เที่ยวทั่วโลก

Seoul Sparkling! Korea

ขอต้อนรับสู่ โซล” (Seoul) มหานครอันสวยงาม ทันสมัย ยิ่งใหญ่ บ้านของคนกว่า 10 ล้านคน ศูนย์กลางของเกาหลีใต้ ที่มีบรรยากาศน่าเที่ยว สงบ งดงาม แต่งแต้มด้วยธรรมชาติ ทว่าไม่ขาดสีสันการช้อปปิ้งและความทันสมัย โดยเฉพาะในด้านสิ่งแวดล้อมนั้น ว่ากันว่าโซลเป็น “มหานครสีเขียวแห่งการอนุรักษ์” หรือ Eco-City ที่แท้จริงอีกด้วย

            คลื่นนักท่องเที่ยวไทยที่หลั่งไหลไปโซลกันปีละหลายแสนคน! เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีถึงคำว่า “Korea Fever” หรือ กระแสคลั่งเกาหลี!” ที่คนไทยแทบทุกระดับชั้นกำลังเป็นกันอยู่ขณะนี้!

3

พระราชวังเคียงบกกุง” (Gyeongbokgung Palace) เป็นพระราชวังยิ่งใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ เพราะถือเป็น 1 ใน 5 พระราชวังที่สร้างขึ้นสมัยราชวงศ์โชซอน เมื่อ พ.ศ. 1937 เป็นพระราชวังหลวงสำหรับกษัตริย์ออกว่าราชการ รวมถึงเป็นที่ประทับของเหล่าเชื้อพระวงศ์มาโดยตลอด แม้ว่าพระราชวังเคียงบกกุงดั้งเดิม จะถูกกองทัพญี่ปุ่นบุกทำลายไปซะส่วนใหญ่เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ! (ประมาณ พ.ศ. 2135) แต่ภายหลังก็ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่จนงดงามวิจิตรใกล้เคียงของเดิม

ชื่อพระราชวังเคียงบกกุงในภาษาเกาหลี แปลว่า พระราชวังแห่งพรที่ส่องสว่าง (The Palace of Shining Blessings) อดีตเคยมีตำหนักต่างๆ อยู่มากถึง 200 หลัง! ทว่าปัจจุบันเหลืออยู่แค่ 10 หลังเท่านั้น แต่ภายในพื้นที่กว่า 5.4 ล้านตารางฟุต! ก็ยังชวนให้จินตนาการถึงเศษเสี้ยวแห่งความอลังการในอดีตได้ดี    จุดเด่นการท่องเที่ยวที่นี่คือการย้อนรำลึกบรรยากาศเก่าๆ ได้ชมสถาปัตยกรรมอันสวยสด โดยเฉพาะการก่อสร้างที่ยังใช้ไม้และหินเป็นวัสดุหลัก เราจะเห็นการจำหลักไม้อันวิจิตรน่าทึ่ง! แนะนำให้ไปเที่ยวในช่วงวันที่ 3 หรือ 4 ตุลาคม (วันชาติเกาหลี) จะมีพิธีเฉลิมฉลองใหญ่ ตื่นตาตื่นใจมาก

 Info : เปิดทุกวัน (ยกเว้นวันอังคาร) เดือนมีนาคม-ตุลาคม เปิด 9:00-18:00 น. เดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ เปิด 9:00-17:00 น. ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 3,000 วอน เด็ก 1,500 วอน สอบถาม โทร. +82-2-3700-3900 การเดินทาง ใช้รถไฟใต้ดิน สาย 3 ลงสถานี Gyeongbokgung ออกทางออกที่ 5 หรือใช้รถไฟใต้ดิน สาย 5 ลงสถานี Ganghwamun ทางออกที่ 1 แล้วเดินต่ออีก 400 เมตร

2

4

5

6

8

9

10

11

1

หลายคนรู้จัก โซลทาเวอร์(Seoul Tower หรือ N Seoul Tower : N ย่อมาจากชื่อภูเขานัมซาน “Numsan” ที่หอคอยนี้ตั้งอยู่) ในฐานะ 1 ใน 18 หอคอย สูงที่สุดของโลก! คือสูงถึง 237 เมตร แต่อีกหลายคน กลับรู้จักหอคอยยักษ์แห่งนี้ในฐานะ หอคอยแห่งความรักโรแมนติก เพราะหนังเกาหลีเคยใช้ที่นี่เป็นโลเกชั่นมาแล้ว โดยเฉพาะฉากซึ้งๆ ที่พระเอกนางเอกจะนำแม่กุญแจมาคล้องล็อกความรักเอาไว้คู่กัน สาวกหนังเกาหลีเลยตามรอยมา!  ทุกวันนี้จึงมีแม่กุญแจเป็นแสนๆ อันถูกแขวนไว้ในราวเหล็กรอบๆ โซลทาวเวอร์! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ!

            ภูเขานัมซานใจกลางกรุงโซลคือที่ตั้งของโซลทาวเวอร์ เป็นจุดชมวิว 360 องศา สุดสายตาพาโนรามา มองลงมาเห็นกรุงโซลจากมุมสูงได้เต็มตาเต็มอิ่ม บนนั้นแบ่งเป็น 3 โซน ทั้งโซนทาวเวอร์ โซนพลาซ่า และโซนล็อบบี้ ที่เจ๋งสุดของโซลทาวเวอร์น่าจะเป็นลิฟต์ขึ้นหอคอยที่มีความเร็วสูงถึง 4 เมตรต่อวินาที! สุดยอด!

ไฮไลท์อีกอย่างคือ “กุญแจคู่รัก” (N Seoul Tower Of Lover Keys) ด้วยความเชื่อว่า คู่รักคู่ใดมาคล้องกุญแจที่นี่จะทำให้รักยืนยาว จุดคล้องกุญแจอยู่ตรงฐานของโซลทาวเวอร์ เราต้องเขียนข้อความหรือชื่อคู่รักไว้บนแม่กุญแจ นำแม่กุญแจไปคล้องกับรั้วเหล็ก ส่วนลูกกุญแจต้องทิ้งไป

 Info : โซลทาวเวอร์เปิดให้เที่ยวทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-23.00 น. ถ้าชมอยู่ภายนอกไม่เสียตังค์ แต่ถ้าเข้าชมภายในหอคอย และขึ้นลิฟต์ไปด้านบนด้วย ผู้ใหญ่ต้องจ่าย 8,500 วอน เด็ก 4,00 วอน คนชรา 6,000 วอน การเดินทางไปชม สามารถขึ้นกระเช้าจากสวนนัมซานที่ตีนเขา ไป-กลับ ผู้ใหญ่ 6,300 วอน เด็ก 4,000 วอน หรือจะนั่งรถบัสขึ้นมาแล้วเดินต่ออีกนิดก็ได้ ถือเป็นการออกกำลังกายไปในตัว

2

3

4

12

13

14

 ท่ามกลางตึกสูงระฟ้า ท่ามกลางย่านช้อปปิ้งอันคึกคักเปี่ยมด้วยสีสัน ท่ามกลางจังหวะที่ก้าวไปไม่หยุดหย่อนในมหานครโซลแห่งนี้ ยังมีเมืองโบราณอายุกว่า 600 ปี ซุกซ่อนอยู่ในอ้อมกอดของความทันสมัยนั้น เรากำลังกล่าวถึง เมืองเก่าบุกชน(Bukchon Hanok Village) หมู่บ้านโบราณที่เป็นเสมือนแคปซูลเวลา สามารถพาเราย้อนกลับไปสู่โซลสมัยราชวงศ์โชซอนได้จริงๆ!

            คำว่า “ฮันอก” (Hanok) ในภาษาเกาหลีหมายถึง “บ้านสไตล์โบราณ” ถ้านึกไม่ออก ให้ลองนึกถึงบ้านของหนังจีนยุทธจักรที่เราเคยดูกันในทีวี คล้ายๆ แบบนั้นล่ะ มักจะเป็นบ้านชั้นเดียว มีรั้วหินหรือไม้เตี้ยๆ ล้อม หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผาลอนโค้ง ประตูมักจะเป็นไม้บานใหญ่ๆ แต่ที่นี่ดี เพราะทั้งหมดยังมีคนอยู่อาศัย จึงเป็นเมืองเก่าที่ยังมีลมหายใจ มีชีวิต บางส่วนเปลี่ยนโฉมเป็น Art Gallery ร้านอาหาร ร้านกาแฟน่านั่ง เป็นพิพิธภัณฑ์ ร้านขายของที่ระลึก งานทำมือ หรือบ้างก็เป็น Work Shop ที่เราสามารถเข้าไปลองทำงานศิลป์ได้ เมืองเก่าบุกชนตั้งอยู่ในพื้นที่กึ่งกลาง ระหว่างพระราชวังเคียงบกกุง กับพระราชวังชางด๊อก ภายในหมู่บ้านมีซอกหลืบทางเดินวกวนราวเขาวงกต บางส่วนตั้งอยู่บนพื้นราบ แต่บางส่วนตั้งอยู่บนเนินเขาลดหลั่นกันลงมา ยามเย็นสามารถชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างงดงามตรึงตรา

 Info : เดินทางไปง่ายๆ ด้วยรถไฟฟ้าสายสีส้ม ลงสถานี Anguk ทางออก 2 แล้วเดินขึ้นไปทางทิศเหนือตามถนนใหญ่ไปอีก 300 เมตร ก็ถึง เมืองเก่าบุกชนเปิดให้เดินเที่ยวชมทุกวัน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เวลาเหมาะที่สุดคือตั้งแต่ 08.00-21.00 น. หลังจากนั้นจะมืด   ค่อนข้างเปลี่ยว สอบถามเพิ่มเติม โทร. +82-2-3707-8388 http://bukchon.seoul.go.kr

15

16

 จะว่าไปแล้ว ผู้นำเกาหลีเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลไม่ใช่น้อย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถเปลี่ยนคลองน้ำเน่าสนิทสีดำปี๋ อย่าง คลองชองเกชอน (Cheonggyecheon Stream) ให้กลายเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของโซลไปได้เหมือนทุกวันนี้! ว้าว สุดยอด!

คลองชองเกชอนเป็นคลองสำคัญไหลผ่านใจกลางกรุงโซล ถือเป็นคลองโบราณสมัยราชวงศ์โชซอน ที่มีอายุกว่า 600 ปี แต่ชุมชนแออัดสองฟากฝั่งก็ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงไปจนน้ำเน่าเสียสุดๆ กระทั่ง ค.ศ. 2002 นายอี มย็อง-บัก ได้รับตำแหน่งเป็นผู้ว่าการกรุงโซล เขาจึงทำสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ให้เกิดขึ้น! ด้วยการของบจากรัฐ มากถึง 1 หมื่นล้านบาท เพื่อพัฒนาคลองชองเกชอนจนสำเร็จ โดยย้ายชุมชนทั้งหมดออกไป ปรับภูมิทัศน์สองฝั่งคลองใหม่ให้โล่งน่าเดิน ปลูกต้นไม้ ขุดลอกคลอง และขุดคลองส่งน้ำจากแม่น้ำฮัน นำน้ำสะอาดเข้าไปไหลเวียน จนคลองชองเกชอนใสสะอาด ใสแจ๋วจนเลี้ยงปลาคาร์พให้แหวกว่ายไปมาได้! มีสาหร่ายสวยๆ ไหลพลิ้วเอื่อยๆ ไปตามกระแสน้ำ สองฝั่งมีถนนคนเดิน พร้อมทิวไม้ร่มรื่นตลอดความยาว 5.8 กิโลเมตร โดยมีจุดให้นั่งพักนั่งเล่นเป็นระยะ จึงกลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะยามราตรีจะมีการแสดง Laser Dance ให้ชมฟรีด้วย บรรยากาศโรแมนติกสุดๆ

Info : คลองชองเกชอนเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน เดินทางมาง่ายๆ ด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) สายสีม่วง ลงสถานี Gwanghwamun ทางออก 5

17

18

 แม่น้ำฮัน (Han River) เป็นแม่น้ำสายหลักของกรุงโซล ไหลผ่านจากทิศตะวันออกไปตะวันตก ตัวแม่น้ำมีความกว้างขวาง มีสะพานข้ามมากถึง 23 แห่ง ตลอดความยาว 41.5 กิโลเมตร ที่ไหลผ่านโซล บริเวณริมตลิ่งเขาได้สร้างสวนสาธารณะไว้ให้ผู้คนมานั่งพักผ่อนหย่อนใจมากถึง 12 แห่ง ทิวทัศน์โปร่งโล่งสบาย ไม่มีร้านค้าหรือบ้านเรือนรกตาสร้างรุกล้ำเข้าไปในแม่น้ำแม้แต่น้อย ส่วนน้ำนั้นก็ใสสะอาด แทบไม่มีขยะให้เห็นสักชิ้นเดียว! น่านับถือที่เขาดูแลสิ่งแวดล้อมได้ยอดเยี่ยมสุดๆ!

            สวนสาธารณะเหล่านี้ไม่เคยเหงา เพราะจะมีผู้คนพาครอบครัวออกมาทำกิจกรรมกันทุกวัน ทั้งกางเต็นท์พักแรก ปิกนิกทำอาหารกินกัน นอนอาบแดดอ่านหนังสือ เล่นว่าว วิ่งเล่นกับสุขนัขของตน นอกจากนี้รัฐยังได้สร้างสนามฟุตบอล สนามบาสเกตบอล สนามวอลเล่ย์บอล สระว่ายน้ำ ท่าเรือ เพื่อให้คนลงไปพายเรือ แล่นเรือใบ ตกปลา เล่นเจ็ตสกี ส่วนบนบกก็มีสนามเด็กเล่น หลายคนมาปั่นจักรยาน วิ่งออกกำลังกาย เพราะเขาเชื่อว่าเมื่อแข็งแรงก็ไม่ต้องไปหาหมอ คนไทยเราน่าจะคิดแบบนี้มั่งเนอะ!

 Info : สวนนี้เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ไปถึงได้ด้วยรถไฟใต้ดินหลายสาย เช่น สาย 7 ทางออก 2,3 สาย 5 และ 8 ทางออก 1 สาย 5 ทางออก 2,3 และสาย 2 ทางออก 4 ส่วนใครที่สนใจล่องเรือแม่น้ำฮัน ลงเรือเฟอร์รี่ได้ที่ท่า Yeouido, Jamsil, Ttukseom ค่าล่องเรือชมวิวปกติ ผู้ใหญ่ 11,000 วอน เด็ก 5,500 วอน ล่องเรือดินเนอร์ครุยส์ ผู้ใหญ่ 65,000 วอน เด็ก 33,000 วอน สอบถาม โทร. +82-2-3271-6900

19

20

21

22

ถ้าคุณเป็นคนรักสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ รู้ตัวเองว่าไม่แพ้ขนแมว และต้องการหาอะไรแปลกใหม่ในโซล ล่ะก็ ขอเชิญไปเที่ยวที่ คาเฟ่น้องเหมียว” (Cat Café) ร้านกาแฟน่ารักๆ ที่มีคอนเซ็ปต์เก๋ไม่เหมือนใคร จนกระทั่งทุกวันนี้เริ่มมีคนไทยเปิดตามกันหลายแห่งในกรุงเทพฯ เราลองไปดูต้นตำรับที่นั่นกันดีกว่า

            คาเฟ่น้องเหมียวของโซลเป็นร้านเล็กๆ น่านั่ง บรรยากาศชิลชิล นอกจากจะได้ดื่มอะไรเย็นๆ ให้ชื่นใจแล้ว ยังได้เล่นกับน้องเหมียวเป็นสิบตัว ที่เดินวนเวียน โดดไปโดดมา ปีนป่ายโน่นนี่นั่น และเข้ามาเคล้าคลอเคลียเราอย่างน่ารักน่าชัง แมวที่นี่ทุกตัวมีชื่อ มีประวัติ ตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนอย่างดี คนที่เข้าไปเที่ยวจึงต้องสะอาดเช่นกัน เขาจะให้เราเปลี่ยนรองเท้า ล้างมือด้วยยาฆ่าเชื้อ แล้วเข้าไปเล่นกับน้องเหมียวได้ตามกฎซึ่งทำไม่ยาก เพื่อรักษาสวัสดิภาพให้น้องเหมียวทั้งหลาย เช่น ห้ามถ่ายรูปโดยใช้แฟลช, ห้ามดึงหางแมว, ห้ามให้อาหารอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารแมว, ห้ามรบกวนแมวที่หลับอยู่, ห้ามรบกวนแมวขณะมันกินอาหาร, ห้ามใช้สิ่งของอื่นใดหรือหลอดดูดน้ำไปเย้าเล่นกับแมว เพราะทางร้านได้จัดของเล่นแมวโดยเฉพาะไว้ให้แล้ว, ห้ามส่งเสียงดัง หรือทำท่าคุกคามแมว ฯลฯ

            ความอ่อนโยน น่ารัก ขี้อ้อน ของน้องเหมียว จะทำให้เราใจเย็น มีความสุขจนลืมไม่ลงเลยล่ะ

 Info : Cat Café อยู่ในย่านมหาวิทยาลัยฮงอิก นั่งรถไฟใต้ดิน สาย 2 ทางออก 6 เดินไปเรื่อยๆ ร้านอยู่ด้านหน้าทางเข้ามหาวิทยาลัยฮงอิก โดยร้านอยู่ฝั่งซ้ายมือ บนตึกชั้น 8 เปิดทุกวัน เวลา 12.00-23.00 น. ค่าเข้าคนละ 8,000 วอน (ประมาณ 250-260 บาท) ได้เครื่องดื่ม 1 แก้ว จะนั่งในร้านนานแค่ไหนก็ได้ ไม่จำกัดเวลา สอบถามเพิ่มเติม โทร. +82-2-1330

1

2

รับรองได้ว่านักท่องเที่ยวไทยกว่า 95 เปอร์เซนต์ ที่ไปโซล ต้องเคยสัมผัส ตลาดเมียงดง” (Myeongdong Market) มาแล้วแน่นอน! โดยเฉพาะสาวหลายคนฝันว่าสักวันจะไปช้อปปิ้งที่เมียงดงให้ได้! ก็เพราะตลาดเมียงดงเป็นย่าน Shopping & Walking Street ทันสมัย เปิดเป็นถนนคนเดินยาวเหยียด มีร้านค้านับพันๆ อยู่สองฟากฝั่ง ขนาบด้วยตึกสูง ร้านกิ๊บเก๋ กิ๊ฟต์ช็อฟต์ ร้านอาหาร คาเฟ่ต์ ร้านเสื้อผ้า กระเป๋าแบรนด์เนม และอีกสารพัดให้เดินกันทั้งวัน! จึงขอเตือนว่าอย่าเดินช้อปเพลินจนตังค์หมดล่ะ!

            ความสนุกในการเดินย่านเมียงดง คือเสน่ห์ของสินค้านานาชนิดที่น่าซื้อหา น่าเสียตังค์ให้ทุกสิ่งอย่าง ที่นี่เป็นศูนย์รวมแฟชั่นล่าสุดของแดนกิมจิ! อะไรที่ In Trend สุดๆ เหมือนกับเพิ่งหลุดออกมาจากหนังสือแฟชั่นใหม่เอี่ยม หาดูหาซื้อได้ที่นี่ โดยเฉพาะเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า หมวก น้ำหอม ผ้าพันคอ เครื่องประดับวัยรุ่น และที่สำคัญสุดๆ คือ “เครื่องสำอาง” นับร้อยยี่ห้อ! ประทินผิวเสริมความงามกันตั้งแต่ปลายเส้นผมจรดปลายเท้า มีให้เลือกซื้อทุกขนาน เน้นกันที่ใบหน้า สาวๆ ไทยเดินหอบหิ้วกันมาคนละหลายๆ ถุง บ้างก็หลายกระเป๋า! ถึงขนาดในร้านมีพนักงานขายพูดไทยได้ มีป้ายภาษาไทย และลดแลกแจกแถมให้คนไทยเป็นพิเศษด้วย! อีกอย่างคือย่านเมียงดงเป็นเหมือน Fashion Square ที่หนุ่มสาววัยใสในโซลเขาจะแต่งองค์ทรงเครื่องกันสุดฤทธิ์สุดเดช ออกมาเดินอวดโฉมแข่งกันทุกวัน

 Info : ตลาดเมียงดงเปิดทุกวัน ร้านค้าส่วนใหญ่เปิดเวลา 07.00-21.00 น. ส่วนที่เป็นห้างใหญ่ๆ เปิด 10.00-21.00 น. แต่จะคึกคักสุดช่วงเย็นๆ ประมาณ 17.00 น. เป็นต้นไป ช่วงหัวค่ำคนเยอะมาก เดินเที่ยวระวังกระเป๋าสตางค์และข้าวของด้วย อย่าช้อปปิ้งจนเพลิน

1

2

วัยรุ่นนิสิตนักศึกษาของโซลเป็นพวก Art ตัวพ่อ Art ตัวแม่ ไม่แพ้ชาติใดในโลก! พอว่างจากการเรียน เขาเลยเจียดเวลามาทำงานศิลปะ Hand Made กิ๊บเก๋น่าออกมาขาย หารายได้ และฝึกฝนวิทยายุทธศิลปะให้เข้มแข็ง เราจะเจอพวกเขาได้ที่ไหนในโซล? คำตอบคือ ตลาดนัดศิลปะฮงแด” (Hongdae Art Market) ในย่านมหาวิทยาลัยฮงแด ที่กลายเป็นแหล่งพบปะของคนรักงานศิลป์ไปแล้ว

            ย่านมหาวิทยาลัยฮงแด-ฮงอิก เป็นย่านมหาวิทยาลัยที่มีนิสิตนักศึกษาหน้าแฉล้ม ใสๆ เดินกันเพียบ นักเรียนศิลปะจากมหาวิทยาลัยต่างนำผลงานของตนที่ไม่เหมือนใครออกมาจำหน่าย ในลักษณะ Free Market ที่เน้นขายเฉพาะ Art Product เท่านั้น มีทั้งสมุดโน๊ตทำมือ โปสการ์ด กิ๊บติดผม กำไล เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เสื้อเพนท์ลายแปลกๆ งานไม้แกะสลัก เครื่องเงินแบบมีชิ้นเดียวในโลก เครื่องแก้วจุ๋มจิ๋ม พวงกุญแจ ผ้าพันคอ งานถักไหมพรม ภาพวาด ภาพเหมือน และอีกสารพัด ราคาก็มีตั้งแต่แพงๆ (ต้องเข้าใจนะ เพราะเป็นงาน Art ทำมือ) ไปจนถึงราคาเป็นเจ้าของได้ ยิ่งกว่านั้นบางวันยังมีนักศึกษาวิชาดนตรี มาเปิดการแสดงสดแบบ Outdoor Free Concert ให้ดูฟรีด้วย บรรยากาศชิลมากๆ

 Info : การเดินทางไปตลาดนัดศิลปะฮงแด นั่งรถไฟใต้ดินสาย 2 ลงสถานีฮงแดอิบกู ทางออกที่ 5 แล้วเดินไปหน้ามหาวิทยาลัยฮงอิก หรือลงสถานีมหาวิทยาลัยฮงอิก (Hongik University) ทางออกที่ 9 หรือสาย 6 ลงสถานีซังซู (Sangsu) ทางออกที่ 1 หรือ 2 ตลาดนัดศิลปะมีทุกวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 13.00-18.00 น. ตั้งแต่เดือนมีนาคม-พฤศจิกายน ในหน้าหนาวจะงด เพราะหนาวไป มาตั้งขายไม่ไหว!

1841

Traveler’s Guide

When to go : เที่ยวโซลได้ตลอดปี แต่สำหรับคนไทยที่ฮิตๆ คงหนีไม่พ้นช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน เพราะอากาศเย็นสบายกำลังดี แถมมีใบไม้เปลี่ยนสีทั่วเมือง และที่สำคัญคือช่วงนี้ของลดราคาเยอะด้วยล่ะ

How to go : โชคดีคนไทยไปเที่ยวเกาหลีไม่ต้องทำวีซ่า จองตั๋วเครื่องบิน บินตรงสุวรรณภูมิ-โซล ได้เลย มีหลายสายการบินให้บริการ เช่น Korean Air (www.koreanair.com), Air Asia (www.airasia.com) ฯลฯ

Where to stay : แนะนำ Pencil Guesthouse 2 (ย่านฮงอิก) จองผ่าน www.hotelscombined.com

Info : www.visitseoul.net , http://english.visitkorea.or.kr

เหินฟ้าเหนือหิมาลัยที่ Nepal

12

ไกลออกไปราว 200 กิโลเมตร ทางตะวันตกของ กรุงกาฐมาณฑุ (Kathmandu) เมืองหลวงของเนปาล เฉียงขึ้นไปทางเหนือใกล้กับแนวเทือกเขาหิมาลัยสูงล้ำค้ำฟ้า ณ ที่นั้นคือ เมืองโปขรา (Pokhara) เมืองมีเสน่ห์ ที่งามเด่นด้วยธรรมชาติ และกิจกรรมผจญภัยหลากหลายชนิด ทั้งล่องแก่ง ขี่ช้าง ปีนเขา เดินเทรกกิ้ง โดดร่มดิ่งพสุธา ขึ้นเครื่องร่อน นั่งเครื่องบินเล็ก ปั่นจักรยานเสือภูเขา ฯลฯ จนโปขราได้รับฉายาสุดเก๋ว่า “เมืองหลวงแห่งการผจญภัยในเนปาล” หรือ The Capital of Nepal’s Adventure เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

2

โดยเฉพาะในช่วงไฮท์ซีซันฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-มกราคม โปขราก็จะยิ่งคึกคักคลาคล่ำ ไปด้วยนักผจญภัยมากหน้าหลายตาจากทั่วโลก ต่างแต่งกายเตรียมพร้อมสำหรับวิถีชีวิตผจญภัยกลางแจ้ง ยิ่งคนคอเดียวกันมาเจอกัน มิตรภาพระหว่างคนต่างเชื้อชาติ ศาสนา เพศวัย หรือแม้แต่ทวีป ก็ไม่เป็นอุปสรรค พวกเขาพูดคุยด้วยภาษาเดียวกันคือ “ภาษาแห่งการผจญภัย” ที่มีหัวใจและโชคชะตาเป็นเดิมพัน

3

Prepare Yourself for Flying : (เตรียมตัวก่อนบิน)

1. ก่อนขึ้นบินหนึ่งคืน ควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อป้องกันอาการเวียนหัวขณะบิน

2. ควรเตรียมถุงพลาสติกไป 1-2 ใบ เพื่อใช้ในกรณีเกิดเมาเครื่อง อยากจะอาเจียน

3. ขณะทำการบิน ไม่ควรหัวหน้ามองไปมาซ้ายขวาอย่างรวดเร็วเกินไป เพราะอาจทำให้เมาเครื่องได้ ควรทำช้าๆ

4. ขณะขึ้นบิน ควรสวมเสื้อกันหนาว หรือเสื้อแจ็กเก็ตบางๆ ให้ร่างกายอบอุ่นไว้

5. นำอุปกรณ์ถ่ายภาพเท่าที่จำเป็นขึ้นไป ควรเช็คแบตเตอร์รี่และเมโมรี่ของกล้องให้เพียงพอต่อการบิน 30-60 นาที

20

ผมเคยไปโปขราครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2000 และได้ขึ้นไปเดินเทรกกิ้งบนเทือกเขาอันนาปุรณะ (Annapurna Ranges) อันมีชื่อเสียงมาแล้ว ด้วยระยะทางสั้นๆ 5 วัน 4 คืน มันคือประสบการณ์สุดวิเศษที่ยังแจ่มชัดในใจ กระทั่งวันนี้ 12 ปีผ่านไป ผมก็ได้หวนคืนโปขราอีกครั้ง แต่คราวนี้จะขอบินเหมือนกกับบริษัท Avia Tours & Travels ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินเครื่องบินเล็กและเครื่องร่อนเหนือหิมาลัย เราไปร่วมกันเหินฟ้า  ขึ้นไปพานพบประสบการณ์สุดพิเศษหนึ่งเดียวในชีวิต พร้อมๆ กัน ณ บัดนี้

4

 โดยปกติแล้ว เครื่องบินและเครื่องร่อนของบริษัท Avia Tours & Travels Nepal จะทำการบินเฉพาะ ช่วงเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนมิถุนายนเท่านั้น เพราะนอกนั้นเป็นช่วงมรสุม มีพายุฝน อากาศไม่ดีบินไม่ได้ ส่วนในฤดูทำการบินจะบินเฉพาะเวลา 06.00-10.00 น. เพราะเป็นยามเช้าที่อากาศเหนือเทือกเขาหิมาลัยลมสงบ ไม่อันตรายต่อการบินท่องเที่ยว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาก็จะเช็คสภาพอากาศเป็นรายวันอีกที ส่วนค่าบริการก็อยู่ที่ 100 ยูเอสดอลลาร์ สำหรับการบิน 30 นาที ทั้งเครื่องบินเล็กติดใบพัดสองที่นั่ง และเครื่องร่อนติดใบพัดยนต์ (Utralight) ซึ่งอย่างหลังนี่ดูน่าตื่นเต้นกว่า เพราะไม่มีกระจกกั้นตัวเรากับภูเขาและอากาศภายนอกเลย อย่างไรก็ตาม บริษัทเขาก็มีเส้นทางบินให้เลือกหลายเส้น ตั้งแต่ 30 นาที, 60 นาที ไปจนถึงหลายชั่วโมง

5

 ในเช้าวันที่ผมขึ้นบิน นักบินบอกว่าโชคดีอย่างประหลาด เพราะเป็นวันที่อากาศดีที่สุดในรอบ 20 วัน! อีกทั้งยังเป็นวันก่อนสุดท้ายที่จะปิดฤดูการบินด้วย! ผมจึงโชคดีสองชั้น อาจเพราะคืนก่อนนั้น ผมสวดขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนหิมาลัย ท่านคงเห็นใจให้ได้รูปสวยๆ

                  06.00 น. ตรงเผง เครื่องก็ทะยานขึ้นจากรันเวย์สนามบินโปขรา เครื่องค่อยๆ ไต่ระดับความสูงขึ้นช้าๆ จนมองเห็นตึกรามบ้านช่องเบื้องล่างเล็กจิ๋วราวของเล่น เครื่องบ่ายหน้าไปทางทิศตะวันตกเหินเหนือยอดเขา ซึ่งมีผืนป่าเขียวขจีมองเห็นยอดไม้เป็นพรมสีเขียวแผ่ปก ข้ามยอดเขาซารังกอต (Sarangkot) อันเป็นจุดชมวิวแสงยามเช้าอาบเทือกเขาอันนาปุรณะ จนกระทั่งเรามุ่งหน้าตรงเข้าหาแนวเทือกเขาน้ำแข็งหิมะ เล่นเอาใจเต้มตูมตามด้วยความตื่นเต้นดีใจ เพราะภาพที่เห็นเบื้องหน้าช่างยิ่งใหญ่อลังการจริงๆ ทำให้เรารู้สึกตัวเล็กลีบไปเลย ขุนเขามีพลังมาก ยิ่งมองเห็นจากมุมมองทางอากาศอย่างนี้ด้วยแล้ว ยิ่งประทับใจ

6

7

8

9

ยอดเขาอันนาปุรณะ หรือมัจฉาปูชเร (Fish Tail) เป็นยอดเขาสุดพิเศษแห่งอันนาปุรณะ เพราะส่วนยอดแตกออกเป็น 2 แฉกเหมือนหางปลาเดี๊ยะเลย

1011

นักบินสะกิดให้ดูหุบเขาโลกพระจันทร์ตะปุ่มตะป่ำเบื้องล่าง นั่นคือ “หัวใจแห่งขุนเขา” (Heart of the Mountain) ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่มีมนุษย์คนใดเดินเท้าเข้าถึงได้ ต้องชื่นชมจากทางอากาศท่านั้น! เบื้องหน้าผมตอนนี้คือยอดเขาหิมะขาวโพลนเรียงราย ไล่ความสูงตั้งแต่ 6,000-8,000 กว่าเมตร! อาทิ ยอดเขามัจจาปูชเร (Matchapuchare) หรือยอดเขาหางปลา (Fish Tail ความสูง 6,993 เมตร) ซึ่งโด่งดังก้องโลก ใครๆ ก็อยากมาชม ต่อด้วยยอดเขาอันนาปุรณะใต้ (Annapurna South), ยอดเขาอันนาปุรณะ I, II, III, IV, ยอดเขาหิอุนชูลี (Hiunchuli) และยอดเขาลัมจุงหิมัล (Lamjung Himal) แสงอาทิตย์ยามเช้าเพ่ิงพ้นเหลี่ยมเขา สาดเป็นลำพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเบื้องสูง น่าตื่นตาอย่างที่สุด กระทั่งเราวนเข้าใกล้ยอดเขามัจจาปูชเร โดยเบี่ยงไปทางด้านตะวันตก เผยให้เห็นรูปทรงยอดเขาประหลาดที่ส่วนบนสุดแตกเป็น 2 แฉก! ทว่าตอนนี้น้ำมันหมดไปครึ่งถังแล้ว กัปตันเลยวนเครื่องกลับโปขรา

13

Light of God แสงแห่งพระเจ้าเหนือเทือกเขาอันนาปุรณะ

15

 ผมสามารถสื่อสารกับนักบินได้ด้วยหูฟังและไมโครโฟนที่สวมหัวอยู่ จึงรู้ว่ากัปตันกำลังพาไปบินวน เหนือทะเลสาบเฟวา (Phewa Lake) เพื่อให้ชม Land Mark สำคัญของเมืองนี้ จากอากาศเบื้องสูง แลเห็นผืนน้ำสีน้ำเงินเข้มและเทือกเขาเขียวๆ รายรอบอาบแสงอุ่นยามเช้า มีท่าเรือและเรือจำนวนมากลอยลำ พร้อมมองเห็นตัวเมืองโปขราทอดขนานไปกับทะเลสาบด้านตะวันออก ตามถนนยาว 3 กิโลเมตร

16

17

บ้านเรือนในเมืองโปขรากระจายอยู่ห่างๆ กันในทุ่งนาสีเขียว ก่อเกิดจากดินตะกอนอันอุดมที่เทพีแห่งอันนาปุณะประทานมาให้18

ทะเลสาบเฟวาจากมุมสูง แลน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย

19

ในที่สุดล้อเครื่องบินก็แตะรันเวย์อย่างปลอดภัย ผมจะไม่มีวันลืมช่วงเวลาสุดพิเศษนี้เลยชั่วชีวิต

1841

Special Thankบริษัท Nikon Sales (Thailand) Co., Ltd. สนับสนุนสุดยอดอุปกรณ์ถ่ายภาพระดับมืออาชีพ

สนใจติดต่อ โทร. 0-2633-5100 / แฟ็กซ์ 0-2633-5191 (Office) / 0-2633-5192 (Service) www.nikon.co.th

 

Traveler’s Guide

Best season : โปขราเที่ยวได้ตลอดปี แต่อากาศเย็นสบาย ฟ้าเปิดที่สุด ช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม

How to go : จากไทยบินตรงสู่กาฐมาณฑุ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที แนะนำ การบินไทย โทร. 0-2288-7000 www.thaiair.com และ Nepal Airlines โทร. 02-2667146-7 www.nepalairlines.com.np จากนั้นไปโปขรา สามารถต่อเครื่องบิน (30 นาที) หรือนั่งรถบัส (ใช้เวลา 1 วันเต็ม) แล้วแต่สะดวก

Where to stay : เมืองโปขรา แนะนำที่พักอย่างดี Hotel Barahi โทร. 977-61-461572 www.barahi.com, info@barahi.com / กรุงกาฐมาณฑุ แนะนำโรงแรม 5 ดาวที่สีที่สุด คือ Hotel Annapurna โทร. 977-1-4221711 www.annapurna-hotel.com, hotel@annapurna.com.no

What to eat : อยากให้ล้ิมลองอาหารเนปาลีแท้ๆ ดูสักมื้อ ลองสั่ง Chicken Curry (แกงไก่) กินกับข้าวสวย (Steam Rice / Plain Rice) โดยมีเนปาลีสลัด (Nepali Salad) เป็นเครื่องเคียง สลัดนี้เป็นผักดิบฝานบางๆ บีบมะนาวราด ประกอบด้วยมะเขือเทศ แตงกวา แครอท พริกสด และหอมแดงลูกใหญ่ ตบท้ายด้วย ชาใส่นม (Nepali Tea)

More info : เหินฟ้าเหนือหิมาลัยกับ บริษัท Avia Tours & Travels โทร. 977-1-4267633 เว็บไซต์ www.aviatoursnepal.com อี-เมล์ info@aviatoursnepal.com / จัดทริปไปเนปาลกับ บริษัท Himalayan Holiday โทร. 0-2235-7583-4, 0-2235-7572 เว็บไซต์ www.himalayanbkk.com อี-เมลล์ info@himalayanbkk.com

Mongolia ดินแดนแห่งเจงกิสข่าน

ที่นี่คือ “มองโกเลีย” (Mongolia) ดินแดนยิ่งใหญ่กว่า 1.5 ล้านตารางกิโลเมตร ในเอเชียกลาง ที่ซึ่งเจงกิสข่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เคยนำกองทัพขี่ควบม้าศึก นี่คือดินแดนของทุ่งหญ้าเสต็ปกว้างใหญ่สุดลูกหูลุกตา ซึ่งมวลดอกไม้ป่าผลิบานละลานตาในช่วงฤดูร้อน อาบอิ่มด้วยไอแดดอุ่น มีฝูงม้า อูฐ จามรี วัว และแกะ   กว่า 50 ล้านตัว ดุ่มเดินหากินอยู่อย่างเสรี เคียงคู่สายน้ำใสที่ละลายไหลมาจากภูเขาหิมะตระหง่าน

11

มันคือช่วงต้นเดือนสิงหาคมซึ่งตรงกับฤดูร้อนในมองโกเลีย ที่ผมและผองเพื่อน บินสู่ประเทศในฝัน อันสวยงามนี้ ช่วงเวลาดังกล่าวหิมะที่เคยปกคลุมละลายไปหมดสิ้น ทิ้งไว้เพียงสายน้ำใสเย็นไหลลงมายังท้องทุ่ง เติมเต็มความชุ่มฉ่ำแก่ทุ่งหญ้าระบัดใบเขียวชอุ่ม ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม ดอกไม้ผลิบานละลานตา แต่หลายคนยังมีความเข้าใจสับสนอยู่ ระหว่าง ประเทศมองโกเลีย (Mongolia หรือ Outer Mongolia) กับ มองโกเลียใน (Nei Mongolia หรือ Inner Mongolia) นั้น เป็นคนละเขตพื้นที่กันเลย! เพราะ “มองโกเลีย” ที่เรากำลังจะไปเยือนเป็นประเทศเอกราชอิสระ ส่วน “มองโกเลียใน” คือเขตปกครองตนเองของจีนภาคเหนือ

_ONG6777

“อุทยานแห่งชาติเตเรจ” (Terelj National Park) โดดเด่นด้วยเทือกเขาหิน ทุ่งหญ้า ป่าสน ลำธารใส และหมู่กระโจมสีขาวเป็นหลังๆ ที่เรียกว่า “เกอร์” (Ger) ซึ่งชาวมองโกเลียส่วนใหญ่ใช้อาศัย เพราะเขามีนิสัยเป็นชนเผ่าเร่ร่อนกันมาแต่โบราณกาล ดำรงชีพด้วยการเลี้ยงแกะ แพะ วัว จามรี อูฐสองหนอก และม้า ชาวมองโกเลียเชื่อว่า “ม้า” คือสัตว์สำคัญที่สุด นอกจากจะเป็นเพื่อน ช่วยทำงานให้แล้ว ยังจะนำวิญญาณของมนุษย์ขึ้นสู่สวรรค์อีกด้วย เราจึงพบม้าและรูปของม้าได้ทั่วไปในประเทศนี้ครับ ชาวมองโกเลียจะสอนให้ลูกขี่ม้าก่อนหัดเดินเสียอีก ม้าจึงสำคัญยิ่งยวดต่อชีวิตในทุกมิติ

1

ฤดูกาลนี้ในอุทยานแห่งชาติเตเรจมีดอกไม้ป่าที่ชอบอากาศเย็นสบายกลางแดดอุ่น เบ่งบานเต็มท้องทุ่งนับล้านๆๆๆ ดอก ทั้งสีขาว เหลือง ชมพู ม่วง ฟ้า ส้ม แดง และแทบทุกเฉดสีที่นึกออก ส่วนใหญ่เป็นดอกเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม เบ่งบานแผ่เป็นพรมดอกไม้ไปทั่วทุ่ง สลับกับสายน้ำเล็กๆ ไหลซอกซอนตวัดโค้งไปมา   เราพบนักท่องเที่ยวกำลังขี่อูฐเล่น บ้างก็กำลังดูเหยี่ยวและอีแร้งดำตัวใหญ่เท่าคน! ซึ่งชาวเร่ร่อนนำมาให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพเก็บตังค์ ภูมิประเทศโดยรอบเป็นเทือกเขาหินลวดลายแปลกประหลาด หินบางก้อนถูกลม ฝน หิมะ และกาลเวลา กัดเซาะจนมีรูปร่างคล้ายเต่ายักษ์ บางก้อนคล้ายจานบิน ดอกเห็ด หรือไม่ก็เป็นแท่งเสาหินยืนโด่เด่ อีกทั้งยังมีป่าสนทอดยาวออกไปตามเชิงเขา สลับกับลำธารน้ำใสแจ๋ว สะท้อนสีของฟ้าครามลงมาบนแผ่นน้ำ ภูมิประเทศนี้ชวนให้นึกถึงป่าแถบเทือกเขาร็อกกี้ในอเมริกาเหนือและแคนาดา ที่คล้ายกันยังกับฝาแฝด!

2

ไปขี่ม้าเที่ยวชมธรรมชาติที่อุทยานแห่งชาติเตเรจกันเถอะ

3

5

ชีวิต สายลม แสงแดด และทุ่งหญ้ากว้าง ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวที่อุทยานแห่งชาติเตเรจ

7

การขี่ม้าเที่ยวทุ่งหญ้ากว้างของมองโกเลีย จะทำให้เราได้สัมผัสจิตวิญญาณของดินแดนนี้อย่างใกล้ชิด ราวกับว่าเราเป็นทหารม้าของเจงกิสข่านยังไงยังงั้น!

8

ฝูงจามรีกลางทุ่งดอกไม้ฤดูร้อนในอุทยานแห่งชาติเตเรจ

9

คนมองโกเลียผูกพันกับม้าที่สุด เขามักพูดเล่นๆ กันว่า เด็กมองโกเลียจะขี่ม้าได้ก่อนเดินได้เสียอีก!

10

“อนุสาวรีย์เจงกิสข่าน” (Genghis Khan Statue Complex) ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2008 บริเวณริมแม่น้ำทูล ในจุดที่เชื่อกันว่าเจงกิสข่านได้พบแส้ม้าทองคำอันศักดิ์สิทธิ์ ที่พระองค์ใช้ในตลอดพระชนม์ชีพ เมื่อมองจากระยะไกลอนุสาวรีย์นี้ใหญ่โตมโหฬารมากจนแทบไม่น่าเชื่อ เป็นโลหะสแตนเลสสตีลไร้สนิม สีเงินวาววับสะท้อนแสงอาทิตย์ สูง 40 เมตร หนักถึง 25 ตัน สร้างเป็นเจงกิสข่านในท่านั่งบนหลังม้า ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก! ไฮไลท์ก็คือ เวลาที่เราขึ้นลิฟท์และเดินเท้าต่อไปยังส่วนหัวม้า เพื่อเผชิญหน้ากับเจงกิสข่านแบบจังๆ พร้อมกับชมวิวท้องทุ่งมองโกเลียจากมุมสูงเกือบ 40 เมตรเหนือพื้นดิน มองได้รอบตัวแบบสุดสายตาพาโนรามา

13

คนมองโกเลียแท้ๆ ต้องอาศัยอยู่ในกระโจมเหมือนเมื่อครั้งบรรพบุรุษ

12

นี่ล่ะครับ อนุสาวรีย์เจงกิสข่านที่ทำจากโลหะ ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก! ขนาดมหึมาจริงๆ

24

“อูลันบาตอร์” (Ulaanbaatar) เมืองหลวงของมองโกเลีย เป็นเมืองทันสมัย มีตึกระฟ้า รถราจอแจ อาคารพาณิชย์คึกคัก ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร สถานบันเทิง และโรงเรียน เห็นภาพชีวิตที่เคลื่อนผ่านไปในทุกวินาที หนุ่มสาวมองโกเลียส่วนใหญ่แต่งตัวนำสมัยเหมือนวัยรุ่นไทยนั่นล่ะ แต่คนสูงอายุจะยังคงแต่งกายด้วยชุดประจำชาติ คล้ายชุดชาวทิเบตที่ดูแปลกตา เป็นเสื้อคลุมแขนยาว ใส่รองเท้าบูท และมีหมวกทรงแหลม ดูแล้วทะมัดทะแมงสมเป็นชนชาตินักรบมาแต่โบราณกาล ชวนให้นึกถึงฉากท้องทุ่ง กระโจม ฝูงสัตว์ และกีฬามวยปล้ำอันเป็นกีฬาประจำชาติของเขา

23

21

“วัดกานดาน” (Gandan Monastery) เป็น วัดพุทธขนาดใหญ่และสำคัญที่สุดในมองโกเลีย ในนิกายวัชรยานแบบทิเบต สร้างขึ้นโดยโบกด์ข่าน (Bogd Khan) เมื่อปี ค.ศ. 1835 แต่ก็ถูกทำลายเกือบย่อยยับสมัยโซเวียตปกครอง เพราะสตาร์ลินผู้นำโซเวียตยุคนั้นมองว่าศาสนาคือยาพิษ สั่งทำลายวัดนับร้อยแห่งในมองโกเลีย จุดเด่นของวัดนี้อยู่ที่รูปหล่อโลหะพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสูง 20 เมตร สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1911-1912 แลตระหง่านอลังการ เป็นศูนย์รวมใจของผู้คนเสมอมา วัดกานดานมีสภาพคล้าย “Buddhist Complex” หรือชุมชนพุทธศาสนา เพราะนอกจากวิหารใหญ่ตรงกลางแล้ว ยังมีวิหารน้อย และกระโจมของนักแสวงบุญตั้งรายล้อมอยู่อีกมาก ภายในวัดมีวิถีพุทธวัชรยานเบ่งบานไปทั่วทุกอณู ทั้งริ้วธงมนต์ผูกโยงปลิวไสว พร้อมด้วยวงล้อมนตราน้อยใหญ่จารึกมนต์ “โอม มณี ปัทเม หุม” ให้นักแสวงบุญได้เดินภาวนาและหมุนไปพร้อมกัน ในวิหารน้อยรอบๆ มีหอสวดมนต์ เราจะเห็นชาวมองโกลมากราบนอนราบแบบ “อัษฎางคประดิษฐ์” กันล้นหลาม

18

17

16

“พระราชวังฤดูหนาว” ของจักรพรรดิ์มองโกลองค์สุดท้าย โบกด์ข่าน ซึ่งปัจจุบันดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ในนามว่า “Bogd Khan’s Palace Museum” ภายในแบ่งพื้นที่เป็นหลายชั้นใช้เก็บรักษาวัตถุโบราณล้ำค่า ทั้งอาวุธโบราณ, ผ้าทังก้า (ผ้าพระบฏ) บอกเล่าเรื่องราวทางศาสนา, พระพุทธรูป, รูปเคารพพระโพธิสัตว์, เครื่องเคลือบถ้วยชามโบราณ, ชุดเครื่องทรงของท่านข่านและมเหสี, ราชรถ ฯลฯ สิ่งของล้ำค่าที่จัดแสดง ทำให้เราได้เห็นอิทธิพลของศิลปะจีน และคติความเชื่อทางศาสนาทิเบต ซึ่งหลอมรวมกันอย่างแจ่มชัด

15

14

26

ชุดพื้นเมืองของคนมองโกเลีย สวย มีเอกลักษณ์ เหมือนที่เราเห็นในหนังจีนไม่มีผิดเลย

25

“จัตุรัสสุคบาตาร์” (Sukhbaatar Square) ด้านหน้าตึกทำเนียบรัฐบาล นี่คือจัตุรัสกว้างที่จุคนได้นับหมื่น สร้างเป็นที่ระลึกแด่ท่าน ดัมดิน สุคบาตาร์ (Damdin Sukhbaatar) ผู้นำกองทัพปลดแอกมองโกเลียจากการยึดครองของจีนได้สำเร็จเมื่อปี ค.ศ. 1921 จากใจกลางจัตุรัส ถ้ามองไปสุดด้านทิศเหนือก็คืออาคารหินอ่อนสีขาวขนาดมหึมา ที่สร้างขึ้นในวาระครบ 800 ปี แห่งการครองราชย์ของเจงกิสข่าน (เมื่อปี ค.ศ. 2006) ด้านหน้าอาคารนี้คือจุดที่มีคนมาถ่ายรูปกันเยอะที่สุด เพราะเป็นที่ประทับรูปหล่อโลหะบรอนซ์สีดำขนาดยักษ์ในท่านั่งของ เจงกิสข่าน (Genghis Khan) อยู่ตรงกลาง โอกิไดข่าน (Ogedei Khan : ลูกชายคนที่ 3 ของเจงกิสข่าน) เคียงคู่อยู่ทางตะวันตก และกุบไลข่าน (Kublai Khan : หลานชายของเจงกินสข่าน) อยู่ทางตะวันออก ข่านสององค์หลังนี้แหละ ที่รับช่วงภาระกิจขยายดินแดนต่อจากเจงกิสข่าน จนอาณาจักรมองโกลแผ่ขยายไปเกือบทั่วโลก ด้านทิศเหนือกินไปถึงตอนกลางของรัสเซีย ด้านทิศใต้ครองไปจรดอินเดียเหนือ, พุกามในพม่า, ลาวเหนือ, อาณาจักรจามปาตลอดทั้งเวียดนาม รวมทั้งยังเกือบได้อาณาจักรสุโขทัย! ส่วนทิศตะวันออกครองไปจรดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก เกาหลีและจีน ฝั่งตะวันตกจรดทะเลดำ ตะวันออกกลางทั้งหมด และประเทศฮังการีในยุโรปโน่นเลยเทียว!

29

“อนุสรณ์สถานการต่อสู้ไซซาน” (Zaisan Memorial) ซึ่งสร้างขึ้นเป็นที่ระลึกให้ทหารโซเวียตผู้พลีชีพ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตัวอนุสรณ์ฯตั้งอยู่บนยอดเขามองลงไปเห็นตัวเมืองอูลันบาตอร์ได้แบบพาโนรามา เป็นจุดชมวิวชั้นยอด เพราะเห็นการเติบโตของตัวเมืองที่ขยายออกไปสู่ตีนเขารอบๆ นอกจากนี้ยังมองเห็นแม่น้ำทูล (Tuul River) ที่ไหลคดเคี้ยวผ่านตัวเมืองไป ถ่ายรูปได้แจ่มจริงๆ

30

32

การได้มาเยือนมองโกเลียครั้งนี้ ทำให้เราได้ประจักษ์ว่า ยังมีอีกดินแดนหนึ่งในโลกที่งามจับใจ และผมสัญญากับตัวเองว่า จะต้องกลับมาที่นี่อีกเมื่อมีโอกาสอย่างแน่นอน

1841

Special Thank บริษัท Nikon Sales (Thailand) Co., Ltd. สนับสนุนสุดยอดอุปกรณ์ถ่ายภาพระดับมืออาชีพ

สนใจติดต่อ โทร. 0-2633-5100 / แฟ็กซ์ 0-2633-5191 (Office) / 0-2633-5192 (Service) www.nikon.co.th

 

Traveler’s Guide

Best season : ช่วงเดือนสิงหาคม อันเป็นช่วงฤดูร้อนของมองโกเลีย มีทั้งดอกไม้บานและฟ้าใสแจ๋ว อากาศก็กำลังอุ่นสบายไม่หนาวจัด เหมาะสำหรับคนไทยไปท่องเที่ยว

How to go : จากเมืองไทย ช่วงแรกบินไปฮ่องกงก่อน เพื่อเปลี่ยนเครื่องไปใช้สายการบิน Mongolian Airlines เพื่อบินสู่เมืองอูลันบาตอร์ ซึ่งเป็นเมืองหลวง ใช้เวลาเดินทางรวมแล้วประมาณ 6-8 ชั่วโมง ส่วนการเดินทางท่องเที่ยวมองโกเลีย ถ้าเที่ยวเองยังเป็นเรื่องค่อนข้างลำบาก อุปสรรคสำคัญคือภาษา วิธีสะดวกที่สุดในขณะนี้คือซื้อแพ็กเกจทัวร์ไปจากเมืองไทย จะได้มีที่พักและพาหนะพร้อมเลย

Contact : บริษัท Global Union Express เป็นผู้เชี่ยวชาญการนำเที่ยวในประเทศมองโกเลีย สอบถามได้ที่ โทร. 0-2308-2104 เว็บไซต์ www.guetravel.com

Leh Ladakh ทิเบตน้อยแห่งอินเดีย

แม้เทือกเขาหิมาลัยจะเป็นหนึ่งในเทือกเขาที่มีอายุน้อยที่สุดของโลก ทว่าในอีกแง่มุมหนึ่ง หิมาลัยกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังและพลังอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้เข้ามาสัมผัส ภาพของยอดเขาหิมะสูงตระหง่านเสียดฟ้า พืชพรรณแปลกตา รวมถึงวิถีวัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคย ยิ่งทำให้หิมาลัยกลายเป็นภูมิภาคมหัศจรรย์ โดยเฉพาะเทือกเขาหิมาลัยในเขตอินเดียเหนือแถบเมืองเลห์ของแคว้นลาดัคนั้น คือหนึ่งในภูมิภาคที่เข้าถึงยากที่สุดในโลก! และได้รับฉายาว่า “ทิเบตน้อย” (Little Tibet)

3

เมื่อราว 30-50 ล้านปีก่อน คือช่วงเวลาที่อนุทวีปอินเดีย ซึ่งเคยตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางมหาสมุทร เคลื่อนเข้ามาชนแผ่นเปลือกโลกเอเชีย พลังแห่งการชนกันดันให้เปลือกโลกส่วนนี้ยกตัวทะยานสู่ท้องฟ้า นั่นล่ะคือกำเนิดแห่งหิมาลัยที่ทอดยาวกว่า 2,400 กิโลเมตร พาดผ่าน 6 ประเทศ คือ อินเดีย เนปาล ภูฏาน ปากีสถาน อัฟกานีสถาน และจีน เทือกเขาหิมาลัยแท้จริงแล้วแบ่งเป็น 4 แนว ได้แก่ หิมาลัยใหญ่ (Great Himalaya) หิมาลัยกลาง (Inner Himalaya) ทรานส์-หิมาลัย (Trans-Himalaya) และหิมาลัยน้อย (Lesser Himalaya) โดย เมืองเลห์ (Leh) ที่เรากำลังกล่าวถึงนี้ ตั้งอยู่ในส่วนที่เรียกว่าทรานส์-หิมาลัย ซึ่งอยู่ถัดจากหิมาลัยใหญ่ หิมาลัยกลาง และหิมาลัยน้อย เข้าไปในทวีปเอเชีย จึงถูกภูผาเหล่านั้นบดบังความชื้นจากทะเลไว้หมด ทรานส์-หิมาลัยจึงกลายเป็นเขตเงาฝนที่แปรสภาพเป็นทะเลทรายต่อเนื่องเข้าไปสู่ที่ราบสูงทิเบต  การมาเที่ยวเมืองเลห์จึงได้พบเห็นภูมิประเทศมหัศจรรย์ ซึ่งเมื่อหลายสิบล้านปีก่อนมันคือก้นมหาสมุทรแท้ๆ!

2

สิ่งหนึ่งที่เราจะสัมผัสได้ที่นี่ก็คือ เลห์เป็นดินแดนแห่งการผสมกลมกลืนของหลายวัฒนธรรม ทั้งทิเบตที่มาจากด้านตะวันออกและเหนือ อิสลามที่มาจากตะวันตก และอินเดียแท้ๆที่มาจากทางใต้ สะท้อนว่าเลห์คือส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมโบราณ ที่เคยเป็นชุมทางค้าขายสินค้านานาชนิด โดยเฉพาะวัฒนธรรมจากทิเบตซึ่งทรงอิทธิพลที่สุด เดินไปส่วนใดของเมืองจึงหนีไม่พ้นวัดทิเบต อาหารทิเบต กงล้อมนต์ ธงมนต์ และผู้คนที่ยังแต่งกายเหมือนหลุดออกมาจากเมื่อหลายร้อยปีก่อน! ชุดเหล่านั้นช่างเปี่ยมไปด้วยสีสันของ “เทอร์ควอยส์(Turquoise) หินสีเขียวอมฟ้าที่ไปตกแต่งอยู่บนเรือนกายและอาภรณ์ของหญิงชาวลาดัคได้อย่างวิเศษ เทอร์ควอยส์จึงกลายเป็นของที่ระลึกมีค่ามีราคาที่นักแรมทางสาวๆ นิยมซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านกัน

1

สำหรับคนไทยที่ชินกับอากาศบนพื้นราบ การขึ้นไปเที่ยวบนพื้นที่สูงกว่า 3,505 เมตร ของเมืองเลห์ จึงต้องใช้เวลาปรับตัวพอสมควร   จากเมืองไทยพอบินถึงอินเดียที่ เมืองเดลี (Delhi) นักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งจึงไม่นิยมนั่งเครื่องบินต่อไปเมืองเลห์เลย แต่จะใช้วิธีนั่งรถจากเดลีไป เมืองมานาลี (Manali) จนถึงเลห์ ใช้เวลา 2 วัน ซึ่งระหว่างทางจะได้เห็นทัศนียภาพของทรานส์-หิมาลัยอันน่าตื่นตะลึง เพราะประกอบด้วยเทือกเขาหิมะ ธารน้ำแข็ง โตรกลึก ลำธาร แม่น้ำ ทุ่งดอกไม้ แคนยอนหิน ทะเลทราย ป่าสน หมู่บ้าน วัดนับไม่ถ้วนแห่ง รวมถึงวิถีชีวิตชาวอินเดียเหนือที่เรียบง่าย ทว่างดงาม สมคำว่า “อยู่อย่างพอเพียงจริงๆ”

พอเริ่มปรับตัวกับพื้นที่สูงกว่า 3,000 เมตรของเมืองเลห์ได้แล้ว การออกตระเวนเที่ยวจึงเริ่มขึ้น โดยมีทั้งในเขตตัวเมืองและพื้นที่รอบทิศซึ่งต้องนั่งรถออกไปไกลๆ ถ้าไปกันเป็นกลุ่มหลายคน วิธีเที่ยวสะดวกสุดจึงเป็นการเช่ารถพร้อมคนขับนั่นเอง

8

Valley of Flowers อลังการทุ่งล้านดอกไม้บานบนหลังคาโลกในฤดูร้อน ระหว่างเส้นทางเมืองเลห์-ทะเลสาบแปงกอง

9

หุบเขานูบร้า เป็นหุบเขาที่อยู่ต่ำสุดในแคว้นลาดักห์ อากาศจึงอบอุ่น มีทะเลสาบ และสวนผลไม้ต่างๆ

10

ความงามพิสุทธิ์ของธรรมชาติที่หุบเขานูบร้า มีทั้งทุ่งหญ้า สายน้ำใส และทะเลทรายสีขาวเม็ดละเอียดยิบ

11

“ทะเลสาบปันกอง” (Pangong Lake) บนระดับความสูง 4,250 เมตรเหนือน้ำทะเล!   ระหว่างทางเราจะผ่านทุ่งดอกไม้หลากสีที่กำลังเบ่งบานในฤดูร้อน มีลำธาร ทุ่งหญ้า กระโจมคนเลี้ยงแกะ ฝูงแพะ และตัวยัค นอกจากนี้ยังมี มาร์มอท (Himalayan Marmot) ซึ่งเป็นกระรอกดินขนาดใหญ่จำพวกหนึ่ง อาศัยหลบอยู่ในรูใต้ดินตามทุ่งดอกไม้ทั่วไป น่ารักมากๆ ปันกองคือทะเลสาบมหัศจรรย์ เพราะแม้จะตั้งอยู่บนหลังคาโลก แต่ก็เป็นทะเลสาบน้ำกร่อย! เนื่องจากเมื่อหลายล้านปีก่อนมันคือก้นมหาสมุทรอินเดียนั่นเอง น้ำแข็งจากยอดเขาโดยรอบละลายลงมาเติมเต็มให้ปันกองทุกปี มันจึงกลายเป็นทะเลสาบสีเทอร์ควอยส์อันน่าพิศวง!

5

ทุ่งข้าวบาร์เลย์อาบแสงยามเย็นที่เมืองลาโต้ (Lato) อยู่ไม่ไกลจากเมืองเลห์

6

ทุ่งข้าวบาร์เลย์เมืองลาโต้

7

Himalayan Marmot หรือกระรอกดินหิมาลายัน เป็นกระรอกดินขนาดใหญ่ที่ขุดโพรงอยู่ใต้ดิน โดยมีรูเข้าออกได้หลายทางเอาไว้หนีศัตรู ตอนกลางวันมันจะขึ้นมายืนสองขาสอดแนมที่ปากโพรง มองซ้ายทีขวามี แล้วร้องจิ๊ดๆ เสียงเล็กแหลมอย่างน่ารัก

12

อีกแหล่งธรรมชาติหนึ่งอยู่ห่างจากเมืองเลห์ไปทางตะวันตกราว 150 กิโลเมตร คือ “หุบเขานูบรา” (Nubra Valley) ไม่ใช้ No Bra Valley! อย่างที่หลายคนชอบเอามาล้อเล่นกัน หุบเขานี้มีแม่น้ำชย็อก (Shyok River) ไหลผ่าน อากาศอบอุ่น จึงสามารถปลูกแอปเปิลและแอปปริคอตได้ดี   ส่วนหนึ่งของหุบเขานูบรามีสภาพเป็นทะเลทรายและแซนดูนขนาดยักษ์ ซึ่งพวกเราสามารถไปนอนค้างในเต็นท์ และขี่อูฐเที่ยวชมภูมิทัศน์อันแปลกตาราวกับอยู่ในทะเลทรายซาฮาราของแอฟริกาเลยก็ไม่ปาน! ยิ่งกว่านั้นแล้วการเดินทางสู่นูบรายังต้องผ่านหนึ่งในเส้นทางถนนที่สูงที่สุดในโลกบริเวณ Khardung La ซึ่งสูงถึง 5,600 เมตรเลยล่ะ!

18

13

วัดสำคัญในเมืองเลห์ที่ห้ามพลาดชม เช่น วัดติกเซ่ (Thiksey) วัดสปิตุก (Spituk) และวัดเฮมิส (Hemis) ซึ่งล้วนมีอายุนับร้อยปี วัดเหล่านี้ตั้งอยู่บนยอดเขา นิยมสร้างด้วยอิฐและหินก่อขึ้นไปเป็นทรงสี่เหลี่ยม ทาด้วยสีขาว แดง และดำ ตามคตินิยมของศาสนาพุทธนิกายวัชรยาน ภายในแลลึกลับขรึมขลังมาก ประกอบด้วยห้องนับร้อยๆ ทั้งห้องสวดมนต์ ห้องเก็บตำรา ห้องโถงประดิษฐานพระพุทธรูป ฯลฯ ประมาณ 07.00 น. ทุกเช้า จะมีพิธีทำวัตรเช้าซึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้  เสียงสวดคำว่า “โอม มณี ปัทเม หุม” (Om Mani Padme Hum แปลว่า “โอ มณีในดอกบัว” ตีความได้ว่า มณีในดอกบัวคือความรู้แจ้งหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง) ด้วยสำเนียงทุ้มต่ำน่าฟัง จะสะกดเราให้อยู่กับที่ได้นับชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีวัดขนาดใหญ่มากอย่าง วัดลามายูรู (Lamayuru) ซึ่งอยู่ห่างเลห์ออกไปทางตะวันตกราว 125 กิโลเมตร จึงควรไปค้างคืน

14

ในเดือนสิงหาคมของบางปี ถ้าโชคดี ก็อาจไปตรงกับช่วงที่องค์ดาไลลามะเสด็จเยือนเลห์ เพื่อเยี่ยมเยียนประชาชนและแสดงธรรมบรรยาย ประมุขทางจิตวิญญาณองค์ที่ 14 ของทิเบตนี้ ท่านไม่สามารถกลับไปทิเบตได้ จะมีก็แต่ Little Tibet อย่างเลห์นี่แหละ ที่มีบรรยากาศใกล้เคียงบ้านเกิดของท่านที่สุด คนไทยหลายคนจึงไม่พลาดช่วงเดือนสิงหาคมเพื่อจะได้เข้าเฝ้าท่าน

15

ดาไลลามะองค์ที่ 14 ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบตทั่วโลก

16

คุณยายชาวลาดักห์ นั่งหมุนวงล้อมนตรา หรือ Prayer Wheel ที่มีคำสวดมนต์สลักอยู่โดยรอบว่า “โอม มณี ปัทเม หุม” หมุน 1 รอบเทียบเท่ากับการสวดมนต์ 1 จบ เวลาเราไปลาดักห์จะเห็นสิ่งนี้อยู่ทั่วไปจนชินตา บ่งบอกว่าคนเลห์ ลาดักห์ ยึดแน่นในพุทธศาสนานิกายวัชรยานทิเบตอย่างมาก

17

บนยอดเขาทางตะวันตกห่างจากเลห์ไป 2 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของ “สถูปแห่งสันติภาพ” (Shanti Stupa) ซึ่งสร้างขึ้นโดยรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อประกาศศาสนาและจรรโลงสันติภาพแก่โลก   ในช่วงเย็นเมื่อแสงอาทิตย์อ่อนลง นักท่องเที่ยวนับร้อยจะพากันขึ้นสู่สถูปแห่งสันติภาพ เพื่อกราบไหว้ และรอชมภาพอาทิตย์อัสดงอันแสนงดงามลงท่ามกลางเทือกเขาตระหง่านที่โอบล้อมเมืองเลห์ไว้ และจากยอดเขานี้สามารถมองไปเห็นวัดสันการ์ กอมปะ (Sankar Gompa) ที่จะถูกเงาของสถูปแห่งสันติภาพทอดทับลงจนมืดมิดไปในที่สุด

19

ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวบนหลังคาโลก สูงเกือบ 5,000 เมตรเหนือน้ำทะเล!

20

เทือกเขาหิมาลัยยังทอดตระหง่านอยู่ตรงนั้น เราต้องโบกมือลาเมืองเลห์แล้ว มนต์เสน่ห์แห่งดินแดนชมพูทวีปช่างลึกล้ำ และฝังลึกลงในความทรงจำของเราจริงๆ นี่คืออีกมุมหนึ่งของโลก โลกที่เราทุกคนเรียกมันว่า “บ้านอันอบอุ่น”

1841

Traveler’s Guide

Best season : อากาศดีที่สุดระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน นอกนั้นอากาศหนาวจัด หิมะปกคลุมหนามาก

How to go : ช่วงแรก จากเมืองไทยบินไปเดลี เช่น การบินไทย โทร. 0-2356-1111 เว็บไซต์ www.thaiairways.co.th ช่วงที่สองจากเดลีไปเลห์ จะเช่ารถหรือขึ้นเครื่องบินไปก็ได้ เช่ารถแนะนำบริษัท Dreamland Trek & Tour โทร. +91-1982-250784, +91-94191-78197 อี-เมล dreamladakh@gmail.com เว็บไซต์ www.dreamladakh.com บินไปเลห์ เช่น Jet Airways เว็บไซต์ www.jetairways.com/TH/TH/Home.aspx

Where to stay : ที่พักทริปนี้เป็นโรงแรมและเกสต์เอาส์อย่างดี แต่ถ้านั่งรถจากเดลี-มานาลี-เลห์ ระหว่างทางต้องค้างในเต็นท์กลางหุบเขาที่ซาร์ชู (Sarchu) หนึ่งคืน ที่พักแนะนำในเดลี Sunshine House ถนน Karol Bagh อี-เมล sunshinehouse@live.in โทร. +91-9810312256 ที่เมืองมานาลี แนะนำ Sarthak Resorts อี-เมล sarthakresorts@yahoo.co.in โทร. +91-1902-259323 ที่เมืองเลห์ แนะนำ Hotel Yak Tail เว็บไซต์ www.hotelyaktail.com โทร. +91-1982-252118

What to eat : ในเมืองเลห์มีอาหารให้เลือกหลากหลาย ทั้งอาหารทิเบต ลาดัค จีน ไทย และยุโรป สำหรับอาหารลาดัคนั้นจะคล้ายกับอาหารทิเบต เช่น หมี่ผัด ชานม และแป้งทอดไส้ผักที่เรียกว่า “โมโม่” (Momo)

Information : www.leh-ladakh.com, www.reachladakh.com, www.ladakhkashmir.com, www.tourism-of-india.com/ladakh.html

Amazing Armenia

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

14

15

16

17

18

19

20

21

Traveler’s Guide

Best season : ฤดูใบไม้ผลิ เดือนมีนาคม-มิถุนายน ฤดูร้อน เดือนมิถุนายน-กันยายน ฤดูใบไม้ร่วง เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน จากนั้นจะเข้าฤดูหนาวหิมะตก ช่วง High Season ของการท่องเที่ยว คือ เดือนพฤษภาคม-ตุลาคม

How to go : ยังไม่มีเที่ยวบินตรงกรุงเทพฯ-เยเรวาน จึงต้องบินไปเปลี่ยนเครื่องที่กรุงเตหะราน อิหร่าน ก่อน ใช้เวลาบิน 7 ชั่วโมงครึ่ง จากนั้นบินเตหะราน-เยเรวาน (เมืองหลวงของอาร์เมเนีย) ใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง ส่วนการเดินทางท่องเที่ยวภายในอาร์เมเนีย ควรติดต่อผ่านบริษัททัวร์ที่เชี่ยวชาญ

Where to stay : ในเยเรวาน แนะนำโรงแรม Ani Plaza Hotel (www.anihotel.com) ส่วนที่เมืองดิลิจาน แนะนำ Paradise Hotel Dilijan (www.paradisehotel.am)

What to eat : อาหารหลักของคนอาร์เมเนีย คือ ข้าวและขนมปัง กินกับสลัดผัก ผักย่าง ผักม้วนไส้เนื้อ รวมถึงซุปต่างๆ เคบับสไตล์ตุรกี สเต็กต่างๆ หมูย่าง ไก่ย่าง เสต็กปลา ส่วนของหวานนิยมพวกผลไม้สด โดยเฉพาะแอปปริคอต เค็กที่ไม่หวานจัด ขนมซูจุ๊ก ขนมแป้งแผ่นลาวาช ปิดท้ายด้วยชากาแฟท้องถิ่น

Souvenirs : ขลุ่ยดูดุ๊ค, ผ้าปักลายพื้นเมือง, งานไม้แกะสลัก, เครื่องเงิน, เครื่องทองเหลือง, จิวเวอร์รี่, สร้อยคอหินสี, ผลไม้อบแห้ง, ลูกแอปปริคอตสด, ไวน์, บรั่นดี, งานศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา เช่น ไม้กางเขน, รูปเคารพต่างๆ ฯลฯ

More info : บริษัท Holiday World โทร. 0-2635-1255 แฟ็กซ์ 0-2635-1256 เว็บไซต์ www.gotogethertravel.com อีเมล์ info@gotogethertravel.com