เที่ยวสุราษฎร์ฯ เก๋ไก๋สไตล์ลึกซึ้ง
“โอ่โอ ปักษ์ใต้บ้านเรา โอ่โอ ปักษ์ใต้บ้านเรา มีน้ำภูเขาทะเลกว้างไกล จะไปไหน ปักษ์ใต้บ้านเรา…” เสียงเพลงไพเราะแสนคลาสสิกของวงแฮมเมอร์ ยังคงดังก้องอยู่ในหัวใจผม ขณะที่สองเท้ากำลังย่างก้าวเข้าสู่ดินแดนอันแสนงงดงาม ‘สุราษฎร์ธานี’ เมืองที่มีป่าผืนใหญ่ที่สุดในภาคใต้ อันเป็นต้นกำเนิดสายน้ำชุ่มฉ่ำ เป็นบ้านของสรรพชีวิต และที่สำคัญคือเป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ (Eco-Tourism) ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในภาคใต้
ทริปนี้ เราจึงร่วมเดินทางไปกับ ททท. สำนักงานสุราษฎร์ธานี เปิดประสบการณ์ใหม่กับการสัมผัส สุราษฎร์ฯ แบบวิถีไทยสไตล์ลึกซึ้ง
ความสนุกความมันในทริปนี้ เร่ิมต้นขึ้นในเขตอุทยานแห่งชาติเขาสก แถวๆ ‘คลองศก’ อำเภอบ้านตาขุน ซึ่งเป็นถิ่นที่เต็มไปด้วยเทือกเขาหินปูนสลับซับซ้อน ห่มคลุมด้วยป่าฝนผืนใหญ่ เขียวขจีตลอดปี และมีวิถีเกษตรของชาวบ้านเติมเต็มวิถีชีวิตที่นี่ กิจกรรม ‘ล่องแพไม้ไผ่คลองศก’ ถือเป็นการผจญภัยแบบง่ายๆ ชิลๆ ที่นำเราเข้าสู่อ้อมกอดของป่าใหญ่ ได้สัมผัสสายน้ำเย็นชื่นใจ และภูมิทัศน์มหัศจรรย์ของเทือกเขาหินปูนรูปทรงแปลกตา
ทว่าการล่องแพไม้ไผ่คลองศกของสุราษฎร์ฯ เขามีความเก๋ไก๋แบบวิถีไทยที่ไม่เหมือนใครนะครับ เพราะเขามีสโลแกนน่ารักๆ ว่า ‘สวมมง ลงแพ ดื่มกาแฟ แลดอกบัวผุด’ โดยคำว่า ‘สวมมง’ ก็หมายถึงการให้นักท่องเที่ยวสวมมงกุฎที่ทำจากใบปาล์ม ส่วน ‘ลงแพ’ ก็คือล่องแพไม้ไผ่ ที่ไม่ได้ตัดมาจากป่า แต่เป็นไผ่ปลูกในสวนชาวบ้าน เพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติให้ท่องเที่ยวได้ยั่งยืน ‘ดื่มกาแฟ’ คือมีซุ้มกาแฟแวะชิมกันกลางป่า และคำว่า ‘แลดอกบัวผุด’ ก็คือกิจกรรมเสริมอันโดดเด่นอีกอย่าง เพราะในป่าแถบนี้มีดอกบัวผุด ซึ่งเป็นดอกไม้ขนาดใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่งของโลกเบ่งบานอยู่ ล่องแพเสร็จแล้วใครแรงเหลือ ก็ยังไปเดินป่าค้นหาความมหัศจรรย์ของธรรมชาติได้ด้วยการล่องแพไม้ไผ่คลองศกใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ผ่านไปตามลำน้ำที่ไม่ได้ไหลเชี่ยวกรากจนน่ากลัว ทว่าไหลเอื่อยๆ สบายๆ เป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เที่ยวสนุก สองฟากฝั่งอุดมด้วยแมกไม้ร่มรื่น เป็นแนวป่าธรรมชาติบ้าง สลับกับเรือกสวนของชาวบ้านบ้าง แต่ที่ถือว่าเป็นพระเอกของเส้นทางนี้จริงๆ สำหรับผม ก็คือเทือกเขาหินปูนไงครับ เพราะลำน้ำบางช่วงบีบแคบ มีโตรกผาหรือแท่งหินปูนยืนตระหง่านอยู่ใกล้ๆ เลย ถ่ายภาพได้สวยสุดๆแพไม้ไผ่ของคลองศกนั่งสบาย มีเก้าอี้ไม้เตี้ยๆ ให้ ไม่ต้องนั่งตูดเปียกบนแพ การล่องก็ไม่ได้ใช้เครื่องยนต์ แต่ใช้ไม้ไผ่ค้ำถ่อไปเรื่อยๆ ไม่เร่งร้อน แบบ Slow Life แถมแพบางลำยังใช้ไม้พายจ้วงเอาๆ ได้สบายบรื๋อเลย
พอล่องแพมาได้ประมาณ 15 นาที ยังไม่ทันจะเหนื่อย (จะเหนื่อยได้ไง ก็เรานั่งเฉยๆ ไม่ได้ถ่อแพเอง ฮาฮาฮา) เขาก็จอดแวะริมตลิ่ง นำเราเดินขึ้นไปยัง ซุ้มกาแฟกลางป่า มีการต้มน้ำร้อนในกระบอกไม้ไผ่ มาชงกาแฟหรือชาร้อนๆ ให้เราซดเรียกความสดชื่น แถมแก้วที่ให้เรานั้น ยังเป็นแก้วที่ทำจากไม้ไผ่ทั้งหมด นำลงไปนั่งชิลดื่ม พร้อมชมวิวในแพอย่างสบายราวกับราชา แหม อะไรจะ Happy ปานนี้นะ รอยยิ้มของเจ้าบ้านและผู้มาเยือน ในซุ้มกาแฟกลางป่า จุดแวะระหว่างล่องแพไม้ไผ่คลองศกจ้าล่องแพน้ำใส ดื่มกาแฟร้อนๆ ในกระบอกไม้ไผ่ สุขใจ เติมเต็มพลังชีวิตด้วยความบริสุทธิ์ของธรรมชาติรอบข้าง นี่ล่ะของขวัญให้ชีวิตจากจุดซุ้มกาแฟกลางป่า ต่อไปก็เป็นการล่องแพยาวๆ กันเลย ปล่อยให้ตัวและหัวใจของเราไหลไปพร้อมสายน้ำสีเขียวมรกตของลำคลองศก ซึ่งเกิดจากความอุดมของป่าอุทยานแห่งชาติเขาสก สีเขียวของแมกไม้น้อยใหญ่ จะทำให้หัวใจชุ่มชื่น ได้รับรู้ถึงกลิ่นอายและสรรพสำเนียงของธรรมชาติ ลองปิดมือถือ ทิ้งชีวิตวุ่นวายแบบเมืองใหญ่ไว้เบื้องหลักสักพักก็ดีนะระหว่างล่องแพ นอกจากการชมวิวและถ่ายภาพแล้ว ใครติดกล้องส่องทางไกลไปด้วย ก็จะได้มีโอกาสดูนกหลายชนิดที่เข้ามาหากินคลายร้อนใกล้น้ำครับ หลังจากล่องแพเสร็จเรียบร้อยแล้ว ใครเหนื่อยก็ Check In เข้าที่พักเอาแรง หรือใครยังฟิตปั๋ง ก็จะให้ไกด์นำทางไปเดินป่าตามหาดอกบัวผุดเขาสก ก็ได้เลย เอาที่สบายใจจ้าหลังจากเพลิดเพลินกับการล่องแพคลองศกกันอย่างชุ่มฉ่ำ และพักเอาแรงเต็มที่แล้วหนึ่งคืน ผมก็ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ รีบไปกางขาตั้งกล้องรอแสงแรกของตะวันเบิกฟ้าที่ ‘จุดชมวิวผานางคอย’ เป็นจุดชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นอันมีชื่อเสียงในแถบนี้ จุดชมวิวผานางคอยตั้งอยู่ตรงจุดกึ่งกลางระหว่าง กม.109 (เดิม) และ กม.111 (เดิม) หากขับรถมาจากปากทางเข้าที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาสก มองทางซ้ายมือไว้ครับ เดี๋ยวเจอเองจุดชมวิวผานางคอยในช่วงฤดูฝน และวันที่มีความชื้นสูง อากาศเย็น ตอนเช้าก็จะมีทะเลหมอกให้ชม แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะบางวันจะมีเฉพาะแสงสีทองสวยๆ ยามเช้า สาดส่องลงมาปลุกเทือกเขาหินปูนตะปุ่มตะป่ำ ให้ตื่นจากหลับใหล นี่คือสิ่งที่ทำให้นักแรมทางเข้าใจธรรมชาติ ปรับตัวเข้าหาธรรมชาติ ไม่ใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง และรู้จักท่องเที่ยวอย่างเปิดใจรับความสุขตรงหน้าให้เต็มที่เราเติมความสุขของเช้าอันสดใสที่เขาสก ด้วยการไปหม่ำอาหารเช้าอร่อยๆ แนวสุขภาพ กันที่ ‘แพ 500 ไร่ Valley Retreat’ หนึ่งในสาขาของแพ 500 ไร่ ในอ่างเก็บน้ำเขื่อนเชี่ยวหลาน (เขื่อนรัชชประภา) เห็น Landscape ที่ตั้งของเขาแล้วต้องบอกเลยว่า อึ้ง ทึ่ง ตกตะลึงในความงาม สามารถสร้างที่พักให้กลมกลืนกับธรรมชาติ โดยใช้วิวเบื้องหน้าประกอบเข้ามาได้ลงตัวเป๊ะ
นี่หรือคือเขาสก? คำตอบคือใช่ เพราะ แพ 500 ไร่ Valley Retreat เป็นที่พักหรูที่เน้นความเงียบสงบ ให้ธรรมชาติเป็นพระเอก โดยมีสระว่ายน้ำที่ยาวกว่า 50 เมตร ให้บริการผู้เข้าพัก ถือเป็นสระว่ายน้ำยาวที่สุดในแถบนี้เลยล่ะ พอว่ายน้ำเสร็จแล้ว คงไม่มีใครว่า หากจะใช้เวลาเป็นส่วนตัวเอนกายลงนั่งชมวิวสุดสายตา Panorama เบื้องหน้า ให้เป็นรางวัลชีวิตว่ายน้ำกับ Mountain View หรือ Rainforest View สุดเจ๋ง จะหาได้ที่ไหนไม่มีอีกแล้ว!และวันนี้ในแถบอุทยานแห่งชาติเขาสก ก็มีที่พักเก๋ไก๋เปิดใหม่ให้บริการอีกมากมาย แต่ละแห่งล้วนดึงจุดเด่นของป่าฝนและการพักผ่อนอย่างใกล้ชิด กลมกลืนกับธรรมชาติ มาให้เราสัมผัสมาถึงอีกหนึ่งไฮไลท์ของการเดินทางทริปนี้ คือ การเดินป่าตามหาดอกบัวผุด หนึ่งในดอกไม้ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดในเมืองไทยบริเวณป่าเขาสกนี่เอง ทำให้นักเดินป่าศึกษาธรรมชาติ นักพฤกษศาสตร์ และช่างภาพจากทั่วโลก เดินทางมาเยือนที่นี่ในยามที่ดอกบัวผุดบาน เพราะไม่ใช่ว่ามันจะบานตลอดปี แต่มักจะบานนอกฤดูฝน ราวๆ ต้นฤดูร้อน (เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน) แถมการบานของแต่ละดอกยังมีช่วงสั้นๆ แค่ 7 วันเท่านั้น การเห็นดอกบัวผุดบานกลางป่าด้วยตาตัวเองสักครั้ง จึงยากพอๆ กับการถูกหวยรางวัลที่ 1 เลยละ ฮาฮาฮาโชคดีเหลือเกิน การเดินทางในครั้งนี้มีดอกบัวผุดบานพอดี ในบริเวณเส้นทางดูดอกบัวผุด กม.111 (เดิม) จุดเริ่มต้นก็อยู่ริมทางหลวงหมายเลข 401 ที่ผ่านนหน้าทางเข้าอุทยทานแห่งชาติเขาสกนั่นล่ะ เลยมาอีกนิดเดียว อยู่ทางขวามือ แต่เส้นทางนี้ไม่ธรรมดา เพราะนอกจากจะผ่านป่าดิบรกทึบแล้ว หนทางยังสูงชันมาก ต้องอาศัยแรงกายกำลังใจแบบฟิตสุดๆ นอกจากนั้นยังต้องสวมรองเท้าหุ้มข้ออย่างดี และมีไม้เท้าเดินป่าช่วยผ่อนแรงขา แม้ว่าผมจะไม่ค่อยฟิตนัก แต่ก็ขอสร้างวีรกรรมไปทักทายบัวผุดสักครั้ง หลังจากไม่ได้เห็นดอกจริงๆ กับตาตัวเองมานานถึง 13 ปีแล้ว
เส้นทางดูดอกบัวผุดนี้ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ในที่สุดเราก็ได้ตื่นตะลึงกับพืชพิศวง ‘ดอกบัวผุด’ หรือที่ในทางวิชาการเรียกว่า ‘ดอกรัฟฟลีเซีย’ (Rafflesia) จริงๆ แล้วมันเป็นพืชกาฝาก ตามปกติมีลักษณะเป็นเส้นใยราอาศัยอยู่ในเนื้อไม้ย่านไก่ต้ม (หรือเถาองุ่นป่า) ซึ่งเป็นไม้เลื้อยที่หายากในป่าแถบนี้ ต่อเมื่อบัวผุดต้องการผสมพันธุ์ มันจึงผุดตาดอกคล้ายหัวกะหล่ำสีน้ำตาลแดงขึ้นที่ผิวของย่านไก่ต้ม ค่อยๆ โตขึ้นๆ ใช้เวลาถึง 9 เดือนเท่ากับการตั้งท้องของคน จนถึงเวลาเบ่งบานแค่ไม่เกิน 7 วัน โดยสีของมันจะสดที่สุด (เป็นสีน้ำตาลอมแดงเข้ม) ใน 3-4 วันแรกเท่านั้น จากนั้นก็จะเน่าเปื่อยไป โดยแต่ละดอกมีขนาด 100-120 เซนติเมตร เลยทีเดียว!ความมหัศจรรย์ของบัวผุด มิใช่แค่มันเป็นหนึ่งในดอกไม้ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเท่านั้น ทว่ามันยังเป็นพืชที่มีดอกตัวผู้ และดอกตัวเมียแยกกัน เมื่อดอกบาน มันจะสร้างกลิ่นคล้ายเนื้อเน่าอ่อนๆ ล่อแมลง แมงมุม กบ และสัตว์ต่างๆ ให้มาช่วยผสมพันธุ์ แต่ความลี้ลับของธรรมชาติที่แท้จริง ซึ่งยังไม่มีใครหาคำตอบได้ก็คือ ยังไม่มีใครทราบว่าเมล็ดบัวผุดที่ได้รับการผสมแล้ว กลับเข้าไปในเถาย่านไก่ต้มได้อย่างไร? ยังคงเป็นปริศนาที่เราต้องช่วยกันหาคำตอบต่อไป เช่นเดียวกับเจ้ากบป่าน้อยตัวนี้ ที่เข้าไปหลบอยู่ในหม้อของดอกบัวผุด ซึ่งจริงๆ แล้วมันคงรอจับแมลงกินนั่นเอง เกิดเป็นห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศน์อันสมบูรณ์
ดูกันชัดๆ ครับ สำหรับหัวตูมของดอกบัวผุดที่งอกขึ้นมาจากเถาย่านไก่ต้ม แต่ใช่ว่าทุกหัวจะรอดไปบานจนผสมพันธุ์ได้นะครับ เพราะบางหัวเน่าในจากความชื้นเกินพอดี และบางหัวก็ถูกสัตว์หรือแมลงป่าเจาะจนเน่าบัวผุดพันธุ์ไทยนี้ จัดเป็นพืชหายากของโลก (Rare Species) และ เป็นพืชเฉพาะถิ่นที่พบได้ในเมืองไทยเท่านั้น (Endemic Species) เมื่อชมแล้ว ก็ต้องช่วยกันอนุรักษ์ให้คงอยู่กับป่าเขาสกตลอดไปกลับลงมาจากภูเขาพร้อมกับความสุข ที่ได้เห็นดอกบัวผุดอีกครั้ง วันนี้เราเข้าไปเที่ยวที่ทำการของอุทยานแห่งชาติเขาสกด้วย เพราะตรงกับช่วงจัดงาน ‘เขาสก Eco-Tourism Festival 2017’ พอดี ในงานมีการออกบูทให้ความรู้เรื่องธรรมชาติ และหลายชุมชนในแถบนี้ก็มาร่วมด้วยการประกวดวาดภาพบัวผุด ของเด็กๆ ในงาน เขาสก Eco-Tourism Festival 2017
อันที่จริงแล้วป่าเขาสกมีเนื้อที่กว้างขวางกว่า 4 แสนไร่ โดยแบ่งเป็น ภาคพื้นดิน และภาคพื้นน้ำ ในภาคพื้นดินเต็มไปด้วยเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ การดูนก น้ำตก และดอกบัวผุด เป็นพระเอก ส่วนเขาสกภาคพื้นน้ำก็คือ ‘เขื่อนรัชชประภา’ หรือชื่อเดิม ‘เขื่อนเชี่ยวหลาน’ ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้เปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 แม้ว่าจะสูญเสียผืนป่าไปมากมาย แต่ก็แลกมาด้วยการได้เขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงภาคใต้นั่นเอง เมื่อน้ำเอ่อท้นขึ้น ยอดเขาหินปูนที่เคยอยู่สูงลิบ จึงกลายเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยนับร้อยเกาะ รูปลักษณ์เป็นเทือกเขาหินปูนตะปุ่มตะป่ำ แปลกตาน่าชม เหมาะไปล่องเรือ หรือค้างคืน นอนชมธรรมชาติ
เขื่อนเชี่ยวหลานมีเนื้อที่กว้างขวางมาก ตลอดการล่องเรือเราจะได้ประจักษ์ถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ที่ก่อเกิดทุกสรรพสิ่งขึ้นมา ภูมิทัศน์โดดเด่นของบริเวณนี้คือ ‘เทือกเขาหินปูน’ ซึ่งในทางวิชาการเรียกว่า Karst Topography เกิดจากการทับถมของซากอินทรีย์วัตถุใต้ทะเลเมื่อหลายล้านปีก่อน จากนั้นเมื่อเปลือกโลกยกตัวขึ้น แล้วถูกลม ฝน แดด กัดเซาะเป็นเวลานาน จึงสึกกร่อนเหลือเป็นเทือกเขาหินปูนรูปทรงแปลกตาอย่างนี้ล่ะ Landmark สำคัญจุดหนึ่งที่เรือทัวร์นิยมพาคนไปชมก็คือ ‘หินสามเกลอ’ (หินสามพี่น้อง) เป็นแท่งหินปูน 3 แท่งผุดขึ้นจากน้ำ จากจุดนี้วิ่งเรือไปอีกไม่ไกล ก็ถึงแพนางไพร เป็นแพพักของอุทยานฯ เขาสกจอดเรือแวะชมธรรมชาติให้เต็มอิ่ม ที่หินสามเกลอจากหินสามเกลอนั่งเรือหางยาวต่อมาแค่ไม่กี่อึดใจ ก็ถึงแพนางไพรแล้ว เป็นที่พักเรียบง่าย ใกล้ชิดธรรมชาติ เล่นน้ำ พายเรือ ได้ชุ่มฉ่ำสมใจอยากฝูงปลานับร้อยแหวกว่ายในน้ำใสสีมรกตของเขื่อนเชี่ยวหลาน ที่น้ำเป็นสีเขียวมรกตแบบนี้ เป็นเพราะสารแคลเซียมคาร์บอเนตในหินปูนโดยรอบนั่นเอง
การมาเที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน ไม่มีแสงสี ไม่มีร้านสะดวกซื้อ ไม่มีคาราโอเกะ มีแต่ความพิสุทธิ์ของธรรมชาติยิ่งใหญ่เบื้องหน้าให้ซึมซับ นักท่องเที่ยวที่จะมาจึงเป็นกลุ่มรักธรรมชาติ นักนิยมไพร ผู้ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายในเมือง แต่กิจกรรมเขาไม่ได้มีแค่เล่นน้ำ พายเรือเท่านั้น ยังมีการเดินป่าขึ้นจุดชมวิว, เที่ยวถ้ำน้ำทะลุ ถ้ำปะการัง, เดินป่าเข้าไปดูนกเงือกในแพทะเลใน 500 ไร่ และอื่นๆ อีกมากมายเขาสกวันนี้มีมากกว่าที่คิด เมื่อเราได้เข้าไปเยี่ยมชม ‘เขาสก Elephant Hills’ ปางช้างที่ไม่ธรรมดา เพราะตั้งแต่เปิดตัวขึ้นเมื่อเดือนมกราคม ปี ค.ศ.2011 ก็โด่งดังและได้รับรางวัลระดับโลกมากมาย เพราะเขาไม่ได้เปิดให้เข้าชมช้างอย่างเดียว แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติ เข้ามาใช้ชีวิตสัมผัสประสบการณ์แบบ Long Stay ระยะสั้น 3 วัน 2 คืน ได้ใช้ชีวิตอยู่กับช้าง อาบน้ำช้าง ฝึกคำสั่งช้าง โดยที่นี่มีช้างอยู่กว่า 50 เชือก ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ และควาญชาวปกากะญอมืออาชีพสั่งตรงจากจังหวัดเชียงรายความเจ๋ง ความชิลของปางช้าง Elephant Hills คือเขาไม่ได้เลี้ยงช้างในกรงขังให้อึดอัด แต่เลี้ยงในพื้นที่เปิด เป็นธรรมชาติ ตรงกลางพื้นที่เป็นหุบเขาทุ่งหญ้าเขียว ล้อมรอบด้วยเทือกเขาหินปูนสูงตระหง่าน พี่ควาญช้างใจดีชาวปกากะญอ จากอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดเชียงราย เดินทางตรงมาดูแลพี่ช้างให้มีความสุขแหล่งท่องเที่ยวเชิงวิถึชีวิตชุมชน หรือ CBT (Community-Base Tourism) ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในแถบเขาสก ซึ่งผมต้องบอกว่าไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงก็คือ ‘ชุมชนบ้านถ้ำผึ้ง’ ตำบลต้นยวน อำเภอพนม เพราะชุมชนนี้น่ารัก เปิดให้เที่ยวมาเป็นสิบปีแล้วครับ โดยเน้นวิถีชีวิตชุมชนชาวใต้ และพาเดินป่าศึกษาธรรมชาติ ทั้งน้ำตก ถ้ำ บ่อน้ำดันทรายดูด และจุดชมวิว
สนใจสอบถามข้อมูลเที่ยวบ้านถ้ำผึ้ง และจองโฮมสเตย์ ติดต่อ คุณบุญทัน บุญชูตา โทร. 08-9290-9420, 0-7739-9994
เดิมทีพื้นที่แถบบ้านถ้ำผึ้งเป็นป่าดงดิบรกทึบ และเป็นป่าต้นน้ำอุดมสมบูรณ์ กระทั่งปี พ.ศ.2503 ก็เริ่มมีผู้คนเข้ามาอยู่อาศัย ทำสวนผลไม้และเกษตรกรรม จนทุกวันนี้มีประชากรกว่า 1,200 คนแล้ว โดยชื่อ ‘หมู่บ้านถ้ำผึ้ง’ มาจากถ้ำใหญ่แห่งหนึ่งใกล้หมู่บ้าน ซึ่งมักจะมีผึ้งหลวงมาทำรังเป็นจำนวนมากทุกปี ขอบอกว่าตอนแวะเข้าไปกินข้าวเที่ยงที่นี่ อร่อยอย่างแรงตามประสาชาวใต้เลยครับ ทั้งแกงส้มปลากกะพงยอดมะพร้าวอ่อน, ผัดผักเหรียง, ปลากระบอกทอดกระเทียม, น้ำพริกกะปิกับผักเหนาะ ฯลฯ ครบ แถมยังมีกล้วยหอม กล้วยไข่ และกล้วยทอดฝีมือชาวบ้าน มาเสิร์ฟพร้อมรอยยิ้ม
แกงส้มปลากะพงยอดมะพร้าวอ่อนน้ำพริกกะปิ (คนใต้เรียก น้ำชุบ) กินกับผักเหนาะนานาชนิดตามฤดูกาล ทั้งอร่อยและเปี่ยมคุณค่าอาหารผักต้มกะทิ เอาไว้ซดน้ำคล่องคอสไตล์ปักษ์ใต้บ้านเราความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของสุราษฎร์ธานียังไม่จบสิ้น และเกินความคาดหมายของเราเสมอ! คราวนี้ได้เปิดหูเปิดตามาชมแหล่งใหม่ที่ ‘หินพัด’ บ้านยวนสาว ตำบลท่าขนอน อำเภอคีรีรัฐนิคม โดยหินพัดนี้เพิ่งเปิดตัวให้ชมกันเต็มรูปแบบได้ไม่นาน การขึ้นไปชมต้องใช้บริการรถเช่าของชุมชนท่องเที่ยวบ้านยวนสาวขึ้นไป จากนั้นเดินต่ออีกราวๆ 200 เมตร จนถึงยอดเขาที่มีลักษณะเป็นผาหินสีดำโล่งเตียน และที่ปลายสุดของผาหินนี้เอง คือที่ตั้งของ ‘หินพัด’ ที่ชวนให้นึกถึงพระธาตุอินทร์แขวนในเมียนมา!จากเชิงเขาต้องนั่งรถกระบะขึ้นไปก่อน ตอนไปเที่ยวโชคดีป่ายางรอบๆ กำลังผลัดใบช่วงต้นฤดูร้อน ทำให้ผืนป่าแถวนี้กลายเป็นสีเหลืองสีแดง คล้ายป่าผลัดใบในต่างประเทศเลย ฮาฮาฮา นี่ก็ Unseen สุราษฎร์ฯ อีกอย่างที่คนต่างถิ่นไม่ค่อยได้เห็น หรือให้ความสำคัญ แต่สำหรับคนรักธรรมชาติกับคนชองถ่ายรูปอย่างเรา วิวอย่างนี้มัน Amazing เหลือหลาย!ป่ายางผลัดใบระหว่างทางขึ้นไปชมหินพัดบ้านยวนสาวถึงแล้ว ‘หินพัด’ มหัศจรรย์แห่งหินผาที่ตั้งโดดเด่นอยู่กลางลานหินโล่ง ราวกับมีคนไปจับวางไว้อย่างน่าอัศจรรย์! แม้ว่าส่วนฐานที่มันสัมผัสกันอยู่นั้นจะกว้างแค่ราวๆ 1 เมตร แต่ก็ทำให้หินพัดสูง 8 เมตร ยืนอยู่ได้อย่างสมดุลย์อย่างเหลือเชื่อ! นับเป็นประติมากรรมธรรมชาติที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้ง ประวัติเล่าว่าในอดีตผู้คนแถบบ้านยวนสาวเล่าขานกันมานานแล้ว ว่าบนภูเขาลูกนี้มีหินประหลาดตั้งอยู่ได้โดยไม่ล้ม กระทั่ง คุณวิชิต จิตรสม ได้ดั้นด้นเดินป่าขึ้นมาค้นพบด้วยตนเองเมื่อสิบกว่าปีก่อน แล้วปลุกปล้ำประชาสัมพันธ์จนหินพัดเป็นที่รู้จักหินพัด ในมุมมองต่างๆ มีรูปร่างผิดแผกกันไป บางมุมเหมือนหน้าคน บางมุมเหมือนพัด บางมุมคล้ายรูปหัวใจ สุดแล้วแต่จินตนาการของแต่ละคน จากจุดที่หินพัดตั้งอยู่ มองออกไปเบื้องหน้าจะเห็นวิวภูเขา ป่ายางผลัดใบ ได้กว้างไกลสุดสายตา แหม… วันนี้น้องสาวคนสวย ขอกอดหินพัดให้มีความสุขสักครั้งจากแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่เราเข้าไปสัมผัสกันแบบลึกซึ้งถึงพริกถึงขิงเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็ถึงคิวเปลี่ยนบรรยากาศ ไปกราบพระขอพร ตื่นตากับสถาปัตยกรรมพุทธศิลป์ที่ไม่เหมือนใครกันบ้าง ณ ‘อุทยานธรรมเขานาในหลวง’ หมู่ 8 บ้านเขานาใน ตำบลต้นยวน อำเภอพนม มหัศจรรย์แห่งศรัทธาในพระพุทธศาสนา ที่เนรมิตให้เกิดมหาเจดีย์ลอยฟ้ายิ่งใหญ่บนยอดเขาหินปูนสูงลิบได้อย่างเหลือเชื่อ! ท่านเจ้าอาวาสแห่งอุทยานธรรมเขานาในหลวง ได้เล่าให้ฟังว่าสำนักสงฆ์แห่งนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน เมื่อสมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อน ได้พระราชทานพระบรมสารีริกธาตุจากอินเดียมาให้ จำนวน 9 องค์ ท่านจึงมีความตั้งใจว่าจะสร้างมหาเจดีย์ขึ้นบนยอดเขาในบริเวณนี้ 9 ยอด เพื่อใช้ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุดังกล่าว จึงร่วมแรงร่วมใจกับชาวบ้านช่วยกันสร้างแล้วเสร็จในปัจจุบัน 2 องค์ (องค์ที่ 3 กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะเสร็จก่อนเดือนตุลาคมปี 2560) โดยไม่ได้ใช้เงินจากราชการเลยแม้แต่บาทเดียว อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ได้มีพระจากวัดอื่นมาขอพระบรมสารีริกธาตุไปแล้ว 2 องค์ ทำให้โครงการสร้างเจดีย์ลอยฟ้า จาก 9 ยอด จึงเหลือเพียง 7 ยอดเท่านั้น
วันที่ผมไปเที่ยว เวลาค่อนข้างน้อย จึงเลือกเดินขึ้นไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุบนเจดีย์ลอยฟ้าองค์ที่ 2 เท่านั้น โดยทางขึ้นแม้จะดูชัน แต่ก็มีการสร้างเป็นบันไดคอนกรีตพร้อมราวเหล็กให้จับกันตกอย่างดี มีจุดพักเป็นช่วงๆ ไม่น่าหวาดเสียว แต่ด้วยทางเดินที่แคบ จึงต้องหลบกันเป็นช่วงๆ ยิ่งเดินสูงขึ้นวิวก็ย่ิงตระการตา เผยภูมิทัศน์ที่แท้จริงของอุทยานธรรมเขานาในหลวงให้เห็น คือเป็นหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยยอดเขาหินปูนมากมายใช้เวลาแค่ 15-20 นาที เหงื่อยังไม่ทันชุ่มหลัง ผมก็ลุขึ้นถึงยอดเขาอันเป็นที่ประดิษฐานพระมหาเจดีย์ลอยฟ้าองค์ที่ 2 นามว่า พุทธศิลาวดี จากยอดเขานี้มองออกไปโดยรอบ เห็นสวนยางพาราและบ้านเรือนตั้งกระจายอยู่ทั่วไป พร้อมด้วยภูเขาหินปูนลูกย่อมๆ ที่ผลุบโผล่ขึ้นมาจากที่ราบอันสวยงาม น่าตื่นตาตื่นใจดี
ชาวบ้านเล่าว่า เหตุที่แถบนี้ได้ชื่อว่า เขานาใน เพราะในอดีตด้านหลังเขาลูกนี้ เคยมีนาของชาวบ้านอยู่ด้วย ทว่าปัจจุบันเปลี่ยนเป็นป่ายางพาราไปหมดแล้ว น่าเสียดายเนอะพระมหาเจดีย์ลอยฟ้าองค์ที่ 1 เมื่อมองจากยอดเขาพระมหาดเจดีย์องค์ที่ 2พระมหาเจีดย์ลอยฟ้าพุทธศิลาวดี สร้างขึ้นจากศิลาแลงอย่างดีที่นำมาจากจังหวัดกำแพงเพชรโดยตรง ด้านหน้ามีบ่อน้ำเล็กๆ พร้อมดอกบัวเบ่งบาน คล้ายปริศนาธรรมบัว 4 เหล่า นอกจากจะได้ขึ้นมากราบสักการะให้เป็นสิริมงคลกับชีวิตแล้ว ยังเหมาะจะชมวิวจากมุมสูงด้วย คุ้มค่ากับการปีนเขาครั้งนี้จริงๆ ครับ
ภายในพระมหาเจดีย์พุทธศิลาวดี เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุจากอินเดีย (องค์กลางใหญ่สุด) รายล้อมด้วยอัฐิธาตุของพระสงฆ์สำคัญๆ หลายองค์ ก่อนกลับบ้านในทริปนี้ เราเก็บความทรงจำดีๆ ของป่าเขาสก และสถานที่น่าสนใจอีกหลายแหล่งแห่งที่ไว้ในใจ จากนั้นก็เดินทางกลับเข้าสู่ตัวเมืองสุราษฎร์ธานี แน่นอนว่า ‘ศาลหลักเมืองสุราษฎร์ธานี’ คือสถานที่สำคัญ ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนี้ ที่เราต้องไม่พลาด โดยภายนอกสร้างด้วยศิลปะศรีวิชัย ให้แลคล้ายพระบรมธาตุไชยาเสาหลักเมืองสุราษฎร์ธานี สร้างด้วยไม้ชัยพฤกษ์ สูง 108 นิ้ว เส้นผ่าศูนย์กลาง 20 นิ้ว ล้อมรอบ 4 ทิศด้วยเสาสี่ต้น หัวเสาจำหลักเป็นรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หันพระพักตร์ไป 4 ทิศ ช่วยปกปักรักษาคุ้มครองบ้านเมืองให้สงบสุข ร่มเย็น สร้างขึ้นเพื่อถวายพระเกียรติ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี เมื่อ พ.ศ. 2539
อีกหนึ่งสถานที่สำคัญทางศาสนา ซึ่ง ททท. สำนักงานสุราฎษร์ธานีเคยชวนมาเที่ยว ในโครงการ 5 ศาลเจ้า 9 วัด และยังคงอยู่ในความสนใจของผู้ศรัทธาอย่างไม่เสื่อมคลายก็คือ ‘พระโพธิสัตว์กวนอิมหินแกรนิตขาว’ สูง 12 เมตร ซึ่งถือว่าเป็นรูปสลักหินเจ้าแม่กวนอิมจากหินแรกนิตขาวองค์สูงที่สุดในเมืองไทย จัดสร้างแล้วส่งตรงเข้ามาจากเมืองจีน ประดิษฐานอยู่ที่ มูลนิธิมุทิตาจิตธรรมสถาน ถนนหน้าเมือง เยื้องห้างโคลีเซียม (โทร. 0-7727-2556)
ความงามของพระโพธิสัตว์กวนอิมหินแกรนิตขาว อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี
ปิดท้ายทริปเที่ยวสุราษฎร์ฯ เก๋ไก๋สไตล์ลึกซึ้ง กับของกินอร่อยๆ ขึ้นชื่อมานาน นั่นคือ ‘กุ้งแม่น้ำสุราษฎร์ฯ’ ที่ทั้งสด ทั้งตัวใหญ่ เนื้อหวานเจี๊ยบแน่นสู้ปาก ไปชิมกุ้งแม่น้ำกันที่ ร้านบางปึก ตำบลพุนพิน อำเภอพุนพิน (โทร. 0-7744-1537) เปิดทุกวันตั้งแต่ 10.00-21.00 น. แต่ขอโทษนะ ถ้าไม่โทรไปจองกุ้งไว้ก็อาจไม่ได้กินครับ เพราะร้านนี้ลูกค้าประจำเยอะมาก นั่งหม่ำกุ้งไป ชมวิวแม่น้ำไปด้วยเพลินๆ เพราะร้านนี้ตั้งอยู่ติดแม่น้ำตาปีเลยจ้า ลมพัดเย็นสบายจริงๆ
เมนูขึ้นชื่ออีกอย่างของร้านบางปึก คือ ไก่ต้มน้ำปลาเมื่ออิ่มจากของคาวแล้ว ก็ล้างปากด้วย ข้าวเหนียวมะม่วงน้ำดอกไม้ แสนอร่อย หอมหวานชื่นใจปิดท้ายทริปกับ ‘ข้าวหลามบ้านน้ำรอบ’ อำเภอพุนพิน ข้าวหลามพื้นบ้านของชาวสุราษฎร์ฯ ที่ขึ้นชื่อลือชาในรสชาติมานับสิบปี มีขายกันหลายเจ้าริมถนน จุดเด่นคือเป็นข้าวหลามที่ยังเผาด้วยกรรมวิธีพื้นบ้าน จึงให้รสชาตินวล กลิ่นหอมของเนื้อไม้ไผ่และฟืน มีทั้งข้าวเหนียวขาวและดำให้เลือก ใครจะไปเดินป่าเขาสกซื้อติดไว้กินได้หลายวัน อิ่มท้องให้แรงดีเลยจ้า ฮาฮาฮาทริปเที่ยวสุราษฎร์ฯ เก๋ไก๋สไตล์ลึกซึ้ง จบลงอย่างน่าประทับใจ พร้อมกับประสบการณ์และมุมมองใหม่มากมาย เพราะเมืองไทยเราช่างกว้างใหญ่ มีอะไรให้สนุก ให้สัมผัส ให้เรียนรู้ อย่างไม่รู้จบ ขอเพียงเราเปิดใจ พาตัวและหัวใจเข้าสู่ชุมชน เข้าสู่ธรรมชาติ แล้วเราจะพบว่า เมืองไทยเรานี้ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน!Special Thanks : คุณจินตนา สุวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุราษฎร์ธานี สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-7728-8817-9 E-mail : tatsurat@tat.or.th
Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!