เที่ยวไป กินไป Style บุรีรัมย์ (ตอน 4)
หนึ่งคืน กับห้องนอนรวมเรียงกันเป็นตับ กับพัดลมตัวเดียวในบ้านพักของหน่วยพิทักษ์ป่าละเลิงร้อยรู ทำให้เรารู้ซึ้งถึงคำว่า “การแบ่งปัน” ระหว่างหมู่มิตร กระทั่งเสียงนาฬิกาปลุกของทุกคนดังขึ้นพร้อมกันตอนตี 4 ตรงเผง! เป็นสัญญาณให้ต้องรีบขุดตัวเองขึ้นจากฟูกนอนอุ่นๆ เพื่อรีบล้างหน้าแปรงฟัน แต่งตัวออกไปซดกาแฟร้อนๆ แล้วขับรถออกไปรอชมแสงแรกของตะวันในป่าดงใหญ่ ดูซิว่าเช้านี้จะมีสัตว์อะไรออกมาให้เห็นบ้าง?
ขับรถตระเวนออกไปตามถนนสายเล็กๆ กลางป่า ผ่านทุ่งหญ้าโล่งที่มีหญ้าระบัดเขียวสดงอกงามอยู่มากมาย ทริปนี้เตรียมพร้อม ผมเลยพกเลนส์ถ่ายภาพตัวใหญ่ไปด้วย 150-600 มิลลิเมตร พร้อมด้วยกล้อง Nikon D4 ระดับสุดยอด ทว่าเช้านี้ได้ยินแต่เสียงน้องช้างส่งเสียงร้องคุยกันอยู่ในป่าลึก ห่างจากถนนมาก เลยไม่ได้เก็บภาพตามที่หวัง…
นี่ล่ะครับ มาเที่ยวธรรมชาติ ก็ต้องเข้าใจธรรมชาติ ต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับจังหวะลมหายใจของป่าด้วย
ทุ่งหญ้าในยามเช้าที่ยังพอมีน้ำค้างพร่างพรมอยู่บนยอดหญ้า สะท้อนแดดพร่างพราวงามตา เป็นรางวัลที่ป่าดงใหญ่มอบให้คนรักการแรมทางไม่กลัวความลำบากอย่างพวกเรา
ขับรถเข้าป่ามาลึกพอดู จนถึง “อ่างเก็บน้ำลำนางรอง” พี่ยักษ์เล่าว่า ปีนี้น้ำน้อยผิดปกติ ตอไม้เลยโผล่ให้เห็น เป็นสัญญาณว่าภาวะโลกร้อนปีนี้รุนแรงกว่าทุกปี เพราะมนุษย์อย่างเราๆ นี่ล่ะ ที่ไม่เคารพธรรมชาติ ถึงเวลาธรรมชาติเอาคืนบ้างนะครับ!
ระหว่างทางขับรถมาเพลินๆ ทันใดนั้นก็จ๊ะเอ๋เข้ากับ นกยูงไทยตัวผู้ ที่แอบมาซุ่มดูเราอยู่ในพงหญ้ารกเป็นเครื่องกำบัง นี่เป็นครั้งที่ 3 ในชีวิตผม ที่มีโอกาสเห็นนกยูงในสภาพธรรมชาติจริง หลังจากครั้งแรกเคยเห็นมาแล้วที่ป่าห้วยขาแข้ง จ.อุทัยธานี รวมถึงป่าแม่วงก์ จ.นครสวรรค์ ดีใจบอกไม่ถูก ที่ได้เห็นนกอันแสนสง่างามนี้อีกครั้ง เพราะนกยูงไทยในธรรมชาติมีเหลือน้อยมาก จนใกล้สูญพันธุ์แล้วครับ!!!
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ ยังเป็นแหล่งดูผีเสื้อที่ดีมากอีกแห่งหนึ่งของไทย โดยเฉพาะในฤดูฝนนี่ล่ะ ในบริเวณริมลำธาร หรือโป่งต่างๆ ยามเช้าจะมีฝูงผีเสื้อมารวมตัวกันเป็นร้อยๆ น่ารักมากครับ ในรูปนี้มีทั้งผีเสื้อเณร ผีเสื้อสะพายฟ้า และผีเสื้อหางติ่ง ว้าว! สุดยอดไปเลย! นี่ก็เป็นรางวัลอีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งป่าดงใหญ่มอบให้พวกเรา
จริงๆ แล้วป่าดงใหญ่เป็นเพียงส่วนเสี้ยวหนึ่งของผืนป่ามรดกโลก ดงพญาเย็น-เขาใหญ่ เนื้อที่กว่า 3.8 ล้านไร่ เป็นกลุ่มป่าขนาดใหญ่ของพื้นที่อนุรักษ์ 6 แห่ง คือ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่, อุทยานแห่งชาติทับลาน, อุทยานแห่งชาติปางสีดา, อุทยานแห่งชาติตาพระยา, อุทยานแห่งชาติพระพุทธฉาย และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ ด้วย
แดดเร่ิมแรงขึ้น พร้อมกับหลายคนเริ่มบ่นหิวแล้ว ก็ได้เวลากลับมาที่หน่วยพิทักษ์ป่าละเลิงร้อยรู ช่วยกันทำกับข้าว จากของสดที่ซื้อก่อนเข้าป่ามาเมื่อเย็นวาน มื้อเช้านี้นางเอกคือคุณพิม แห่งครัวบ้านพิม หัวหน้าทีมของเราเอง ดีใจได้กินผัดผักบุ้งกับไข่เจียวฟูๆ ร้อนๆ อร่อยๆ จากฝีมือคุณพิม ซึ้ง น้ำตกจิไหลครับ!
คุณพิมกับน้องพัชชี่ ช่วยกันทอดไข่เจียวขั้นสุดยอด! ฟู เหลืองนวล น่ากินมากๆๆๆๆ
Breakfast ง่ายๆ แบบคนอยู่ป่า แต่ขอบอกว่ารสชาติยังกับขึ้นเหลา ฮาฮาฮา ไม่ได้โม้ เพราะมื้อนี้คุณพิมลงมือเองเลย
น้องพัชชี่ครับ เช็ดน้ำลายนิดนึงครับ! ขอพี่ก่อนเลย ไข่เจี้ยวนั้นพี่เล็งไว้แล้วนะ ฮาฮาฮา
ก่อนจะโบกมือลาธรรมชาติผืนป่าดงใหญ่ กลับเข้าสู่โลกแห่งความเจริญและความเป็นเมืองอีกครั้ง เราได้มอบพัดลมที่ซื้อมาใหม่เอี่ยม (และเพิ่งใช้ไปครั้งเดียวเมื่อคืนตอนนอน) ฝากไว้เป็นที่ระทึก เอ้ย! ที่ระลึก ให้กับหน่วยพิทักษ์ป่าละเลิงร้อยรู เอาไว้ใช้งานกันครับ เราขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกคนนะ ที่เสียสละความสุขส่วนตัวมาเฝ้าป่าไว้ให้คนไทย!
พี่ยักษ์ หรือพี่สมพงษ์ สุโขพันธ์ แห่งหน่วยพิทักษ์ป่าละเลิงร้อยรู บุคคลที่น่ายกย่อง ชื่นชม ในความทุ่มเทรักษาป่า และเป็นผู้หนึ่งที่รู้เรื่องสัตว์ป่าในป่าดงใหญ่ดีที่สุดครับ เรารักพี่นะพี่ยักษ์ สู้ๆ ครับ!
บ้ายบาย… หน่วยฯ ละเลิงร้อยรู ว่างๆ จะกลับมาเยี่ยมใหม่นะคร้าบพี่
โบกมือลาผืนป่า ขับรถกลับเข้าสู่อารยธรรมความเป็นเมืองอีกครั้ง…
จากอำเภอโนนดินแดง พวกเราเริ่มการเดินทางอันยาวไกลไปบนถนนหลวงอีกครั้ง โดยย้อนกลับไปทางอำเภอประโคนชัย เพื่อเข้าไปเรียนรู้วิถีชาวบ้านอันแสนน่ารัก ที่ “ชุมชนบ้านโคกเมือง” ซึ่งเขามีชื่อเสียง ได้รับรางวัลชนะเลิศการท่องเที่ยวชุมชน และโฮมสเตย์ระดับประเทศมาแล้วมากมาย ในหมู่บ้านมีการแบ่งเป็นฐานเรียนรู้ต่างๆ เพียบ จะเดิน หรือจะปั่นจักรยานเที่ยวก็สุขใจไม่แพ้กันจ้า
แต่ทริปนี้เวลาไม่พอ เรามันคนบ้านไกลเวลาน้อย เลยเยี่ยมชมได้ไม่ครบทุกฐานการเรียนรู้อ่ะจ้า พี่น้อย ผู้นำกลุ่มท่องเที่ยวชุมชนบ้านโคกเมือง เป็นสาวร่างบอบบาง แต่มาดมั่นแข็งแรง มาต้อนรับเราด้วยตัวเองท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ จุดแรกเลยขอชมการทอเสื่อกกหน่อยดีกว่าครับพี่น้อย
เส้นกกที่ผ่านการรีดเส้นจนเท่ากันหมดแล้ว จะถูกนำไปย้อมสีแล้วตากให้แห้ง เตรียมนำมาทอครับ
ค่อยๆ ใจเย็นๆ ทอไปทีละเส้นอย่างประณีต ตามลวดลายที่สอนสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น จนได้ผลิตภัณฑ์เสื่อกกแสนสวย ซึ่งทุกวันนี้มีการดัดแปลงนำมาประดิษฐ์เป็นกระเป๋าเก๋ไก๋น่าใช้ทรงต่างๆ ด้วยจ้า
น้องพัชชี่อดรนทนไม่ไหว ขอคุณป้าทดลองสานเสื่อกกดูสักหน่อย การทอน่ะไม่ยาก ยากตรงการสร้างลายนั่นเอง!
จากฐานการเรียนรู้เสื่อกก ถัดมาคือการทอผ้าไหม ซึ่งเอกลักษณ์คือซิ่นตีนแดง ในภาพนี้เราจะเห็นเลยว่ามีการขึงไหมเส้นยืนเป็นสีแดงเตรียมไว้ด้วยส่วนหนึ่งแล้ว
จากไหมเพียงเส้นเดียว ผ่านกระบวนการผลิตอันประณีต และความใส่ใจในทุกรายละเอียด ในที่สุดก็ได้ความงามของแพรพรรณแวววาวล้ำค่า ขอบอกว่าเวลาซื้อกรุณาอย่าต่อราคาเลยครับ เพราะกว่าได้ผ้าไหมสักผืน มันต้องทุ่มเทจริงๆ ถือเป็นการกระจายรายได้ ช่วยชาวบ้านให้มีกำลังใจสืบสานหัตถศิลป์ของแผ่นดินแขนงนี้ต่อไปจ้า
พลาดไม่ได้เลย กับฐานการเรียนรู้พืชสมุนไพร ที่ชาวบ้านโคกเมืองรู้จักคิดประดิษฐ์ดัดแปลง ทำเป็นผลิตภัณฑ์น่าใช้หลากหลาย มีตั้งแต่สบู่, ยาสระผม, ครีมอาบน้ำ, ครีมล้างหน้า, ลูกประคบ, ยาหม่อง ฯลฯ ทั้งหมดเป็นฝีมือชาวบ้านโคกเมืองแท้ๆ จ้า แต่ในส่วนของผลิตภัณฑ์สมุนไพรจะไม่ผลิตค้างไว้คราวละมากๆ จะทำใหม่เสมอ เพื่อให้ได้ของมีคุณภาพ
พอฝนหยุดตก น้องพัชชี่ก็ขอยืมจักรยานพี่น้อยมาปั่นเที่ยวเล่นในชุมชน ถือเป็นการท่องเที่ยวแบบ Slow Travel และ Low-Carbon Travel สุดๆ เลยครับน้อง ซึ้ง น้ำตกจิไหล!
ที่ศูนย์ผลิตภัณฑ์ชุมชน เป็นแหล่งจำหน่ายงานหัตถกรรมฝีมือชาวบ้านโคกเมือง เห็นไหมว่าเขาตั้งใจและจริงจังสุดๆ
ผ้าไหมทอมือสวยๆ จากบ้านโคกเมืองจ้า
นอกจากในเรื่องของใช้สวยๆ งามๆ แล้ว บ้านโคกเมืองยังดำรงวิถีเกษตรพอเพียง ปลูกพืชแบบไม่ใช้ยาฆ่าแมลง เราจะเห็นว่าหลายครัวเรือนมีแปลงพืชผัก สมุนไพร ปลูกอยู่ข้างๆ บ้านเลย สามารถลดค่าใช้จ่ายได้มาก จะทำกับข้าวอะไรก็เดินลงไปใน Super Market ข้างบ้าน ได้สบายจ้า
ความน่ารักอย่างสุดท้ายของบ้านโคกเมือง คือเขามีโฮมสเตย์ให้นักท่องเที่ยวมาพักค้างคืนด้วย ค่าใช้จ่ายก็ไม่แพง คืนละไม่กี่ร้อยต่อคน แถมด้วยอาหารครบมื้อ! โดยบ้านที่ได้รับการคัดเลือก จะมีมาตรฐานสะอาด ปลอดภัย จนได้รับรางวัลโฮมสเตย์ระดับประเทศมาแล้วอ่ะจ้า
หลายคนไม่เข้าใจคำว่า โฮมสเตย์ (Homestay) จริงๆ แล้วจะเป็นโฮมสเตย์ได้ แขกที่มาพัก (นักท่องเที่ยว) ต้องนอนกับเจ้าบ้าน โดยเจ้าบ้านแบ่งห้องส่วนหนึ่งให้พักด้วยกัน เพื่อจะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ทั้งด้านวิถีชีวิตและวัฒนธรรม ได้มาเห็นที่บ้านโคกเมืองแล้วชื่นใจ เพราะนี่ล่ะ โฮมสเตย์ขนานแท้เลยจ้า
แม่ใหญ่ Hipster แห่งบ้านโคกเมือง เห็นแว่นของแม่แล้วผมให้รางวัลชนะเลิศไปเลยอ่ะจ้า ฮาฮาฮา
หนึ่งในห้องนอนของบ้านพักโฮมสเตย์บ้านโคกเมือง รับรองว่าอุ่นสบาย ปลอดภัย หลับฝันดีครับ
เย็นมากแล้ว ขณะที่เราขับรถออกจากบ้านโคกเมือง ตรงสู่อำเภอนางรอง แต่ก่อนเข้าที่พัก คงต้องแวะหาอาหารอร่อยๆ ขึ้นชื่อของที่นี่หม่ำกันก่อนล่ะ แน่นอน ไม่พลาด “ขาหมูนางรอง” วันนี้ขอชิม ร้านลักษณา ก่อน เป็นร้านเก่าแก่ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่รู้จักดี วันนี้ไม่ต้องรีบ เพราะร้านโล่ง เป็นวันธรรมดา เลยไม่ต้องแย่งกับใคร ฮาฮาฮา
วันธรรมดาก็น่าเที่ยวอย่างนี้ล่ะคร้าบ…
ดูกันชัดๆ กับความน่าหม่ำของ ขาหมูนางรอง ร้านลักษณา เป็นขาหมูตุ๋นเครื่องยาจีน น้ำราดออกหวานนำ ขาหมูนิยมเสิร์ฟแบบหั่นมาเป็นชิ้นๆ ไม่ใช่เป็นขาแบบบางร้าน ส่วนเนื้อขาหมูโดยส่วนตัวผมว่านุ่มดี กินแกล้มกลับผักกาดดองเปรี้ยว และน้ำจิ้มรสเปรี้ยวเผ็ด เข้ากั้นเข้ากัน
ร้านลักษณาไม่ได้มีแต่ขาหมูให้ชิม ยังมีกับข้าวอื่นมาเสริมทัพความอร่อยอีกเพียบ วันนี้เราขอชิมสะตอผัดกุ้งพริกแกง, น้ำพริกปลาทู และห่อหมกใบยอ ส่วนกระเทียมสดที่ใส่ถ้วยวางไว้กลางวง ขอร้อง ใครห้ามแย่ง! เพราะอันนี้ชอบมากๆกินแล้วรู้สึกกระชุ่มกระชวยเหมือนหนุ่มขึ้นอีกสักสิบปีเลยครับ ฮาฮาฮา
อีกวันอันแสน Amazing จิงกาเบลที่บุรีรัมย์ กำลังจะผ่านไปแล้ว ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งหลงรักจังหวัดนี้ เพราะดูเหมือนจะมีเรื่องราวสนุกๆ ให้ค้นหาไม่รู้จบ คืนนี้เราเข้าพักที่โรงแรมพนมรุ้งปุรี อำเภอนางรอง โรงแรมหรูระดับแนวหน้าแห่งหนึ่งในบุรีรัมย์ พรุ่งนี้จะได้มีแรงออกไปเที่ยวกันต่อเนอะ
ขอขอบคุณ ผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ ของโครงการ “The Amazing Journey Blogging Contest” 2015
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กองประชาสัมพันธ์ในประเทศ ฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
และ 1672 เบอร์เดียว เที่ยวทั่วไทย
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ
โทร. 0-4451-4447-8 อีเมล tatsurin@tat.or.th
Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!