LA BRACI Modern Casual Fine Dining เปิดแล้ววันนี้!

เปิดแล้ว! La Braci ร้านอาหาร Fine Dining สไตล์ Modern Casual แห่งใหม่ ณ ชั้นลอยตึก One City Centre ใจกลางย่านเพลินจิต นำเสนอความอร่อยผ่านศิลปะอาหารเวสเทิร์น คงความหรูหราในแบบฉบับ Fine Dining ผสานรสชาติและบรรยากาศลงตัว ตอบโจทย์คนเมืองยุคใหม่ด้วยการเดินทางสะดวกสบาย เพียงไม่กี่ก้าวจากสถานีรถไฟฟ้า BTS เพลินจิต La Braci ซ่อนตัวอยู่ในสวน แวดล้อมด้วยแมกไม้สีเขียวน่ามอง และมีอาคารสูงอยู่ด้านหลัง รับกันอย่างลงตัว ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าเพลินจิตแค่นิดเดียว
La Braci  มอบประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ไม่เหมือนใคร ด้วยเทคนิคเน้นการใช้ไฟจากฝืนไม้สนทะเลคุณภาพ ตกแต่งร้านผสานความโมเดิร์นและธรรมชาติ ในคอนเซปต์ถ้ำหินและเฟอร์นิเจอร์ไม้สักแท้ หรูหรา ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย รับลูกค้าได้ถึง 50 ที่นั่ง เหมาะสำหรับทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นมื้อพิเศษของครอบครัว พบปะเพื่อนฝูง หรือดินเนอร์สุดโรแมนติก เชฟและทีมงานสามารถเชื่อมโยงกับแขกได้โดยตรง แขกสามารถมองเห็นกระบวนการสร้างสรรค์เมนูแต่ละจาน พร้อมทั้งสัมผัสกลิ่นหอมอันยั่วใจจากเตารมควัน คุณ Sean Lai เชฟผู้เป็นเจ้าของร้าน La Braci กล่าวว่า “ปรัชญาการทำอาหารของเรา เกิดจากความเคารพอย่างลึกซึ้งต่อประเพณีและนวัตกรรม เราตั้งใจรังสรรค์ประสบการณ์การรับประทานอาหารสไตล์ Fine Dining แบบสบายๆ แต่ทันสมัย เชิดชูเสน่ห์ดั้งเดิมของการปรุงอาหารด้วยไฟที่จุดจากไม้ ผสานเทคนิคสมัยใหม่ เป้าหมายของเราคือส่งเสริมให้รสชาติตามธรรมชาติของวัตถุดิบที่เราคัดมาอย่างพิถีพิถัน ได้เปล่งประกายเต็มที่ ภาคภูมิด้วยวิถีแห่งความซับซ้อน ละเอียดอ่อนจากไฟและควัน แต่ละจานจึงเป็นเครื่องพิสูจน์ความใส่ใจในรายละเอียด เพื่อมอบประสบการณ์น่าจดจำ”เอกลักษณ์อีกประการที่สำคัญของ La Braci คือแนวคิดอาหารจานแชร์ เชฟ Sean เสริมว่า “เราเชื่อว่าอาหารจะอร่อยมากขึ้นเมื่อทานด้วยกัน เราจึงออกแบบเมนูเพื่อส่งเสริมประสบการณ์การมีส่วนร่วม ให้แขกได้ลิ้มลองรสชาติและเนื้อสัมผัสที่หลากหลายด้วยกัน นอกจากจะยกระดับความสุขในการรับประทานแล้ว ยังช่วยสร้างบรรยากาศอันอบอุ่น เป็นกันเอง สะท้อนความเป็นอยู่แบบไทยที่มักกินข้าวด้วยกัน”La Braci บริหารงานโดย เชฟเจ้าของร้าน คุณ Sean Lai และ คุณวชิรวิทย์ ธนันต์รัตน์ (เชฟแบงค์) กรรมการบริษัทและผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ร่วมกับทีมเชฟชาวไทยฝีมือเยี่ยม แขกทุกท่านจะได้เป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศเป็นกันเอง เปลวไฟอันอบอุ่น และรับประทานอาหารด้วยกันอย่างเพลิดเพลิน

คุณ Sean กล่าวสรุปว่า “La Braci จะไม่เป็นแค่ร้านอาหารธรรมดา แต่จะเป็นสถานที่ที่สร้างความรู้สึกพิเศษให้ทุกท่านที่มาเยือน เราต้องการให้สัมผัสได้ถึงความหลงใหลของเราในการสร้างบรรยากาศทเชื่อมโยงทุกคนเข้าด้วยกัน La Braci คือร้านอาหารที่เน้นการใช้ไฟสร้างรสชาติเลิศล้ำ ไม่ได้มีดีแค่รสชาติและกลิ่นหอมของการย่างด้วยไม้ แต่ยังยกระดับคุณภาพเกินความคาดหวัง ในราคาที่เข้าถึงได้”หัวใจสำคัญของ La Braci คืออาหารที่สืบทอดศิลปะการปรุงอาหารด้วยไฟที่จุดด้วยไม้ฟืน คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์เรียบง่าย แต่พิถีพิถัน ใช้พลังงานดั้งเดิมของไฟเพื่อดึงความอร่อยแท้จริงจากวัตถุดิบ วิธีนี้ต้องใช้ทักษะอย่างสูง เชฟต้องเชี่ยวชาญ และมีความเข้าใจลึกซึ้งถึงวัตถุดิบที่ใช้ นอกจากนี้เตาไฟของร้านยังเปรียบเสมือนเตาผิง อันเป็นศูนย์กลางของบ้านมานานหลายศตวรรษแล้ว เชฟแบงค์ (คุณวชิรวิทย์ ธนันต์รัตน์) สาธิตวิธีการปรุงหอยนางรม โดยอุปกรณ์ Flambadouเชฟแบงค์และทีมงาน บรรจงจัดเตรียมเมนูทานเล่นต้อนรับแขกผู้มาเยือน
ของทานเล่น Starter Menu วันนี้ ทั้งหน้าตาและสีสัน รังสรรค์มาได้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากๆ
Cocktail เบาๆ ให้ความรู้สึกสดชื่น แก้วนี้คือ L’una มีส่วนผสมของเบอร์รี่ไซรัป ดอกอัญชัญ และวอดก้า
เครื่องดื่มหลากหลาก พร้อมให้สั่งได้ที่ La BraciStarter Menu วันนี้พิเศษมาก ประกอบด้วยขนมปังบริยอช (Brioche) ก้อนกลม เนื้อนุ่ม หอมนมเนย และแป้ง Pizza Bread แผ่นกลมแบน เนื้อนุ่มหนึบ ทานคู่กับน้ำมันมะกอกระดับ Premium จากเกาะซิลิลี่ ประเทศอิตาลี รวมถึงเนยชั้นยอด แบบดั้งเดิมของฝรั่งเศสแท้
La Braci นำเสนอเมนูแบบ à la carte หนึ่งในเมนูซิกเนเจอร์ คือ Oyster Flambée 1 ชิ้น ( ราคา 350 บาท++) เป็นเมนูเรียกน้ำย่อยที่เด่นด้วยการใช้ปรุงอาหารแบบดั้งเดิมของยุโรป Flambadou เชฟจะเผาโลหะทรงกรวยจนร้อนจัด เติมไขมันให้หลอมละลาย หยดลงบนลงบนหอยนางรมสด ความร้อนจะช่วยให้หอยนางรมสุกกำลังดี และกลิ่นหอมคล้ายย่างถ่าน เสริมด้วยซอสครีมเบลอบล๊องและน้ำมันต้นหอม เพิ่มลูกเล่นด้วยมะนาวคาเวียร์ รสเปรี้ยวสดชื่นทุกคำ เสิร์ฟมาอย่างงดงามบนเปลือกหอย เป็นประสบการณ์ที่ทั้งอร่อยและตื่นตาตื่นใจในคราวเดียว เมื่อหอยนางรมสดสุกได้ที่ ด้วยวิธีใช้เปลวไฟและน้ำมันหลอมละลายจากเหล็กร้อน (Flambadou) แล้ว ก็นำมาจัดจานเชฟแบงค์ บรรจงจัดแต่งหน้าตา Oyster Flambée ก่อนเสิร์ฟ
Oyster Flambée งดงามด้วยไอเดียจัดแต่งหน้าตา แถมยังน่าตื่นเต้นด้วยวิธีการปรุงแบบยุโรปดั้งเดิม ต่อกันด้วยเมนูเบาๆ กระตุ้นน้ำย่อยได้ยอดเยี่ยม เห็ดย่าง ทานคู่กับครีมซอสรสละมุน เชฟแบงค์ กำลังบรรจงจัดแต่งอาหารเมนูถัดไปให้เราชิม Pasta ที่เราเลือกชิมในวันนี้ คือ Wild Boar Ragu Cappelletti เป็น dumpling หมูป่าเนื้อนุ่ม เสิร์ฟมาในน้ำซอสเข้มข้นรสจัดจ้าน ตัว dumpling ก็พอดีคำ เคี้ยวง่ายWild Boar Ragu Cappelletti ส่วนใครที่ไม่ชอบทานหมูป่า La Braci ก็มีเมนูแชร์สุดครีเอทีฟให้เลือก คือ Charred Baby Squid Potato Dumplings ราคา (450 บาท++) หมึกกระดองย่างไฟเนื้อหวานฉ่ำ เสิร์ฟคู่ dumpling มันฝรั่งเนื้อนุ่มนวล ราดซอสเลมอนแซฟฟรอนและน้ำมันดิลล์หอมละมุน รสออกเปรี้ยวนิดๆ ของเลมอนครีมซอส ทำให้ทุกสัมผัสสดชื่นจานหลักที่ใครหลายคนหลงรัก La Braci เอาใจสายเนื้Wood-Fired Australian Wagyu Angus Beef Flank ราคา  (750 บาท ++) ทีเด็ดอยู่ที่ความหอมของถ่านไม้ช่วยสร้างกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ เสิร์ฟคู่กับหอมผัดคาราเมลที่ใช้ขั้นตอนการปรุงพิถีพิถัน และบร็อกโคลีนีย่างเกรียมตัดรสเข้มข้นของเนื้อวัว ขาดไม่ได้คือ Rof Emulsion สูตรเฉพาะของทางร้าน ได้แรงบันดาลใจจากซอส Chimichurri ของแอฟริกาตะวันตก เพื่อเติมกลิ่นหอมสดชื่นของสมุนไพร ช่วยปรับสมดุลให้ความเข้มข้นของวากิว และทำให้จานนี้ Perfect สุดๆ

ส่วนคนที่ไม่ทานเนื้อ เขาก็มีตัวเลือกเป็น Wood Fire Giant River Prawn ราคา (800 บาท++) กุ้งแม่น้ำเนื้อแน่นเด้งมันเยิ้ม เพิ่มรสชาติด้วยซัลซ่ามะเขือเทศเปรี้ยวสดชื่น โรย wolffia (ผำ) ที่หาทานยาก มีเทกซ์เจอร์ในทุกคำWood-Fired Australian Wagyu Angus Beef Flank เนื้อวากิวชิ้นใหญ่นุ่มมาก ห้ามพลาดเพิ่มประสบการณ์พิเศษในการทานเนื้อวากิว ด้วยมีดระดับพรีเมี่ยมในกล่องไม้หรู นำมาให้ลูกค้าเลือกได้เองเลยปิดท้ายด้วยเค้กอร่อยๆ อย่าง Tiramitsu มีกลิ่นหอมผสานผสมกลมกลืนของมาซาล่าไวน์, กาแฟ, วานิลลา และแป้งช็อกโกแลต

La Braci One City Centre, OCC – วัน ซิตี้ เซ็นเตอร์ ถนนเพลินจิต ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

เปิดให้บริการแล้ววันนี้ เพียงไม่กี่ก้าวจากสถานีรถไฟฟ้าเพลินจิต

  สอบถามเพิ่มเติม โทร. (66) 95-868-6565

Instagram : @Labraci_bkk

 Website: https://www.labraci.com/

 Booking : info@labraci.com

BEGAN VEGAN อิ่มกายอิ่มใจ สไตล์รักสุขภาพ

เคยมาเดินเที่ยวชมบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยาแถว ท่าเตียน หลายครั้ง ทั้งช่วงกลางวันและชมแสงสียามค่ำคืน ทว่าวันนี้พิเศษกว่าทุกคราว เพราะเราได้มาเยี่ยมร้านเล็กๆ น่ารัก สไตล์อบอุ่นแห่งหนึ่งในซอยท่าเตียน ซ่อนตัวอยู่ในตรอกเล็กๆ เงียบสงบ ฝั่งตรงข้ามวัดโพธิ์

ใช่เลย เรากำลังจะพาไปรู้จัก BEGAN VEGAN” ร้านอาหารแนววีแกน 100% เจ้าเดียวในแถบท่าเตียนขณะนี้
คุณณิชมน ตั้งตรงจิตร (คุณบี) คนรุ่นใหม่ไฟแรงที่มีความรู้ด้านอาหารสุขภาพ เจ้าของ ร้าน BEGAN VEGAN ที่ต้องการให้อาหารอุดมคุณประโยชน์แบบนี้ แพร่หลายมากขึ้นในหมู่คนไทย ด้วยคอนเซ็ปต์

“The Journey of  Your Health”

ร้าน BEGAN VEGAN ตั้งชื่อมาจากชื่อของ คุณ B ที่ชอบรับประทาน อาหาร VEGAN นั่นเอง
จากห้องแถวเก่าแก่ย่านท่าเตียนที่ renovate จนดู Modern สะอาดตา ถึงวันนี้ร้านเปิดมากว่า 5 ปีแล้ว เริ่มต้นจากการเป็นร้านอาหารสุขภาพของ คุณปรีดา ตั้งตรงจิตร (คุณปู่ของคุณบี) ชื่อร้าน “R D Preeda Healthy Food” จนกระทั่งส่งช่วงต่อมาถึงคุณแม่ กระทั่งเมื่อคุณบีอายุ 16 ปี ได้เห็นคลิปวิดีโอการฆ่าสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์ จึงเกิดความสงสาร และตั้งใจแน่วแน่แต่นั้นว่าจะไม่ทานเนื้อสัตว์อีกเลยตลอดชีวิต

ช่วงแรกก็หาอาหารแนวธรรมชาติทานค่อนข้างยาก คุณแม่ของคุณบีเป็นคนแรกที่ปรุงมาให้ทาน โดยเฉพาะเบเกอร์รี่แนววีแกนแท้ๆ ในเมืองไทยหายากมาก คุณบีจึงคิดค้นสูตรทำเอง คุณแม่เลยสนับสนุนให้เปิด ร้าน BEGAN VEGAN เพื่อให้คนทั่วไปได้รับประทานด้วย จากนั้นคุณบีก็ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยศิลปากร และช่วงปี 3 ได้ไปเรียนต่อด้านการบริหารที่ปารีส ฝรั่งเศส นานถึง 7 เดือน โดยในระหว่างนั้นได้เรียนคอร์เสริมด้านการทำเบเกอร์รี่ที่ สถาบัน Le Cordon Bleu ปารีสร้าน BEGAN VEGAN ได้รับการการันตี 5 ดาว จาก Happy Cow Excellent Reviews ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทานอาหารวีแกนรู้จักกันดี
อาหารแบบวีแกนแท้ๆ จะไม่รับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิดเลย รวมถึงงดเว้นนมวัว เนย น้ำผึ้ง ไข่ และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ทุกชนิด โดยต่างกับการรับประทานอาหารเจตรงที่ วีแกนทานผัก 5 ชนิด ที่มีกลิ่นฉุนได้ คือ กระเทียม, หัวหอม-ผักชี, กระเทียมโทนจีน, กุยฉ่าย และใบยาสูบ คนที่ทานวีแกนแบบเคร่งครัดมากๆ มาก มาที่ ร้าน BEGAN VEGAN จึงสบายใจได้ แต่ปัจจุบันลูกค้าก็ยังเป็นชาวต่างชาติมากกว่าครึ่ง อยากให้คนไทยได้ลองชิมบ้างนะ เพราะทานไม่ยากเลย ดีต่อใจต่อกายในแบบที่ต้องว้าวแม้จะเป็นร้านไม่ใหญ่โต ทว่าบรรยากาศให้ความรู้สึกอบอุ่น เป็นมิตร และมีเสิร์ฟมากกว่าอาหารหลัก เพราะ BEGAN VEGAN มีเค้กวีแกน รวมถึงคุกกี้วีแกน กาแฟวีแกน และ Smoothy วีแกน ที่หาชิมที่อื่นไม่ได้แน่ร้าน BEGAN VEGAN เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น.หนึ่งใน Signature Menu ของ ร้าน BEGAN VEGAN คือ “All Day Breakfast” หรือ เซ็ทอาหารเช้าที่เสิร์ฟได้ทั้งวัน เสน่ห์หลักของจานนี้คือครัวซองวีแกนแท้ๆ ซึ่งทำก็ยาก หาทานก็ยาก เพราะไม่ได้ใส่ไข่นมเนยเลยสักนิดเดียว แต่ยังให้รสสัมผัสและกลิ่นเหมือนครัวซองทั่วไปเปี๊ยบ เคล็ดลับของทางร้านคือใช้ส่วนผสมอย่างดีจาก Sunflower Butter, Canola Oil, Coconut Oil ฯลฯ ไม่มีการใช้น้ำมันถั่วเหลืองเลย ส่วนที่เห็นสีเหลืองๆ เหมือนไข่คน จริงๆ แล้วคือเต้าหู้ กินคู่กับสลัดผักออร์แกนิคสุขภาพ ราดน้ำซ๊อสงาสไตล์ญี่ปุ่นWelcome Drink เสิร์ฟมาในแก้วช๊อตเล็กๆ น่ารัก กระตุ้นกระเพาะเรียกน้ำย่อยได้ยอดเยี่ยม ส่วนผสมมีทั้งขิง มะละกอ แอปเปิลเขียว มะนาว และเปปเปอร์มิ้นต์
Welcome Drink แบบธรรมชาติ ปั่นรวมมาในแก้วช๊อต เย็นชื่นใจ ดื่มได้ดื่มดีจนต้องขอเพิ่มอีกหนึ่งในเมนูยอดฮิตของ ร้าน BEGAN VEGAN ที่ลูกค้าชื่นชอบ คือ “ข้าวสี่สี ผัดเต้าหู้แกงกะหรี่” เป็นจานหลักที่ประกอบด้วยข้าวสุขภาพ 4 สี ทั้งข้าวสีฟ้าอัญชัญ ข้าวสีเหลืองขมิ้น ข้าวสีเขียวใบเตย และข้าวสีน้ำตาลแดงไรซ์เบอร์รี่ กับข้าวที่ทานคู่กันคือเครื่องแกงกะหรี่ผัดเต้าหู้และผักออร์แกนิค ชิมแล้วขอบอกว่ารสชาติละมุน ให้ความรู้สึกถึงการถนอมสุขภาพมากๆ ครับ
หมูกรอบซ๊อสจิ้มแจ่ว หนึ่งในเมนูเด็ดที่ลูกค้าวีแกนหลายคนชื่นชอบ เพราะทั้งแปลกและหน้าตาเหมือนหมูกรอบจริงๆ  ทำจากถั่วเหลืองแท้ ทอดกรอบด้วยวิธีพิเศษของทางร้าน น้ำจิ้มแจ่วปรุงเองรสไม่จัด เข้ากันอย่างดี เนื้อสัมผัสเวลาเคี้ยวเหมือนหมูกรอบ Deep Fried กรุบๆ กรอบนอกนุ่มใน ยิ่งทานตอนร้อนๆ ยิ่งอร่อยล้ำ
ราดหน้าเส้นทอด เป็นอีกหนึ่งเมนูยอดนิยม เพราะคุณบีพัฒนาสูตรขึ้นมา ต้องทานตอนร้อนๆ เส้นทอดจะกรุบกรอบเคี้ยวง่าย น้ำราดหน้าก็รสชาตินุ่มนวลเหมือนแพรไหม มีผักออร์แกนิคและเต้าหู้ใส่มาให้เยอะแบบไม่หวงเลยจ้าราดหน้าเส้นทอด เมนูเด็ดของ ร้าน BEGAN VEGANไม่ได้หน้าตาดูดีอย่างเดียว แต่ยังอุดมคุณค่าทางอาหารมากๆ ด้วย

ร้าน BEGAN VEGAN ยังมีอาหารอื่นๆ ให้ชิมอีกเพียบ โดยคิดค้นปรับปรุงเมนูเพิ่มอยู่เสมอ ตอนนี้มีเมนู Version 2.0 ที่น่าลิ้มลองไปซะทุกจาน อาทิ วีแกนลาซานญ่า (Vegan Lasangna) ซอสโบโลเนส เสิร์ฟพร้อมผักย่าง, บว์มิกซ์เบอร์รี่ (Mixed Berries Bowl) ที่มีทั้งมัลเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ผสมกัน โรยหน้าด้วยผลไม้ตามฤดูกาล 3 ชนิด กราโนลา เมล็ดเจีย ถั่ว และธัญพืชรวม, โบว์ผักใบเขียวซุปเปอร์ฟู้ด (Superfood Bowl), โบว์ช็อกโกแลตเนยถั่ว (Chocolate Peanut Butter Bowl), ไก่ทอดวีแกน (Fried Vegan Chicken) ทำจากดอกกะหล่ำทอด จิ้มซอสพริก, ซุปเห็ดเข้มข้น (Mushroom Soup), ซุปข้าวโพดสไปซ์ซี่ (Spicy Corn Soup) นอกจากนี้ยังมี BV Burger ที่ได้รับความนิยมมาก และ BV Steak, Submarine Sandwich, Spagetti with Tomatoes Sauce, BEGAN Carbonara, Japanese Hot Curry with VEGAN Meatballs และอื่นๆ อีกมากมาย

ส่วนอาหารไทยแบบวีแกนก็มีเสิร์ฟเช่นกัน อาทิ ต้มข่าไก่, แกงเขียวหวาน, แกงพะแนง, ผัดกะเพรา, ผัดผงกะหรี่, ลาบ ฯลฯ โดยเน้นแนวคิด “กินอาหารให้เป็นยา” ไม่ใช่กินยาเป็นอาหารจ้า
สำหรับคนที่ชอบขนมหวานแบบวีแกนแท้ๆ ร้าน BEGAN VEGAN มีเค้กจากฝีมือคุณบีให้ชิมถึง 6 อย่าง คือ เค้ก Cinnamon Roll, เค้ก Chocolate, เค้ก Marble, Blueberry Cheese Tart, เค้ก Matcha Strawberry และที่หาทานยากมาก อร่อยจนร้องว้าวหลายรอบ คือ Croissant วีแกน นุ่มหนึบ หอมมาก ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้นมเนยเลยสักนิด ส่วนเค้ก Marble ก็เป็น Yogurt-based ที่สายวีแกนแท้ๆ ต้องหลงรัก เรียกว่ามีความ Creative และใส่ใจในรายละเอียดมากครับ หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักของ Blueberry Cheese Tart ท้อปปิ้งด้วยดอกไม้กินได้ จากฟาร์มธรรมชาติของศูนย์สุขภาพเชตวัน ศาลายา รสชาตินุ่มนวลหอมหวานกำลังดีเค้ก Matcha Strawberry ชิ้นโต เห็นเลเยอร์หลายชั้นซ้อนกัน ท้อปปิ้งด้วยสตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ และดอกไม้กินได้ เนื้อเค้กนุ่มกำลังดี เข้ากับครีมมัทฉะซะเหลือเกิน เห็นหน้าตาแบบนี้ เป็นเค้กวีแกนแท้ๆ เลยนะจะบอกให้
เค้ก Chocolate เป็น Dark Chocolate อย่างดี หวานน้อย เนื้อนุ่มหนึบ ทานคู่กับกาแฟวีแกนได้เข้ากันสุดๆทั้งน่ารัก ทั้งน่ากิน และดีต่อสุขภาพ ก็ต้องเค้กวีแกน 100% แบบนี้ล่ะครับน้ำมัลเบอร์รี่ สมูทตี้ ที่นำลูกหม่อนออร์แกนิคจากจังหวัดสระบุรี มาปั่นกับนมวีแกน เย็นชื่นใจ รสเปรี้ยวอมหวาน อุดมวิตามินมากมาย ช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณเป็นอย่างดีโดยส่วนตัวผมชอบกาแฟวีแกน ของร้าน BEGAN VEGAN เป็นพิเศษ ลองสั่งคาปูชิโน่กับลาเต้มาจิบดู รสชาติกลมกล่อมละมุน ไม่เข้มจนเกินไป ยังคงกลิ่นรสกาแฟครบถ้วน และนุ่มลื่นด้วยส่วนผสมของนมสกัดจากเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ดื่มแล้วรู้สึกกะปรี้กะเปร่าขึ้นมาเลย
เย็นชื่นใจ เข้มกำลังดี ดื่มแล้วมีแรงออกไปเดินเที่ยวย่านท่าเตียนต่อได้สบายใหม่ล่าสุด เครื่องดื่มสุขภาพที่คุณบีคิดค้นสูตรขึ้นมาเอง “น้ำใบบัวบกผสมนมข้าวโอ๊ต” แบรนด์ณิมน ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่แพ้นมวัว ความเก๋คือด้านหลังขวดมีบทกลอนบรรยายสรรพคุณอันมีประโยชน์ของน้ำใบบัวบกไว้อย่างน่ารัก ถึงแม้จะไม่อกหักช้ำใจก็ดื่มได้จ้า มีสรรพคุณมากมาย ช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือด ลดความดันโลหิตสูง และภาวะหลอดเลือดแข็งตัว มีฤทธิ์ต้านการอักเสบในร่างกายด้วยนะบทกลอนด้านหลังขวดน้ำใบบัวบกผสมนมข้าวโอ๊ต ขนมอร่อยอีกอย่างที่ห้ามพลาดชิม คือ คุกกี้แนววีแกน 100%” บรรจุในกล่องสวยงาม มี 4 รสให้เลือกตามชอบ คือ Flourless Cashew, Flourless Almond Choc-chip Chocolate chip และ Banana Oatmeal Raisin ซึ่งทั้งหมดเป็นคุกกี้ที่ปราศจากมาการีน น้ำตาลขัดสี สารกันเสีย น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันปาล์ม โดยคุณบีและทีมงานลงมือทำด้วยตัวเองเลยนอกจากอาหารวีแกนร้อยเปอร์เซนต์ที่ดีต่อสุขภาพแล้ว ร้าน BEGAN VEGAN ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ เป็นของฝากน่ารักๆ ติดมือกลับบ้านด้วย ในภาพนี้คือ “เทียนหอม” ทำจากไขถั่วเหลืองธรรมชาติ 100% (Soy Wax) ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีใดๆ ใส่มาในกะลามะพร้าวครึ่งซีก ได้กลิ่นอายความเป็นไทยสุดๆเทียนหอมธรรมชาติในกะลามะพร้าวเก๋ไก๋ของ ร้าน BEGAN VEGAN ผลิตจากไขถั่วเหลืองบริสุทธิ์ 100 เปอร์เซนต์ ใช้จุดในบ้านกลิ่นหอมอ่อนๆ ชื่นใจ ให้ความรู้สึกสดชื่นแบบธรรมชาติ
ด้านหน้า ร้าน BEGAN VEGAN มีพืชผักผลไม้ออร์แกนิคที่ปลูกจากฟาร์มของศูนย์สุขภาพเชตวัน อำเภอศาลายา จังหวัดนครปฐม วางจำหน่ายด้วยมะพร้าวน้ำหอมออร์แกนิค จากฟาร์มธรรมชาติของศูนย์สุขภาพเชตวัน อำเภอศาลายา จังหวัดนครปฐม ดื่มแล้วชื่นใจอย่าลืมนะครับ ถ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศ มานั่งทานอาหารสุขภาพในร้านเล็กๆ น่ารัก อัดแน่นด้วยคุณภาพ สร้างสรรค์ และความใส่ใจ ต้องไม่ลืม ร้าน BEGAN VEGAN ท่าเตียน ของคุณบี ณิชมน ตั้งตรงจิตร และทีมงาน

หลังจากอิ่มกายอิ่มใจกันที่ ร้าน BEGAN VEGAN แล้ว ไม่ควรพลาดโอกาสเดินทอดน่องสัมผัสความสวยงามย่านริมแม่น้ำเจ้าพระยา แถวท่าเตียน ท้องสนามหลวง และพระบรมมหาราชวัง ยังมีวัดวาอารามสำคัญให้ชื่นชมอีกหลายแห่ง ทั้งวัดอรุณราชวรารามฯ (วัดแจ้ง) วัดพระแก้ว และวัดโพธิ์ ต้นตำรับการนวดไทยอันมีชื่อเสียงวัดพระแก้ว สถานที่ประดิษฐานองค์พระแก้วมรกตคู่บ้านคู่เมืองสยามพระนอนวัดโพธิ์ พุทธศิลป์งามล้ำทำให้ต้องตะลึงนวดแผนไทยโบราณที่วัดโพธิ์ กับสำนักเชตวัน

ร้าน BEGAN VEGAN 

Address : ซอยท่าเตียน ถนนมหาราช กรุงเทพฯ ฝั่งตรงข้ามวัดโพธิ์ (ปากซอยมีธนาคารกรุงไทยอยู่ข้างหน้า)

เปิดทุกวัน เวลา 10.00-18.00 น.

โทร. 08-0226-5770 / FB : Began Vegan / Line : @beganvegan / IG : Began.vegan

AVIYANA HUA HIN อัญมณีแห่งใหม่บนชายหาดชะอำ

เปิดอย่างเป็นทางการแล้ว อวิญานา หัวหิน (AVIYANA HUA HIN) รีสอร์ทติดทะเลแห่งใหม่บนชายหาดชะอำ มีพื้นที่กว้างขวางถึง 14,400 ตารางเมตร ออกแบบทันสมัย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เหมาะสำหรับคนทุกเจเนอเรชัน โดยเฉพาะคู่รัก และคนที่ชอบความเงียบสงบ เสมือนสวรรค์แห่งการพักผ่อน ผสมผสานการออกแบบในสไตล์โมเดิร์นและความสวยงามของธรรมชาติหาดทรายชายทะเลอย่างลงตัว

สระว่ายน้ำวิวพาโนรามาของ AVIYANA HUA HINคณะผู้บริหาร AVIYANA HUA HIN

คุณสุมาลี คูรานา (กลาง) CEO, คุณณิชาภัทร ศรีสำราญ Sales Executive (ขวา), คุณชาญชัย ปรีชา General Manager (ซ้าย)
คุณสุมาลี คูรานา CEO AVIYANA HUA HIN
ตัดริบบิ้นเปิดอย่างเป็นทางการ ในบรรยากาศแห่งความสุข เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2024 โดยครอบครัวของ CEO AVIYANA HUA HIN คุณสุมาลี คูรานา

AVIYANA HUA HIN ออกแบบในสไตล์โมเดิร์น ผสานธรรมชาติอันงดงามของอ่าวไทย มีจำนวน 115 ห้อง

ห้อง Superior ขนาด 40 ตร.ม. จำนวน 37 ห้อง

ห้อง Deluxe Sea View ขนาด 40 ตร.ม. จำนวน 62 ห้อง

Oasis Beachfront Villa ขนาด 53 ตร.ม. จำนวน 8 ห้อง

Ambassador Suite แบบ 2 ห้องนอน ขนาด 247 ตร.ม. จำนวน 1 ยูนิต (2 ห้อง)

Ocean View Suite แบบ 2 ห้องนอน ขนาด 165 ตร.ม. จำนวน 3 ยูนิต (2 ห้อง)

ราคาเริ่มต้นเพียง 3,500 บาทต่อคืน

มองเห็นวิวทะเลชะอำสุดชิวอยู่ใกล้แค่เอื้อม คู่รักที่กำลังมองหาบรรยากาศโรแมนติก AVIYANA HUA HIN คือคำตอบที่คุณกำลังมองหาอย่างแน่นอน ริมทะเลยามเย็นที่ AVIYANA HUA HIN ช่างโรแมนติกสุดๆ จริงๆ

ในส่วนของอาหารและเครื่องดื่ม AVIYANA HUA HIN รังสรรค์เมนูมากมายให้ได้ลิ้มลอง ตอบโจทย์ทุกความต้องการด้วย 3 ห้องอาหารและบาร์  เริ่มจาก Pomelo All-Day Dining ที่ให้บริการทั้งบุฟเฟต์อาหารเช้า มื้อกลางวันและมื้อเย็น ในรูปแบบอะลาคาร์ท ไม่ว่าจะเป็นอาหารนานาชาติ เอเชีย ไทย และอาหารท้องถิ่น

ถัดมาคือ Miss T Beach Café สุดชิลล์ดื่มด่ำบรรยายริมทะเล ชมความงามพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ให้บริการมื้อกลางวันและมื้อเย็นในแบบอะลาคาร์ท มีเมนูฟิวชั่นนานาชาติให้เลือกหลากหลาย และยกระดับวัตถุดิบท้องถิ่นของไทยให้กลายเป็นจานหรู เช่น กะปิ สาโท และใบชะคราม นำเสนอด้วยความหรูหราแบบอาหารยุโรปได้อย่างลงตัว

เมนู Pasta Sato Crab Meat เป็นหนึ่งในจานที่สะท้อนถึงการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างอาหารทะเลและวัตถุดิบพื้นบ้าน โดยนำพาสต้าหมึกดำผัดกับเนื้อปู ใบชะคราม และสาโท เสิร์ฟคู่กับขนมปังกระเทียม สร้างมิติของรสชาติที่ซับซ้อน แตกต่างไปจากพาสต้าเดิมๆ อย่างสิ้นเชิง

จุดเด่นของเมนูนี้คือรสชาติที่ซับซ้อนจากเนื้อปูสด ผสานกับความหอมของสาโท เชฟของ AVIAYNA HUA HIN เลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นอย่างใบชะคราม ซึ่งเป็นพืชพื้นบ้านของชายฝั่งอ่าวไทย มาสร้างสรรค์ในจานอาหารยุโรปอย่างมีเอกลักษณ์ การนำสาโทและใบชะครามมาใช้ในเมนูพาสต้า ถือเป็นการเชื่อมโยงวัฒนธรรมอาหารยุโรปและไทยอย่างลงตัว ห้ามพลาดชิมเด็ดขาดเลย

นอกจากนี้ AVIYANA HUA HIN มีพื้นที่รองรับการจัดงานในโอกาสพิเศษ อย่างห้องบอลรูม AVOWS เป็นห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ สามารถรองรับแขกได้มากถึง 300 คน เหมาะสำหรับการจัดกิจกรรมสำคัญ เช่น พิธีหมั้น งานแต่งงานทั้งแบบไทย อินเดีย ตะวันตก รวมถึงการประชุมสัมมนา รวมถึงพื้นที่จัดงานกลางแจ้ง Siamara สำหรับจัดงานเลี้ยงส่วนตัวบนดาดฟ้า และยังมีสนามหญ้า 1,400 ตารางเมตร ที่เหมาะสำหรับกิจกรรมในบรรยากาศธรรมชาติด้วย

สำหรับพื้นที่ส่วนกลางอื่นๆ AVIYANA HUA HIN มีห้องฟิตเนสไว้ให้บริการลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการยืดกล้ามเนื้อ คาร์ดิโอ หรือบอดี้เวท และในอนาคตจะมีโซนสำหรับเด็กๆ ด้วย เช่น โซนของเล่น และมุมอ่านหนังสือ

สัมผัสการพักผ่อนอย่างมีระดับ ใกล้กรุงเทพฯ ที่อวิญานา หัวหิน (AVIYANA HUA HIN)

สอบถามเพิ่มเติม โทร. 032-512-311 

Instagram : @aviyanahuahin

 จองห้องพักได้ที่ : booking@aviyanahuahin.com

Website : https ://aviyanahuahin.com/

Facebook : Aviyana Hua Hin 

Ventisi TRAPPOLINI Wine Dinner with Cafe’ Buongiorno

ในโลกของไวน์ แน่นอนว่า “อิตาลี” ย่อมเป็นดินแดนในฝัน ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปีตั้งแต่ยุคกรีกโรมัน ภูมิประเทศ ลมฟ้าอากาศ และวัฒนธรรมของประเทศริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนี้ ให้กำเนิดองุ่นท้องถิ่นกว่า 1,000 ชนิด ซึ่งไม่น้อยกว่า 300 ชนิดในจำนวนนั้น ได้รับการคัดสรรมาบ่มหมักเป็นไวน์ที่มี Character และ Unique มาก

วันนี้เราจะมาสัมผัสประสบการณ์พิเศษ กับไวน์ท้องถิ่นชั้นเลิศของอิตาลี จากไร่ TRAPPOLINI และ ARRIGONI ผู้มีประสบการณ์ยาวนานหลายชั่วอายุคน นำเข้ามาในประเทศไทยโดย Cafe’ Buongiorno บริษัทนำเข้า Boutique Wine จากทุกภาคของอิตาลี ให้เราลิ้มรสในบรรยากาศเป็นกันเอง ณ ห้องอาหาร Ventisi ชั้น 24 โรงแรม Centara Grand Central World
ไวน์และเมนูอาหารที่ paring ได้เข้ากันสุดๆ สำหรับค่ำคืนนี้ ขอต้อนรับสู่ความเลิศหรูของห้องอาหาร Ventisi ชั้น 24 โรงแรม Centara Grand Central World Bangkok Chef Andrea Montella แห่งห้องอาหาร Ventizi กล่าวถึงอาหารอิตาเลียนสไตล์ Tuscany ที่เสิร์ฟครั้งนี้ และไวน์มาตรฐานสูงจาก TRAPPOLINI Winery นำเข้าโดย Cafe’ Buongiorno (ภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา / เว็บไซต์ The Way News)Mr.Nicolas Loreau, Director of Food & Beverage กล่าวขอบคุณแขกทุกท่าน ที่มาร่วมรับประทานอาหารอิตาเลียนสุดพิเศษ และไวน์ชั้นเลิศในค่ำคืนนี้ (ภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา / เว็บไซต์ The Way News) เมื่อความหรูหรา มาบวกกับวิวสวยๆ อาหารอร่อยๆ และบริการอันอบอุ่น “ความสุข” จึงเกิดขึ้นที่ Ventisi (ภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา / เว็บไซต์ The Way News)พาคนพิเศษมานั่งดินเนอร์กัน ชมวิวสวยๆ ของมหานครกรุงเทพฯ มุมสูง ที่ห้องอาหาร Ventisi
Chef Andrea Montella บรรจงปรุงอาหารแบบอิตาเลียนภาคกลาง ไว้แพริ่งกับไวน์ที่มีลักษณะเฉพาะตัว แค่เห็นเนื้อเซอร์ลอยน์ชิ้นใหญ่ๆ cook แบบ Medium Rare ก็น้ำลายสอแล้วฮะ (ภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา / เว็บไซต์ The Way News)

เรียกน้ำย่อยด้วย ขนมปังฟอคคาเซีย” (Focaccia) เนื้อนุ่มหนึบ กลิ่นหอมแป้งสาลีผสมน้ำมันมะกอก เป็นขนมปังคู่บ้านคนอิตาเลียน กินเมื่อไหร่ก็อร่อย มีเครื่องเคียงเป็นซอสถั่ว และมะเขือเทศคลุกน้ำมันมะกอก กินคู่กับ Sparkling Wine ชั้นเลิศจากภาคเหนือของอิตาลี Otello Prosecco DOC ของ ARRIGONI Vineyard ซึ่งเป็น Wine Producer เก่าแก่และมีชื่อเสียง ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1913 การจะเรียกไวน์ตัวใดว่าเป็น “โปรเซคโก้” (Prosecco) ได้ ต้องผลิตมาจากเขตโปรเซคโก้ ในแคว้นเวเนโต (Veneto) เท่านั้น Prosecco เป็นชื่อหมู่บ้านเล็กๆในแคว้นนี้ นิยมใช้องุ่นพันธุ์ เกลียร่า (Glera) มาทำครับ

โปรเซคโก้จากเมืองเทรวิโซ่ (Treviso) ตัวนี้ มีความ Balance ของรสชาติเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเสิร์ฟเย็นเจี๊ยบ 8-10 องศาเซลเซียส เนื้อไวน์ละมุนสีเหลืองฟางอ่อน (Pale Straw) แอลกอฮอล์ต่ำ 11 เปอร์เซนต์ Body นุ่มลึก มีความ Extra Dry (หวานกลางๆ) เด่นด้วยกลิ่นดอกไม้ป่า อัลมอนต์ และแอปเปิลเขียวชัดเจน จิบแล้วทิ้งความหอมหวานไว้ทั่วปาก ไวน์ Body ไม่ Waxy เกินไป พรายฟอง (Bubbles) เล็กๆ เบาๆ ซู่ซ่ากำลังดี จิบเพลินARRIGONI Vineyard  เป็น Wine Producer ที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่กว่า 110 ปีแล้ว ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1913 ผลิตไวน์ต่อเนื่องกันมา 4 ชั่วอายุคน โดยเริ่มในแคว้นลิกูเรีย (Liguria) และทัสคานี (Tuscany) ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกองุ่นในแคว้นเวเนโต (Veneto) ด้วย ซึ่งภูมิประเทศเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผลิตไวน์ขาว เพราะอากาศเย็น อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำ พื้นที่เป็นภูเขา เนินเขา สลับทุ่งหญ้า กลางวันแดดเจิดจ้า กลางคืนหนาว เช้ามีหมอกพูดคุยสรวนเสเฮฮาเป็นกันเองที่ห้องอาหาร Ventisi มื้อนี้มี Italian Wine หายาก และอาหารอร่อยเติมเต็มความสุข
เมนูแรกวันนี้ เสิร์ฟมาพร้อมกันถึง 5 อย่าง portion เล็กๆ น่ารัก กระตุ้นน้ำย่อยได้ดีเลย ประกอบด้วย

Crostini Di Fegatini Di Pollo (ขนมปังครอสทินิ ท็อปปิ้งด้วยตับเป็ด)

Pizza Bianca Con La Mortadella Stracciatella E Il Pesto Di Pistacchio (พิซซ่าจิ๋วเนื้อแป้งขาวสไตล์ Rome สลับไส้เป็นชั้นๆ กับชีสและถั่วพิสตาชิโอ้เพสโต้)

Olive Schiacciate (มะกอกอิตาเลียนใส่พริกและยี่หร่า)

Zuppetta Di Lenticchie Di Castelluccio (ซุปถั่วเลนทิล เสิร์ฟในแก้วช็อต)

Suppli Al Telefono (รีซอตโต้เนื้อวัว ผสมมอสซาเรลล่าชีส และชีสนมแกะ 100 เปอร์เซนต์)

ทั้งหมดแพร่ิงกับไวน์ขาวสุดพิเศษ CROGNETO Bianco, Orveto Classico DOC ปี 2022 จากแคว้นอุมเบรีย

CROGNETO Bianco DOC ของ TRAPPOLINI เป็นไวน์ขาวตามแบบฉบับอิตาลีภาคกลางแท้ๆ เพราะใช้องุ่นพันธุ์ท้องถิ่นมา Blended กันถึง 5 ชนิด คือ Grechetto (องุ่นขาวที่กำเนิดจากกรีซ ปลูกมากในภาคกลางของอิตาลี นิยมใช้ blend), Procanico (องุ่นขาวที่ปลูกมากในแคว้นอุมเบรีย ออวิเอโต้ ลาซิโอ้ และเขตลาทิอุม-Latium เชื่อว่ากลายพันธุ์มาจากองุ่น Trebbiano Toscano ซึ่งมีความเปรี้ยวมาก นิยมใช้ผสมในการผลิตบรั่นดีและคอนญัค), Malvasia (องุ่นขาวที่ปลูกมากในแถบเมดิเตอร์เรเนียน นิยมใช้ blend), Drupeggio (องุ่นขาวที่ปลูกในอิตาลีภาคกลาง ใช้ผลิตไวน์ระดับ DOC) และ Verdello (องุ่นขาวที่ปลูกมาในแคว้นอุมเบรีย ใช้ผลิตไวน์ระดับ DOC) ทำให้ได้ไวน์ขาวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ เข้มข้น ซับซ้อน นุ่มลึก ติดขมปลายลิ้นเล็กน้อย เนื้อไวน์สีเหลืองฟางอ่อน มีกลิ่นหอมดอกไม้อ่อนๆ แอลกอฮอล์ 13 เปอร์เซนต์ ดื่มได้เพลินมาก Blended ยอดเยี่ยมTRAPPOLINI Vineyard เป็นไร่ไวน์เก่าแก่ที่ผลิตไวน์ชั้นเลิศมากว่า 3 ชั่วอายุคนแล้ว ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1961 โดยมีฐานการผลิตอยู่ในภาคกลางของอิตาลี ในดินแดนที่เป็น Landlock ไม่มีทางออกทะเลของแคว้นอุมเบรีย (Umbria) ใกล้เขตรอยต่อแคว้นลาซิโอ (Lazio-ที่ตั้งกรุง Rome) ความโดดเด่นคือ พวกเขายังคงรักษาขนบธรรมเนียมดั้งเดิมในการบ่มหมักไวน์ และใช้องุ่นพันธุ์ท้องถิ่นของอิตาลีแทบจะร้อยเปอร์เซนต์ ซึ่งวันนี้มีทั้งไวน์ขาวและไวน์แดงให้เราลิ้มรส

ความพิเศษอีกอย่างของ TRAPPOLINI Wine คือเป็นไวน์สไตล์ภาคกลางของอิตาลี ที่ปลูกในเขต “ภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน” แท้ คือมีแดดตลอดปี ฤดูร้อนจะร้อนแบบแห้งๆ ส่วนฤดูหนาวมีฝนตก ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยตลอดปีไม่เกิน 1,000 มิลลิเมตร ซึ่งดีต่อการเติบโตขององุ่นพันธุ์ท้องถิ่นจริงๆ ครับChef Andrea Montella บรรจงเตรียมเมนูถัดไปด้วยตัวเองคอร์สถัดมา Ricotta Cheese Dumpling” ปั้นเป็นก้อนกลม กินคู่กับซอสครีมเห็ดทรัฟเฟิลฤดูร้อน น้ำซอสนุ่มนวล รสเค็มเล็กน้อย ความข้นมันกำลังดี ส่วนเนื้อรีคอตต้าชีสก็นุ่มละมุน ละลายในปากแบบไม่ต้องเคี้ยว กินคู่กับไวน์แดง ARCADIA CROGNETO ROSSO, Lazio IGT ปี 2020 มีความเปรี้ยวนำ แต่ smooth เสริมรสกันได้ยอดเยี่ยมRicotta Cheese Dumpling จริงๆ แล้วคือ “เวย์ชีส” (Whey Cheese) ซึ่งก็คือน้ำที่เหลือจากการผลิตชีส เรียกว่า “Whey” เป็นตัวเดียวกับเวย์โปรตีนที่เอาไปสกัดเป็นผงชงให้นักกีฬาหรือคนป่วยกิน คำว่า “Ricotta” แปลว่า “Recooked” โดยครั้งแรกเอาชีสไปต้มให้เหลือ Whey แล้วเอา Whey ไปต้มอีกครั้ง จนได้ตะกอนนิ่ม กลายเป็น Fresh Cheese พวกเดียวกับ Mozzarealla Cheese แต่เก็บได้นานกว่า เพราะเติมเกลือ และส่วนใหญ่เป็นโปรตีน ไม่มีครีม

Red Wine ARCADIA CROGNETO ROSSO, Lazio IGT ปี 2020 จากแคว้นลาซิโอ (Lazio) มีปริมาณแอลกอฮอล์กลางๆ 13.5 เปอร์เซนต์ blend ด้วยองุ่นชั้นเลิศ 2 สายพันธุ์ คือ “ซานโจเวเซ่” (Sangiovese) และ “มอนเตพูลชิอาโน่” (Montepulciano) ซึ่งเป็นพันธุ์องุ่นที่นิยมปลูกมากที่สุดอันดับ 1 และ 2 ในอิตาลี ทั้งคู่เป็นระดับเรือธง สำหรับองุ่น Sangiovese มีนิกเนมว่า “โลหิตแห่งพระเจ้า” ด้วยสีแดงเข้ม Full Body แบบไม่เกรงใจใคร รสชาติจัดจ้านด้วย Acidity (ความเปรี้ยว) ค่อนข้างสูง ทว่า Tannin smooth สะท้อนความเป็น Italian Wine ได้ดีสุดๆ

ส่วนองุ่น Montepulciano ชอบอากาศร้อน จึงปลูกมากในอิตาลีภาคกลางและภาคใต้ ให้น้ำไวน์ที่มีเนื้อสัมผัส กลิ่น และรสยอดเยี่ยม สีแดงราวกับผลเชอร์รี่ เนื้อใสมาก กลิ่นอบอวลด้วยผลไม้สีแดงและสีดำ ทั้ง Black Berry, Black Current, Raspberry, Dark Chocolate, วานิลลา, เชอร์รี่ และใบยาสูบ (Tobacco)

เมนูพระเอกในวันนี้คือ Tagliata Di Manzo, Flan Di Spinaci, Patate Fondenti  เนื้อวัวเซอร์ลอยน์ย่าง Medium Rare ชิ้นใหญ่ สไตล์ Tuscan กินคู่กับผักโขมอบ และมันฝรั่งนุ่ม นุ่มได้ใจละลายในปาก กับเนื้อเซอร์ลอยน์ชิ้นนี้ น้ำซอสเกรวี่ก็เข้ากันดี้ดี โรยพริกไทยดำป่นลงไปนิด ช่วยเพิ่มรสชาติเนื้อเซอร์ลอยน์ได้วิเศษเนื้อเซอร์ลอยน์ชั้นเลิศ ต้องจับคู่กับ Red Wine CUCCAIA ROSSO, IGT Toscana ปี 2022 ของ TRAPPOLINI ซึ่งใช้องุ่น 2 สายพันธุ์ blended กันอย่างยอดเยี่ยม คือ ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 60 เปอร์เซนต์ และ แมร์โล (Merlot) 40 เปอร์เซนต์ แอลกอฮอล์กลางๆ 13 เปอร์เซนต์ แพร่ิงกับอาหารจำพวกเนื้อแดงได้ยอดเยี่ยม

ไวน์แดงตัวนี้จัดเป็น Super Tuscan Wine ที่ห้ามพลาด สีแดงทับทิมเข้มข้น กรุ่นกลิ่นหอมและรสของผลเบอร์รี่ป่า ลูกพลัม และมีกลิ่นรสเครื่องเทศชัดเจน โดยรวมถือเป็น Boutique Wine ที่ละมุน แทนนินลื่นดุจแพรไหม รักเลยครับ
ปิดท้ายด้วยขนมหวานอร่อยๆ Torta Pinolata พายสไตล์ Tuscan ไส้ถั่วและครีมทาร์ต กินเคียงกับไอศกรีมวานิลลาหวานชื่นใจมากตัวจบของอาหารอิตาเลียนจริงๆ ถ้าไม่ใช่ Sweet Wine ก็คือ “Limoncello” หรือน้ำเลมอนด์เข้มข้นสไตล์อิตาเลียน ทำจากเปลือกเลมอนด์สกัด ดื่มแล้วช่วยย่อยได้ดีสุดๆ ครับสนใจชิมไวน์ทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี และสั่งซื้อไวน์อิตาเลียนหายาก ติดต่อ Cafe’ Buongiorno Tel. 06-2494-1649 (คุณพิม)Booking โต๊ะรับประทานอาหาร และชิม Italian Wine อย่างดีได้ที่ โทร. 02-100-6255

diningcgcw@chr.co.th

Pietraserena Tuscany Wine Dinner @Ventizi Centara Grand Central World

Story ชาธร โชคภัทระ / Photos สุเทพ ช่วยปัญญา

กลิ่นขนมปังหอมกรุ่นที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ ไวน์สีแดงทับทิมเข้มข้นที่ถูกรินใส่แก้วทรงสูง อาหารอิตาเลียนสไตล์ทัสคานีแสนอร่อย และผองเพื่อนสนิทที่มารวมตัว นั่งพูดคุยสรวนเสเฮฮากันอีกครั้ง คือบรรยากาศพิเศษที่ คาเฟ่ บวนจอร์โน่ (Cafe’ Buongiorno) รังสรรค์ให้เกิดขึ้น ในค่ำคืนวันที่ 20 กันยายน 2023 ณ ห้องอาหาร หรู Ventizi ชั้น 24 โรงแรม Centara Grand Central World Bangkokหลังจาก Cafe’ Buongiorno ได้ชวนเรามาลิ้มลอง Boutique Wine ชั้นเลิศจากแคว้นต่างๆ ของอิตาลีแล้วหลายครั้ง คืนนี้ก็ถือว่าพิเศษไม่แพ้ครั้งไหนๆ เพราะเรากำลังจะพาตัวและหัวใจบินลัดฟ้าสู่ แคว้นทัสคานี (Tuscany) หรือ ทอสคานา (Toscana) สวรรค์ของการผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงของโลกมาช้านาน บวกกับอาหารอิตาเลียนแท้ๆ จาก Chef Andrea Montella แห่งห้องอาหาร Ventizi ก็ยิ่งช่วยให้ความสุขอบอวลอยู่ในทุกอณู อาหารคืนนี้แพริ่งกับ White & Red Wine ได้ยอดเยี่ยม ตั้งแต่ Otello Prosecco ที่ซู่ซ่าสดชื่นกำลังดี ตามาด้วยไวน์ขาว Vigna del Sole ซึ่งใช้องุ่นพันธุ์หายาก Vernaccia จากนั้นก็เป็นไวน์แดงรสเปรี้ยวนำอย่าง Poggio Al Vento ใช้องุ่นยอดฮิต Sangiovese และปิดท้ายด้วยพระเอกของคืนนี้ ที่ดูจะเข้มข้นสุด คือ Caulio ไวน์แดงผสมองุ่น 3 สายพันธุ์ ทั้ง Sangiovese, Malvasia Nera และ Syrah ช่วยให้อาหารอร่อยขึ้นอีกล้านเท่า
ห้องอาหาร Ventizi ชั้น 24 โรงแรม Centara Grand Central World Bangkok บรรยากาศดีวิวหลักล้าน มองเห็นพระอาทิตย์ตกของกรุงเทพฯ มุมสูง น่าประทับใจมาก Mr.Robert F. Maurer-Loeffler, General Manager and Corporate Director of Operations โรงแรม Centara Grand Central World Bangkok พร้อมต้อนรับทุกท่าน
บรรยากาศส่วน VIP ของห้องอาหาร Ventizi หรูหราและมีความเป็นส่วนตัวดีมาก เหมาะมานั่งสังสรรค์กันเพลินๆ ห้องอาหาร Ventizi มีหลายมุมหลายบรรยากาศให้เลือก คนที่ชอบวิวโปร่งโล่งสบายตา เลือกโต๊ะตรงมุมกระจก มองเห็นตึกระฟ้า และแสงยามเย็นของกรุงเทพฯ ได้น่าประทับใจ โต๊ะส่วนตัวแบบโรแมนติกกันสองคนก็มี

เรียกน้ำย่อยด้วย ขนมปังฟอคคาเซีย” (Focaccia) เนื้อนุ่มหนึบ กลิ่นหอมแป้งสาลีผสมน้ำมันมะกอก เป็นขนมปังคู่บ้านคนอิตาเลียน ที่กินเมื่อไหร่ก็อร่อย มีเครื่องเคียงเป็นซอสถั่ว และมะเขือเทศคลุกน้ำมันมะกอก กินคู่กับ Sparkling Wine ชั้นเลิศจากทางภาคเหนือของอิตาลี Otello Prosecco DOC ของ Arrigoni Vineyard การจะเรียกไวน์ตัวใดว่าเป็น “โปรเซคโก้” (Prosecco Wine) ได้อย่างแท้จริง ต้องผลิตมาจากเขตโปรเซคโก้ ที่ปลูกอยู่ในแคว้นเวเนโต (Veneto) เท่านั้น Prosecco เป็นชื่อหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในแคว้นนี้ และนิยมใช้องุ่นพันธุ์ เกลียร่า (Glera) ในการทำมากที่สุด

เริ่มต้นด้วย Sparkling Wine Otello Prosecco จากเมืองเทรวิโซ่ (Treviso) ตัวนี้ มีความ Balance ของรสชาติเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเสิร์ฟเย็นเจี๊ยบ 8-10 องศาเซลเซียส เนื้อไวน์ละมุนสีเหลืองฟางอ่อน (Pale Straw) แอลกอฮอล์ต่ำ 11% ดื่มง่าย มีความ Extra Dry (หวานกลางๆ) เด่นด้วยกลิ่นดอกไม้ป่า อัลมอนต์ และแอปเปิลเขียวชัดเจน จิบแล้วทิ้งความหอมหวานไว้ทั่วปาก และทิ้งรสขมนิดๆ ไว้ที่โคนลิ้น เหมาะกินคู่กับ Starters กุ้งหอยปูปลานานาชนิด ถือเป็นไวน์ที่ Body ไม่ Waxy พรายฟอง (Bubbles) เล็กๆ เบาๆ ซู่ซ่ากำลังดี จิบเพลินไวน์ทั้งหมดที่เสิร์ฟในคืนนี้มาจาก Arrigoni Wine Producer ที่มีชื่อเสียง และเก่าแก่กว่า 110 ปีแล้ว ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1913 ผลิตไวน์ต่อเนื่องกันมา 4 ชั่วอายุคน โดยเริ่มในแคว้นลิกูเรีย (Liguria) และทัสคานี (Tuscany) ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกองุ่นในแคว้นเวเนโต (Veneto) ด้วย ภูมิประเทศเป็นภูเขา เนินเขา สลับทุ่งหญ้า กลางวันแดดเจิดจ้า กลางคืนหนาว ช่วงเช้ามีหมอก นี่คือยูโทเปียในอุดมคติของการปลูกองุ่น (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)ไวน์ขาวและไวน์แดงที่เราได้ลิ้มลองในคืนนี้เป็นไวน์มาตรฐานสูง DOC และ DOCG ผลิตขึ้นจากไร่ Pietraserena Vinyard ของตระกูล Arrigoni ไร่ตั้งอยู่ใจกลาง เมืองซาน จิมิกนาโน่ (San Gimignano) จังหวัดเซียน่า (Siena) แคว้นทัสคานี เป็นเมืองโบราณสมัยยุคกลาง เป็นมรดกโลกของ UNESCO ด้วย เพราะยังมีหอคอยหินสูงเด่น และบ้านสไตล์โบราณ ล้อมรอบด้วยเนินเขาที่มีไร่ไวน์ทอดไกลออกไป โดยเฉพาะองุ่นพันธุ์ Vernaccia ถือเป็นพันธุ์เฉพาะถิ่นหายากของที่นี่ รำ่ลือกันว่าเป็นไวน์ขาวเนื้อสัมผัสนุ่มดุจแพรไหม! (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/) ไร่องุ่น Pietraserena คือพื้นที่หัวใจสำคัญของเมืองโบราณมรดกโลก San Gimignano (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)เมนูเรียกน้ำย่อยในวันนี้มีหลากหลาย ทั้งซุปมะเขือเทศช็อต, หอยแมลงภู่ดำอิตาเลียนอบชีส สไตล์ Viareggio, Tuscan Salami เกรดพรีเมียม, ขนมปังถั่วลูกไก่ ท็อปปิ้งด้วยซาลามี่หมู Colonnata, ขนมปัง Classic Brucetta เนื้อหนานุ่ม โรยหน้าด้วยมะเขือเทศซอยละเอียด คลุกเคล้าน้ำมันมะกอก กระเทียม และโหระพาอิตาเลียน ว่ากันว่า Tuscan Salami ที่เสิร์ฟในคืนนี้ เป็นหนึ่งในซาลามี่ดีที่สุดในอิตาลีเลยก็ว่าได้ ลองชิมแล้วเนื้อมีความนุ่มละมุน กลิ่นหอมขึ้นจมูก รสไม่เค็มจัด กินคู่กับไวน์ขาว Vigna del Sole มีความสุขใจทุกจิบเลยล่ะ ซุปมะเขือเทศในแก้วช็อต เสิร์ฟมาพร้อม หอยแมลงภู่ดำอิตาเลียนอบชีส สไตล์วิอาเร็กจิโอ้ (Viareggio) เมืองชายทะเลของแคว้นทัสคานี จิบ Vigna del Sole ตามเข้าไป เสริมรสชาติกันยอดเยี่ยม ทำให้นึกถึงน้ำทะเลสีฟ้าครามของที่นั่นไวน์ขาวอันโด่งดัง Vigna del Sole มาตรฐานสูงสุดระดับ DOCG ปี 2022 จากไร่ Pietraserena เมือง San Gimignano ผลิตจากองุ่นพันธุ์หายาก “เวอร์แน๊กเชีย” (Vernaccia) ซึ่งมีปลูกเฉพาะในแคว้นทัสคานีเท่านั้น เคยโด่งดังมากในช่วงศตวรรษที่ 13-14 เพราะเสิร์ฟขึ้นโต๊ะพระกระยาหารของกษัตริย์เท่านั้น กวีดังแห่งอิตาลี ดังเต้ (Dante) รวมถึงสถาปนิกชื่อก้องโลก มีเกลันเจโล (Michelangelo) ก็เคยกล่าวถึงองุ่นชนิดนี้ไว้เช่นกัน

Vigna del Sole เคยได้รับรางวัลจากการประกวดมากถึง 11 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1994-2017 ถือเป็น Boutique Wine ระดับเหรียญทองที่มี Character เฉพาะตัวมาก น้ำไวน์สีฟางเข้ม Medium Body ให้กลิ่นขนมปัง วานิลลา และอัลมอนด์ ชัดเจน ทิ้งความหอมหวานอมเปรี้ยวเพียงเล็กน้อยไว้ในปาก ถือว่ามีความผสมผสานลงตัว เหมาะดื่มกับ Starter จำพวก seafood ต่างๆ
คอร์สที่สองพิเศษมาก Ricotta Cheese Dumpling” ปั้นเป็นก้อนกลม กินคู่กับซอสครีมเห็ดทรัฟเฟิลฤดูร้อน น้ำซอสนุ่มนวล รสเค็มเพียงเล็กน้อย ความข้นมันกำลังดี ส่วนเนื้อรีคอตต้าชีสก็นุ่มละมุน ละลายในปากแบบไม่ต้องเคี้ยวเลย เป็นอาหารเบาๆ กินคู่กับไวน์แดง Poggio Al Vento ที่มีความเปรี้ยวนำ เสริมรสชาติกันเหมือนเนื้อคู่

Poggio Al Vento เป็นไวน์แดงชั้นเลิศระดับ DOCG ปี 2020 ผลิตจากองุ่นพันธุ์ ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ซึ่งเป็นองุ่นที่ปลูกมากที่สุดในแคว้นทัสคานีและอิตาลี ลักษณะเด่นคือมีความเปรี้ยวนำ (High Acidity) จึงสามารถคงรสชาติ และกลบความมันของพาสต้า ชีส หรือซอสมะเขือเทศ ในอาหารอิตาเลียนได้อย่างยอดเยี่ยม นอกจากนี้ Poggio Al Vento ยังเป็นไวน์แดงจำพวก “เคียนติ” (Chianti Wine) ซึ่งผลิตในพื้นที่พิเศษเรียกว่า “เคียนติ” ในแคว้นทอสคานา (อยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองฟลอเรนส์และเซียน่า) โดยแบ่งออกเป็น 7 sub-zone ใช้องุ่นพันธุ์ซานโจเวเซ่ผลิตไวน์แดงเป็นหลัก แบ่งระดับมาตรฐานตามระยะเวลาการบ่มหมัก (Aging Classification) คือ 2.5 ปี, 2 ปี, 1 ปี, 9 เดือน และ 6 เดือน ตามลำดับ ไวน์ที่ได้จึงมีราคาสูงต่ำและคุณภาพต่างกัน ไล่ตั้งแต่เลิศสุด Grand Seleczione, Riserva, Classico, Superior และ Chianti ธรรมดา
Ricotta Cheese Dumpling ตัวนี้แท้จริงก็คือ “เวย์ชีส” (Whey Cheese) ซึ่งก็คือน้ำที่เหลือจากการผลิตชีส เรียกว่า “Whey” เป็นตัวเดียวกับเวย์โปรตีนที่เอาไปสกัดเป็นผงชงให้นักกีฬาหรือคนป่วยกินนั่นล่ะ คำว่า “Ricotta” แปลว่า “Recooked” โดยครั้งแรกเอาชีสไปต้มให้เหลือ Whey แล้วเอา Whey ไปต้มอีกครั้ง จนได้ตะกอนนิ่ม กลายเป็น Fresh Cheese จำพวกเเดียวกับ Mozzarealla Cheese แต่เก็บได้นานกว่า เพราะมีการเติมเกลือ และส่วนใหญ่ก็เป็นโปรตีน ไม่มีครีม ความคึกคักของห้องอาหาร Ventizi กับ Pietraserena Tuscany Wine Dinner มาถึง Main Course ที่กินกับไวน์แดงได้อร่อยล้ำ “สตูแก้มเนื้อวัววากิว” ตุ๋นนานถึง 24 ชั่วโมง แบบ Slow Cook ราดซอสพริกไทยดำผสมไวน์แดงเคียนติ

ไวน์แดงที่ใช้แพริ่งกับเมนูนี้ต้องยกให้ Caulio, Chianti DOCG ปี 2018 อันโด่งดัง เคยได้รับรางวัลจากการประกวดไม่ต่ำกว่า 9 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993-2017 Blend จากองุ่น 3 สายพันธุ์ ทั้ง Sangiovese, Malvasia Nera และ Syrah ในสัดส่วนเหมาะเจาะลงตัว น้ำไวน์จึงมีสีทับทิมเข้มข้น Full Body หนักแน่น แต่มีความ Balance เป็นเลิศ แทนนินลื่นเหมือนแพรไหม รสชาติไม่ Fruity แอลกอฮอล์ 14% นุ่มลึกดี จิบแล้วทิ้งกลิ่นวานิลลาและผลไม้ป่าไว้ในปาก กินคู่กับสตูแก้มวัววากิวเนื้อนุ่ม ไวน์ยังทิ้งรสเปรี้ยวนิดๆ ไว้ที่โคนลิ้นด้วย เพราะมีองุ่นซานโจเวเซ่ผสมอยู่นั่นเอง
ก่อนกินก็ต้องราดซอสพริกไทยดำ ผสม Chianti Red Wine ซะก่อนปิดท้ายค่ำคืนแห่งความสุข กับเมนูของหวานโบราณจากเมืองฟลอเรสซ์ ซึ่งยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้ คือ “Zuccotto Fiorentino” เป็นเค้กเนื้อฟองน้ำนุ่มนิ่มรูปโดม ไส้ตรงกลางเป็นครีม ชีส Tiramisu หรือไอศกรีมรสชาติต่างๆ และ Ricotta ครีมช็อกโกแลต กินพร้อมผลไม้รสหวาน ว่ากันว่ารูปร่างโดมของเค้กนี้มาจากยอดโดม Florence Cathedral มหาวิหารหลักของเมืองฟลอเรนซ์ เค้กนี้กินคู่กับ Pompelmocello หรือน้ำองุ่นเปรี้ยวอมหวาน รสชาติคล้าย Limoncello ช่วยล้างความคาวออกจากปากได้หายเกลี้ยง
Mr.Nicolas Loreau, Director of Food & Beverage กล่าวขอบคุณแขกทุกท่านที่มาร่วมรับประทานอาหารและไวน์ชั้นเลิศในค่ำคืนนี้Chef Andrea Montella แห่งห้องอาหาร Ventizi กล่าวถึงอาหารอิตาเลียนสไตล์ทัสคานีที่เสิร์ฟในคืนนี้ และไวน์มาตรฐานสูงจาก Pietraserena Vinyard ของตระกูล Arrigoni อันเก่าแก่ นับเป็นการแพริ่งสุดวิเศษ และเราจะพบกันใหม่เร็วๆ นี้แน่นอนสนใจชิมไวน์ทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี และสั่งซื้อไวน์อิตาเลียนหายาก ติดต่อ Cafe’ Buongiorno Tel. 06-2494-1649 (คุณพิม)

Booking โต๊ะรับประทานอาหาร และชิม Italian Wine ชั้นเลิศได้ที่ โทร. 02-100-6255

Pizza, Pasta and More @Le Meridien Bangkok

โรงแรม Le Meridien Bangkok โรงแรมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะ ตั้งอยู่ในย่านสีลมอันคึกคักของกรุงเทพฯ ชวนนักชิมทุกท่านมาอร่อยกับ “Pizza, Pasta and More” อาหารบุฟเฟ่ต์นานาชาติแบบไม่อั้น All-You-Can-Eat ชวนน้ำลายสอ ที่ ห้องอาหาร Latest Recipe ได้แล้วตั้งแต่วันนี้

“Pizza, Pasta and More” ให้บริการตั้งแต่วันพุธ-อาทิตย์  แบบกินได้ไม่จำกัด นำเสนออาหารน่าทึ่งมากมายจากทั่วโลก เน้นความพิเศษของพิซซ่า พาสต้า ทาร์ทา ซุป และอีกหลากหลาย โดยเชฟประจำห้องอาหาร คัดสรรวัตถุดิบระดับพรีเมียม เช่น เห็ดทรัฟเฟิล ปลาแซลมอน และเนื้อปูแน่นๆ ปรุงตามสั่งที่สเตชั่นปรุงอาหารได้ตามต้องการ

Mr. Marco Cammarata / Executive Chef , Le Meridien Bangkok เชฟมากฝีมือชาวอิตาเลียน รังสรรค์ความอร่อยหลากเมนูให้ห้องอาหาร Latest Recipe

เริ่มต้นมื้อพิเศษแบบไม่อั้นที่ สลัดบาร์”  ซึ่งเต็มไปด้วยสีสันและผักสดกรอบ ต่อด้วย สเตชั่นทาร์ทา” ที่จัดขึ้นโดยเฉพาะ ให้เราเลือกรับประทานและปรุงในแบบที่ตัวเองชอบได้ มีทั้ง ทาร์ทาปลาแซลมอน ปลากะพง ปลาทูน่า เนื้อชั้นดี และไข่ออร์แกนิก รวมทั้ง Cold Cut” ที่มีให้เลือกหลายแบบ ชีส เครื่องเคียง และเครื่องผสมอีกมากมาย

ใครที่ชื่นชอบอาหารอิตาเลียนต้องตรงไปที่ สเตชั่นพาสต้า” ของเชฟ Marco โดยในแต่ละวันจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป เช่น ทากลิโอนีโฮมเมดกับหอยลาย เฟตตูชินีกับซอสเห็ดทรัฟเฟิลดำ และลิงกวินีฉู่ฉี่เนื้อปูทะเลสไตล์ไทย  หรือเราจะรังสรรค์ในแบบของตัวเองก็ได้ อีกมุมจะพบกับ พิซซ่าโฮมเมด” ทั้งหน้ามาร์เกอริต้า หน้าดิอาโวลา หน้าซีฟู้ดแบบไทย และอีกมากมาย  อีกมุมคือ “Friggitoria” ของทอดตามแบบฉบับดั้งเดิมของอิตาลี เชฟจะปรุงขนาดพอดีคำตามสั่ง เช่น ปูนิ่มทอดซิซิเลียน, อารันชินี ข้าวผสมเนื้อสับทอด, คาลามารีปลาหมึกทอด, หอยแมลงภู่ชุบแป้งทอด ฯลฯ

From Chef’s Pan อร่อยกับเมนคอร์สที่ปรุงสดๆ สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปไม่ซ้ำ อาทิ กราแตงปูอะลาสก้ากับมันฝรั่งและเนยกรุยแยร์ ซี่โครงแกะย่างกับโหระพาไทยและกระเทียม หอยแมลงภู่เดนมาร์กนึ่งซอสเนยไวน์ขาว หมูกรอบแบบไทย และอกเป็ดเคลือบซอส ฯลฯ

แน่นอน ทุกมื้อจบลงที่ของหวาน มีให้เลือกมากมาย อาทิ เค้กช็อกโกแล็ตลาวา ทีรามิสุ และเครมบรูเล่

Pizza, Pasta and More พร้อมน้ำเปล่า ราคาเพียง 722++ ต่อท่าน

อาหารค่ำ ทุกวันพุธ – วันเสาร์  เวลา 18:00 น. – 22:00 น.

อาหารกลางวัน ทุกวันอาทิตย์  เวลา 12:00 น. – 15:00 น.

สอบถามเพิ่มเติม และสำรองที่นั่ง โทร. 0-2232-8888

E-mail : service.lmbkk@lemeridien.com

Website :  http://www.lemeridienbangkoksurawong.com/

Facebook : https://www.facebook.com/LeMeridienBangkok/

Line : @lemeridienbangkok

สอบถามเพิ่มเติม ติดต่อ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด (ณัฐธินี พยุงวงค์) โทร. 0-2232-8826, 08-9145-5422

E-mail : nuttinee.payungwong@lemeridien.com

Beautiful Italian, Tempo Wine Event @Le Meridien Bangkok

Italy ประเทศในฝันของใครหลายคน เป็นดินแดนที่รุ่มรวยด้วยประวัติศาสตร์และอารยธรรมโบราณของอาณาจักร Roman งดงามด้วยธรรมชาติชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสีน้ำเงินครามเข้มข้น ที่สำคัญคือ Italy เป็นเจ้าพ่อแห่งการผลิตไวน์ชั้นเลิศของโลก ทั้ง 20 แคว้น มีองุ่นสายพันธุ์ท้องถิ่นที่ใช้ผลิตไวน์ขาวและแดง อยู่ไม่น้อยกว่า 350 สายพันธุ์เลย

ค่ำคืนนี้เรากำลังจะได้สัมผัสส่วนเสี้ยวหนึ่งของ Italian Wine ชั้นเลิศ 5 ตัว ที่ Cafe’ Buongiorno บริษัทนำเข้า Boutique Wine ร่วมกับ Tempo Barโรงแรม Le Meridien Bangkok จัดคอกเทลไวน์เทสติ้ง  “Beautiful Italian” เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2023
Tempo Bar ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ของโรงแรม Le Meridien Bangkok ตกแต่งบรรยากาศหรูเรียบ เหมาะมาพบปะสังสรรค์กันในบรรยากาศเป็นกันเอง ตั้งแต่เวลา 17.00-23.00 น. พร้อมเสิร์ฟอาหารฟิวชั่น และไวน์คุณภาพเยี่ยมในแบบ Sommelier Selection ที่ใครๆ ก็ติดใจ (Contact 0-2232-8888, 0-2232-8999)
ขอบอกว่าแสงสียามค่ำคืนที่ Tempo Bar สวยงาม จับตาจับใจมาก
Mr. Dieter Ruckernbauer / General Manager, Le Meridien Bangkok ยินดีต้อนรับทุกท่าน
Mr. Marco Cammarata / Executive Chef , Le Meridien Bangkok เชฟมากฝีมือชาวอิตาเลียนแท้  รังสรรค์ความอร่อยหลากเมนูอย่างใส่ใจ ให้แขกผู้มาเยือน
คุณ Waraporn Viyanut / Senior Bartender ของ Tempo Bar คอยดูแลอาหารและเครื่องดื่มตามสไตล์ที่คุณต้องการ
คุณ Thanawan Sawangsub (Mind), Food & Beverage Manager / คุณ Nuttinee Payungwong (Tik), Marketing Communications Manager / คุณ Waraporn Viyanut, Senior Bartender Tempo Bar
Mr. Akarawit Jintanakarn / Director of Food & Beverage, Le Meridien Bangkok เตรียมอาหารและเครื่องดื่มชั้นเลิศ ไว้บริการทุกท่านอาหารชั้นเลิศ ก็ต้องคู่กับ Italian Wine ชั้นยอด
DJ เปิดเพลงสนุกสนาน สร้างบรรยากาศเพลิดเพลิน น่าจดจำที่ Tempo Bar
Mr. Akarawit Jintanakarn, Director of Food & Beverage กล่าวต้อนรับ และพูดถึง Italian Wine ทั้ง 5 ตัว ซึ่งนำเข้าโดย Cafe’ Buongiorno บริษัท Wine Importer ที่มีชื่อเสียง ทำให้เราได้สัมผัสไวน์สายพันธุ์หายากจากภูมิภาคต่างๆ ของอิตาลีไวน์ชั้นเลิศทั้ง 5 ตัวในคืนนี้ ผลิตขึ้นอย่างพิถีพิถันโดย ARRIGONI Vineyard ซึ่งทำไวน์ต่อเนื่องกันมา 4 ชั่วอายุคนแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1913 ปัจจุบันจึงมีความเก่าแก่ถึง 110 ปี ไร่องุ่นส่วนใหญ่ของเขาตั้งอยู่ในพื้นที่ World Heritage Site ของ UNESCO ด้วย (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)เรียกน้ำย่อยและสร้างความสดชื่นด้วย Sparkling Wine ตัวแรก Otello Prosecco” มาตรฐานสูงระดับ DOC มีความ Extra Dry คือหวานกลางๆ แต่ยังคงความสดชื่นหอมหวานโดดเด่นของกลิ่น Green Apple ผสานกลิ่นอัลมอนด์ และดอกไม้สีขาว เหมาะเสิร์ฟเย็นฉ่ำที่อุณหภูมิ 8-11 องศาเซลเซียส จึงสัมผัสได้ถึงความ peak ของกลิ่น รส และเนื้อสัมผัสนุ่มลื่นที่แท้จริง เนื้อไวน์สีฟางอ่อน (Pale Straw) และมีพรายฟองเล็กละเอียดน่ารักดี เหมาะรับประทานคู่กับเมนูปลา หรือ seafood

Otello Processo ผลิตที่ เมืองเทรวิโซ่ (Treviso) แคว้นเวเนโต้ (Veneto) ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี ซึ่งอากาศเย็น ภูมิประเทศเป็นหุบเขา โดยผลิตขึ้นจากองุ่นพันธุ์ เกลียร่า (Glera) ซึ่งเหมาะในการทำ Prosecco ที่สุดOtello Prosecco แพริ่งกันได้ดีกับ “ซิกเคติ” (Cicchetti) อาหารอิตาเลียนสไตล์ภาคเหนือของชาวเวเนเชียน “ซิกเคติ” แปลว่า “อาหารจานเล็ก” หรืออาหารที่เสิร์ฟมาเป็นคำเล็กๆ และยังหมายถึง “อาหารทานเล่น” หรือ “อาหารว่าง” ได้ด้วย ซิกเคติคืนนี้มีส่วนผสมหลักของปูม้า กับปลา Crostini’s Whisked Cod และน้ำมันมะกอกอย่างดี กัดคำนึง จิบ Otello Prosecco อึกนึง ช่วยเสริมรสชาติกันได้ยอดเยี่ยมเพิ่มดีกรีความสนุกกับ “MANON” ไวน์ขาวอันโด่งดังจาก แคว้นเวเนเซีย (Venezia) ผลิตที่เขตฟริอูลี (Friuli) ทางภาคเหนือของอิตาลี โดยใช้องุ่นพันธุ์ ปินอต กริจิโอ (Pinot Grigio /กลายพันธุ์มากจาก Pinot Noir) ซึ่งถือเป็น ปินอต กริจิโอ ที่ดีที่สุดของอิตาลีเลยทีเดียว ตัวนี้มาตรฐานสูงระดับ DOC ให้สีฟางอ่อน แต่กระทบแสงเป็นประกายสีทอง ตัวไวน์มีความ balance ยอดเยี่ยม ของความ Full Body กลิ่นผลไม้หอมเข้มข้น รสชาติหวานน้อย เปรี้ยวน้อย และแทบไม่ติดขมเลยเมื่อกลืนไปแล้ว ทิ้งความหอมหวานชื่นใจไว้ในปาก เหมาะรับประทานคู่กับเนื้อสีขาวอย่างปลา ไก่ หอย และ seafood เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 10-12 องศาเซลเซียส ยอดเยี่ยมที่สุดMANON Pinot Grigio เหมาะแพริ่งกับ “เซวิเช่ มิกซโต้” (Ceviche Mixto) ซึ่งมีส่วนผสมลงตัวของปลากะพง, มันเทศหวาน, เมล็ดข้าวโพด คลุกเคล้าด้วยซอส Coconut Lime เผ็ดนิดๆ ชิมแล้วให้ความละมุนลิ้น กลิ่นไม่แรง ชอบเลยครับ
เข้าสู่โหมด Red Wine ชื่อดังของโลกจาก เกาะซิซิลี (Sicily / คนอิตาเลียนเรียก “ซิซิเลีย”) SIMON B” มาตรฐานระดับ  IGT ซึ่งใช้องุ่นพันธุ์หายาก เนโร ดาโวล่า (Nero D’Avola) มาบ่มหมักอย่างใส่ใจ องุ่นแดงพันธุ์นี้มีปลูกเฉพาะที่เกาะซิซิลีเท่านั้น Character มีความ Full Body กลิ่นรสเทียบเท่าองุ่นพันธุ์คาเบอร์เน่ต์ โซวิญอง (Carbernet Sauvignon) จากแคว้นบอร์โด (Bordeaux) ของฝรั่งเศสเลยทีเดียว แต่ทิ้งความ Fruity ไว้ในปากมากกว่า น้ำไวน์สีทับทิมอมแดงเข้มข้น แทนนินนุ่มลื่น เปรี้ยวน้อย มีกลิ่น Blueberry ชัดเจน เหมาะรับประทานคู่กับเนื้อสีแดง เนื้อย่าง สเต็กเนื้อ ซี่โครงแกะย่าง รวมถึง Risotto (ข้าวผัดครีมข้นอิตาเลียน) เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 16-18 องศาเซลเซียส เริ่ดสุด

ชื่อ Nero D’Avola มาจากคำว่า “Nero” แปลว่า “สีดำ” ของผลองุ่นเมื่อแก่เต็มที่เปลือกจะกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ และ “Avola” เป็นชื่อหมู่บ้านทางชายฝั่งตะวันออกของเกาะซิซิลี ซึ่งองุ่นพันธุ์นี้ถือกำเนิดขึ้นมา Nero D’Avola จึงได้สมญามากมาย เช่น สิงห์ดำแห่งซิซิลี และองุ่นดำแห่งหมู่บ้านอะโวล่า นอกจากนี้ยังได้ฉายาว่า “The Godfather Wine” เพราะถูกนำไปโยงกับหนังเรื่อง The Godfather ของตระกูลคอร์เลโอเน่แห่งซิซิลีด้วย

จริงๆ แล้วซิซิลียังมีไวน์ดีๆ ให้ชิมอีกเพียบ ไวน์แดงยังมี Nerello Mascalese, Perricone และ Frappato ส่วนไวน์ขาวที่ห้ามพลาด เช่น Catarratto, Carricante, Insolia และ Grillo นอกจากนี้ยังมี Marsala Wine ซึ่งเป็นไวน์ปรุงแต่ง (Fortified Wine) ที่เติมแอลกอฮอล์ปริมาณสูง และค่อนข้างหอมหวาน ปกตินิยมจิบเป็นแก้วเล็กๆ จบมื้ออาหาร และเชฟทั่วโลกชอบนำไปใช้ปรุงอาหารในครัว

SIMON B Nero D’Avola แพร่ิงได้ยอดเยี่มกับ “อารันชินี่” (Arancini) คือข้าวรีซอสโตปั้นเป็นก้อน คลุกเคล้าเกล็ดขนมปัง นำไปทอด สอดไส้ด้วยเนื้อวัวตุ๋น, ถั่วพิสตาชิโอบดละเอียด ผสมกับชีสอร่อยๆ อย่าง Stracciatella Espuma ที่นิยมรับประทานกันในภาคใต้สุดของอิตาลี
เดินทางจากภาคใต้ของอิตาลี ขึ้นมาตรงรอยต่อภาคเหนือ-ภาคกลาง ณ “แคว้นทอสคานา” (Toscana หรือ ทัสคานี / Tuscany) แคว้นใหญ่ชายฝั่งตะวันตก ที่ได้รับลมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งปี กอปรกับมีภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับหุบเขา กลางวันร้อน กลางคืนหนาว เช้ามีหมอก จึงกลายเป็นยูโทเปียของการผลิตไวน์ชื่อก้องโลก

คืนนี้เราได้จิบไวน์แดง “Pietraserena In NERO” มาตรฐาน IGT ผลิตจากองุ่นพันธุ์ “เวอร์เมนติโน่ เนโร” (Vermentino Nero) ซึ่งเคยเกือบจะสูญพันธุ์ไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเพิ่งได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาจนแพร่หลายอีกครั้ง ไวน์ตัวนี้ผลิตที่ เมืองซาน จิมิกนาโน (San gimignano) ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นเนินเขา และดินมีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ เนื้อไวน์สีแดงทับทิม (Red Ruby) ค่อนไปทางสีแดงโกเมน (Garnet) เนื้อไวน์ Full Body ให้รสกลิ่นไม่ซับซ้อน ไม่หวาน แทนนินนุ่มลื่นกำลังดี เข้ากันได้ยอดเยี่ยมกับพวก Cold Meat อย่างไส้กรอก, Tuscan Pasta และพิซซ่า
คืนนี้ Pietraserena In NERO นำมาแพริ่งกับ “Pork Belly” หรือหมูสามชั้น เสิร์ฟไซต์เล็กๆ พอดีคำ โดยเชฟนำหมูสามชั้นไปทำให้สุกช้าๆ แบบ Slow-cooked นานถึง 12 ชั่วโมง ร่วมกับ Red Wine Pear แต่งกลิ่นรสเพิ่มด้วยกระเทียม และใบโหระพาอิตาเลียน จิบไวน์แดงเข้าไปก่อนนิดนึง แล้วกิน Pork Belly ตาม รสชาติเปลี่ยนไปบนลิ้น นับว่าแปลกดี ยกนิ้วให้มาถึงพระเอกของค่ำคืนนี้คือ “Poggio Al Vento” ไวน์แดงมาตรฐานสูงระดับ Chianti Colli Sensi, DOCG ซึ่งเคยได้รับรางวัลจากการประกวดมาแล้วกว่า 10 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995-2017 ไวน์แดงชั้นเลิศของแคว้นทอสคานาตัวนี้ ผลิตจากองุ่น “ซานโจเวเซ่” (Sangiovese) เพียวๆ ถือเป็นพันธุ์องุ่นที่ปลูกมากที่สุดในอิตาลี เป็นองุ่นพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของทอสคานา และได้ฉายาว่า “โลหิตแห่งพระเจ้า” (The Blood of God) ด้วยเนื้อไวน์สีแดงทับทิมเข้มข้น ฉายานี้ตั้งเป็นเกียรติแด่เทพเจ้าแห่งสายฟ้า (Zeus) หรือที่คนกรีกและโรมันเรียกว่า Jupiter หรือ Jove นั่นเอง Sangiovese เป็นองุ่นที่เกิดมาเพื่ออาหารอิตาเลียนโดยแท้ เพราะมี Acidity (ความเปรี้ยว) ค่อนข้างมาก จึงกลบความเลี่ยนของชีส พาสต้า รวมถึงเป็นไวน์ไม่กี่ชนิดที่รสชาติยังคงอยู่ เมื่อรับประทานคู่กับอาหารที่มี Tomato Sauce

Character ของไวน์แดงตัวนี้ มีกลิ่นหอมหวาน ของ Blackberry ชัดเจนมาก ร่วมกับกลิ่น Raspberry, วานิลลา, อัลมอนด์, ดอกไวโอเล็ต น้ำไวน์มีรสนุ่มลื่นราวแพรไหมเมื่อสัมผัสลิ้น กลิ่นรสซับซ้อนมาก เกิดจากการบ่มหมักเป็นเวลานานก่อนบรรจุขวด ตามข้อกำหนดเคร่งครัดของไวน์ระดับ Chianti DOCG คือ 2.5 ปี, 2 ปี, 1 ปี, 9 เดือน และ 6 เดือน หากจะลิ้มลอง Sangiovese ที่ดีที่สุด ต้องมาจากเขต Chianti ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเมือง Florence และ Siena ครับ“Poggio Al Vento Sangiovese” นำมาแพริ่งได้ยอดเยี่ยมกับ “ทาลิอาตะ” (Tagliata) หรือเนื้อวัวย่าง Medium-Rare สไตล์อิตาเลียน สไลด์เป็นชิ้นบางๆ โดยเชฟใช้เนื้อเซอร์ลอยน์สันนอก กินคู่กับแตงซูกินีย่าง มะเขือเทศ ราดซอสบัลซามิคมะกอกดำ นับว่ารสชาติเข้าคู่กับไวน์แดงขวดนี้อย่างยอดเยี่ยมสุดๆ ราวฟ้าประทานเลยเชียว!นอกจากไวน์ทั้ง 5 ตัวดังกล่าวแล้ว ที่ Tempo Bar ของโรงแรม Le Meridien Bangkok ยังมีเครื่องดื่มพิเศษอีกชนิดให้ลิ้มลอง คือ “ไวน์อุ่น” (Mulled Wine) ซึ่งแถบยุโรปนิยมดื่มกันในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ไวน์อุ่นมีประวัติย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 14 เลย ยุคนั้นมีเฉพาะพวกขุนนางชั้นสูงที่ดื่มกัน โดยบ่มหมักไวน์อุ่นในถังไม้เคลือบทองคำ ผสมด้วย ส้ม, น้ำตาล, อบเชย, กานพลู, วานิลลา เพื่อให้เกิดรสชาติกลมกล่อม ภายหลังสามัญชนได้ทดลองนำไวน์อุ่นที่เสื่อมสภาพแล้วมาปรุงใหม่ จนเป็นที่แพร่หลาย ปัจจุบันพบไวน์อุ่นได้ในหลายประเทศ อาทิ อิตาลี, เยอรมนี, สวิตเซอร์แลนด์, ชิลี, ฝรั่งเศส, สวีเดน และโรมาเนีย เป็นต้น
หากใครชอบกินไอศกรีม ลองแวะเข้าไปที่ โรงแรม Le Meridien Bangkok ชั้นล่างมี Italian Gelato อร่อยๆ ของ Cafe’ Buongiornoให้ชิมด้วย เป็นเจลาโต้ที่ผลิตขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญชาวอิตาเลียนแท้ๆ มีหลายสิบรสให้ชิม ราคาก็ไม่แพง แค่แท่งละ 90 บาทเท่านั้น ถ้านึกไม่ออกว่าจะชิมรสอะไร แนะนำ Dark Chocolate ครับสนใจชิมไวน์ทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี และสั่งซื้อไวน์อิตาเลียนหายาก ติดต่อ Cafe’ Buongiorno 

Tel. 06-2494-1649 (คุณพิม)

Arrigoni & Trappolini Wine Dinner @Ventisi Bangkok 2023

ในโลกของคนรักไวน์ การมีโอกาสชิมไวน์แปลกใหม่ในบรรยากาศดีๆ มีเพื่อนฝูงที่รู้ใจร่วมโต๊ะด้วย คือความสุขที่ยากจะอธิบาย วันนี้เป็นอีกครั้งที่เราได้มาพบปะสังสรรค์กัน โดยมี Cafe’ Buongiorno บริษัทนำเข้า Boutique Wine ชั้นเลิศจากอิตาลี ร่วมกับ ห้องอาหารอิตาเลียน Ventisi ชั้น 24 โรงแรม Centara Grand Central World จัดค่ำคืน Dinner สุดพิเศษ เสิร์ฟ Premium Italian Wine จาก 2 ไวเนอร์รี่ระดับตำนาน คือ Arrigoni และ Trappolini นับเป็นซีรี่ส์ที่ 18 ของห้องอาหาร Ventisi แล้ว ที่นำไวน์จากแคว้นต่างๆ ของอิตาลีมาให้เราได้ลิ้มลองไวน์ 4 Labels ในคืนนี้ : 2 ตัวแรกเป็น Sparkling Wine (Prosecco) และ White Wine จากภาคเหนือของอิตาลี  ซึ่งมีอากาศเย็น ในแคว้นเวเนโต (Veneto) และแคว้นเวเนเซีย (Venezia) เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเริ่มต้นมื้ออาหาร จากนั้น Red Wine 2 ตัว มาจากภาคกลางของอิตาลี ในแคว้นลาซิโอ (Lazio) ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุงโรม และแคว้นอุมเบรีย (Umbria) ที่มีภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนอันอบอุ่น และมีแร่ธาตุดินภูเขาไฟอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีแหล่งมรดกโลก UNESCO World Heritage Site จำนวนมากอีกด้วย
ยินดีต้อนรับสู่ห้องอาหาร Ventisi (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)
บรรยากาศเปี่ยมความสุข พร้อมบริการระดับห้าดาว ที่ห้องอาหาร Ventisi (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)Cooking Corner ของห้องอาหาร Ventisi (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)มอบความสุขให้ตัวเอง ด้วยไวน์อิตาเลียนชั้นเลิศ และวิวพาโนรามากรุงเทพฯ ยามเย็น (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)วิวหลักล้าน ดูพระอาทิตย์ตกใจกลางกรุง จากห้องอาหาร Ventisi ชั้น 24 Centara Grand Central World
มุมดินเนอร์สุดโรแมนติก ที่ Ventisi (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)Chef Andrea Montella ชาวอิตาเลียน ผู้มากประสบการณ์ พร้อมทีมงานห้องอาหาร Ventisi มารังสรรค์อาหารอิตาเลียนแท้ให้ชิมในค่ำคืนนี้เมนูวันนี้มี 4 คอร์ส พร้อมด้วยไวน์ระดับพรีเมี่ยม จากภาคเหนือและภาคกลางของอิตาลีเริ่มต้นเรียกน้ำย่อยด้วย ขนมปังฟอคคาเซีย” (Focaccia) เนื้อนุ่มหนึบ กลิ่นหอมแป้งสาลีผสมน้ำมันมะกอก เป็นขนมปังคู่บ้านคนอิตาเลียน ที่กินเมื่อไหร่ก็อร่อย มีเครื่องเคียงเป็นซอสถั่ว และมะเขือเทศคลุกน้ำมันมะกอก กินคู่กับ Sparkling Wine ชั้นเลิศจากทางภาคเหนือของอิตาลี Otello Prosecco DOC ของ Arrigoni Vineyard ซึ่งเป็น Wine Producer ที่เก่าแก่และมีชื่อเสียง นับอายุย้อนไปได้ถึงปี ค.ศ. 1913 การจะเรียกไวน์ตัวใดว่าเป็น “โปรเซคโก้” (Prosecco Wine) ได้อย่างแท้จริง ต้องผลิตมาจากเขตโปรเซคโก้ ที่ปลูกอยู่ในแคว้นเวเนโต (Veneto) หรือ แคว้นฟริอูลิ เวเนเซีย จูเลีย (Friuli Venezia Giulia) เท่านั้น ซึ่ง Prosecco เป็นชื่อหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในแคว้นนี้ และนิยมใช้องุ่นพันธุ์ เกลียร่า (Glera) ในการทำมากที่สุด

โปรเซคโก้จากเมืองเทรวิโซ่ (Treviso) ตัวนี้ มีความ Balance ของรสชาติเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเสิร์ฟเย็นเจี๊ยบราวๆ 8-10 องศาเซลเซียส เนื้อไวน์ละมุนสีเหลืองฟางอ่อน (Pale Straw) แอลกอฮอล์ต่ำ 11 เปอร์เซนต์ Body นุ่มลึก มีความ Extra Dry (หวานกลางๆ) เด่นด้วยกลิ่นดอกไม้ป่า อัลมอนต์ และแอปเปิลเขียวชัดเจน จิบแล้วทิ้งความหอมหวานไว้ทั่วปาก และทิ้งรสขมนิดๆ ไว้ที่โคนลิ้น เหมาะกินคู่กับ Starters และกุ้งหอยปูปลานานาชนิด ถือเป็นไวน์ที่ Body ไม่ Waxy เกินไป พรายฟอง (Bubbles) เล็กๆ เบาๆ ซู่ซ่ากำลังดี จิบเพลิน Arrigoni Vineyard  เป็น Wine Producer ที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่กว่า 110 ปีแล้ว ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1913 ผลิตไวน์ต่อเนื่องกันมา 4 ชั่วอายุคน โดยเริ่มในแคว้นลิกูเรีย (Liguria) และทัสคานี (Tuscany) ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกองุ่นในแคว้นเวเนโต (Veneto) ด้วย ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับไวน์ขาวชั้นเลิศ เพราะอากาศเย็น อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำ พื้นที่เป็นภูเขา เนินเขา สลับทุ่งหญ้า กลางวันแดดเจิดจ้า กลางคืนหนาว ช่วงเช้ามีหมอก นี่คือยูโทเปียในอุดมคติของการปลูกองุ่น (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1913 ครอบครัว Arrigoni ใช้ความหลงใหลในการทำไวน์ สร้าง Vineyard ขึ้นในดินแดนภาคเหนือของอิตาลี  ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสร์ ธรรมชาติ และมีแหล่ง UNESCO World Heritage Site มากมาย อาทิ Botanical Garden (Orto Botanico), City of Verona, City of Vicenza, Venice และ Padua’s Fresco Cycle เป็นต้น (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)ดินและหินของแคว้น Veneto อุดมด้วยแร่ธาตุที่เหมาะต่อการเจริญงอกงามขององุ่น อีกทั้งช่วยให้ไวน์มีรสชาติพิเศษตามแบบฉบับภาคเหนือ (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)นอกจาก Prosecco และ White Wine ชั้นเลิศแล้ว Arrigoni Vineyard ยังมีไวน์อีกหลาย Categoriesให้เลือกชิม เช่น Vermentino Colli di Luni, Chianti Colli Senesi, Cinqueterre e Cinqueterre Sciacchetrà, Vernaccia di San Gimignano, Brunello di Montalcino, Morellino di Scansano, Vinsanto del Chianti เป็นต้น (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)Starter Menu แสนอร่อยสไตล์อุมเบรีย (Umbria) ทางภาคกลางของอิตาลี ประกอบด้วยซุปถั่ว Lentil เนื้อข้น เสิร์ฟแบบร้อนในแก้วช๊อต กินคู่กับแป้งทอดไส้ชีส / มะเขือยาวผัดกับมะเขือเทศ ในสไตล์คล้ายราตาตูย (Ratatouille) วางทับบนขนมปัง / ซาลามี่เกรดพรีเมี่ยมนำเข้าจากอิตาลี หั่นบางๆ กินคู่กับแตงกวาดอง รสเค็มกำลังดี / หอยแมลงภู่ดำ (Black Mussel) จากอิตาลี ผัดซอสรสเปรี้ยวนิดๆ ทั้งหมดกินคู่กับไวน์ขาวชั้นเลิศ Manon Friuli DOC ปี 2021Arrigoni Manon Friuli DOC ปี 2021 แอลกอฮอล์ 12.5 เปอร์เซนต์ เป็นไวน์ขาวชั้นสูง ที่ผลิตโดยควบคุมคุณภาพเข้มงวด ในพื้นที่เฉพาะ และใช้องุ่นพันธุ์ท้องถิ่นของอิตาลีเท่านั้น คือพันธุ์ “ปินอต กริจิโอ้” (Pinot Grigio) ซึ่งเป็นการกลายพันธุ์ย่อยขององุ่น Pinot Noir นั่นเอง และในบางพื้นที่ก็เรียกว่า Pinot Gris ด้วย องุ่นปินอต กริจิโอ้ ได้ชื่อภาษาอิตาเลียนมาจากคำว่า “กรวยสีเทา” เพราะผลออกเป็นพวงรูปกรวยสีเทา หรือม่วงอมเทาเข้มห้อยระย้า

องุ่นพันธุ์ Pinot Grigio ปรากฏชื่อครั้งแรกเมื่อศตวรรษที่ 13 ในแคว้นเบอร์กันดี (Burgundy) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส จากนั้นค่อยๆ แพร่เข้าสู่เยอรมนี ฮังการี สวิตเซอร์แลนด์ และทางภาคเหนือของอิตาลี ตัวที่เราได้ชิมในคืนนี้ผลิตจาก เมืองฟริอูลี” (Friuli) ซึ่งถือเป็นปิโนต์ กริโจ้ ที่ดีที่สุดของอิตาลีเลยทีเดียว ไวน์ขาวตัวนี้เป็นสีฟางอ่อน (Pale Straw) แต่มีความวาวสะท้อนแสงเป็นสีทอง จิบแล้วให้กลิ่นผลไม้เข้มข้น หอมหวนติดจมูก เนื้อไวน์ Full Body รสชาติซับซ้อนนุ่มลึก มีสมดุลระหว่างความหวานน้อยนิด (Low Sweetness) กับความเปรี้ยวน้อย (Low Acidity) ที่ยอดเยี่ยม เสิร์ฟอุณหภูมิ 10-12 องศาเซลเซียส เหมาะกินคู่กับ Straters Set นี้ที่สุดเรียกน้ำย่อยด้วย มะเขือยาวผัดกับมะเขือเทศ ในสไตล์คล้ายราตาตูย (Ratatouille) วางทับบนขนมปัง / ซาลามี่เกรดพรีเมี่ยมนำเข้าจากอิตาลี หั่นบางๆ กินคู่กับแตงกวาดอง รสเค็มกำลังดี ซุปถั่ว Lentil เนื้อข้น เสิร์ฟแบบร้อนในแก้วช๊อต กินคู่กับแป้งทอดไส้ชีส เรียกน้ำย่อยได้ดีจังหอยแมลงภู่ดำ (Black Mussel) จากอิตาลี ผัดซอสรสเปรี้ยวนิดๆ จิบไวน์ขาวตาม เสริมรสชาติกันได้ยอดเยี่ยมเชฟใส่ใจทุกรายละเอียดของการปรุง และตกแต่ง ก่อนยกมาเสิร์ฟจานแรกวันนี้คือ Pasta Strozzapreti ผัดกับไส้กรอกอิตาเลียน และเห็ด Black Truffle ความพิเศษคือเส้น Homemade Italian Pasta ในสไตล์ เส้นฟูซิลลี่ (Fusilli Pasta) บิดเกลียว และมีความยาวมากกว่าปกติ ชิมแล้วรสชาติลงตัว ไม่เค็มจัดเกินไป ยิ่งได้จิบไวน์แดงตาม ก็ยิ่งชูรสพาสต้าให้อร่อยล้ำขึ้นอีกหลายเท่า

เส้น Fusilli Homemade Pasta ที่ยาวและบิดเกลียวสวยเป็นพิเศษ ยิ่งทำให้หน้าตาจานนี้น่ากินขึ้นมาก เนื้อไส้กรอกบดก็เคี้ยวง่าย โรยหน้าด้วยพาร์เมซานชีสอย่างดีตามสไตล์อิตาเลียนแท้ไวน์แดงชั้นเลิศที่เหมาะกินคู่กับ Pasta จานนี้คือ Trappolini IL Piccolo IGP ปี 2016 ผลิตที่แคว้นอุมเบรีย (Umbria) ฉายา “The Green Heart of Italy” เพราะอยู่ตอนกลางของอิตาลีพอดี แถบนี้ไม่มีทางออกทะเลในลักษณะ Land Lock จึงเต็มไปด้วยภูเขาสลับลาดเนิน ดินภูเขาไฟอุดมแร่ธาตุ และอยู่ใกล้ภูเขาพีเกลีย (Peglia Mountain) ด้วย จึงมีภูมิอากาศที่จำเพาะเป็นของตัวเอง (Micro-Climate) ในหุบเขาต่างๆ ซึ่งต้นองุ่นชอบมาก

Red Wine ตัวนี้ผลิตขึ้นจากองุ่นพันธุ์ “ชีราส” (Shiraz) หรือจะอ่านว่า “ซีราห์” (Syrah) ก็ได้ องุ่นพันธุ์นี้เก่าแก่ย้อนไปได้ถึงยุคกรีกโรมัน ต้นกำเนิดจากแคว้นโรน (Rhone) ของฝรั่งเศส เป็นการผสมกันของ 2 พันธุ์องุ่นโบราณ คือ Dureza สีแดงเข้ม เเละ Mondeuse Blanche สีขาว ผลที่ได้คือองุ่นแดงที่ให้น้ำไวน์สีทับทิมเข้มข้น รส กลิ่น มีเครื่องเทศจัดจ้าน แทนนินฝาดชัดเจน และค่อนข้างจะเปรี้ยวมาก ข้อดีคือเหมาะจะเก็บไว้นานๆ (Ageing) นอกจากนี้ยังเหมาะกินกับเนื้อสัตว์สีแดง และไวน์ก็ช่วยลดความเลี่ยนของชีสและพาสต้าได้ดีมากRed Wine ตัวนี้เป็น Single Syrah 100% ให้สีทับทิมเข้มงดงามน่าหลงใหล (Deep Ruby) กลิ่นหอมไม้โอ๊คจากการบ่มหมัก มีกลิ่นดินนิดๆ (Earthy) รวมถึงได้กลิ่นผลไม้รสหวานเข้มข้น เมื่อจิบแล้วไม่บาดคอ มีความสมดุล ลุ่มลึก เนื้อสัมผัส Full Body ดีมาก เป็น Old World Syrah ที่แทนนิน Smooth นุ่มลื่น ความเปรี้ยว (Acidity) ต่ำ และกลิ่นรสเครื่องเทศไม่จัด จิบเพลิน ต่างกับ New World Syrah ที่รสค่อนข้างแรง บาดคอ และมีกลิ่นเครื่องเทศจัดจ้านร้อนแรง ไวน์ตัวนี้เสิร์ฟที่ประมาณ 18 องศาเซลเซียส กลิ่นรสจะ Peak มาก
IL Piccolo IGP ผลิตขึ้นโดยตระกูล Trappolini ซึ่งทำไวน์ติดต่อกันมา 3 ชั่วอายุคนแล้ว พวกเขาสร้าง Vineyard ชื่อเดียวกันขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1961 นอกจากไวน์แดงชั้นเลิศ ยังผลิตไวน์ขาวชั้นยอดได้ด้วย ไร่องุ่นอยู่ในแคว้นอุมเบรีย (Umbria) และแคว้นลาซิโอ (Lazio) มีดินภูเขาไฟอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำไทเบอร์ (Tiber River) และเทือกเขาแอเพนไนน์ (Apennines) เรียกว่าธรรมชาติให้ทรัพยากรมาดี ก็ใช้ผลิตไวน์ได้ชื่อเสียงโด่งดัง (Thank you for picture from www.trappolini.com)จิบไวน์ให้อารมณ์ดี พูดคุยสรวนเสเฮฮากัน (ขอบคุณภาพจาก คุณสุเทพ ช่วยปัญญา www.thewaynews.com)เชฟช่วยกันรังสรรค์ Main Course อย่างตั้งอกตั้งใจMain Course พระเอกในวันนี้คือ Traditional Lamb Abbacchio Roman Style หรือเนื้อลูกแกะ ปรุงตามแบบฉบับดั้งเดิมของกรุงโรม เข้ากันได้ดีกับไวน์แดงจากภูมิภาคเดียวกัน

จานนี้ใช้ Baby Lamb ของฝรั่งเศส เฉพาะส่วนขา ตุ๋นเล็กน้อย แล้วนำไปซูวี (Sous Vide – การทำให้อาหารสุกช้าๆในน้ำที่อุณหภูมิไม่ถึงจุดเดือด เพื่อไม่ทำให้วัตถุดิบแข็งหรือเหนียวเกินไป ส่วนใหญ่ใช้อุณหภูมิ 50-70 องศาเซลเซียส) เสร็จแล้วใส่เตาอบ เพื่อให้รสและเนื้อสัมผัสมีความ balance ยิ่งขึ้น จากนั้นเลาะกระดูกออก หั่นเอาเฉพาะส่วนเนื้อล้วนให้สวย เนื้อลูกแกะที่เสิร์ฟในหนึ่งจาน จะมีทั้งส่วนเนื้อต้นขาและปลายขา จึงมีทั้งชิ้นใหญ่และเล็กอย่างพิถีพิถัน ราดซอสเกรวี่ Red Wine เคี่ยวกับน้ำสต็อก โดยนำเนื้อทั้งหมดมาตุ๋นแบบ Long Cooking ให้เนื้อเปื่อย และซึมซับความหอมของหัวหอม โรสแมรี่ เซเลอรี่ คั้นเอาเฉพาะน้ำอย่างเดียวไปเคี่ยวกับ Red Wine จนได้ซอสที่ Unique มาก!

Baby Lamb เนื้อนุ่มๆ กินคู่กับมันฝรั่งสูตรพิเศษ โดยหั่นมันฝรั่งเป็นแผ่นบางๆ นำมาซ้อนกันเป็นชั้นๆ กดให้แน่น แช่เย็นไว้ จากนั้นนำออกมาเซียร์ (Searing – การทำให้ผิวอาหารด้านนอกสุกโดยใช้ไฟแรง จนผิวค่อนข้างแข็ง เป็นสีน้ำตาล แต่เนื้อด้านในยังนุ่มละมุนลิ้น) โรยเกลือ พริกไทย เมื่อลองเคี้ยวจะสัมผัสได้ถึงความหอมของมันฝรั่ง ที่ผสมกลมกลืนกับเครื่องเทศได้อย่างลงตัว

Red Wine ของ Trappolini ที่เหมาะกินคู่กับ Baby Lamb ต้องยกให้ ROSSO Acadia Crogneto IGT ปี 2020 จากแคว้นลาซิโอ (Lazio) แอลกอฮอล์ดุดัน 15 เปอร์เซนต์ จึงถือเป็นพี่ใหญ่ของคืนนี้ เป็นการ Blend องุ่นชั้นเลิศ 2 สายพันธุ์ คือ “ซานโจเวเซ่” (Sangiovese) และ “มอนเตพูลชิอาโน่” (Montepulciano) ซึ่งทั้งสองถือเป็นระดับเรือธงสุดคลาสสิกของอิตาลี สำหรับองุ่น Sangiovese ได้นิกเนมว่า “โลหิตแห่งพระเจ้า” เพราะสีแดงข้น รสจัดจ้าน เนื้อแน่นเข้ม มี Acidity ค่อนข้างสูง และมีกลิ่น Tannin นิดๆ เหมาะดื่มคู่กับอาหารอิตาเลียนแท้ๆ

ส่วนองุ่น Montepulciano ชอบอากาศร้อน จึงปลูกมากในอิตาลีภาคกลางและภาคใต้ ให้น้ำไวน์ที่มีเนื้อสัมผัส กลิ่น และรสยอดเยี่ยม สีแดงราวกับผลเชอร์รี่ แต่ใสมาก กลิ่นอบอวลด้วยผลไม้สีแดงและสีดำนานาชนิด ทั้ง Black Berry, Black Current, Raspberry, Dark Chocolate, วานิลลา, เชอร์รี่ และใบยาสูบ เมื่อนำทั้ง 2 สายพันธุ์มา Blended กัน จึงได้ไวน์แดงที่ซับซ้อนเย้ายวน มีเสน่ห์น่าค้นหามากคำว่า “ROSSO” ในภาษาอิตาเลียนหมายถึง “สีแดง” บ่งบอกได้ดีว่าไวน์ ROSSO Acadia Crogneto มีสีแดงทับทิมเข้มข้นและใสเหลือเชื่อ กลิ่นมี Tannin หอมหวานชื่นใจ แกว่งแก้วไปมาดูขาไวน์ถี่ยิบ เป็นเส้นสวยมากเหมือนผมนางฟ้า เพราะมีแอลกอฮอล์สูงถึง 15 เปอร์เซนต์ ลองจิบแล้วรู้สึกว่า Body และรสชาติ Smooth นุ่มลื่นมาก มีกลิ่นลูกพลัมและเครื่องเทศอ่อนๆ ขึ้นจมูก แบบ Fruit Based Wine ถือเป็นไวน์ที่ห้ามพลาดเลยล่ะ และคนอิตาเลียนบอกว่าเป็นไวน์ที่กินกับอะไรก็อร่อยไปหมดทุกอย่าง

ส่วนตัว ผมถือว่าเป็น Elegant Wine ที่มีความ Balance ของ Body, Alcohol, Tannin, Sweetness และ Acidity สุดยอดตัวหนึ่ง เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 18 องศาเซลเซียส จะได้ความ Peak สุดยอดครับ กินขนมหวานล้างปากก่อนกลับบ้าน ด้วยโดนัทอิตาเลียน “เซปโปลา” (Zeppola หรือ Zeppole) เป็นขนมท้องถิ่นของแถบกรุงโรม (Rome) และเมืองเนเปิลส์ (Naples) เนื้อนุ่มมาก ข้างในสอดไส้ครีมหวานๆ กินคู่กับน้ำเลมอนต์ Homemade Limoncello Trolley ช่วยล้างรสอาหารคาวออกจากปาก และให้ความรู้สึกสดชื่นจี๊ดจ๊าดChef Andrea Montella ออกมาทักทาย และกล่าวถึงความพิเศษของอาหารอิตาเลียนคืนนี้ ที่ Paring กับไวน์ได้ยอดเยี่ยม สร้างความประทับใจให้ทุกคนความสุขในหมู่เพื่อนฝูง ที่มีไวน์จาก Cafe’ Buongiorno เชื่อมโยงเราไว้ด้วยกัน วันนี้ผมได้ตกหลุมรัก Boutique Wine สี่ตัวจากอิตาลีเข้าแล้ว หวังว่าอีกไม่นานเราจะได้พบกันใหม่ See You Soon My Friends.สนใจชิมไวน์ทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี และสั่งซื้อไวน์อิตาเลียนหายาก ติดต่อ Cafe’ Buongiorno Tel. 06-2494-1649 (คุณพิม) Booking โต๊ะรับประทานอาหาร และชิม Italian Wine อย่างดีได้ที่ โทร. 02-100-6255

Anyavee Krabi Beach Resort ความทรงจำดีๆ ที่หาดคลองม่วง

ไปเที่ยวจังหวัดกระบี่ทีไร อดไม่ได้ที่ต้องหารีสอร์ทเก๋ๆ ริมทะเลนอนฟังเสียงคลื่น เหม่อมองทะเลดูพระอาทิตย์ตก และชิม Seafood อร่อยๆ สดใหม่จากทะเล ดูเหมือนสิ่งที่เราต้องการจะมีครบครันที่ “Anyavee Krabi Beach Resort” หาดคลองม่วง ซึ่งอยู่ห่างจากอ่าวนางเพียงประมาณ 14 กิโลเมตรเท่านั้น ถ้ารู้สึกต้องการแสงสีเมื่อไหร่ก็ขับรถไปแป๊ปเดียวถึง เสน่ห์ของหาดคลองม่วงคือความ Cozy & Peaceful เงียบสงบเป็นส่วนตัว หาดทรายกว้างทอดยาว และมีรีสอร์ทดีๆ ให้อิงกายพักผ่อน

Anyavee Krabi Beach Resort จึงเป็นคำตอบสุดลงตัวสำหรับเรา เพราะอยู่ติดทะเล จะวิ่งลงไปเล่นน้ำเมื่อไหร่ก็ได้
รีสอร์ทริมหาดคลองม่วงในเครือ Anyavee Resort Group เน้นความเป็นธรรมชาติ ด้วยห้องพักรวม 56 ห้อง แบ่งเป็น Bamboo Cottage 28 หลัง ทั้ง Beach Front, Garden View และ Family เป็นที่นิยมและชื่นชอบมากสำหรับชาวยุโรป รวมถึงมีห้องพักในตัวอาคารอีก 28 ห้อง กว้างขวาง สะดวกสบาย เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัวมองจากหาดทรายเข้าไปเห็น Anyavee Krabi Beach Resort สร้างกลมกลืนอยู่กับธรรมชาติ แมกไม้ร่มรื่น และต้นมะพร้าวสูงลิ่วจะเล่นน้ำสระก็ได้ หรือจะเล่นน้ำทะเล ก็ใกล้แค่เดินไม่กี่ก้าว (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Beach Front Cottage Beach Front Cottage Beach Front Cottage Beach Front Cottage      Standard Cottage Standard CottageGarden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Garden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Garden Cottage Garden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Garden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Garden Cottage Garden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Garden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Garden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Garden Cottage (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Modern Building Room

ห้องพักในตัวอาคารมี 28 ห้อง ขนาด 65 ตารางเมตร กว้างขวาง เหมาะกับคนที่ต้องการความสะดวกสบาย ทั้งห้อง Deluxe Pool Access, Deluxe Family สำหรับครอบครัว 4-5 คน และ Deluxe Seaview สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เน้นความเรียบง่าย กับคอนเซปท์ที่คงความเป็นธรรมชาติ แต่มีความเก๋ในตัวเองDelux Pool Access Delux Pool Access Delux Family RoomDelux Family RoomDelux Family RoomDelux Room เรียบง่ายแต่ดูดีในสไตล์ MinimalDelux Room Delux RoomSwimming Pool สระว่ายน้ำสุดชิว มองเห็นวิวทะเลสวยๆ ได้ตลอดเวลา (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Swimming Pool กล้ๆ สระว่ายน้ำ มีห้องอาหารที่เปิดบริการ ตั้งแต่เช้าจนถึงสี่ทุ่ม (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Swimming Pool (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Swimming Pool (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Beach Front Restaurant ห้องอาหารสร้างด้วยไม้ไผ่ดีไซน์เก๋ กลมกลืนกับธรรมชาติ ให้ความรู้สึก Friendly มากๆ (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Beach Front RestaurantBeach Front Restaurant เหมาะพาคนรู้ใจไปนั่งทำซึ้ง (ขอบคุณ ภาพโดย คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)Set อาหารเมนูใหม่ ต้อนรับปี 2023 อิ่มอร่อยกับ Seafood สดอร่อยรสเลิศจากทะเลกระบี่ ราคาเพียง 700 บาท สำหรับ 2 ท่าน

ประกอบด้วย ปูนิ่มทอดกระเทียม, แกงปูใบชะพลู, ปลากะพงทอด ซอสยำมะม่วง, หมึกย่าง, กุ้งซอสมะขาม พร้อมด้วยข้าวสวยและน้ำดื่ม

สำรองห้องพักได้ที่ Anyavee Krabi Beach Resort

หาดคลองม่วง ต.หนองทะเล อ.เมือง จ.กระบี่ โทร. 06-3879-2642, 0-7581-7256 / anyaveekrabi.com

Liguria Wine Unforgettable Experiences @Ventisi Italian Restaurant, BKK

โอกาสพิเศษมาถึงอีกครั้ง เมื่อห้องอาหาร Ventisi ชั้น 24 โรงแรม Centara Grand Central World ซึ่งมีความโดดเด่นในการนำไวน์ชั้นเลิศจากแคว้นต่างๆ ของอิตาลี มาให้เราได้ชิม จับมือกับบริษัท Importer Italian Wine รายใหญ่ Cafe’ Buongiorno คัดสรรเฉพาะไวน์จากพื้นที่ UNESCO World Heritage Sites ของอิตาลีเท่านั้น Dinner สุดพิเศษ ที่มีไวน์จาก แคว้นลิกูเรีย (Liguria) จับคู่กับอาหารอิตาเลียนโดยเชฟชื่อดัง จึงเกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2023
Italy เป็นประเทศที่คอไวน์ทั่วโลกให้การยอมรับ ว่าเป็นหนึ่งในเจ้าแห่งการผลิตไวน์ชั้นเลิศมานานหลายชั่วอายุคน  ทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี มีองุ่นพันธุ์ท้องถิ่นอยู่มากกว่า 300 ชนิด อันเกิดจากภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ที่ร้อนจัดในฤดูร้อน และมีฝนตกมากในฤดูหนาว ผสานกับดิน หิน แร่ธาตุ และวิธีการบ่มหมักไวน์อันมีเอกลักษณ์เฉพาะ ทำให้โลกของ Italian Wine เต็มไปด้วยเสน่ห์ น่าค้นหา เปรียบเหมือนการผจญภัยไม่สิ้นสุดสำหรับนักดื่ม โดยเฉพาะไวน์ทางภาคเหนือของอิตาลีที่ แคว้นลิกูเรีย (Liguria) นั้น ถือเป็นอาณาจักรของไวน์ขาว ที่ปลูกอยู่ตามเชิงเขาแอลป์ กั้นพรมแดนแคว้นโปรวองซ์ในฝรั่งเศสด้วย

Liguria เป็นแคว้นที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี  ได้ชื่อว่า “Italian Riviera” เพราะเป็นเมืองตากอากาศชายทะเล ที่มีภูมิทัศน์สวยที่สุดทางภาคเหนือ มีแดดมากถึง 300 วันต่อปี เราจะเห็นภาพชายฝั่งทะเลยาวเหยียด ชายหาด ร่ม คนนอนอาบแดด ผาหิน และหมู่บ้านชาวประมง ซึ่งด้านหลังเป็นไร่องุ่นปลูกอยู่บนเชิงผาหินปูนลาดชัน ในแบบ Cliff Vineyard หรือ Terrace Vineyard ทำให้มีความยากในการปลูก ดูแล และเก็บเกี่ยวด้วยมือล้วนๆ Liguria Wine จึงได้ฉายาว่าเป็น “Heroic Wine” (ไวน์ของผู้กล้า) เลยทีเดียว

แคว้น Liguria ทอดตัวเป็นแนวยาวตะวันออก-ตะวันตก ต่อเนื่องเข้าสู่ French Riviera ของฝรั่งเศส  ตัวแคว้น Liguria แบ่งออกเป็น 4 จังหวัด ไล่จากตะวันออกไปตะวันตก คือ ลา สเปเซีย (La Spezia), เจนัว (Genoa), ซาโวนา (Savona) และอิมพีเรีย (Imperia) โดยมีเจนัวเป็นเมืองหลวง หากจะแบ่งโซนไวน์คร่าวๆ โดยใช้เจนัวเป็นจุดกึ่งกลาง ทางทิศตะวันออก คือ La Spezia และ Genoa จะเด่นเรื่องไวน์ขาว ส่วนทางทิศตะวันตกที่ Savona และ Imperia จะเด่นเรื่องไวน์แดง โดยไวน์ขาว Signature ของ Liguria คือพันธุ์ Vermentino, Bosco และ Albarola ส่วนไวน์แดงตัว Top คือ Rossese และ Dolcetto (หรือ Ormeasco)

แต่ด้วยความที่ Liguria เป็นดินแดนที่ถูกห้อมล้อมด้วยแคว้นมากมายโดยรอบ องุ่นหลายสายพันธุ์จึงมีกระจายปลูกออกไป และเรียกชื่อต่างกันแม้จะเป็นพันธุ์เดียวกัน เช่น พันธุ์ Vermentino จริงๆ แล้วใน Liguria เรียกว่า “Pigato” ในฝรั่งเศสเรียก “Rolle” ในแคว้น Piedmont ทางตอนเหนือของ Liguria เรียก “Favorita” และที่เกาะ Sardinia เรียกว่า “Vermentino” เป็นต้น

Character ของไวน์ขาวในแคว้น Liguria จะมีความเปรี้ยวซ่ามากแบบจี๊ดจ๊าด ดื่มแล้วให้ความรู้สึกสดชื่นและสนุกสนาน สีมักเป็นสีเหลืองฟางอ่อนๆ (Pale Straw Yellow) ไปจนถึงสีเหลืองทอง (Gold Yellow) มีกลิ่นหอมของผลไม้และดอกไม้ป่าชัดเจน ร่วมกับกลิ่นมะนาว (Lime) และแอปเปิลเขียว (Green Apple) รสชาติมักติดขมนิดๆ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ บางคนบอกว่ามีสีและรสชาติคล้าย Sauvignon Blanc (โซวีญง บล็อง) แต่จัดจ้านกว่ามาก

มาตรฐานไวน์ของ Liguria มีทั้ง DOCG, DOC, IGT, VDT แต่ที่มีมากสุดน่าจะเป็นกลุ่ม DOC เพราะใช้สายพันธุ์องุ่นท้องถิ่น ปลูกในพื้นที่เฉพาะ จึงได้ไวน์ชั้นเลิศที่มีจำนวนผลิตครั้งละไม่มาก หายาก ราคาสูง และรสชาติไม่เหมือนใคร เช่น Cinque Terre DOC ผลิตอยู่เฉพาะใน 5 หมู่บ้านริมทะเลของจังหวัด La Spezia เท่านั้น และต้องบ่มหมักอย่างน้อย 2 ปี ถึงจะนำออกจำหน่ายได้ แต่ถ้าเก็บไว้ถึง 4 ปี เขาว่ารสชาติจะ peak ดีมาก / Colli di Luni DOC เป็นไวน์ขาวและไวน์แดงชั้นเลิศ มีเฉพาะในแคว้น Tuscany และ Liguria เท่านั้น / Rossese di Dolceacqua DOC ผลิตอยู่เฉพาะในพื้นที่เล็กๆ ทางตะวันตกสุดของ Liguria ติดพรมแดนฝรั่งเศส เป็นต้น ส่วนไวน์หวาน (Dessert Wine) คน Liguria ก็ชื่นชอบ มักผลิตโดยใช้องุ่น 3 สายพันธุ์ blend กัน ทั้ง Pigato, Bosco และ Albarola

Chef Andrea Montella ชาวอิตาเลียน ผู้มากประสบการณ์ พร้อมทีมงานห้องอาหาร Ventisi มารังสรรค์อาหารอิตาเลียนสไตล์ Liguria เข้าคู่กับ Liguria Wine ได้ลงตัววิวหลักล้าน ดูพระอาทิตย์ตกใจกลางกรุงเทพฯ จากห้องอาหาร Ventisi ชั้น 24 โรงแรม Centara Grand Central World
บรรยากาศโรแมนติก นั่งจิบไวน์อิตาเลียนเคล้าวิวพระอาทิตย์ตก ชิมอาหารอิตาเลียนแท้ ที่ห้องอาหาร Ventisi (ขอบคุณภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)ห้องอาหารอิตาเลียน Ventisi ในบรรยากาศหรูหรา มีชีวิตชีวา เหมาะมาพบปะสังสรรค์กัน (ขอบคุณภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com) ความโอ่โถง ตกแต่งอย่างมีเอกลักษณ์ที่ ห้องอาหาร Ventisi (ขอบคุณภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com) Cooking Corner ของเชฟและผู้ช่วย เปิดโอกาสให้เราเห็นขั้นตอนการเตรียมอาหารได้ใกล้ชิดที่ Ventisi (ขอบคุณภาพจาก : คุณสุเทพ ช่วยปัญญา The Way News.com)เมนูค่ำคืนนี้มี 4 คอร์ส  คอร์สเรียกน้ำย่อยเน้น Seafood เพื่อสะท้อนภูมิประเทศติดทะเลของ Liguria / คอร์สถัดมาเป็น Homemade Pasta / Main Course เสิร์ฟโรลเนื้อลูกวัว / ปิดท้ายด้วยขนมหวาน Genoa Cake ซึ่งแต่ละคอร์สมี Liguria Wine จับคู่ไว้อย่างพิถีพิถันเริ่มเรียกน้ำย่อยกับขนมปังโฮลวีทเนื้อนุ่ม กินคู่กับ Sparkling Wine ชั้นดีอย่าง Blanche Arrigoni Millesimato PAS DOSE’  เมนูเรียกน้ำย่อยหลากหลายดี  มีหมึกยักษ์คลุกน้ำมันมะกอกและสมุนไพร, แผ่นมันฝรั่งทอด, ซุปถั่วลูกไก่ (Chickpea & Bean Soup), แป้งฟอคคาเซียทอด ไส้ Stracchino Cheese และเนื้อลูกปลาชุบแป้งทอด

กินคู่กับไวน์ Blanche Arrigoni Millesimato PAS DOSE’ ปี 2018 Sparkling Wine แอลกอฮอล์นุ่ม 12.5% Body บางเบา ไวน์ตัวนี้จัดอยู่ในมาตรฐานสูงระดับ Colli di Luni DOC  ผลิตเฉพาะในแคว้น Liguria และ Tuscany เท่านั้น ใช้องุ่นพันธุ์ Pigato (หรือ Vermentino)ให้สีเหลืองฟางอ่อนๆ (Pale Straw Yellow) รสชาติต้องบอกเลยว่าเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด ให้ความรู้สึกซาบซ่า และมีความ Dry (หวานน้อย) เมื่อกลืนหมดแล้วจะทิ้งความหอมหวานไว้ในปาก แถมยังมีความขม (Bitter) นิดๆ ติดอยู่ที่โคนลิ้นด้วย แปลกดี นี่คือเอกลักษณ์ของ Liguria Wine ส่วนกลิ่นก็มีความผสมผสานของมะนาว (Lime) แอปเปิลเขียว (Green Aplle) และกลิ่นหินปูนแห้งๆ (Dry Limestone) ชัดเจนมาก เป็นคุณลักษณะเฉพาะ เสิร์ฟที่อุณหภูมิไม่เกิน 10-12 องศาเซลเซียส ดื่มสดชื่น ช่วยเสริมรสชาติ Seafood เรียกน้ำย่อยดีมาก

จานถัดมาก็เน้นแป้งตามสไตล์คน Liguria “เส้นพาสต้า Homemade” ปั้นเป็นเส้นผอมๆ ยาวๆ เนื้อแน่นนุ่มหนึบสู้ปาก ราดเพสโต้ซอส (Pesto Sauce) หรือ Green Sauce ตามแบบฉบับ Liguria แท้ๆ เพราะใช้ใบโหระพาฝรั่ง (Basil) เป็นหลัก ตามที่เขาเคลมว่า Liguria มีใบโหระพาฝรั่งอร่อยที่สุดในโลก! (ต้องลองชิมกันเองนะครับ) ส่วนผสมของ Pesto ตัวนี้จะไม่มีเนื้อสัตว์อยู่เลย คนที่กิน vegetarian จึงกินได้ ประกอบด้วย ใบโหระพาฝรั่ง เกลือ กระเทียม น้ำมันมะกอก ถั่วบด คลุกเคล้าให้เข้ากัน เวลากินก็โรยหน้าด้วยพาร์เมซานชีส (Parmesan Cheese) ฝอยๆ เพิ่มความอร่อยได้หลายเท่า ข้อดีของเมนูนี้คือซอส Pesto ไม่มันเกินไป อีกทั้งเสิร์ฟมาปริมาณกำลังดี เหลือท้องไว้สำหรับ Main Cause ที่กำลังตามมา

ไวน์ขาวที่ช่วยเสริมรสชาติพาสต้า หรือตัดเลี่ยนได้ยอดเยี่ยม คือไวน์ขาวมาตรฐานสูง Colli di Luni DOC ปี 2021 ของผู้ผลิตที่มีประวัติยาวนานในไร่องุ่น Rosadimaggio ไวน์ขาวตัวนี้ชื่อ Vermentino Superiore แอลกอฮอล์ 13.5% เหมาะในการเริ่มต้นมื้ออาหาร กินดื่มสังสรรค์ ดื่มแล้วสดชื่น ไม่มึนเร็ว ผลิตโดยใช้องุ่นพันธุ์ Vermentino (หรือ Pigato) 100% น้ำไวน์สีเหลืองทอง (Gold Yellow) กลิ่นหอมผลไม้และดอกไม้ป่าชัดเจน ผสานกลิ่นมะนาว (Lime) แอปเปิลเขียว (Green Apple) อัลมอนด์ (Almond) และส้มตระกูลเกรปฟรุต (Grapefruit) จิบแล้วเปรี้ยวกลางๆ รู้สึกถึง Body ที่นุ่มเบา แต่มีความ Waxy นิดๆ อีกทั้งยังให้รสและกลิ่นพริกไทย (Pepper) อ่อนๆ ทิ้งไว้ในปากอย่างชัดเจน ผมชอบมากในความนุ่ม และ Balance ของกลิ่นรสที่รังสรรค์ได้ลงตัวจริงๆ
Main Course วันนี้ คือ “เนื้อลูกวัวย่าง” โดยแล่เป็นแผ่นบางแล้วนำมาม้วนกับสมุนไพรอิตาเลียน เห็ด และถั่วไพน์ จากนั้นทำให้สุกแบบ Slow Cook ราดซอสซึ่งใช้เนื้อและกระดูกวัวตุ๋นนานมาก ให้ texture นุ่ม ออกมาเป็นน้ำเกรวี่รสเค็ม กินคู่กับมันฝรั่งทอด Homemade หั่นเป็นแท่งสี่เหลี่ยมยาว Deep Fried โรยด้วยพาร์เมซานชีส พริกไทย และออริกาโน่นิดหน่อย ช่วยเพิ่มรสชาติ ถ้าใครที่ชอบกินเนื้อนุ่มๆ ละเอียด แบบไม่ต้องออกแรงเคี้ยวมาก ก็คงจะชอบเมนูนี้ แต่ผมว่ารสชาติของซอสอาจจะเค็มโด่งไปหน่อยครับแน่นอนว่าเมื่อมี Main Course เป็นเนื้อลูกวัว ก็ต้องจับคู่กับไวน์แดงอย่าง O di Giotto, Liguria di Levante มาตรฐาน IGP เป็น Rosso Wine ปี 2020 ผลิตโดย Arrigoni ไร่องุ่นที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1913 ตัวนี้จัดเป็น Rosso Young Wine (ไวน์ใหม่) ซึ่งจับคู่กับอาหารได้หลากหลาย คนที่คุ้นลิ้นกับ Italian Wine จากภาคกลางและภาคใต้ อย่าง Sangiovege และ Cabernet Sauvignon  ของแคว้น Tuscany หรือ Primitivo ของแคว้น Puglia ก็อาจจะรู้สึกแปลกๆ เมื่อดื่มไวน์แดงตัวนี้ครั้งแรก จึงอยากจะขอให้เปิดใจ เพื่อเข้าใจ character ของไวน์แดงภาคเหนือดูนะครับ น้ำไวน์ขวดนี้สีแดงทับทิมเข้ม (Deep Ruby) แอลกอฮอล์กลางๆ 13.5% Body นุ่มลึก ไม่หนักเกินไป กลิ่นซับซ้อนอบอวลผลไม้ตระกูล Black Berry เจือกลิ่นรส Tannin ที่ balance ดี ยิ่งถ้าได้เปิดทิ้งไว้ก่อนเสิร์ฟสัก 1 ชั่วโมง (Decanting) กลิ่นรสจะนุ่มขึ้นอีก ไวน์ตัวนี้หวานน้อย (Dry) ดื่มได้เรื่อยๆ เข้าคู่กับเนื้อลูกวัวดีเลยของหวานปิดท้ายน่าประทับใจ เป็นเค้กผลไม้สไตล์ Liguria เรียกว่า “แพนโดลเช” (Pandolce) หรือ “เจนัวเค้ก” (Genoa Cake) เนื้อเค้กอัดตัวกันแน่น แต่ก็มีความซุยอยู่ด้านใน รสหวานอ่อนๆ มีผลไม้แห้งหลายชนิดผสมเพิ่มรสชาติและ texture ทั้งลูกเกด อัลมอนด์ เชอร์รี่ เปลือกส้ม กินคู่กับไอศกรีมวานิลลา ยิ้มได้ทุกคำที่ตักใส่ปาก

ไวน์หวาน (Dessert Wine) ที่กินคู่กับ Genoa Cake คือ Sciacchetra Cinque Terre ไวน์ชั้นเยี่ยมหายากจากปี 2006 ผลิตโดย Rosadimaggio ไร่องุ่นที่ผลิตไวน์มานานเกิน 100 ปี ในจังหวัด La Spezia ทางตะวันออกของ Liguria จัดเป็นไวน์ตัวแรกๆ ซึ่งได้รับมาตรฐาน DOC ของเขต La Spezia ผลิตโดย blend องุ่น 3 สายพันธุ์เข้าด้วยกันตามธรรมเนียม คือ Pigato, Albarola และ Bosco ถือเป็นไวน์ที่ค่อนข้างมีจำนวนจำกัด (Limited) เพราะปลูก ดูแล เก็บเกี่ยวด้วยมือล้วนๆ อีกทั้งปลูกอยู่บนผาชันริมทะเลแบบ Cliff  Vineyard ด้วย

การผลิตใช้เวลายาวนานพิเศษ โดยคัดองุ่นคุณภาพดีมาผึ่งให้แห้งอย่างช้าๆ ในที่ร่ม ไม่ใช่ผึ่งแดดจัดให้แห้งเร็ว ข้อดีของการผึ่งให้แห้งช้า คือน้ำตาลในผลองุ่นจะรวมตัวกันแน่นเข้มข้นกว่าปกติ เมื่อนำมาบ่มหมักจึงได้น้ำไวน์สีเหลืองอำพันใส (Amber Yellow) บ้างก็ว่าสีเหมือนน้ำหวานของดอกไม้ (Nectar Yellow) ส่วนกลิ่นก็มีความเฉพาะตัว มีกลิ่นน้ำผึ้งและแอปปริคอต บวกกับความหวานระดับกำลังดี กลิ่นแอลกอฮอล์ไม่ฉุนขึ้นแสบจมูก เพราะมีแอลกอฮอล์เพียง 14% จิบแล้ว รสชาตินุ่มดี Body มีความ Waxy ทิ้งความหอมหวานไว้ในปากยาวนาน  เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 18-20 องศาเซลเซียส จะอร่อยที่สุดSPECIAL THANKS
สนใจชิมไวน์ทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี และสั่งซื้อไวน์อิตาเลียนหายาก ติดต่อ Cafe’ Buongiorno Tel. 06-2494-1649 (คุณพิม)

Booking โต๊ะรับประทานอาหาร และชิม Italian Wine อย่างดีได้ที่ โทร. 02-100-6255