Beautiful Italian, Tempo Wine Event @Le Meridien Bangkok
Italy ประเทศในฝันของใครหลายคน เป็นดินแดนที่รุ่มรวยด้วยประวัติศาสตร์และอารยธรรมโบราณของอาณาจักร Roman งดงามด้วยธรรมชาติชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสีน้ำเงินครามเข้มข้น ที่สำคัญคือ Italy เป็นเจ้าพ่อแห่งการผลิตไวน์ชั้นเลิศของโลก ทั้ง 20 แคว้น มีองุ่นสายพันธุ์ท้องถิ่นที่ใช้ผลิตไวน์ขาวและแดง อยู่ไม่น้อยกว่า 350 สายพันธุ์เลย
ค่ำคืนนี้เรากำลังจะได้สัมผัสส่วนเสี้ยวหนึ่งของ Italian Wine ชั้นเลิศ 5 ตัว ที่ Cafe’ Buongiorno บริษัทนำเข้า Boutique Wine ร่วมกับ Tempo Barโรงแรม Le Meridien Bangkok จัดคอกเทลไวน์เทสติ้ง “Beautiful Italian” เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2023
Tempo Bar ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ของโรงแรม Le Meridien Bangkok ตกแต่งบรรยากาศหรูเรียบ เหมาะมาพบปะสังสรรค์กันในบรรยากาศเป็นกันเอง ตั้งแต่เวลา 17.00-23.00 น. พร้อมเสิร์ฟอาหารฟิวชั่น และไวน์คุณภาพเยี่ยมในแบบ Sommelier Selection ที่ใครๆ ก็ติดใจ (Contact 0-2232-8888, 0-2232-8999)
ขอบอกว่าแสงสียามค่ำคืนที่ Tempo Bar สวยงาม จับตาจับใจมาก
Mr. Dieter Ruckernbauer / General Manager, Le Meridien Bangkok ยินดีต้อนรับทุกท่าน
Mr. Marco Cammarata / Executive Chef , Le Meridien Bangkok เชฟมากฝีมือชาวอิตาเลียนแท้ รังสรรค์ความอร่อยหลากเมนูอย่างใส่ใจ ให้แขกผู้มาเยือน
คุณ Waraporn Viyanut / Senior Bartender ของ Tempo Bar คอยดูแลอาหารและเครื่องดื่มตามสไตล์ที่คุณต้องการ
คุณ Thanawan Sawangsub (Mind), Food & Beverage Manager / คุณ Nuttinee Payungwong (Tik), Marketing Communications Manager / คุณ Waraporn Viyanut, Senior Bartender Tempo Bar
Mr. Akarawit Jintanakarn / Director of Food & Beverage, Le Meridien Bangkok เตรียมอาหารและเครื่องดื่มชั้นเลิศ ไว้บริการทุกท่านอาหารชั้นเลิศ ก็ต้องคู่กับ Italian Wine ชั้นยอด
DJ เปิดเพลงสนุกสนาน สร้างบรรยากาศเพลิดเพลิน น่าจดจำที่ Tempo Bar
Mr. Akarawit Jintanakarn, Director of Food & Beverage กล่าวต้อนรับ และพูดถึง Italian Wine ทั้ง 5 ตัว ซึ่งนำเข้าโดย Cafe’ Buongiorno บริษัท Wine Importer ที่มีชื่อเสียง ทำให้เราได้สัมผัสไวน์สายพันธุ์หายากจากภูมิภาคต่างๆ ของอิตาลีไวน์ชั้นเลิศทั้ง 5 ตัวในคืนนี้ ผลิตขึ้นอย่างพิถีพิถันโดย ARRIGONI Vineyard ซึ่งทำไวน์ต่อเนื่องกันมา 4 ชั่วอายุคนแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1913 ปัจจุบันจึงมีความเก่าแก่ถึง 110 ปี ไร่องุ่นส่วนใหญ่ของเขาตั้งอยู่ในพื้นที่ World Heritage Site ของ UNESCO ด้วย (Thank you for picture from https://arrigoni1913.it/)เรียกน้ำย่อยและสร้างความสดชื่นด้วย Sparkling Wine ตัวแรก “Otello Prosecco” มาตรฐานสูงระดับ DOC มีความ Extra Dry คือหวานกลางๆ แต่ยังคงความสดชื่นหอมหวานโดดเด่นของกลิ่น Green Apple ผสานกลิ่นอัลมอนด์ และดอกไม้สีขาว เหมาะเสิร์ฟเย็นฉ่ำที่อุณหภูมิ 8-11 องศาเซลเซียส จึงสัมผัสได้ถึงความ peak ของกลิ่น รส และเนื้อสัมผัสนุ่มลื่นที่แท้จริง เนื้อไวน์สีฟางอ่อน (Pale Straw) และมีพรายฟองเล็กละเอียดน่ารักดี เหมาะรับประทานคู่กับเมนูปลา หรือ seafood
Otello Processo ผลิตที่ เมืองเทรวิโซ่ (Treviso) แคว้นเวเนโต้ (Veneto) ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี ซึ่งอากาศเย็น ภูมิประเทศเป็นหุบเขา โดยผลิตขึ้นจากองุ่นพันธุ์ เกลียร่า (Glera) ซึ่งเหมาะในการทำ Prosecco ที่สุดOtello Prosecco แพริ่งกันได้ดีกับ “ซิกเคติ” (Cicchetti) อาหารอิตาเลียนสไตล์ภาคเหนือของชาวเวเนเชียน “ซิกเคติ” แปลว่า “อาหารจานเล็ก” หรืออาหารที่เสิร์ฟมาเป็นคำเล็กๆ และยังหมายถึง “อาหารทานเล่น” หรือ “อาหารว่าง” ได้ด้วย ซิกเคติคืนนี้มีส่วนผสมหลักของปูม้า กับปลา Crostini’s Whisked Cod และน้ำมันมะกอกอย่างดี กัดคำนึง จิบ Otello Prosecco อึกนึง ช่วยเสริมรสชาติกันได้ยอดเยี่ยมเพิ่มดีกรีความสนุกกับ “MANON” ไวน์ขาวอันโด่งดังจาก แคว้นเวเนเซีย (Venezia) ผลิตที่เขตฟริอูลี (Friuli) ทางภาคเหนือของอิตาลี โดยใช้องุ่นพันธุ์ ปินอต กริจิโอ (Pinot Grigio /กลายพันธุ์มากจาก Pinot Noir) ซึ่งถือเป็น ปินอต กริจิโอ ที่ดีที่สุดของอิตาลีเลยทีเดียว ตัวนี้มาตรฐานสูงระดับ DOC ให้สีฟางอ่อน แต่กระทบแสงเป็นประกายสีทอง ตัวไวน์มีความ balance ยอดเยี่ยม ของความ Full Body กลิ่นผลไม้หอมเข้มข้น รสชาติหวานน้อย เปรี้ยวน้อย และแทบไม่ติดขมเลยเมื่อกลืนไปแล้ว ทิ้งความหอมหวานชื่นใจไว้ในปาก เหมาะรับประทานคู่กับเนื้อสีขาวอย่างปลา ไก่ หอย และ seafood เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 10-12 องศาเซลเซียส ยอดเยี่ยมที่สุดMANON Pinot Grigio เหมาะแพริ่งกับ “เซวิเช่ มิกซโต้” (Ceviche Mixto) ซึ่งมีส่วนผสมลงตัวของปลากะพง, มันเทศหวาน, เมล็ดข้าวโพด คลุกเคล้าด้วยซอส Coconut Lime เผ็ดนิดๆ ชิมแล้วให้ความละมุนลิ้น กลิ่นไม่แรง ชอบเลยครับ
เข้าสู่โหมด Red Wine ชื่อดังของโลกจาก เกาะซิซิลี (Sicily / คนอิตาเลียนเรียก “ซิซิเลีย”) “SIMON B” มาตรฐานระดับ IGT ซึ่งใช้องุ่นพันธุ์หายาก เนโร ดาโวล่า (Nero D’Avola) มาบ่มหมักอย่างใส่ใจ องุ่นแดงพันธุ์นี้มีปลูกเฉพาะที่เกาะซิซิลีเท่านั้น Character มีความ Full Body กลิ่นรสเทียบเท่าองุ่นพันธุ์คาเบอร์เน่ต์ โซวิญอง (Carbernet Sauvignon) จากแคว้นบอร์โด (Bordeaux) ของฝรั่งเศสเลยทีเดียว แต่ทิ้งความ Fruity ไว้ในปากมากกว่า น้ำไวน์สีทับทิมอมแดงเข้มข้น แทนนินนุ่มลื่น เปรี้ยวน้อย มีกลิ่น Blueberry ชัดเจน เหมาะรับประทานคู่กับเนื้อสีแดง เนื้อย่าง สเต็กเนื้อ ซี่โครงแกะย่าง รวมถึง Risotto (ข้าวผัดครีมข้นอิตาเลียน) เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 16-18 องศาเซลเซียส เริ่ดสุด
ชื่อ Nero D’Avola มาจากคำว่า “Nero” แปลว่า “สีดำ” ของผลองุ่นเมื่อแก่เต็มที่เปลือกจะกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ และ “Avola” เป็นชื่อหมู่บ้านทางชายฝั่งตะวันออกของเกาะซิซิลี ซึ่งองุ่นพันธุ์นี้ถือกำเนิดขึ้นมา Nero D’Avola จึงได้สมญามากมาย เช่น สิงห์ดำแห่งซิซิลี และองุ่นดำแห่งหมู่บ้านอะโวล่า นอกจากนี้ยังได้ฉายาว่า “The Godfather Wine” เพราะถูกนำไปโยงกับหนังเรื่อง The Godfather ของตระกูลคอร์เลโอเน่แห่งซิซิลีด้วย
จริงๆ แล้วซิซิลียังมีไวน์ดีๆ ให้ชิมอีกเพียบ ไวน์แดงยังมี Nerello Mascalese, Perricone และ Frappato ส่วนไวน์ขาวที่ห้ามพลาด เช่น Catarratto, Carricante, Insolia และ Grillo นอกจากนี้ยังมี Marsala Wine ซึ่งเป็นไวน์ปรุงแต่ง (Fortified Wine) ที่เติมแอลกอฮอล์ปริมาณสูง และค่อนข้างหอมหวาน ปกตินิยมจิบเป็นแก้วเล็กๆ จบมื้ออาหาร และเชฟทั่วโลกชอบนำไปใช้ปรุงอาหารในครัว
SIMON B Nero D’Avola แพร่ิงได้ยอดเยี่มกับ “อารันชินี่” (Arancini) คือข้าวรีซอสโตปั้นเป็นก้อน คลุกเคล้าเกล็ดขนมปัง นำไปทอด สอดไส้ด้วยเนื้อวัวตุ๋น, ถั่วพิสตาชิโอบดละเอียด ผสมกับชีสอร่อยๆ อย่าง Stracciatella Espuma ที่นิยมรับประทานกันในภาคใต้สุดของอิตาลี
เดินทางจากภาคใต้ของอิตาลี ขึ้นมาตรงรอยต่อภาคเหนือ-ภาคกลาง ณ “แคว้นทอสคานา” (Toscana หรือ ทัสคานี / Tuscany) แคว้นใหญ่ชายฝั่งตะวันตก ที่ได้รับลมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งปี กอปรกับมีภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับหุบเขา กลางวันร้อน กลางคืนหนาว เช้ามีหมอก จึงกลายเป็นยูโทเปียของการผลิตไวน์ชื่อก้องโลก
คืนนี้เราได้จิบไวน์แดง “Pietraserena In NERO” มาตรฐาน IGT ผลิตจากองุ่นพันธุ์ “เวอร์เมนติโน่ เนโร” (Vermentino Nero) ซึ่งเคยเกือบจะสูญพันธุ์ไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเพิ่งได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาจนแพร่หลายอีกครั้ง ไวน์ตัวนี้ผลิตที่ เมืองซาน จิมิกนาโน (San gimignano) ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นเนินเขา และดินมีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ เนื้อไวน์สีแดงทับทิม (Red Ruby) ค่อนไปทางสีแดงโกเมน (Garnet) เนื้อไวน์ Full Body ให้รสกลิ่นไม่ซับซ้อน ไม่หวาน แทนนินนุ่มลื่นกำลังดี เข้ากันได้ยอดเยี่ยมกับพวก Cold Meat อย่างไส้กรอก, Tuscan Pasta และพิซซ่า
คืนนี้ Pietraserena In NERO นำมาแพริ่งกับ “Pork Belly” หรือหมูสามชั้น เสิร์ฟไซต์เล็กๆ พอดีคำ โดยเชฟนำหมูสามชั้นไปทำให้สุกช้าๆ แบบ Slow-cooked นานถึง 12 ชั่วโมง ร่วมกับ Red Wine Pear แต่งกลิ่นรสเพิ่มด้วยกระเทียม และใบโหระพาอิตาเลียน จิบไวน์แดงเข้าไปก่อนนิดนึง แล้วกิน Pork Belly ตาม รสชาติเปลี่ยนไปบนลิ้น นับว่าแปลกดี ยกนิ้วให้มาถึงพระเอกของค่ำคืนนี้คือ “Poggio Al Vento” ไวน์แดงมาตรฐานสูงระดับ Chianti Colli Sensi, DOCG ซึ่งเคยได้รับรางวัลจากการประกวดมาแล้วกว่า 10 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995-2017 ไวน์แดงชั้นเลิศของแคว้นทอสคานาตัวนี้ ผลิตจากองุ่น “ซานโจเวเซ่” (Sangiovese) เพียวๆ ถือเป็นพันธุ์องุ่นที่ปลูกมากที่สุดในอิตาลี เป็นองุ่นพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของทอสคานา และได้ฉายาว่า “โลหิตแห่งพระเจ้า” (The Blood of God) ด้วยเนื้อไวน์สีแดงทับทิมเข้มข้น ฉายานี้ตั้งเป็นเกียรติแด่เทพเจ้าแห่งสายฟ้า (Zeus) หรือที่คนกรีกและโรมันเรียกว่า Jupiter หรือ Jove นั่นเอง Sangiovese เป็นองุ่นที่เกิดมาเพื่ออาหารอิตาเลียนโดยแท้ เพราะมี Acidity (ความเปรี้ยว) ค่อนข้างมาก จึงกลบความเลี่ยนของชีส พาสต้า รวมถึงเป็นไวน์ไม่กี่ชนิดที่รสชาติยังคงอยู่ เมื่อรับประทานคู่กับอาหารที่มี Tomato Sauce
Character ของไวน์แดงตัวนี้ มีกลิ่นหอมหวาน ของ Blackberry ชัดเจนมาก ร่วมกับกลิ่น Raspberry, วานิลลา, อัลมอนด์, ดอกไวโอเล็ต น้ำไวน์มีรสนุ่มลื่นราวแพรไหมเมื่อสัมผัสลิ้น กลิ่นรสซับซ้อนมาก เกิดจากการบ่มหมักเป็นเวลานานก่อนบรรจุขวด ตามข้อกำหนดเคร่งครัดของไวน์ระดับ Chianti DOCG คือ 2.5 ปี, 2 ปี, 1 ปี, 9 เดือน และ 6 เดือน หากจะลิ้มลอง Sangiovese ที่ดีที่สุด ต้องมาจากเขต Chianti ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเมือง Florence และ Siena ครับ“Poggio Al Vento Sangiovese” นำมาแพริ่งได้ยอดเยี่ยมกับ “ทาลิอาตะ” (Tagliata) หรือเนื้อวัวย่าง Medium-Rare สไตล์อิตาเลียน สไลด์เป็นชิ้นบางๆ โดยเชฟใช้เนื้อเซอร์ลอยน์สันนอก กินคู่กับแตงซูกินีย่าง มะเขือเทศ ราดซอสบัลซามิคมะกอกดำ นับว่ารสชาติเข้าคู่กับไวน์แดงขวดนี้อย่างยอดเยี่ยมสุดๆ ราวฟ้าประทานเลยเชียว!นอกจากไวน์ทั้ง 5 ตัวดังกล่าวแล้ว ที่ Tempo Bar ของโรงแรม Le Meridien Bangkok ยังมีเครื่องดื่มพิเศษอีกชนิดให้ลิ้มลอง คือ “ไวน์อุ่น” (Mulled Wine) ซึ่งแถบยุโรปนิยมดื่มกันในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ไวน์อุ่นมีประวัติย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 14 เลย ยุคนั้นมีเฉพาะพวกขุนนางชั้นสูงที่ดื่มกัน โดยบ่มหมักไวน์อุ่นในถังไม้เคลือบทองคำ ผสมด้วย ส้ม, น้ำตาล, อบเชย, กานพลู, วานิลลา เพื่อให้เกิดรสชาติกลมกล่อม ภายหลังสามัญชนได้ทดลองนำไวน์อุ่นที่เสื่อมสภาพแล้วมาปรุงใหม่ จนเป็นที่แพร่หลาย ปัจจุบันพบไวน์อุ่นได้ในหลายประเทศ อาทิ อิตาลี, เยอรมนี, สวิตเซอร์แลนด์, ชิลี, ฝรั่งเศส, สวีเดน และโรมาเนีย เป็นต้น
หากใครชอบกินไอศกรีม ลองแวะเข้าไปที่ โรงแรม Le Meridien Bangkok ชั้นล่างมี Italian Gelato อร่อยๆ ของ Cafe’ Buongiornoให้ชิมด้วย เป็นเจลาโต้ที่ผลิตขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญชาวอิตาเลียนแท้ๆ มีหลายสิบรสให้ชิม ราคาก็ไม่แพง แค่แท่งละ 90 บาทเท่านั้น ถ้านึกไม่ออกว่าจะชิมรสอะไร แนะนำ Dark Chocolate ครับสนใจชิมไวน์ทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี และสั่งซื้อไวน์อิตาเลียนหายาก ติดต่อ Cafe’ Buongiorno
Tel. 06-2494-1649 (คุณพิม)
Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!