป็น 2 แฉกเหมือนหางปลาเดี๊ยะเลย

1011

นักบินสะกิดให้ดูหุบเขาโลกพระจันทร์ตะปุ่มตะป่ำเบื้องล่าง นั่นคือ “หัวใจแห่งขุนเขา” (Heart of the Mountain) ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่มีมนุษย์คนใดเดินเท้าเข้าถึงได้ ต้องชื่นชมจากทางอากาศท่านั้น! เบื้องหน้าผมตอนนี้คือยอดเขาหิมะขาวโพลนเรียงราย ไล่ความสูงตั้งแต่ 6,000-8,000 กว่าเมตร! อาทิ ยอดเขามัจจาปูชเร (Matchapuchare) หรือยอดเขาหางปลา (Fish Tail ความสูง 6,993 เมตร) ซึ่งโด่งดังก้องโลก ใครๆ ก็อยากมาชม ต่อด้วยยอดเขาอันนาปุรณะใต้ (Annapurna South), ยอดเขาอันนาปุรณะ I, II, III, IV, ยอดเขาหิอุนชูลี (Hiunchuli) และยอดเขาลัมจุงหิมัล (Lamjung Himal) แสงอาทิตย์ยามเช้าเพ่ิงพ้นเหลี่ยมเขา สาดเป็นลำพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเบื้องสูง น่าตื่นตาอย่างที่สุด กระทั่งเราวนเข้าใกล้ยอดเขามัจจาปูชเร โดยเบี่ยงไปทางด้านตะวันตก เผยให้เห็นรูปทรงยอดเขาประหลาดที่ส่วนบนสุดแตกเป็น 2 แฉก! ทว่าตอนนี้น้ำมันหมดไปครึ่งถังแล้ว กัปตันเลยวนเครื่องกลับโปขรา

13

Light of God แสงแห่งพระเจ้าเหนือเทือกเขาอันนาปุรณะ

15

 ผมสามารถสื่อสารกับนักบินได้ด้วยหูฟังและไมโครโฟนที่สวมหัวอยู่ จึงรู้ว่ากัปตันกำลังพาไปบินวน เหนือทะเลสาบเฟวา (Phewa Lake) เพื่อให้ชม Land Mark สำคัญของเมืองนี้ จากอากาศเบื้องสูง แลเห็นผืนน้ำสีน้ำเงินเข้มและเทือกเขาเขียวๆ รายรอบอาบแสงอุ่นยามเช้า มีท่าเรือและเรือจำนวนมากลอยลำ พร้อมมองเห็นตัวเมืองโปขราทอดขนานไปกับทะเลสาบด้านตะวันออก ตามถนนยาว 3 กิโลเมตร

16

17

บ้านเรือนในเมืองโปขรากระจายอยู่ห่างๆ กันในทุ่งนาสีเขียว ก่อเกิดจากดินตะกอนอันอุดมที่เทพีแห่งอันนาปุณะประทานมาให้18

ทะเลสาบเฟวาจากมุมสูง แลน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย

19

ในที่สุดล้อเครื่องบินก็แตะรันเวย์อย่างปลอดภัย ผมจะไม่มีวันลืมช่วงเวลาสุดพิเศษนี้เลยชั่วชีวิต

1841

Special Thankบริษัท Nikon Sales (Thailand) Co., Ltd. สนับสนุนสุดยอดอุปกรณ์ถ่ายภาพระดับมืออาชีพ

สนใจติดต่อ โทร. 0-2633-5100 / แฟ็กซ์ 0-2633-5191 (Office) / 0-2633-5192 (Service) www.nikon.co.th

 

Traveler’s Guide

Best season : โปขราเที่ยวได้ตลอดปี แต่อากาศเย็นสบาย ฟ้าเปิดที่สุด ช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม

How to go : จากไทยบินตรงสู่กาฐมาณฑุ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที แนะนำ การบินไทย โทร. 0-2288-7000 www.thaiair.com และ Nepal Airlines โทร. 02-2667146-7 www.nepalairlines.com.np จากนั้นไปโปขรา สามารถต่อเครื่องบิน (30 นาที) หรือนั่งรถบัส (ใช้เวลา 1 วันเต็ม) แล้วแต่สะดวก

Where to stay : เมืองโปขรา แนะนำที่พักอย่างดี Hotel Barahi โทร. 977-61-461572 www.barahi.com, info@barahi.com / กรุงกาฐมาณฑุ แนะนำโรงแรม 5 ดาวที่สีที่สุด คือ Hotel Annapurna โทร. 977-1-4221711 www.annapurna-hotel.com, hotel@annapurna.com.no

What to eat : อยากให้ล้ิมลองอาหารเนปาลีแท้ๆ ดูสักมื้อ ลองสั่ง Chicken Curry (แกงไก่) กินกับข้าวสวย (Steam Rice / Plain Rice) โดยมีเนปาลีสลัด (Nepali Salad) เป็นเครื่องเคียง สลัดนี้เป็นผักดิบฝานบางๆ บีบมะนาวราด ประกอบด้วยมะเขือเทศ แตงกวา แครอท พริกสด และหอมแดงลูกใหญ่ ตบท้ายด้วย ชาใส่นม (Nepali Tea)

More info : เหินฟ้าเหนือหิมาลัยกับ บริษัท Avia Tours & Travels โทร. 977-1-4267633 เว็บไซต์ www.aviatoursnepal.com อี-เมล์ info@aviatoursnepal.com / จัดทริปไปเนปาลกับ บริษัท Himalayan Holiday โทร. 0-2235-7583-4, 0-2235-7572 เว็บไซต์ www.himalayanbkk.com อี-เมลล์ info@himalayanbkk.com

Mongolia ดินแดนแห่งเจงกิสข่าน

ที่นี่คือ “มองโกเลีย” (Mongolia) ดินแดนยิ่งใหญ่กว่า 1.5 ล้านตารางกิโลเมตร ในเอเชียกลาง ที่ซึ่งเจงกิสข่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เคยนำกองทัพขี่ควบม้าศึก นี่คือดินแดนของทุ่งหญ้าเสต็ปกว้างใหญ่สุดลูกหูลุกตา ซึ่งมวลดอกไม้ป่าผลิบานละลานตาในช่วงฤดูร้อน อาบอิ่มด้วยไอแดดอุ่น มีฝูงม้า อูฐ จามรี วัว และแกะ   กว่า 50 ล้านตัว ดุ่มเดินหากินอยู่อย่างเสรี เคียงคู่สายน้ำใสที่ละลายไหลมาจากภูเขาหิมะตระหง่าน

11

มันคือช่วงต้นเดือนสิงหาคมซึ่งตรงกับฤดูร้อนในมองโกเลีย ที่ผมและผองเพื่อน บินสู่ประเทศในฝัน อันสวยงามนี้ ช่วงเวลาดังกล่าวหิมะที่เคยปกคลุมละลายไปหมดสิ้น ทิ้งไว้เพียงสายน้ำใสเย็นไหลลงมายังท้องทุ่ง เติมเต็มความชุ่มฉ่ำแก่ทุ่งหญ้าระบัดใบเขียวชอุ่ม ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม ดอกไม้ผลิบานละลานตา แต่หลายคนยังมีความเข้าใจสับสนอยู่ ระหว่าง ประเทศมองโกเลีย (Mongolia หรือ Outer Mongolia) กับ มองโกเลียใน (Nei Mongolia หรือ Inner Mongolia) นั้น เป็นคนละเขตพื้นที่กันเลย! เพราะ “มองโกเลีย” ที่เรากำลังจะไปเยือนเป็นประเทศเอกราชอิสระ ส่วน “มองโกเลียใน” คือเขตปกครองตนเองของจีนภาคเหนือ

_ONG6777

“อุทยานแห่งชาติเตเรจ” (Terelj National Park) โดดเด่นด้วยเทือกเขาหิน ทุ่งหญ้า ป่าสน ลำธารใส และหมู่กระโจมสีขาวเป็นหลังๆ ที่เรียกว่า “เกอร์” (Ger) ซึ่งชาวมองโกเลียส่วนใหญ่ใช้อาศัย เพราะเขามีนิสัยเป็นชนเผ่าเร่ร่อนกันมาแต่โบราณกาล ดำรงชีพด้วยการเลี้ยงแกะ แพะ วัว จามรี อูฐสองหนอก และม้า ชาวมองโกเลียเชื่อว่า “ม้า” คือสัตว์สำคัญที่สุด นอกจากจะเป็นเพื่อน ช่วยทำงานให้แล้ว ยังจะนำวิญญาณของมนุษย์ขึ้นสู่สวรรค์อีกด้วย เราจึงพบม้าและรูปของม้าได้ทั่วไปในประเทศนี้ครับ ชาวมองโกเลียจะสอนให้ลูกขี่ม้าก่อนหัดเดินเสียอีก ม้าจึงสำคัญยิ่งยวดต่อชีวิตในทุกมิติ

1

ฤดูกาลนี้ในอุทยานแห่งชาติเตเรจมีดอกไม้ป่าที่ชอบอากาศเย็นสบายกลางแดดอุ่น เบ่งบานเต็มท้องทุ่งนับล้านๆๆๆ ดอก ทั้งสีขาว เหลือง ชมพู ม่วง ฟ้า ส้ม แดง และแทบทุกเฉดสีที่นึกออก ส่วนใหญ่เป็นดอกเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม เบ่งบานแผ่เป็นพรมดอกไม้ไปทั่วทุ่ง สลับกับสายน้ำเล็กๆ ไหลซอกซอนตวัดโค้งไปมา   เราพบนักท่องเที่ยวกำลังขี่อูฐเล่น บ้างก็กำลังดูเหยี่ยวและอีแร้งดำตัวใหญ่เท่าคน! ซึ่งชาวเร่ร่อนนำมาให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพเก็บตังค์ ภูมิประเทศโดยรอบเป็นเทือกเขาหินลวดลายแปลกประหลาด หินบางก้อนถูกลม ฝน หิมะ และกาลเวลา กัดเซาะจนมีรูปร่างคล้ายเต่ายักษ์ บางก้อนคล้ายจานบิน ดอกเห็ด หรือไม่ก็เป็นแท่งเสาหินยืนโด่เด่ อีกทั้งยังมีป่าสนทอดยาวออกไปตามเชิงเขา สลับกับลำธารน้ำใสแจ๋ว สะท้อนสีของฟ้าครามลงมาบนแผ่นน้ำ ภูมิประเทศนี้ชวนให้นึกถึงป่าแถบเทือกเขาร็อกกี้ในอเมริกาเหนือและแคนาดา ที่คล้ายกันยังกับฝาแฝด!

2

ไปขี่ม้าเที่ยวชมธรรมชาติที่อุทยานแห่งชาติเตเรจกันเถอะ

3

5

ชีวิต สายลม แสงแดด และทุ่งหญ้ากว้าง ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวที่อุทยานแห่งชาติเตเรจ

7

การขี่ม้าเที่ยวทุ่งหญ้ากว้างของมองโกเลีย จะทำให้เราได้สัมผัสจิตวิญญาณของดินแดนนี้อย่างใกล้ชิด ราวกับว่าเราเป็นทหารม้าของเจงกิสข่านยังไงยังงั้น!

8

ฝูงจามรีกลางทุ่งดอกไม้ฤดูร้อนในอุทยานแห่งชาติเตเรจ

9

คนมองโกเลียผูกพันกับม้าที่สุด เขามักพูดเล่นๆ กันว่า เด็กมองโกเลียจะขี่ม้าได้ก่อนเดินได้เสียอีก!

10

“อนุสาวรีย์เจงกิสข่าน” (Genghis Khan Statue Complex) ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2008 บริเวณริมแม่น้ำทูล ในจุดที่เชื่อกันว่าเจงกิสข่านได้พบแส้ม้าทองคำอันศักดิ์สิทธิ์ ที่พระองค์ใช้ในตลอดพระชนม์ชีพ เมื่อมองจากระยะไกลอนุสาวรีย์นี้ใหญ่โตมโหฬารมากจนแทบไม่น่าเชื่อ เป็นโลหะสแตนเลสสตีลไร้สนิม สีเงินวาววับสะท้อนแสงอาทิตย์ สูง 40 เมตร หนักถึง 25 ตัน สร้างเป็นเจงกิสข่านในท่านั่งบนหลังม้า ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก! ไฮไลท์ก็คือ เวลาที่เราขึ้นลิฟท์และเดินเท้าต่อไปยังส่วนหัวม้า เพื่อเผชิญหน้ากับเจงกิสข่านแบบจังๆ พร้อมกับชมวิวท้องทุ่งมองโกเลียจากมุมสูงเกือบ 40 เมตรเหนือพื้นดิน มองได้รอบตัวแบบสุดสายตาพาโนรามา

13

คนมองโกเลียแท้ๆ ต้องอาศัยอยู่ในกระโจมเหมือนเมื่อครั้งบรรพบุรุษ

12

นี่ล่ะครับ อนุสาวรีย์เจงกิสข่านที่ทำจากโลหะ ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก! ขนาดมหึมาจริงๆ

24

“อูลันบาตอร์” (Ulaanbaatar) เมืองหลวงของมองโกเลีย เป็นเมืองทันสมัย มีตึกระฟ้า รถราจอแจ อาคารพาณิชย์คึกคัก ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร สถานบันเทิง และโรงเรียน เห็นภาพชีวิตที่เคลื่อนผ่านไปในทุกวินาที หนุ่มสาวมองโกเลียส่วนใหญ่แต่งตัวนำสมัยเหมือนวัยรุ่นไทยนั่นล่ะ แต่คนสูงอายุจะยังคงแต่งกายด้วยชุดประจำชาติ คล้ายชุดชาวทิเบตที่ดูแปลกตา เป็นเสื้อคลุมแขนยาว ใส่รองเท้าบูท และมีหมวกทรงแหลม ดูแล้วทะมัดทะแมงสมเป็นชนชาตินักรบมาแต่โบราณกาล ชวนให้นึกถึงฉากท้องทุ่ง กระโจม ฝูงสัตว์ และกีฬามวยปล้ำอันเป็นกีฬาประจำชาติของเขา

23

21

“วัดกานดาน” (Gandan Monastery) เป็น วัดพุทธขนาดใหญ่และสำคัญที่สุดในมองโกเลีย ในนิกายวัชรยานแบบทิเบต สร้างขึ้นโดยโบกด์ข่าน (Bogd Khan) เมื่อปี ค.ศ. 1835 แต่ก็ถูกทำลายเกือบย่อยยับสมัยโซเวียตปกครอง เพราะสตาร์ลินผู้นำโซเวียตยุคนั้นมองว่าศาสนาคือยาพิษ สั่งทำลายวัดนับร้อยแห่งในมองโกเลีย จุดเด่นของวัดนี้อยู่ที่รูปหล่อโลหะพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสูง 20 เมตร สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1911-1912 แลตระหง่านอลังการ เป็นศูนย์รวมใจของผู้คนเสมอมา วัดกานดานมีสภาพคล้าย “Buddhist Complex” หรือชุมชนพุทธศาสนา เพราะนอกจากวิหารใหญ่ตรงกลางแล้ว ยังมีวิหารน้อย และกระโจมของนักแสวงบุญตั้งรายล้อมอยู่อีกมาก ภายในวัดมีวิถีพุทธวัชรยานเบ่งบานไปทั่วทุกอณู ทั้งริ้วธงมนต์ผูกโยงปลิวไสว พร้อมด้วยวงล้อมนตราน้อยใหญ่จารึกมนต์ “โอม มณี ปัทเม หุม” ให้นักแสวงบุญได้เดินภาวนาและหมุนไปพร้อมกัน ในวิหารน้อยรอบๆ มีหอสวดมนต์ เราจะเห็นชาวมองโกลมากราบนอนราบแบบ “อัษฎางคประดิษฐ์” กันล้นหลาม

18

17

16

“พระราชวังฤดูหนาว” ของจักรพรรดิ์มองโกลองค์สุดท้าย โบกด์ข่าน ซึ่งปัจจุบันดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ในนามว่า “Bogd Khan’s Palace Museum” ภายในแบ่งพื้นที่เป็นหลายชั้นใช้เก็บรักษาวัตถุโบราณล้ำค่า ทั้งอาวุธโบราณ, ผ้าทังก้า (ผ้าพระบฏ) บอกเล่าเรื่องราวทางศาสนา, พระพุทธรูป, รูปเคารพพระโพธิสัตว์, เครื่องเคลือบถ้วยชามโบราณ, ชุดเครื่องทรงของท่านข่านและมเหสี, ราชรถ ฯลฯ สิ่งของล้ำค่าที่จัดแสดง ทำให้เราได้เห็นอิทธิพลของศิลปะจีน และคติความเชื่อทางศาสนาทิเบต ซึ่งหลอมรวมกันอย่างแจ่มชัด

15

14

26

ชุดพื้นเมืองของคนมองโกเลีย สวย มีเอกลักษณ์ เหมือนที่เราเห็นในหนังจีนไม่มีผิดเลย

25

“จัตุรัสสุคบาตาร์” (Sukhbaatar Square) ด้านหน้าตึกทำเนียบรัฐบาล นี่คือจัตุรัสกว้างที่จุคนได้นับหมื่น สร้างเป็นที่ระลึกแด่ท่าน ดัมดิน สุคบาตาร์ (Damdin Sukhbaatar) ผู้นำกองทัพปลดแอกมองโกเลียจากการยึดครองของจีนได้สำเร็จเมื่อปี ค.ศ. 1921 จากใจกลางจัตุรัส ถ้ามองไปสุดด้านทิศเหนือก็คืออาคารหินอ่อนสีขาวขนาดมหึมา ที่สร้างขึ้นในวาระครบ 800 ปี แห่งการครองราชย์ของเจงกิสข่าน (เมื่อปี ค.ศ. 2006) ด้านหน้าอาคารนี้คือจุดที่มีคนมาถ่ายรูปกันเยอะที่สุด เพราะเป็นที่ประทับรูปหล่อโลหะบรอนซ์สีดำขนาดยักษ์ในท่านั่งของ เจงกิสข่าน (Genghis Khan) อยู่ตรงกลาง โอกิไดข่าน (Ogedei Khan : ลูกชายคนที่ 3 ของเจงกิสข่าน) เคียงคู่อยู่ทางตะวันตก และกุบไลข่าน (Kublai Khan : หลานชายของเจงกินสข่าน) อยู่ทางตะวันออก ข่านสององค์หลังนี้แหละ ที่รับช่วงภาระกิจขยายดินแดนต่อจากเจงกิสข่าน จนอาณาจักรมองโกลแผ่ขยายไปเกือบทั่วโลก ด้านทิศเหนือกินไปถึงตอนกลางของรัสเซีย ด้านทิศใต้ครองไปจรดอินเดียเหนือ, พุกามในพม่า, ลาวเหนือ, อาณาจักรจามปาตลอดทั้งเวียดนาม รวมทั้งยังเกือบได้อาณาจักรสุโขทัย! ส่วนทิศตะวันออกครองไปจรดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก เกาหลีและจีน ฝั่งตะวันตกจรดทะเลดำ ตะวันออกกลางทั้งหมด และประเทศฮังการีในยุโรปโน่นเลยเทียว!

29

“อนุสรณ์สถานการต่อสู้ไซซาน” (Zaisan Memorial) ซึ่งสร้างขึ้นเป็นที่ระลึกให้ทหารโซเวียตผู้พลีชีพ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตัวอนุสรณ์ฯตั้งอยู่บนยอดเขามองลงไปเห็นตัวเมืองอูลันบาตอร์ได้แบบพาโนรามา เป็นจุดชมวิวชั้นยอด เพราะเห็นการเติบโตของตัวเมืองที่ขยายออกไปสู่ตีนเขารอบๆ นอกจากนี้ยังมองเห็นแม่น้ำทูล (Tuul River) ที่ไหลคดเคี้ยวผ่านตัวเมืองไป ถ่ายรูปได้แจ่มจริงๆ

30

32

การได้มาเยือนมองโกเลียครั้งนี้ ทำให้เราได้ประจักษ์ว่า ยังมีอีกดินแดนหนึ่งในโลกที่งามจับใจ และผมสัญญากับตัวเองว่า จะต้องกลับมาที่นี่อีกเมื่อมีโอกาสอย่างแน่นอน

1841

Special Thank บริษัท Nikon Sales (Thailand) Co., Ltd. สนับสนุนสุดยอดอุปกรณ์ถ่ายภาพระดับมืออาชีพ

สนใจติดต่อ โทร. 0-2633-5100 / แฟ็กซ์ 0-2633-5191 (Office) / 0-2633-5192 (Service) www.nikon.co.th

 

Traveler’s Guide

Best season : ช่วงเดือนสิงหาคม อันเป็นช่วงฤดูร้อนของมองโกเลีย มีทั้งดอกไม้บานและฟ้าใสแจ๋ว อากาศก็กำลังอุ่นสบายไม่หนาวจัด เหมาะสำหรับคนไทยไปท่องเที่ยว

How to go : จากเมืองไทย ช่วงแรกบินไปฮ่องกงก่อน เพื่อเปลี่ยนเครื่องไปใช้สายการบิน Mongolian Airlines เพื่อบินสู่เมืองอูลันบาตอร์ ซึ่งเป็นเมืองหลวง ใช้เวลาเดินทางรวมแล้วประมาณ 6-8 ชั่วโมง ส่วนการเดินทางท่องเที่ยวมองโกเลีย ถ้าเที่ยวเองยังเป็นเรื่องค่อนข้างลำบาก อุปสรรคสำคัญคือภาษา วิธีสะดวกที่สุดในขณะนี้คือซื้อแพ็กเกจทัวร์ไปจากเมืองไทย จะได้มีที่พักและพาหนะพร้อมเลย

Contact : บริษัท Global Union Express เป็นผู้เชี่ยวชาญการนำเที่ยวในประเทศมองโกเลีย สอบถามได้ที่ โทร. 0-2308-2104 เว็บไซต์ www.guetravel.com